ตามรอยพระพุทธบาท

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 - 6
webmaster - 1/8/11 at 14:28

สารบัญ

01.
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 (องค์ประกันหงสา)
02. ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 (ประกาศอิสรภาพ)
03. ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 (ยุทธนาวี)
04. ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 (ศึกนันทบุเรง)
05. ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 (ยุทธหัตถี)




ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 - 6


(Update 25 ก.ย.58)


ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 (อวสานหงสา) Full - Link 2 (มีสคริปโฆษณาด้วย)
เบื้องหลัง..ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 (ยุทธหัตถี) Full
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 (ศึกนันทบุเรง) Full
- Link 2 (Dalimotion) part 1 - part 2 - part 3 - part 4 - part 5
- Link 3 (Dalimotion) ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4 - ตอน 5 - ตอน 6
- Link 4 (Dalimotion) ตอน 1 - ตอน 2 - ตอน 3 - ตอน 4 - ตอน 5 - ตอน 6
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 (ยุทธนาวี) Full
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 (ประกาศอิสรภาพ) Full
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 (องค์ประกันหงสา) Full


webmaster - 1/8/11 at 15:13




ชื่อไทย : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 (ยุทธหัตถี)
ชื่ออังกฤษ : King Naresuan 5
ผู้กำกับ : ม.จ ชาตรีเฉลิม ยุคล
กำหนดเข้าฉาย : วันที่ 12 เมษายน 2555


เรื่องย่อ


......ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 (King Naresuan 5) สงครามยุทธหัตถี ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2135 เมื่อพระเจ้านันทบุเรง ได้ให้พระมหาอุปราชายกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะเอาชนะให้ได้โดยเด็ดขาด สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบข่าว จึงยกทัพหลวงไปตั้งรับที่หนองสาหร่าย ซึ่งในการต่อสู้กันครั้งนั้น ระหว่างที่การรบกำลังติดพัน ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถ ก็พากันไล่ล่าศัตรูอย่างเมามัน จนพาทั้งสองพระองค์ตกไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกโดยไม่รู้ตัว มีเพียงจตุลังคบาท (ผู้รักษาเท้าทั้งสี่ของช้างทรง) และทหารรักษาพระองค์เท่านั้นที่ติดตามไปทัน

แม้จะอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไวเกิดขึ้น โดยพระอุปนิสัยว่า พระองค์จะรอดได้มีเพียงทางเดียวคือ เชิญพระมหาอุปราชาเสด็จมาทำ ยุทธหัตถี ซึ่งพระองค์ก็สามารถกระทำยุทธหัตถีจนได้ชัยชนะอย่างสมพระเกียรติ และนับแต่นั้นมา ก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกเลย มีแต่ฝ่ายไทยยกไปปราบปรามข้าศึก และทำสงครามขยายอาณาเขตให้กว้างขวางขึ้นกว่าแต่ก่อน

สำหรับช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีชัยแก่ข้าศึกในสงครามยุทธหัตถี แต่เดิมมีชื่อว่า “พลายภูเขาทอง” เมื่อขึ้นระวางได้เป็น “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” และเมื่อมีชัยก็ได้รับพระราชทานชื่อว่า “เจ้าพระยาปราบหงสา” ส่วนพระแสงของ้าวที่ทรงฟันพระมหาอุปราชา มีชื่อว่า “เจ้าพระยาแสนพลพ่าย” และพระมาลาที่ถูกฟันขาดลงไป ตอนทรงเบี่ยงหลบ มีชื่อว่า “พระมาลาเบี่ยง”

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเชี่ยวชาญการรบยิ่ง ทรงฉลาดในการวางแผนยุทธวิธี และอุบายกระบวนศึกที่ไม่เหมือนผู้ใดในสมัยเดียวกัน ทรงเป็นผู้ริเริ่มการรบแบบกองโจร คือ ใช้คนน้อยแต่สามารถต่อสู้กับคนจำนวนมากได้ พระองค์มีความสามารถในการใช้อาวุธ ที่ทำการรบแทบทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน

“วันยุทธหัตถี” หรือที่เรียกว่า“ วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ” หมายถึง วันที่ระลึกที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะ ต่อสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า เมื่อ วันจันทร์ เดือน ๒ แรม ๒ ค่ำ จุลศักราช ๙๕๔ อัน ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๘ กำหนดให้วันที่ ๑๘ มกราคม ของทุกปีเป็น “ วันยุทธหัตถี ”

สำหรับ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ที่กำลังเข้าฉาย ณ ตอนนี้ ส่วน ภาค 5 ก็กำลังถ่ายทำ สำหรับนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เตรียมรอชมกันได้ รวมแล้ว "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ตั้งแต่ภาคแรกก็ประมาณ 10 ปี เข้าไปตั้งแต่ 2545 ปีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10


ผู้แสดงนำ : พ.ท. วันชนะ สวัสดี, พ.ท. วินธัย สุวารี, นพชัย ชัยนาม, ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง, พ.ท. คมกฤช อินทรสุวรรณ, สรพงษ์ ชาตรี, ฉัตรชัย เปล่งพานิช, จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์, นภัสกร มิตรเอม





ชื่อไทย : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 (ศึกนันทบุเรง)
ชื่ออังกฤษ : King Naresuan 4
กำหนดเข้าฉาย : วันที่ 11 สิงหาคม 2554
โรงภาพยนตร์ : ไดอาน่า ลีการ์เด้น



เรื่องย่อ


ศึกนันทบุเรงในปีพุทธศักราช 2127 เป็นศึกใหญ่ ไพร่พลพม่ารามัญที่ยกมารวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 240,000 คน สมเด็จพระนเรศจึงทรงใช้พระนครศรีอยุธยาเป็นชัยภูมิรับศึก ด้วยทรงเห็นว่าเป็นต่อด้านที่ตั้ง และเมื่อทัพข้าศึกเข้าเหยียบชานพระนครก็ทรงใช้ยุทธวิธีตั้งรับในเชิงรุก ผสานกลศึกการรบที่แหวกจารีตของพระองค์ในหลายคราว ไม่ว่าจะเป็นการนำทัพเรือนหมื่นคาบพระแสงดาบขึ้นหักค่ายพม่า หรือเมื่อต้องสัประยุทธ์กับคู่ปรับเก่า “ลักไวทำมู” ผู้มีเพลงรบเป็นเลิศ โดยฝ่ายพม่าใช้กลพยุหะ “ฉนาง” ที่แฝงความพลิกแพลงอัศจรรย์ด้วยการประสานกำลังทหารดาบดั้งและหอกใหญ่เป็นพิชัยยุทธ เพื่อล้มทัพม้าและล้อมจับพระนเรศ

แต่แล้วราชันพม่าก็พ่ายศึกพระนเรศย่อยยับ ความปราชัยในครั้งนั้นได้โหมไฟแค้นของ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเป็นเท่าทวี เมื่อมิอาจระบายโทสะกับผู้ใดในแผ่นดินอยุธยาได้ พระองค์ก็หันมาชำระแค้นกับพระสุพรรณกัลยาองค์เชลย บำบัดอารมณ์รักที่ไม่สมหวังและอารมณ์แค้นที่ คุกรุ่นลงในคราวเดียว

ท้ายที่สุด พระเจ้านันทบุเรงก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาอุปราชา-ยุพราชแห่งหงสาวดียกทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาเป็นการล้างแค้นในปีพุทธศักราช 2135 สงครามในครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม “สงครามยุทธหัตถี” การที่พระเจ้านันทบุเรงมิได้ทรงยกทัพไปกระทำการด้วยพระองค์เอง ก็ด้วยทรงบาดเจ็บสาหัสในศึกครั้งก่อนและพระอาการก็มิได้ทุเลาพอจะให้ออกทำศึกได้ ครั้งนั้น พระมหาอุปราชาทรงนำทัพใหญ่ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อเปิดศึกใหญ่กับอยุธยา

ภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภาคอวสาน ไม่ได้อวสานที่การ สิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชากลางสมรภูมิศึกยุทธหัตถี ด้วยพระเจ้านันทบุเรงผู้กระหายสงครามยังมิทรงลดทิฐิที่จะหักเอาแผ่นดินอยุธยา ทั้งยังฝากรอยแค้นซ้ำสองด้วยการปลิดชีวิตพระสุพรรรณกัลยาหลังทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรส ศึกสองแผ่นดินจึงพลิกมาเป็นศึกสองกษัตริย์ที่รบเพื่อรักษาเอกราชระคนไปกับการรบเพื่อชำระแค้น สงครามหลังศึกยุทธหัตถีจึงเป็นทั้งสงครามเลือดและสงครามอารมณ์ที่เผ็ดร้อนกว่าทุกสงครามที่ขับเคี่ยวกันมา


ผู้แสดงนำ : วันชนะ สวัสดี, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, วินธัย สุวารี, นพชัย ชัยนาม, ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง ,คมกริช อินทรสุวรรณ ,สรพงษ์ ชาตรี ,สินจัย เปล่งพานิช ,จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ ,นภัสกร มิตรเอม ,ชลัฏ ณ สงขลา , สมชาติ ประชาไทย ,อินทิรา เจริญปุระ ,เกรซ มหาดำรงค์กุล ,อคัมย์สิริ สุวรรณศุข ,ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ,เกศริน เอกธวัชกุล ,ญาณิกา ทองประยูร ,พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ ,ดอม เหตระกูล ,อานนท์ สุวรรณเครือ ,ยาโน คาซูกิ ,โกวิทย์ วัฒนกุล ,ประดิษฐ์ ภักดีวงษ์ ,ฐากูร การทิพย์ ,ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ

<< กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/8/11 at 15:42


ชื่อไทย : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 (ยุทธนาวี)
ชื่ออังกฤษ : King Naresuan 3
กำหนดเข้าฉาย : วันที่ 31 มีนาคม 2554


ศึกทุ่งบางแก้ว

.....ฉากสำคัญห้ามพลาด..! ใน..ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 คือ..ศึกทุ่งบางแก้ว เพราะหลังจากพระเจ้านันทบุเรงทรงทราบว่า สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และได้เกณฑ์ชาวไทยใหญ่หลบหนีราชภัยกลับไปยังอโยธยา พระองค์จึงได้สั่งให้นรธาเมงสอและพระยาพะสิมรวบรวมไพร่พลเข้าตีอโยธยา ด้วยหมายพระทัยว่าจะสามารถบดขยี้อโยธยาลงได้อย่างง่ายดาย เพราะศึกครั้งนี้คงเกินกำลังพระนเรศผู้ยังเยาว์พระชันษา

แต่การณ์กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระนเรศวรทรงแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในด้านการรบ พระองค์ทรงวางแผนรับศึกอย่างรอบคอบ แม้ทหารของพระองค์จะน้อยกว่ามาก แต่ก็ทรงสรรหายุทธวิธีการรบที่จะชนะฝ่ายศัตรูที่มีกำลังเหนือกว่าได้ และเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้สูญเสียไพร่พลฝ่ายอโยธยาน้อยที่สุด

.......(ในศึกครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระนเรศวรในฐานะ “จอมทัพ” ที่ในภาวะสงครามต้องการความเฉียบขาดเมื่อพระองค์มีบัญชาแล้วแม่ทัพนายกองลังเลไม่ปฏิบัติตาม จะต้องถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต เช่นพระราชมนูขัดคำสั่งถอยทัพตามกลศึกในครั้งนี้ แม้พระองค์จะทรงย้ำถึงสองครั้ง ครั้งที่สามจึงให้ม้าเร็วขึ้นไปตัดหัวพระราชมนูทันทีหากยังไม่ปฏิบัติตาม)

ยุทธนาวีระหว่างกองเรือพิฆาตพระนเรศวรและเรือสำเภาพระยาจีนจันตุ

เมื่อครั้งที่อโยธยาศรีรามเทพนครอ่อนแอ เนื่องจากพ่ายแพ้ศึกหงสาวดีนั้น พระยาละแวก สบช่องซ้ำเติม ส่งทัพเรือบุกเข้าโจมตีเมืองเพชรบุรี แต่กลับถูกกรมการเมืองเพชรบุรีตีแตกพ่ายล่าถอยไปแล้วนั้น สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่ายังมีนายทัพละแวกที่เกรงอาญาทัพของนักพระสัฎฐา หนีมาสวามิภักดิ์รับราชการด้วยพระมหาธรรมราชา

แต่ด้วยอุปนิสัยของพระนเรศผู้มิตั้งตนอยู่ในความประมาทจึงทรงมอบหมายให้พระราชมนูสะกดรอยสืบจนรู้ว่า พระยาจีนจันตุผู้นี้คิดคดทรยศต่ออโยธยา โดยลอบส่งข่าวสารรายงานต่อนักพระสัฎฐา เมื่อพระยาจีนจันตุรู้ว่าความลับถูกเปิดเผย จึงนำเรือสำเภาแล่นใบหมายจะหลบหนีกลับเมืองละแวก

แต่การณ์ไม่ง่ายอย่างที่คิด พระนเรศทรงนำเรือพิฆาตออกไล่ล่าเรือสำเภาพระยาจีนจันตุ เหตุการณ์ต่อสู้ชิงชัยด้วยปืนใหญ่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาจึงอุบัติขึ้น สมเด็จพระนเรศวรและเหล่าขุนศึกไล่ยิงเรือสำเภาจีนเป็นสามารถ และนำเรือพิฆาตเข้าเทียบเรือสำเภาจีนจันตุ

ทว่าเรือพิฆาตของพระองค์เพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในระยะปืนใหญ่ของพระยาจีนจันตุ แต่ทันใดนั้นเรือพระที่นั่งของพระเอกาทศรถได้เร่งฝีพายเข้าแทรกเรือพระนเรศวรและเรือของพระยาจีนจันตุ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับปืนใหญ่บนเรือของพระยาจีนระดมยิงมาถูกเรือของพระเอกาทศรถจมลง


(ฉากนี้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของการไล่ล่าระหว่างเรือพิฆาตและเรือสำเภาจีน สุดท้ายจะได้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพระนเรศวรและพระเอกาทศรถซึ่งสามารถตายแทนกันได้ )


<< กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/8/11 at 16:00


ชื่อไทย : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 (ประกาศอิสรภาพ)
ชื่ออังกฤษ : King Naresuan 2
กำหนดเข้าฉาย :


เรื่องย่อ


.......พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือ แลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัด แย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทร์ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน

สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระประสงค์ จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ ถึงกับหันไปสมคบกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ร่มขาว ร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก

แต่กระทำการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีก คำรบ ครั้งนั้นสมเด็จ พระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสา แต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชา โดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง

เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายาก จะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวช มาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง

ข้าง สมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้น ศึกหาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหา ธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่ง พรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพาร ใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดิน จึงพากันนิยมในน้ำพระทัย และพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา

ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธ ศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวายพระสุพรรณกัลยา พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวร แก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลกสืบต่อมา ครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา สืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลก เป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง

เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธ ไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมี ของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน

มิเพียงเท่านั้น สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่น คร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวร จะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึก หมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้าย นั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธ-ไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญครัวไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร


การประกาศอิสรภาพ

......เมื่อ ปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมือง ให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยา ด้วย ให้ยกทัพไปช่วย

ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจ ว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย

และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระ นเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยก กองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวรเสียให้จงได้

พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดีเพราะมหาเถรคันฉ่อง กับสมเด็จพระนเรศวรเคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน

กองทัพไทยยกมา ถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครง พร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระ มหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง

เมื่อพระองค์ ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุม แม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์ มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า

“ด้วย พระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป”

จาก นั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำเดือน 6

ฝ่าย พระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระ นคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลัง

ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตาม กองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้ กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี




<< กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/1/12 at 08:45


ชื่อไทย : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 (องค์ประกันหงสา)
ชื่ออังกฤษ : King Naresuan 1
กำหนดเข้าฉาย :


เรื่องย่อ

......ภาคแรก ตอน..องค์ประกันหงสา เริ่มตั้งแต่สงครามช้างเผือก ในปี พ.ศ. 2107 ที่พระองค์ดำ (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งมีพระชันษาเพียง 9 พรรษา ต้องเสด็จไปประทับยังหงสาวดีในฐานะองค์ประกัน โดยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงรับเป็นโอรสบุญธรรม และจบภาคแรกในช่วงที่ทรงหนีกลับอยุธยา ซึ่งผู้ชมจะได้เรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในช่วงทรงพระเยาว ์และทรงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนพม่า ทรงพระผนวชเป็นสามเณรอยู่ในสำนักของพระมหาเถรคันฉ่อง ที่ได้ถวายความรู้แด่พระองค์ดำจนทรงเจนจบทั้งด้านศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ และยุทธศาสตร์การรบตามตำราพิชัยสงคราม ฯลฯ โดยได้มีการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายของทั้งสองฝ่าย

.......พุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (สมภพ เบญจาทิกุล) ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหง แขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ

ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตราย และจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา

ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา

สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสาย สันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์

พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสาเพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก

พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงคราม เป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญ หาผู้เสมอเหมือนมิได้

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรส คือ มังเอิน หรือ พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา มังสามเกียด ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้น หาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ปกป้องครองแผ่นดิน ที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน

เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงหยั่งรู้ว่าพระอัจฉริยภาพที่ทรงมีเหนือพระยุพราชของหงสาวดี กำลังชักนำภยันตรายมา พระองค์จึงทรงเสี่ยงภัยเดินทางจากพุกามประเทศสู่มาตุภูมิ อโยธยา


นักแสดง
1. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รับบทโดย พ.ต.วันชนะ สวัสดี
2. สมเด็จพระเอกาทศรถ รับบทโดย พ.ท.วินธัย สุวารี
3. ออกพระราชมนู รับบทโดย นพชัย ชัยนาม
4. ออกพระชัยบุรี รับบทโดย ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง
5. ออกพระศรีถมอรัตน์ รับบทโดย พ.ต.คมกริช อินทรสุวรรณ
6. พระมหาเถรคันฉ่อง รับบทโดย สรพงษ์ ชาตรี
7. สมเด็จพระมหาธรรมราชา รับบทโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช
8. สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ รับบทโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
9. สมเด็จพระมหินทราธิราช รับบทโดย สันติสุข พรหมศิริ
10. พระราเมศวร รับบทโดย สถาพร นาควิไล
11. พระยาท้ายน้ำ รับบทโดย คมน์ อรรฆเดช
12. พระยาพิชัย รับบทโดย กรุง ศรีวิไล
13. พระยาสวรรคโลก รับบทโดย มานพ อัศวเทพ
14. พระยาจักรี รับบทโดย ไพโรจน์ ใจสิงห์
15. ขุนรัตนแพทย์ รับบทโดย โกวิท วัฒนกุล
16. เศรษฐี รับบทโดย ดี๋ ดอกมะดัน
17. พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง รับบทโดย สมภพ เบญจาธิกุล
18. พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง รับบทโดย จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์
19. พระมหาอุปราชา รับบทโดย นภัสกร มิตรเอม
20. มณีจันทร์ รับบทโดย ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
21. เลอขิ่น รับบทโดย อินทิรา เจริญปุระ
22. หมอกมู รับบทโดย อภิรดี ทศพร
23. พระวิสุทธิกษัตรี รับบทโดย ปวีณา ชารีฟสกุล
24. พระเทพกษัตรี รับบทโดย ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์
25. พระสุพรรณกัลยา รับบทโดย เกรซ มหาดำรงค์กุล
26. พระนางจันทราเทวี รับบทโดย เปรมสินี รัตนโสภา
27. มเหสีพระมหินทร์ (1) รับบทโดย ปริศนา กล่ำพินิจ
28. มเหสีพระมหินทร์ (2) รับบทโดย ปรารถนา ตันติพิพัฒน์
29. ท้าววรจันทร์ รับบทโดย อำภา ภูษิต
30. แม่นมพุดกรอง รับบทโดย นัยนา จันทร์เรียง
31. แม่นมทองสุก รับบทโดย เฉลา ประสพศาสตร์
32. พระนเรศวร (เด็ก) องค์ดำ รับบทโดย ด.ช. ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์ (น้องบีเจ)
33. พระเอกาทศรถ(เด็ก) องค์ขาว รับบทโดย ด.ช. กรัณย์ เศรษฐี (น้องเก้า)
34. ออกพระราชมนู (เด็ก) ไอ้ทิ้ง รับบทโดย ด.ช. จิรายุ ละอองมณี (น้องเก้า)
35. มณีจันทร์ (เด็ก) รับบทโดย ด.ญ.สุชาดา เช็คลีย์ (น้องดาด้า)
36. สุระกำมา รับบทโดย โสธรณ์ รุ่งเรือง
37. ลักไวทำมู รับบทโดย สมชาติ ประชาไทย
38. พระยาสีหราชเดโช รับบทโดย ธนา สินประสาธน์
39. พระยาราม รับบทโดย ประดิษฐ์ ภักดีวงษ์
40. พระยาพิชัยรณฤทธิ์ รับบทโดย อานนท์ สุวรรณเครือ
41. พระยาพิชิตรณรงค์ รับบทโดย พยัคฆ์ รามวาทิน
42. พระยาราชวังสรรค์ รับบทโดย ร.อ.กัมปนาท อั้งสูงเนิน
43. พระยาเสนาภิมุข รับบทโดย YANO KAZUKI

กำกับการแสดง - ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล
อ้างอิงข้อมูลจาก - สหมงคลฟิล์ม,


<< กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/6/17 at 10:30

.