ตามรอยพระพุทธบาท

ภาพข่าว...การเดินทางไปประเทศจีน (แผ่นดินใหญ่) ครั้งที่ 1 ปี 2539
webmaster - 19/4/08 at 07:55

ประเทศจีน


เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการเดินทางไป ประเทศจีน ทั้งหมดรวม ๔ ครั้ง คือ

ครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๒ - ๓๑ มี.ค. ๒๕๓๙ (ปักกิ่ง - คุนหมิง - ตาลีฟู)
ครั้งที่ ๒ วันที่ ๑๖ - ๒๔ มี.ค. ๒๕๔๔ (เฉินตู - ง้อไบ้ - ซีอาน - หลั่วหยาง)
ครั้งที่ ๓ วันที่ ๒๔ มี.ค. - ๔ เม.ย. ๒๕๔๗ (อู่ไถซัน - จิ่วหัวซัน - ผู่ถ่อซัน - กวางเจา)
ครั้งที่ ๔ วันที่ ๑๗ - ๒๒ มิ.ย. ๒๕๔๙ (เมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา)



การเดินทาง ประเทศจีน ครั้งที่ ๑

วันที่ ๒๒ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๙


๑. วัดหลิงกวง (วัดพระเขี้ยวแก้ว) เมืองปักกิ่ง
๒. วัดหย่งเหอ เมืองปักกิ่ง
๓. กำแพงเมืองจีน ป๋าต๋าหลิ่ง เมืองปักกิ่ง
๔. สุสาน ๑๓ ราชวงศ์หมิง เมืองปักกิ่ง
๕. สุสานติ้งหลิง เมืองปักกิ่ง
๖. จตุรัสเทียนอันเหมิน เมืองปักกิ่ง
๗. พระราชวังฤดูร้อน (พระราชวังอี้เหอหยวน)
๘. หอบวงสรวงสวรรค์ (เทียนถาน)
๙. วัดจู้เซิงซือ เขาจี้จู๋ เมืองตาลีฟู
๑๐. กำแพงเมืองเก่า เมืองตาลีฟู
๑๑. พระเจดีย์ขาว ๓ องค์ เมืองตาลีฟู
๑๒. วัดหยวนทง เมืองคุนหมิง




เริ่มแรกก่อนที่จะเดินทาง คุณแน่งน้อย ธีระชาติ (เสียชีวิตไปแล้ว) ได้ชักชวนผู้เขียน และหลวงพี่โอร่วมเดินทางไป พร้อมคณะญาติโยมอีก รวมแล้ว ๒๑ คน จุดสำคัญที่จะไปคือ วัดหลิงกวง เพื่อนมัสการ พระเขี้ยวแก้ว กรุง ปักกิ่ง และ เขาจี้จู๋ เมืองตาลีฟู ประเทศจีน


ในสมัยนั้น ยังไม่มีการอัญเชิญเข้ามา ที่เมืองไทย พระภิกษุชาวไทยไปประเทศจีนก็ ไม่สะดวก ต้องติดต่อสถานทูตขออนุญาตจาก ทางปักกิ่งก่อนจึงจะไปได้ ผู้เขียนจึงนึกในใจ ว่าถ้าเป็นพระเขี้ยวแก้วจริงขอให้ไปได้ แล้วจะนำ บายศรีไปสักการบูชาด้วย

ในเวลาต่อมา คุณแน่งน้อยแจ้งว่าทาง การจีนอนุญาตให้ไปได้ จึงได้ออกเดินทางใน วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๙ มุ่งตรงไปที่กรุง ปักกิ่งในเวลาเย็น ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เวลา ๘ โมงเช้า รถปรับอากาศมารับหน้าที่พัก ปรากฏว่าจะต้องหาร่มกัน เพราะหิมะตกลงมาหนัก อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิ ๔ องศาเซลเซียส

พอขึ้นรถมาแล้ว คุณพรชัยไกด์ชาวจีน ที่พูดไทยได้คล่องแคล่ว แถมมีมุขเด็ดให้ฮายิ่ง กว่าไกด์ชาวไทยเสียอีก ไม่ได้ถามว่าชื่อจีนว่า อะไร แต่แกตั้งชื่อเป็นคนไทยไปแล้วได้พูดว่า หิมะเพิ่งจะตกเมื่อคืนนี้ตี ๓ ทั้งที่เมื่อวานนี้ อากาศก็เป็นปกติของปลายเดือนมีนาคม

คณะเดินทางทุกคนก็แปลกใจ ถือว่าเป็น สิริมงคลเป็นอย่างยิ่ง คงจะเป็นด้วยอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของ พระเขี้ยวแก้วก็เป็นได้ และเป็นการโชคดีของคนไทยที่จะได้สัมผัสกับ หิมะครั้งนี้ ทั้งที่เมื่อวานนี้เรามาจากเมืองไทยอากาศก็ยังร้อนอยู่เลย

เหตุที่เป็นเช่นนี้นับว่าเป็นปรากฏการณ์ ที่นอกเหนือธรรมชาติ เพราะมิใช่ฤดูกาล สมัยโบราณถือว่าสิ่งที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า สร้างความชุ่มฉ่ำเยือกเย็น เสมือนกลีบดอกไม้ และเกษรที่ปวงเทพเจ้าทั้งหลายโปรยปรายลงมา เป็นการต้อนรับแก่ผู้มาเยือนจากแดนไกล ตาม ธรรมเนียมของดินแดนที่มีหิมะตก

เรื่องนี้ หลวปู่ชัยวงศ์ บอกคุณแน่งน้อย ภายหลังว่า หิมะตกเป็นละอองขาวโปรยปราย เป็น ฝนแก้ว อวยพรให้เรา รถวิ่งออกนอก เมืองไปประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึงวัดหลิงกวง เมื่อถึงวัดหิมะหยุดตกแล้ว ต้องเดินขึ้นเนินไป เล็กน้อย ถึงบริเวณพระเจดีย์แบบจีนสูงใหญ่ บริเวณลานวัดและบนต้นไม้ขาวโพลนไปด้วย หิมะ ผู้ที่เพิ่งเคยเห็นหิมะต่างตื่นเต้นถ่ายรูปกัน


เจ้าหน้าที่พุทธสมาคมจีนจากปักกิ่งนำกุญแจมาไขประตูรั้วออก แล้วนำพวกเราเดินขึ้นบันไดวนขึ้นสู่ห้องประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ภายในองค์พระเจดีย์ เป็นห้องที่ไม่กว้างขวาง มากนัก พวกเราเตรียมจัดเครื่องสักการบูชา มี บายศรี พุ่มเงินพุ่มทอง ผ้าตุง ผ้าจีวร เป็นต้น

ต่อจากนั้นได้เปิดเทปบวงสรวงหลวงพ่อฯ แล้วคุณแน่งน้อยนำสวดวันทาหลวง ตามแบบพิธี กรรมของหลวงปู่ชัยวงศ์ นั่งสมาธิสักครู่หนึ่ง จึงเสร็จพิธี สมัยนั้น เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ ถ่ายภาพ จำต้องแอบถ่ายกัน รูปภาพจึงมีน้อย ต่อมารัฐบาลไทยได้มีการอัญเชิญมาประดิษฐาน ที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

ทั้งนี้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้มี โอกาสนมัสการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญ พระชนมายุ ๗๕ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ ตั้งแต่นั้นมารูปภาพพระเขี้ยวแก้วก็แพร่หลาย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีการอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุนิ้วข้อพระหัตถ์ มาแล้ว

แสดงให้เห็นว่า สถานที่สำคัญในประเทศจีน อันเป็นที่ประดิษฐานสิ่งสำคัญของพระพุทธเจ้าไว้ ประวัติศาสตร์ของจีนมีการบันทึก ย้อนเวลาไปประมาณ ๔,๐๐๐ ปี หากหลักฐาน ทางโบราณคดี ที่มีการขุดพบได้ยืนยันว่า เมื่อ ๑ ล้านปีที่แล้ว ดินแดนที่เป็นประเทศจีนใน ปัจจุบันมีผู้คนเคยอาศัยอยู่



มนุษย์ปักกิ่ง


ในช่วงปลายทศวรรษที่ ๑๙๒๐ ได้มีการขุดพบซากหินดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ยุคบรรพกาลที่ หยวนโหม่ว ในมณฑลยูนนาน และที่ หล่านเถียน มณฑลส่านซี เมื่อกว่าสี่ แสนปีที่แล้ว เคยมี มนุษย์ปักกิ่ง อาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านโจวโซ่วเตี้ยน ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงปักกิ่ง สามารถเดินตัวตรงได้ รู้วิธีการผลิตเครื่องมือ เครื่องใช้อย่างหยาบๆ และรู้วิธีการจุดไฟ

จักรพรรดิเหลือง หรือ จักรพรรดิหวงตี้ (ซึ่งเชื่อกันว่าครองราชย์ระหว่าง ๒๔๙๐ - ๒๔๑๓ ปีก่อนคริสตกาล) ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ให้กำเนิดชาวจีน จักรพรรดิองค์นี้เป็นผู้ ปราบปรามชนเผ่าอื่น โดยใช้อาวุธที่ทำจากหยกและ พระนางเหล่ยซู ผู้เป็นมเหสีก็เป็นผู้คิดค้น และริเริ่มการเลี้ยงไหม

การคิดค้นเกวียน, เรือ, และเข็มทิศ ก็ล้วนแต่เป็นผลงานของจักรพรรดิหวงตี้ นอก จากนี้ ยังเชื่อกันว่าจักรพรรดิหวงตี้ มีความ แตกฉานในวิชาดาราศาสตร์ และเป็นผู้คิดค้น ปฏิทินจีน ในยุคของพระองค์ได้มีการประดิษฐ์ ตัวอักษร และเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิด สุสานจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้หลิง) ตั้งอยู่ ตำบลหวงหลิง ห่างจากซีอาน ๑๒๐ กม.

บทความนี้จากหนังสือ “หน้าต่างสู่โลก กว้าง ประเทศจีน” ผู้เขียนเคยจำได้ว่า สมัย ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเล่าว่าเคยเกิดเป็นลูกเขยเจ๊ก มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อได้ถาม ท่านแม่ศรี ว่าเคยเกิดอยู่แถวไหนละ ท่านแม่ศรีบอกว่าแถว แม่น้ำเหลือง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร จึงขอ นำเรื่องนี้จาก พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ที่ หลวงพ่ออ่ำ อ่านมาจากกเบื้องจารมาเล่าต่ออีกว่า

พระเจ้าเหลือง ก็คือ พระเจ้าอึ่งตี่ฮ้องเต้ พระองค์ทรงพิชิตราชวงศ์ฉันนุงแล้ว จึงปราบ ดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจีน ประมาณกว่า ๔,๖๐๐ ปีมาแล้ว ต่อมา พระเจ้าเชี่ยวหัว (พระนามไทย) พระเจ้าเสียวเหา หรือ พระเจ้าเหาน้อย (พระนามจีน) ได้สถาปนาเป็น พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้

พระเจ้าเชี่ยวหัวเป็นพระราชโอรสองค์ แรก ได้ทรงสืบต่อจากพระเจ้าเหลืองพระราช บิดาถึง ๘๔ ปี แล้ว พระเจ้าทวนหยก (จวนยก) ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าเชี่ยวหัว และเป็น หลานของพระเจ้าเหลืองได้ครองราชสมบัติต่อ

พระเจ้าทวนหยกทรงตั้งตระกูลขึ้นหนึ่ง เรียกว่า “ตระกูลไทย” กับโปรดเกล้าให้ สินเรา ผู้เป็นหลานอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าเหลืองจัด รวบรวมพระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ยศไทย ให้มีสิทธิ์สืบตระกูลยศนี้ไปตลอดยุค แห่งราชวงศ์ เป็นเจ้าอากรท้องน้ำตลอดลุ่มน้ำ แดนจีน เริ่มแรกที่แม่น้ำฮวงโห มณฑลชานสี

อนึ่ง พระเจ้าทวนหยกนี้ทรงเป็นต้น ตระกูลของ “เจ้าเย็น” เจ้านครหลอ ในราช วงศ์เซียะ ในสมัยปี ๑๖๑๒ ก่อน พ.ศ. อีกด้วย พระเจ้าทวนหยกทรงครองราชย์อยู่ ๗๘ ปี เมื่อ ประมาณ ๔,๕๒๑ ปีมาแล้ว จนถึง พระเจ้า ที่ก๊ก (ตี้ก๊อกฮ่องเต้) , พระเจ้าตี้จี๊ (จี่เต้ ฮ่องเต้), พระเจ้าเหยี่ยวตี่ (เงี้ยวเต้ฮ่องเต้)

ต่อมาสมัย พระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ ขึ้นครองราชย์ ทรงเห็นว่าบ้านเมืองประสบน้ำท่วม ได้พาไพร่พลเสด็จแสวงหาที่ขุดคลองตามหัว เมืองต่างๆ ไปถึง อวนซัว แขวงหัวเมืองกวยกี ฝนตกอย่างหนักได้รับความลำบากมาก จึงได้ บวงสรวงเทพยดาช่วยบันดาลให้ขุดคลองสำเร็จ

ในคืนนั้น นอนหลับฝันว่าได้หนังสือ จากเทวดา ตื่นขึ้นอ่านว่าได้ขุดคลองต่างๆ ในตอนท้ายยังบอกว่า แผ่นที่ขุดคลองที่ พระเจ้าอึ่งตี่ฮ่องเต้ ได้สร้างทำไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ ยัง อยู่ที่เขาอวนซัว รุ่งขึ้น แม่ทัพอู๋กับไพร่พลได้ ไปพบกับชายแก่คนหนึ่งกลางทางได้นำแผนที่มาให้ แล้วได้ขุดคลองอยู่ ๑๓ ปีจึงสำเร็จ

รูปมีดประแตะนี้ ของคนไทยลวะทั่วไปโดยเฉพาะที่ราชบุรี เวลานี้มีดเล่มนี้อยู่ใต้หวัน เส้นดำที่ด้ามขยายใหญ่ คือ ลายสือไทย บน อ่านว่า เรือง ล่างอ่านว่า เลอลว้า เห็นชัดว่ามีด เล่มนี้ พระเจ้าเรืองเลอลว้า ทำส่งไปถวาย ราชวงศ์เซียง (ราชวงศ์ช้าง) อันดับที่ ๕ (เมื่อ ๑๒๒๒ ถึง ๕๗๘ ปีก่อน พ.ศ.)

ตรงกับสมัย เมืองทอง เมื่อปีอินเต็ม ๔๑๕๐ เริ่มนับเป็นปีโล ๑ (คือก่อน พ.ศ. ๑๑๙๐) ปีโลได้ ๓๑๕ ปรากฏชื่อ ขุนเลืองยงไทย ขุนเรืองเลอลว้า นี้คงครองเมืองปีโล ระหว่าง ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ คือก่อน พ.ศ. ๑๐๑๐ - ๘๕๐ รู้ว่า ราชวงศ์ช้าง คือ “ไทย”จึงทำมีดเพื่อส่งไปถวาย พร้อมกับจารึกชื่อไปด้วย ราชวงศ์ช้าง จึงถือเป็น ประจำตลอดมาถึงองค์สุดท้าย

ต่อมามีกษัตริย์สืบราชบัลลังก์อีกหลาย พระองค์ จนถึง พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้สร้าง กำแพงเมืองจีน ยาวถึง ๒,๐๐๐ ไมล์ กับได้ สร้างกองทัพรูปปั้นหินฝังไว้ใต้พื้นดินนานประ มาณ ๓,๘๘๐ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๐)

แล้วก็มีพระเจ้าแผ่นดินสืบราชวงศ์กัน มามากมายนับพันปี มากจนงงไปหมด ไม่รู้ ว่าราชวงศ์ไหนก่อนราชวงศ์ไหนหลัง คิดว่า ท่านผู้อ่านเคยไปเที่ยวเมืองจีนมาแล้ว เวลาฟัง เขาเล่าประวัติศาสตร์ จะบอกถึงสมัยราชวงศ์ โน้นราชวงศ์นี้ เราก็จำไม่ค่อยได้ ผู้เขียนจึง ขอลำดับราชวงศ์จีนในอดีตไว้พอสังเขปดังนี้

๑. ราชวงศ์เซียะ ๒. ราชวงศ์เซียง ๓. ราชวงศ์โจว ๔. ราชวงศ์จิ๋น ๕. ราชวงศ์ฮั่น ๖. ราชวงศ์เว่ย ๗. ราชวงศ์ซู ๘. ราชวงศ์วู ๙. ราชวงศ์จิ๋น ๑๐. ราชวงศ์ซ้อง ๑๑. ราชวงศ์ จี๋ ๑๒. ราชวงศ์เหลียง ๑๓. ราชวงศ์เฉิน ๑๔. ราชวงศ์ซุ่ย ๑๕. ราชวงศ์ถัง ๑๖. ราชวงศ์ซ้อง ๑๗. ราชวงศ์เหลียว ๑๘. ราชวงศ์จิน ๑๙. ราช วงศ์หยวน ๒๐. ราชวงศ์หมิง ๒๑. ราชวงศ์ชิง



ชนชาติไทย


เป็นอันว่า คนไทยได้กระจายไปทุกแห่ง หนตำบลมาแต่โบราณกาล จนกระทั่งสืบต่อมา ถึงยุคนี้ คติที่สอนกันว่า “ชนชาติไทยอพยพ มาจากภูเขาอัลไต” หมดสมัยแล้ว แต่อาจจะมี ผู้สงสัยว่า คนไทยอยู่ในประเทศจีนได้อย่างไร แล้วมีใครพบเห็นเป็นหลักฐานบ้าง ความจริง ก็มีผู้ที่มิใช่ชาวไทย แต่ก็ไปพบคนไทยที่อยู่ใน ดินแดนจีน ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี่เอง

ฉะนั้น เรื่องประวัติศาสตร์ของชาติไทย ตามที่ผู้เขียนได้อ่านพบในหนังสือ ชนชาติไทย ซึ่ง หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ แปลจากบันทึกของ หมอด็อดด์ได้ไปสำรวจตั้งแต่ เชียงตุง สิบสอง พันนา ยูนนาน ไปจนถึงสุดฝั่งทะเลที่ กวางตุ้ง (ใกล้ฮ่องกง) และไปทางตอนเหนือของ เวียดนาม รวมระยะทาง ๒,๐๐๐ ไมล์

โดยอาศัยการเดินทางด้วยเท้าเป็นส่วน ใหญ่ และใช้ม้าและเรือเป็นบางส่วน ตามสภาพ ของภูมิประเทศ ได้พบคนไทยทั่วไปทุกหนทุก แห่ง ในดินแดนของประเทศจีนปัจจุบันนี้ ท่าน เป็นมิชชันนารี คือเป็นหมอสอนศาสนาชาว อเมริกัน ประจำอยู่ที่เชียงราย สมัยรัชกาลที่ ๕ (สำรวจระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๔๖๖)

หมอด็อดด์สรรเสริญคนไทยในต่างแดนนั้นว่า เป็นคนโอบอ้อมอารี สุภาพน่ารัก ความ ที่รักคนไทยมาก่อน จึงมีความปรารถนาที่จะ เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น แต่ก็ได้ถึงแก่กรรมเสีย ก่อน ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของท่าน ผู้เคยร่วม เดินทางไปถึงถิ่นไทยในต่างแดนด้วยกัน จึงได้ เรียบเรียงต่อออกมาเป็นเล่ม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖
และ พันตรีเดวีส์ กล่าวไว้ใน หนังสือ เรื่องมณฑลยูนนาน ว่า

“ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก ที่ได้พบหมู่ บ้านอย่างน้อย ๒ - ๓ ตำบล ในดินแดนลุ่ม แม่น้ำปูทูโห มีพวก “ชาน” ตั้งภูมิลำเนาอยู่ (พม่าเรียกไทยใหญ่ที่อยู่พม่าว่า ชาน หรือ ฉาน อังกฤษก็เรียกตาม แต่เราเรียกว่า เงี้ยว)

ข้าพเจ้าไม่นึกเลยว่า จะมีพวกชานอยู่ ทางเหนือไกลถึงปานนี้ พวกชานในตำบลนั้น เองกล่าวว่า พวกเขาได้อพยพมาจาก อังวะ ประมาณหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งน่าสงสัยอยู่มาก แต่บางทีพวกนี้คงอพยพมาจากอาณาจักรชาน ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในอำนาจของพม่าก็เป็นได้

พวกที่อพยพมานี้คงไม่มีพระสงฆ์มาด้วย เพราะฉะนั้น หนังสือที่ใช้และการนับถือพุทธศาสนาจึงสาบสูญไป แต่ภาษาที่เขาใช้พูดกัน นั้นเป็นภาษาชาน และยังได้พบหมู่บ้านของ ชนพวกนี้ตั้งกระจัดกระจายไปทางเหนือของ มณฑลยูนนาน และ มณฑลเสฉวน ที่ติดต่อ กับทิเบต

ทางแถบของแม่น้ำยางสีในมณฑลเสฉวนมีหมู่บ้านไทยหนาแน่น ถ้าในตำบลใดมีน้ำขึ้น เอิบอาบบนที่ราบพอที่จะทำนาได้แล้ว ย่อมมี หมู่บ้าน “ชนชาติไทย” ตั้งอยู่ในที่ราบเหล่านั้น เพราะชนชาติไทยไม่ชอบตั้งภูมิลำเนาอยู่บนเขา

เขายืนยันว่า พวกชนชาติไทยที่ตั้งภูมิ ลำเนาอยู่ทั่วไปในมณฑลเสฉวนนั้น เรียกตัว เขาเองว่า “ไทย”เช่นเดียวกับพวกไทยในแถบ นี้ เขาไม่ชอบให้เรียกเป็นอย่างอื่น นอกจากว่า “ไทย”แม้จีนเรียกเขาว่า ทูลี หรือ ทูเรน ก็ตาม

แต่ชนชาติไทยใน มณฑลไกวเจา นั้น ดูเหมือนไม่ได้เรียกตัวเขาเองว่าไทย และตามที่ นายเอส. อาร์. คลาก ผู้แต่งหนังสือว่าด้วย ชนชาติที่อยู่ฝ่ายใต้ในประเทศจีนว่า ชาติไทย ในมณฑลไกวเจานั้น เรียกกันทั่วไปว่า จุงเจีย หรือบางทีเรียกว่า ทูเยน หรือ ทูเรน



ฝรั่งบอกวิธีกลืนชาติไทยของจีน


แต่ครั้งก่อนมีชนชาติไทยอยู่แทนชนชาติจีนที่อยู่เดี่ยวนี้เกือบทั้งหมด บางตำบลที่อยู่เหนือขึ้น ไป ยังมีชาติไทยผสม คือ คนชาติจีนมาได้หญิง ไทยเป็นภรรยา ลูกที่เกิดมากลายเป็นชาติจีนไป ด้วยเหตุนี้ ชนชาติไทยในเมืองจีนนับตั้งล้านๆ คน จึงกลายเป็นชาติจีนไปเสีย

โดยเฉพาะพวกชานเหล่านี้เดือดร้อนยิ่งนัก ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนมีประกาศบังคับให้ผู้หญิงชานใช้เครื่องแต่งกายอย่างจีน เพราะประเพณี ของเขานั้น ไม่ใช้นุ่งกางเกงสวมเสื้อหลวม ๆ อย่างจีน แม้แต่ความเชื่อถือเขาก็เห็นว่า ควร เชื่อถือตามที่พวกเขาเชื่อถือกันมาแต่โบราณ

นี่เป็นคำของชาวฝรั่งอย่างหมอด็อดด์ พูดเองนะ พูดไว้เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วนะ สมัย นี้จึงเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง หมอด็อดด์ได้เดินทาง จาก เชียงตุง ไปถึง เชียงรุ่ง แล้วขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดเม่งสูและจังหวัดกวงนานฟู ได้เล่า ไว้ถึงเหตุการณ์ เมื่อวันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๕๓ อีกว่า

“ลึกเข้าไปมากๆ พวกผู้หญิงไทยแม้แต่ พวกผู้ชายก็ไม่ได้ใช้ภาษาจีนพูดกัน ถ้อยคำ สำนวนที่พูดออกจะคล้ายไทย เชียงใหม่ เขา บอกว่าปู่ย่าตายายของพวกเขาได้อพยพมาจาก จังหวัดนานจิง เมื่อประมาณ ๘ - ๙ ชั่วอายุ คนมาแล้ว แม้ในเวลานี้ยังมีเชื้อสายอยู่ที่นานจิงเป็นอันมาก

รุ่งเช้า ข้าพเจ้าได้ออกไปซื้อของตาม ร้าน มีชายผู้หนึ่งค่อนข้างแก่ แต่งตัวอย่าง สุภาพบุรุษจีน เดินตรงมาหาข้าพเจ้า มีหนวด เครายาว สวมหมวก สวมแว่นตาโต สวมเสื้อ ยาวสีเทา นุ่งกางเกงจีน ถุงเท้ายาวและใช้รอง เท้า และถือไม้เท้าด้วย เดินมาหาข้าพเจ้าอย่าง องอาจ มีความสง่าผ่าเผยอย่างชาวตะวันออก

ด้วยเหตุว่าคนในถิ่นนี้เป็นไทย ข้าพเจ้า จึงเรียกเขาโดยสุภาพว่า “พ่อเฒ่า” ดูเขารู้สึก ยินดีมาก แล้วข้าพเจ้าก็ถามเขาว่า “ท่านเป็น ไทยไม่ใช่หรือ” เขาตอบเสียงอ่อยๆ แต่สุภาพ และพลางขอโทษโดยเขาชี้มือมาที่ตาของข้าพ เจ้า แล้วข้าพเจ้าก็พูดว่า “นี่ท่านไม่เรียกว่าตา หรือ” แล้วเขาชี้ที่จมูกของข้าพเจ้าๆ จึงถามว่า “ดั้ง” หรือ แล้วเขาชี้ที่ปาก ที่คาง ที่คอ ที่อก

ในขณะนั้น ท่านผู้เฒ่านี้ดูรู้สึกพิศวง และตื่นเต้น แล้วหันไปทางฝูงชนที่กำลังมุงดู กันอยู่เนืองแน่น และออกเสียงว่า

“เขารู้จักคำว่า ตา ดั้ง ปาก คาง คอ และ อก” แล้วเขาก็ร้องขึ้นด้วยความยินดีอีกว่า

“คนขาวพูดภาษาไทยได้”

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย หากเป็นตัวท่านเอง ได้ ไปยังแดนไกลเช่นนี้ แล้วมีผู้ที่พูดภาษาเดียว กันได้ ท่านคงจะรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก เช่น เดียวกับหมอด็อดด์ หลังจากออกเดินทางจาก ที่นั้นแล้ว ปรากฏว่าข้าราชการจีนในจังหวัด ให้ทหารไปส่ง ๒๐ คน หมอด็อดด์ถามว่าทำ ไมจึงให้คนไปมากนัก เขาพูดว่า

“ทางที่จะไปนี้ ไม่มีใครคอยทำอันตรายดอก แต่ที่ให้ไปก็เพื่อเป็นเกียรติยศแก่คนขาว ผู้พูดภาษาไทยได้ แต่พูดภาษาจีนไม่ได้”

ในระหว่างที่เดินทางไปนั้น ข้าพเจ้าได้ สนทนากับนายทหารที่ขี่ม้าไปนั้นอย่างคุ้นเคย กันมานาน ข้าพเจ้าได้เล่าถึงระยะทางตั้งแต่บ้าน เขาลงไปทางใต้ที่สุดที่มีชนชาติไทยอยู่ ซึ่งเขา ก็พึ่งจะได้ยินจากข้าพเจ้า และเล่าเรื่องระยะ ทางที่จะไปประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

เขาได้ถามเรื่องอื่นๆ อีก แต่มีคำพูด ของเขาซึ่งกระทบใจข้าพเจ้าอย่างสุดซึ้งนั้น คือ เขาถามว่า “ท่านจะอยู่สักกี่ปีจึงจะกลับ” คำถามนี้ทำให้ข้าพเจ้าอัดอั้นด้วยความปลื้ม ไม่รู้ จะตอบอย่างไร ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตัวเองว่า “มีความรักแผ่นดินนี้มาก มีความนับ ถือชาวประเทศนี้มาก จิตใจของข้าพเจ้าอยู่แต่ ชนชาติไทยผู้ภักดีเหล่านี้ และตั้งใจว่าจะช่วย ชนชาติไทย ให้ประสบอารยธรรมอย่างอารยชนชาติอื่นๆ อยู่เสมอ”

จังหวัดกวงนานฟู ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของ ชนชาติไทยได้พ่ายแพ้แก่จีน เมื่อ พ.ศ. ๑๕๙๖ คือ ๘๗๑ ปีมาแล้ว และ เมืองตาลีฟู ได้ถูก พวกมองโกลยกทัพมาปราบ และยึดไว้เป็นของ ตน เมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๗ คือ ๖๙๐ ปีมาแล้ว ชนชาติไทยได้พ่ายแพ้ แต่จะนับว่าไทยได้พ่าย แพ้อย่างจริงจังนั้นหาได้ไม่ เพราะชาติไทยยัง รักษาภาษาของตน และรักชาติของตนอย่างแน่น แฟ้นอยู่จนบัดนี้

ดินแดนที่ชนชาติไทยตั้งอยู่ในจีนนั้น มี ตลอดตั้งแต่ กวงนานฟู จดแดน มณฑลไกวเจา ในถิ่นที่กล่าวนี้พลเมืองส่วนมากเป็นพวกนี้ ทั้งนั้น และเป็นเจ้าของดินแดนของ มณฑลกวางซี ก่อนที่จะตกเป็นของจีน และบรรพบุรุษของชนพวกนี้อพยพมาจาก มณฑลฮูนานหรือ นานกิงเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคนมาแล้ว

ชนชาติไทยที่มีหนังสือของตัวเอง หรือ อีกนัยหนึ่ง ไทยที่ถือพุทธศาสนานั้น ได้แยก ย้ายไปอยู่ใต้ร่มธงของรัฐบาลทั้ง ๔ คือ จีน อังกฤษ ไทย และ ฝรั่งเศส ซึ่งเราอดเสียใจไม่ ได้ ธงทั้งหลายเหล่านี้ ได้ปลิวอยู่อย่างงดงาม เหนือชนชาติไทยสาขาต่างๆ ผู้ถือมั่นในภาษา และขนบธรรมเนียมของตน และภักดีต่อประ เทศและชาติของตนอย่างแน่นแฟ้น

แต่อะไรไม่เป็นเครื่องผูกมัดเขาอย่างแน่นหนา เท่ากับพุทธศาสนาที่เขานับถืออยู่ เหตุ ฉะนั้น ชนชาติไทยที่มีหนังสือถือพุทธศาสนา จึงมีความเกี่ยวพันกันแน่นหนา ยิ่งกว่าพวก ไทยที่ไม่มีหนังสือ หรือที่ไม่ได้ถือพุทธศาสนา

วันหนึ่งข้าพเจ้าพบ “ไทยเหนือ” ผู้หนึ่ง เป็นช่างไม้ เขาเกิดที่ตำบลเหนือเชียงตุงขึ้นไป ระยะทาง ๒๐ วัน (เดินเท้า) ภาษาพูดของเขา คล้ายภาษาเชียงใหม่ในไทย เมื่อข้าพเจ้าเดิน ทางไปนั้นได้ไปที่บ้านเขา เขาได้เอาหนังสือ ตัวเขียนที่เขามีอยู่ให้ข้าพเจ้าดู

เขาบอกว่าเขาได้หนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ เป็นเด็ก ตัวหนังสือนั้นตัวกลมๆ ทุกตัวคล้าย กับหนังสือของชาวเชียงใหม่ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า หนังสือนี้จะเป็นหนังสือของคนไทยในประเทศ จีนไกลถึงเพียงนี้


webmaster - 10/5/08 at 21:49

(Update 12 พ.ค. 51)

เมืองเชียงตุงในอดีต


".......เรื่องนี้ "หมอด็อดด์" ได้เล่าต่อไปอีกว่า...เมืองเชียงตุง อังกฤษเรียก “เก็งตุง” เป็น ศูนย์กลางของทางที่ผ่านประเทศในฤดูแล้ง มี พวกค้าเกวียนนำสินค้าเดินไปมาอยู่เสมอ จาก จังหวัดตาลีฟู และยูนนานในประเทศจีนไป ร่างกุ้ง, เมาะละแหม่ง ในพม่าและในไทย พวก พ่อค้าเกวียนเหล่านี้ จะต้องเดินผ่านเมืองเชียงตุง ทั้งนั้น

.........พวกเราได้ทำการแผ่ศาสนา (คริสต์) ในระหว่างพวกชาวเขาได้มากเหมือนกัน คือ ชนที่มีชื่อว่า “สามท้าว” พวกนี้มีภูมิลำเนาอยู่ บนภูเขาสูง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในแคว้นเชียงตุง แต่ไม่ใช่เป็นพวกเร่ร่อนเหมือน ชาวเขาอื่นๆ พวกนี้เป็นชาวป่าดั้งเดิมพวกหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ทั่วแหลมอินโดจีน พวกนี้นับถือพุทธ ศาสนามาได้ ๙๐๐ ปีมาแล้ว

.........หมู่บ้านใหญ่มักมีโบสถ์ฝ่ายพุทธศาสนา อยู่ด้วย โบสถ์ทำเป็นโรงมีเสากลาง และมี ไม้พาดทำเป็นหลังคา ตามโบสถ์เขียนลวดลาย ดอกไม้งามด้วยสีครั่งหรือสีทอง พวกนี้ทำถนน ขึ้นเขาเป็นทางเวียนรอบ ตั้งแต่เชิงเขาจนถึงยอดเขา มีขนาดกว้างพอเกวียนเดินได้

ชานตะวันตก เป็นชื่อที่ใช้เรียกชนชาติ ไทยสาขาหนึ่ง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ทางตะวันตก ของลุ่มแม่น้ำสาละวินในพม่า คำว่า“ชาน” เป็นภาษาพม่า ต้นเดิมของคำนี้ไม่มีใครทราบ แน่ว่ามาจากไหน ผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยบาง คนเห็นว่า มาจากแห่งเดียวกันกับคำไทย ซึ่ง พม่าเรียกเพี้ยนไปเป็น ชาน(ฉาน)

ผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยที่พม่า และอังกฤษผู้รู้เรื่องพงศาวดารไทยจากหนังสือพม่าว่า คำว่า “ชาน” นั้นเป็นชื่อสำหรับเรียกคนชาติ หนึ่ง ซึ่งเรียกตัวของเขาเองว่าไทย ผู้เขียนเรื่อง ชนชาติไทยเหล่านี้ คงหมายถึงพวกชานไทย, ชานตะวันออก ชานเหนือ และ ชานตะวันตก ที่จริงพวกชานเหล่านี้แต่ละพวก เป็นพวกไทย สาขาหนึ่งๆ ซึ่งได้ชื่อตามท้องที่ๆ ตั้งภูมิลำเนา อยู่ (เขิน, ลื้อ) เช่นที่เรียกว่า “ไทยเหนือ” ก็อยู่ในท้องที่ทางตอนเหนือ

ส่วนไทยที่อยู่ทางตะวันออก (ไปถึงเวียด นามเหนือ) มีชื่อว่า ยวน เขิน เล็ม ลื้อ และ ลาว ผู้ไทย ผู้น้อง ผู้มาน ผู้ยื้อ ผู้ใจ ผู้เอน ผู้เยี้ยว และ ผู้ฉาย เป็นต้น และชานตะวันตก ก็มีชื่อเรียกว่า “เงี้ยว” อย่างไรก็ดี พวกท้ายคือ พวกเงี้ยวนี้ ยังไม่กล้ารับรองว่าเป็นชื่อแท้ของ พวกชานตะวันตก แต่กล้ายืนยันว่าเป็นไทยแน่

ชื่อนี้ย่อมจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับชนชาติไทยพวกอื่นอีก ๒ - ๓ ล้านคน ซึ่งอยู่ ทางดินแดนลุ่มแม่น้ำยางซี ในประเทศจีนและ ตอนเหนือในประเทศไทย อาจยืนยันได้ว่าพวก เหล่านี้เป็นพวกเดียวกันกับพวกไทยพม่าแน่ และเป็นไทยแท้โดยไม่มีที่สงสัย

เท่าที่ทราบคำว่า “เงี้ยว” เป็นชื่อสำหรับ ใช้เรียกพวกชานตะวันตก หรือไทยพม่า เพื่อ ให้ต่างจากพวกไทยอื่นๆ เท่านั้น และคำว่า “เงี้ยว” ก็เป็นชื่อสำหรับชนพวกอื่นที่อยู่นอก เขตพม่า ใช้สำหรับเรียกพวกไทยที่อยู่ในพม่า

พวกชานตะวันตกไม่เฉพาะมีแต่พวก เงี้ยวเท่านั้น แต่รวมทั้ง พวกอาหม ที่อยู่ใน มณฑลอัสสัม ของอินเดีย และ พวกคำตี่ ที่อยู่ ทางตะวันตกของแม่น้ำอิระวดีด้วย ท่านเซอร์ ยอร์ชสก็อตต์กล่าวว่า “พวกอาหมในอัสสัม นั้นคือ พวกชาน นั้นเองโดยไม่มีปัญหา แต่ใน ปัจจุบันพวกอาหมกลายเป็นฮินดูไปหมดแล้ว”

ขอบเขตเดิมของพระพุทธศาสนา
ในดินแดนอันเป็นถิ่นของพวกไทยที่ ถือพุทธศาสนา ประมาณอย่างใกล้ที่สุดมีเขต
๑. ทางตะวันออก ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำโขง และแม่น้ำแดง ในประเทศญวน (เวียดนาม)
๒. ทางใต้ จนถึงอ่าวไทย
๓. ทางตะวันตก เข้าไปในแดนพม่า และมณฑลอัสสัม ในอินเดีย
๔. ทางเหนือ ตั้งแต่ดีกรีที่ ๒๕ ละติ จูดเหนือในจีน และจากแม่น้ำสาละวินในพม่า ยืนไปทางตะวันออก บรรจบทางลุ่มแม่น้ำโขง และแม่น้ำแดง

นี่คือภูมิลำเนาของชาติไทยเหนือ และ ชาติไทยลื้อในประเทศจีน (ไทยในประเทศจีน ที่กล่าวมานี้ เฉพาะพวกที่มีหนังสือหรือที่ถือ พุทธศาสนาเท่านั้น ไทยที่ไม่มีหนังสือหรือไม่ ได้ถือพุทธศาสนายังมีอีกหลายพวก) พวกเขิน และเงี้ยว (ชาน) ในพม่า ลาวในอินโดจีน ยวน (ลาวเชียงใหม่) และไทยในไทยทั้งหมด

คนไทยที่ถือพุทธศาสนาในประเทศจีนมี ๒ จำพวก คือไทยเหนือ และไทยลื้อ พวก ไทยเหนืออยู่ลึกเข้าไปในประเทศจีน ยิ่งกว่า ไทยที่ถือพุทธศาสนาพวกอื่นๆ ไทยเหนือนั้น อังกฤษเรียกว่า “ชานจีน” เมืองสำคัญของแคว้น ไทยเหนือมี ๓ เมือง คือ เมืองขวัน เมืองกึงม้า และ เมืองบ่อ



(ผู้เขียนได้ไปพบพวก "ไทยเหนือ" ที่ เมืองบ่อ เมื่อปี ๒๕๔๙ มาแล้ว ไว้จะเล่าตอนไป "สิบสองปันนา" ตามเส้นทางที่หมอด็อดด์ไปมานี้)

แผนที่สังเขป แสดงการเดินทางของ "หมอด็อดด์" ไปสำรวจคนไทยในเมืองจีน ระหว่าง พ.ศ. 2452 - 2466
(แผนที่หน้า 1- 2 ต่อกัน))







สรุปความเรื่องชนชาติไทย

ข้อความต่อไปนี้ ได้แบ่งมาจากคำนำ ของหนังสือฝรั่งเศสชื่อว่า Silver’s To Grammar ซึ่งอ้างถึงประวัติของชนชาติไทย อันเป็นเนื้อ ความย่อดีพอใช้ ประวัติการนี้ ได้แปลมาจาก พงศาวดารฉบับหลวง "ประวัติการของเขมร" "ตำนานไทยฝ่ายเหนือ เชียงราย" และ "ตำนานเมืองลาว" ที่ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีข้อความโดยสังเขปดังนี้.-

“ประวัติชนชาติไทยนั้นเก่าแก่มาก จดหมายเหตุจีนโบราณกล่าวว่า เมื่อประมาณ ๘๕๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช (๓๐๗ ปี ก่อนพุทธศักราช) ภูมิลำเนาเดิมชนชาติไทยอยู่ตอนกลางลุ่ม แม่น้ำเหลือง ซึ่งเป็นท้องที่ "มณฑลฮูเป" และ "มณฑลโฮนาน" แห่งประเทศจีนบัดนี้

ในสมัยเดียวกันนั้น ชนชาติจีนได้อพยพมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามที่ราบในลุ่มแม่น้ำเหลืองตอนเหนือ ซึ่งบัดนี้เรียกว่า มณฑลแกนซู (อยู่เหนือมณฑลเสฉวนติดต่อกับทิเบต) โดย ถูกพวกตาดรุกราน จึงได้ร่นลงมาและมาปะทะ กับพวกไทยเข้า เลยเกิดต่อสู้กันมาช้านาน พวก ไทยมีจำนวนน้อยและผืมืออ่อนกว่าจีน สู้จีน ไม่ได้ จึงได้พากันร่นลงมาข้างใต้โดยทางต่างๆ กัน เมื่อประมาณ ๒๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว

พวกไทยส่วนมากร่นลงมาตามแม่น้ำ ยางซี เข้าไปตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน ณ ที่นั้น ได้ต่อสู้กับพวกพื้นเมืองเดิมเป็นเวลานาน ใน ที่สุดได้ตั้งราชอาณาจักรขึ้นเรียกว่า อาณาจักรน่านเจ้า ในท้องที่ๆ เรียกว่าโกสัมพี และตั้งเมืองตาลีฟู เป็นเมืองหลวง

ต่อมาเมืองหลวงนี้ก็ได้เลื่อนไปตั้งอยู่ที่ พูเออร์ฟู อาณาจักรนี้ครองท้องที่มณฑล ยูนนานทั้งหมด และท้องที่ตอนเหนือของพม่า และตอนเหนือของสิบสองปันนาด้วย แล้วได้ อพยพลงมาตั้งอาณาจักรที่เมืองเชียงแสน และลงมาทางใต้หาได้หยุดยั้งไม่ คือลงมาตามแม่น้ำ เจ้าพระยา จนมาถึงอาณาจักรไทยมีอำนาจขึ้น ทางใต้ มีเมืองอยุธยา เป็นเมืองหลวง

ไทยในประเทศจีนได้เสียความมีอิสรภาพ กลายเป็นจีนเป็นเวลา ๗๐๐ ปีเศษมาแล้ว แต่ อย่างไรก็ดี หาได้กลายเป็น "จีน" หรือ "ยวน" จนจะ สังเกตไม่ได้นั้นหาไม่ โดยเฉพาะคำพูดของไทย ก็ยังคงดำรงเป็นภาษาเดิมของตนอยู่ แน่ละ... ย่อมมีภาษาของชนพื้นถิ่นเข้ามาปะปนอยู่ไม่ มากก็น้อย”

ในปัจจุบันนี้ ยอมรับรองกันทั่วไปแล้ว ว่า ชนชาติไทยมีจำนวนมาก และอยู่กระจัด กระจายทั่วไปในตอนใต้ของทวีปเอเซีย ตำนาน ของชาติหรือขนบธรรมเนียมของชาติยังสำแดง อีกว่า เป็นชาติมองโกเลียและเป็นชาติที่ใกล้ชิด กับชาติจีน

แม้จดหมายโบราณของจีน พม่า และ ไทยเอง ยังแสดงว่าชาติไทยเป็นชาติเก่าแก่ ยิ่งกว่าชาติ เอบรู (ชาติโบราณชาติหนึ่ง ซึ่งบัด นี้เรียกว่า ยิว มีภูมิประเทศอยู่ในปาเลสไตน์ อันเป็นที่เกิดศาสนาคริสต์) หรือชาติจีนเสียอีก เรื่องชนชาติไทยตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุ จีนโบราณนั้น อย่างน้อยมี ๓ ชื่อ ซึ่งยังเรียก ต่อมาในปัจจุบันว่า ปา ลุง และ ลาว

“ไทย” คำนี้ หมายความว่าอิสรภาพ หรือเสรีภาพ แต่จีนหมายความว่า “ใหญ่” (Great) เป็นโชคดีที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไป เที่ยว และพบปะชนชาติไทยอยู่ในท้องที่อัน กว้างใหญ่ไพศาล ที่เรียกว่า “โชคดี” นั้น ก็ เพราะเมื่อข้าพเจ้าไปอยู่ที่ใดๆ ที่มีคนไทยแล้ว คนไทยเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้พบปะ ล้วนแต่มี อัธยาศัยดีและมีความเอื้อเฟื้อ

ข้าพเจ้าได้เดินทางตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีขึ้นไปทางเหนือของไทย และต่อไปในแคว้น เชียงตุง เข้าไปในเขต มณฑลยูนนาน (เชียงรุ่ง) จนถึงเมืองบ่อ (ไทยเหนือ) ซึ่งในแผนที่ต่างๆ เรียกว่า ไวยวน คำว่าไวยวนเป็นภาษาจีน แต่ น่าประหลาดที่คนที่อยู่ในท้องที่ของจังหวัดนั้น เป็นชนชาติไทยทั้งนั้น เว้นแต่เจ้าหน้าที่ผู้ปก ครองและพ่อค้าเท่านั้น เป็นชนชาติจีนซึ่งมี จำนวนน้อย

สรุปได้ว่ามีชนชาติไทยเป็นจำนวนมากอยู่ในประเทศจีน คือใน มณฑลไกวเจา ประ มาณว่ามากกว่า ๒ ล้านคน ใน มณฑลกวางซี ไม่น้อยกว่า ๒ ล้านคน ในตอนตะวันออกของ มณฑลยูนนาน กว่า ๑ ล้านคน และใน เวียดนามเหนือ อีก ๖ ล้านคน ใน แคว้นชาน (รัฐ ฉาน) ของพม่า ๑ ล้านคน และในส่วนอื่นๆ ของพม่า รวมทั้งใน มณฑลอัสสัม ด้วยมี ๒ แสน ๕ หมื่นคน

ในเนื้อที่อันกว้างใหญ่นี้ มีพลเมืองถึง ๒๐ ล้านคน เป็นชนชาติไทยเสียมากกว่าเศษ หนึ่งส่วนสี่ ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆ กัน ตามที่ได้ บรรยายมานี้ ข้าพเจ้าได้พยายามเผยแผ่ศาสนา ในระหว่างชนชาติไทย ซึ่งมีจำนวน ๒๐ ล้าน คน นอกจากชนชาติจีน ซึ่งมีจำนวนหลายสิบ ล้าน และพวกอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ไทยอันอยู่ในภูมิ ประเทศอันกว้างใหญ่แห่งเดียวกัน..”



เรื่อง “ชนชาติไทย” ของ หมอด็อดด์ ก็ได้จบลงเพียงแค่นี้ ส่วนใหญ่ผู้เขียนได้สรุปนำ มาพอสังเขป เพราะรายละเอียดยังมีกว่านี้มาก หนังสือเล่มนี้ กระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการพิมพ์เผยแพร่ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๐ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย

นับเป็นความอุตสาหะบากบั่นอดทนในการเดินทางหลายครั้ง ทั้งที่สมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ หมอด็อดด์คงมุ่ง มั่นที่จะเผยแผ่ศาสนาคริสต์ เพราะเห็นว่าคน ไทยมีจิตใจอ่อนโยน ในบันทึกเหล่านี้ จะไม่ มีบอกไว้เลยว่า พวกคนจีนหรือคนพม่าเดิม จะหันมาเลื่อมใสในศาสนาคริสต์ด้วย

จะเห็นได้ว่า การที่คนไทยมีอัธยาศัยดี นั้น หมอด็อดด์น่าจะเฉลียวใจในเรื่องพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนดี ตลอดระยะเวลา ๓๒ ปี ที่อยู่เมืองไทย หมอด็อดด์จึงมุ่งมั่นเผยแผ่ศาสนาของตนอย่างเดียว แต่ที่ น่าเสียดายไม่ได้ศึกษาคำสอน หรือกล่าวสรรเสริญยกย่องเจ้าของพระพุทธศาสนาเลย

แต่ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ หมอด็อดด์ กล่าวไว้ตอนท้ายว่า

“ข้าพเจ้าเดินทางรอนแรมมาเป็นเวลานาน จนบรรลุถึงแผ่นดินอันเป็นที่รักแรกของข้าพเจ้า คือ “ไทย”

รวมความว่า เอกสารการบันทึกนี้มีประโยชน์มหาศาล ในการยืนยัน “กเบื้องจาร” ที่ได้ จารึกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณว่า คนไทยได้อาศัย ในแผ่นดินมาแต่บรรพกาล แต่ที่ชาวฝรั่งเศสได้ บันทึกไว้ โดยอ้างจดหมายเหตุโบราณของจีน ว่าคนไทยอพยพลงมาเรื่อยๆ จนถึงอยุธยานั้น

อาจจะบันทึกแบบเดาๆ มากกว่า เพราะตามหลักฐานของไทย ชนชาติไทยก็อยู่ในดิน แดนแหลมทองมาก่อน โดยตั้งเมืองหลวงอยู่ ทางใต้ก็เรียกว่า อาณาจักรศรีวิชัย ทางภาค กลางขึ้นมาก็เป็น อาณาจักรสุวรรณภูมิ ทางภาคอีสานเป็น อาณาจักรศรีโคตรบูร เป็นต้น

จะเห็นว่าคนไทยตั้งรกรากมาก่อนแล้ว ถ้าจะย้อนไปถึงสมัยพุทธกาลในตำนานพระเจ้าเลียบโลก พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จมาโปรดคน ชาวลัวะ นั่นก็คือคนไทยพื้นเมืองเดิมนั่นเอง ฉะนั้น หมอด็อดด์ เป็นชาวอเมริกัน ได้บันทึกด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ต่างกับพวกนักล่าอาณานิคม อย่างกับฝรั่งเศสและอังกฤษนี่ ไม่บันทึกอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ชาวไทยให้ภาคภูมิใจบ้างเลย

ตัวอย่างเช่น ศิลาจารึก ขุดพบได้ ไม่เคยบอกว่าเป็นของคนไทยเลย ยกให้เป็นของขอมบ้าง ของมอญบ้าง เป็นต้น หรือแม้แต่ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย ดันไปยกให้ว่าอยู่ที่ ปาเล็มบัง เกาะสุมาตราโน่น ทั้งๆ ที่ ตั้งแต่ไชยา นครศรีธรรมราช ตลอดไปจนถึงปลายสุดแดนมลายู คนไทยอาศัยอยู่เต็มไปหมด

บันทึกของหมอด็อดด์จึงมีค่า แต่คนไทยไม่ค่อยได้อ่านกัน จึงอยากจะนำเรื่องราวลงให้ละเอียด แต่เสียดายหน้ากระดาษจำกัด จึงสรุปเพียงย่อๆ พอได้ใจความ คิดว่าผู้อ่านคงจะซาบซึ้งเช่นเดียวกัน และภาคภูมิใจที่คนไทยสมัย ใกล้ปัจจุบันนี้เอง ยังอยู่ในดินแดนของจีนเต็มไปหมด เท่ากับเป็นการยืนยัน “กเบื้องจาร” ที่ หลวงพ่อพระราชกวี อ่านไว้ว่า...

สรุปความว่าต้นบรรพบุรุษที่ ชาวจีน ยกย่องว่า เป็นปฐมบรมกษัตริย์ของชาวจีน คือ พระเจ้าอึ่งตี่ฮ่องเต้ จักรพรรดิแห่งลุ่มแม่น้ำเหลือง ที่แท้ก็เป็นคนไทยนั่นเอง

ส่วนที่ศรีลังกาต้นวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินที่ ชาวศรีลังกา ยกย่องว่าเป็นปฐมบรม กษัตริย์เช่นกัน คือ พระเจ้าวิชัย ก็ไปจากคน ไทยที่ สิงห์บุรี นี่เอง แล้วสืบเชื้อสายจนถึง ปัจจุบันนี้

สำหรับ ราชวงศ์ปัลลวะ ที่ได้ครอง อยู่ในประเทศอินเดียชั่วระยะหนึ่ง ชาวอินเดีย ในอดีตก็ยกย่องว่า เป็นราชวงศ์ที่ทำคุณประโยชน์ไว้มากมาย ความจริง ราชวงศ์ปัลลวะ ก็ คือคนไทยที่ไปจากกรุงสุวรรณภูมิ (ราชบุรี) เป็นครู (ขอม) ชื่อว่า ปั่น นั่นเอง

ต่อมายุค “อาณาจักรศรีวิชัย” ราชวงศ์ไศเลนทร์ ก็ได้แผ่ขยายไปตลอดทะเลใต้ นับตั้ง แต่มลายู มะละกา ชวา บาหลี เป็นต้น ราชวงศ์นี้ก็เป็นคนไทยชื่อว่า ขุนอินทร์ไศเลนทร์ ที่ไปจากสุวรรณภูมิเช่นกัน

ข้อมูลคร่าวๆ นี้คงพอจะอนุมานได้ว่า คนไทยได้กระจายออกไปมากกว่า เพราะความเก่าแก่และยิ่งใหญ่มานาน นับตั้งแต่ยุค พระพุทธกกุสันโธ พระพุทธโกนาคม พระพุทธกัสสป และ พระพุทธสมณโคดม ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ได้เสด็จมาประทานรอยพระพุทธบาทไว้ให้ชาวไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว

จนนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่ง จีน แม้แต่ไทยเองก็ไม่เชื่อถือ ความที่เก่าเกินไปนั่นเอง แม้แต่ตัวเองก็จำกำพืดเดิมของตนเองไม่ได้ ต้องให้ชนชาติอื่นมาชี้นำให้ แล้วจึงเชื่อด้วยความเข้าใจว่าตนเองเป็นบัณฑิต นี่จึงเป็นความเศร้าใจของชนชาติไทยอย่างเราๆ ในสมัยปัจจุบัน ที่นับวันก็หมดความภาคภูมิใจลงไปเรื่อยๆ

ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ได้นำเรื่องราวชนชาติไทยลงไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง จะขอเล่าเหตุการณ์ที่ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง กันต่อไป ก่อนอื่นขอนำประวัติมาเล่าไว้ก่อน ดังนี้



ประวัติพระเขี้ยวแก้ว ณ วัดหลิงกวง


ผู้เขียนได้ค้นคว้าหาประวัติตามเอกสารบันทึกของ นายถัง เป่ากั๋ว ที่พิมพ์แจกในคราว ที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ และในหนังสือที่ นายเดา ชูเรน รองประธานและเลขาธิการใหญ่ พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน ได้เล่าไว้พอจะสรุปได้ดังนี้ว่า

“พระเขี้ยวแก้วที่อยู่ในเมืองจีน ประชา ชนชาวจีนมักเรียกว่า “พระทันตธาตุฟาเหียน” เพราะ หลวงจีนฟาเหียน ได้อัญเชิญพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) องค์นี้มาสู่จีน มีผู้กล่าวว่า พระทันตธาตุองค์นี้ได้ประดิษฐานครั้งแรกไว้ ที่อาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ชื่อว่า อูไดยานา ปัจจุบันอยู่ในเขตของประเทศปากีสถาน

หลังจากอาณาจักรนี้แล้วก็เคลื่อนย้าย มาอยู่ในแคว้น โคตัน (ทุกวันนี้คือ จังหวัด ไฮเตียน มณฑลซินเกียง) ต่อมาคริสต์ศตวรรษ ที่ ๕ หลวงจีนฟาเหียน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัย ราชวงศ์จี๋ (Qi) ซึ่งอยู่ภาคใต้ของประเทศ จีน ได้เดินทางไปเอาพระทันตธาตุจาก เมืองโคตัน มาไว้ที่ เมืองนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์จี๋ (ท่านได้ออกเดินทางจาริกไปยัง ประเทศอินเดียและลังกา พ.ศ. ๙๔๒ - ๙๕๗)

หลังจากนั้น ประเทศจีนก็รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสมัย ราชวงศ์ซุ่ย (Sui) พระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วก็เลยย้ายมาประดิษฐาน ณ เมืองหลวงใหม่ คือเมืองฉางอัน (ซีอาน) ต่อจากนั้นมา จีนก็ตกอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีการรบกันภายในประเทศ ระหว่าง กันเองเป็นเวลาถึง ๕ ราชวงศ์

ดังนั้น พระเขี้ยวแก้วได้ถูกย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง กลับไปกลับมาหลายเมือง จนกระทั่งสุดท้ายได้มาประดิษฐานอยู่ที่ เมืองเยนกิง (คือเมืองปักกิ่ง ในปัจจุบัน) บนภูเขา ซีซัน ในสมัย ราชวงศ์เหลียว ซึ่งอยู่ภาคเหนือของประเทศจีน

จากจดหมายเหตุในสมัย จักรพรรดิเดาซอง ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์หนึ่งในราชวงศ์เหลียว เล่มที่ ๒๒ บันทึกไว้เกี่ยวกับการประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วไว้ที่ พระเจดีย์เจาเซียน ในเดือนปีที่ ๘ ของปีที่ ๗ ของเหียนย่ง ค.ศ. ๑๐๗๑ (พ.ศ. ๑๖๑๔) ซึ่งได้บันทึกไว้ในประวัติของพระเขี้ยวแก้วที่แน่นอน ก่อนที่จะมาประดิษฐาน ณ เมืองปักกิ่ง


ในปี ค.ศ. ๑๙๐๐ (พ.ศ. ๒๔๔๓) พระเจดีย์เจาเซียนได้รับความเสียหายด้วยปืนใหญ่ โดยกองกำลังของฝ่ายพันธมิตรชาติตะวันตก ของผู้นิยมลัทธิจักรวรรดินิยม ๘ ประเทศ หลังจากนั้น มีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดได้มาทำ ความสะอาดบริเวณรอบพระเจดีย์ แล้วได้พบพระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในหีบศิลาอย่างถาวร อยู่ภายในห้องใต้ดินขององค์พระเจดีย์

บนตลับไม้กฤษณานั้นมีการระบุไว้ว่า ถูกนำมายัง ณ สถานที่นี้ในปี ค.ศ. ๙๖๓ (ปี พ.ศ. ๑๕๐๖) โดยพระภิกษุชื่อ ซ่านฮุยในยุคราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับการขนานนามว่า “อาจารย์ผู้เก็บความลับ” ตลับไม้กฤษณานี้ได้ รักษามาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งด้านข้างและด้านใน กล่องนั้นเป็นลายมือของหลวงจีนซ่านฮุย ซึ่งในตลับไม้นี้มี พระเขี้ยวแก้ว อยู่ด้านบน


ในที่สุด พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งได้ซ่อนเร้น มาเป็นเวลานานถึง ๘๓๐ ปี ก็ได้ปรากฏขึ้น อีกในโลกมนุษย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทางพุทธ สมาคมแห่งประเทศจีน จึงได้อัญเชิญมาให้ประชาชนสักการบูชาที่ วัดกวงจี่ เป็นการชั่วคราว ณ อาคารสรีระ เมืองปักกิ่ง

เมื่อทางการได้สร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ ณ วัดหลิงกวง แล้วเสร็จ จึงมีพิธีบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระมหาเจดีย์ไว้เป็นการถาวร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๗ ทางพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนได้จัดพิธีฉลองอันยิ่งใหญ่ ได้มีพระเถรานุเถระจากจีนหลายเมือง ผู้แทนพุทธสมาคมจากต่างประเทศ และทูตานุทูตจากทวีปเอเซีย ๙ ประเทศ มาร่วมในงานพิธีนี้ด้วย

นับเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ที่พระเขี้ยวแก้วได้ถูกอัญเชิญไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ทางรัฐบาลพม่าและพุทธสมาคมของ พม่าได้ขออัญเชิญพระทันตธาตุไปให้ชาวพม่า ได้สักการบูชาเป็นเวลาหลายเดือน

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พระเขี้ยวแก้ว ได้ถูกอัญเชิญกลับจากประเทศเมียนม่าร์ ผ่าน ทางยูนนานในเส้นทางที่จะไปปักกิ่ง จึงได้หยุด พักที่ยูนนานเป็นเวลา ๓ เดือน เพื่อให้ผู้ที่จะเดินทางมากราบไหว้บูชาตามจุดต่างๆ เช่นที่ คุนหมิง, สิบสองปันนา, ดีดอง, เจงมา, และ ลี่เจียง เป็นต้น

บรรดาพุทธศาสนิกชนนับพันคน จากหลายเชื้อชาติในมณฑลยูนนาน ได้มีโอกาส สักการบูชาพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็นโอกาสอันประเสริฐสุด ที่จะส่งผลให้เกิดความปีติยินดีเสมือนแสงสว่างที่สดใส ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นอันดี ที่จะเกิดความสามัคคีกันมากขึ้น ระหว่างชนชาติต่างๆ ในมณฑลยูนนาน

พระเขี้ยวแก้วของจีนนี้ ถือเป็นสมบัติ อันล้ำค่าที่สูงสุดของชาวจีน เฉกเช่นเดียวกับ พระบรมสารีริกธาตุอื่นๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เพียงแต่พุทธศาสนิกชนของจีนเท่านั้น แต่รวมถึงพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ก็ให้ความเคารพนับถือเช่นเดียวกัน


กรมการศาสนาของจีนจึงได้มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปยังประเทศเมียนม่าร์ถึง ๓ ครั้ง คือในปี พ.ศ. ๒๔๙๘, ๒๕๓๗, ๒๕๓๙ และอีกหนึ่งครั้งในประเทศศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ รัฐบาลฮ่องกงได้จัดการต้อนรับพระทันตธาตุให้ประชาชนชม และสักการะเป็นวันแรกในวันวิสาขบูชา

พระมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มีลักษณะทางสถาปัตยกรรม ผสมผสานของศิลปะสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง ไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนสายงาม คือสร้างเป็นพระเจดีย์ทรง ๘ เหลี่ยม ๑๓ ชั้น สูง ๕๑ เมตร บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๑๒ องค์ สมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนได้อำนวยการสร้างมาแต่ พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้วเสร็จในปี ๒๕๐๗ ใช้เวลาสร้างนานกว่า ๖ ปี


ภายในเจดีย์นั้นเป็นพระราชวังใต้ดิน เจดีย์พระเขี้ยวแก้วชั้นแรกเป็นทางเข้าพระเจดีย์ผนังเจดีย์นั้นประดับด้วยก้อนอิฐ มีการแกะสลักบทสวดมนต์ไว้อีกด้วย ชั้นที่ ๒ เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งถูกวางอยู่ในพานบัวทองคำ รายล้อมไปด้วยสถูปทองคำเล็กๆ ๘ องค์

เจดีย์ทองคำที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ภายในนั้น มีของล้ำค่าต่างๆ มากมาย เป็นของที่แต่ละมณฑลของชนกลุ่มน้อย และในประเทศต่างๆ นำมาถวาย ท่ามกลางสิ่งของที่นำมาถวายนั้น ยังรวมไปถึงพระพุทธรูปที่ประเทศไทยมอบให้แก่ประเทศจีนอีกด้วย

เรารับประทานอาหารกลางวันที่ "วังอี้เหอหยวน" ซึ่งเป็นวังฤดูร้อนของ "พระนางซูสี ไทเฮา" อยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งประมาณ ๑๐ กม. พระราชวังนี้สร้างในสมัย "เฉียนหลงฮ่องเต้" และได้มีการสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระนางซูสีไทเฮา มีการขุดทะเลสาบกว้างใหญ่ให้ชื่อว่า “ทะเลสาบคุนหมิง”

วันที่ ๒๔ มี.ค. ๓๙ หลังอาหารเช้า แล้วออกเดินทางไปชม กำแพงเมืองจีน “ป๋าต๋าหลิ่ง” สร้างโดยจักรพรรดิ จิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ ๕ มณฑลเข้าด้วยกัน มีความยาว ๑๓,๔๐๐ ลี้ (๖,๗๐๐ กม.) การก่อสร้างต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนไปเป็นจำนวนมาก

วันนี้อากาศหนาวจัด ๒ องศาเซลเซียส เมื่อไปถึงกำแพงเมืองจีน มองเห็นหิมะปกคลุมกำแพง และต้นไม้ในอาณาบริเวณขาวโพลน ส่วนพื้นกำแพงด้านบน มองเป็นทางขาวทอดยาวคดเคี้ยวไปตามยอดเขาดูสวยงามมาก มีป้อมที่มีทหารยามเฝ้าอยู่เป็นระยะๆ

เมื่อเดินขึ้นไปถึงป้อมลมหนาวเย็นพัดแรงตลอดเวลา นักท่องเที่ยวเดินขึ้นกันมามาก มีบางคนเดินขึ้นไปถึงป้อมที่ ๔ จากนั้นก็เดินกลับลงมา ตอนบ่ายก็ไปชมสุสานขนาดใหญ่ ที่รวมของฮ่องเต้ ๑๓ พระองค์ ในราชวงศ์หมิง ชื่อว่า สุสานติ้งหลิง แล้วกลับที่พัก

วันที่ ๒๕ มี.ค. ๓๙ ตอนเช้าไปชม หอบวงสรวงสวรรค์ (เทียนถาน) อันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศจีน เป็นสถานที่ใช้บวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่ สุดของกษัตริย์สมัยจีนโบราณ มีประวัติยาวนานมาแล้วถึง ๕๖๖ ปี ในแต่ละปีฮ่องเต้ทุกพระองค์ จะต้องเดินทางมาหอเทียนถาน เพื่อจะประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อขอพรจากสวรรค์ให้คุ้มครองโลกให้มีสันติสุข อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เป็นต้น

ตอนบ่ายมีรายการไปชม พระราชวังปักกิ่ง หรือวังต้องห้ามแห่งราชวงศ์หมิงและ ราชวงศ์ชิงมีอายุกว่า ๕๗๐ ปี ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน คุณแน่งน้อย นึกขึ้น ได้ว่าลืมของสำคัญที่หลวงปู่ชัยวงศ์สั่งให้นำกลับไปจากวัดหลิงกวง จึงขอแยกไปขึ้นรถ แท็กซี่กับ คุณแสงเดือน, คุณพจมาน และหัวหน้าทัวร์

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. สภาพของวัดในวันนี้ ต่างกับเมื่อวานซืนโดยสิ้นเชิง ไม่มีร่องรอยของหิมะหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ขณะที่เดินขึ้นสู่วิหารและพระเจดีย์ก็ ได้ยินเสียงพระจีนสวดมนต์ พร้อมกับเสียงเคาะไม้บักฮื้อด้วย เมื่อเดินไปถึงวิหาร เห็นประตูปิดอยู่ก็กราบพระที่หน้าประตู เข้าใจว่าพระกำลังสวดมนต์อยู่ข้างใน

จึงได้ตั้งจิตขออนุญาตนำดินแถวนั้นไปถวายหลวงปู่ แล้วเดินกลับมาหน้าวิหารเพื่อ ขอขมาและกราบลา เสียงสวดมนต์เงียบหายไป เมื่อเงยหน้ามองสูงขึ้นไป เห็นประตูมีกุญแจคล้องปิดอยู่ เมื่อขาเข้าไม่ทันสังเกตดูกุญแจ แต่ก็ไม่เห็นพระสักรูปเดียว เสียงสวดมนต์มาจากไหน จึงเดินกลับไปด้วยความปลื้มปีติ

วันที่ ๒๖ มี.ค. ๓๙ วันนี้วัดสุดท้ายที่จะอยู่ที่ปักกิ่ง วันแรกเราเริ่มต้นด้วยการไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วที่วัดหลิงกวง และลงท้ายด้วยการไปนมัสการพระที่ วัดหย่งเหอ จึงเป็นการเยือนปักกิ่งที่สมบูรณ์แบบ

วัดหย่งเหอ อันเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัย คังซีฮ้องเต้ ของราชวงศ์ชิง เพื่อเป็นที่ประทับขององค์ชายสี่ เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ก็ได้มีการดัดแปลงวัดนี้ให้กลายเป็นวัดทาง “นิกายลามะ” ทุกวัดในเมืองจีนจะมีลักษณะคล้ายกัน คือมีวิหาร ๓ หลัง ตั้งเรียงกันเป็นแนวตรง

หลังแรกจะเป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปปั้นพระสังกัจจายน์ (พระมหากัจจายนะ) หลังที่สองเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีรูปปั้นพระสาวกทั้งสองข้าง คือ พระมหากัสสป และ พระอานนท์ หลังที่สามเป็นที่ประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์ สำหรับวัดนี้มีรูปพระโพธิสัตว์ ที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์สูงที่สุดในโลก ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องทรงที่งดงามมาก


praew - 30/5/08 at 10:26

(Update 30 พ.ค. 51)

ปักกิ่ง - คุนหมิง - ตาลีฟู



หลังจากได้เข้าไปกราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดหย่งเหอกันแล้ว จึงออกไปฉันเพลที่ ภัตตาคาร แล้วเดินทางขึ้นเครื่องบินภายในประเทศถึง คุนหมิง เวลา ๒๑.๒๕ น. ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

วันที่ ๒๗ มี.ค. ๓๙ เริ่มออกเดินทาง สู่ เมืองตาลีฟู อาณาจักรน่านเจ้าในอดีต ระยะทางประมาณ ๓๗๐ กม. สองข้างทางผ่านทุ่งนาป่าเขาเหมือนชนบทบ้านเรา มองเห็นหนองแส หรือ ทะเลสาบเออร์ไห่ กว้างใหญ่ไพศาล ในระหว่างทางต้องเข้าห้องสุขาข้างทาง มีญาติโยมบางคนลงไปบรรเทาทุกข์ แต่แค่เข้าไปแล้วก็รีบออกมา ผู้เขียนถามว่าทำไมเร็วนัก

โยมผู้หญิงคนนั้น ไม่พูดแต่ปิดจมูก จึงได้เข้าไปดู ปรากฏว่าส้วมแถวชนบทในเมืองจีนยังเป็นส้วมแบบบ้านเราสมัยก่อนๆ มองเห็นอะไรได้ชัดเจน ชาวจีนนิยมเอาปุ๋ยของคนไปปลูกผัก เขาบอกว่างามมากทีเดียว ดีกว่าปุ๋ยธรรมชาติสูตรอื่นๆ ทั้งหมด

โดยเฉพาะส้วมสาธารณะ จะทำเป็นรางลาดเทออกไปข้างนอก เพื่อความสะดวกในการนำออกไป ประตูก็ไม่มีจะปิด มองเห็นหน้ากันได้ชัดเจน ส่วนภูเขาส่วนใหญ่เป็นภูเขาหัวโล้น แวะทานอาหารกลางวัน ที่ต้าลี่ มีมัคคุเทศก์เพิ่มอีก ๑ คน เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย ทำงานได้ ๒ ปีแล้ว บอกว่าภาษาไทยเป็นวิชาบังคับในมหาวิทยาลัย น่าแปลกมากนะ

ออกเดินทางต่อไปสู่ เมืองปิงชวน ระยะทางประมาณ ๑๐๓ กม. เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง รถเริ่มติดบนภูเขาระหว่างทางไปเขาจี้จู๋ รถหลายพันคันจอดรออยู่บนถนนแคบๆ หลีกกันแทบไม่ได้ ต้องวิ่งไปทีละคืบทีละศอก เนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืน จึงทำให้รถบรรทุกสิบ ล้อล้มขวางทางอยู่กลางถนน

พวกเราต้องนั่งอดทนอยู่ในรถ ๓ - ๔ ชั่วโมงผ่านไป ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนกระทั่งดึก มัคคุเทศก์ควักเงินปึกหนึ่งออกมากรีดเล่น บอกว่าเงินที่เตรียมมาไว้เป็นค่าอาหารตอนนี้ไม่มีความหมายแล้ว ป่าเขาเช่นนี้จะไปหาที่ไหนกัน แต่ก็พยายามไปหาซื้อของกินจากชาวบ้านแถวนี้ จะต้องเดินกันไปไกลๆ นับชั่วโมง


นับว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชะตากรรมของพวกเรา เหมือนกับต้องไปชดใช้หนี้กรรมแต่ปางก่อน น้ำก็ไม่ได้อาบ อาหารเย็นก็เป็นแค่ฝันไป คงได้แค่หมั่น โถวที่เหลือจากกลางวันติดรถมาพอแบ่งปันกันคนละเล็กน้อย น้ำดื่มก็ต้องจิบกันคนละอึก นอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ภายในรถตลอดทั้งคืน ระหว่างสองข้างทางก็มืดมิดน่ากลัว

เช้าวันที่ ๒๘ มี.ค. ๓๙ รถเริ่มขยับไปได้เร็วขึ้น ตามกันเป็นแถวยาวเหยียดนับหลายสิบกิโลเมตร จนถึงเวลาประมาณ ๘.๐๐ น. รถเริ่มเคลื่อนไปช้าๆ โดยไม่ต้องจอด ในที่สุดก็วิ่งลงจากเขาไปได้ตามปกติ รวมเวลาที่ค้างอยู่บนเขานาน ๒๐ ชั่วโมง มัคคุเทศก์เจ้าถิ่น บอกว่า เขาไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน คุณแน่งน้อย ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ว่า

“ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เมื่อเราตั้งใจมานมัสการ พระมหากัสสป ผู้เป็นเลิศในทางธุดงค์ ท่านย่อมสั่งสอนให้เรารู้จักชีวิตธุดงค์ในป่าเป็นเวลา ๑ คืนอย่างแน่นอน เป็นการฝึกความอดทนไปด้วย..”

รถได้หยุดพักแวะทานอาหารเช้าและกลางวันระหว่างทาง แล้วเดินทางสู่เขาจี้จู๋ระยะทางประมาณ ๔๐ กม. เป็นทางลูกรัง ตอนนี้รถวิ่งไปติดที่หลุมใหญ่ ต้องเดินไปขอความ ช่วยเหลือจากชาวบ้าน ซึ่งอยู่ไกลประมาณ ๖ กม. จนถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. พวกเราได้ช่วยกัน เอาแม่แรงมายกล้อขึ้น แล้วช่วยกันเอาหินถมหลุมให้เต็มทั้ง ๔ ล้อ ในที่สุดก็ขึ้นจากหลุมได้



แต่รถก็ไม่อยู่ในสภาพปกติ จึงหันหลังกลับไปที่หมู่บ้านที่ผ่านมาหาเช่ารถเมล์ขนาดเล็ก ทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในหมู่บ้านกันแล้ว จึงนั่งรถเบียดเสียดยัดเยียดกัน โดยมีกระเป๋าอยู่บนหลังคารถ รถวิ่งผ่านรถใหญ่ของเราที่ติดหล่ม แล้วยังต้องวิ่งขึ้นเขาไปอีกเป็นทางแคบๆ อากาศเริ่มมืดมองไม่เห็นอะไร

นับว่าโชคดีที่เปลี่ยนรถเสียก่อน ถ้าเป็นรถใหญ่คันเดิมคงไปไม่ได้แน่ ถึงวัดเวลา ประมาณ ๒๒.๐๐ น. ต้องขึ้นที่พักบนเขาอีก ปรากฏว่าที่พักที่เราจองไว้ มีคนจากไต้หวันมาพักก่อนแล้ว เพราะเรามาล่าช้ากว่ากำหนดเดิม อากาศบนนี้หนาวจัดมาก หายใจออกเป็นควัน

ระหว่างนั้น มัคคุเทศก์จากต้าลี่ได้กลับมาบอกว่า หาที่พักข้างล่างได้แล้ว จึงนั่งรถ กลับลงมาข้างล่าง เข้าพักห้องละ ๒ คน มีผ้าห่มอย่างหนาให้พร้อม หัวหน้าทัวร์สั่งห้ามอาบน้ำเพราะกลัวเป็นหวัดกัน เราก็เต็มใจอยู่แล้ว ถึงแม้จะต้องซักแห้งต่อจากเมื่อวานนี้

วันที่ ๒๙ มี.ค. ๓๙ หลังจากที่ได้พักผ่อนนอนหลับเอาแรงกันแล้ว เป็นการชดเชยเมื่อ คืนนี้ที่อยู่บนรถตลอดทั้งคืน คุณแน่งน้อยได้ สำรวจบริเวณ ตามที่หลวงปู่วงศ์บอกไว้ว่าเป็นหน้าผา ที่แท้เป็นที่เราพักกันอันเป็นศูนย์กลาง ของ วัดจู้เซิงซือ นั่นเอง มองออกไปด้านขวาเห็นหน้าผาตัด และยอดเขาเป็นรูปเต่า



พระเจดีย์ขาว ๓ องค์


พระเจดีย์ 3 องค์ สัญลักษณ์แห่งเมืองต้าหลี่ อายุเก่าแก่มากเกือบ 1,200 ปี เจดีย์องค์ประธาน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนเจดีย์บริวารทั้ง 2 องค์ ความสูงเป็น 2 ใน 3 ขององค์ประธาน สร้างหลังองค์ประธานร่วม 200 ปี


พวกเราช่วยกันจัดโต๊ะเครื่องบูชา แล้วหลวงพี่โอทำพิธีบวงสรวง สวดมนต์นั่งสมาธิกันแล้ว จึงรับประทานอาหารเช้า เป็นบะหมี่น้ำรสชาติดีพอสมควร หลังจากได้ร่วมทำบุญกับทางวัดแล้ว จึงเดินทางกลับมาขึ้นรถใหญ่สู่เมืองตาลีฟู ระหว่างใกล้จะถึงเมืองเก่า รถวิ่งลงมาจากยอดเขา มองเห็นพระเจดีย์ขาว ๓ องค์แต่ไกล ขณะที่มีละอองฝนโปรยปรายลงมาพอดี แต่เมื่อไปถึงเมืองใหม่ของตาลีฟู กลับไม่มีฝนตกแต่อย่างใด นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก

กล่าวกันว่าดินแดนจีนด้านนี้ อยู่ภายใต้การปกครองเจ้าฟ้า ๖ พระองค์ ในช่วงศตวรรษ ที่ ๘ เจ้าฟ้าองค์หนึ่งได้เสด็จเยือนพระราชสำนักแห่งราชวงศ์ถัง เมื่อถูกถามไถ่ว่ามาจากที่ใด พระองค์ตอบว่าจากแผ่นดินที่ไกลกว่าทางตอนใต้ ซึ่งมีฝนตกชุกมากกว่ามณฑลเสฉวนเสียอีก จักรพรรดิถังจึงให้นามดินแดนนั้นว่า “ยูนนาน” แปลว่า “เมฆใต้อิสรภาพที่ไร้พรมแดน”

จากนี้ไปก็คือ ลี่เจียง เป็นสถานที่ซึ่งฟ้าและดินยังอยู่คู่กันอย่างใกล้ชิด สถานที่น่าท่องเที่ยว คือ สระมังกรดำ และ เทือกเขามังกรหยก เป็นต้น แล้วก็ไปถึง เมืองต้าลี่ ได้แก่ อาณาจักรน่านเจ้า ในอดีต ล่มสลายเพราะถูกกุ๊บไลข่าน ชาวมองโกลพิชิตเอาไว้ได้


หลักศิลาหนันเจา สร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๑๓๐๙ ซึ่งมองเห็นได้จากเมืองหลวงไท่เหอ อันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้า คำจารึกบนหลักศิลานี้ บันทึกระบบการเมืองการ ปกครองและเศรษฐกิจของชาติแห่งนี้เอาไว้ สัญลักษณ์ของเมืองต้าลี่ คือ เจดีย์สามองค์ หรือ ต้าลี่ซันถ่า เจดีย์องค์กลางสูง ๗๐ เมตร สร้างในศตวรรษที่ ๙ และประดิษฐานอยู่ใจกลางวัดแห่งหนึ่งมาก่อน ซึ่งเหลือแค่พระเจดีย์นี้

ในการบูรณะเจดีย์ทั้ง ๓ องค์นี้ ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ โบราณวัตถุกว่า ๖๐๐ ชิ้น ถูก ค้นพบในองค์เจดีย์ เป็นวัตถุจากสมัยศตวรรษ ที่ ๗ - ๑๐ ซึ่งเป็นกระจกสัมฤทธิ์ ยา พระพุทธรูปทองคำ และประติมากรรมรูปไก่ฟ้าที่ทำจากเงิน คงสร้างตั้งแต่สมัย “พ่อขุนบรม”

"ต้าลี่" เป็นเมืองไกล้น้ำทำให้เกิดอุทกภัยเป็นนิตย์ คนสมัยก่อนเชื่อว่ามังกรเป็นตัวก่อเหตุเพราะชอบมาเล่นน้ำป๋อมแป๋มที่ "ทะเลสาบเอ๋อห่าย" จึงทำให้น้ำท่วม และเชื่อกันว่ามังกรกลัวพระเจดีย์ จึงสร้างเจดีย์ขึ้นข่มมังกรเพื่อไม่ให้มาเล่นน้ำ จะได้น้ำไม่ท่วมอีก จึงได้ชื่อว่า "เจดีย์สยบมังกร" นั่นเอง


เจดีย์ต้าลี่ เป็นเจดีย์สีขาวทั้งองค์ คำว่า ไป๋แปลว่า สีขาว ชาวไป๋ที่นี่เรียกบรรพบุรุษ ของตนว่า “ราชาขาว” และเรียกภาษาของตน ซึ่งคล้ายกับภาษาจีนกลางว่า “ภาษาสีขาว” แต่กระนั้นก็ตาม สตรีชาวไป๋นิยมแต่งกายกันด้วย เสื้อผ้าสีเจิดจ้าโดยเฉพาะสีแดง ชาวไป๋เป็นกลุ่มชนที่ชอบแต่งกายงดงามตระการตามากที่สุดชนชาติหนึ่ง ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

วันนี้เป็นวันที่ ๙ ของการเดินทาง ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ มี.ค. ๓๙ ออกเดินทางกลับจาก วัดจู้เซิงซือ เขาจี้จู๋ ถึง คุนหมิง ในเวลาเย็น ใช้เวลาเดินทางถึง ๙ ชั่วโมง รุ่งขึ้นวันที่ ๓๑ มี.ค. ๓๙ เราปิดท้ายรายการนี้ ด้วยการไปที่ วัดหยวนทง เป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่าพันปี


ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎก ศาลาแปดเหลี่ยมเจ้าแม่กวนอิมพันมือ และ ที่สำคัญมีวิหารไทยที่มีพระพุทธชินราชเป็นพระประธานอยู่ด้วย "คุนหมิง" คนไทยมาเที่ยวกันเยอะ จึงนิยมมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ.

คลิก..ติดตามการเดินทาง ครั้งที่ 2 http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=428


webmaster - 3/5/18 at 06:29

.