ตามรอยพระพุทธบาท

ประวัติพุทธสาวก เรื่อง พระมหาโมคคัลลานเถระ
praew - 29/10/09 at 09:09



พระมหาโมคคัลลานเถระ


เรื่องท่านพระมหาโมคคัลลานเถระนั้น ท่านได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องแห่ง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร นั่นแล

จริงอยู่ ในวันที่ ๗ แต่วันที่บวชแล้ว พระเถระเข้าไปอาศัย กัลลวาลคาม ในมคธรัฐ กระทำสมณธรรม เมื่อ ถีนมิทธะ คือความง่วง เข้าครอบงำ ถูกพระศาสดาทรงให้สลดด้วยคำว่า โมคคัลลานะพราหมณ์ ท่านอย่าประมาทความเป็นผู้นิ่งอันประเสริฐ ดังนี้แล้ว บรรเทาถีนมิทธะ ฟังธาตุกรรมฐานที่พระศาสดาตรัสนั่นแล เจริญวิปัสสนา เข้าถึงมรรคเบื้องบน ๓ ตามลำดับ บรรลุสาวกบารมีญาณในขณะพระอรหัตผล ด้วยเหตุนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี เป็นผู้ประเสริฐในโลกเป็นนระผู้องอาจ อันเทวดาและภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับอยู่ ณ ประเทศหิมวันต์ เวลานั้น เราเป็นนาคราชมีนามว่า วรุณ แปลงรูปอันน่าใคร่ได้ต่างๆ อาศัยอยู่ในทะเลใหญ่ เราละหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารทั้งสิ้นมาตั้งวงดนตรีในกาลนั้น หมู่นาคแวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโคมอยู่ เมื่อดนตรีของมนุษย์และนาคประโคมอยู่ ดนตรีของเทวดาก็ประโคม พระพุทธเจ้าทรงสดับเสียง ๒ ฝ่ายแล้ว ทรงตื่นบรรทม

เรานิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปยังภพของเรา เราปูลาดอาสนะแล้วกราบทูลเวลาเสวยพระกระยาหาร พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายกของโลก อันพระขีณาสพพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ทรงยังทิศทุกทิศให้สว่างไสว เสด็จมายังภพของเรา เวลานั้น เรายังพระมหาวีรเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเทวดา เป็นนระผู้องอาจ ซึ่งเสด็จเข้ามาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ พระมหาวีรเจ้าผู้เป็นสยัมภูอัครบุคคลทรงอนุโมทนาแล้ว ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

“ผู้ใดได้บูชาสงฆ์และได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้นายกของโลก ด้วยจิตอันเลื่อมใสผู้นั้นจักไปสู่เทวโลก จักเสวยเทวรัชสมบัติสิ้น ๓๓ ครั้ง จักเสวยราชสมบัติแผ่นดินครอบครองพสุธาน ๑๐๘ ครั้ง และจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๕ ครั้ง โภคสมบัติอันนับไม่ถ้วนจักบังเกิดแก่ผู้นั้นขณะนั้น”

ในกัปนับไม่ถ้วนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่า โคตมะ โดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นั้นเคลื่อนจากนรกแล้ว จักถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็นบุตรพราหมณ์มีนามชื่อว่า โกลิตะ ภายหลังอันกุศลมูลตักเตือนแล้ว เขาจักออกบวช จักได้เป็นพระสาวกองค์ที่สอง ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม จักปรารภความเพียรมอบกายถวายชีวิตถึงที่สุดแห่งฤทธิ์ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะจักปรินิพพาน.

เพราะอาศัยมิตรผู้ลามก ตกอยู่ในอำนาจกามราคะ มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว ฆ่ามารดาและแม้บิดาได้ เราได้เข้าถึงภูมิใดๆ จะเป็นนิรยภูมิ หรือมนุสสภูมิก็ตาม อันพรั่งพร้อมด้วยกรรมอันลามก เราก็ต้องศีรษะแตกตายในภูมินั้นๆ นี้ เป็นกรรมครั้งสุดท้ายของเรา ภพที่สุดย่อมเป็นไป แม้ในภพนี้กรรมเช่นนี้จักมีแก่เราในเวลาใกล้จะตาย

เราหมั่นประกอบในวิเวก ยินดีในสมาธิภาวนา กำหนดรู้อาสวะทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ แม้แผ่นดินอันลึกซึ้งหนาอันอะไรขจัดได้ยาก เราผู้ถึงที่สุดแห่งฤทธิ์พึงให้ไหวได้ด้วยนิ้วแม่มือซ้าย เราไม่เห็นอัสมิมานะ มานะของเราไม่มี (เราไม่มีมานะ) เรากระทำความยำเกรงอย่างหนัก แม้ที่สุดในสามเณร ในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้ เราสั่งสมกรรมใดไว้ เราบรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้น เป็นผู้บรรลุถึงธรรมเครื่องสิ้นอาสวะแล้วคุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล

ครั้นในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่แห่งพระอริยะ ใน เชตวันมหาวิหาร เมื่อจะทรงตั้งสาวกทั้งหลายของพระองค์ในเอตทัคคะด้วยความเป็นผู้มีฤทธิ์ว่า

ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์ โมคคัลลานะเป็นเลิศเพราะเหตุนั้น พระมหาเถระผู้ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ ที่พระศาสดาทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พรหมองค์หนึ่งเกิดทิฏฐิชั่วช้าลามกเห็นปานดังนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ที่จะมาในพรหมโลกนี้ได้ไม่มีเลย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพรหมนั้นด้วยพระทัยแล้ว ทรงหายไปจากพระวิหารเชตวันไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไปหรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดเช่นนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนพรหมนั้น ทรงเข้าเตโชกสิณด้วยจักษุเพียงดังทิพย์บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นแล้วจึงได้หายไปจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบปานบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไปหรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะอาศัยทิศบูรพา นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น(แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าเตโชธาตุกสิณ

ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ได้มีความดำริดังนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ท่านพระมหากัสสปะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ทรงเข้าเตโชธาตุกสิณ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ จึงหายไปจากพระวิหารเชตวันไปปรากฏในพรหม

โลกนั้น เหมือนบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะอาศัยทิศใต้นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณ

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะ ได้มีความดำริดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ท่านพระมหากัปปินะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ทรงเข้าเตโชธาตุกสิณ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นแล้วได้หายไปจากพระวิหารเชตวัน ได้ปรากฏในพรหมโลกนั้นเหมือนบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะ อาศัยทิศตะวันตกนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณ

ลำดับนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ ได้มีความดำริดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ท่านพระอนุรุทธะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิ ทรงเข้าเตโชธาตุกสิณ ในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นแล้วได้หายไปจากพระวิหารเชตวัน ได้ปรากฏในพรหมโลกนั้นเหมือนบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น ลำดับนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะ อาศัยทิศเหนือนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณ

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้กล่าวกะพรหมนั้นด้วยคาถาว่า

“ดูก่อนผู้มีอายุ แม้วันนี้ ท่านก็ยังมีความเห็นผิดอยู่เหมือนเมื่อก่อน ท่านยังจะเห็นอยู่หรือว่าบนพรหมโลกมีแสงสว่างพวยพุ่งออกได้เอง”

พรหมกล่าวว่า “พระคุณเจ้าผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นผิดเหมือนเมื่อก่อนที่ว่า ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างพวยพุ่งไปเองในพรหมโลก ไฉนในวันนี้ข้าพเจ้าจึงจะพึงกล่าวว่า เราเป็นผู้เที่ยงเป็นผู้ยั่งยืน ดังนี้เล่า”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำพรหมนั้นให้สลดใจแล้ว ได้หายไปจากพรหมโลกนั้น ปรากฏในพระวิหารเขตวันเหมือนบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น

ลำดับนั้นแล พรหมนั้นได้เรียกพรหมปาริสัชชะ พรหมพวกรับใช้องค์หนึ่งมาว่า แน่ะ ท่านผู้นิรทุกข์ มาเถิด ท่านจงเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจงกล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะอย่างนี้ว่า

“ข้าแต่ท่านผู้มีนิรทุกข์ สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้องค์อื่นๆ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเหมือนกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสปะ ท่านพระกัปปินะ และท่านพระอนุรุทธะ ยังมีอยู่หรือ”

พรหมปาริสัชชะนั้นรับคำของพรหมนั้นว่า “อย่างนั้นท่านผู้นิรทุกข์ แล้วเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้องค์อื่นๆ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเหมือนท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระกัปปินะ พระอนุรุทธ ยังมีอยู่หรือ”

ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมปาริสัชชะนั้นด้วยคาถาว่า

พระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ได้วิชชาสามบรรลุอิทธิญาณ ฉลาดในเจโตปริยญาณ ยังมีอยู่เป็นอันมาก

ลำดับนั้นแล พรหมปาริสัชชะนั้นชื่นชมยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว เข้าไปหาพรหมนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะพรหมนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวอย่างนี้ว่า

พระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ได้วิชชาสาม บรรลุอิทธิญาณ ฉลาดในเจโตปริยญาณ ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก

พรหมปาริสัชชะได้กล่าวคำนี้แล้วและพรหมนั้นมีใจยินดี ชื่นชมภาษิตของพรหมปาริสัชชะนั้น ฉะนี้แล

สมัยหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลนิมนต์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอพระองค์กับภิกษุ ๕๐๐ โปรดรับภิกษาหารในเรือนของข้าพระพุทธองค์เถิด พระเจ้าข้า” แล้วได้หลีกไป

ก็วันนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุในเวลาใกล้รุ่ง พญานาคนามว่า นันโทปนันทะ มาสู่คลองในหน้าแห่งพระญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า นาคราชนี้มาสู่คลองในหน้าพระญาณของเรา อะไรหนอจักเกิดมี ก็ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งสรณคมน์ จิตทรงรำพึง (ต่อไปอีก) ว่า นาคราชนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ใครหนอจะพึงปลดเปลื้องนาคราชนี้จากมิจฉาทิฏฐิได้ ก็ได้ทรงเห็นพระโมคคัลลานะ

แต่นั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว พระองค์ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้วจึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาว่า อานนท์ เธอจงบอกแก่ภิกษุ ๕๐๐ ว่า พระตถาคตจะเสด็จจาริกไปยังเทวโลก ก็วันนั้น พวกนาคตระเตรียมภาคพื้นเป็นที่มาดื่ม (โรงดื่มสุรา) เพื่อนันโทปนันทราคราช นันโทปนันทนาคราชนั้น

อันพวกนาคกางกั้นด้วยเศวตฉัตรทิพย์นพรัตนบัลลังก์ทิพย์ห้อมล้อมด้วยนักฟ้อน ๓ พวกและนาคบริษัท นั่งมองดูชนิดแห่งข้าวและน้ำที่เขาจัดวางไว้ในภาชนะทิพย์ทั้งหลาย ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำให้นาคราชเห็น เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังดาวดึงสเทวโลก พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ โดยเฉพาะทางยอดวิมานของนาคราชนั้น

ก็สมัยนั้นแล นันโทปนันทนาคราชเกิดความเห็นอันชั่วช้า เห็นปานนี้ขึ้นว่าพวกสมณะหัวโล้นเหล่านี้ เข้าๆ ออกๆ ยังที่อยู่ของพวกเทพดาวดึงส์ โดยทางเบื้องบนที่อยู่ของพวกเรา คราวนี้ ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่ให้พวกสมณะเหล่านี้โปรยขี้ตีนลงบนหัวของเราแล้วไป จึงลุกขึ้นไปยังเชิงเขาสิเนรุ ละอัตภาพนั้น เอาขนดวงรอบเขาสิเนรุ ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานข้างบน เอาพังพานคว่ำลงครอบงำเอาภพดาวดึงส์ไว้ ทำให้มองไม่เห็น

ลำดับนั้นแล ท่านพระรัฏฐบาล ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ยืนอยู่ตรงประเทศนี้มองเห็นเขาสิเนรุ เห็นวงขอบเขาสิเนรุ เห็นภพดาวดึงส์ เห็นเวชยันตปราสาท เห็นธงเบื้องบนเวชยันตปราสาท ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเหตุอะไรหนอ ปัจจัยอะไรหนอ ซึ่งเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ไม่เห็นภูเขาสิเนรุ ฯลฯ ไม่เห็นธงเบื้องบนเวชยันตปราสาท ในบัดนี้”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกว่า “รัฏฐปาละ นาคราชชื่อว่า นันโทปนันทะนี้ โกรธพวกเธอจึงเอาขนดหางวงรอบเขาสิเนรุ ๗ รอบ เอาพังพานปิดข้างบนกระทำให้มืดมิดอยู่ ท่านพระรัฏฐปาละทูลว่า

“ข้าพระองค์ขอทรมานนาคราชตนนั้นพระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต

ลำดับนั้นแล ภิกษุแม้ทั้งหมดก็ลุกขึ้นโดยลำดับ คือ ท่านพระภัททิยะ ท่านพระราหุล พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาต

ในที่สุด พระมหาโมคคัลลานเถระ กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ขอทรมานนาคราชนั้น พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า “โมคคัลลานะ เธอจงทรมาน”

พระเถระเปลี่ยนอัตภาพนิรมิตเป็นรูปนาคราชใหญ่ เอาขนดหางวงรอบ นันโทปนันทนาคราช ๑๔ รอบ วางพังพานของตนลงบนยอดพังพานของนันโทปนันทนาคราชแล้ว กดเข้ากับเขาสิเนรุ นาคราชบังหวนควัน พระเถระกล่าวว่า จะมีแต่ควันในร่างกายของท่านเท่านั้นก็หามิได้ แม้ของเราก็มี แล้วจึงบังหวนควัน ควันของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ แต่ควันของพระเถระเบียดเบียนนาคราช

ลำดับนั้น นาคราชจึงโพลงไฟ ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า จะมีแต่ไฟในร่างกายของท่านเท่านั้นก็หาไม่ แม้ของเราก็มี จึงโพลงไฟ ไฟของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ แต่ไฟของพระเถระเบียดเบียนนาคราช นาคราชคิดว่า พระองค์นี้กดเราเข้ากับเขาสิเนรุ แล้วบังหวนควันและทำให้ไฟโพลง จึงสอบถามว่า

“ผู้เจริญ ท่านเป็นใคร”

พระเถระตอบว่า

“นันทะ เราแหละคือโมคคัลลานะ”

นาคราชกล่าวว่า

“ท่านผู้เจริญ ท่านจงดำรงอยู่โดยภิกขุภาวะของตนเถิด”

พระเถระจึงเปลี่ยนอัตภาพนั้น แล้วเข้าไปทางช่องหูขวาของนาคราชนั้นแล้วออกทางช่องหูซ้าย เข้าทางช่องหูซ้ายแล้วออกทางช่องหูหขวา อนึ่ง เข้าทางช่องจมูกขวาออกทางช่องจมูกซ้าย เข้าทางช่องจมูกซ้ายแล้วออกทางช่องจมูกขวา

ลำดับนั้น นาคราชได้อ้าปาก พระเถระจึงเข้าทางปากแล้วเดินจงกรมอยู่ภายในท้อง ทางด้านทิศตะวันออกบ้าง ด้านทิศตะวันตกบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“โมคคัลลานะ เธอจงใส่ใจ นาคมีฤทธิ์มากนะ”

พระเถระกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อิทธิบาท ๔ ข้าพระองค์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นดุจวัตถุที่ตั้ง ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมไว้แล้ว ปรารภไว้ดีแล้ว นันโทปนันทะจงยกไว้เถิด พระเจ้าข้า นาคราชเช่นกับนันโทปนันทะ ตั้งร้อยก็ดี ตั้งพันก็ดี ตั้งแสนก็ดี ข้าพระองค์ก็พึงทรมานได้”

นาคราชคิดว่า เมื่อตอนเข้าไป เราไม่ทันเห็น ในเวลาออกไปในบัดนี้เราจักใส่เขาในระหว่างเขี้ยวและเคี้ยวกินเสีย ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า ขอท่านจงมาเถิดขอรับ อย่าเดินไปๆ มาๆ ภายในท้อง ทำข้าพเจ้าให้ลำบากเลย พระเถระได้ออกไปยืนข้างนอก นาคราชเห็นว่านี้คือเขาละ จึงพ่นลมทางจมูก พระเถระเข้าจตุตถฌาน แม้ขุมขนของพระเถระ ลมก็ไม่สามารถทำให้ไหวได้ นัยว่า ภิกษุทั้งหลายที่เหลือสามารถทำปาฏิหาริย์ทั้งมวลได้ จำเดิมแต่ต้น แต่พอถึงฐานะนี้ จักไม่สามารถสังเกตได้รวดเร็วอย่างนี้แล้วเข้าสมาบัติ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทรมานนาคราช

นาคราชคิดว่า เราไม่สามารถเพื่อจะทำขุมขนของสมณะนี้ให้ไหวได้ด้วยลมจมูก สมณะนั้นมีฤทธิ์มาก พระเถระจึงละอัตภาพนิรมิตรูปครุฑ แสดงลมครุฑไล่ติดตามนาคราชไป นาคราชจึงละอัตภาพนั้นนิรมิตรูปมาณพน้อยแล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมขอถึงท่านเป็นสรณะ ไหว้เท้าพระเถระ พระเถระกล่าวว่า นันทะ พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ท่านจงมา พวกเราจักได้ไป

ท่านทรมานนาคราชทำให้หมดพยศแล้ว ได้พาไปยังสำนักของพระศาสดา นาคราชถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์เป็นสรณะ”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ท่านจงเป็นสุขเถิดนาคราช” ดังนี้แล้ว อันหมู่ภิกษุห้อมล้อม ได้เสด็จไปยังนิเวศน์ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุไรพระองค์จึงเสด็จมาสาย”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โมคคัลลานะและนันโทปนันทะได้ทำสงครามกัน”

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลว่า

“ก็ใครแพ้ ใครชนะ พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“โมคคัลลานะชนะ นันทะแพ้”

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับภัตตาหารของข้าพระองค์ตามลำดับแห่งเดียวตลอด ๗ วัน ข้าพระองค์จักกระทำสักการะแก่พระเถระ ๗ วันแล้วได้กระทำมหาสักการะแก่ภิกษุ ๕๐๐ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน


((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอน ... พระมหาโมคคัลลานเถรนิพพาน )))


praew - 6/11/09 at 08:30

พระมหาโมคคัลลานเถรนิพพาน


ครั้งหนึ่งนั้นสมเด็จพระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสด็จสำราญพระทัยในพระเวฬุวันวิหาร อาศัยเมืองราชคฤห์เป็นที่ภิกขาจารมิได้ขาด พระองค์เทศนาโปรดเวไนยสัตว์เป็นเนืองนิจ พระองค์ปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระให้เป็นเหตุ จึงตรัสเทศนาเรื่องราวนี้

พระผู้เป็นเจ้ามหาโมคคัลานเถระองค์นี้ ท่านเป็นทุติยาสาวกปรากฏด้วยอิทธิฤทธิ์ศักดา ยิ่งกว่าเทวดาและมนุษย์ในไตรภพทั้ง ๓ เว้นไว้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว นอกกว่านั้นไม่มีใครเสมอพระมหาโมคคัลลานเถระ องค์สมเด็จพระมหากรุณายกเป็นเอตทัคคะว่าประเสริฐเลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าสาวกในพระศาสนา องค์สมเด็จพระมหากรุณายกเป็นเอตทัคคะฉะนี้

ฝ่ายพระมหาโมคคัลานเถระท่านเที่ยวไปสู่เทวจาริกในสวรรค์ นำเอาการกุศลที่เทพบุตรเทพธิดาเขากระทำอย่างนั้นๆ เอามาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์แล้วลงไปสู่นรกเล่า นำเอาข่าวมาบอกแก่คนทั้งหลาย ว่าบุคคลกระทำบาปมีชื่อนี้ๆ ไปทนทุกขเวทนาในนรกขุมนั้นๆ ตกว่าพระมหาโมคคัลลานเถระนั้น ท่านเที่ยวไปในสวรรค์และนรกมิได้ขาด ท่านโปรดสัตว์ที่ไปทนทุกข์ให้เป็นสุขสบาย พระผู้เป็นเจ้าก็ขวนขวายในกิจของพระผู้เป็นเจ้าตามประเพณีมาช้านาน ครั้นอยู่มากาลครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระนั้น ท่านจำพระวัสสาอยู่ ณ กาฬศิลาประเทศเป็นที่สำราญใจ

ครั้งนั้นพวกเดียรถีย์นิครนถ์ทั้งหลายก็ปราศจากลาภสักการบูชา มหาชนเขาเลื่อมใสในพระศาสนาเป็นอันมาก ไม่มีใครเขานับถือข้างตน เดียรถีย์นิครนถ์ผู้ใหญ่จึงมีวาจาปรึกษาว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ใครจะเห็นกระไรบ้างในครั้งนี้ พระสมณโคดมเธอประกอบไปด้วยลาภสักการบูชา เกิดลาภเกิดผลทั้งนี้อาศัยบุคคลผู้ใด อาวุโสทั้งหลายรู้แล้วหรือ เดียรถีย์ทั้งหลายจึงตอบคำไปว่า ข้าไม่รู้ เดียรถีย์ผู้ใหญ่นั้นจึงว่าท่านไม่รู้หรือ คือใครเล่า ลาภสักการะจะเกิดแก่พระสมณโคดมทั้งนี้ๆ ก็อาศัยแก่พระโมคคัลลานเถระผู้เดียว พระโมคคัลลานเถระนั้น เธอมีฤทธิ์เที่ยวขึ้นไปบนสวรรค์ ถามซึ่งการกุศลที่เทพบุตรเทพธิดากระทำ ก็นำเอาลงมาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์ว่า

ดูกรท่านทั้งหลายผู้จำเริญ บุคคลกระทำกุศลชื่อนั้นๆ ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ประกอบด้วยสมบัติบริวารนับร้อยนับพัน เขาได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร ใช่แต่เท่านั้น พระโมคคัลลานเถระเธอลงไปนรกได้เห็นสัตว์นรกทั้งหลายทนทุกขเวทนาสาหัส จึงถามบุพพกรรมที่สัตว์นรกทั้งหลายกระทำมาแต่หลัง แล้วจึงนำเอาคดีนั้นมาบอกแก่มหาชนชายหญิงว่า

ดูกรท่านทั้งหลายผู้จำเริญ บุคคลผู้ประมาทมักกระทำอกุศลกรรมสิ่งนี้ๆ ได้ไปทนทุกขเวทนาในนรกขุมนั้นๆ ทนทุกขเวทนาอยู่ช้านาน นายนิรยบาลกระทำโทษสาหัสดังนี้ๆ มหาชนทั้งหลายได้ฟังคดีจากพระโมคคัลลานเถระ ก็ชวนกันกระทำสักการบูชา นำเอาลาภสักการะมาให้พระสมณโคดมเป็นอันมาก นี่แหละพระสมณโคดมเกิดลาภสักการะก็อาศัยแก่พระโมคคัลลานเถระ ถ้าเราคิดพิฆาตฆ่าพระโมคคัลลานะให้ตายแล้ว พระสมณโคดมก็จะเสื่อมจากลาภสักการบูชา คนทั้งหลายก็จะนับถือเรา ทั้งลาภสักการะเล่าก็จะเกิดมี

เออเราคิดเห็นฉะนี้เป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงจะคิดเห็นกระไรเล่า จงบอกเราให้แจ้งใจ พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เห็นจริงพร้อมกัน เออก็เมื่อกระนั้นเราจะคิดไฉนทำกระไรดีหนอจึงจะคิดฆ่าตีพระโมคคัลลานะให้ล้มตายได้ เดียรถีย์ผู้ใหญ่ จึงคิดอ่านเรี่ยไรทรัพย์แต่พวกอุปฐากของตนได้ทรัพย์พันตำลึง เดียรถีย์ทั้งหลายจึงให้หาโจร ๕๐๐ มาจึงบอกความว่า

ดูกรท่านทั้งหลายเราจะจ้างวานท่านให้ไปฆ่าพระโมคคัลลานะตายแล้วเมื่อใด เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านพันตำลึงเมื่อนั้น ท่านทั้งหลายจงรับธุระเราสักครั้งหนึ่งจะได้หรือมิได้

โจรทั้งหลายได้ฟังเดียรถีย์ว่าก็ดีใจ จึงพากันไปสู่กาฬศิลาประเทศ อันมีอยู่ใกล้เมืองราชคฤห์มหานคร ครั้นถึงจึงพากันเข้าล้อมกุฏิจะคอยทุบตีพระโมคคัลลานะ ในเพลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง

ฝ่ายว่าพระโมคคัลานเถระ ครั้นรู้เหตุว่าโจรมาล้อมกุฏิ พระผู้เป็นเจ้าก็หนีออกมาโดยช่องดาลแล้ว ก็เหาะไปให้พ้น ฝ่ายว่าพวกโจรทั้งหลายจึงเข้าไปค้นหา เมื่อมิได้พบพระโมคคัลลานะแล้วก็พากันไป

อยู่มาวันหนึ่งจึงพากันไปล้อมอีกเล่า พระผู้เป็นเจ้าก็หนีไปทางช่องช่อฟ้า พวกโจรทั้งหลายไม่พบแล้วก็พากันกลับไป แต่พวกโจรทั้งหลายชวนกันมาล้อม จะจับตัวพระโมคคัลลานะฆ่าให้ตาย ไม่พบแล้วก็พากันกลับไปโดยนัยดังนี้ถึง ๒ เดือนเป็นกำหนด จะได้พบพระมหาเถระนั้นหามิได้

ครั้นถึงเดือนเป็นที่สุดจะออกพรรษา โจรทั้งหลายจึงพากันมาล้อมกุฏิอีก จะจับพระผู้เป็นเจ้าฆ่าให้ตาย ชวนกันล้อมกุฏิไว้ มั่นคงเหมือนดังเก่า คอยดูพระมหาเถระจะออกมาจะได้จับฆ่าเสีย

ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านจึงพิจารณาไปว่าเหตุไฉน โจรพวกนี้จึงมาเฝ้าล้อมกุฏิอาตมา จะจับตัวเราฆ่าให้ตาย เหตุผลเป็นไฉน พระโมคคัลลานะพิจารณาดูก็รู้ประจักษ์ใจ ว่ากรรมของอาตมาได้กระทำไว้แต่ปางหลัง ตามมาทันแล้วในครั้งนี้ แม้อาตมาจะหนีไปอยู่ที่ใดๆ ที่จะพ้นภัยนั้นไม่ ด้วยกรรมเวรมาตามทัน พระผู้เป็นเจ้าพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็นั่งอยู่ในกุฏิมิได้หนีไปดังหนหลัง โจรทั้งหลายครั้นล้อมกุฏิเข้าแล้วมิได้เห็นพระโมคคัลลานะออกมา จึงพากันเข้าไปในกุฏิ ครั้นเห็นพระผู้เป็นเจ้า จึงชวนกันเข้าทุบตีพระมหาเถระ ด้วยไม้สั้นและไม้ ๔ ศอก ศาสตราวุธต่างๆ แล้วชวนกันฉุดลากพระมหาเถระแหลก ปานประหนึ่งว่าเมล็ดข้าวสารแหลกละเอียดไปทั้งกาย

พวกโจรทั้งหลายสำคัญว่าตาย จึงจับตัวพระมหาเถระทิ้งขึ้นไปบนหลังสุมทุมพุ่มไม้แล้ว ก็พากันไปเอาค่าจ้างในสำนักพวกเดียรถีย์ ครั้นได้ทรัพย์ค่าจ้างแล้ว ก็พากันไปซื้อสุราเมรัยกินเล่นสำราญใจ ตามความปรารถนา

ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานเถระผู้เป็นเจ้า โจรทั้งหลายเข้ากลุ้มรุมตีครั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าเสวยทุกขเวทนาพ้นที่จะอุปมา กระดูกนั้นแหลกย่อยอย่างว่าเมล็ดข้าวสารหักทั่วไปทั้งองค์ พระผู้เป็นเจ้าก็ยังทรงชีวิตอยู่ มิได้ดับสิ้นพระชนม์ในทันทีทันใด พระผู้เป็นเจ้าจึงคิดอยู่แต่ในใจว่า อาตมานี้ประกอบไปด้วยเวทนาเป็นสาหัส จะดับสูญเข้าสู่พระนิพพานแล้ว จำอาตมาจะไปถวายนมัสการลาสมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วจึงจะกลับมาเข้าสู่พระนิพพานในที่นี้

พระผู้เป็นเจ้าคิดแล้วจึงเข้าฌานสมาบัติอธิษฐานผูกรัดร่าง กระดูกที่แหลกละเอียดนั้นก็คุมกันเข้าเป็นแท่งเดียวดังเก่า ด้วยกำลังฌานแล้วจึงเหาะไปสู่เวฬุวันมหาวิหาร อันเป็นที่สำราญแห่งพระมหากรุณา

ครั้นถึงพระมหาโมคคัลลานะก็กราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า กระหม่อมฉันจะลาพระพุทธองค์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว”

ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสถาว่า “จะนิพพานที่ไหนเล่า”

พระผู้เป็นเจ้าจึงกราบทูลว่า “กระหม่อมฉันจะนิพพานที่กาฬศิลาประเทศ อันเป็นที่อยู่แห่งกระหม่อมฉัน”

องค์สมเด็จพระทศพลญาณจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

“ดูกรสำแดงโมคคัลลานะ พระตถาคตได้เห็นท่านก็เป็นที่สุดอยู่แล้ว สำแดงโมคคัลลานะจงเทศนาให้พระตถาคตฟังก่อน อนึ่งเล่า พระสงฆ์ทั้งหลาย จะได้เห็นโมคคัลลานะ จะได้ฟังเทศนาของท่าน ก็เป็นที่สุดในครั้งนี้ โมคคัลลานะเทศนาแล้ว จึงเข้าพระนิพพานต่อภายหลังเถิด”

ฝ่ายพระผู้เป็นเจ้ามหาโมคคัลลานะ เมื่อได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสดังนั้น จึงประณมหัตถ์นมัสการสมเด็จพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเหาะขึ้นไปสู่เวหาสูงชั่วลำตาลหนึ่ง จึงลงมานมัสการพระพุทธเจ้าทีหนึ่ง แล้วก็เหาะขึ้นไปอีก สูง ๒ ชั่วลำตาล ๓ ชั่วลำตาล ๔ ชั่วลำตาล จนถึง ๗ ชั่วลำตาลแล้ว ลงมาถวายนมัสการซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ๗ ครั้งแล้ว จึงเหาะขึ้นไปสู่นภากาศสำแดงปาฏิหาริย์เป็นเอนกอนันต์มากกว่าร้อยกว่าพัน ครั้นสำแดงปาฏิหาริย์แล้ว ก็สำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทเป็นปัจฉิมที่สุด เหมือนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกระทำปาฏิหาริย์ถวายพระพุทธเจ้า เมื่อท่านไปทูลลาจะเข้าสู่พระนิพพานครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระท่านกระทำปาฏิหาริย์เห็นปานดังพระสารีบุตรเสร็จแล้ว จึงมาถวายนมัสการสมเด็จพระพุธเจ้าแล้วจึงทูลลาว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้ทรงบุญราศี กระหม่อมฉันอุตส่าห์สร้างพระบารมีมาช้านาน ประมาณได้อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปโดยคณนา หวังจะประสบพบพระพุทธองค์ และพระพุทธบาทศาสนาของพระพุทธองค์ บัดนี้ก็สำเร็จความปรารถนาดังข้าประสงค์แล้ว และได้ชมเชยพระรูปพระโฉม และได้ชมพระพุทธสิริวิลาส สมความคิดที่ตั้งจิตมาช้านาน กระหม่อมฉันจะได้เชยชมพระโฉมก็เป็นที่สุดในวันนี้ จะได้ถวายนมัสการบรมบาทพระชินสีห์ก็เป็นที่สุดแล้ว”

พระมหาโมคคัลลานะกราบทูลพลางยกอัญชลีประณมเหนือศิโรตม์ราบ กราบลงเทบพระบาทยุคลทั้งคู่แล้ว จึงถวายบังคมลาพระสัพพัญญูเป็นบรมครูของอาตมา พระผู้เป็นเจ้าจึงกลับไปราวป่ากาฬศิลาประเทศในทันใด พระผู้เป็นเจ้าจึงเข้าไปสู่กุฏิที่จำพรรษา จึงเข้าสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปแล้ว กลับถอยหลังลงมาเป็นอนุโลมปฏิโลมแล้วๆ เล่าๆ ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็เข้าสู่พระนิพพาน สิ้นภพสิ้นสงสารมีแต่สุขเป็นที่เกษมสันต์พ้นที่จะอุปมา

และกิตติศัพท์ที่โจรทั้งหลายทุบตีพระมหาโมคคัลลานะนั้น ก็ลือขจรไปในนิคมชนบทนานาประเทศ ทั่วทั้งสกลชมพูทวีปว่า โจรทั้งหลายตีพระมหาโมคคัลลานเถระตาย ฝ่ายว่าอำมาตย์ทั้งหลายจึงเอาเนื้อความเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระบรมกษัตริย์พระเจ้าอชาตศัตรูราชเจ้าเมืองราชคฤห์มหานครว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมหิศรสมมติเทวราช ข้าพระบาทได้ยินมาว่า พระมหาโมคคัลลานเถระท่านจำพรรษาอยู่ในกาฬศิลาประเทศป่าใหญ่ บัดนี้โจรชวนกันรุมตีพระผู้เป็นเจ้าสิ้นพระชนม์เสียแล้วพระพุทธเจ้าข้า”

สมเด็จพระบรมกษัตริย์ได้ทรงฟัง ก็บังเกิดสังเวชสลดพระทัยว่า อนิจจาๆ พระมหาโมคคัลลานเถรไฉนจึงมาเป็นเช่นนี้เล่า น่าน้อยใจ เออก็โจรที่ไหนหนอจึงองอาจกระทำการทั้งนี้ได้ไม่บังควร จึงจะให้สืบเสาะสอดแนมจับตัวให้จงได้

ทรงพระดำริแล้วจึงมีโองการตรัสสั่งไปว่า

“ท่านทั้งหลายจงเที่ยวสอดแนมดูให้รู้ประจักษ์ว่า ใครไปฆ่าตีพระมหาโมคคัลลานะ ถ้ารู้แล้วเร่งจับเอาตัวมาให้จงได้”

อำมาตย์ทั้งหลายรับพระโองการแล้ว จึงออกมาจัดแจงให้ราชบุรุษไปเที่ยวสอดแนมอยู่ทุกตำแหน่งถนน โจรทั้งหลาย ๕๐๐ ที่ทุบตีพระมหาโมคคัลลานเถระ ครั้นได้ทรัพย์พันตำลึงมาแต่เดียรถีย์แล้ว จึงพากันไปสู่โรงเหล้าซื้อสุรากินเมาแล้วก็ประมาทมิได้รู้ประมาณ โจรคนหนึ่งจึงเอากำหมัดประหารชกถูกโจรคนหนึ่งนั้นก็ล้มลงกับพื้น โจรที่ล้มลงร้องด่าว่า คุกคามคำรามตามประสาเมาเหล้าว่า

“เฮอดูกร ออโจรไม่รู้จักประมาณตัว เหตุไฉนจึงมาชกต่อยเราฉะนี้ จะกลัวไยกับฝีมือ ออเจ้าอย่าพักชกเล่นเปล่าๆ ไม่เกรงใจ”

โจรที่ชกนั้นจึงร้องด่าท้าทายทนงศักดิ์ว่า “ฮ้าเฮ้ยอ้ายโจรร้ายมึงอย่าพักว่า เออก็พระมหาโมคคัลลานเถระนั้น ท่านเข้าทุบตีก่อนคนเจียวหรือ จึงทำฮึดฮือเปล่าๆ เรายังไม่เห็นฝีมือออเจ้าจะไปได้ถึงไหนเลย นี่หากว่าเราตีพระโมคคัลลานะก่อนดอก โจรทั้งหลายจึงได้พลอยภายหลัง เอ็งยังไม่กลัวฝีมือเราอีกเล่าหรือ”

โจรที่ล้มลงนั้นก็ขบฟันอยู่ฮึดฮือแล้วตอบไปว่า “ฝีมือเอ็งนั้นเป็นกระไรนักหนา มาอวดอ้างได้ว่าตีพระมหาโมคคัลลานะก่อนตน เอออย่าพูดมุสาว่าเปล่าๆ พระโมคคัลลานนะนั้น เราได้ตีก่อนคนทั้งปวงดอกสินะเจ้า”

โจรทั้งสองคนนั้นวิวาทว่าท้าทุ่มเถียงกันไม่ตกลง ต่างคนต่างก็อวดอ้างว่าตัวมีฝีมือ คนนั้นก็ว่าเราตีพระโมคคัลลานะก่อน คนนี้ก็ว่าเราตีพระโมคคัลลานะก่อน เกิดทุ่มเถียงกันเสียงสนั่นทั้งโรงสุรา

ฝ่ายว่าราชบุรุษทั้งหลายที่เที่ยวสอดแนม ครั้นได้ยินคนทั้งสองทุ่งเถียงกันดังนั้นก็แจ้งใจ จึงจับเอาโจรทั้งนั้นเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมกษัตริย์ สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทรงฟังอำมาตย์กราบทูลว่า จับโจรมาได้ ก็โสมนัสในพระทัยนักหนา จึงมีพระโองการตรัสถามว่า

“ท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้ทุบตีพระโมคคัลลานะตายจริงกระนั้นหรือ”

โจรทั้งหลายก็รับโองการว่า จริง จึงซักถามต่อไปว่า “ท่านทั้งหลายชวนกันไปทุบตีพระโมคคัลลานะนั้น ใครใช้ให้ท่านไปกระทำ”

โจรทั้งหลายจึงกราบทูลว่า “ขอพระราชทานพวกสมณะชีเปลือยทั้งหลายใชให้กระหม่อมฉันไปกระทำฉะนี้”

สมเด็จพระบรมกษัตริย์จึงมีพระโองการตรัสสั่งราชบุรุษ ให้ไปจับเดียรถีย์ชีเปลือยในขณะนั้น

อำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็รีบไปสู่อารามแห่งเดียรถีย์ จึงจับพวกสมณะชีเปลือยมาได้ ๕๐๐ คนแล้ว ก็พาตัวเข้าไปถวายพระเจ้าอชาตศัตรูราชท้าวเธอให้อำมาตย์มีกระทู้ซักไซ้ถามได้ความจริงแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษให้ขุดหลุมในหน้าพระลานลึกเพียงนาภี จึงให้เอาพวกเดียรถีย์ชีเปลือย ๕๐๐ คน กับโจร ๕๐๐ คนฝังดินลึกเพียงสะดือเป็นท่องแถว แล้วให้เอาใบไม้แห้งและฟางมาเกลี่ยไปในเบื้องบนคนทั้งหลายแล้ว จึงจุดไฟคลอกให้เปื่อยพังหนังปอกไปทั้งตัว ครั้นเพลิงไหม้ทั่วกันแล้ว จึงให้เอาไถเหล็กมาไถให้ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ตายสิ้นด้วยกันทั้งเดียรถีย์และโจรเป็นคนพันหนึ่งด้วยกัน ดังกล่าวมาฉะนี้

อยู่มาวันหนึ่ง พระสงฆ์ทั้งหลายมาสันนิบาตประชุมพร้อมกันในโรงธรรมสภาศาลา จึงสนทนากันฉะนี้ว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เออก็น่าอัศจรรย์ใจด้วยพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านประกอบไปด้วยฤทธานุภาพเป็นอันมากมาย ควรละหรือมาตายด้วยโจรตีฉะนี้ ตกว่าพระโมคคัลลานะท่านตายไม่ควรเลย พระสงฆ์ทั้งหลายสนทนากันฉะนี้มิได้ช้า

ฝ่ายองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ เสด็จสำราญพระทัยอยู่ในคันธกุฎี ได้ทรงฟังเสียงพระสงฆ์สนทนาถึงเรื่องราวพระมหาโมคคัลลานเถระ ด้วยทิพยโสต พระพุทธองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี มาสู่โรงธรรมศาลา เสด็จขึ้นสู่ธรรมาสน์ ณ ท่ามกลางสงฆ์แล้วจึงตรัสถาว่า

“ภิกขเว ดูกรสงฆ์ทั้งหลาย ท่านสนทนากันด้วยเรื่องราวสิ่งใดในครั้งนี้”

พระสงฆ์ทั้งหลายจึงยกอัญชลีกรประณมแล้วจึงกราบทูลพระมหากรุณาว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระสุคตทศพลญาณผู้ทรงสวัสดิภาคย์ กระหม่อมฉันสนทนากันด้วยเรื่องราวพระโมคคัลลานะ ว่าท่านถึงความมรณภาพไม่สมควรฉะนี้”

องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงมีพระพุทธฎีกาว่า

“ภิกขเว ดูกรสงฆ์ทั้งหลาย สำแดงโมคคัลลานะโอรสพระตถาคต โจรทุบตีให้ตาย จะได้มีแต่ปัจจุบันชาตินี้หามิได้ แต่ชาติก่อนๆ นั้นไซร้สำแดงโมคคัลลานะก็ตายด้วยโจรตี ได้ซึ่งมรณาสันไม่สมควรฉะนี้ ก็อาศัยอกุศลกรรมที่สำแดงโมคคัลลานะ ได้กระทำไว้แต่ชาติหลังยังติดตามมา จึงถึงแก่ความมรณาไม่สมควรแก่ตน” พระทศพลตรัสเท่าดังนี้แล้วก็ดุษณีนิ่งไป

พระภิกษุทั้งหลายสงสัย จึงทูลอาราธนาว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิภาพเป็นอันงาม กรรมที่พระโมคคัลลานเถระท่านกระทำนั้นเป็นประการใด จงทรงพระกรุณาโปรดให้แจ้งใจในครั้งนี้”

องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรงฟังพระสงฆ์อาราธนา พระองค์จึงชักมาซึ่งเรื่องราวอดีตนำมาประทานเทศนาว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่กาลปางหลังยังมีกุลบุตรผู้หนึ่ง ปฏิบัติรักษามารดาบิดาตามืดทั้ง ๒ คน กุลบุตรนั้นไม่มีความเกียจคร้านเลย หมั่นตักน้ำตักข้าว การเหย้าการเรือน อุตส่าห์กระทำเลี้ยงมารดาและบิดาแต่ผู้เดียว มิได้เกียจคร้าน

ครั้นนานมามารดาบิดาเห็นว่า ลูกชายลำบากนัก ไม่มีใครจะช่วยกระทำการ จึงคิดอ่านจะหาภรรยาให้ลูกชาย คิดแล้วจึงเรียกลูกชายเข้ามาปรึกษาว่า

“ดูกรพ่อผู้เป็นลูกรักของมารดาบิดา ทุกวันนี้พ่อลำบากนัก ด้วยการหาเลี้ยงมารดาบิดาแต่ผู้เดียว มารดาบิดาจะไปขอนางกุมารีมาให้เป็นภรรยาของเจ้า แต่พอจะได้ช่วยกันตักน้ำตำข้าวพอเบามือพ่อเถิด”

เมื่อลูกชายได้ฟังมารดาบิดาว่าจะหาภรรยาให้ จึงตอบคำไปมิได้ช้าว่า

“ข้าแต่มารดาบิดา อย่าวุ่นวายไปเลย ข้าไม่ปรารถนา ตัวข้าคนเดียวนี่แหละจะปฏิบัติเลี้ยงมารดาบิดาไปกว่าจะสิ้นชีวิต มารดาบิดาอย่างพึงคิดขวนขวายหาภรรยาให้ข้าเลย”

มารดาบิดาได้ฟังลูกชายว่าดังนี้ จึงวอนว่าแก่ลูกชายว่าแล้วๆ เล่าๆ ฝ่ายเจ้าลูกชายนั้นขัดมารดาบิดาไม่ได้ ก็ยินยอมว่าตามแต่ใจของมารดาบิดา จะขอนางกุมารีมาให้ข้าก็ตามอัชฌาสัยเถิด มารดาบิดาทั้งสองนั้น จึงไปขอนางกุมารีมาให้แก่ลูกชายหมายจะได้ช่วยกันกระทำการตักน้ำตำข้าว พอเบาแรงลูกชายของตน หญิงนั้นครั้นมาอยู่กับสามีแล้ว ปฏิบัติแม่ผัวพ่อผัวอยู่สองสามวัน ก็มีความเกียจคร้านเบื่อหน่าย คิดจะไปเสียให้พ้นแม่ผัวพ่อผัวไม่ขอเห็นหน้า จึงว่าแก่สามีของตนว่า

“ดูกรสามี เราไม่สบายใจ มารดาบิดานี่กระไร ขี้บ่นว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะอยู่ที่นี่ไปไม่ได้แล้ว เจ้าจะคิดกระไร”

สามีจึงตอบไปว่า “ตามอัชฌาสัยของท่านเถิด ที่เราจะทิ้งมารดาบิดาของเราเสียนั้นมิได้ ท่านไม่สบายใจจะไปอยู่ที่อื่น ก็ตามอัชฌาสัยของท่านเถิด”

เมื่อหญิงนั้นพิไรว่า สามีก็มิได้ตามใจ นางก็จนใจ จึงคิดกลอุบายปรารถนาจะให้ลูกชายทิ้งมารดาบิดาเสีย จะได้พากันไปอยู่ที่อื่นตามสบายใจ

ครั้นสามีออกไปนอกบ้าน ด้วยกิจการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หญิงนั้นก็เอาข้าวสุกที่กินเหลือ ไปเที่ยวหว่านเที่ยวโปรยลงไว้บนฟากเรือน ทั้งถ้วยชามก็วางไว้ให้เกลื่อนกระจัดกระจาย ข้าวยาคูก็เอาทิ้งลงไว้บนฟากเรือนเกลื่อนกล่น หญิงนั้นทำกลมารยาฉะนี้

ครั้นสามีกลับมาเรือนเห็นกลาดเกลื่อนอยู่ดังนั้น จึงถามภรรยาว่า นี่ใครทำไว้ฉะนี้ ภรรยาจึงบอกแก่สามีว่า ท่านดูเอาเถิดใครทำเล่า มารดาบิดาของท่านทำไว้จนเหย้าเรือนเปื้อนไปไม่สมประดี เออก็เช่นนี้จะอยู่ไปกระไรได้ ใครจะปัดกวาดทำไปได้ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วยไม่ได้แล้ว สามีได้ฟังภรรยาบอกดังนั้นก็นิ่งไปไม่รู้ที่จะว่า ภรรยานั้นก็กระทำดังนี้ไปเนืองๆ สามีมาแล้วก็เล่าให้ฟังว่า มารดาบิดาของเจ้าทำอย่างนั้น ทุกวี่ทุกวันเป็นอัตรา หญิงนั้นแกล้งทำไว้เองแล้ว ก็ลงเอาว่าแม่ผัวพ่อผัวกระทำ บอกแก่สามีไม่เว้นวัน บัดเดี๋ยวทำฉะนี้ทำฉะนั้น จะอยู่กระไรได้ เราพากันไปอยู่ที่อื่นเถิด ที่นี่ข้าอยู่มิได้ ภรรยานั้นพิไรวอนว่าแก่สามีบ่อยๆ เนืองๆ

ฝ่ายบุรุษผู้นั้นเป็นผู้มีวาสนา ได้บำเพ็ญบารมีมาช้านาน ได้ฟังคำหญิงพาลมาวอนเจรจา ใส่โทษมารดาบิดาบังเกิดเกล้า ให้ร้อนเร่าในหัวใจ ที่ความรักใคร่ในมารดาบิดาแต่หนหลังนั้น ก็แตกออกจากกันเป็นสองภาค ด้วยความรักใคร่ในหญิงพาล ส่งจิตไปตามใจภรรยา ชายนั้นจึงตอบวาจาว่า

“ดูกรเจ้า มารดาบิดาของเรากระทำชั่วฉะนี้ ตกพนักงานพี่จะกระทำเอง” ชายนั้นจึงให้มารดาบิดาทั้งสอง บริโภคอาหารสำเร็จแล้ว จึงมีวาจาว่า

“ข้าแต่มารดาบิดา บัดนี้ญาติวงศาของท่านอยู่ในบ้านโน้น สั่งมาให้ข้าพามารดาบิดาไป มารดาบิดาจะช้าอยู่ไยเล่า ข้าจะพาไปหา”

ลูกชายว่าดังนี้แล้ว จึงให้มารดาบิดาขึ้นนั่งเกวียน แล้วจึงขับเกวียนไปตามมรรคา ครั้นไปถึงท่ามกลางราวป่าแห่งหนึ่งแล้ว บุรุษนั้นคิดจะฆ่ามารดาบิดาบังเกิดเกล้าให้ตาม จึงคิดอุบายบอกแก่มารดาบิดาว่า

“ราวป่านี้โจรส้องสุมอยู่เป็นอันมาก รู้ว่าข้ามามันก็จะฆ่าเสียให้ตาย บิดาจงจับเอาเชือกสายชักโคนี้เถิด”

ลูกชายว่าดังนั้นแล้ว จึงส่งเชือกชักให้ในมือบิดา แล้วจึงลงมาจากเกวียนขมีขมัน โคนั้นก็พาเอามารดาบิดาตามืดไปตามทาง ชายนั้นจึงเดินไปให้ไกลหน่อยหนึ่งแล้วก็กลับแกล้งแปลงเป็นเสียงโจรว่า คนทั้งสองคนนั้นจะพากันไปไหน ฉวยได้ท่อนไม้เข้าไล่ทุบตีมารดาบิดาบังเกิดเกล้าแห่งตน

ฝ่ายว่ามารดาบิดาทั้งสองคน ก็สำคัญว่าโจรจริงๆ ร้องบอกแก่ลูกชายว่า

“พ่อจงหนีไปเสียให้พ้น อย่ากังวลด้วยมารดาบิดาเลย มารดาบิดานี้แก่ชราแล้ว จะตายด้วยโจรก็ตามทีเถิด พ่อจงหนีไปให้พ้นจากโจร จงหลบหลีกเอาตัวรอดเถิด”

ฝ่ายว่าลูกชายก็เข้าทุบตีมารดาบิดาฆ่าเสียให้ตาย จึงเอาซากศพนั้นทิ้งเสียในราวป่า แล้วก็กลับมาสู่บ้านเป็นที่อยู่แห่งตนกับหญิงพาลผู้เป็นภรรยา ตราบเท่าจนสิ้นอายุขัยแล้ว จุติไปเกิดโดยควรแก่อกุศลกรรม ที่ตนได้กระทำไว้ในปัจจุบันชาติ ดังพรรณนามาฉะนี้

อันว่าองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์สำแดงซึ่งบุพพกรรม แห่งพระมหาโมคคัลลานเถระด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

“ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย สำแดงโมคคัลลานะกระทำกรรมอันหยาบช้าฆ่ามารดาบิดาบังเกิดเกล้าให้ตายนั้น ครั้นตนกระทำกาลกิริยาตาย ไปทนทุกขเวทนาในอเวจีมหานรกช้านาน ด้วยกรรมที่ตีมารดาบิดา ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปนั้นยังติดตามมา แต่โจรทั้งหลายฆ่าให้ตาย ดังนั้นถึง ๕๐๐ ชาติเป็นกำหนด

สำแดงโมคคัลลานะโอรสพระตถาคตได้กระทำอกุศลกรรมไว้ จึงได้เสวยวิบากผลสมควรแก่กรรม ที่ตนได้กระทำมาแต่หนหลัง ยังพวกโจรทั้ง ๕๐๐ กับเดียรถีย์ทั้ง ๕๐๐ ที่ทุบตีพระโมคคัลลานะนั้นเล่า ก็ถึงซึ่งความวินาศฉิบหายตายน่าอเน็จอนาจฉะนี้”

องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสเท่าดังนั้นแล้ว จึงตรัสเทศนาด้วยพระคาถาต่อไปว่า

“ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันว่าบุคคลผู้ใดเป็นคนเมามาก ประกอบไปด้วยโทสะมาประทุษร้าย แก่พระขีณาสพเจ้าอันหาโทษทัณฑ์มิได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องทุกข์ทั้ง ๑๐ ประการ ทุกข์สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะถึงแก่ตน เห็นประจักษ์ตาในตนชั่วนี้ คือจะต้องทุกขเวทนาอันทารุณโทษ เป็นต้นว่า ให้เจ็บศีรษะ เจ็บลิ้น เจ็บฟัน โรคนั้นแต่ล้วนสาหัส จะบังเกิดมีแก่ตนในชาตินี้ ประการหนึ่งทรัพย์สินเงินทองที่ตนหามาได้ด้วยกสิกรรม พาณิชกรรม ก็จะเสื่อมสูญไปไม่เหลือ ถ้ามิดังนั้นจะทนทุกขเวทนา มีเขาตัดเท้าตัดมือตัดหูตัดจมูกของตน เป็นต้น ดูพิกลน่าเกลียดน่าชัง

อนึ่ง จะบังเกิดโรคพยาธิอันหนัก คือจะเป็นเปลี้ยง่อยตัวตายไป โรคที่หนักๆ จักบังเกิดมี คือเป็นโรคเรื้อนกุฏฐัง ที่เหลือกำลังจะเยียวยารักษาได้ ถ้ามิดังนี้จะเป็นบ้าใบ้พิกลจริต เสียจิตเสียใจไม่เป็นสมประดีดังคนทั้งหลาย

จะบังเกิดความฉิบหายแต่ราชทัณฑ์อาญา ท้าวพระยามหากษัตริย์จะริบเอาโภคสมบัติพัสถานของตน ขนเข้าไปไว้ในท้องพระคลัง ถ้ามิดังนั้นตัวอยู่ดีๆ มีคนมาโพทนาว่า ตัวเป็นโจรกระทำผิดในราชศาสตร์ มีแต่เขาใส่โทษให้ต้องราชทัณฑ์อาญา จะมีแต่คนอิจฉาคือฉ้อส่อเสียดให้เสียสมบัติพัสดุต่างๆ

อนึ่ง จะมีทรัพย์พัสดุสิ่งใดอยู่ในเรือนตน จะมีโจรเข้าปล้นวิ่งชิงเอาไปให้สิ้นสูญ อนึ่ง ญาติวงศาบุตรภรรยาอันเป็นที่รักใคร่จะบังเกิดมรณภัยล้มตายหายจากพลัดพรากฉิบหายประลัยไป สุดแท้แต่จะวิบัติไปด้วยเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

อนึ่ง ทรัพย์พัสดุเงินทองของรัก จะกลับกลายเป็นกระดูกเป็นกระเบื้องเป็นถ่านเพลิงไป โดยต่ำแต่ข้าวเปลือกอยู่ในยุ้งฉาง ก็วิบัติเปื่อยเน่าผุไปเอง อนึ่งจะเกิดไฟไหม้ใต้ลนปีละสองสามหนให้จงได้ มิไหม้ด้วยไฟบ้านก็ไหม้ด้วยไฟป่าไหม้ให้ได้ ถ้ามิฉะนั้นอยู่ดีๆ จะมีไฟเกิดขึ้นด้วยธรรมดาเอง สุดแท้แต่จะเกิดไฟไหม้ให้ได้ มิไฟสิ่งใดก็ไฟสิ่งหนึ่ง คือจะไหม้บ้านเรือนตนให้ได้ปีละสองสามหนทุกๆ ปี

อันบุคคลประทุษร้ายแก่ท่านผู้หาโทษมิได้ฉะนี้ จะต้องทุกขฐานทั้ง ๑๐ ประการ มิทุกข์สิ่งใดก็ทุกข์สิ่งหนึ่ง คงจะมาถึงตนเห็นประจักษ์แก่ตาในอาตมภาพนี้ ครั้นสูญสิ้นชีวิตจากเมืองคน จะไปทนทุกขเวทนาในนรกสิ้นกาลช้านาน เพราะตนกระทำการทุจริตมิดี เห็นปานดังโจรและเดียรถีย์ทั้งหลายทำร้ายพระโมคคัลลานะฉะนี้”

ครั้นพระพุทธองค์เจ้าตรัสเทศนาจบลงครั้งนั้น บริษัททั้งหลายก็สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ ตามวาสนาบารมีที่ตนได้ก่อสร้างมาแต่ชาติหนหลังโน้น จึงเป็นอุปนิสัยให้สำเร็จสมความปรารถนา

ดูกร สัปบุรุษทั้งหลายผู้ประกอบไปด้วยศรัทธา เมื่อรู้แท้ว่าอกุศลกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้ย่อมติดตามตนไป เห็นปานดังพระโมคคัลลานะฉะนี้ จงเร่งกลัวจงหนัก อย่าดูหมิ่นในอกุศลกรรม จงเร่งกระทำการกุศล รักษาศีล บำเพ็ญทาน การสุจริต จงตั้งจิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ตามโบราณอริยภูมิประเพณีเถิด