(ตอนที่ 1) ธรรมภาคปฏิบัติ หมวด..."กายคตาสติ" พร้อมภาพประกอบ
webmaster - 5/4/08 at 15:56
:) สวัสดีครับ..ห้องปฏิบัติธรรมนี้ได้ถือฤกษ์เปิดห้องใหม่วันนี้ คือ วันที่ 5 เมษายน 2551 อันเป็นวันพระ (วันตรุษไทย) จึงถือว่าเป็นปฐมฤกษ์
ในการศึกษาหาความรู้ตามหลักธรรมกันต่อไป คงจะต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยนี้เข้าประกอบด้วย คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อยทีเดียว
ก่อนอื่นขออัญเชิญ "พระพุทธพจน์" ที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกมาก่อน แล้วต่อไปก็จะนำคำสอนของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เพื่อจะได้เทียบเคียงกันว่า ท่านสอนตรงตามพระไตรปิฎกไว้หรือไม่ ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร โปรดติดตามได้ ณ บัดนี้ขอรับ... :D
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๙. กายคตาสติสูตร (๑๑๙)
[๒๙๒] พระอานนท์กล่าวว่า...ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้...
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัส
กายคตาสติ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้อสนทนากันในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น ค้างอยู่เพียงเท่านี้แล
ฯ
(ภาพโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ อวัยวะภายในมีลักษณะตามที่เห็นนี้ ซึ่งสามารถแยกแยะออกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ดังนี้)
[๒๙๓] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั้น ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง ณ
อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน
และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง ฯ
(โปรดใช้ความคิดพิจารณาไปด้วยช้าๆ พร้อมทั้งอ่านข้อความให้ถ่องแท้
ปัญญาย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแจ่มใส)
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ณ โอกาสนี้ พวกข้าพระองค์กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา
เกิดข้อสนทนากันขึ้น ในระหว่างดังนี้ว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัส
กายคตาสติ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้อสนทนากันในระหว่างของพวกข้าพระองค์ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้ พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง ฯ
(ภาพโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ มองเข้าไปภายในแล้ว เหมือนเครื่องจักรกล)
๑. พระพุทธเจ้าให้เริ่มต้นด้วย...อานาปานสติ
[๒๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ กายคตาสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น
ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
(ภาพโครงสร้างร่างกายมีสภาพเป็นเช่นนี้ ทั้งด้านหน้าและ ด้านหลัง)
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง
หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
(ภายในมีอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลาย และเมื่อปราศจากเนื้อหนังแล้ว ก็เหลือโครงกระดูกเท่านั้น)
๒. ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ใน "อิริยาบถทั้ง ๔"
[๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง
หรือนอนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
(ภาพโครงร่างเพศชายแยกอวัยวะภายในออกมา ส่วนเพศหญิงจะเห็นเส้นเอ็นเส้นเลือดต่างๆ อยู่ภายในเช่นกัน )
[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน
ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลา ฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลา เดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
(โครงสร้างมนุษย์ผู้ชายด้านหน้า ส่วนโครงสร้างมนุษย์เพศหญิงด้านหลัง จะเห็นว่าไม่แตกต่างกันเลย)
๓. แล้วจึงพิจารณา "อาการ ๓๒" ของร่างกาย
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
(โครงสร้างภายในร่างกายนี้ จะเห็นมีเส้นเลือดเส้นเอ็นน้อยใหญ่ไปทุกส่วนของร่างกาย
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร
บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นออกแล้ว พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด
(โครงสร้างท่อนล่างของร่างกาย จะเห็นว่ามีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรัดรึงจนไปถึงปลายเท้า)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
(เมื่อผ่าร่างกายท่อนบนออกแล้ว จะเห็นอวัยวะภายในต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ ตับ ไต ลำใส้ ม้าม เป็นต้น)
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ ฯ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
เทศน์เรื่อง "กายคตานุสสติกรรมฐาน" ชุดที่ 11
((((( กระทู้ต่อไปเป็นรูปภาพศพจริง ตอนที่ 2 หากไม่มั่นใจอย่า "คลิก" เข้าไป )))))
รูปภาพเพื่อประกอบการศึกษาธรรมะเท่านั้น
คลิกที่นี่ ตอนที่ 2 »
รูปภาพที่มา - เว็บที่เกี่ยวกับอสุภะ
ข้อมูลที่มา - เว็บ 84000.org/