วัดบางนมโคในอดีต
ลำดับเจ้าอาวาสวัดบางนมโค
.......เจ้าอาวาสวัดนี้เดิมทีจะมีกี่รูปไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มจะมีการบันทึกเป็นหลักฐาน
คือ...
1. เจ้าอธิการคล้าย
2. พระอธิการเย็น สุนทรวงษ์ มรณภาพ ปี พ.ศ. 2478
3. ท่านพระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 มีโอกาสได้เป็นเจ้าอาวาสได้เพียง 2 ปี ก็มรณภาพลง เมื่อวันที่ 26
ก.ค. 2480
4. พระอธิการเล็ก เกสโร
5. พระอธิการเจิม เกสโร
6. พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
7. พระอาจารย์อำไพ อุปเสโน
8. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) ได้รับการอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 - เวลานี้มรณภาพไปหลายปีแล้ว
9. เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ชาติภูมิของหลวงพ่อปาน
..........ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่าน "วัดบางนมโค" เมื่อปี พ.ศ. 2418 (หลวงพ่อบอกว่าไม่ทราบวันเดือนที่เกิด แต่พอถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 8
ท่านจะทำบุญหมดตัวทุกปี) โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์
โดยอาชีพทางครอบครัว คือ "การทำนา" สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือ ปานแดง อยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้ว ถึงปลายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว
ประวัติหลวงพ่อปาน (ชุดเก่า)
ณ โอกาสต่อไปนี้ จะได้เล่าประวัติความเป็นมาของ
"หลวงพ่อปาน" วัดบางนมโค ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามที่พอจะนึกได้ เพราะฉันเองก็ทราบแต่เพียงประวัติบางประการเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าจะทราบเรื่องราวของท่านตลอดชีวิตก็หาไม่ จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ หรือเล่าสู่กันฟังเท่าที่พอจะจำได้ หรือเท่าที่พอจะรู้เรื่องมา
แต่ความจริงเวลากาลก็ได้ล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว ฉันก็อาจจะหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง
เอ้า! ต่อแต่นี้ไปก็ขอได้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของ หลวงพ่อปาน
ให้ทราบเท่าที่พอจะจำได้....
.......วัดบางปลาหมอ
อยู่ในอำเภอเสนา "วัดบางปลาหมอ" เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อ "วัดประชุมญาติ" เมื่อเสียกรุงครั้งที่ 2 กลายเป็นวัดร้างไป
........ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 หลวงปู่สุ่นนอกจากเก่งในทางวิปัสสนาแล้ว ท่านยังเป็นพระที่มีวิชาในทางรักษาโรคด้วย ต่อมาชื่อวัดได้เพี้ยนไปกลายเป็น
บางปลาหมอ จนปัจจุบัน ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลวงปู่สุ่นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด ในยุครัตนโกสินทร์ได้สร้างพระพุทธไสยาสน์ ถวายนามว่า
พระไสยาสน์มงคลสรรเพชญ
".......ในเมื่อถึงเวลาบวช
เมื่อบวชจริงๆ ท่านบวชที่ "วัดบางปลาหมอ" เพราะว่าเวลานั้น "วัดบางนมโค" เวลานั้นเดิมทีเป็นวัดร้าง
........หลวงปู่คล้ายนี่..เป็นพระจากจังหวัดธนบุรี ขึ้นมาเริ่มสร้างวัดบางนมโคองค์แรก หมายความว่าสร้างทับที่เดิม เดิมมีกุฏิอยู่ ๒ - ๓ หลัง
ยังไม่ทันจะมีโบสถ์ ถ้าวัดไหนไม่มีอุโบสถหรือโบสถ์ วัดนั้นก็ยังบวชพระไม่ได้ ต้องไปบวชพระที่วัดที่สร้างพระอุโบสถแล้ว
........เมื่อบวชพรรษาแรก หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ควรจะอยู่กับอุปัชฌาย์ ๑ ปีก่อน เพราะอุปัชฌาย์จะได้อบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆ"
เมื่อขณะที่หลวงพ่อปานบวชขณะนั้น พอดี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ กำลังสร้างพระอุโบสถใหม่
........อันนี้จะเล่าถึงตัวท่าน ท่านบอกว่าเมื่อได้เห็นอาการอย่างนั้น จากพระอุปัชฌาย์และคู่สวดก็มีความเลื่อมใสมาก ก็เลยจำพรรษาอยู่วัดบางปลาหมอ ๑
พรรษา คือพรรษาแรก ทั้งๆ ที่จะไกลบ้านสักหน่อยก็ตามที แต่เพราะอาศัยจิตที่รักวิชาประเภทนี้คือกรรมฐาน
..........หลวงพ่อสุ่นได้เริ่มสอนหลวงพ่อปานให้เริ่มฝึกพระกรรมฐานตามแบบ วิสุทธิมรรค คือใน กรรมฐาน ๔๐ ครบถ้วน
โดยให้ท่องหัวข้อกรรมฐาน ๔๐ ให้จำได้ และก็แนะวิธีการปฏิบัติทุกอย่าง ตามในหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
..........แล้วต่อแต่นั้นไปเมื่อหลวงพ่อปานมีความสนใจในด้านอภิญญาสมาบัติ หลวงพ่อวัดบางปลาหมอ คือหลวงพ่อสุ่น ก็มอบกุญแจให้หนึ่งดอก แล้วบอกว่า
หลวงพ่อสุ่น
ได้ทราบอย่างนั้นแล้ว ท่านก็มาบอกว่า ปาน..! อารมณ์จิตแบบนี้แหล่ะ มันเป็นอารมณ์จิตสำหรับอภิญญา เพราะว่า อภิญญาสมาบัติ
จะต้องทรงสมาธิแน่นอนอย่างนั้น เมื่อท่านทราบอารมณ์ของสมาธิสำหรับการจะบำเพ็ญ อภิญญาสมาบัติ แล้ว
พระปริยัติ ต้องใช้ความจำมาก
จำวิภัติ จึงจะแปลหนังสือได้ครบถ้วน
ขณะที่จำธาตุ ปัจจัย วิภัติ ได้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็รู้จัก สัมพันธ์ การเดินประโยค การแปลหนังสือภาษาบาลี ย่อมไม่เหมือนภาษาอื่น
มีไวยากรณ์ที่มีความลึกซึ้ง ละเอียดลออมากบอกเพศครบ ทุกอย่างละเอียดลออ
วิสุทธิมรรค
◄ll กลับสู่ด้านบน
..........เมื่อท่านกลับมาถึงวัด ทีแรกก็กลับเข้ามา วัดบางปลาหมอ
หลวงพ่อสุ่น ก็บอกว่า ปาน..วัดบางปลาหมอ นี่มันมีวัตถุครบถ้วนทุกอย่าง มีโบสถ์ มีศาลา มีกุฏิ มีอะไรต่ออะไรพร้อม แต่ว่า
วัดบางนมโค นี่ยังไม่มีอะไร เป็นวัดร้างมาก่อน
..........หลวงปู่คล้าย มารื้อถอนขึ้น เป็นวัดโบราณจริง ๆ เป็นวัดเก่า มีพระบรมสารีริกธาตุ อยู่ที่วัดนั้น เธอจงไปบูรณะ
วัดบางนมโค เถิด เป็นวัดในตระกูลของเธอ และเธอควรจะบูรณะให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เธอทำได้ เพียงท่านมีบัญชา หลวงพ่อปานก็ปฏิบัติตาม
และท่านสั่งว่า....
..........เมื่อไปถึงวัดละก็ให้สร้างเจดีย์ก่อน ท่านบอกสถานที่ให้สร้าง ท่านบอกว่า ที่ตรงนั้น
หน้าโบสถ์เก่า มีพระบรมสารีริกธาตุโบราณ ท่านโบราณาจารย์ฝังเอาไว้ ๓ องค์ เมื่อมาถึงแล้ว ท่านก็เริ่มปรารภการสร้างเจดีย์ ชาวบ้านเขาก็เห็นชอบด้วย
แล้วพร้อมกันนั้น ท่านก็ตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม สอนบาลี และก็สอนนักธรรม คือความรู้ในด้านพระธรรมวินัยตามที่ศึกษามา ปรากฏว่ามีนักเรียนทั้งหมด
ประมาณสัก ๓๐๐ คนเห็นจะได้ ท่านว่าอย่างนั้น
(รูปปั้นหลวงพ่อสุ่น ณ วัดบางปลาหมอ)
ใบมะกากับหญ้าแพรก สมัยที่ฉันบวชใหม่ ๆ
ยาหม้อหนึ่งก็ราคา ๑ บาท หมายความว่า ทั้งหม้อด้วยทั้งใบมะกากับข่า หรือ
ใบมะกากับหญ้าแพรก อีกประมาณ ๑ บาท หรือบางทีก็ไม่ถึง ๑ บาท แค่ ๗๐ - ๘๐ สตางค์
เคยมีคนไข้ที่มารักษากับท่าน มีเกือบทุกโรค โรคมีเกือบทุกอย่าง ไอ้ที่เขาเรียกว่า โรคคุณไสย อย่างนี้ฉันเคยเห็น
แล้วโรคแปลกออกไปที่เขาเรียกว่า คุณคน คำว่า คุณคน ในที่นี้เป็นอาคมอย่างหนึ่งที่เขาเสกวัตถุแล้วให้เขาไปอยู่ในกายของเรา
◄ll กลับสู่ด้านบน
ให้ได้อภิญญาสมาบัติกันมากมาย
◄ll กลับสู่ด้านบน
".......และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ท่านรักษา ท่านไม่เคยเรียกเงินเรียกทอง ท่านทำเป็นสาธารณประโยชน์จริง ๆ หมายความว่ารักษาให้ด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ
เพราะอาศัยการสงเคราะห์เป็นปัจจัยนี่เอง เวลาที่ท่านจะสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ ท่านไม่ต้องเรี่ยไร ฎีกาของท่านที่แจกออกไปนั้น
ท่านบอกเลยว่าฉันจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ ( หลวงพ่อปานเนี่ย สร้างวัดถึง ๔๐ วัดกว่า )
.........แต่ว่าการทำอย่างนี้ไม่มีการเรี่ยไร ฎีกาที่ใครได้รับไปแล้ว ถ้าบุคคลใดที่นำฎีกาไปแล้ว จะขอรับเงินมา ท่านบอกว่า "
จงอย่ามอบมาเป็นอันขาด " ฉันไม่ได้ใช้ไปเรี่ยไร เป็นแต่เพียงว่าฎีกานี้บอกข่าวเท่านั้น ถ้าใครจะทำบุญให้มาทำบุญกับฉันที่วัด อย่าไปทำหรืออย่าให้
กับคนที่ถือฎีกาเป็นอันขาด "
.........ในฎีกาของท่านบอกไว้อย่างนี้เสร็จเรียบร้อย แต่ว่าทั้ง ๆ ที่ท่านจำกัดอย่างนั้นนะ คนที่อยู่ไกล ๆ บางทีเราจะคิดว่าถ้าไม่ฝาก เขาจะมาไม่ได้
ไม่เป็นเช่นนั้น ทุกคนที่ได้รับข่าวแล้วมาตามนัด หมายความว่ามาตาม กำหนดของฎีกาครบถ้วน
..........ท่านจะสร้างโบสถ์สร้างศาลาสักเท่าไหร่ก็ตาม ท่านก็ทำได้ง่าย ๆ จะสร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง สร้างศาลาสักหลังหนึ่ง จะสร้างวัดสักวัดหนึ่ง
ท่านสั่งของมาก่อน ท่านไม่ได้หาเงินก่อนแล้วสร้าง สั่งของมาทำจนเสร็จก่อน เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ประกาศงานฉลอง
".......ตอนนี้เมื่อเล่าถึง วิธีการแจกพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะเล่าถึงตำรา มันจะเป็นตอนหลัง ๆ ก็ช่างเถอะ แต่ว่าเรื่องมันสืบกัน คือก่อนที่ท่านจะตาย
๑ ปี ปรากฏว่าท่านอาจารย์แจง ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ลงมาจากเมืองสวรรคโลก มาบอกท่านบอกว่า ท่านต้องการตำราเล่มสำคัญ คือตำราของท่านอาจารย์แจง
ที่มอบให้หลวงพ่อปานไว้น่ะมี ๓ เล่ม ( เป็นตำราสมุดข่อย ) ต้องการตำราเล่มสำคัญเล่มนั้น เอาไปเพื่อจะทบทวนความรู้ ท่านว่าอย่างนั้น แล้วท่านก็จะส่งให้
หลวงพ่อปานท่านก็มอบให้ไป
........พอมอบให้ไปแล้ว ก็ปรากฏว่าพอไปถึงบ้าน ภายในระยะปีนั้น อาจารย์แจงก็ตาย แล้วหลวงพ่อปานก็ตายเหมือนกัน เรียกว่าตายปีเดียวกัน ต่างคนต่างไม่รู้
ที่รู้ว่าอาจารย์แจงตายก็เพราะว่า ให้คนไปบอกว่าเวลานี้หลวงพ่อปานตายแล้ว ให้ท่านลงมา หรือว่าท่านจะทำอย่างไรก็ช่าง ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์
.........พอไปทางโน้น ภรรยาของท่านอาจารย์ ก็บอกว่า ท่านอาจารย์ก็ตายแล้วเหมือนกัน อายุท่านไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้ว พวกเราทำศพหลวงพ่อแล้ว
ก็คิดถึงตำราเล่มที่ ๓ ขึ้นมา ว่าตำราเล่มนั้นฉันเอง ก็เคยอ่านว่ามีธงมหาพิชัยสงคราม คือธงออกรบ ซึ่งตำราของอาจารย์อื่น ๆ
ฉันไปดูแล้วไม่มี ถึงจะมีก็ไม่เหมือน ไม่ละเอียดละออเหมือน
(Update 9 พ.ค. 51)
".....ทีนี้กลับไปอีกทีหนึ่ง
ท่านเล่าถึงวิธีการที่ท่านเจริญพระกรรมฐาน เมื่อท่านเจริญพระกรรมฐานกับ หลวงพ่อสุ่น กับ หลวงปู่คล้าย กับ
หลวงพ่อปั้น แล้ว ต่อมาหลวงพ่อปั้น หลวงพ่อสุ่น หลวงปู่คล้ายตาย ท่านก็คิดว่า " โอหนอ..นี่เราหมดที่พึ่งเสียแล้วหรือ
อาจารย์ของเราตายนี่เราก็ยังดีไม่พอ ขึ้นชื่อว่ากรรมฐานยังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องแสวงหาความดีต่อไป "
.........ในขณะนั้นก็ได้ยินชื่อพระอยู่องค์หนึ่งอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อ หลวงพ่อเนียม อยู่วัดน้อย ใต้ตัวเมือง
จ.สุพรรณบุรี ไปใกล้ อ.บางปลาม้า หลวงพ่อเนียมได้ยินข่าวว่า ท่านเก่งนักเป็นพระกรรมฐานเก่งมาก มีวิชาการเก่งทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรเก่งหมด
คนเขารํ่าลือกันเหลือเกินหลวงพ่อเนียม ท่านก็ไม่รู้จัก ท่านก็เลยตัดสินใจไปหาหลวงพ่อเนียม คือไปเวลานั้นน่ะ ไอ้รถยนต์เรือยนต์ก็ไม่มี
จะไปไหนถ้าไปเรือก็ต้องแจว ต้องแจวเรือไปพายเรือไป ถ้าจะแจวเรือ หรือพายเรือไปจังหวัดสุพรรณบุรี ก็ต้องเสียเวลาถึง ๒ - ๓ วัน มันก็ต้องรบกวนชาวบ้านเขา
...........ท่านก็เลยบอกว่า ท่านธุดงค์ ใช้กลดธุดงค์ไป ออกจากวัด มุ่งหน้าตัดเข้าสู่เขตอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เดินทาง ๒ วันก็ถึงวัดของหลวงพ่อเนียม
เมื่อเข้าไปในวัดของท่าน จะไปหาหลวงพ่อเนียม ปรากฏว่าหลวงพ่อเนียมเดินนุ่งผ้าอาบลอยชาย ผ้าอาบก็เห็นจะคล้าย ๆ
กับไอ้ที่ฉันใส่ไปเที่ยวดาวดึงส์น่ะแหละ เก่า ๆ อีกผืนหนึ่งท่านก็คล้องคอแบบฉัน ท่านว่าอย่างนั้น หลวงพ่อเนียมท่าทางจะเป็นพระผอม ๆ เดินเกะกะ ๆ
อยู่กลางลานวัด
◄ll กลับสู่ด้านบน
".......เป็นอันว่า
หลวงพ่อปาน ก็ไปสอบทาน กรรมฐานกับ หลวงพ่อโหน่ง เรื่องนี้เห็นจะไม่ต้องเล่า เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้เรื่องการสอบทาน
เป็นเรื่องของท่าน วิธีสอบทานกรรมฐาน เขาไม่มีอะไร
.........เขานั่งหลับตากันไป หลับตากันมา ต่างคนต่างหลับตา แล้วบอกว่า กองนี้นะ ก็กองนี้ กองนั้นนะ ก็กองนั้น แล้วก็หลับตาภาวนาตามกอง เข้าสมาธิตามกอง
พอเข้าครบถ้วนหมด ทุกกองที่หลวงพ่อปานได้ หลวงพ่อโหน่งก็บอกข้าก็ได้เท่านี้แหละ เป็นอันว่าไม่ต้องเรียนจากกันอีกได้เท่านี้
.........ทีนี้จะเล่าถึง ประวัติของหลวงพ่อโหน่ง สักเล็กน้อย เพราะท่านเป็นพระอัศจรรย์ ที่ควรจะรู้เหมือนกัน เมื่อสมัยก่อนมีพระดีมาก
ไม่ใช่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ดีกันแค่ปาก ไอ้อย่างฉันก็เหมือนกัน ฉันก็ดีแค่ปาก แต่ส่วนจิตใจหรือร่างกายนี่มันไม่ดีน่ะ
.........ที่ใครเขา คิดว่าดี บางทีเขาเข้าใจผิด ไอ้ฉันมันก็เก่งแค่ปากนะ พูดให้ฟังได้ แต่ว่าไอ้การทำมันก็แย่ เหมือนกัน ก็แย่เหมือนกับพระอื่น ๆ
ในสมัยนี้นะแหละ จะเข้าใจว่าฉันดีวิเศษนะ เข้าใจผิด
.........ฉันมีดีอยู่อย่างเดียว คือจำตำรา จำขี้ปากครูบาอาจารย์มาพูด ให้ท่านทั้งหลายฟัง ใครฟังแล้ว ก็นึกว่าฉันเป็นนักจำก็แล้วกัน
อย่านึกว่าฉันเป็นนักปฏิบัติ ที่ได้มรรคได้ผลอะไร อย่าเข้าใจผิด จะหลงใหลไปเปล่าๆ
.........สำหรับ หลวงพ่อโหน่ง นี้ประวัติเดิมของ ท่านเป็นพระที่ไม่มีความรู้อะไรมาก รู้หนังสือพอเขียนได้อ่านออก เมื่อท่านเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
พอบวชแล้ว อยู่วัดบ้านนอกได้พรรษาหนึ่ง ท่านก็เข้าไปกรุงเทพ ฯ เข้าไปที่ วัดโพธิ์ท่าเตียน