ตามรอยพระพุทธบาท

เดินทางไปสุโขทัย - อุตรดิตถ์ วันที่ 5-7 ตุลาคม 2552
praew - 22/4/10 at 12:47

วันที่ 5 ตุลาคม 2552 (ศรีสัชนาลัย - ทุ่งเสลี่ยม)

วัดพิพัฒน์มงคล อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย


หลังจากวันอออกพรรษาแล้ว รุ่งขึ้นเป็นวันตักบาตรเทโว พวกเราได้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ บ้าง จังหวั่ดอื่นๆ บ้าง แต่ยังไม่กลับบ้านกัน เพราะวันต่อไปจะเป็นวันทอดกฐิน วันนี้ในตอนบ่าย หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้นำพวกเราไปเที่ยวที่ วัดพิพัฒน์มงคล อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย รูปภาพนี้เป็นภาพเก่าที่ท่านเจ้าอาวาสธุดงค์มาเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วได้พบซากพระเจดีย์เก่า ต่อมาท่านได้บูรณะจนรุ่งเรืองดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ เพราะท่านได้ขุดพบวัตถุโบราณต่างๆ มากมาย เช่น พระพุทธรูปทองคำ เป็นต้น


พวกเราเดินเข้าไปภายในวิหาร จะมองเห็น "พระพุทธรูปทองคำ" ประดิษฐานอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาสวยงาม


นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณของมีค่าอีกมากมาย ตามประวัติเล่าว่า สมัยก่อนหลวงพ่อเดินธุดงค์ผ่านมาทางอำเภอทุ่งเสลี่ยม เพื่อจะเดินทางกลับวัดเดิมที่จังหวัดลำพูน หลังจากที่ได้ธุดงค์มาได้ ๕ ปี และได้ปลักกลด ณ บริเวณหัวไร่ปลายนาแห่งหนึ่ง อันที่รกร้างว่างเปล่า


หลวงพ่อได้ปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๑๕ วัน ในคืนหนึ่งได้นิมิตพบกับดวงวิญญาณของเจ้าที่ ที่รักษาสถานที่แห่งนี้มาเป็นเวลา ๗๐๐ ปีกว่าท่านบอกว่าเป็นทหารคู่พระบารมีของพ่อขุนรามคำแงมหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยราชธานี ท่านบอกนามว่า " พ่อขุนงามเมือง และพ่อขุนเรืองอังวะ


ท่านทั้งสองบอกว่าท่านมาเฝ้าอยู่รักษาแผ่นดินแห่งนี้ รอผู้มีบุญบารมีมาปลดปล่อย และได้ชี้ลงตรงพื้นดินแห่งนี้ว่า " ในทางทิศตะวันออกมีลูกแก้วมงคลนิมิต เป็นลูกแก้วสีเขียวใสเงางาม ให้พระคุณเจ้าขุดขึ้นมาแล้วให้สร้างสถูปเจดีย์นแก้วมงคลนิมิตขึ้นแระดิษฐานไว้ เพื่อเป็นบุญสถานอันศักดิ์สิทธิ์เจริญรุ่งเรืองในอนาคตอันใกล้นี้


ขอให้ท่านสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ณ บริเวณแห่งนี้เพ่อเป็นที่แสวงบุญสร้างสมบารมีของสาธุชน และเป็นที่พึ่งทั้งทงกายใจในยามทุกข์ เมื่อท่านทำได้ดังนี้ดวงวิญญาณของข้าทั้งสองจะได้ไปสู่สุคติภพ


แล้วหลวงพ่อพิพัฒน์มงคล ได้ตั้งจิตอธิษฐานเริ่มลงมือก่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรม " พัฒนาพุทธนิมิต " ณ บิเวณแห่งนี้เมื่อปลายปี ๒๕๒๕ แล้วยกฐานะเป็นวัดจนถึงบัดนี้ เป็นเวลา ๒๔ ปี...!!


หลวงพี่ได้เข้าไปสรงน้ำพระพุทธรูปทองคำ, พระบรมสารีริกธาตุ และวัตถุโบราณต่างๆ
หลังจากได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว


ต่อจากนั้นได้ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก แล้วออกมาชมศาลาไทยทรงล้านนา ที่เรียกกันว่า "หอคำ" นั่นเอง


praew - 22/4/10 at 12:50

วันที่ 6 ตุลาคม 2552 (อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย)


หลังจากงานวันออกพรรษาและงานทอดกฐิน ณ วัดสิริเขตคีรี (วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้รับข่าวจากน้องสาว คือ "พี่ติ๋ม" แจ้งว่า คุณพ่อณรงค์ นาคสวัสดิ์ ได้สิ้นลมไปอย่างสงบที่หลังวิหารสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง แล้ว เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2552 ตรงกับวันออกพรรษาพอดี หลวงพี่ก็ได้เตรียมที่จะกลับจากการจำพรรษาที่วัดพระร่วง


แต่ท่านได้มีนัดไว้กับ คุณชาติชาย มีเกิดมูล เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุตรดิตถ์ เนื่องจากหลวงพี่ชัยวัฒน์ได้ทราบข่าวจากการพบรอยพระพุทธบาท ณ บ้านหนองหัวนา ต.สองคอน อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ ก่อนที่จะถึงวันเดินทาง หลวงพี่พร้อมกับคณะที่ไปทำบุญทอดกฐิน ณ วัดพระร่วง หลังจากทอดกฐินเสร็จแล้ว ในตอนบ่ายท่านได้นำไปกราบไหว้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดพระปรางค์) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย


พระประธานภายในซากพระวิหาร พวกเราได้ถ่ายรูปภาพกันเป็นที่ระลึก



หลังจากนั้นได้เดินทางไปชมซากกระดูกคนโบราณ ณ วัดศรีชมชื่น ซึ่งอยู่ภายในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ภายในบริเวณอาคารที่กรมศิลปากรขุดพบ ปรากฏว่าขุดลึกลงไปในพื้นดินหลายเหมตร


หลังจากนั้นได้ออกเดินทางเลียบแม่น้ำยม เรียกตรงบริเวณนี้ว่า "แก่งหลวง"



ซึ่งจะมองเห็นการจารึกอักษรบอกเล่าประวัติลงในแผ่นอิฐดินเผา เพื่อเป็นการบอกตำแหน่ง ณ แก่งหลวง แห่งนี้ ตามประวัติเล่าว่า "พระร่วง" ได้ลงมาเล่นน้ำแล้วจมหายไปตรงบริเวณแก่งหลวงแห่งนี้ ซึ่งมีน้ำไหลเชี่ยววกวน


ต่อจากนั้นก็ไปชม "เตาทุเรียง" ที่เหลือแต่ซาก มีทั้งภายในอาคารและภายนอกสถานที่


สมัยพระร่วงได้นำช่างปั้นมาจากเมืองจีนที่เรียกกันว่า "ชามสังคโลก" นั่นเอง


praew - 22/4/10 at 12:51

วันที่ 7 ตุลาคม 2552 (วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์)


ตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2552 พวกเราเดินทางพร้อมกับคณะชาวบ้านท่าชัย ออกจากวัดสิริเขตคีรี (วัดพระร่วง) โดยมีเป้าหมายที่วัดพระแท่นศิลาอาสน์ ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์


ทั้งนี้หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้นัดพบกับ คุณชาติชาย มีเกิดมูล เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนิมนต์เจ้าอาวาสวัดพระแท่นศิลาอาสน์ร่วมเดินทางไปด้วย


แต่ก่อนที่จะออกเดินทางไปสำรวจรอยพระพุทธบาท ณ บ้านหนองหัวนา ต.สองคอน อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ หลวงพี่ได้นำไปกราบไหว้สถานที่สำคัญในบริเวณนี้ก่อน


หลังจากที่กราบไหว้พระแท่นศิลาอาสน์กันแล้ว จึงเดินไปกราบไหว้ที่วัดพระยืนพุทธบาทยุคลต่อไป



ด้านข้างวิหารพระพุทธบาทยุคล หลวงพี่ได้เห็นซากพระเจดีย์เก่า 2 องค์ ท่านจึงได้เข้ากราบไหว้ พร้อมกับซักถามประวัติความเป็นมากับพระที่อยู่ภายในวัด


ต่อจากนั้น หลวงพี่ได้นำคณะเดินบนสะพานข้ามถนนไปที่วัดพระนอน แต่ได้ทราบว่า หลวงพ่อสมพิศ ที่เคยเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้มรณภาพไปแล้ว หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้เล่าว่า ท่านได้เคยนำคณะญาติโยมหลายร้อยคน เดินทางมาทำพิธีบวงสรวงที่วัดพระแท่นฯ วัดพระยืนฯ และวัดพระนอน แล้วได้ทอดผ้าป่าร่วมบูรณะทั้ง 3 แห่งนี้ เมื่อปี 2541


ปัจจุบันนี้ ท่านเจ้าอาวาสเหล่านี้ได้มรณภาพไปหมดแล้ว โดยเฉพาะวัดพระยืนพุทธบาทยุคลได้นำเงินจำนวนนี้ไปร่วมสร้างสะพานข้ามถนนแห่งนี้ด้วย และเจ้าอาวาสวัดพระนอนก็ได้นำเงินผ้าป่าไปสร้างพระนอนองค์หนึ่ง ตามภาพที่เห็นนี้ เวลานี้มีเจ้าอาวาสองค์ใหม่ หลวงพี่จึงได้ถวายปัจจัยร่วมบูรณะพระมณฑปครอบแท่นพระนอน ซึ่งกำลังตั้งนั่งร้านซ่อมแซมอยู่พอดี จากนั้นได้เข้าไปกราบไหว้พระนอน องค์ที่พวกเราร่วมสร้างมานานหลายปีแล้วออกเดินทางต่อไป.


praew - 22/4/10 at 12:51

รอยพระพุทธบาท ณ บ้านหนองหัวนา หมู่ 8
ต.สองคอน อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ (ลำดับที่ 596)

ก่อนที่จะเดินทางไปกราบไหว้รอยพระพุทธบาทที่พบใหม่แห่งนี้ ระหว่างจำพรรษาที่วัดพระร่วงฯ หลวงพี่ได้รับข่าวการพบจากแหล่งข่าวดังนี้ค่ะ



อุตรดิตถ์..พบรอยแปลกบนแผ่นหินกลางป่าแม่จริม

อุตรดิตถ์ 4 ก.ย. 52 - นายธาตรี บุญมาก นายอำเภอฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ เปิดเผยภายหลังนำกำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านในพื้นที่ตำบลสองคอน อ.ฟากท่า เข้าตรวจพิสูจน์แผ่นหินที่ชาวบ้านเก็บหน่อไม้ป่าเข้าไปพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่จริมว่า

จุดที่พบอยู่กลางลำห้วยในป่าด้านเหนือบ้านหนองบัวนา หมู่ 8 ต.สองคอน ประมาณ 3 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปอีก 500 เมตร เป็นแผ่นหินขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 7 เมตร ประมาณ 35 ตารางเมตร มีรอยลึกลงไปประมาณ 1 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายฝ่าเท้ามนุษย์ทั้งขนาดเล็กและใหญ่

โดยเฉพาะรอยขนาดใหญ่นั้นใหญ่กว่าเท้ามนุษย์ในปัจจุบันหลายเท่าตัว อยู่ตรงกลางของแผ่นหิน ที่เหลือเป็นรอยเล็ก-ใหญ่ สลับกันไป ซึ่งรอยเล็กสุดประมาณ 15 x 40 เซนติเมตร แต่ที่แปลกคือ ทุกรอยมุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกันเข้าสู่ป่าบนภูเขาสูง

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้ให้กำนันตำบลสองคอนระดมชาวบ้านพัฒนาพื้นที่ พร้อมทำรั้วกั้นบริเวณที่พบ และยังไม่อนุญาตให้เดินขึ้นไปเหยียบบนก้อนหิน เพราะอาจกระทบต่อร่องรอยดังกล่าว และจะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัด เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบอีกครั้ง.


ที่มา - สำนักข่าวไทย



รอยเท้าขนาดใหญ่บนแผ่นหินมากกว่า 20 จุด

นายธาตรี บุญมาก นายอำเภอฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ ได้รับแจ้งจากนายสุวรรณ เพ็งหม้อ กำนันตำบลสองคอน อ.ฟากท่าว่าพบแผ่นหินขนาดใหญ่กลางลำห้วยในป่าเหนือหมู่ 8 บ้านหนองหัวนา ต.สองคอน ซึ่งเป็นเขตป่าในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่จริม มีความพิเศษกว่าแผ่นหินทั่วไป คือ พบมีรอยลักษณะคล้ายฝ่าเท้าของมนุษย์ แต่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กใหญ่ต่างกันเป็นจำนวนมาก จึงนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอฟากท่า ผู้นำชุมชนและชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบ

นายธาตรี กล่าวว่า บริเวณที่พบแผ่นหินดังกล่าวอยู่ในลำห้วยยั่น อยู่ในป่าเหนือหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร พบแผ่นหินซึ่งไม่ทราบชนิด แต่มีขนาดใหญ่เป็นเนื้อเดียวกัน ประมาณ 35 ตารางเมตร หรือ 5x7 เมตร ที่พิเศษและแปลกบนแผ่นหินก้อนดังกล่าวมีรอยบุ๋มลึกลงไปในเนื้อหินประมาณ 1 เซนติเมตร เป็นลักษณะคล้ายฝ่าเท้ามนุษย์ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน และที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้ามนุษย์ในปัจจุบันหลายเท่าตัว เป็นจำนวนมาก

“รอยเท้าที่ขนาดใหญ่สุดอยู่ตรงกลางของก้อนหินมีขนาด 1x1.5 เมตร ส่วนที่เหลือมีขนาดเล็กใหญ่สลับกันไป โดยขนาดเล็กสุด 15 x 40 เซนติเมตร มีมากกว่า 20 รอย แต่ที่แปลกคือปลายนิ้วเท้าทุกรอยปลายเท้าหันไปทิศทางเดียวกันคือเหมือนมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าบนภูเขา”นายธาตรี กล่าว

เบื้องต้นได้มอบหมายให้กำนันตำบลสองคอน ระดมชาวบ้านพัฒนา ตัดหญ้า บริเวณที่พบทำศาลเจ้าที่ พร้อมทำรั้วกั้นบริเวณที่พบ และยังไม่อนุญาตให้เดินขึ้นไปเหยียบบนก้อนหิน เพราะอาจกระทบต่อร่องรอยของฝ่าเท้า ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัดส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง

นายสุวรรณ เพ็งหม้อ กำนันตำบลสองคอน กล่าวว่า ลูกบ้านเข้ามาหาหน่อไม้ตามลำห้วยยั่น แต่ปีนี้น้ำในลำห้วยแห้งขอดจนสามารถมองเห็นโขดหินได้ชัดเจน จึงทำให้พบก้อนหินที่มีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่ดังกล่าวโผล่ขึ้นมาเหนือลำห้วย ชาวบ้านที่ทราบเรื่องต่างหลั่งไหลมาดูอย่างต่อเนื่อง และก็พูดเป็นรอยพุทธบาท แต่แปลกตรงที่ว่ามีเป็นจำนวนมากและหลายขนาดลักษณะคล้ายการเดินจงกรม

ชาวบ้านบางรายก็เชื่อว่าน่าจะเป็นรอยเท้าของพระเกจิชื่อดังที่อาจมีวิชาอาคมสูง เพราะจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ป่าแถบดังกล่าวสมัยโบราณพระสงฆ์จากทั่วสารทิศมักเดินทางเข้ามาธุดงค์อย่างต่อเนื่องเพราะเป็นป่าที่อยู่ห่างไกลชุมชน ประกอบกับอยู่ใกล้ชายแดนไทย-ลาว จึงเงียบสงบและอาจมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ด้านคาถาอาคม อย่างไรก็ตามอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ และชาวบ้านพร้อมที่จะร่วมหวงแหน อนุรักษ์ให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสตร์ และท่องเที่ยว


ที่มา : เนชั่นทันข่าว




ด้วยเหตุที่มีข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เช่นนี้ และเป็นขณะเดียวกับที่ท่านไปจำพรรษา ปี 2552 ที่วัดสิริเขตคีรี (วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ท่านจึงมีแผนการที่จะเดินทางไปกราบไหว้หลังจากออกพรรษาแล้ว แต่คุณพ่อณรงค์ นาคสวัสดิ์ ได้มาสิ้นชีวิตในวันออกพรรษาพอดี


ถึงกระนั้นก็ตาม หลวงพี่จำต้องเสียสละเวลานั้นออกไป ท่านได้เล่าว่า แม้ท่านจะไม่อยู่ที่วัด แต่มีเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม และเจ้าหน้าที่ประจำที่พระศรีอาริย์ ร่วมทั้งพระภิกษุและญาติโยมที่อยู่ภายในวัดท่าซุง


ทุกท่านทุกคนต่างก็ได้เข้ามาช่วยเหลือสงเคราะห์เป็นอย่างดี รวมทั้งจัดพิธีสรงน้ำและบรรจุไว้ในโลงศพแอร์ เพื่อรอหลวงพี่ชัยวัฒน์กลับมาทำพิธีฌาปนกิจศพโยมพ่อของท่านในโอกาสต่อไป เรื่องนี้ท่านได้ปรารภกับคนที่ใกล้ชิดว่า ท่านซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากที่เดินทางมาถึงแล้ว หลวงพี่ก็ได้ทำการสำรวจ พบว่าบริเวณรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ มีลักษณะเป็นหินทรายแดง แต่ละก้อนมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่หลายแห่ง


บางรอยก็ชัดบ้าง บางรอยก็เห็นแค่เลือนราง โดยมีผู้อาวุโสในหมู่บ้านนี้มาเล่าประวัติให้ฟังอีกด้วย



รอยพระพุทธบาทจะมีรอยริ้วๆ ที่ขอบ มีลักษณะคล้ายรอยพระพุทธบาทที่ในป่า อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน



หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้ทำพิธีบวงสรวง พร้อมกับพระภิกษุหลายรูปที่ร่วมเดินทางไปด้วย มีท่านเจ้าอาวาสวัดพระแท่นศิลาอาสน์ หลวงพี่วันชัยและหลวงพี่จากวัดพระร่วง พร้อมกับชาวบ้านบริเวณนี้ด้วย








เป็นอันว่า รอยพระพุทธบาทที่พบใหม่แห่งนี้ หลวงพี่ได้นับอันดับเป็น ลำดับที่ 596


webmaster - 23/4/10 at 10:44

(Update 23-04-53)


ก้อนหิน "ศิลาเลข" ต.สองคอน อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์


ครั้นได้ทำพิธีบวงสรวงกราบไหว้บูชา ซึ่งมีพวกเราได้เตรียมบายศรีไปด้วยแล้ว ชาวบ้านได้นำไปสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "ศิลาเลข" จะต้องเดินเข้าไปในป่าลึกพอสมควร


ก้อนหินก้อนนี้อยู่ริมลำห้วยที่แห้งแล้ว ถึงแม้ไม่มีน้ำไหลผ่าน แต่ก็ยังมีความเย็นเหลืออยู่ เพราะเป็นป่ารกชื้น



หลวงพี่ได้และพวกเราได้เข้าไปสำรวจแล้ว ปรากฏว่าพบกับตัวเลขมากมายสมชื่อ "ศิลาเลข" จริงๆ



ส่วนใหญ่จะมองเห็นเป็นเลข "ศูนย์" ซึ่งหวยงวดนั้นออกเลขสองตัวล่าง 00 พอดี



จะเป็นการบังเอิญหรือเป็นด้วยอานุภาพก็ตาม แต่ฟังชาวบ้านเล่าแล้ว ทราบว่าก้อนหินก้อนนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะมองดูแล้วคล้ายกับแท่นนั่ง เพราะผิวด้านหน้าเรียบ แต่กลิ้งตะแคงเหมือนไม่อยากให้ใครขึ้นไปนั่ง


หลวงพี่ได้เข้าไปอธิษฐาน โดยพวกเราได้ช่วยกันห่มผ้าสไบทองแล้ว จึงได้เดินทางกลับไปในวันนั้นกันเลย.