(Update 1 เม.ย. 54) มิลินทปัญหา โดย.."วัฒนไชย"
webmaster - 7/3/08 at 02:30
มิลินทปัญหา
โดย..."วัฒนไชย" รวบรวม
...เรื่อง "มิลินทปัญหา" ที่ลงในเว็บนี้ได้มีการปรับปรุงถ้อยคำ พร้อมกับมีรูปภาพประกอบอย่างสมบูรณ์ที่สุด
ถึงแม้จะประกาศเรื่องสงวนลิขสิทธิ์ แต่ก็ยังมีคนไม่กลัวบาป ได้นำข้อมูลออกไปอยู่ในเว็บ geocities.com แล้วเว็บ dhammathai.org, larnbuddhism.com,
ก็ขโมยต่อไป โดยไม่มีการกล่าวอ้างถึงเว็บต้นฉบับนี้เลย
อนุโมทนากถา
สาเหตุที่ "มิลินทปัญหา" จะมาปรากฏแก่สายตาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายนั้น ประการแรกก็คือว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน ได้เคยสนทนาปรารภถึงเรื่องนี้ ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอ ทั้งที่วัดท่าซุงหรือที่บ้านสายลม กรุงเทพฯ
อีกประการหนึ่ง ผู้เขียนเองก็ไม่เคยคิดจะทํามาก่อน พอดีเมื่อประมาณต้นปี ๒๕๓๔ พระครูใบฎีกาสมพงษ์ ปรารภว่าขอให้ช่วยนําเรื่อง
"มิลินทปัญหา" ลงใน "ธัมมวิโมกข์" สักหน่อย ผู้เขียนก็รับปากและเริ่มจัดทํา โดยมี พระอาจินต์ และ
พระมหาถวัลย์ เป็นผู้ร่วมจัดทําด้วย โดยมี พระครูปลัดอนันต์ พระครูสมุห์พิชิต (โอ) ตลอดถึงเพื่อนพระภิกษุภายในวัดท่าซุง
ต่างก็ช่วยกันสนับสนุนเป็นอย่างดี
สําหรับหนังสือรวมเล่มนี้มี พระสมปอง พร้อมทั้งคณะ และ คุณดรุณ พรหมคีรี เป็นผู้ช่วยจัดพิมพ์ต้นฉบับด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และมี
คุณละเมียด (ละไม) เขมาสวิน เป็นผู้ประสานงานทางโรงพิมพ์ ส่วน คุณอโนชา นาคสวัสดิ์ และ คุณสนิท อารยศิริกุล ได้ช่วยเหลือบริการ
และจัดซื้อในทางด้านเครื่องคอมพิวเตอร์
ขอย้อนกล่าวต่อไปอีกว่า บังเอิญผู้รวบรวมมีหนังสือมิลินทปัญหา ฉบับของ ส.ธรรมภักดี และ ฉบับพิสดาร อยู่แล้ว
จึงได้เริ่มเรียบเรียงลงในธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๒๒ เดือนเมษายน ๒๕๓๔ เป็นตอนแรก โดยใช้หนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวนี้ เป็นต้นฉบับในการเรียบเรียง และ
อาศัย อธิบายมิลินทปัญหา ของ วศิน อินทสระ และหนังสือ "ศัพท์ศาสนา" ของ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์
กับ ปทานุกรม ไทย บาลี อังกฤษ สันสฤต อีกทั้งตําหรับตําราของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฯ มาประกอบคําอธิบายด้วย
ผลปรากฏว่าเป็นที่ชื่นชอบของญาติโยมพุทธบริษัทเป็นอันมาก มีหลายท่านที่ปรารภว่าให้จัดพิมพ์รวมเล่มด้วย จึงทําให้ผู้เขียนมีกําลังใจยิ่งขึ้น
เพราะการจัดทํานั้นก็ไม่ใช่ของง่าย ก่อนจะพิมพ์ต้องตรวจสํานวนระหว่างสองฉบับด้วยกันก่อน โดยเฉพาะบางคําที่อ่านแล้วเข้าใจยาก
ก็จะใช้ถ้อยคําที่เข้าใจง่ายขึ้น บางสํานวนที่ยืดยาว ก็จะรวบรัดสํานวนให้อ่านง่ายขึ้น โดยรักษาเนื้อความเดิมไว้มิให้เสียหาย
ส่วนคําที่เป็นภาษาบาลี ก็จะวงเล็บให้ทราบไว้ทันที และบางปัญหาจะเพิ่มเติมคําอธิบาย ไปบ้างหรือบางปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกันหลายปัญหา
ผู้รวบรวมก็จะนํามาสรุปความให้ทราบในตอนท้ายของปัญหานั้น สําหรับบางปัญหาที่เอ่ยชื่อของบุคคลตัวอย่างในพระสูตร แต่ในต้นฉบับดังกล่าวไม่มี
ผู้รวบรวมก็ไปค้นมาจาก "พระไตรปิฎก" ที่ญาติโยมทั้งหลายซื้อมาถวายวัดนั่นแหละ
แล้วนํามาย่อเนื้อความให้ท่านผู้อ่านเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง เช่นเรื่อง พระเจ้าสีวิราช และ มาตังคฤาษี เป็นต้น
อีกประการหนึ่ง ที่ทําให้หนังสืออ่านง่ายยิ่งขึ้น นั่นก็คือการจัดพิมพ์เป็น ๒ คอลัมน์ใช้อักษรตัวเอนเป็นคําถาม สลับกับตัวธรรมดาที่เป็นคําตอบ
และตัวดําจะเน้นที่มีความสําคัญ ส่วนการที่มีย่อหน้าและเว้นวรรคบ่อย ก็เพื่อมิให้เนื้อความแน่นเกินไป ทําให้ดูโปร่งตา ช่วยให้อ่านง่ายยิ่งขึ้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บางปัญหาอาจจะมีข้อคิดลึกลับซับซ้อน ท่านผู้อ่านก็ควรจะย้อนอ่านหลายๆ ครั้ง เพื่อความเข้าใจ
พร้อมกับใช้ความคิดพิจารณาในเนื้อความนั้นไปด้วย ก็จะช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน และได้สาระความรู้จากหนังสือเล่มนี้ยิ่งขึ้น
เนื่องจาก พระเจ้ามิลินท์ เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก การตั้งปัญหาถามล้วนเป็นปัญหาที่ยากที่ผู้อื่นจะตอบได้
บางปัญหาท่านถามวกวนเพื่อหาเป้า แต่ พระนาคเสน ท่านก็เฉลยปัญหาได้ทุกข้อพร้อมทั้งยกอุปมาขึ้น โดยอาศัยธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว
เปรียบเทียบได้อย่างแจ่มแจ้ง
คณะผู้จัดทําเห็นว่าเรื่องนี้มีประโยชน์มาก จะช่วยให้ท่านผู้อ่านเกิดปัญญา ความรอบรู้ในสภาวะธรรมที่ละเอียดสุขุม ทั้งเป็นการเสริมสร้างปฏิภาณ
ในด้านการสนทนาธรรมกับผู้อื่นอีกด้วย โดยเฉพาะหลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า พระที่จะเป็นนักเทศน์ที่ดีนั้นจะต้องผ่านการอ่าน "มิลินทปัญหา"
มาเสียก่อน
ฉะนั้น "มิลินทปัญหา" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แล้วแต่งอธิบายธรรมะโดยพระอรรถกถาจารย์มีนามว่า
พระติปิฎกจุฬาภัยเถระ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาบาลี ได้จัดพิมพ์เป็นภาษาไทยจาก ฉบับพิสดาร ของ
หอสมุดแห่งชาติ และฉบับของ ส.ธรรมภักดี คณะผู้จัดทําจึงขออนุญาตนํามาลงให้บรรดาสมาชิกของ "ธัมมวิโมกข์"
ได้อ่านกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้รวบรวมก็ยังเริ่มฝึกหัดอยู่ อาจจะไม่เชี่ยวชาญในเนื้อความบางคํา ถ้าหากมีข้อผิดพลาดสิ่งใด ต้องกราบขออภัยท่านผู้รู้ไว้ ณ
โอกาสนี้ด้วย ถ้าจะกรุณาทักท้วงในข้อผิดพลาดนั้น ก็ขอน้อมรับด้วยความยินดียิ่ง จึงขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้าด้วย
ผู้รวบรวมจึงขอย้ำว่า หนังสือรวมเล่ม "มิลินทปัญหา" นี้ เป็นการรวบรวมจาก ธัมมวิโมกข์ ที่ได้ลงไว้เป็นตอนๆ
การจัดพิมพ์จึงอาจจะไม่เหมือนหนังสือทั่วไป จึงขอให้ถือว่า "มิลินทปัญหา" ฉบับรวมเล่มของ "ธัมมวิโมกข์" นี้ เป็น
"ฉบับพิเศษ" คือว่าจัดทําขึ้นมาเพื่อให้อ่านเป็นการภายในเฉพาะสมาชิกเท่านั้น มิได้จําหน่ายเป็นสาธารณะทั่วไป
ถ้าท่านผู้อ่านต้องการจะอ่านฉบับมาตรฐาน ก็โปรดหาอ่านตามที่ผู้รวบรวมระบุไว้แล้วนั้น
รวมความว่า "มิลินทปัญหา" ได้ดําเนินเรื่องมาเพียงครึ่งเรื่องเท่านั้น ขณะที่จะรวมเล่มได้ลงไปถึงตอนที่ ๑๗
ปรากฏว่าเมื่อกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ (ก่อนมรณภาพเพียง ๒ เดือนเท่านั้น) พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน
ท่านปรารภไว้ก่อนมรณภาพ
เมื่อคราวไปสอนพระกรรมฐานที่ "บ้านสายลม" มีผู้ถวายเงินแก่ท่านไว้ จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าจัดพิมพ์หนังสือรวมเล่ม
"มิลินทปัญหา" จึงมีบัญชาให้ "คณะผู้จัดทําธัมมวิโมกข์" เป็นผู้รวบรวม "ธัมมวิโมกข์"
ฉบับรวมเล่ม "มิลินทปัญหา" นี้ หลังจากรับทราบคำสั่งท่านแล้ว เมื่อจะกราบลาท่านออกมาฉันเพล ท่านก็ได้กล่าวขึ้นอีกว่า
"...เขาให้ข้ามาแสนหนึ่ง จะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไม่พอข้าก็ต้องออกเองละวะ..."
หลังจากนั้นพวกเราจึงได้ปรึกษากันว่า ควรจะรีบจัดทําเพื่อให้ทันตามความประสงค์ของท่านภายในสิ้นปีนี้ จึงได้รีบจัดทําต้นฉบับส่วนที่เหลือทันที
ปรากฏว่ารวมเล่มทั้งหมดได้ ๓๖ ตอน ก็พอดีหลวงพ่อมรณภาพเสียก่อน เป็นอันว่า คณะผู้จัดทําขออนุโมทนาในเจตนาที่เป็นมหากุศลของ คุณนวรัตน์
ธนบัตรชัย ไว้ ณ โอกาสนี้ ที่เป็นผู้ริเริ่มเป็นปฐมฤกษ์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
หากผู้ใดต้องการจะร่วมสมทบทุนก็บริจาคได้โดยตรงกับ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ใหม่ เพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดแสงสว่าง
คือความรุ่งเรืองแห่งปัญญา เป็นการช่วยกันเทิดทูนคําสนทนาของพระมหาเถระทั้งสองไว้ คือ พระนาคเสนเถระ และ พระมิลินทเถระ
ผู้เป็นพระอรหันต์
ท่านทั้งสองได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดไปนานแล้ว พวกเราเหล่าพุทธบริษัทเมื่อได้อ่านคำสนทนาพาทีของท่าน ก็ยิ่งทําให้เกิดสติปัญญามากขึ้น
ท่านผู้อ่านที่ยังไม่รู้ก็จะได้รู้หรือท่านที่มีพื้นความรู้มาบ้างแล้ว ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความเข้าใจ ความแจ่มแจ้ง ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
อันเป็นคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดามากขึ้น
หนังสือมิลินทปัญหานี้ จึงเหมือนกับประทีปส่องทางให้ทุกท่านที่อ่านแล้ว จะสามารถมองเห็นหนทางที่จะเดินยิ่งขึ้น ในเมื่อทุกคนปรารถนาเพื่อพระนิพพาน
ในอวสานอันเป็นถ้อยคำนี้ ขอความปรารถนาของท่านทั้งหลาย ที่ได้ตั้งไว้ด้วยความอุตสาหะพยายาม จงสําฤทธิ์ผลโดยง่ายอย่างฉับพลัน
เช่นเดียวกันกับพระมหาเถระทั้งสองผู้เป็นเจ้าของเรื่องเถิด
ท่านผู้อ่านและผู้ร่วมสร้าง "ปัญญาบารมี" ในครั้งนี้ทุกท่าน การที่หนังสือเล่มนี้สําเร็จลงได้เพราะแรงบันดาลใจของท่านทั้งหลาย
อันมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นองค์ประธาน ฉะนั้น พวกเราเหล่าพุทธบริษัทที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันในครั้งนี้ จะตั้งสัตยาธิษฐานไว้อย่างนี้ก็ได้
นั่นก็คือว่า...
"ขอให้มีปัญญาหาที่สุดมิได้ เช่นเดียวกันกับท่านทั้งสอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานนี้เทอญ..."
"วัฒนไชย"
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
สารบัญ
(โปรด "คลิก" เลื่อนขึ้นเลื่อนลง อ่านได้แต่ละตอน)
คำนมัสการพระรัตนตรัย ของ พระติปิฎกจุฬาภัยเถระ
พุทธพยากรณ์ในวันปรินิพพาน
เรื่องเบื้องต้น
บุพพกรรมของบุคคลทั้งสอง
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาครูทั้ง ๖
พระอรหันต์ขึ้นไปเชิญมหาเสนะเทพบุตร
มหาเสนะเทพบุตรจุติจากเทวโลก
พระโรหนะไปนํานาคเสนกุมารเพื่อจะให้บรรพชา
พระนาคเสนแสดงธรรมเป็นครั้งแรก
พระนาคเสนไปศึกษาพระไตรปิฎกกับพระธรรมรักขิต
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปถามปัญหาพระอายุบาล
กิตติศัพท์ของพระนาคเสน
พระเจ้ามิลินท์ได้ยินชื่อตกพระทัยกลัว
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาพระนาคเสน
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๑
ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
ปัญหาที่ ๒ ถามพรรษา
ปัญหาที่ ๓ ถามลองปัญญา
ปัญหาที่ ๔ ปัญหาของอันตกายอํามาตย์
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องบรรพชา
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องปฏิสนธิ เกิด
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องมนสิการ การกําหนดจิต
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องลักษณะมนสิการ
ปัญหาที่ ๙ ถามลักษณะศีล
ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะ
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะสติ
ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะสมาธิ
ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะปัญญา
ปัญหาที่ ๑๕ ถามหน้าที่แห่งธรรมต่างๆ กัน
วรรคที่ ๒
ปัญหาที่ ๑ ถามความสืบต่อแห่งธรรม
ปัญหาที่ ๒ ถามความรู้สึกของผู้ไม่เกิดอีก
ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องปรินิพพาน
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องสุขเวทนา
ปัญหาที่ ๖ ถามการเกิดแห่งนามรูป
ปัญหาที่ ๗ ถามการเกิดอีกของพระนาคเสน
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องนามรูป
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องกาลนานยืดยาว
วรรคที่ ๓
ปัญหาที่ ๑ ถามมูลเหตุแห่งกาลทั้ง ๓
ปัญหาที่ ๒ ถามที่สุดเบื้องต้นแห่งสงสาร
ปัญหาที่ ๓ ถามความปรากฏแห่งที่สุดเบื้องต้น
ปัญหาที่ ๔ ถามความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความมีขึ้นแห่งสังขารที่ไม่มี
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงเรื่องผู้ถึงเวทย์
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเกี่ยวกันแห่งจักขุวิญญาณกับมโนวิญญาณ
ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะผัสสะ
ปัญหาที่ ๙ ถามลักษณะเวทนา
ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะสัญญา
ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะเจตนา
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะวิญญาณ
ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะวิตก
ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะวิจาร
วรรคที่ ๔
ปัญหาที่ ๑ ถามลักษณะมนสิการ
ปัญหาที่ ๒ ถามลักษณะสิ่งที่มีภาวะอย่างเดียวกัน
ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕
ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทําเสียก่อน
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน
วรรคที่ ๕
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องความมีและความไม่มีแห่งพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการรู้ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องการเห็นธรรม
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไม่ก้าวย่างไปแห่งผู้จะเกิด
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงผู้สําเร็จเวทย์
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงการก้าวไปแห่งสภาพ
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงที่อยู่แห่งผลกรรม
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความรู้สึกของผู้จะเกิดอีก
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องที่อยู่ของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน
วรรคที่ ๖
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต
ปัญหาที่ ๒ ถามถึงเหตุที่ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า
ปัญหาที่ ๓ ถามถึงลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ของพระพุทธมารดาบิดา
ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความเป็นพรหมจารีของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงการอุปสมบท ไม่อุปสมบท
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความต่างกันแห่งน้ำตา
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความต่างกันแห่งผู้เสวยรส
ปัญหาที่ ๘ ถามที่ตั้งแห่งปัญญา
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสงสาร
ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้
ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้มีสติ
(วรรคนี้เดิมขาดหายไป)
วรรคที่ ๗
ปัญหาที่ ๑ ถามอาการแห่งสติ
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องทําบาปทําบุญ
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการดับทุกข์ใน ๓ กาล
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องถือกําเนิดในครรภ์มารดา
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ
ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทําบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้
ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์
ปัญหาที่ ๑๒ ถามเรื่องกระดูกยาว
ปัญหาที่ ๑๓ ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ
ปัญหาที่ ๑๔ ถามว่าอะไรเป็นสมุทร
ปัญหาที่ ๑๕ ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม
ปัญหาที่ ๑๖ ถามความวิเศษแห่งปัญญา
ปัญหาที่ ๑๗ ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น
ปัญหาที่ ๑๘ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทําได้ยากของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๑๙ พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน
นอกวรรค
โคตมีปัญหา ถามเรื่องถวายผ้าของพระนางโคตมี
เริ่มเมณฑกปัญหา
ทรงสมาทานวัตรบท ๘
ที่ไม่ควรปรึกษากัน ๘ ประการ
คนที่ไม่ควรปรึกษา ๘ จําพวก
คนที่ปิดความลับไม่ได้ ๙ จําพวก
เหตุให้เจริญความรู้ ๘ ประการ
คุณของอาจารย์ ๒๕ ประการ
คุณแห่งอุบาสก ๑๐ ประการ
เมณฑกปัญหา ปัญหาที่ถามเป็นสองแง่
วรรคที่ ๑
ปัญหาที่ ๑ ว่าด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๒ ถามถึงความเป็นพระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องโปรดให้พระเทวทัตบรรพชา
ปัญหาที่ ๔ ถามถึงเหตุให้แผ่นดินไหว
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องได้ตาทิพย์ของพระเจ้าสีพี
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการตั้งครรภ์
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องอายุพระพุทธศาสนา ๕๐๐๐ ปี
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องสําเร็จพระสัพพัญญุตญาณ
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสิ่งที่ควรทํายิ่งของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องกําลังอิทธิบาท
วรรคที่ ๒
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องปัญหาที่แก้ด้วยการพักไว้
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องมรณภัย
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องพ้นจากบ่วงมรณะ
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องอันตรายแห่งลาภของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องทรงบําเพ็ญประโยชน์แก่สรรพสัตว์
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงธรรมอันประเสริฐสุด
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความไม่แตกกันแห่งบริษัทของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการทําบาปของผู้ไม่รู้
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องความไม่ทรงห่วงพระภิกษุสงฆ์
วรรคที่ ๓
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องทรงแสดงของลับ
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องผรุสวาจาของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องจิตวิญญาณของต้นไม้
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องอานิสงส์แห่งบิณฑบาตทั้งสองคราว
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องทรงอนุญาตพุทธบูชา
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องสะเก็ดศิลาถูกพระบาท
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องการถวายโภชนาหาร
ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องทรงขวนขวายน้อยในการแสดงธรรม
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมีอาจารย์และไม่มีอาจารย์ของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงสมณะที่เลิศและไม่เลิศ
วรรคที่ ๔
ปัญหาที่ ๑ ถามเกี่ยวกับเรื่องสรรเสริญ
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องไม่เบียดเบียนและไม่ข่มเหง
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องทรงขับไล่ภิกษุ
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องไม่มีที่อยู่ประจําและไม่มีอาลัย
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องสํารวมท้อง
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องปกปิดพระธรรมวินัย
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความหนักเบาแห่งมุสาวาท
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงเรื่องผู้ควรแก่การขอ
วรรคที่ ๕
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงอํานาจฤทธิ์และกรรม
ปัญหาที่ ๒ ถามถึงธรรมดาของพระโพธิสัตว์
ปัญหาที่ ๓ ถามถึงเรื่องฆ่าตัวเอง
ปัญหาที่ ๔ ถามเกี่ยวกับอานิสงส์เมตตา
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความเสมอกันและไม่เสมอกันแห่งกุศลอกุศล
ปัญหาที่ ๖ ถามเกี่ยวกับนางอมราเทวีของมโหสถ
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความไม่กลัวแห่งพระขีณาสพ
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงคุณและโทษแห่งสันถวไมตรี
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมีอาพาธน้อยของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องพระพุทธเจ้าทรงกระทําทางให้เกิด
วรรคที่ ๖
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงโทษแห่งปฏิปทา
ปัญหาที่ ๒ ถามถึงธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า
ปัญหาที่ ๓ ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์
ปัญหาที่ ๔ ถามถึงเรื่องโลมกัสสปฤาษี
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องพญาช้างฉัททันต์
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงเรื่องฆฏิการอุบาสก
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเป็นพระราชาของพระพุทธเจ้า
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเหตุที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์
ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสัมมาปฏิบัติของคฤหัสถ์และบรรพชิต
วรรคที่ ๗
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องพระสึก
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องเวทนาทางกายทางใจของพระอรหันต์
ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องอันตรายแห่งการสําเร็จธรรมของคฤหัสถ์ผู้ต้องปาราชิก
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องสมณะทุศีล คฤหัสถ์ทุศีล
ปัญหาที่ ๔ ถามความมีชีวิตแห่งน้ำ
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงสิ่งที่ไม่มีในโลก
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเผลอสติของพระอรหันต์
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความมีอยู่แห่งนิพพาน
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงสิ่งที่เกิดจากกรรมและไม่เกิดจากกรรม
วรรคที่ ๘
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความตายแห่งยักษ์
ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท
ปัญหาที่ ๓ ถามถึงมลทินแห่งดวงอาทิตย์
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความร้อนแห่งดวงอาทิตย์
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงเรื่องทานของพระเวสสันดร
*** ปัญหาต่อไปโปรดติดตาม Pages 2 ****
ตอนที่ ๑
คํานมัสการพระรัตนตรัย ของ พระติปิฎกจุฬาภัยเถระ
"..พระจริยาอันเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง
ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณธรรมอันใหญ่พระองค์ใดมีอยู่ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้สมเด็จพระบรมครูพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีอานุภาพอันเป็นอจินไตย
ผู้เป็นนายกอันเลิศของโลก สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์พระองค์ใด เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาจรณะ นําหมู่สัตว์ออกจากโลกด้วยธรรมะอันใด
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ธรรมะอันนั้น ซึ่งเป็นธรรมะอันสูงสุด เป็นธรรมะอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบูชาพระอริยสงฆ์ใดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ
มีศีลคุณเป็นต้น เป็นผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระอริยสงฆ์นั้น ผู้เป็นนาบุญอันเยี่ยมของโลก
บุญอันใดที่ข้าพเจ้าทําให้เกิดขึ้นด้วยการนอบน้อมพระรัตนตรัยอย่างนี้ ด้วยเดชแห่งบุญอันนั้น จงให้อันตรายหายไปจากข้าพเจ้าในที่ทั้งปวง
จงให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ปราศจากอันตราย มิลินทปกรณ์ คือคัมภีร์มิลินท์อันใด ที่ประกอบด้วยปุจฉาพยากรณ์มีอยู่
ขอท่านทั้งหลายจงฟังปัญหาทั้งหลายอันละเอียดลึกซึ้ง ที่มีอยู่ในคัมภีร์มิลินทปัญหานั้น เพราะการฟังมิลินทปัญหานั้น จักทําให้เกิดประโยชน์สุข..."
พุทธพยากรณ์ในวันปรินิพพาน
เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับเหล่าพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จไปที่เมืองกุสินารามหานคร ในเวลาที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระพุทธองค์ทรงบรรทมบนบัลลังก์ หันพระเศียรไปทางทิศอุดร ในระหว่างนางรังทั้งคู่ อันมีอยู่ในพระราชอุทยานของพวกมัลลกษัตริย์ แห่งเมืองกุสินารา
จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย...เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทํากิจทั้งปวง ด้วยความไม่ประมาทเถิด
ธรรมวินัยอันใด..เราบัญญัติไว้แล้ว เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมวินัยนั้นแหละ..จะเป็นครูของพวกเธอ
เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสป จะระลึกถึงถ้อยคําที่ไม่ดีของ สุภัททภิกขุ ผู้บวชเมื่อแก่ แล้วจะกระทํา
สังคายนา เพื่อรักษาพระพุทธวจนะไว้มิให้คลาดเคลื่อน ต่อนั้นไปอีก ๑๐๐ ปี พระยสกากัณฑกบุตร
ผู้จะย่ำยีซึ่งถ้อยคําของพวก ภิกษุวัชชีบุตร จะได้กระทํา สังคายนาครั้งที่ ๒
ต่อไปอีกได้ ๒๑๘ ปี พระโมคคลีบุตรติสสเถระ ผู้จะลบล้างลัทธิของพวกเดียรถีย์ภายนอก จักได้กระทํา สังคายนาครั้งที่
๓ ต่อมาภายหลัง พระมหินทเถระ จะไปประดิษฐานศาสนาของเราลงไว้ที่ ตามพปัณณิทวีป (ลังกา)
ต่อจากเราปรินิพพานไปล่วงได้ ๕๐๐ ปี จักมีพระราชาองค์หนึ่งชื่อว่า มิลินท์ ผู้ได้สร้างสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว
จะทําให้เกิดปัญหาอันละเอียดขึ้นด้วยอานุภาพปัญญาของตน จะย่ำยีเสียซึ่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยปัญหาอันละเอียด
จะมีภิกษุองค์หนึ่งชื่อว่า นาคเสน ไปทําลายถ้อยคําของ มิลินทราชา ทําให้
มิลินทราชาเกิดความร่าเริงยินดีด้วยอุปมาเป็นเอนก จะทําศาสนาของเราให้หมดเสี้ยนหนามหลักตอ จะทําศาสนาของเราให้ตั้งอยู่ตลอด ๕๐๐๐ พรรษา..." ดังนี้
เพราะฉะนั้นจึงได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดเกิดในตระกูลในเวลาล่วงได้ ๕๐๐ ปี จากปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วนั้น ผู้นั้นจักได้ชื่อว่า
"มิลินทราชา" เสวยราชย์อยู่ใน "สาคลนคร" อันเป็นเมืองอุดม "มิลินทราชา"
นั้นจักได้ถามปัญหาต่อ "พระนาคเสน" มีอุปมาเหมือนกับน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไปสู่มหาสมุทรสาครฉะนั้น
พระองค์เป็นผู้มีถ้อยคําอันวิจิตร ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนในเวลาราตรี มีคบเพลิงจุดสว่างไสว แล้วถามปัญหาล้วนแต่ละเอียดลึกซึ้ง
ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้ด้วยดี ฟังปัญหาอันละเอียดในคัมภีร์มิลินท์นั้นเถิด จะเกิดประโยชน์สุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน ดังนี้
พระนครของพระเจ้ามิลินท์
มีคําเล่าลือปรากฏมาว่า เมืองสาคลนคร ของชาวโยนก เป็นเมืองที่งดงามด้วยธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ อุทยานอันมีสระน้ำสวนดอกไม้ผลไม้
ตกแต่งไว้อย่างดีมีหมู่นกมากมายอาศัยอยู่
ป้อมปราการก็แข็งแรงปราศจากข้าศึกมารบกวนถนนหนทางภายในพระนคร เกลื่อนกล่นไปด้วยช้างม้ารถอันคล่องแคล่ว อีกทั้งหมู่สตรีล้วนมีรูปร่างสวยงาม
ต่างเที่ยวสัญจรไปมา ทั้งเป็นที่พักพาอาศัยของสมณพราหมณ์ พ่อค้าสามัญชนต่างๆ
เมืองสาคลนครนั้น สมบูรณ์ด้วยผ้า แก้วแหวนเงินทอง ยุ้งฉาง ของกินของใช้มีตลาดร้านค้าเป็นที่ไปมาแห่งพ่อค้า ข้างนอกเมืองก็บริบูรณ์ด้วยพืชข้าวกล้า
อุปมาเหมือนข้าวกล้าในอุตตรกุรุทวีป หรือไม่ก็เปรียบเหมือนกับ "อารกมัณฑาอุทยาน" อันสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ฉะนั้น
สรุปหัวข้อปัญหา
ท่านพรรณนามาถึงตอนนี้แล้ว จึงได้แยกเรื่องไว้ ๖ อย่างคือ บุพพโยค ๑ มิลินทปัญหา ๑ เมณฑกปัญหา ๑ อนุมานปัญหา ๑ ลักขณปัญหา ๑
อุปมากถาปัญหา ๑ฉะนั้น ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะพบกับเนื้อความในหนังสือเล่มนี้ต่อไป ผู้รวบรวมขอสรุปหัวข้อปัญหาให้ทราบไว้ก่อน ดังนี้
๑. บุพพโยค คือเรื่องเบื้องต้นก่อนที่จะถามปัญหา
๒. มิลินทปัญหา เป็นปัญหาที่พระเจ้ามิลินท์ถาม ปัญหาชุดนี้มี ๗ วรรค
๓. นอกวรรค มีเพียงปัญหาเดียว คือ โคตมีปัญหา
๔. เมณฑกปัญหา คือการถามปัญหาที่เป็นสองแง่ ปัญหาชุดนี้มี ๙ วรรค
๕. อุปมาปัญหา ว่าด้วยอุปมาต่างๆ ปัญหาชุดสุดท้ายนี้มี ๗ วรรค
เมื่อจบการถามตอบปัญหาแล้วก็ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ต่างๆ ต่อมาพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสละราชสมบัติ เมื่อทรงออกผนวชแล้วก็ได้สําเร็จพระอรหันต์
เป็นอันว่า ท่านผู้อ่านก็ได้ทราบไว้ก่อนแล้วว่า หนังสือเล่มนี้มีการจัดหมวดหมู่ไว้อย่างไรบ้าง จะช่วยให้ง่ายต่อการจดจํา
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีความอุตสาหะ อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ พยายามทบทวนทําความเข้าใจในถ้อยคําของท่าน แล้วจะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล
ณ โอกาสนี้ จึงขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกับเรื่อง บุพพโยค คือ "เรื่องเบื้องต้น"
ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป....
◄ll กลับสู่ด้านบน
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
webmaster - 13/3/08 at 23:56
เรื่องเบื้องต้น
บุพพกรรมของบุคคลทั้งสอง
...บุพพกรรมของ พระเจ้ามิลินท์ และ พระนาคเสน กล่าวคือ เมื่อครั้งศาสนาของ สมเด็จพระพุทธกัสสป โน้น
มีพระราชา พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิชิตาวี เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนครราชธานี
พระองค์ทรงอนุเคราะห์มหาชนด้วย สังคหวัตถุ ๔ สร้างมหาวิหารลงไว้ที่ริมแม่น้ำคงคา ถวายพระเถระทั้งหลายที่ทรงคุณธรรมต่าง ๆ กัน มีทรงพระไตรปิฎก เป็นต้น
ทั้งทรงบํารุงด้วยปัจจัย ๔
เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเป็น พระอินทร์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ นั้นและ
มหาวิหารที่ท้าวเธอทรงสร้างไว้ ถึงพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ดี ก็มีพระภิกษุอาศัยอยู่เป็นอันมาก
ในพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้น พระภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยข้อวัตรเป็นอันดี เช้าขึ้นก็ได้ถือเอาไม้กวาดด้ามยาว
แล้วนึกถึงพระพุทธคุณ แล้วจึงพากันกวาดบริเวณพระเจดีย์ กวาดเอาหยากเยื่อไปรวมเป็นกองไว้ มีพระภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลองค์หนึ่ง เรียกสามเณรองค์หนึ่งว่า
...จงมานี่สามเณรจงหอบเอาหยากเยื่อไปเททิ้งเสีย ...
สามเณรนั้นก็เฉยอยู่ เหมือนไม่ได้ยินพระภิกษุองค์นั้นเรียกสามเณรองค์นั้นถึง ๓ ครั้ง เห็นสามเณรนั่งนิ่งเฉยอยู่
เหมือนไม่ได้ยิน ก็คิดว่า สามเณรองค์นี้หัวดื้อ จึงไปตีด้วยด้ามไม้กวาดสามเณร ก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แล้วหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งด้วยความกลัว
เมื่อหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งนั้นได้ปรารถนาว่า
... ด้วยผลบุญที่เราหอบหยากเยื่อมาทิ้งนี้หากเรายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด เราจะเกิดในภพใด ๆ ก็ตาม
ขอให้เรามีเดชเหมือนกับดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันฉะนั้นเถิด...
สามเณรตั้งความปรารถนาดังนี้แล้ว ก็เดินไปอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา ดําผุดดําว่ายเล่นตามสบายใจเมื่อสบายใจแล้วก็
ได้เห็นละลอกคลื่นในแม่น้ำนี้มากมายนักหนา ก็ยินดีปรีดาจะใคร่มีปัญญาเฉลียดฉลาดไม่รู้สุดรู้สิ้น
ดุจลูกคลื่นในแม่น้ำนั้นและได้คิดว่าอาจารย์ได้ใช้ให้เราหอบเอาหยากเยื่อมาทิ้งนี้ ไม่ใช่เป็นกรรมของเรา ทั้งไม่ใช่เป็นกรรมของอาจารย์
แต่เป็นการอนุเคราะห์เราให้ได้บุญเท่านั้น ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงปรารถนาขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
ข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพานตราบใด ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใดๆ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไม่รู้จักสิ้นสุดเหมือนกับลูกคลื่นในแม่น้ำคงคานี้เถิด
ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์นั้น เมื่อเอาไม้กวาดไปเก็บไว้ที่โรงเก็บไม้กวาดแล้ว ก็ลงไปที่ท่าน้ำคงคาเพื่อจะอาบน้ำก็ได้ยินเสียงสามเณรตั้งความปรารถนา
จึงคิดว่าความปรารถนาของสามเณรนี้เป็นความปรารถนาใหญ่ จะสําเร็จได้เพราะอาศัยพระพุทธคุณ
คิดดังนี้แล้ว จึงหัวเราะขึ้นด้วยความดีใจว่า สามเณรนี้ถึงเป็นผู้ที่เราใช้ก็ยังปรารถนาอย่างนี้ ความปรารถนาของสามเณรนี้ จักสําเร็จเป็นแน่แท้
คิดดังนี้แล้ว จึงตั้งความปรารถนาว่า
ข้าพเจ้ายังไม่สําเร็จนิพพานตราบใด ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาหาที่สุดมิได้ เหมือนกับฝั่งแม่น้ำคงคานี้ ให้เป็นผู้สามารถแก้ไขปัญหาปฏิภาณทั้งปวง
ที่สามเณรไต่ถามได้สิ้น
ให้สามารถชี้แจงเหตุผลต้นปลายได้เหมือนกับบุรุษที่ม้วนกลุ่มด้าย สางด้ายอันยุ่ง ให้รู้ได้ว่า ข้างต้นข้างปลายฉะนั้น ด้วยอํานาจบุญที่ข้าพเจ้าได้กวาดวัด
และใช้สามเณรให้นําหยากเยื่อมาเททิ้งนี้เถิด
เมื่อบุคคลทั้งสองนั้น ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทพยดาและมนุษย์ ก็ล่วงมาถึง ๑ พุทธันดร พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย
ผู้เป็นที่พึ่งของโลกได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า
ความเกิดขึ้นแห่งพระเถระทั้งหลาย มี พระโมคคลีบุตรติสสะเถระ และ พระอุปคุตตเถระ เป็นต้น จักปรากฏฉันใด
ความเกิดขึ้นแห่งบุคคลทั้งสองนั้น ก็จะปรากฏฉันนั้น เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ ๕๐๐ ปีแล้ว บุคคลทั้งสองนั้นจักเกิดขึ้น ธรรมวินัยอันใด
อันเป็นของสุขุมที่เราได้แสดงไว้ ธรรมวินัยอันนั้น บุคคลทั้งสองนั้นจักแก้ไขให้หมดฟั่นเฝือ ด้วยการไต่ถามปัญหากันดังนี้
ต่อมาสามเณรนั้น ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนคร อันมีในชมพูทวีป พระเจ้ามิลินท์นั้นเป็นบัณฑิต
เป็นผู้ฉลาดมีความคิดดี สามารถรู้เหตุการณ์อันเป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ เป็นผู้ใคร่ครวญในเหตุการณ์ถี่ถ้วนทุกประการ เป็นผู้ได้ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ
ไว้เป็นอันมากถึง ๑๘ ศาสตร์ด้วยกัน รวมเป็น ๑๙ กับทั้งพุทธศาสตร์
ศิลปะศาสตร์ ๑๘ ประการคือ
๑. รู้จักภาษาสัตว์ มีเสียงนกร้องเป็นต้นว่าร้ายดีประการใดได้สิ้น
๒. รู้จักกําเนิดเขาและไม้เป็นต้นว่าชื่อนั้นๆ
๓. คัมภีร์เลข
๔. คัมภีร์ช่าง
๕. คัมภีร์นิติศาสตร์ รู้ที่จะเป็นครูสั่งสอนท้าวพระยาทั้งปวง
๖. คัมภีร์พาณิชยศาสตร์ รู้ที่จะเลี้ยงฝูงชนให้เป็นสิริมงคล
๗. พลศาสตร์ รู้นับนักขัตฤกษ์ รู้ตําราดวงดาว
๘. คันธัพพศาสตร์ รู้เพลงขับร้องและดนตรี
๙. เวชชศาสตร์ รู้คัมภีร์แพทย์
๑๐. ธนูศาสตร์ รู้ศิลปะการยิงธนู
๑๑. ประวัติศาสตร์
๑๒. ดาราศาสตร์ รู้วิธีทํานายดวงชะตาของคน
๑๓. มายาศาสตร์ รู้ว่านี่เป็นแก้ว นี่มิใช่แก้ว เป็นต้น
๑๔. เหตุศาสตร์ ผลศาสตร์รู้จักเหตุรู้จักผลจะบังเกิด
๑๕. ภูมิศาสตร์ รู้จักที่จะเลี้ยงโคกระบือ รู้การที่จะหว่านพืชลงในนาไร่ให้เกิดผล
๑๖. ยุทธศาสตร์ รู้คัมภีร์พิชัยสงคราม
๑๗. ลัทธิศาสตร์ รู้คัมภีร์โลกโวหาร
๑๘. ฉันทศาสตร์ รู้จักคัมภีร์ผูกบทกลอนกาพย์โคลง
พระเจ้ามิลินท์นั้น มีถ้อยคําหาผู้ต่อสู้ได้ยาก ปรากฏยิ่งกว่าพวกเดียรถีย์ทั้งปวงไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา ทั้งประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ คือ
๑. มีเรี่ยวแรงมาก
๒. มีปัญญามาก
๓. มีพระราชทรัพย์มาก
อยู่มาคราวหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จออกจากพระนครด้วยพลนิกรเป็นอันมาก หยุดพักนอกพระนครแล้ว ตรัสแก่พวกอํามาตย์ว่า
เวลายังเหลืออยู่มาก เราจะทําอะไรดี เราจะกลับเข้าเมืองก็ยังวันอยู่ สมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ที่ยืนยันว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ใดหนอ อาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้
เมื่อตรัสอย่างนี้ พวกโยนกข้าหลวงทั้ง ๕๐๐ก็กราบทูลขึ้นว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า บัณฑิตที่จะพอสนทนากับพระองค์ได้นั้นมีอยู่ คือครูทั้ง ๖ อันได้แก่ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล
นิคัณฐนาฏบุตร สญชัยเวฬัฏฐบุตร อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ พระเจ้าข้า
ครูทั้ง ๖ นั้น เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียงปรากฏ มียศบริวารมีผู้คนนับถือมาก ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปไต่ถามปัญหา
ต่อคณาจารย์เหล่านั้นเถิดคณาจารย์เหล่านั้นจะตัดความสงสัยของพระองค์ได้ พระเจ้าข้า
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาครูทั้ง ๖
ลําดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ก็ห้อมล้อมด้วยข้าหลวงโยนกทั้ง ๕๐๐ ขึ้นทรงราชรถเสด็จไปหา ปูรณกัสสป
ทรงปราศรัยแล้วประทับนั่งลงตรัสถามว่า
ท่านกัสสป...อะไรรักษาโลกไว้ ?
ปูรณกัสสปตอบว่า ขอถวายพระพรแผ่นดินรักษาโลกไว้
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า ถ้าแผ่นดินรักษาโลกไว้ เหตุไรผู้ทําบาปจึงล่วงเลยแผ่นดินลงไปถึงอเวจีนรกล่ะ?
เมื่อตรัสอย่างนี้ ปูรณกัสสปก็ไม่อาจโต้ตอบได้ ได้แต่นั่งนิ่งกลืนน้ำลายอยู่เท่านั้น
ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงทรงดําริว่าชมพูทวีปว่างเปล่าเสียแล้ว ชมพูทวีปไม่มีประชน์เสียแล้ว เพราะไม่มี
สมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะ คณาจารย์ ผู้อวดอ้างตนว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสามารถตัดความสงสัยของเราได้ ทรงดําริอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปหา
มักขลิโคสาล ตรัสถามว่า
ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือ?
มักขลิโคสาลตอบว่า
ขอถวายพระพร ไม่มี..คือพวกใดเคยเป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ เวศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออยู่ในโลกนี้เวลาไปถึงโลกหน้าก็จะเกิดเป็นกษัตริย์ พราหมณ์เ
วศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออีก การทําบุญไม่มีประโยชน์อะไร
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสอีกว่า
ถ้าอย่างนั้น พวกใดที่มีมือด้วนเท้าด้วนในโลกนี้ พวกนั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกน่ะซี
มักขลิโคสาลตอบว่า อย่างนั้น มหาบพิตร คือผู้ใดได้รับโทษถูกตัดมือเท้าในโลกนี้ เวลาผู้นั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะถูกตัดมือตัดเท้าอีก
พระเจ้ามิลินทร์ตรัสว่า โยมไม่เชื่อ
มักขลิโคสาลก็นิ่ง พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า
นี่แน่ะ มักขลิโคสาล ข้าพเจ้าถามท่านว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือ ท่านก็แก้เสียอย่างนี้ ท่านเป็นคนโง่เขลาพวกใดทํากรรมที่จะให้เกิดไว้อย่างใด
ๆ พวกนั้นก็ต้องไปเกิดด้วยกรรมอย่างนั้น ๆ
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสแก่พวกอํามาตย์ขึ้นว่า
นี่แน่ะ ท่านทั้งหลาย เวลานี้ก็ค่ำแล้วเราจะไปหาสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใด ๆ อีก ผู้ใดจะอาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้
ตรัสอย่างนี้หลายหน แต่พวกอํามาตย์ก็พากันนิ่งอยู่ ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไร ท้าวเธอก็เสด็จกลับเข้าสู่พระนคร
ต่อนั้นไปพระองค์ก็ได้ไปเที่ยวไต่ถามสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ ในที่นั้น ๆ ไม่เลือกหน้า
พวกใดแก้ปัญหาของท้าวเธอไม่ได้พวกนั้นก็หนี ไปพวกที่ไม่หนีก็สู้ทนนิ่งอยู่ แต่โดยมากได้พากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์
เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนกับว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง ๑๒ ปี
พระอรหันต์ขึ้นไปเชิญมหาเสนะเทพบุตร
ในคราวนั้น มีพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ อาศัยอยู่ที่ ถ้ำรักขิตเลณะ ในภูเขาหิมพานต์ ได้ทราบประวัติการณ์ของพระเจ้ามิลินท์แล้ว
จึงได้ขึ้นไปประชุมกันที่ยอดภูเขายุคันธร ถามกันขึ้นว่า
มีพระภิกษุองค์ใด สามารถโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ ตัดความสงสัยของพระองค์ได้
ถามกันอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง พระอรหันต์ทั้ง ๑๐๐โกฏิก็นิ่งอยู่ ลําดับนั้น พระอัสสคุตตะ ผู้เป็นหัวหน้าจึงกล่าวขึ้นว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลาย มหาเสนะเทพบุตรที่อยู่ในเกตุมดีวิมาน ทางด้านตะวันออกแห่งเวชยันตวิมานของพระอินทร์มีอยู่
มหาเสนะเทพบุตร นั้นแหละ อาจโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ได้อาจตัดความสงสัยของพระองค์ได้
พระอรหันต์ทั้ง ๑๐๐ โกฏิ จึงได้พร้อมกันขึ้นไปหาพระอินทร์ที่ดาวดึงสเทวโลก พระอินทร์จึงเสด็จออกมาต้อนรับกราบไหว้แล้วถามว่า
ข้าแต่ท่านทั้งหลาย มีพระภิกษุสงฆ์มาเป็นอันมาก โยมนี้เป็นเหมือนกับคนวัดสําหรับรับใช้ พระภิกษุสงฆ์จะให้โยมทําอะไร ขอได้โปรดบอกเถิด
พระอัสสคุตต์จึงถวายพระพรว่า
เวลานี้มหาราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มิลินท์ อยู่ในชมพูทวีป เป็นผู้ได้เรียนศาสตร์ต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ฉลาดเจรจา
ไม่มีใครสู้ได้ ได้เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์ ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์ ขอถวายพระพร
พระอินทร์จึงตรัสว่า
.... อ้อ...พระราชาองค์นั้น ได้จุติไปจากดาวดึงส์นี้เอง
.... อย่างนั้นหรือ..มหาบพิตร ?
.... อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่จะโต้ตอบกับพระเจ้ามิลินท์ได้นั้น มีแต่มหาเสนะเทพบุตรเท่านั้น โยมจะไปอ้อนวอนเขาให้ลงไปเกิดในมนุษยโลก
ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็พาพระภิกษุสงฆ์เสด็จไปที่เกตุมดีวิมาน ทรงเข้าไปสวมกอดมหาเสนะเทพบุตรแล้ว จึงตรัสขึ้นว่า นี่แน่ะ...มหาเสนะผู้หาทุกข์มิได้
บัดนี้พระภิกษุสงฆ์ขอให้เจ้าลงไปเกิดในมนุษยโลก
มหาเสนะเทพบุตรจึงกราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการลงไปเกิดในมนุษยโลก เพราะมนุษยโลกเดือดร้อนด้วยการงานมาก ข้าพระองค์จะขึ้นไปเกิดในเทวโลกชั้นสูง ๆ ต่อขึ้นไป
แล้วจะเข้านิพพานจากเทวโลกชั้นสูงนั้น พระเจ้าข้า
พระอัสสคุตตเถระจึงกล่าวขึ้นว่า
นี่แน่ะ ท่านผู้หาทุกข์มิได้ พวกเราได้พิจารณาดูตลอดมนุษยโลกเทวโลกแล้วไม่เห็นมีผู้อื่นนอกจากท่าน ที่จะสามารถทําลายถ้อยคําของพระเจ้ามิลินท์ได้
สามารถเชิดชูพุทธศาสนาไว้ได้ พระภิกษุสงฆ์จึงได้ขึ้นมาอ้อนวอนท่าน ขอท่านจงลงไปเกิดในมนุษยโลก ยกย่องพระพุทธศาสนาไว้เถิด
เมื่อพระภิกษุสงฆ์อ้อนวอนอย่างนี้แล้ว มหาเสนะเทพบุตรจึงกราบทูลพระอินทร์ว่า
ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์จงประทานพรแก่ข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์ทําลายล้างถ้อยคําของพระเจ้ามิลินท์ได้ สามารถเชิดชูพระพุทธศาสนาไว้ได้เถิด พระเจ้าข้า
ครั้นกราบทูลดังนี้แล้วก็ร่าเริงดีใจ มีใจฟูขึ้น ถวายปฏิญญาแก่พระภิกษุสงฆ์ว่าข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในมนุษยโลก
แล้วก็รับพรจากพระอินทร์ ลําดับนั้น พระภิกษุสงฆ์ก็ถวายพระพรลา กลับลงมาสู่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาหิมพานต์อีก
พระโรหนเถระได้รับมอบธุระ
เพื่อให้นาคเสนกุมารได้บรรพชา
เมื่อมาถึงแล้วพระอัสสคุตตเถระจึงถามพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลายภิกษุที่ไม่ได้มาในที่ประชุมสงฆ์นี้มีอยู่หรือ ?
มีพระภิกษุองค์หนึ่งตอบว่า มีอยู่ขอรับ คือพระโรหนเถระท่านไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ได้ ๗
วันแล้วพวกเราควรจะใช้ทูตไปหา
พอดีในขณะนั้น พระโรหนเถระ ก็ออกจากนิโรธสมาบัติ นึกรู้ความประสงค์พระอรหันต์ทั้งหลายว่าต้องการพบเรา
จึงได้หายวับจาก ภูเขาหิมพานต์ มาปรากฏที่ ถ้ำรักขิตเลณะ ต่อหน้าพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ
ครั้งนั้นพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิจึงกล่าวขึ้นว่า
นี่แน่ะ ท่านโรหนะ เมื่อพระศาสนากําลังถูกกระทบกระเทือน เหตุไรท่านจึงไม่รู้จักช่วยเหลือไม่เหลียวแลกิจเหมือนสงฆ์ ?
พระโรหนะจึงตอบว่า เป็นเพราะข้าพเจ้ามิได้กําหนดจิตไว้
พระสงฆ์จึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะลงทัณฑกรรทท่าน เพราะเหตุที่ท่านไม่ได้ใส่ใจในกิจของพระศาสนา
พระโรหนะจึงถามอีกว่า จะลงทัณฑกรรมข้าพเจ้าอย่างไร ?
พระสงฆ์ตอบว่า
นี่แน่ะ ท่านโรหนะ มีบ้านพราหมณ์ตำบลหนึ่งชื่อว่าชังคละ ข้างป่าหิมพานต์ มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโสนุตระ
อยู่ในบ้านนั้น เขามีบุตรชื่อว่านาคเสนกุมาร ท่านงพยายามไปบิณบาตรที่ตระกูลนั้น ให้กุมารออกบรรพชาให้ได้
เมื่อนาคเสนกุมารได้บรรพชาแล้วท่านจึงจะพ้นจากทัณฑณกรรมนั้น..."
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป วันที่ 21 มี.ค. 51 )))))))))
webmaster - 20/3/08 at 22:21
(Update 21 มี.ค. 51)
ตอนที่ ๒
มหาเสนะเทพบุตรจุติจากเทวโลก
...ฝ่ายมหาเสนะเทพบุตร ก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาถือกําเนิดในครรภ์ของนางพราหมณี ในขณะนั้นก็มีอัศจรรย์ ๓ ประการปรากฏขึ้น คือ
1. บรรดาอาวุธทั้งหลายได้รุ่งเรืองเป็นแสงสว่าง
2. ฝนตกใหญ่นอกฤดูกาล
3. เมฆใหญ่ตั้งขึ้น
( ตอนนี้ใน ฉบับพิสดาร กล่าวว่า อัศจรรย์ทั้งนี้ด้วยบารมีของมหาเสนะเทพบุตรที่ได้กระทํามาบอกเหตุที่เกิดมานี้ว่า
จะได้ทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไปถ้วน ๕๐๐๐ พระวัสสา )
จาก ฉบับ ส. ธรรมภักดี ได้บรรยายต่อไปว่า ลําดับนั้น พระโรหนเถระก็ไปเที่ยวบิณฑบาตที่ตระกูลนั้น เริ่มแต่วันนั้นไปตลอด ๗ ปี กับ ๑๐
เดือน แต่ไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่การยกมือไหว้หรือการแสดงความเคารพก็ไม่ได้ ได้แต่การด่าว่าเท่านั้น
เมื่อล่วงมาจาก ๗ ปีนั้น จึงได้เพียงคําไต่ถามเท่านั้นคืออยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาจากดูการงานนอกบ้าน
ก็ได้พบพระเถระเดินสวนมา จึงถามว่า
นี่แน่ะบรรพชิตท่านได้ไปที่บ้านเรือนของเราหรือ?
พระเถระตอบว่า ได้ไป
พราหมณ์จึงถามต่อไปว่า ท่านได้อะไรบ้างหรือ?
ตอบว่า ได้
พราหมณ์นั้นก็นึกโกรธ จึงรีบไปถามพวกบ้านว่า พวกท่านได้ให้อะไรแก่บรรพชิตนั้นหรือ?
เมื่อพวกบ้านตอบว่า ไม่ได้ให้อะไรเลย พราหมณ์ก็นิ่งอยู่ เวลารุ่งขึ้นวันที่สองพราหมณ์นั้นจึงไปยืนอยู่ที่ประตูบ้านด้วยคิดว่าวันนี้แหละบรรพชิตนั้นมา
เราจักปรับโทษมุสาวาทให้ได้ พอพระเถระไปถึง พราหมณ์นั้นก็กล่าวขึ้นว่า
นี่แน่ะ บรรพชิต เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้วัตถุสิ่งใดไปจากบ้านเรือนของเราเลย ทําไมจึงบอกว่าได้ การกล่าวมุสาวาทเช่นนี้
สมควรแก่ท่านแล้วหรือ?
พระโรหนะจึงตอบว่า
นี่แน่ะ พราหมณ์ เราเข้ามาสู่บ้านเรือนของท่านตลอด ๗ ปีกับ ๑๐ เดือนแล้วยังไม่เคยได้อะไรเลย พึ่งได้คําถามของท่านเมื่อวานนี้เพียงคําเดียวเท่านั้น
เราจึงตอบว่าได้
เมื่อพราหมณ์ได้ฟังดังนี้ก็ดีใจ จึงคิดว่า พระองค์นี้เพียงแต่ได้คําปราศรัยคําเดียวเท่านั้น ก็ยังบอกในที่ประชุมชนว่าได้
ถ้าได้ลาภอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะไม่สรรเสริญหรือ นี่เพียงแต่ได้คําถามคําเดียวเท่านั้นก็ยังสรรเสริญ
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงสั่งพวกบ้านว่าพวกท่านจงเอาข้าวของเราถวายบรรพชิตนี้วันละ ๑ ทัพพีทุกวันไป ต่อนั้นพราหมณ์ก็เลื่อมใสต่ออิริยาบถ
และความสงบเสงี่ยมของพระเถระยิ่งขึ้นเป็นลําดับไปจึงขอนิมนต์ว่า
ขอท่านจงมาฉันอาหารประจํา ที่บ้านเรือนของข้าพเจ้าทุกเช้าไป
พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่พราหมณ์ก็ได้ถวายอาหารคาวหวาน อันเป็นส่วนของตนแก่พระเถระทุกเช้าไป พระเถระฉันแล้วเวลาจะกลับ
ก็กล่าวพระพุทธพจน์วันละเล็กละน้อยทุกวันไป
คราวนี้จะย้อนกล่าวถึงนางพราหมณีนั้นอีก กล่าวคือ นางพราหมณีนั้นล่วงมา ๑๐ เดือน ก็คลอดบุตรให้ชื่อว่า นาคเสน
นาคเสนกุมารศึกษาไตรเพท
เมื่อนาคเสนกุมารเติบโตขึ้นอายุได้ ๗ ขวบ มารดาบิดาก็ให้ศึกษาไตรเพททั้ง ๓ กับศิลปะศาสตร์อื่น ๆ สําหรับตระกูลพราหมณ์ร่ำรียนสืบ ๆ กันมา
นาคเสนกุมารรับว่าจะเรียนเอาให้ได้
ส่วนว่าโสนุตตรพราหมณ์ผู้เป็นบิดา จึงให้เชิญพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์มาที่เรือนแล้ว ก็ให้ทรัพย์ประมาณ ๑ พันกหาปณะเป็นค่าจ้าง
ฝ่ายนาคเสนกุมารฟังพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์บอกวิชาเพียงครั้งเดียว ก็สามารถจําได้จบครบทุกประการ จึงได้มีวาจาถามว่า
ข้าแต่บิดา คําสอนสําหรับสกุลพราหมณ์สิ้นสุดเท่านี้หรือ.. หรือว่ายังมีอีกประการใดเล่า?
พราหมณ์ผู้เป็นบิดาจึงตอบว่า
นี่แน่ะนาคเสน คําสอนสําหรับพราหมณ์มาแต่ก่อนเก่านั้น ก็จบเพียงแค่นี้
เมื่อนาคเสนร่ำรียนศึกษาจากสํานักพราหมณาจารย์แล้ว ก็ให้ทรัพย์ค่าจ้างบอกวิชาแล้ว ได้รับเอาซึ่งกําใบลานที่อาจารย์ให้เป็นกําใบลานหนังสือพราหมณ์
สําหรับที่จะได้ดูและอ่านการไตรเพ และศิลปะศาสตร์ทุกสิ่งอัน
อยู่มาวันหนึ่ง นาคเสนกุมารจึงลงจากปราสาท ไปยืนพิจารณาเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดแห่งไตรเพททั้ง ๓ กับศิลปศาสตร์ทั้งปวง
อยู่ที่ศาลาข้างประตูทุกวันไปจนตลอดถึง ๓ วันเมื่อไม่เห็นมีแก่นสารอันใด จึงเกิดความไม่สบายใจว่าสิ่งเหล่านี้เปล่าทั้งนั้นไม่มีสาระประโยชน์อันใดเลย
พระโรหนะไปนํานาคเสนกุมาร เพื่อจะให้บรรพชา
ในคราวนั้น พระโรหนเถระ
นั่งอยู่ที่วัตตนิยเสนาสนะวิหาร ได้ทราบความคิดของนาคเสนกุมาร จึงหายวับไปปรากฏขึ้นข้างหน้านาคเสนกุมารทันที พอนาคเสนกุมารได้แลเห็น
ก็เกิดความร่าเริงดีใจว่าบรรพชิตองค์นี้คงรู้จักสิ่งที่เป็นสาระเป็นแน่จึงถามขึ้นว่า
ผู้มีศีรษะโล้นนุ่งเหลืองเช่นนี้เป็นอะไร?
พระเถระตอบว่า เป็นบรรพชิต
เหตุไรจึงได้ชื่อว่าบรรพชิต?
เหตุว่าเว้นเสียซึ่งบาป เว้นเสียซึ่งโทษจึงได้ชื่อว่าบรรพชิต
ท่านรู้จักศิลปศาสตร์บ้างหรือ?
รู้จัก
ศิลปศาสตร์อันใดที่สูงสุดในโลกมีอยู่ท่านจะบอกศิลปศาสตร์อันนั้นให้แก่กระผมได้หรือ?
อาจบอกได้..พ่อหนู!
เหตุใดผมและหนวดของท่านจึงไม่เหมือนคนอื่น?
นี่แน่ะ พ่อหนู บรรพชิตทั้งหลายเห็นความกังวล ๑๖ ประการ จึงได้โกนผมโกนหนวดเสีย
ความกังวล ๑๖ ประการนั้นคือ
1. กังวลด้วยอาภรณ์คือเครื่องประดับ
2. กังวลด้วยช่างทอง
3. กังวลด้วยการขัดสี
4. กังวลด้วยการเก็บเครื่องประดับ
5. กังวลด้วยการฟอกผมสระผม
6. กังวลด้วยดอกไม้
7. กังวลด้วยของหอม
8. กังวลด้วยเครื่องอบ
9. กังวลด้วยสมอ
10. กังวลด้วยมะขามป้อม
11. กังวลด้วยดินเหนียว ( สมอ มะขาม ป้อม ดิน ทั้ง ๓ ประการนี้ ทําเป็นยาสระผม )
12. กังวลด้วยเข็มปักผม
13. กังวลด้วยผ้าผูกผม
14. กังวลด้วยหวี
15. กังวลด้วยช่างตัดผม
16. กังวลด้วยการอาบน้ำชําระผมรวมเป็น ๑๖ ประการด้วยกัน
ในเส้นผมแต่ละเส้นย่อมมีหมู่หนอนอาศัยอยู่ที่รากผม ทําให้รากผมเศร้าหมองคนทั้งหลายได้เห็นผมเศร้าหมอง ก็เศร้าใจเสียใจ ไม่สบายใจ
เมื่อมัวแต่ยุ่งอยู่กับผมด้วยเครื่องกังวล ๑๖ อย่างนี้ ศิลปะศาสตร์ที่สุขุมยิ่งก็เสียไป เพราะฉะนั้นแหละ บรรพชิตทั้งหลายจึงต้องโกนผมโกนหนวดทิ้งเสีย
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อนี้น่าอัศจรรย์เพราะเมื่อคนทั้งหลายกังวลอยู่กับเครื่องกังวล ๑๖ ประการอย่างนี้
ศิลปะศาสตร์ที่สุขุมยิ่ง ต้องไม่ปรากฏเป็นแน่ ข้อนี้กระผมเชื่อ แต่ขอถามอีกทีว่า เหตุไรผ้านุ่งผ้าห่มของท่านจึงไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ?
อ๋อ..การที่ผ้านุ่งผ้าห่มของเราไม่เหมือนคนอื่น ๆ นั้นเพราะว่าผ้านุ่งผ้าห่มอย่างพวกคฤหัสถ์ทําให้เกิดความกําหนัดยินดีใน สังขารร่างกายได้ง่าย
ทําให้มีภัยอันตรายบังเกิดขึ้น เครื่องนุ่งห่มของเราจึงไม่เหมือนของคนอื่น ๆ
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ท่านอาจสอนศิลปะศาสตร์ที่ละเอียดยิ่ง ให้แก่กระผมได้หรือ?
ได้...พ่อหนู!
ถ้าได้ขอได้โปรดสอนให้เดี๋ยวนี้เถิด
เออ...พ่อหนู เวลานี้เรายังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในละแวกบ้าน ยังสอนให้ไม่ได้หรอก
ลําดับนั้น นาคเสนกุมารจึงรับเอาบาตรของพระโรหนเถระ แล้วนิมนต์ให้ขึ้นไปฉันที่เรือน เมื่อฉันแล้วจึงกล่าวว่า
ขอท่านจงบอกศิลปะศาสตร์ที่ละเอียดให้แก่กระผมเดี๋ยวนี้เถิด
โอ....พ่อหนู! ตราบใดที่พ่อหนูยังมีกังวลอยู่ ตราบนั้นเรายังสอนให้ไม่ได้ ต่อเมื่อพ่อหนูขออนุญาตมารดาบิดาแล้ว ถือเพศอย่างเรา
คือโกนผมนุ่งเหลืองห่มเหลืองเหมือนเรา เราจึงจะสอนให้ได้"
นาคเสนกุมารจึงไปขออนุญาตต่อมารดาบิดา เมื่อมารดาบิดาไม่อนุญาต จึงนอนอดอาหาร ต่อเมื่อมารดาบิดาอนุญาต จึงบอกพระเถระว่า
กระผมจักถือเพศอย่างท่าน ขอท่านจงสอนศิลปะศาสตร์ที่ละเอียดให้แก่กระผม
พระโรหนเถระจึงพานาคเสนกุมารกลับไปที่วัตตนิยเสนาสนะวิหาร ค้างอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงพาไปหาพระอรหันต์ ๑๐๐โกฏิ ที่อยู่ที่ถ้ำรักขิตเลณะ
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป วันที่ 28 มี.ค. 51 )))))))))
Update 28 มีนาคม 2551
นาคเสนกุมารบรรพชา
ในคราวนั้น พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ได้ให้นาคเสนกุมารบรรพชาอยู่ที่ถ้ำรักขิตเลณะ นาคเสนกุมารบรรพชาแล้ว จึงกล่าวต่อพระโรหนเถระว่า
กระผมได้ถือเพศเหมือนท่านแล้ว ขอท่านจงสอนศิลปะศาสตร์ที่ละเอียดยิ่งให้กระผมเถิด
พระโรหนเถระจึงคิดว่า เราจะสอนอะไรก่อนดีหนอ นาคเสนนี้มีปัญญาดี เราควรจะสอนอภิธรรมปิฎกก่อน
ครั้นคิดแล้วจึงบอกว่าม นาคเสน...เธอจงตั้งใจเรียนศิลปะศาสตร์ที่ละเอียดยิ่งของเรา
กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เริ่มแสดงอภิธรรมทั้ง ๗ พระคัมภีร์ คือ
คัมภีร์อภิธรรมสังคิณี ว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา เป็นต้น และ คัมภีร์วิภังค์ ธาตุกถา
ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมกะ ปัฏฐาน เป็นลําดับไป
นาคเสนสามเณรก็สามารถจําได้สิ้นเชิง พอมาถึงตอนนี้ ฉบับพิสดาร พรรณนาว่า ในขณะที่ฟังเพียงครั้งเดียว
จึงได้กล่าวว่าขอได้โปรดบอกเพียงเท่านี้ก่อนเถิด เมื่อกระผมท่องจําได้แม่นยําแล้ว จึงค่อยบอกให้มากกว่านี้อีก
ต่อมา "นาคเสนสามเณร" ก็ได้นําความรู้ที่เรียนมาพิจารณา เช่น ในบทว่า กุสลา ธัมมา ได้แก่อะไร อกุสลา ธัมมา
ได้แก่อะไร อัพยากตา ธัมมา ได้แก่อะไร ดังนี้เป็นต้น
ท่านได้พิจารณาเพียงครั้งเดียว ก็คิดเห็นเป็นกรรมฐานว่า มีความหมายอย่างนั้น ๆ ด้วยปัญญาบารมีที่ได้บําเพ็ญไว้
มาแต่ชาติก่อนโน้น
เมื่อคิดพิจารณาธรรมะอย่างถ้วนถี่แล้ว นาคเสนสามเณร จึงได้เข้าไปกราบนมัสการพระอรหันต์ทั้งหลาย พร้อมกับ
กล่าวว่า
กระผมจะขอแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ตามที่ได้เรียนมาจากพระอุปัชฌาย์ โดยขออธิบายความหมายให้ขยาย
ออกไปขอรับ
พระอรหันต์ทั้งหลาย ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงอนุญาตให้สามเณรแสดงได้ตามความประสงค์ สามเณรได้วิสัชนาอยู่
ประมาณ ๗ เดือนจึงจบ ในขณะนั้น เหตุอัศจรรย์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นคือแผ่นดินใหญ่ก็เกิดหวั่นไหว เทพยดานางฟ้าทั้งหลาย
ก็แสดงความชื่นชมยินดี พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ
ทุกท่านต่างก็ร้องซ้องสาธุการ สรรเสริญปัญญาบารมีของสามเณร ได้โปรยปรายผงจันทน์ทิพย์ และ ดอกไม้ทิพย์
บ้างก็เลื่อนลอย บ้างก็ปรอย ๆ เป็นฝอยฝนตกลงมา หอมฟุ้งขจรขจายไปทั่วบริเวณนั้น
พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ก็ให้สาธุการแสดงความชื่นชมยินดีว่า แต่นี้ไปศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตร จะรุ่งเรือง
วัฒนาถาวรตลอดไป
นาคเสนอุปสมบท
เมื่ออยู่นานมาจนกระทั่ง นาคเสนสามเณร มีอายุครบอุปสมบทแล้ว พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ก็ให้อุปสมบทเป็น
พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา
ในเวลาเช้า พระนาคเสนครองบาตรจีวร จะเข้าไปบิณฑบาตก็นึกขึ้นว่า พระอุปัชฌาย์ของเราเห็นจะเปล่าจาก
คุณธรรม อื่น ๆ คงรู้แต่อภิธรรมเท่านี้ อย่างอื่นคงไม่รู้
ขณะนั้น พระโรหนเถระ จึงออกมากล่าวขี้นว่า
นี่แน่ะ นาคเสน การนึกของเธอไม่สมควรเลย เหตุไรเธอจึงนึกดูถูกเราอย่างนี้?
ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอัศจรรย์ใจว่า พระอุปัชฌาย์ของเราเป็นบัณฑิตแท้ เพียงแต่เรานึกในใจก็รู้ เราจักต้องขอโทษ
ครั้นคิดแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า
ขอจงอดโทษให้กระผมด้วยเถิด กระผมจะไม่นึกอย่างนี้ อีกจะไม่ทําอย่างนี้อีก
นาคเสน เรายังอดโทษให้ไม่ได้ ต่อเมื่อเธอทําให้ พระเจ้ามิลินท์ ผู้เสวยราชย์อยู่ในสาคลนครเลื่อมใสได้
ด้วยการแก้ปัญหานั้นแหละ เราจึงจะอดโทษให้
ท่านขอรับ อย่าว่าแต่พระเจ้ามิลินท์เพียงองค์เดียวเลย ต่อให้พระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น เรียงตัวกันมาถามปัญหา
กระผมก็จะทําให้เลื่อมใสได้สิ้น ขอท่านจงได้อดโทษให้กระผมเถิด
เมื่ออ้อนวอนอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่เป็นผล จึงถามว่า
ในพรรษานี้ ท่านจะให้กระผมอยู่ที่สํานักนี้ หรือว่าจะให้กระผมไปอยู่ในสํานักผู้ใดขอรับ?
พระโรหนเถระ จึงบอกว่า
เธอจงไปหา พระอัสสคุตตเถระ ถามถึงความสุขของท่าน และบอกความทุกข์สุขของเราแทนเรา แล้วอยู่ใน
สํานักของท่านเถิด
ลําดับนั้น พระนาคเสนจึงอําลาพระอุปัชฌาย์ ออกเดินทางไปหาพระอัสสคุตตเถระ กราบไหว้แล้วก็ถามถึงทุกข์สุข
ตามคําสั่งของพระอุปัชฌาย์ แล้วขออาศัยอยู่
พระอัสสคุตตเถระ จึงถามว่า
เธอชื่ออะไร?"
กระผมชื่อนาคเสนขอรับ
พระอัสสคุตต์ ใคร่จะลองปัญญาจึงถามว่า
ก็ตัวเราล่ะชื่ออะไร?
พระอุปัชฌาย์ของกระผม รู้จักชื่อของท่านแล้วขอรับ
อุปัชฌาย์ของเธอชื่ออะไร?
อุปัชฌาย์ของกระผมท่านรู้อยู่แล้ว
ดีละ ๆ นาคเสน
พระอัสสคุตต์ จึงรู้ว่าพระภิกษุองค์นี้มีปัญญา จึงคิดว่าพระนาคเสนนี้ปรารถนาจะเรียนพระไตรปิฎก เราได้สําเร็จ
มรรคผลก็จริงแหล่ แต่ทว่าฝ่ายพระไตรปิฎกรู้เป็นเพียงกลาง ๆ ก็อย่าเลยเราจะกระทํากิริยาไม่เจรจาด้วย ทําทีเหมือน
จะลงพรหมทัณฑ์ด้วยภิกษุรูปนี้
ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงได้ลงพรหมทัณฑ์ คือไม่พูดกับพระนาคเสนถึง ๓ เดือน แต่พระนาคเสนก็ปรนนิบัติได้ปัดกวาด
บริเวณและตักน้ำใช้น้ำฉันไว้ถวายตลอดทั้ง ๓ เดือน ส่วนพระอัสสคุตต์จึงกวาดบริเวณด้วยตนเอง และล้างหน้าด้วยน้ำอื่น
พระนาคเสนแสดงธรรมเป็นครั้งแรก
พระอัสสคุตต์นั้นมีอุบาสิกาคนหนึ่ง เป็นผู้อุปัฏฐากมาประมาณ ๓๐ พรรษาแล้ว เมื่อล่วง ๓ เดือนนั้นไปแล้ว
อุบาสิกานั้น จึงออกไปถามพระเถระว่า
ในพรรษานี้มีภิกษุอื่นมาอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบ้างหรือ?
พระเถระก็ตอบว่า
มี คือพระนาคเสน
อุบาสิกานั้นจึงกล่าวว่า
ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าขอพระผู้เป็นเจ้ากับพระนาคเสน จงเข้าไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านของโยมด้วย
พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่
พระอัสสคุตตเถระมิได้สนทนากับพระนาคเสน จนตลอดถึงวันปวารณาออกพรรษา เช้าวันนั้นพระเถระจําต้อง
เจรจากับพระนาคเสน จึงกล่าวว่าอุบาสิกาเขามานิมนต์ให้ไปฉันภัตตาหารเช้าด้วยกัน แล้วจึงพาพระนาคเสนเข้าไป
ฉันที่บ้านของอุบาสิกานั้น ครั้นฉันแล้ว จึงบอกให้พระนาคเสนอนุโมทนา ส่วนตัวท่านเองขอกลับไปก่อน ฝ่ายอุบาสิกานั้น
จึงกล่าวต่อพระนาคเสนว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมแก่แล้ว ขอท่านจงอนุโมทนาด้วยคาถาที่ลึกซึ้งเถิด
พระนาคเสนก็อนุโมทนาด้วยคาถาอันลึกซึ้ง เมื่อจบคําอนุโมทนาลง อุบาสิกานั้นก็ได้สําเร็จพระโสดาปัตติผล
ในขณะนั้น พระอัสสคุตตเถระกําลังนั่งอยู่ที่โรงกลมกว้างใหญ่ในวิหาร ได้ทราบความเป็นไปด้วยทิพจักขุญาณ
จึงให้สาธุการว่า
สาธุ..สาธุ..นาคเสน! ในที่ประชุมชนทั้งสอง คือมนุษย์และเทวดา เธอได้ทําลายให้คลายจาก
ความสงสัยด้วยลูกศรเพียงลูกเดียว กล่าวคือได้แสดงธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ทําให้ผู้รับฟังบรรลุมรรคผล
ได้ สาธุ..เราขอชม สติปัญญาของเธอนี้ประเสริฐนักหนา
ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าเทพยดานางฟ้าอีกหลายพัน ต่างก็ได้ตบมือสาธุการ ผงจันทน์ทิพย์ในสวรรค์ ก็โปรยปราย
ลงมาดังสายฝน ขณะเมื่อจบลงแห่งพระสัทธรรมเทศนานั้น
ฝ่ายพระนาคเสนก็กลับไปกราบพระอัสสคุตตเถระแล้วนั่งอยู่ พระอัสสคุตตเถระจึงกล่าวว่า
ตัวเธอมาอยู่ที่นี่นานแล้ว จงไปขอเรียนพระพุทธวจนะจาก พระธรรมรักขิต ผู้อยู่ในอโศการามด้านทิศอุดร
แห่งเมืองปาตลีบุตรนครเถิด
พระนาคเสนจึงเรียนถามว่า
ท่านขอรับ เมืองปาตลีบุตรอยู่ไกลจากนี้สักเท่าใด?
ไกลจากนี้ประมาณ ๑๐๐ โยชน์
เมืองปาตลีบุตรอยู่ไกลมาก อาหารในระหว่างทางก็จะหาได้ยาก กระผมจะไปได้อย่างไรขอรับ?
เธอจงไปเถิด ในระหว่างทางเธอจะได้อาหารล้วนแต่ข้าวสาลีไม่มีเมล็ดหัก พร้อมทั้งกับข้าวอีกเป็นอันมาก
พระนาคเสนจึงกราบลาพระอัสสคุตต์ แล้วออกเดินทางไปตามลําดับ
◄ll กลับสู่สารบัญ
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป วันที่ 4 เมษายน 51 )))))))))
kittinaja - 4/4/08 at 06:21
Update 4 เมษายน 2551
ตอนที่ ๓
พระนาคเสน ไปศึกษาพระไตรปิฎกกับ พระธรรมรักขิต
...ในคราวนั้น มีเศรษฐีชาวเมืองปาตลีบุตร คนหนึ่ง ได้เดินทางมาค้าขายตามชนบททั้งหลาย ครั้นขายของแล้วก็บรรทุกสินค้าใหญ่น้อย ลงในเกวียน ๕๐๐ เล่ม
ออกเดินทางกลับเมืองปาตลีบุตร ได้เห็นพระนาคเสนออกเดินทางไป จึงให้หยุดเกวียนไว้ แล้วเข้าไปกราบนมัสการไต่ถามว่า
" พระคุณเจ้า จะไปไหนขอรับ ? "
พระนาค เสนตอบว่า
" อาตมา จะไปเมืองปาตลีบุตร "
เศรษฐี ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงกล่าวว่า
" ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ไปกับโยมเถิดจะสะดวกดี "
" ดีแล้ว คหบดี "
ลําดับนั้น เศรษฐีจึงจัดอาหารถวาย เวลาฉันเสร็จแล้ว เศรษฐี จึงถามว่า
" พระคุณเจ้า ชื่ออะไรขอรับ ? "
"อาตมา ชื่อนาคเสน"
" ท่านรู้พระพุทธวจนะหรือ ? "
" อาตมา รู้เฉพาะอภิธรรม "
" เป็นลาภอันดีของโยมแล้ว โยมก็ได้เรียนอภิธรรม ท่านก็รู้อภิธรรม ขอท่านจงแสดงอภิธรรม ให้โยมฟังสักหน่อย"
เมื่อพระนาคเสนแสดงอภิธรรมจบลง เศรษฐีก็ได้สําเร็จพระโสดาบัน แล้วพากันออกเดินทางต่อไป ครั้นไปถึงที่ใกล้เมืองปาตลีบุตร เศรษฐีจึงกล่าวว่า
"ข้าแต่พระนาคเสน ทางนั้นเป็นทางไปสู่อโศการาม พระผู้เป็นเจ้าจงไปทางนี้เถิด แต่ทว่าอย่าเพิ่งไปก่อน ขอนิมนต์ให้พรแก่โยมสักอย่างหนึ่งเถิด"
พระนาคเสน ตอบว่า
" อาตมา เป็นบรรพชิต จักให้พรอะไรได้ "
" พรใดที่สมควรแก่สมณะ ขอท่านจงให้พรนั้น "
" ถ้ากระนั้นโยมจงรับเอาพร คือการกุศล อย่าประมาทลืมตนในการกุศล พรอันนี้มีผลโดยสุจริต "
ขณะนั้นเศรษฐีจึงถวายผ้ากัมพล พร้อมกับบอกว่า
" ขอท่านจงกรุณารับผ้ากัมพลอันยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ของโยมนั้นไปนุ่งห่มเถิด "
พระนาคเสนจึงรับเอาผ้านั้นไว้ ส่วนว่าเศรษฐีถวายนมัสการแล้ว จึงกราบลามาสู่ปาตลีบุตรนคร
ส่วนพระนาคเสนก็ออกเดินทางไปสู่สํานัก พระธรรมรักขิต ที่อโศการาม กราบไหว้แล้วจึงเรียนว่า
" ขอท่านได้โปรดสอนพระพุทธวจนะ ให้กระผมด้วยเถิดขอรับ "
ศึกษาร่วมกับภิกษุชาวลังกา
ในคราวนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระติสสทัตตะ ได้เรียนพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ในเมืองลังกาจบแล้ว
ปรารถนาจะเรียนพระพุทธวจนะอันเป็นภาษามคธ จึงโดยสารสําเภามาสู่สํานักพระธรรมรักขิตนี้ เมื่อกราบไหว้แล้วจึง
กล่าวว่า
" กระผมมาจากที่ไกล ขอท่านจง บอกพระพุทธวจนะให้แก่กระผมด้วยเถิด "
ลําดับนั้น พระธรรมรักขิตจึงบอกพระนาคเสนว่า
" เธอกับพระติสสทัตตะควรเรียนพระพุทธวจนะด้วยกัน จะได้เป็นเพื่อนสาธยายด้วยกัน อย่าร้อนใจไปเลย "
พระนาคเสน จึงกล่าวว่า
" กระผมมิอาจที่จะเรียนพระพุทธวจนะ พร้อมกันด้วยคําภาษาสิงหลได้ ด้วยพระติสสทัตตะนี้เจรจาเป็นภาษาสิงหล"
เป็นคําถามว่า เหตุไฉนเมื่อพระอาจารย์ว่าจะให้พระติสสทัตตะกับพระนาคเสน เรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน
พระนาคเสนนั้นว่าไม่เรียนพร้อมกัน ด้วยพระติสสทัตตะกล่าวคําภาษาสิงหล ( อันเป็นภาษาของชาวลังกา )
แก้ความนั้นว่า พระนาคเสนเข้าใจว่า อาจารย์คงจะบอกพระพุทธวจนะ เป็นคําภาษาสิงหล ด้วยภาษาสิงหลนี้เป็น
คําวิเศษ
กลัวว่าชาวประเทศสาคลราชธานีจะไม่เข้าใจ พระนาคเสนนั้นตั้งใจจะเรียนพระพุทธวจนะ ที่จะให้เข้าใจของชาว
สาคลนคร มีพระเจ้ามิลินท์เป็นประธาน
พระธรรมรักขิตจึงบอกขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
" เธอจงเรียนพร้อมกับพระติสสทัตตะ เพราะพระติสสทัตตะเป็นบัณฑิต ไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักภาษา "
พระนาคเสนจึงคิดได้ว่าอาจารย์ คงไม่บอกเป็นภาษาสิงหลดอก อาจจะบอกเป็นภาษามคธ เราผิดเสียแล้ว จะต้อง
ขอโทษพระติสสทัตตะ
เมื่อพระนาคเสนคิดได้อย่างนั้น จึงกราบขอโทษ แล้วเริ่มเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน โดยเรียนอยู่ ๓ เดือนก็จบพระไตรปิฎก ซักซ้อมอีก ๓ เดือนก็ชํานาญ
พระนาคเสนสําเร็จ พระอรหันต์
ฝ่ายพระธรรมรักขิต เห็นพระนาคเสนยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงมีเถรวาจาเป็นทางจะให้รู้โดยคําอุปมาว่า
"นี่แน่ะ..นาคเสน ธรรมดาว่านายโคบาลได้แต่เลี้ยงโค ไม่ได้รู้รสแห่งนมโค มีแต่ผู้อื่นได้ดื่มรสแห่งนมโคฉันใด ปุถุชนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส
ถึงแม้จะทรงพระไตรปิฎก ก็มิได้รู้รสแห่งสามัญผล คือมรรคผลอันควรแก่สมณะ เปรียบเหมือนกับนายโคบาล ที่รับจ้างเลี้ยงโคและรีดนมโคขาย
แต่มิได้เคยลิ้มชิมรสแห่งนมโคฉันนั้น"
พระนาคเสน ได้ฟังคําเช่นนั้นก็เข้าใจ จึงมีวาจาว่า
" คําสั่งสอนของท่านเท่านี้พอแล้วขอรับ "
ท่านกล่าวเพียงเท่านี้แล้ว ก็ลามาสู่อาวาส ต่อมาก็ได้พยายามเจริญสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ช้าก็ได้สําเร็จพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ
ในเวลากลางคืน อันเป็นวันที่พระธรรมขิตให้นัยนั้นเอง
ในขณะที่พระนาคเสน สําเร็จพระอรหันต์นั้น ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ แผ่นดินอันใหญ่นี้ก็บันลือลั่นหวั่นไหว ทั้งมหาสมุทรสาคร ก็ตีฟองนองละลอก
ยอดภูเขาก็โอนอ่อนโยกคลอนไปมา เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย ก็ตบมือสาธุการ ห่าฝนทิพย
จุณจันทน์และดอกไม้ทิพย์ ก็ตกลงมาบูชาในกาลนั้น
พระอรหันต์ให้ทูตไปตาม พระนาคเสน
เมื่อพระนาคเสนได้สําเร็จพระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ไปประชุมกันที่ถ้ำรักขิตเลณะ ในภูเขาหิมพานต์ แล้วส่งทูตไปตามพระนาคเสน
เมื่อพระนาคเสนทราบแล้ว ก็หายวับจากอโศการาม มาปรากฏข้างหน้าพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ที่ถ้ำรักขิตเลณะ
ในภูเขาหิมพานต์ กราบไหว้พระอรหันต์ทั้งหลาย
แล้วจึงถามว่า
"เพราะเหตุไรขอรับ จึงให้ทูตไปตามกระผมมา ? "
พระอรหันต์ผู้เป็นหัวหน้าตอบว่า
" เป็นเพราะ มิลินทราชา เบียดเบียนพวกเราด้วยการไต่ถามปัญหา เธอจงไปทรมานมิลินทราชานั้นเถิด "
พระนาคเสนจึงเรียนว่า
" อย่าว่าแต่มิลินทราชาเลย บรรดาพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น ที่มีปัญหาเหมือนมิลินทราชานี้ จะซักถามปัญหาตื้นลึกประการใด กระผมจะแก้ให้สิ้นสงสัย
ให้มีพระทัยยินดีด้วยการแก้ปัญหา ขอพระเถรเจ้าทั้งหลายจงไปสู่สาคลนคร ด้วยความไม่สะดุ้งกลัวเถิด "
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปถามปัญหาพระอายุบาล
ในคราวนั้น ยังมีพระมหาเถระองค์หนึ่งมีชื่อว่า พระอายุบาล ท่านเป็นผู้ชํานาญในนิกายทั้ง ๕ ( ทีฆนิกาย
มัชฌิมนิกาย
สังยุตตนิกาย อังคุตตนิกาย ขุททกนิกาย ) ได้อาศัยอยู่ที่อสงไขยบริเวณ
ฝ่ายพระเจ้ามิลินท์ทรงดําริว่า ราตรีนี้ดีมาก เราควรจะไปหาสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใดดีหนอ
ใครหนอจะสามารถสนทนากับเราได้
ใครหนอจะสามารถตัดความสงสัยของเราได้ ทรงดําริแล้วก็โปรดมีพระราชโองการ
ตรัสถามพวกราชบริพารโยนกทั้ง ๕๐๐ ก็กราบทูลว่า
" มีพระเถระอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า พระอายุบาล ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีการแสดงธรรมวิจิตร
มีปฏิภาณดี
ชํานาญในนิกายทั้ง ๕ อยู่ที่อสงไขยบริเวณ ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปถามปัญหาต่อพระอายุบาลเถิด พระเจ้าข้า"
"ถ้าอย่างนั้นขอจงไปแจ้งให้พระผู้เป็นเจ้าทราบก่อน"
ลําดับนั้น เนมิตติยอํามาตย์ จึงใช้ให้คนไปแจ้งแก่พระอายุบาลว่า พระเจ้ามิลินท์จะเสด็จมาหาพระอายุบาล ตอบว่า เชิญเสด็จมาเถิด
ต่อจากนั้นพระเจ้ามิลินท์ พร้อมกับหมู่โยนกเสนา ๕๐๐ ก็เสด็จขึ้นรถไปที่อสงไขยบริเวณ เมื่อไปถึงจึงตรัสสั่งให้หยุดรถทรงไว้ เสด็จไปด้วยพระบาทเปล่า
เข้าสู่สํานักพระอายุบาล นมัสการแล้ว กระทําปฏิสันถารโอภาปราศรัยกันไปมา จึงมีพระราชดํารัสตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระอายุบาล บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์เยี่ยมของท่าน ? "
พระอายุบาล ตอบว่า
"ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร การบรรพชามีประโยชน์ เพื่อจะได้ประพฤติธรรม ประพฤติความสงบ อันจะทําให้เกิดประโยชน์สุขแก่เทพยดา และ
มนุษย์ทั้งหลาย"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คฤหัสถ์ผู้ประพฤติธรรม ประพฤติความสงบ จะมีคุณวิเศษบ้างหรือไม่ ? "
จํานวนคฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผล
"ขอถวายพระพร คฤหัสถ์ที่ประกอบไปด้วย ความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ทรงศีล ๕ หรือศีล ๘ ไว้มั่นคง ให้ทานและภาวนาอุตส่าห์ฟังธรรม
ก็จัดว่าประพฤติให้เป็นประโยชน์เป็นผลแก่ตนเอง
ดังตัวอย่าง เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระทศพลยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้เสด็จไปยังเมืองพาราณสี โปรดประทานธรรมเทศนา
พระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ในป่าอิสิปตนมิคทายวัน
ครั้นจบลงแล้วพรหมทั้ง ๑๘ โกฏิ ได้สําเร็จมรรคผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พรหมทั้งหลายล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น จะได้อุปสมบทบรรพชาหามิได้
ในคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เวสสันดรชาดก ขทิรังคชาดก ราหุโลวาทสูตร และทรงแสดงธรรมที่ประตูเมืองสังกัสสนคร มีผู้สําเร็จมรรคผลประมาณ
๒๐ โกฏิ คนทั้งหลายนั้น กับเทพยดาและ พรหมทุกชั้น ล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น ไม่ใช่บรรพชิตเลย"
( โปรดติดตามตอนต่อไป วันที่ 11 เมษายน 51 )
Update 11 เมษายน 2551
กรรมของพระที่ถือธุดงค์
เมื่อพระอายุบาลแก้ไขดังนี้ พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านอายุบาล ถ้าอย่างนั้นบรรพชาก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกสมณะทั้งหลาย
ที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ที่ได้บรรพชารักษาธุดงค์ต่าง ๆ ทําให้ลําบากกายใจนั้น ล้วนเป็นด้วยผลแห่งบาปกรรม ในปางก่อนทั้งนั้น
นี่แน่ะ ท่านอายุบาล พวกพระที่ถือ เอกา ฉันจังหันหนเดียว แต่ชาติก่อนเป็นโจร เที่ยวปล้นชาวบ้าน ไปแย่งชิงอาหารเขา
ครั้นชาตินี้เล่า ผลกรรมนั้นดลจิตให้ฉันหนเดียว ดูบรรพชานี้ไม่มีผล ถึงจะรักษาศีล รักษาตบะ รักษาพรหมจรรย์ ก็ไม่มีผลอันใด
ประการหนึ่งเล่า พวกที่ถือธุดงค์ อัพโพกาส คืออยู่ในกลางแจ้งนั้น เมื่อชาติก่อนต้องได้เป็นพวกปล้นบ้านเผาเรือน
มาชาตินี้จึงไม่มีที่กินที่อยู่ ส่วนพวกถือ เนสัชชิกธุดงค์ คือถือไม่นอนเป็นกิจวัตร ได้แต่เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น
พวกนั้นต้องเป็นโจรปล้นคนเดินทางไว้เมื่อชาติก่อน จับคนเดินทางได้แล้วก็ผูกมัดให้นั่งจับเจ่าอยู่เท่านั้น
โยมคิดดู ซึ่งธุดงค์นี้ไม่มีผล จะเป็นศีล จะเป็นตบะ จะเป็นพรหมจรรย์ก็หามิได้ ก็จะบรรพชารักษาธุดงค์ไปเพื่ออะไร ปฏิบัติในเพศคฤหัสถ์
ก็ได้มรรคผลเหมือนกัน เป็นคฤหัสถ์อยู่มิดีกว่าหรือ พระผู้เป็นเจ้า ?
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้ พระอายุบาลก็ขี้คร้าน ที่จะตอบจึงนั่งนิ่งไป มิได้ถวายพระพรโต้ตอบ ต่อข้อปัญหานั้น พวกโยนก ๕๐๐ จึงกราบทูลขึ้นว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระภิกษุองค์นี้ เป็นนักปราชญ์ ได้สดับเล่าเรียนมาก แต่ไม่แกล้วกล้าที่จะวิสัชนา จึงมิได้โต้ตอบต่อคําถามของพระองค์
พระเจ้ามิลินท์ได้ฟังคําข้าราชบริพารทูลเฉลยก็หาสนใจไม่ ทอดพระเนตรดูแต่พระอายุบาล เห็นพระอายุบาลนิ่งอยู่ก็ทรงพระสรวล ( หัวเราะ )
พร้อมกับตบพระหัตถ์ตรัสเย้ยว่า
ชมพูทวีปว่างเปล่าเสียแล้ว ไม่มีสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะ คณาจารย์ใดๆ อาจสนทนากับเราได้ อาจแก้ความสงสัยของเราได้เลย
เห็นทีจะสิ้นสุดครั้งนี้แล้วหนอ...
ฝ่ายหมู่โยนกได้ฟัง ก็มิได้ตอบคําสนองพระราชโองการ ส่วนพระอายุบาลได้เห็นอาการของพระเจ้ามิลินท์ อย่างนั้น
จึงคิดว่าเราเป็นสมณะไม่สมควรทะเลาะโต้เถียงกับใคร ที่จริงปัญหานี้จะวิสัชนาให้ฟังอีกก็ได้ แต่เป็นเพราะ พระราชาถามปัญหาที่ไม่ควรถาม คิดอย่างนี้แล้ว
จึงเก็บอาสนะลุกไปเสีย
หลังจากพระเจ้ามิลินท์เสด็จเข้าสู่พระนครแล้ว จึงทรงดําริว่า จะต้องมีภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งอาจสนทนากับเราได้อย่างไม่สงสัย
จึงตรัสถามเนมิตติยอํามาตย์ขึ้นอีกว่า นี่แน่ะ..เนมิตติยะ ภิกษุผู้จะโต้ตอบกับเราได้ ยังมีอยู่อีกหรือไม่ ?
กิตติศัพท์ของ พระนาคเสน
ในคราวนั้น พระนาคเสนผู้ห้อมล้อมด้วยหมู่สมณะ ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ มียศบริวาร ชํานาญในพระไตรปิฎก สําเร็จไตรเพท
มีความรู้แตกฉาน มีอาคมพร้อม สําเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม ในศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา อันประกอบด้วยองค์ ๙ ถึงแล้วซึ่งบารมีญาณ
เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ทั้งปวง เหมือนกับ พญาเขาสิเนรุราช องอาจดั่งราชสีห์ มีใจสงบระงับเป็นอันดี มีปรีชาญาณล้ำเลิศ ย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคํา
อันเป็นปฏิปักษ์แก่พระพุทธศาสนา ได้อย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนํา ชํานาญในอรรถธรรมทั้งปวง ไม่มีผู้ต่อสู้ ไม่มีผู้กั้นกางได้ ไม่มีผู้ล่วงเกินได้ ละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งปวง
กระทําซึ่งแสงสว่างให้เกิด กําจัดเสียซึ่งความมืด
เป็นผู้มีถ้อยคําประเสริฐ แตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ ล่วงลุถึงซึ่งบารมีญาณ มีปรีชาญาณเปรียบดัง ลูกคลื่นในท้องมหาสมุทร
เป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่คณะทั้งหลาย ล่วงรู้ลัทธิของหมู่คณะที่ไม่ดีทั้งหลาย ย่ำยี่เสียซึ่งลัทธิเดียรถีย์ทั้งปวง
เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลมแกล้วกล้าสามารถ มากไปด้วยความสุขกายสบายใจ เป็นผู้ทําสงฆ์ให้งดงาม เป็นพระอรหันต์ผู้ล้ำเลิศ
เป็นที่สักการบูชาของพุทธบริษัททั้งสี่
เป็นผู้ที่จะแสดงบาลี อรรถกถา อันทําให้เกิดความเลื่อมใสแก่บัณฑิตทั้งหลาย ผู้มีความรู้ ผู้ประกาศคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรเจ้า
อันประกอบด้วยองค์ ๙ ผู้จะเชิดชูซึ่งแก้วอันประเสริฐในพระพุทธศาสนาให้ปรากฏ
เป็นผู้จะยกขึ้นซึ่งเครื่องบูชาพระธรรม ผู้จะตั้งขึ้นซึ่งยอดพระธรรม ผู้จะยกขึ้นซึ่งธงชัยคือพระธรรมผู้จะเป่าสังข์คือพระธรรม
ผู้จะตีกลองคือพระธรรมให้นฤนาท ผู้จะดีดกระจับปี่ สีซอ โทน รํามะนา ดนตรี อันได้แก่อริยสัจ ๔
เป็นผู้ที่จะบันลือเสียงดังพญาช้าง พญาอุสุภราช พญาราชสีห์ ผู้จะทำให้โลก เอิบอิ่มด้วยห่าฝนอันใหญ่ คือพระธรรมให้พิลึกกึกก้อง
เรืองรองดังสายฟ้าด้วยญาณปรีชา
พระนาคเสนไปถึง อสงไขยบริเวณ
เมื่อพระนาคเสนได้กราบลาพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิแล้ว ก็ได้จาริกไปตามคามนิคมชนบท เทศน์โปรดประชาชนทั้งหลายโดยลําดับ ก็บรรลุถึงซึ่งสาคลนคร
อันเป็นที่ประทับของพระเจ้ามิลินท์ ผู้เป็นปิ่นแห่งโยนก
พระผู้เป็นเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในอสงไขยบริเวณ อันเป็นที่อยู่แห่งพระอายุบาล ในกาลนั้น เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า
พระนาคเสนเถระผู้เป็นพหูสูต มีการแสดงธรรมประเสริฐ มีสติปัญญาสุขุมคัมภีรภาพ แกล้วกล้าสามารถในที่ประชุมชน ฉลาดในเหตุผลทั้งปวง
มีปฏิภาณว่องไวหาผู้เปรียบมิได้ ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอันประเสริฐ มีหมู่พระภิกษุสงฆ์ล้วนแต่ทรง พระไตรปิฎกห้อมล้อมเป็นบริวาร ได้ไปถึง อสงไขยบริเวณ
แล้วพักอยู่ในที่นั้น
พระนาคเสนเถระนั้น ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม เที่ยงตรงดั่งตาชั่ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เหมือนกับพญาไกรสรราชสีห์ ในป่าใหญ่ฉะนั้น
พระนาคเสนนั้น เป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง มีความฉลาดรอบคอบ ในสิ่งที่ควรและไม่ควรทั้งปวง เป็นผู้ประกาศซึ่งอรรถธรรมอันล้ำเลิศ มีคุณธรรมปรากฏ
ไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น เป็นพหูสูตทรงพระไตรปิฎก ไม่มีผู้เสมอเหมือนดังนี้
พระเจ้ามิลินท์ ได้ยินชื่อ ทรงตกพระทัยกลัว
ในคราวนั้น เทวมันติยอํามาตย์ ก็ได้ฟังข่าวเล่าลือ ซึ่งเกียรติคุณของพระนาคเสนดังแสดงมา จึงกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า
ขอได้โปรดก่อนเถิดมหาราชเจ้า บัดนี้มีข่าวเล่าลือว่า มีพระภิกษุองค์หนึ่งชื่อว่า นาคเสน เป็นผู้แสดงธรรมอันวิเศษ มีสติปัญญาเฉียบแหลม
แกล้วกล้าสามารถในที่ทั้งปวง
เป็นผู้สดับเล่าเรียนมาก มีถ้อยคําไพเราะเสนาะโสต มีปฏิภาณดี แตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ ถึงซึ่งบารมีญาณ ไม่มีเทพยดาอินทร์พรหม
ผู้ใดผู้หนึ่งจะสู้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนุษย์ พระเจ้าข้า
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ได้ทรงสดับคําว่า พระนาคเสน เท่านี้ ก็ตกพระทัยกลัว มีพระโลมาลุกชันขึ้นทันที พระบาทท้าวเธอ
จึงตรัสถามเทวมันติยอํามาตย์ว่า เวลานี้พระนาคเสนอยู่ที่ไหน เราใคร่เห็น ขอให้พระนาคเสนทราบ ?
เทวมันติยอํามาตย์ จึงใช้ให้ทูตไปแจ้งแก่พระนาคเสนว่า พระเจ้ามิลินท์มีพระราชประสงค์จะพบเห็น เมื่อทูตไปแจ้งแก่พระเถระแล้ว พระเถระจึงตอบว่า
ถ้าอย่างนั้นขอจงเสด็จมาเถิด
พระ เจ้ามิลินท์ เสด็จไปหา พระนาคเสน
ลําดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ก็ห้อมล้อมด้วยข้าราชบริพารชาวโยนก ๕๐๐ เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง
พรั่งพร้อมด้วยพลนิกายเป็นอันมากเสด็จไปหาพระนาคเสนที่อสงไขยบริเวณ คราวนั้น พระนาคเสนกับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ ได้นั่งพักอยู่ที่โรงกลมกว้างใหญ่
พอพระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นแต่ไกล จึงตรัสถามขึ้นว่า
บริวารเป็นอันมากนั้นของใคร ?
เทวมันติยะทูลตอบว่า
บริวารเป็นอันมากนั้น เป็นบริวารของ พระนาคเสน พระเจ้าข้า
พอพระเจ้ามิลินท์ได้แลเห็น พระนาคเสนแต่ที่ไกลเท่านั้น ก็เกิดความสะดุ้งกลัว หวาดหวั่นในพระทัย มีพระโลมชาติชูชัน ( ขนลุก )
เสียแล้ว
คราวนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงสะดุ้งตกพระทัยยิ่งนักหนา อุปมาดังพญาช้าง ถูกห้อมล้อมด้วยดาบและขอ และเหมือนกับนาคถูกครุฑห้อมล้อมไว้
เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่ถูกงูเหลือมล้อมไว้ เหมือนกับหมี ถูกฝูงกระบือป่าห้อมล้อม เหมือนกับคนถูกพญานาคไล่ติดตาม
เหมือนกับหมู่เนื้อถูกเสือเหลืองไล่ติดตาม เหมือนกับงูมาพบหมองู เหมือนกับหนูมาพบพบแมว
เหมือนกับปีศาจมาพบหมอผี เหมือนกับพระจันทรเทพบุตรตกอยู่ในปากราหู เหมือนกับนกอยู่ในกรง เหมือนกับปลาอยู่ในลอบในไซ
เหมือนกับบุรุษที่ตกเข้าไปในป่าสัตว์ร้าย เหมือนกับยักษ์ทําผิดต่อท้าวเวสสุวัณ เหมือนกับเทพบุตรผู้จะสิ้นอายุ รู้ว่าตัวจะจุติ สุดที่จะกลัวตัวสั่นฉันใด
พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรเห็นพระนาคเสนแต่ไกล ให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในพระทัยฉันนั้น
แต่พระบาทท้าวเธอทรงนึกว่า อย่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งดูถูกเราได้เลย จึงได้ทรงแข็งพระทัย ตรัสขึ้นว่า
นี่แน่ะ..เทวมันติยะ เธออย่าได้บอกพระนาคเสนให้แก่เราเลยว่าเป็นองค์ใด เราจะให้รู้จักพระนาคเสนเอง
เทวมันติยอํามาตย์จึงกราบทูลว่า ขอให้โปรดทรงทราบเองเถิดพระเจ้าข้า
ในคราวนั้น พระนาคเสนเถระได้นั่งอยู่ในท่ามกลางของพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ คือนั่งอยู่ข้างหน้าของพระภิกษุ ๔ หมื่นองค์ ที่มีพรรษาอ่อนกว่า
แต่นั่งอยู่ข้างหลังของพระภิกษุผู้แก่กว่าอีก ๔ หมื่นองค์
ฝ่ายพระเจ้ามิลินท์ก็ทอดพระเนตร ดูไปทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ท่ามกลางของภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ก็ได้เห็นพระนาคเสนนั่งอยู่ ในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์
มีกิริยาองอาจดังราชสีห์ จึงทรงทราบว่าองค์นั้นแหละเป็นพระนาคเสน จึงตรัสถามขึ้นว่า
เทวมันติยะ องค์นั่งในท่ามกลางนั้นหรือ..เป็นพระนาคเสน ?
เทวมันติยะกราบทูลว่า
ถูกแล้วพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบพระนาคเสนได้ดีแล้ว
พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงดีพระทัยว่า เรารู้จักพระนาคเสนด้วยตนเอง แต่พอพระบาทท้าวเธอ แลเห็นพระนาคเสนเท่านั้น ก็เกิดความกลัว ความหวาดหวั่น
มีพระโลมชาติชูชัน
เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวไว้ว่า
พระเจ้ามิลินท์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระนาคเสน ผู้สมบูรณ์ด้วยจรณธรรม ผู้ได้ฝึกฝนอบรมมาเป็นอันดีแล้ว จึงตรัสขึ้นว่า เราได้พบเห็นสมณพราหมณ์ และ
บัณฑิตมาเป็นอันมาก ได้สนทนากับคนทั้งหลาย มาเป็นอันมากแล้ว ไม่เคยมีความสะดุ้งกลัวเหมือนในวันนี้เลย วันนี้ความปราชัยพ่ายแพ้
จักต้องมีแก่เราเป็นแน่ไม่สงสัย ชัยชนะจักมีแก่พระนาคเสนแน่เพราะจิตใจของเราไม่ตั้งอยู่เป็นปกติเหมือนแต่ก่อนเลยดังนี้
◄ll กลับสู่ด้านบน
จบเรื่องเบื้องต้น
************************
kittinaja - 17/4/08 at 17:02
( Update 17 เม.ย. 51)
ตอนที่ ๔
...สําหรับในตอนนี้ จะเป็นตอนเริ่มเข้าเรื่อง การถามปัญหากัน ก่อนที่จะเริ่มปัญหาแรก
ขอนํา " พระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์ " ( เรียบเรียงโดย วศิน อินทสระ ) มาให้ทราบไว้ดังนี้
พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย
...พระพุทธศาสนา เจริญเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือ พระเจ้าเมนันเดอร์ ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อ
สายกรีก
ที่มาปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง ขอเล่าความย้อนต้นไปสักเล็กน้อยว่า
เมื่อ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ยกทัพเข้ารุกรานอินเดีย และเลิกทัพกลับไปนั้น แคว้นที่ทรงตีได้แล้ว
ก็โปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล ทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งเป็นอาณาจักรอิสระขึ้น
เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว อาณาจักรที่มีกําลังมาก คือ อาณาจักรซีเรีย และ อาณาจักรบากเตรีย (
ปัจจุบันคือ เตอรกี และ อัฟกานิสถาน )
ครั้นถึง พ.ศ.๓๙๒ พระเจ้าเมนันเดอร์ หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์ ยกกองทัพตีเมืองต่าง ๆ
แผ่พระราชอํานาจลงมาถึงตอนเหนือ พระองค์เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป
เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท ( ของพราหมณ์ ) และ ศาสนาปรัชญาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย พระองค์จึงประกาศโต้วาที กับนักบวชในลัทธิศาสนาต่าง ๆ
ในเรื่องศาสนาและปรัชญาปรากฏ ว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้
พระเจ้ามิลินท์แห่งวงศ์โยนก ในเวลานั้น ชาวเมืองเรียกว่า " ชาวโยนก " แต่ชาว อินเดียเรียก " ยะวะนะ "
หมายถึงพวกไอโอเนีย ( แคว้นไอโอเนียอยู่ทางตะวันตกของเอเซียไมเนอร์ ) เมืองสาคลนคร ตั้งอยู่ ในแคว้นคันธาระ ( ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
ปัจจุบันคือ แคชเมียร์ ) ดังนี้
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๑
ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดี แล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี
ทําให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
ลําดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
" เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
" โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
" อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "
" พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร? "
" ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร? "
" โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
" จงถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว "
" อาตมภาพก็แก้แล้ว "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร? "
" ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร? "
เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระ นาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า
คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า "
เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถาม ปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกัน
และกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้น เรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น โยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้า ชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า " ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วน มารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มี วีรเสนก็มี
สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารี เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น
ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
ลําดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า " ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้ และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคําของข้าพเจ้าเถิด
พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์ เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มี สัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคําว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้
ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และ วัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว
บุญกุศลก็ต้องไม่มี แก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ
ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาต ก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคล ตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา
และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่า จะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่า รักษาศีล ใครเล่า รู้ไปในพระไตรปิฎก ใครเล่า เจริญภาวนา ใครเล่า..กระทําให้แจ้งซึ่ง
มรรค ผล นิพพาน
ใครเล่า กระทําปาณาติบาต ใครเล่า กระทําอทินนาทาน ใครเล่า ประพฤติกาเมสุ มิจฉาจาร ใครเล่า กล่าวมุสาวาท ใครเล่า ดื่ม สุราเมรัย ใครเล่า
กระทําอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มี แล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มี ผู้ทําหรือผู้ให้ทําซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี
ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี
ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาต ก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้น ก็เป็นอันว่า อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี
อุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของ พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี
คําใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์ เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคํานั้น เมื่อโยมถามพระ ผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้
พระผู้เป็นได้ยินเสียง ถามอยู่หรือไม่? "
ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียง ถามอยู่ "
" ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คําว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอ ถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ...เป็น นาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ขนหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ "
" เล็บหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ "
" ฟันหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ "
" หนังหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ "
" เนื้อหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ "
" เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ
มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใด อย่างหนึ่งหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ..เป็น นาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุ และ รูปธาตุ โสตธาตุ และ สัททธาตุ ฆานธาตุ และ คันธธาตุ ชิวหาธาตุ และ รสธาตุ กายธาตุ และ โผฏฐัพพธาตุ
มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ..เป็น นาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ...เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ..เป็นนาคเสน? "
" ไม่ใช่ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสน เป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหลาะแหละ
พูดมุสาวาท "
พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระ นาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สําเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณา
ซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
" มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กําเนิด มหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลา ร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จ มาด้วยพระบาท
ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาท ให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์ เห็นจะทรงลําบาก พระหฤทัยของพระองค์ เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์
เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไร อาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัย ดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคง
ได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมา ด้วยพระบาท หรือด้วย ราชพาหนะอย่างไร? "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "
พระนาคเสนเถระ จึงกล่าวประกาศขึ้นว่า
" ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคําของข้าพเจ้า คือ พระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ
ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป " กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า
" มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถ จริงหรือ? "
พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" เออ...ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วย รถจริง "
พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า
" ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้ว ขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ.. เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ...เป็นรถ? "
" ไม่ใช่ "
" ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ? "
" ไม่ใช่ "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่า มหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล
มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหล อย่างนี้? "
เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวก โยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น ก็พากัน เปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้ว กราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า
" ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิด พระเจ้าข้า "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูด เหลาะแหละเหลวไหล การที่เรียกว่ารถนี้ เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ
ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "
พระเถระจึงกล่าวว่า
" ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน " ก็เพราะอาศัยเครื่องประ กอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม
ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจําแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งปวง
ข้อนี้ถูกตามถ้อยคําของ นางปฏาจารา ภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวขึ้นในที่เฉพาะ พระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
" อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วย เครื่องรถทั้งปวงฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาฉันนั้น "
ดังนี้ ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลง น้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า
" สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่าง น่าอัศจรรย์ กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมา ด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง ให้คนทั้งหลายคิด เห็นกระจ่างแจ้ง
ถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่ "
ปัญหาที่ ๒ ถามพรรษา
ครั้งนั้นพระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามอรรถปัญหาสืบไปว่า " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ามี พรรษาเท่าไร? "
พระนาคเสนตอบว่า " อาตมภาพมีพรรษาได้ ๗ พรรษาแล้ว "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คําว่า " ๗ พรรษา " นั้น นับตัวพระผู้เป็นเจ้าด้วยหรือ...หรือว่านับแต่ปีเท่านั้น? "
อุปมาเงาในแก้วน้ำ
ก็ในคราวนั้น เงาของพระเจ้ามิลินท์ผู้ทรง ประดับด้วยเครื่องประดับ ทั้งปวงนั้น ได้ปรากฏ ลงไปที่พระเต้าแก้ว อันเต็มไปด้วยน้ำ พระ นาคเสนได้เห็นแล้ว
จึงถามขึ้นว่า
" มหาบพิตรเป็นพระราชา หรือว่าเงาที่ ปรากฏอยู่ในพระเต้าแก้วนี้ เป็นพระราชา? "
" ข้าแต่พระนาคเสน เงาไม่ใช่พระราชา โยมต่างหากเป็นพระราชา แต่เงาก็มีอยู่เพราะอาศัยโยม "
" เงาที่มีขึ้นเพราะอาศัยพระองค์ฉันใด การนับพรรษาว่า ๗ เพราะอาศัยอาตมาก็มีขึ้นฉันนั้น ขอถวายพระพร "
" น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้า ได้แก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งถูกต้องดีแล้ว "
ปัญหาที่ ๓ ถามลองปัญญา
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุด ในการบรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า? "
พระเถระตอบว่า
" บรรพชาของอาตมภาพนั้น เป็นประโยชน์เพื่อการดับทุกข์ให้สิ้นไป แล้วมิให้ทุกข์อื่นบังเกิด ขึ้นได้ อีกประการหนึ่ง
บรรพชาย่อมให้สําเร็จประโยชน์ แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย "
สนทนาอย่างบัณฑิตหรืออย่างโจร
พระเจ้ากรุงสาคลนคร ได้ทรงฟังพระนาคเสนเฉลยปัญหา ได้กระจ่างแจ้ง ก็มิได้มีทางที่จะซักไซร้ จึงหันเหถามปัญหาอื่นอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าจะ สนทนากับโยมต่อไปได้หรือไม่? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่าง บัณฑิต อาตมภาพก็จะสนทนากับมหาบพิตรได้ ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่าง ของพระราชา
อาตมาก็จะสนทนาด้วยไม่ได้ "
" บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างไร? "
" อ๋อ...ธรรมดาว่าบัณฑิตที่สนทนากัน ย่อมเจรจาข่มขี่กันได้ แก้ตัวได้ รับได้ ปฏิเสธ ได้ ผูกได้ แก้ได้ บัณฑิตทั้งหลายไม่โกรธ
บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาทั้งหลาย สนทนากันอย่างไร?"
" ขอถวายพระพร พระราชาทั้งหลาย ทรงรับสั่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว ผู้ใดไม่ทําตาม ก็ทรงรับสั่งให้ลงโทษผู้นั้นทันที พระ
ราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมจะสนทนาตาม เยี่ยงอย่างบัณฑิต จักไม่สนทนาตามเยี่ยง อย่างของพระราชา ขอพระผู้เป็นเจ้า จงเบา
ใจเถิด พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับภิกษุณี หรือ สามเณร อุบาสก คนรักษาอารามฉันใด ขอ จงสนทนากับโยมฉันนั้น อย่ากลัวเลย "
" ดีแล้ว มหาบพิตร "
พระเถระแสดงความยินดีอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามพระ ผู้เป็นเจ้า "
" เชิญถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
" อาตมภาพแก้แล้ว มหาบพิตร "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร? "
" ก็มหาบพิตรตรัสถามว่าอย่างไร? "
( พระเจ้ามิลินท์ไต่ถามปัญหาเช่นนี้ หวังจะลอง ปัญญาพระนาคเสนว่า จะเขลา หรือ ฉลาด ยั่งยืนอยู่ไม่ครั่นคร้ามหรือประการใด เท่านั้น )
ในวันแรกนี้ พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถาม ปัญหา ๓ ข้อ คือ ถามชื่อ ๑ ถามพรรษา ๑ ถามเพื่อทดลองสติปัญญาของพระเถระ ๑
นิมนต์พระนาคเสนไปในวัง
ลําดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงดําริว่า พระภิกษุองค์นี้เป็นบัณฑิต สามารถสนทนา กับเราได้ สิ่งที่เราควรถาม มีอยู่มาก สิ่งที่เรายังไม่ได้ถาม
ก็มีอยู่เป็นอันมาก แต่เวลา นี้ดวงสุริยะกําลังจะสิ้นแสงแล้ว พรุ่งนี้เถิด เราจึงจะสนทนากันในวัง
ครั้นทรงดําริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่ง เทวมันติยอํามาตย์ว่า " นี่แน่ะ เทวมันติยะ จงอาราธนาพระผู้ เป็นเจ้าว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนากันในวัง "
ตรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง แล้วทรงพึมพํา ไปว่า " นาคเสน...นาคเสน... " ดังนี้
ฝ่ายเทวมันติยอํามาตย์ก็อาราธนา พระนาคเสนว่า " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาตรัสสั่ง ว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนากันในพระราชวัง "
พระเถระก็แสดงความยินดีตอบว่า " ดีแล้ว "
พอล่วงราตรีวันนั้น เนมิตติยอํามาตย์ อันตกายอํามาตย์ มังกุรอํามาตย์ สัพพทินน อำมาตย์ ก็พร้อมกันเข้าทูลถามพระเจ้ามิลินท์ว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า
จะโปรดให้พระนาคเสนเข้ามาได้หรือยัง พระเจ้าข้า? "
พระราชาตรัสตอบว่า " ให้เข้ามาได้แล้ว "
" จะโปรดให้เข้ามากับพระภิกษุสักเท่าไร พระเจ้าข้า? "
" ต้องการมากับภิกษุเท่าใด ก็จงมากับ ภิกษุเท่านั้น "
สัพพทินนอํามาตย์ได้กราบทูลขึ้น เป็นครั้งที่ ๒ ว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า จะโปรดให้พระนาคเสน มากับพระภิกษุสัก ๑๐ รูป จะได้หรือไม่? "
พระองค์ตรัสตอบว่า " พระนาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุ เท่าใด ก็จงมากับพระภิกษุเท่านั้นเถิด "
จึงทูลถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
" จะโปรดให้พระนาคเสนมากับพระภิกษุ สัก ๑๐ รูป ได้หรือไม่? "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
" เราพูดอย่างไม่ให้สงสัยแล้วว่า พระ นาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุเท่าใด จงมากับพระภิกษุเท่านั้น เราได้สั่งเป็นคํา ขาดลงไปแล้ว
เราไม่มีอาหารพอจะถวาย พระภิกษุทั้งหลายหรือ? "
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว สัพพทินนอํามาตย์ ก็เก้อ ลําดับนั้น อํามาตย์ทั้ง ๔ จึงพากัน ออกไปหาพระนาคเสน กราบเรียนให้ทราบว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้ามิลินท์ตรัส สั่งว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการจะเข้าไปในพระ ราชวังกับพระภิกษุเท่าใด ก็ขอให้เข้าไปได้
เท่านั้นไม่มีกําหนด "
ปัญหาที่ ๔ ปัญหาของอันตกายอํามาตย์
เช้าวันหนึ่ง พระนาคเสนก็นุ่งสบงทรง จีวรมือสะพายบาตร แล้วเข้าไปสู่สาคลนคร กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ เวลาเดินมาตาม ทางนั้น อันตกายอํามาตย์ถามขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ท่านได้บอกไว้ว่า เราชื่อ " นาคเสน " ดังนี้ แต่กล่าวว่าไม่มีสิ่งใด เป็นนาคเสน ข้อนี้ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่? "
พระเถระจึงถามว่า " เธอเข้าใจว่า มีอะไรเป็นนาคเสน อยู่ ในคําว่า " นาคเสน " อย่างนั้นหรือ? "
" ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ลมหายใจอันเข้าไป และออกมา นี้แหละ..เป็นนาคเสน "
" ถ้าลมนั้นออกไปแล้วไม่กลับเข้ามา ผู้นั้น จะเป็นอยู่ได้หรือ? "
" เป็นอยู่ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
อุปมาพวกเป่าสังข์
" ถ้าอย่างนั้น เราขอถามว่า ธรรมดาพวก เป่าสังข์ ย่อมพากันเป่าสังข์ ลมของพวกเขา กลับเข้าไปอีกหรือไม่? "
" ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "
" ก็ถ้าอย่างนั้น เพราะเหตุไรพวกนั้นจึง ไม่ตาย พวกช่างทองก็พากันเป่ากล้อง ประสานทอง ลมของเขากลับเข้าไปอีกหรือ ไม่? "
" ไม่กลับเข้าไปอีก พระผู้เป็นเจ้า "
" พวกเป่าปี่ก็พากันเป่าปี่ ลมของพวกเขา กลับเข้าไปอีกหรือไม่? "
" ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น เหตุไรพวกนั้นจึงไม่ตาย? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจ สนทนากับท่านได้แล้ว ขอท่านจงไขข้อความ นี้ให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วยเถิด "
พระเถระจึงแก้ไขว่า
" อันลมหายใจออกหายใจเข้านั้น ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่มีชีวิต (คือคนและสัตว์) แต่เป็น
กายสังขาร (คือเป็นเครื่องช่วยให้ชีวิตทรงอยู่) ต่างหาก "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ในอะไร? "
" กายสังขารตั้งอยู่ใน " ขันธ์ " (คือร่างกาย)
ครั้นได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธศาสนา อันตกายอํามาตย์จึงได้ ประกาศตนเป็นอุบาสก ขอนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ดังนี้
ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องบรรพชา
ครั้งนั้น พระนาคเสนเถระ ก็ได้เข้าไป สู่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้ามิลินท์ ขึ้นสู่ ปราสาทแล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาจัดไว้
พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ด้วย พระองค์เอง เสร็จแล้วจึงถวายผ้าไตรจีวร
ครั้นพระนาคเสนครองไตรจีวรแล้ว พระ เจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ขอให้พระผู้เป็นเจ้านาคเสน จงนั่ง อยู่ที่นี้กับพระภิกษุ ๑๐ รูป พระภิกษุผู้เฒ่า ผู้แก่นอกนั้น ขอนิมนต์กลับไปก่อน "
เมื่อพระนาคเสนฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ แล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน เราจะสนทนา กันด้วยสิ่งใดดี? "
" ขอถวายพระพร เราต้องการด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขอจงสนทนาด้วยสิ่งที่เป็น ประโยชน์เถิด "
" ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์ อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์สูงสุดของพระ ผู้เป็นเจ้า? "
" ขอถวายพระพร บรรพชานี้เพื่อจะให้พ้น จากความทุกข์ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดอีก การเข้าสู่พระนิพพาน
เป็นประโยชน์อย่างสูงสุดของอาตมา "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลทั้งหลาย บรรพชา เพื่อทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพานทั้งนั้น หรือ? "
เหตุของผู้บวช
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราช สมภาร คนทั้งหลายไม่ใช่บวชเพื่อพระ นิพพานด้วยกันทั้งสิ้น คือบางพวกก็บวช หนีราชภัย ( พระราชาเบียดเบียนใช้สอย )
บางพวกก็บวชหนีโจรภัย บางพวกก็บวชเพื่อ คล้อยตามพระราชา บางพวกก็บวชเพื่อหนี หนี้สิน บางพวกก็บวชเพื่อยศศักดิ์ บาง พวกก็บวชเพื่อเลี้ยงชีวิต
บางพวกก็บวชด้วย ความกลัวภัย
บุคคลเหล่าใดบวชโดยชอบ บุคคล เหล่านั้นชื่อว่า บวชเพื่อพระนิพพาน ขอ ถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ทรงซักถามต่อไปว่า
" ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า บวชเพื่อพระนิพพาน หรือ? "
พระเถระตอบว่า
" อาตมภาพบวชแต่ยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้ เรื่องว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ ก็แต่ว่าอาตมาคิดว่า
พระสมณะที่เป็นศากบุตรพุทธชิโนรสเหล่านี้เป็นบัณฑิต จักต้องให้อาตมภาพศึกษา อาตมภาพได้รับการศึกษาแล้ว จึงรู้เห็นว่าบวช เพื่อพระนิพพานนี้ "
" พระผู้เป็นเจ้า แก้ถูกต้องดีแล้ว "
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
*******************************
Update 27 เม.ย. 51
ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องปฏิสนธิ ( เกิด )
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ตายไปแล้ว จะไม่กลับมาเกิดอีกมีหรือไม่ ? "
พระนาคเสนตอบว่า " คนบางจําพวกก็กลับมาเกิดอีก บาง จําพวกก็ไม่กลับมาเกิดอีก "
" ใครกลับมาเกิดอีก ใครไม่กลับมาเกิด อีก ?"
"ผู้มีกิเลส ยังกลับมาเกิดอีก ส่วนผู้ไม่ มีกิเลส ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก"
" ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า จะกลับมาเกิดอีก หรือไม่ ? "
" ถ้าอาตมภาพยังมีอุปาทาน คือการยึด ถืออยู่ ก็จักกลับมาเกิด ถ้าอาตมภาพไม่มี การยึดถือแล้ว ก็จักไม่กลับมาเกิดอีก
"
" ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องมนสิการ ( การกําหนดจิต )
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดไม่เกิดอีก ผู้นั้นย่อมไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ (
คือการกําหนดจิตด้วยอุบายที่ชอบธรรม ) ไม่ใช่หรือ ? "
พระเถระตอบว่า " ขอถวายพระพร บุคคลไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ คือด้วย ปัญญา และด้วย
กุศลธรรม
อื่น ๆ "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยนิโสมนสิการ กับ ปัญญา เป็นอันเดียวกันหรืออย่างไร ? "
" ไม่ใช่อย่างเดียวกัน คือ โยนิโสมนสิการ ก็อย่างหนึ่ง ปัญญา ก็อย่างหนึ่ง แพะ แกะ
สัตว์เลี้ยง กระบือ อูฐ โค ลา เหล่าใดมี มนสิการ แต่ปัญญาย่อมไม่มีแก่สัตว์เหล่านั้น ขอถวายพระพร"
"ชอบแล้ว พระนาคเสน"
ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะมนสิการ
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า " ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ปัญญา
มีลักษณะอย่างไร ? "
พระนาคเสนตอบว่า " มหาราชะ มนสิการ มีความ อุตสาหะ เป็นลักษณะ และมีการ
ถือไว้ เป็นลักษณะ ส่วน ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มนสิการ มีการ ถือไว้เป็นลักษณะอย่างไร ปัญญามีการตัด
เป็นลักษณะอย่างไร ขอจงอุปมาให้แจ้งด้วย ? "
อุปมาคนเกี่ยวข้าว
" มหาบพิตรทรงรู้จักวิธีเกี่ยวข้าวบ้างไหม ? "
" อ๋อ...รู้จัก พระผู้เป็นเจ้า "
" วิธีเกี่ยวข้าวนั้นคืออย่างไร ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คือคนจับกอข้าวด้วยมือข้างซ้าย แล้วเอาเคียวตัดให้ขาดด้วย มือข้างขวา "
" มหาราชะ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คือ พระโยคาวจรถือไว้ซึ่ง มนสิการ คือกิเลสอัน มีในใจของตนแล้ว ก็ตัดด้วย
ปัญญา ฉันนั้น มนสิการ มีลักษณะถือไว้ ปัญญา มีลักษณะตัด อย่างนี้แหละ ขอถวายพระพร "
"ถูกดีแล้ว พระนาคเสน"
อธิบาย
คําว่า มนสิการ มีลักษณะ ถือไว้ หมายถึงการกําหนดจิตพิจารณา ขันธ์ ๕ คือร่างกายว่ามีสภาพเป็นอย่างไร ส่วน
ปัญญา มีลักษณะ ตัด หมาย ถึงยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่า ร่างกายมี สภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ยึดถือว่า "มันเป็นเราเป็นของเรา" ดังนี้
ปัญหาที่ ๙ ถามลักษณะศีล
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ กล่าวไว้ในข้อก่อน ( ปัญหาที่ ๗ ) ว่า บุคคล
ไม่เกิดอีกด้วยได้กระทำ กุศลธรรมเหล่าอื่น ไว้ โยมยังไม่เข้าใจ จึงขอถามว่า ธรรมเหล่า ไหน...เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น ? "
พระเถระตอบว่า " มหาราชะ ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เหล่านี้แหละ เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ศีล มีลักษณะ อย่างไร ? "
" มหาราชะ ศีล มีการ เป็นที่ตั้ง เป็น ลักษณะ คือศีลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งปวง
อันได้แก่ อินทรีย์ พละ
โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ กุศลธรรมทั้งปวงของผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วไม่เสื่อม "
" ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดอุปมา "
อุปมา ๕ อย่าง
" มหาราชะ อันต้นไม้ใบหญ้าทั้งสิ้น ได้ อาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดินแล้ว จึง เจริญงอกงามขึ้นฉันใด พระโยคาวจรได้ อาศัยศีล
ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทําให้เกิด อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ขึ้นได้ฉันนั้น "
" โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "
" มหาราชะ การงานทั้งสิ้นที่ทําบนบก ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงทําได้ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล
จึง ทําให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น "
" โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "
" มหาราชะ บุรุษที่เป็นนักกระโดดโลดเต้น ประสงค์จะแสดงศิลปะ ก็ให้คนถากพื้นดิน ให้ปราศจากก้อนหินก้อนกรวด ทําให้สม่ำเสมอดีแล้ว
จึงแสดงศิลปะบนพื้นดิน นั้นได้ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทําให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น "
" นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้ "
" มหาราชะ นายช่างประสงค์จะสร้างเมือง ให้ปราบพื้นที่จนหมดเสี้ยนหนามหลักตอ ทําพื้นที่ให้สม่ำสมอดีแล้ว จึงกะถนนต่าง ๆ มีถนน ๔
แพร่ง ๓ แพร่ง เป็นต้น ไว้ภายในกําแพง แล้วจึงสร้างเมืองลงฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทําให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น
"
" ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้อีก "
" มหาราชะ พลรบผู้เข้าสู่สงคราม ตั้งมั่น อยู่ในพื้นที่อันเสมอดี กระทําพื้นที่ให้เสมอดีแล้ว จึงกระทําสงคราม
ก็จักได้ชัยชนะใหญ่ ในไม่ช้าฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้ง อยู่ในศีลแล้ว จึงทําให้เกิดอินทรีย์ ๕ ให้เกิดได้ฉันนั้น " ข้อนี้
สมกับที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสไว้ว่า
" ภิกษุผู้มีความเพียรรู้จักรักษาตัว มีปัญญาตั้งอยู่ในศีลแล้ว ทําจิตและปัญญาให้ เกิดขึ้น ย่อมสะสางซึ่งความรุงรังอันนี้ได้
ศีลนี้เป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เหมือนกับพื้นธรณี อันเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลาย ศีลนี้เป็นรากเหง้าในการทํากุศลให้เจริญ ขึ้น
ศีลนี้เป็นหัวหน้าในศาสนาขององค์ สมเด็จพระชินสีห์ทั้งปวง" กองศีลอันดี ได้แก่ พระปาฏิโมกข์ ขอถวายพระพร "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน "
ตอนที่ ๕
ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะศรัทธา
" ข้าแต่พระนาคเสน ศรัทธา มีลักษณะ อย่างไร ? "
" มหาราชะ ศรัทธามีความผ่องใส เป็น ลักษณะ และ มีการแล่นไป เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร
"
ศรัทธามีความผ่องใส
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่าศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? "
" มหาราชะ ศรัทธา เมื่อเกิดขึ้นก็ข่ม นิวรณ์ ไว้ ทําจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ทําจิตให้ผ่องใส
ไม่ขุ่นมัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า มีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร "
" ขอนิมนต์อุปมาด้วย พระผู้เป็นเจ้า "
อุปมาพระเจ้าจักรพรรดิ
" มหาราชะ พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จพระราชดําเนินทางไกล พร้อมด้วยจตุรงคเสนา ต้องข้ามแม่น้ำน้อยไป น้ำในแม่น้ำน้อยนั้น ย่อมขุ่นไปด้วยช้าง ม้า รถ
พลเดินเท้า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จข้ามไปแล้ว ได้ตรัสสั่งพวกอํามาตย์ว่า
" จงนําน้ำดื่มมา เราจะดื่มน้ำ " แก้วมณีสําหรับทําน้ำให้ใส ของ พระเจ้าจักรพรรดินั้นมีอยู่
พวกอํามาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็นําแก้วมณีนั้น ไปกดลงในน้ำ พอวางแก้วมณี นั้นลงไปในน้ำ สาหร่าย จอก แหนทั้งหลาย ก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป
น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว พวกอํามาตย์ก็ตักน้ำนั้นไปถวายพระเจ้า
จักรพรรดิกราบทูลว่า " เชิญเสวยเถิด พระเจ้าข้า "
น้ำที่ไม่ขุ่นมัวฉันใด ก็ควรเห็นจิตฉันนั้น พวกอํามาตย์ฉันใด ก็ควรเห็นพระโยคาวจร ฉันนั้น
สาหร่าย จอก แหน โคลนตมนั้นฉันใด ก็ควรเห็นกิเลสฉันนั้น แก้วมณีอันทําน้ำให้ใส ฉันใด ก็ควรเห็นศรัทธาฉันนั้น
ฉะนั้น พอวางแก้วมณีอันทําน้ำให้ใส ลงไปในน้ำ สาหร่ายจอกแหนก็หายไป โคลนตม ก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัวฉันใด เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นก็ข่มนิวรณ์ไว้ ทําให้
จิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวจาก ความพอใจในรูป
สวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ การไม่ชอบใจ ฟุ้งซ่าน ง่วง และสงสัยฉันนั้น อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธา มีความผ่องใส
เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร "
ศรัทธามีการแล่นไป
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะนั้น คืออย่างไร ? "
" ขอถวายพระพร พระโยคาวจรเลื่อมใส ในปฏิปทาของพระอริยเจ้าแล้ว จิตของพระ โยคาวจรเหล่านั้นก็แล่นไปในโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล
อนาคามีผล อรหัตผล เป็น ลําดับไป แล้วพระโยคาวจรนั้นก็กระทําความ เพียรเพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อให้บรรลุ ธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ
เพื่อกระทําให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ยังไม่ได้กระทําให้แจ้ง อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะ"
" นิมนต์อุปมาให้แจ้งด้วย "
อุปมาบุรุษผู้ข้ามแม่น้ำ
" มหาราชะ เมฆใหญ่ตกลงบนภูเขาแล้ว ก็มีน้ำไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ทําซอกเขาระแหง ห้วยให้เต็มแล้ว ก็ล้นไหลไปสู่แม่น้ำเซาะ ฝั่งทั้งสองไป
เมื่อฝูงคนมาถึงไม่รู้ที่ตื้นที่ลึก แห่งแม่น้ำนั้นก็กลัว จึงยืนอยู่ริมฝั่งอันกว้าง
ลําดับนั้น ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาถึง เขาเป็นผู้มีกําลังเรี่ยวแรงมาก ได้เหน็บชายผ้านุ่งให้แน่น แล้วกระโดดลงไปในน้ำว่ายข้ามน้ำไป
มหาชนได้เห็นบุรุษนั้นข้ามน้ำไปได้ ก็พากันว่ายข้ามตามฉันใด
พระโยคาวจรได้เห็นปฏิปทาของพระ อริยะเหล่าอื่นแล้ว ก็มีจิตแล่นไปในโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล แล้วก็
กระทําความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ไม่ยังถึง เพื่อ บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทําให้แจ้งซึ่ง ธรรมที่ยังไม่ได้ทําให้แจ้งฉันนั้น อย่างนี้แหละ เรียกว่า
ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะ
ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า " บุคคลย่อมข้ามห้วงน้ำได้ด้วยศรัทธา ย่อมข้ามมหาสมุทรได้ด้วยความไม่ประมาท
ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ย่อมบริสุทธิ์ ได้ด้วยปัญญา " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน "
อธิบาย
บุคคลมีศรัทธาต่อสิ่งใด เมื่อระลึกถึงสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้น จิตใจย่อมผ่องใส และ จิตใจของเขาย่อมแล่นไปยังสิ่งนั้น หรือ บุคคลนั้นเสมอ ๆ
ผู้ศรัทธาในพระนิพพาน หรือผู้ถึง นิพพานแล้ว จิตย่อมแล่นไปในนิพพานเนือง ๆ มีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่เสมอ ย่อมทําความ เพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานนั้น
ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะวิริยะ
" ข้าแต่พระนาคเสน วิริยะ คือความเพียร มีลักษณะอย่างไร ? "
" มหาราชะ ความเพียร มีการ ค้ำจุนไว้ เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรค้ำจุนไว้แล้วย่อมไม่เสื่อม
"
" ขอนิมนต์อุปมาก่อน "
อุปมาเรือนที่จะล้ม
" ขอถวายพระพร เมื่อเรือนจะล้ม บุคคลค้ำไว้ด้วยไม้อื่น เรือนที่ถูกค้ำไว้นั้น ก็ไม่ล้มฉันใด ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้
เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น ก็ไม่เสื่อมฉันนั้น "
" ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "
อุปมาพวกเสนา
"มหาราชะ พวกเสนาจํานวนน้อย ต้อง พ่ายแพ้แก่เสนาหมู่มาก หากพระราชาทรง กําชับไปให้ดี ทั้งเพิ่มกองหนุนส่งไปให้ เสนาจํานวนน้อยกับกองหนุนนั้น ต้องชนะ
เสนาหมู่มากได้ฉันใด ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรอุดหนุนแล้ว ก็ไม่เสื่อมฉันนั้น "
ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทรงธรรม์ตรัสไว้ว่า " อริยสาวกผู้มีความเพียรเป็นกําลัง ย่อม ละอกุศล เจริญกุศลได้ ละสิ่งที่มีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษได้
ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
" พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว "
อธิบาย
การทําความเพียรนั้น คือไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ถ้าหย่อนเกินไป ก็จะเอียง ไปทางเกียจคร้าน ถ้าตึงเกินไปก็จะฟุ้งซ่าน จึงควรทําความเพียรแต่พอดี
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะสติ
" ข้าแต่พระนาคเสน สติ มีลักษณะ อย่างไร ? "
" มหาราชะ สติ มีลักษณะ ๒ ประการคือ
๑. มีการเตือน เป็นลักษณะ
๒. มีการถือไว้ เป็นลักษณะ ขอถวาย พระพร "
สติมีการเตือน
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะนั้น คืออย่างไร ? "
" ขอถวายพระพร สติเมื่อเกิดขึ้น ก็เตือนให้รู้จักสิ่งที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เลวดี ดําขาว ว่า
เหล่านี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้เป็น สัมมัปปธาน ๔ เหล่านี้เป็นอิทธิบาท ๔ เหล่านี้เป็นอินทรีย์ ๕ เหล่านี้เป็นพละ ๕ เหล่านี้เป็นโพชฌงค์ ๗
เหล่านี้เป็นอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ อันนี้เป็นสมถะ อันนี้ เป็นวิปัสสนา อันนี้เป็นวิชชา อันนี้เป็นวิมุตติ เหล่านี้เป็นเจตสิกธรรม ดังนี้
ลําดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้อง ธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องธรรมที่ ไม่ควรเกี่ยวข้อง คบหาธรรมที่ควรคบหา ไม่คบหาธรรมที่ไม่ควรคบหา
อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า
สติมีการเตือน เป็น ลักษณะ "
" ขอได้โปรดอุปมาด้วย "
อุปมานายคลังของพระราชา
" มหาราชะ นายคลังของพระราชา ย่อมทูลเตือนพระเจ้าจักรพรรดิ ให้ทรงระลึกถึง ราชสมบัติในเวลาเช้าเย็นว่า " ข้าแต่สมมุติเทพ
ช้างของพระองค์มีเท่านี้ ม้ามีเท่านี้ รถมีเท่านี้ พลเดินเท้ามีเท่านี้ เงินมีเท่านี้ ทองมีเท่านี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่เจ้าของมีเท่านี้
ขอพระองค์จงทรง ระลึกเถิด พระเจ้าข้า "
ข้อนี้มีอุปมาฉันใด สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ เตือนให้ระลึกถึงธรรมที่เป็นกุศล อกุศล มี โทษไม่มีโทษ เลวดี ดําขาว ว่าเหล่านี้เป็น สติปัฏฐาน ๔
เหล่านี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ ฯ ล ฯ ลําดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้องกับ ธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องกับธรรมที่ ไม่ควรเกี่ยวข้อง คบกับธรรมที่ควรคบ
ไม่ คบกับธรรมที่ไม่ควรคบ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะ "
" ชอบแล้ว พระนาคเสน "
สติมีการถือไว้
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่า สติมีการถือไว้เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? "
" มหาราชะ สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวน ให้ถือเอาซึ่งคติแห่งธรรมทั้งหลายว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์
ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ ลําดับนั้น พระโยคาวจรก็ละธรรมอัน ไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาธรรมที่มีประโยชน์
ละธรรมที่ไม่มีอุปการะเสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีอุปการะ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า
สติมีการถือเอาไว้ เป็นลักษณะ "
" ขอนิมนต์อุปมาให้ทราบด้วย "
อุปมานายประตูของพระราชา
" มหาราชะ นายประตูของพระราชาย่อม ต้องรู้จักผู้ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์ แก่พระราชา ผู้ที่มีอุปการะ หรือไม่มีอุปการะ
แก่พระราชา เป็นต้น ลําดับนั้น นายประตูก็กําจัดพวกที่ไม่มี ประโยชน์เสีย รับให้เข้าไปเฉพาะพวกที่มี ประโยชน์ กําจัดพวกที่ไม่มีอุปการะเสีย ให้
เข้าไปแต่พวกที่มีอุปการะฉันใด
สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวนให้ถือเอาคติแห่งธรรมทั้งหลายฉันนั้น ว่าธรรมเหล่านี้มี ประโยชน์ ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรม
เหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ ลําดับนั้น พระโยคาวจรก็กําจัดธรรมอัน ไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีประโยชน์ ละธรรมอันไม่มีอุปการะเสีย
ถือเอาแต่ธรรม อันมีอุปการะ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการถือไว้ เป็นลักษณะ
ข้อนี้สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า