(ตอนที่ 2) รูปภาพอสุภะ "ศพจริงๆ" ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่ง..."Click"
webmaster - 18/4/08 at 09:42
<< ย้อน ตอนที่ 1 คลิกที่นี่
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๙. กายคตาสติสูตร (๑๑๙)
พิจารณาร่างกายเป็น ธาตุ ๔
[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโค ผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ ใกล้ทางใหญ่ ๔ แยก
ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ
ธาตุไฟ ธาตุลม
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ ฯ
พิจารณาเป็น "นวสี" คือ ป่าช้าทั้ง ๙
๑. ศพที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลือเยิ้ม
[๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็น "ศพ" ที่เขาทิ้งในป่าช้า อันตายได้วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง
เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ ฯ
๒. ศพที่ถูกหมู่สัตว์กัดกิน
[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล
ก็เหมือนอย่างนี้ เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ ฯ
ภาพอสุภะ
ภาพดูแล้วอย่าคิดมาก
ภาพดูแล้วอย่าคิดมาก 1
ภาพเตือนสติระดับต้น
ภาพเตือนสติระดับต้น 1
ภาพหวาดเสียว + ห้ามทำตาม
ภาพโครงสร้างร่างกาย
ภาพโครงสร้างร่างกาย 1
ภาพโครงสร้างร่างกาย 2
ภาพโครงสร้างร่างกาย 3
ภาพโครงสร้างร่างกาย 4
ภาพโครงสร้างร่างกาย 5
ภาพโครงสร้างร่างกาย 6
ภาพโครงสร้างร่างกาย 7
ภาพโครงสร้างร่างกาย 8
ภาพโครงสร้างร่างกาย 9
ภาพโครงสร้างร่างกาย 10
ภาพโครงสร้างร่างกาย 11
ภาพโครงสร้างร่างกาย 12
ภาพโครงสร้างร่างกาย 13
ภาพโครงสร้างร่างกาย 14
ภาพโครงสร้างร่างกาย 15
ภาพโครงสร้างร่างกาย 16
ภาพโครงสร้างร่างกาย 17
ภาพดูแล้วได้ข้อคิด 1
ภาพดูแล้วได้ข้อคิด 2
ภาพดูให้คิด 2
ภาพดูให้คิด 3
ภาพการช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ในรถ
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 6
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 9
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 10
ภาพดูให้คิด 4
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 2
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 3
ภาพดูให้คิด
ภาพดูให้คิด 1
ภาพอุบัติเหตุจากการขับรถ
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 7
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 8
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 11
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 12
ภาพดูให้คิด 5
ภาพอุบัติเหตุจากการแข่งรถ 1
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 4
ภาพดูแล้วไม่ประมาท 5
ภาพแห่งความจริง
ภาพการผ่าตัดเสริมเต้านม
ภาพหมอผ่าตัด
ภาพการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง
คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(พระมหาวีระ ถาวโร)
นวสี ๙ ชุด A (คลิปเสียงเทศน์ตอนนี้ จะไม่ตรงกับคำเทศน์ที่เป็นตัวอักษร)
(โปรดติดตามตอน "สรุปกายคตานุสสติ" ชุด B ในตอนที่ 3 ต่อไป)
ทีนี้เรามาว่ากันถึง กายคตานุสสติ หรือ ปฏิกูลบรรพ
ก็ต้องนับว่าเดินเข้าไปถึงภายในกาย ว่าชิ้นส่วนของกายมีอะไรบ้าง ตับ ไต ไส้ ปอด อาหารใหม่ อาหารเก่า อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง
น้ำหนอง อย่างนี้เป็นต้น มันสะอาดหรือว่ามันสกปรก มาว่ากันถึง "กายคตานุสสติ" หรือ "ปฏิกูลบรรพ" แล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วหันเข้าไปว่ากันถึงพิจารณา นวสี ๙ นวสี แปลว่า "ป่าช้า"
ป่าช้า ๙ อย่าง คือพิจารณาคนเกิดมาแล้วตาย ๑ วัน ตาย ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน
เน่าอืดขึ้นมาแล้วก็โทรมลงไปเหลือแต่กระดูกเหียวแห้ง ร่างกายหมดไปมีแต่กระดูก ต่อมาก็กระดูกเรี่ยราย มานั่งพิจารณาดูว่ารูปกาย
ที่เราเห็นว่าสวยนี่มันสวยจริงไหม เอารูปกายของคนที่ยังไม่ตายมาวัดกันกับคนตายว่า
ไอ้รูปกายของคนที่มันตายแล้วนี่ พอตายไปวันเดียวรักกันเกือบตายยังไม่กล้าเข้าใกล้ เห็นไหม อีตอนอยู่ด้วยกันจากกันไม่ได้
กลับบ้านผิดเวลาหน้างอ แต่พอตายไปวันเดียวพวกไม่กล้าเข้าใกล้ ถอยห่าง วันเดียวนะ นี่เพราะตายแล้ว ความสวยไม่มีแล้ว ความทรงสภาพไม่มี
เมื่อเห็นว่ารูปสวยนะ เราก็พิจารณาว่าเราหลงในรูปเพราะอะไร เราก็สร้างความเข้าใจว่า เราหลงในรูปเพราะความโง่ คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน
อกุศลกรรม ๔ อย่าง องค์สมเด็จพระชินวรซึ่งเป็นสัพพัญญูวิสัย เป็นอรหันต์ เข้าถึงนิพพาน มีความสุข ท่านสอนว่าอย่างไง เราก็ล้วงหาความจริงมาว่า
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าเห็นรูปที่ไหนสวยละก้อให้พิจารณาปฏิกูลบรรพ เฉพาะในมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าหากเป็นกรรมฐาน ๔๐ ก็เรียกว่า
กายคตานุสสติกรรมฐาเหมือนกัน พิจารณาอาการ ๓๒ ของรูป ว่าส่วนไหนสะอาดบ้าง น้ำลายที่เรากลืนอยู่ในปาก อมได้ กลืนได้
พอบ้วนออกมาแล้วไม่กล้าแตะต้อง เพราะเห็นว่ามันสกปรก เพราะฉะนั้น ส่วนของร่างกายทั้งหมดมีอะไรสะอาด ไม่มีอะไรน่ารัก พอไปพิจารณาป่าช้า ๙
เข้า การพิจารณาคนตาย ตั้งแต่เริ่มตายใหม่ ๆ จนค่อยไปถึงขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล แล้วก็โทรมลง จนกระทั่งแห้งหนังหุ้มกระดูก
เหลือแต่กระดูกและกระดูกเรี่ยรายไป
เราก็จะมองไม่เห็นความสวยของร่างกายแม้แต่สักนิดเดียว ไม่เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา ถ้าเราพิจารณากายคตานุสสติกรรมฐานก็ตาม หรือป่าช้า ๙ ก็ตาม
มันเป็นการตัดความพอใจในรูป อย่างนี้ชื่อว่าเป็นปัจจัยให้เราระงับ เราว่ากันในนิวรณ์ ๕ ประการ ความจริงแค่อย่างเดียว นิวรณ์ ๕ นี่มีรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ข้อเดียว ๖ อย่าง หมายความว่า ในข้อต้นมี ๖ จุด ถึงแค่จุดแรก เราก็ไม่อยากจบเสียแล้ว
เป็นอันว่า วันนี้ก็ฝากท่านทั้งหลายให้ไว้มาพิจารณาเฉพาะรูปข้อเดียว เอาจิตใจพิจารณาหาความเป็นจริง ถ้าไปเจอรูปผู้ชาย รูปผู้หญิง
สัตว์ตัวผู้ สัตว์ตัวเมีย หรือว่าวัตถุก็ตาม ที่เราเห็นว่าสวย เห็นว่าพอใจ ก็ตั้งใจพิจารณาหาความจริง ด้วยอำนาจของปัญญา
ว่ารูปที่เราเห็นนี่สวยจริงไหม สวยตรงไหน ความสวยทรงอยู่ไหม ที่เราเห็นว่าความสวยภายนอก ข้างในมันสกปรกหรือสะอาด
แล้วก็พิจารณากระแสพระสัจจธรรมขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถในด้านกายคตานุสสติ หรือปฏิกูลบรรพ คือนวสี ๙
เท่านี้ก็จะทำให้ใจของทุกท่านคลายต่อความพอใจในรูป ถ้าพยายามทำมาก ๆ ก็เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ของฌาน
แล้วก็สามารถใช้อำนาจของวิปัสสนาญาณว่ามันทรงแบบนี้เป็นธรรมดา เราจะไม่ควรยึดถือมันเพียงแค่นี้ จิตใจของท่านก็เข้าถึง "พระอนาคามี" ได้อย่างสบาย
นี่เป็นปัจจัยของพระอนาคามีนะ ก็จบมันเพียงแค่นี้
อย่าลืมว่าเรื่องของรูปนี่น่ะพิจารณา "กายคตานุสสติกรรมฐาน" นี่เป็นปัจจัยของพระอรหันต์ ถ้าพิจารณาด้าน "อสุภกรรมฐาน" คือป่าช้า ๙
เป็นปัจจัยของพระอนาคามี นี่การสำเร็จมรรคผลไม่จำเป็นว่าจะต้องไปนั่งไล่เบี้ยโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ บางคนจิตเข้าสู่ "โคตรภูญาณ"
ของพระโสดาบันมันก็วิ่งปรี๊ด..ไปกระทบพระโสดา สกิทาคา อนาคา เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว รู้ตัวเอาทีเดียวเป็นพระอรหันต์ชั่วขณะจิตเดียว
อันนี้ไม่แน่นัก.....
(((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนศพที่เป็นโครงกระดูก ))))
โปรด "คลิก" ชมต่อได้เลยครับ..
คลิกที่นี่ ตอนที่ 3 »
หมายเหตุ รูปภาพประกอบนี้ กรุณาอย่าวิพากษ์วิจารณ์ ขอให้พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น ควรจะอุทิศผลบุญนี้ให้แก่ผู้วายชนม์
หรือที่เรียกว่า "ครูใหญ่" จึงจะเป็นการดีที่สุด.
ข้อมูลที่มา - เว็บ http://84000.org/
รูปภาพที่มา - เว็บที่เกี่ยวกับอสุภะ