ตามรอยพระพุทธบาท

ประวัติพุทธสาวก เรื่อง พระตาลปุฏเถระ
praew - 26/4/10 at 08:37

พระตาลปุฏเถระ


พระเถระนี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งนักฟ้อนแห่งหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา ถึงความสำเร็จในฐานะเป็นนักฟ้อนอันสมควรแก่ตระกูล ได้ปรากฏเป็นนักฟ้อนชื่อว่า นฏคามณิ ในชมพูทวีปทั้งสิ้น

เขามีมาตุคาม (ผู้หญิง) ๕๐๐ เป็นบริวาร แสดงมหรสพในบ้าน นิคมและราชธานี ด้วยสมบัติแห่งการฟ้อนเป็นอันมาก ได้การบูชาและสักการะเป็นอันมาก เที่ยวไปมายังกรุงราชคฤห์แสดงแก่ชาวพระนคร ได้ความนับถือและสักการะ เพราะความที่ตนถึงความแก่กล้าแห่งญาณ จึงไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ได้กราบทูลคำนี้กะพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับฟังคำของพวกนักฟ้อนผู้เป็นอาจารย์ และอาจารย์ผู้เป็นประธานผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอยู่ว่า นักฟ้อนนั้นใด ทำให้ชนร่าเริงยินดี ด้วยการกล่าวคำจริงและเหลาะแหละในท่ามกลางมหรสพ ในท่ามกลางเวที โรงละคร นักฟ้อนนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพทั้งหลายผู้ร่าเริง ในที่นี้พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างไร?”

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามเขาถึง ๓ ครั้งว่า อย่าถามข้อนั้นกะเราเลย ถูกเขาถามครั้งที่ ๔ พระองค์ถึงตรัสว่า

“คามณี สัตว์เหล่านี้ แม้ตามปกติก็ถูกเครื่องผูกคือ ราคะ ผูกพันแล้ว ถูกเครื่องผูกคือ โทสะ และ โมหะ ผูกพันแล้ว ท่านนำเข้าไปเปรียบเทียบให้เกิดความเลื่อมใส ในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ความขัดเคือง และอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง แม้โดยยิ่งแห่งสัตว์เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเกิดในนรก แต่ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักฟ้อนนั้นใดย่อมยังชนให้ร่าเริงให้ยินดีด้วยความจริงและด้วยคำเหลาะแหละ ในท่ามกลางมหรสพในท่ามกลางเวทีโรงละคร เขาเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพทั้งหลายผู้ร่าเริง เพราะเหตุนั้น เขาถึงมีความเห็นผิดเช่นนั้น ก็ผู้มีความเห็นผิดพึงปรารถนาคติอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคติทั้งสองอย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน”

นายตาลปุฏคามณิได้ฟังดังนั้นแล้วก็ร้องไห้ จะป่วยกล่าวไปใยที่เราจะห้ามนายคามณิมิใช่หรือว่า อย่าได้ถามข้อนั้นกะเราเลย

นายคามณิ กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิสัมปรายภพของนักฟ้อนทั้งหลายกะข้าพระองค์อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์ถูกนักฟ้อนทั้งหลายผู้เป็นอาจารย์และอาจารย์ผู้เป็นประธานในกาลก่อนหลอกลวงว่า นักฟ้อนแสดงมหรสพของนักฟ้อนแก่มหาชนแล้วเข้าถึงสคติ

เขาฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ได้ศรัทธาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว กระทำกรรมด้วยวิปัสสนาญาณ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ก็ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ก่อนแต่จะบรรลุพระอรหัตโดยอาการอันเป็นเหตุให้เกิดการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ด้วยสามารถการข่มจิตของตนเพื่อจะแสดงจำแนกอาการนั้น โดยอาการเป็นอันมาก จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ณ ภูเขาและซอกเขา

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้พิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะ และโมหะ ได้แล้ว เที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจะเห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้ อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นแดนของความทุกข์ เป็นรังแห่งโรค คือความตาย ถูกความตายและความเสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัยอาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจักได้ถือเอาซึ่งดาบอันคมกริบ คืออริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสียซึ่งลดาชาติคือตัณหา อันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิดวนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งศาสตราอันสำเร็จด้วยปัญญา มีเดชานุภาพมากของฤาษี คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวก แล้วหักรานเสียซึ่งกิเลสมารพร้อมทั้งเสนาโดยเร็วพลัน เหนือเถรอาสน์มีลีลาศดังราชสีห์ (บนอาสนะอันมั่นคง) ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้มีความหนักแน่นในธรรมผู้คงที่มีปกติเห็นตามความเป็นจริง มีอินทรีย์อันชนะแล้ว จักเห็นว่าเราบำเพ็ญเพียรความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน ความหิวกระหาย ลมแดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายจึงจักไม่เบียดเบียนเราตามซอกเขา ข้อนั้นเป็นความประสงค์ของเรา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้มีจิตมั่นคง มีสติ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงทราบแล้วด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักประกอบด้วยความสงบ ระงับจากเครื่องเร่าร้อนใจในเพราะ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ที่เรายังไม่รู้เท่าถึง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เมื่อเราถูกกล่าวติเตียนด้วยถ้อยคำชั่วหยาบแล้ว จักไม่เดือดร้อนใจเพราะถ้อยคำหยาบนั้น อนึ่งถึงเขาจะสรรเสริญก็จะไม่ยินดีเพราะถ้อยคำเช่นนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาสภาพภายในกล่าวคือ ขันธ์ ๕ คือร่างกายและรูปธรรมเหล่าอื่นที่ไม่รู้ทั่วถึง และสภาพภายนอก คือต้นไม้ หญ้า และลดาชาติว่าเป็นสภาพเหมือนกัน ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ ฝนที่ตกในเวลาปัจจุสมัยจักตกรดเราผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรคปฏิปทา ที่นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นดำเนินไปแล้ว ด้วยน้ำใหม่อยู่ในป่า ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ฟังเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และทิชาชาติในป่าและซอกเขา ลุกขึ้นจากการนอนแล้ว พิจารณาธรรมโดยความไม่เที่ยง เพื่อบรรลุอมตธรรม ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักข้ามพ้นแม่น้ำคงคา ยมนา สรัสสดี ที่ไหลไปกระทั่งถึงบาดาล เป็นปากน้ำใหญ่น่ากลัวนัก ไปได้ด้วยฤทธิ์โดยไม่ติดขัด ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเว้นความเห็นว่า นิมิตงามทั้งปวงเสียโดยเด็ดขาด ขวนขวายอยู่ในฌาน แล้วทำลายความพอใจในกามคุณทั้งหลายเสียได้ เหมือนช้างทำลายเสาตะลุงและโซ่เหล็กแล้ว เที่ยวไปในสงครามฉะนั้น (ช้างตัวซับมันทำลายเสาอันมั่น กำจัดโซ่เหล็ก ทำลายเสาตะลุง เข้าไปสู่ป่า เป็นผู้ๆ เดียวไม่มีเพื่อนสอง เที่ยวไปตามความชอบใจของตนฉันใด เราก็ฉันนั้น) ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักละความพอใจในกามคุณ ได้บรรลุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้วเกิดความยินดี เปรียบเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสน เมื่อถูกเจ้าหนี้บีบคั้นแล้ว แสวงหาทรัพย์มาได้และชำระหนี้เสร็จ แล้วพึงดีใจฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเราเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่าท่านไม่สมควรอยู่ครองเรือนเลย บัดนี้เราได้บวชสมประสงค์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งสมถวิปัสสนา มัวแต่เกียจคร้านอยู่เล่า

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเรามาแล้วมิใช่หรือว่า ฝูงนกยูงมีขนปีกอันแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตามซอกเขาจะยังท่านผู้เพ่งฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน
เรายอมสละญาติและมิตรที่รักใคร่ในตระกูล สลัดความยินดีในการเล่นและกามคุณในโลกได้หมดแล้ว ได้เข้าถึงป่าและบรรพชาเพศนี้แล้ว

ดูก่อนจิต ส่วนท่านไม่ยินดีต่อเราผู้ดำเนินตามเสียเลย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของผู้อื่น จะประโยชน์อะไรด้วยการร้องไห้ร่ำไร ในเวลาทำสงครามกับกิเลสมาร เพราะจิตทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติหวั่นไหว ดังนี้จึงได้ออกบวชแสวงหาทางอันไม่ตาย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นจอมท้าวสักกเทวราช เป็นจอมสารถีฝึกนระ ตรัสสุภาษิตไว้ว่า จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้ามได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำหนัด ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่รู้เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามทั้งหลาย อันล้วนแต่เป็นของงดงาม มีรสอร่อย เขาเหล่านั้นเป็นผู้แสวงหาภพใหม่ กระทำแต่สิ่งไร้ประโยชน์ ชื่อว่าประสงค์ทุกข์ ย่อมถูกจิตนำไปสู่นรกโดยแท้

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราไว้ว่า ท่านจงเป็นผู้แวดล้อมด้วยเสียงร่ำร้องแห่งนกยูงและนกกระเรียน อีกทั้งเสือเหลืองและเสือโคร่งอยู่ในป่า (เป็นผู้แวดล้อม คือห้อมล้อมด้วยสัตว์ดิรัจฉาน เพราะเป็นผู้อยู่ด้วยเมตตากรรมฐานเป็นอารมณ์อยู่ในป่า) ท่านจงสละความห่วงใยในร่างกาย อย่ามีความอาลัยเลย

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงอุตส่าห์เจริญฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา จงบรรลุวิชชาสามในพระพุทธศาสนา

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงเจริญอัฏฐังคิกมรรคเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นทางนำสัตว์ออกจากโลกให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องชำระล้างกิเลสทั้งปวง

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ คือร่างกาย โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นทุกข์ จงละเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ จงทำที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้เถิด

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาขันธ์ ๕ คือร่างกายโดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของว่างเปล่าหาตัวตนมิได้ เป็นวิบัติ และว่าเป็นผู้ฆ่า จงดับมโนวิจารเสียโดยแยบคายเถิด

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงปลงผมและหนวดเสีย ถือเอาเพศสมณะมีรูปลักษณะอันแปลก ต้องถูกเขาสาปแช่ง ถือเอาบาตรเที่ยวภิกษาตามตระกูล จงประกอบตนอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เถิด

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงสำรวมระวังเมื่อเวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตามระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้องในตระกูลและกามารมณ์ทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เว้นจากโทษฉะนั้น

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงยินดีในธุดงค์คุณทั้ง ๕ คือถือเอาอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือการไม่นอนเป็นวัตร ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด

บุคคลผู้ต้องการผลไม้ ปลูกต้นไม้แล้วเก็บผลไม่ได้ ก็ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสียฉันใด ดูก่อนจิต ท่านแนะนำเราผู้ใดให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ท่านจงทำเราผู้นี้ให้เหมือนบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ไว้ฉันนั้นเถิด

ดูก่อนจิต ผู้หารูปมิได้ ไปได้ในที่ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้เราจักไม่ทำตามคำของท่านแล้ว เพราะว่ากามทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน เป็นภัยใหญ่หลวง เราจักมีใจมุ่งนิพพานเท่านั้น เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ เพราะไม่มีความละอาย เพราะเหตุแห่งจิต เพราะเหตุแห่งการทำผิดต่อชาติบ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ

ดูก่อนจิต ท่านได้รับรองกับเราไว้ว่า จักอยู่ในอำนาจของเรามิใช่หรือ

ดูก่อนจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นว่า ความเป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และความสงบระงับทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ แต่บัดนี้ท่านกลับเป็นผู้มีความมักมากขึ้น เราไม่อาจกลับไปสู่ตัณหา ราคะ ความรัก ความชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และเบญจกามคุณอันเป็นของชอบใจที่เราคายเสียแล้วอีก

ดูก่อนจิต เราได้ปฏิบัติตามถ้อยคำของท่านในภพทั้งปวงแล้ว เราไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อท่านหลายชาติมาแล้ว เพราะความที่ท่านมีความกตัญญู จึงปรากฏมีอัตภาพนี้ขึ้นอีก ท่านทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในกองทุกข์มาช้านาน

ดูก่อนจิต ท่านทำให้เราเป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน บางคราวเราเป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็นอสูร บางคราวเป็นสัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษร้ายเรามาบ่อยๆ มิใช่หรือ บัดนี้ เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีกละ แม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเราเหมือนกับคนบ้า ได้ทำความผิดให้แก่เรามาแล้วมิใช่หรือ

จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตามความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้เราจักข่มจิตนั้นไว้โดยอุบายอันชอบ ดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตัวตกมันไว้ด้วยฉะนั้น

พระศาสดาของเราได้ทรงตั้งโลกนี้โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนไม่เป็นแก่นสาร ดูก่อนจิต ท่านจงพาเราบ่ายหน้าไปศาสนาของพระชินสีห์ จงหาเราข้ามจากห้วงน้ำใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก

ดูก่อนจิต เรือนคืออัตภาพของท่านนี้ ไม่เป็นเหมือนกาลก่อนเสียแล้ว เพราะจักไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านอีกต่อไป เราได้ออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว สมณะทั้งหลายผู้ทรงความพินาศไม่เป็นเช่นเรา ภูเขา สมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดินทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และภพสาม ล้วนเป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ

ดูก่อนจิต ท่านจะไป ณ ที่ไหนเล่า จึงจะมีความสุขรื่นรมย์

ดูก่อนจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่นแล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราได้ เราไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านแล้ว

บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีช่อง ๙ ช่องเป็นที่ไหลออก น่าติเตียน ท่านผู้ไปสู่เรือนคือถ้ำ ที่เงื้อมภูเขาอันสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์ป่าคือหมูและกวาง และในป่าที่ฝนตกใหม่ๆ จักได้ความรื่นรมย์ใจ ณ ที่นั้นฝูงนกยูงมีขนที่คอเขียว มีหงอนและปีกงาม ลำแพนหางมีแวววิจิตรนัก ส่งสำเนียงก้องกังวานไพเราะจับใจ จักยังท่านผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าให้ร่าเริงได้ เมื่อฝนตกแล้วหญ้างอกงามยาวประมาณ ๔ นิ้ว ท้องฟ้างามแจ่มใส ไม่มีเมฆปกคลุม เมื่อท่านทำตนให้เสมอต้นไม้ แล้วนอนอยู่บนหญ้าระหว่างภูเขานั้น จะยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ บุคคลผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมกระทำจิตของตนให้สมควรแก่การงานฉันใด เราจักกระทำจิตฉันนั้น เหมือนบุคคลเลื่อนถุงใส่แมวไว้ฉะนั้น เราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จักยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ จักนำท่านไปสู่อำนาจของเราด้วยความเพียร เหมือนนายหัตถาจารย์ผู้ฉลาดนำช้างที่ซับมันไปสู่อำนาจของตนด้วยขอฉะนั้น เราย่อมสามารถที่จะดำเนินตามหนทางอันเกษมสุข ซึ่งเป็นทางอันบุคคลผู้ตามรักษาจิต ได้ดำเนินมาแล้วทุกสมัย ด้วยใจอันเที่ยงตรงที่ท่านฝึกฝนไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว เปรียบเหมือนนายอัสสาจารย์ (ผู้ประกอบด้วยวิชาฝึกม้าที่ให้ตรงไม่โกง) สามารถจะดำเนินไปตามภูมิสถานที่ปลอดภัย ด้วยม้าที่ฝึกดี ฉะนั้น

เราจักผูกจิตไว้ในอารมณ์ คือกรรมบานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจารย์มัดช้างไว้ที่เสาตะลุงด้วยเชือกอันมั่นคงฉะนั้น จิตที่เราคุ้มครองดีแล้ว อบรมดีแล้วด้วยสติ จักเป็นจิตอันตัณหา เป็นต้น ไม่อาศัยในภพทั้งปวง ท่านจงตัดทางดำเนินที่ผิดเสียด้วยปัญญา ข่มใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกด้วยความเพียร ได้เห็นแจ้งทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป แล้วจักได้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ผู้มักแสดงธรรมอันประเสริฐ

ดูก่อนจิต ท่านได้นำเราให้เป็นไปตามอำนาจความเข้าใจผิด ๔ ประการ คือในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่มิใช่ตนไม่ใช่ของตนว่าเป็นตนเป็นของตน เหมือนบุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณา เป็นจอมปราชญ์มิใช่หรือ

มฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามตามลำพังใจฉันใด ดูก่อนจิต ท่านก็จักรื่นรมย์อยู่ในภูเขา ที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คน ตามลำพังใจฉันนั้น เมื่อท่านไม่ยินดีอยู่ที่ภูเขานั้น ท่านก็จักเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย

ดูก่อนจิต หญิงชายเหล่าใดประพฤติตามความพอใจตามอำนาจของท่าน แล้วเสวยความสุขใดอันอาศัยกามคุณทั้ง ๕ หญิงชายเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา ตกอยู่ในอำนาจของมาร เป็นผู้เพลิดเพลิน อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ และชื่อว่าเป็นสาวกของท่าน

ดูก่อนจิตผู้เจริญ นระและนารีทั้งหลายตั้งอยู่ด้วยความพอใจ คือด้วยอำนาจความชอบใจของท่าน ย่อมประสบความสุขอันอาศัยเรือนใด คนเหล่านั้น เป็นคนโง่ อันธพาล เป็นไปในอำนาจของมาร คือมีปกติเป็นไปในอำนาจแห่งกิเลสมาร เป็นต้น เพลิดเพลินในภพเพราะเพลิดเพลินในกามภพเท่านั้น สาวกของท่านกระทำตามคำพร่ำสอน ส่วนพวกเราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราไม่เป็นไปในอำนาจของท่าน