ตามรอยพระพุทธบาท

การเดินทางไปประเทศแอฟริกาใต้ วันที่ 12-17 มิ.ย. 55
webmaster - 10/6/12 at 15:59

เล่าเรื่องการเดินทางไป "ประเทศแอฟริกาใต้"


วันที่ 12 - 17 มิถุนายน 2555

รอยเท้า (Footprint) ณ ประเทศแอฟริกาใต้
(รอยพระพุทธบาท ลำดับที่ 637)

ก่อนที่จะเล่าเรื่องการเดินทางไปประเทศแอฟริกาใต้ ผู้เขียนขอย้อนเล่าถึงประวัติความเป็นมาเรื่อง "รอยเท้า" หรือภาษาอังกฤษเรียกกันว่า "Footprint" ปรากฏว่าพบหลายแห่งในประเทศที่ห่างไกลจากประเทศของเรา ที่เรียกว่า "รอยเท้า" ที่อยู่นอกอาณาเขตชมพูทวีป เพราะตามหลักฐานที่พวกเราชาวพุทธได้ศึกษา จะทราบกันดีว่าถ้าเป็นรอยเท้าในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่าเป็น "รอยพระพุทธบาท" ทั้งสิ้น ตามที่ได้พบและกราบไหว้บูชากันมาแต่โบราณกาล เช่น รอยพระพุทธบาท ณ สระบุรี และบนอยอดเขาสุมนกูฏ ณ ประเทศศรีลังกา เป็นต้น

เชิญชมวีดีโอ (คลิปที่ 1) ตอน "รอยเท้ายักษ์"


(ติดตามคลิปที่ 2 - 3 ต่อไปที่ด้านล่าง)

แต่ที่อยู่ห่างไกลไปถึงประเทศแอฟริกาใต้ พวกเราก็ยังไม่เคยได้ไปพบเห็น เพราะว่าไม่มีหลักฐานไม่มีในตำนานใดๆ ทั้งสิ้นว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทานรอยพระพุทธบาทไว้ไกลจากชมพูทวีป แต่ถ้ารอยเท้าแห่งนี้อยู่ในเขตชมพูทวีป หรือว่าอยู่ในประเทศไทย ผู้เขียนใคร่จะให้คะแนนเต็มร้อยไปเลย

เพราะว่ารอยนิ้วเท้าทั้งห้านิ้วชัดเจน เป็นรอยที่ปรากฏอยู่บนหิน โดยมีลักษณะที่เหยียบไว้ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น หมายความว่าไม่ได้อยู่บนพื้นตามธรรมชาติ โดยเลือกสถานที่หรือชัยภูมิที่พอเหมาะกับการกราบไหว้ ไม่อยู่สูงหรือต่ำเกินไป แต่ผู้เหยียบรอยเท้าใหญ่มหิมานี้ ตั้งใจที่จะเหยียบไว้ในลักษณะที่ผิดธรรมชาติเกินความเป็นจริง ซึ่งมีเพียงเบื้องซ้ายข้างเดียว ทั้งนี้ เพื่อจะบอกถึงความสามารถ หรือคุณลักษณะพิเศษอะไรสักอย่าง ที่บุคคลธรรมดาจะทำได้

ถ้าหากจะพาดพิงถึงหลักฐานในพระพุทธศาสนา จะต้องบอกว่าบุคคลที่พิเศษเช่นนี้ ที่มีความสามารถเหยียบหินให้เป็นรอยอย่างนี้ จะต้องมีคุณธรรมอันสูงสุด หรือที่เรียกกันว่าจะต้องมีฤทธิ์เดชเหนือบุคคลธรรมดาสามัญนั่นเอง และเพื่อประสงค์อะไรก็ไม่มีใครทราบได้ โชดดีที่รอยเท้านี้อยู่ห่างไกลบ้านเมือง สภาพยังเป็นป่าเขาแต่พอจะเดินทางไปได้ บ้านเรือนก็ยังไม่มีใครเข้าไปอาศัย ส่วนใหญ่เป็นป่าสนแทบทั้งสิ้น


คลิปวีดีโอพรีเซนต์จากทัวร์ชาวแอฟริกาใต้ แต่ก็ไม่ได้ไปกับเขา บันทึกไว้ก่อนหน้าหนาว (17 มี.ค.55)
จึงน่าจะเชื่อถือได้ว่า เป็นรอยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หมายถึงไม่มีการแกะสลักหรือเติมแต่งแต่อย่างใด โดยเฉพาะนักธรณีวิทยาต่างก็ได้เดินทางไปสำรวจกันแล้ว ต่างก็วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นรอยเท้าของมนุษย์ยุคโบราณ ซึ่งเว็บตามรอยพระพุทธก็ได้รวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศตามกระทู้ชื่อ.. "พบรอยเท้าขนาดยักษ์ อายุ ๒๐๐ ล้านปี จากแอฟริกาใต้" ที่เคยแจ้งไว้เมื่อปีที่แล้ว http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=93 โดยคุณปุ๊ก จากประเทศอิตาลี เป็นผู้แจ้งให้หลวงพี่ชัยวัฒน์ทราบ

ต่อมาหลวงพี่ได้ชักชวนพวกเราร่วมเดินทางไปด้วย ประมาณ 11 ท่าน ซึ่งคุณติ๋ม (น้องสาวหลวงพี่) จะต้องเตรียมการเดินทางอยู่นานหลายเดือน พร้อมทั้งคุณติ๋ว จากการบินไทย เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับคุณโทนี่ (Tony Lin) ไกด์ท้องถิ่นชาวจีน โดยมีคุณหลี - คุณก๊วยเจ๋ง เป็นผู้ซื้อตั่วเครื่องบิน (แต่ไม่สามารถจะร่วมเดินทางไปด้วย) ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศหนาวเย็นมาก แต่พวกเราก็ต้องอดทน พร้อมทั้งเตรียมเสบียงอาหารกระป๋องไปเสริมด้วย โดยมีเจ๊รัตนา ชินบุตรานนท์ และ เจ๊มายิน เดียวสุรินทร์ เป็นเจ้าภาพ

สำหรับเครื่องสักการบูชาก็ได้จัดเตรียมไปเต็มที่ โดยมีคณะเจ้าหน้าที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม และมณฑปพระศรีอาริย์ ช่วยจัดทำบายศรีเงิน-บายศรีทอง และพานขอขมา ทำด้วยผ้าประดับด้วยดิ้นและลูกปัดอย่างสวยงามเป็นพิเศษ ส่วนคุณหลี - คุณก๊วยเจ๋ง ก็ได้ฝากพวงมาลัยดาวเรือง ผ้าสีทอง น้ำอบ และเครื่องบูชาต่างๆ เป็นอันมาก

ก่อนที่จะเดินทางทริปนี้ หลวงพี่ชัยวัฒน์ป่วยหลายโรค เริ่มด้วงตาแดงทั้งสองข้าง คออักเสบอย่างแรง และหลังที่เคยยอกก็กลับมาเป็นอีก ผลสุดท้ายท่านก็ต้องบนหลวงพ่อ 5 พระองค์ช่วย จนกระทั่งสามารถเดินทางไปได้ โดยมีเจ้าภาพเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้หลวงพี่และหลวงพ่อสุรพงษ์ คือ คุณท้ง (สุชัย) ต้องขออนุโมทนาด้วยค่ะ

วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ (อุทัยธานี - สนามบินสุวรรณภูมิ)


คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น ๔ เคาน์เตอร์ ในเวลา ๒๒.๓๐ น. และจะขึ้นเครื่องโดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG991 ออกเดินทางสู่กรุงโจฮันเนสเบิร์ก ในเวลา ๐๑.๑๕ น.

คณะผู้ร่วมเดินทาง

๑. หลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต
๒.หลวงพ่อสุรพงษ์ อภิวังโส
๓. คุณสุชัย (ท้ง) ชินบุตรานนท์
๔. คุณสำราญ แก่นสมบัติ
๕. คุณวัชรพล (ปุ๋ม) ศรีขวัญ
๖. คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์
๗. คุณมายิน เดียวสุรินทร์
๘. คุณสุภาวดี (แพรว) พรประสิทธิกุล
๙. คุณเกศราทิพย์ (ติ๋ว) สุทธิ์วรรณ์
๑๐. คุณกัญญาวีร์ (หมี) ลิมเรืองรอง
๑๑. คุณนิศานันท์ (ต๋อย) ฟูวงศ์สิทธิ์

พวกเราเดินทางมาพร้อมกันในตอนดึก ซึ่งเป็นเวลาที่จะเข้านอนกันแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจและตื่นเต้น จึงทำให้พวกเราตาสว่างกัน ทริปนี้มีการแจ้งล่วงหน้าว่า ห้ามนำผักผลไม้สดเข้าประเทศ ควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย แต่อย่าให้กระเป๋าใหญ่เกินไป เรื่องนี้ทำให้สตรีบางท่าน ต้องเตรียมชุดไปไม่มาก ขออภัยอย่าว่าเอาความลับมาแฉกันเลย ขอกระซิบบอกเบาๆ ว่า บางคนต้องใส่กางเกงซ้ำกันหลายวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยความศรัทธาในรอยพระพุทธบาท จึงทำให้พวกเราอดทนกันได้ทุกอย่าง


บนเครื่องบินเที่ยวขาไปนี้ พวกเราโชคดีที่มีคนไปน้อยประมาณ ๑๐๐ กว่าคน จึงทำให้หลวงพี่และหลวงพ่อสุรพงษ์ได้นั่งเอนลงไปนอนได้เต็มที่ โดยมีคุณติ๋ว และเพื่อนๆ แอร์โฮสเตสเที่ยวบินนี้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยจัดถวายอาหารให้ความสะดวกเป็นอย่างดี

วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ (Big Footprint, MPULUZI)

เครื่องลงแตะสนามบิน O.R.TAMBO อย่างปลอดภัยในเวลา ๖.๔๙น.(เวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าเวลาในประเทศไทย ๕ ชั่วโมง) ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองแล้วได้พบกับไกด์ท้องถิ่นคือ MR.TONY LIN มาตอนรับด้วยป้าย "คณะตามรอยพระพุทธบาท" เป็นตัวพิมพ์ภาษาไทย (ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน) ทำให้คณะใจชื้นและรู้สึกหัวใจพองโตเป็นอย่างยิ่ง

ตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เป็นเมืองธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุด คนพื้นเมืองเรียกว่า โจเบิร์ก หรือ โจซี่ นับเป็น The city of gold เพราะเติบโตเพื่อรองรับการตื่นทองจากคนทุกมุมโลกกว่า 100 ปีมาแล้ว ตามสี่แยกไฟแดง ก็จะมีวัยรุ่นชายผิวสีออกมาขาย ทั้งแว่นตาดำ เขาควาย เขาสัตว์ต่างๆ ไปจนถึงหูฟัง และอุปกรณ์ในรถยนต์ด้วย และก่อนเดินทางมีการแจ้งเตือนเรื่องขโมย แนะนำว่ากลางคืนไม่ควรออกมาคนเดียว

เรื่องนี้ทำให้พวกเราต้องระมัดระวังพอสมควร แต่เมื่อเดินทางมาถึงจริงๆ พวกเราโชคดีที่ได้พบชาวแอฟริกาที่นิสัยดีทั้งนั้น บางคนก็เข้ามถ่ายรูป บางครั้งพวกเราก็เข้าไปขอถ่ายรูปด้วย แต่งคนต่างได้เห็นก็ยิ้มแย้มซึ่งกันและกัน ทำให้พวกเราสุขใจมาก มีบางคนเห็น I-pad ของเจ๊มายินก็เข้ามาถาม เพราะพวกเขายังไม่เคยเห็นกันเลย เจ๊มายินเลยกด..ใหญ่ อย่าคิดมากนะจ๊ะ แค่จิ้มลงไปใน I-pad นะ..ตัวเองง

ตามประวัติเล่าว่า แอฟริกาใต้ยังมีเหมืองทองคำใหญ่ที่สุดในโลก ได้ขุดพบ และ เจียระไนเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ Golden Jubilee (เพชรกาญจนาภิเษก) ตั้งชื่อเพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านวัฒนธรรม เป็นลักษณะผสมผสานระหว่างแบบดั้งเดิมกับตะวันตก ชาวพื้นเมืองผิวดำมีหลายเผ่า เช่น เผ่าซูลู เผ่าโฮซ่า เผ่าซัน หรือ บุชแมน ส่วนชาวพื้นเมืองผิวขาวได้แก่ ชาวแอฟริกัน ลูกหลานชาวดัตช์ ที่มาตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มแรก ปัจจุบันมีทั้งชาวดัตช์ เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ ส่วนชุมชน ชาวอินเดีย มาเป็นพ่อค้า ดำรงวัฒนธรรมฮินดูได้อย่างมั่นคง


(คุณโทนี่มาต้อนรับพวกเราที่สนามบิน ยกป้าย "ตามรอยพระพุทธบาท" เป็นภาษาไทย)

คราวนี้ขอย้อนเล่าที่สนามบินว่า แต่ก่อนที่จะเดินทางต่อไป คุณสำราญเดินไปเข้าห้องน้ำ ผ่านไปเจอร้านขายดอกไม้สดพอดี จึงได้มากราบเรียนหลวงพี่ ท่านจึงบอกให้ซื้อดอกไม้สดไปเลย พวกเราจึงดอกไม้สดเป็นดอกไม้โปรยบูชารอยพระพุทธบาทสมใจ


คณะของเราออกจากสนามบินเวลา ๘.๑๐ น. มาขึ้นรถตู้ขนาดกลาง ๑๗ ที่นั่ง โดยมีรถพ่วงขนาดเล็ก (ใส่กระเป๋าเดินทาง) จูงลากไปด้วย รถแบบนี้ทำให้แปลกตาสำหรับพวกเรา ซึ่งเป็นที่นิยมกันในแอฟริกา ทำให้เอากระเป๋าได้สะดวกมาก

พวกเราขึ้นมาเลือกที่นั่งกันตามอัธยาศัย หลวงพี่และหลวงพ่อนั่งข้างหน้า มีคนขับรถเป็นฝรั่งผิวขาว โดยมีภรรยาของคุณโทนี่ (เป็นชาวจีนเช่นกัน) ร่วมสมทบไปด้วย ปรากฏว่ามาจากเมืองไทยร้อนปนฝน แล้วต้องมาเจออุณภูมิขนาด ๔ องศาเซนติเกรด แบบกระทันหัน ทำให้ได้รับรู้ความเย็นแบบต้องนำเสื้อกันหนาวออกมาใช้ในทันที ซึ่งคุณโทนี่ได้เล่าให้ฟังไปในรถว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมายังติดลบ ๓ องศาอยู่เลย แหม..พวกเราได้ฟังจึงทำให้ใจชื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแค่นี้เราก็แย่อยู่แล้วเนี่ย...

แต่พอขึ้นรถได้อากาศอุ่นขึ้น คงเป็นไปตามที่หลวงพี่เล่าว่า ท่านได้อธิษฐานขอบารมีพระไว้ว่า ถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นหรือร้อนก็ขอให้รู้สึกแค่พอสบายเท่านั้น เป็นไปตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยเล่าไว้ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า อย่าไปอธิษฐานไม่ให้หนาวหรือไม่ให้ร้อน เพราะจะไปฝืนกฎแห่งกรรมหรือธรรมชาติเกินไป ให้อธิษฐานแค่ตัวเรามีความรู้สึกไม่หนาวเย็นจนเกินไปก็พอ

รถออกจากสนามบินความเร็วเฉลี่ย ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ออกจากตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ถนนลาดยางตลอด บ้านเมืองมีความเจริญ เพราะเคยจัดฟุตบอลโลกเมื่อครั้งที่แล้ว มองดูสองข้างทางเต็มไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาหัวโล้นสลับกันไป เป้าหมายเพื่อเดินทางสู่รอยเท้ายักษ์ในบริเวณเมืองปูรูซี่ (MPULUZI) จังหวัดปูมาลังกา (MPUMALANGA)


เวลา ๑๐.๔๕ น.แวะป๊มเชลล์เข้าห้องน้ำ ฉันเพลและนำบายศรีที่เตรียมมามีบายศรีทอง บายศรีเงิน และพานขอขมาที่ทำด้วยผ้า หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว พวกเราช่วยกันประกอบให้แลดูสวยงามยิ่งขึ้น เพราะเดิมต้องแยกชิ้นส่วนออกจากกัน เพื่อสะดวกในการเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง เครื่องบูชาบรรจุอยู่ในกระเป๋าประมาณ ๒-๓ ใบ


ภูมิประเทศสองข้างทางเริ่มเห็นต้นไม้ซึ่งเกิดจากการปลูกขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ต้นไม้หลักคือยูคาลิปตัส และต้นสนสองใปสามใบเวลาประมาณ ๑๔.๓๐ น. รถเข้ามาถึงบริเวณป่าสน ซึ่งดูสภาพป่าคล้ายๆ กัน จนทำให้คุณโทนี่สับสน ทั้งๆ ที่เคยเดินทางมาสำรวจไว้ก่อนล่วงหน้าที่พวกเราจะมากัน

แต่พอมาถึงจริงๆ คุณโทนี่กลับพามาเข้าผิดทาง นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ทางที่ไม่ใช่นั้น กลับมีต้นสนต้นหนึ่งล้มลงมาขวางทางพอดี เหมือนจะบอกให้รู้ว่ามาผิดทางนั่นเอง พวกเราจะลงไปขยับเขยื้อนแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของคณะตามรอยพระบาทเพื่อแก้เคล็ดจึงได้ไปเจอต้นไม้ขวางทาง ก่อนที่จะเข้าไปที่รอยพระพุทธบาท (ดูตำแหน่งตามแผนที่ใน Google คลิกที่นี่ )


คุณโทนี่ได้เดินลงไปไกลพอสมควร แล้วจึงกลับมาบอกพวกเราว่าไม่ใช่ทางนี้ รถจึงได้เลี้ยวกลับออกไป แล้ววิ่งย้อนถอยออกไปให้ไกลอีก จึงได้กลับมาพบทางที่ถูก ซึ่งอยู่ห่างจากเดิมประมาณไม่เกิน ๕๐๐ เมตร โดยมีก้อนหิน ๒ ก้อนเป็นที่สังเกตอยู่ด้านซ้ายมือของเรา แล้วจึงจะเลี้ยวเข้าไปทางขวามืออีกประมาณเกือบ ๑ กิโลเมตร


รถต้องจอดเอาไว้ แล้วเดินลงไปที่เนินเขาเตี้ยๆ มองเห็นก้อนหินสูงคล้ายเจดีย์เป็นที่สังเกต แล้วจึงจะมองเห็นก้อนหินรอยเท้าที่อยู่สูงขึ้นไป ตามกำหนดการในโบว์ชัวร์บอกว่าใช้เวลา ๓ ชั่วโมง แต่เวลามาจริงๆ ตอนนี้ก็ประมาณ ๕-๖ ชั่วโมงผ่านไปแล้ว


เวลา ๑๕.๐๐น. จึงได้ถึงรอยเท้ายักษ์ ซึ่งมองเห็นเหรียญที่วางบูชาไว้ที่ส่วนปลายเท้า ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งเขามองว่าเป็นรอยพระเจ้า พวกเราได้ช่วยกันจัดบายศรี แล้วจุดธูปเทียน เริ่มทำพิธีบวงสรวงด้วยเสียงของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พร้อมกับสรงน้ำหอม โปรยดอกไม้ ปิดทอง บูชาด้วยเครื่องบูชาทุกอย่างที่เตรียมมา ส่วนผ้าสีทองหลวงพี่และคุณโทนี่ได้ปีนขึ้นไปผูกไว้กับก้อนหินด้านบน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา


คิดว่าพวกเราน่าจะเป็นชาวพุทธคณะแรกที่เดินทางมาถึง พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชาครบถ้วน แม้คุณโทนี่ก็ยังแปลกใจว่า พวกเรามาได้กันอย่างไร เพราะว่าไกลแสนไกล พวกเราต่างพากันยิ้ม ในใจนึกภูมิใจว่า ถึงแม้จะไกลแสนไกล แต่พวกเราก็ตั้งใจได้มายืนอยู่ ณ ที่นี้แล้ว พร้อมกับเสียงชุมนุมเทวดาของครูบาอาจารย์ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณนี้ ซึ่งไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่เลย มีแต่พวกเราคณะเดียวและคณะแรกที่ได้มาถึงแล้ว ดินแดนที่ห่างไกลจากชมพูทวีป


ส่วนประวัติการค้นได้บันทึกไว้เป็นภาษาอังกฤษจากการพบของนักล่าสัตว์คนหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว (ปีพ.ศ. ๒๔๕๕) ซึ่งมีรายละเอียดจากการแปลของคุณติ๋ว ดังนี้...


Michael Tellinger Revisits Alleged Giant Footprint
With Archaeologist Klaus Dona




......Michael Tellinger อวดสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเคยมีสัตว์ที่มีขนาดใหญ่โตมากบนโลกนี้มานานมากแล้ว นักธรณีวิทยารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่พบรอยเท้ายักษ์ในหินแกรนิตธรรมชาติยาวประมาณ 4 ฟุต บางคนยังคงกล่าวว่า มันป็นรูปแบบของการกัดกร่อนตามธรรมชาติ

โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเห็นว่า คำกล่าวนั้นมีความไม่น่าเป็นไปได้สูงด้วยเหตุผลหลายประการที่ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงในที่นี้ ศาสตราจารย์ Pieter Wagener จาก UPE กล่าวว่า

......."มีความเป็นไปได้มากกว่า ที่ว่ามีชายตัวสีเขียวขนาดเล็กๆ เดินทางมาถึงพื้นโลกจากอวกาศและใช้ลิ้นเลียบริเวณเหล่านั้น แต่ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นโดยการกัดกร่อนตามธรรมชาติ"


สิ่งที่ค้นพบนี้อยู่ในแอฟริกาใต้ ใกล้เมือง Mpuluzi ติดกับเขตแดนประเทศสวาซีแลนด์ จึงประเมินกันว่าอยู่ระหว่างช่วง 200 ล้านและ 3 พันล้านปี เพราะความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับการก่อตัวของหินแกรนิตในประวัติศาสตร์โลก เรื่องนี้ทำให้เกิดทั้งการโต้แย้งและการสนับสนุน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านเปิดใจให้กว้าง และให้ความสำคัญที่หลักฐาน


......รอยเท้าประหลาดในหินแกรนิตนี้ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1912 โดยนักล่าสัตว์คนหนึ่งชื่อ Stoffel Coetzee ในขณะที่กำลังล่าสัตว์ในพื้นที่ห่างไกล ในขณะนั้น บริเวณดังกล่าวเป็นส่วนที่อยู่ห่างไกลความเจริญมากที่สุดของแอฟริกาใต้ ซึ่งเรียกว่า Eastern Transvaal ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ป่า รวมทั้งละมั่ง และสิงโต สถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเช่นที่เป็นอยู่เมื่อครั้งที่มีการค้นพบเป็นครั้งแรก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะถูกสลักขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ เพราะว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างไกลมาก แม้แต่ทุกวันนี้ ก็ยากที่จะหาพบ


ความลับที่แท้จริงคือ เหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ออก แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และไม่สามารถมองข้ามไปได้...!


ใช่แล้ว "มันคือหินแกรนิต เป็นสภาพทางธรณีวิทยาส่วนหนึ่งของแอฟริกาใต้ที่เป็นที่รู้จักกันดี และถูกบันทึกไว้บนแผนที่ธรณีวิทยาทุกฉบับ นี่คือสาเหตุที่รอยเท้านี้เป็นความลึกลับที่ไม่น่าเชื่อถือ มันเรียกได้ว่าเป็นหินแกรนิตแบบ "phenocrystic" หรือหินแกรนิต "porphyritic" ชนิดหยาบ ที่ผ่านขั้นตอนการเย็นตัวมาหลายๆ ขั้นตอน ผลก็คือ เป็นส่วนผสมของเม็ดหินทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่ดูแปลกตา"


นี่คือสาเหตุที่บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับหินแกรนิตจึงอยากทำเหมืองที่บริเวณนี้เพื่อขุดหาหินแกรนิต เพราะว่าเมื่อนำไปเจียระไนแล้วจะมองดู "สวย" มากจริงๆ ในด้านธรณีวิทยาอย่างเป็นทางการของแอฟริกาใต้ สิ่งที่ปรากฏนี้เรียกว่า Mpuluzi Batholith (แกรนิต) และกำหนดอายุหินนี้อย่างเป็นทางการคือประมาณ 3.1 พันล้านปี ซึ่งเรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาที่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิด..!


นอกจากนี้ยังมีบทความจากนักท่องเที่ยวที่ได้บันทึกไว้ในเว็บไซด์ต่างๆ ผู้เขียนขอนำคำแปลโดย คุณเกรียงไกร มาประกอบไว้อีกด้วย



เรื่องราวเกี่ยวกับรอยเท้า ณ Mpuluzi


เรื่องนี้ถูกเล่าขานกันมานานหลายปี บริเวณ Mpumalange ของเมืองสวาซีแลนด์ โดยเฉพาะพื้นที่ Mpuluzi พบรอยเท้าขนาดใหญ่บนหินเป็นจำนวนมาก มีชื่อเรียกมากมาย เช่น บิ๊กฟูท รอยเท้ายักษ์โกไลแอต เป็นต้น บ้างก็เอาไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวว่าเป็นรอยเท้าของอาดัม และพระเยซูคริตส์ มีผู้คนจำนวนมากได้มาแวะเวียน มาเยี่ยมชมแถวเมืองล็อธแฮร์( Lothair) ในเขตพื้นที่ของ Mpuluzi


เมื่อวันที่ 27 เมษายน คศ.2005 ผู้เขียนได้พบกับด๊อกเตอร์ ศรีโด มัทวา( Dr. kredo Mutwa) หรือ บาบา มัทวา มาพร้อมกับภรรญาชื่อ "เวอร์จิเนีย" (Virginia) และนักเขียนบทความนามว่า เดวิลอิคเคิล( David Ickle) ด๊อกเตอร์มัทวา ถูกยกย่องให้เป็นซานลูซี่ (San-usi) ผู้นำทางจิตวิญญาณ วัย 83 ปี ชาวแอฟริกา ได้อธิบายว่า "รอยเท้าขนาดใหญ่นี้ เกิดจากยักษ์ในอดีตกาลบนโลกมนุษย์ ซึ่งมีกล่าวอ้างไว้ใน คัมภีร์ไบเบิล"


ตำนานเล่าว่า "นางยักษิณี" เปลือยตนหนึ่งนามว่า "ซาก้า" (Shaka) เป็นผู้ตั้งชื่อ Mpuluzi เธอมีส่วนสูง 36 ฟุต(10.97 เมตร) รอยเท้ายาวประมาณ 6 ฟุต(1.8 เมตร) ได้วิ่งผ่านลาวาอุ่นๆ เพื่อไปหาชายคนรักของเธอ ขณะวิ่งไปทำให้หินแยกออกเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ประทับลงบนหินแกรนิต จะพบรอยเท้านี้เป็นจำนวนมากตามเนินเขา และด้านล่างจะมีหินจำนวนมากขนาดใหญ่มีรูปร่างคล้ายกะโหลกศีรษะ


ท่านบาบา มัทวา อธิบายว่ารอยเท้านี้เป็นหลักฐานพยานความรักที่นางยักษ์ได้ทิ้งเอาไว้ ตามวัฒนธรรมของชาวผิวดำแอฟริกา เชื่อว่าหัวกะโหลกคือสัญญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์ และเชื่อกันว่าชิ้นส่วนของมนุษย์ที่สามารถคงทนอยู่ได้นานที่สุดคือหัวกะโหลก และนี้คือซากฟอสซิลกระโหลกของยักษ์ที่ทิ้งไว้บนโลกมนุษย์


ต่อมาพวกเราก็เริ่มสนใจประวัติของชนพื้นเมืองเดิม จึงได้ซักถามคุณโทนี่ ซึ่งได้อธิบายว่าบริเวณนี้เคยเป็นถิ่นฐานเดิมของชนชาวเอเซียมาก่อน ซึ่งจะได้ให้คุณติ๋วค้นคว้ามาให้อ่านเพิ่มเติมกันอีก ดังนี้

ความเป็นมาของชนเผ่า KOI-SAN ในแอฟริกาใต้

KOI-SAN คือกลุ่มคนพื้นเมืองกลุ่มแรกๆ ที่มาตั้งรกรากในทวีปแอฟริกาเมื่อหลายพันปีก่อน หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า พวกคนป่า ( BUSHMEN) ที่เรียกว่า “ SAN ” เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ก่อน มีลักษณะเป็นพวกผิวเหลือง รูปร่างเล็ก ผู้ชายจะมีพุงยื่น ขณะที่ผู้หญิงจะมีหน้าอกห้อยยาน และมีสะโพกใหญ่อุดมไปด้วยไขมัน มีภาษาเฉพาะเป็นของตนเอง

ต่อมาชนเผ่า “ KOI ” หรือ “ HOTTENTOTS ” (ในภาษาดัตช์แปลว่า คนติดอ่าง) ซึ่งมีรูปร่างสูงกว่าและมีวัฒนธรรมที่ล้ำหน้ากว่าได้อพยพมาจาก "บอสวานา" ลงมาทางใต้บริเวณแหลมกู๊ดโฮป ประเทศแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน ได้เข้ามารุกราน และผลักดันชนเผ่า SAN ให้ถอยร่นไป ชนเผ่าทั้งสองมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เช่น พวก KOI ชอบเลี้ยงปศุสัตว์ แต่พวก SAN ชอบล่าสัตว์ อย่างไรก็ตามได้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ขึ้น จนกลายเป็นกลุ่ม KOI-SAN

ถึงแม้ว่ากลุ่ม KOI-SAN จะเป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแอฟริกาใต้ แต่ต่อมาชาวแอฟริกันพื้นเมืองดั้งเดิมที่อพยพจากภาคกลางและภาคตะวันตกได้เข้ามารุกรานและเข่นฆ่าชาว KOI-SAN ที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม จนล้มตายไปกว่าร้อยละ 90 จนแทบจะสูญพันธุ์ พวกที่เหลืออยู่ก็ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่โหดร้าย เนื่องจาก ถูกชาวตะวันตกผิวขาวที่ออกล่าอาณานิคมในปลายศตวรรษที่ 17 สังหารพวกที่ยังหลงเหลือก็ถูกกลืนไปกับชาวแอฟริกันพื้นเมือง

ปัจจุบันชาว KOI-SAN ยังหลงเหลืออยู่ประมาณ 1 หมื่นกว่าคน กระจัดกระจายอยู่บริเวณเมืองเคปทาวน์ ในแอฟริกาใต้ และบางส่วนอยู่ในบอสวานา ส่วนใหญ่มีอาชีพชาวนาหรือกรรมกร และถูกปฏิบัติเหมือนชนชั้นต่ำในสังคม ทั้งที่ชนเผ่านี้เป็นชนเผ่าที่มีความเป็นมิตรมากที่สุด

เรียบเรียงจาก - THE BIRTH OF A PEOPLE และ KOI & SAN PEOPLE



ต่อจากนั้นได้ถ่ายภาพหมู่กันเป็นที่ระลึก ท่ามกลางบรรยากาศที่แจ่มใสหนาวเย็นพอดีๆ พวกเรารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็ช่วยกันนำพานบายศรีและเครื่องบูชาทุกอย่าง วางไว้ในซอกแคบๆ ใกล้บริเวณนั้น เพื่อเป็นหลักฐานในการบูชาว่า พวกเราชาวไทยที่เป็นเหมือนตัวแทนชาวพุทธทุกคนได้เดินทางมาถึงที่นี้แล้ว


หลังจากกราบไหว้บูชาเสร็จแล้ว เวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.เดินทางออกจากรอยพระพุทธบาท ด้วยความอิ่มเอมและมีความสุขได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่ไกลที่สุดและมีรูปลักษณะตามธรรมชาติที่สวยที่สุด เท่าที่ได้มีการติดตามมานานเป็นเวลา ๒๐ ปี และประสบความสำเร็จด้วยความราบรื่นดี แสงแดดในยามบ่ายก็ไม่ร้อนเลย กลับรู้สึกสบายๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้ถ่ายภาพได้ชัดเจน

ซึ่งหลังจากหลวงพี่บอกว่าสถานที่นี้ นับเป็นลำดับรอยพระพุทธบาทที่ ู๖๓๗ ฉะนั้นหลังจากกลับมาแล้ว จึงมีพวกเราคนหนึ่งได้โทรศัพท์มายังเมืองไทย บอกให้สามีช่วยซื้อเลขนี้ด้วย ปรากฏว่างวดวันที่ ๑๖ มิ.ย.๕๕ เลขออก ๗๓๗ จึงทำให้ถูก ๒ ตัว ได้เงินสามหมื่นบาท ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ


แต่ยังต้องมีการฟาดเคราะห์อีกหน่อย นั่นก็คือระหว่างเดินทางไปที่พัก ประมาณเวลา ๑๙.๓๐น. รถที่พาคณะของเราเกิดเครื่องดับกลางทางโดยไม่ทราบสาเหตุ จุดที่รถไปเสียนั้นก็เป็นจุดอันตรายเหมือนกัน คือเป็นทางขึ้นเขาพอดี พวกเราต้องลงไปช่วยกันโบกมือ และวางสิ่งของไว้เป็นการบอกเหตุว่ารถเสีย พร้อมกับใช้ไฟฉายโบกไปด้วย อากาศข้างนอกก็หนาวเย็นเป็นเวลามืดค่ำพอดี


(ระหว่างเดินลงมาจากเขา จะมองเห็นก้อนหินได้ชัดเจน พร้อมทั้งบริเวณโดยรอบ ส่วนผู้หญิงใส่เสื้อสีแดงนี่คือ..คุณต๋อย เดินลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดีใจที่มีโชคมีลาภในคราวนี้)

เป็นอันว่า หลังจากโชว์เฟอร์ติดต่อให้เอารถคันใหม่มารับพวกเราแล้ว ต้องใช้เวลารอรถมาเปลี่ยนรับพวกเราเข้าที่พักนานพอสมควร จากนั้นได้เดินทางเข้าที่พักอยู่ริมทะเลสาบ โดยพักที่โรงแรม PINE LAKE INN ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการตามรอยพระพุทธบาท เข้าที่พักและรับประทานอาหารเกือบสามทุ่มครึ่ง และมารู้ข่าวทีหลังว่าขั้วแบตเตอรีหลวมไฟเดินไม่สะดวกเท่านั้นเอง แต่ทว่ายังไม่จบเท่านั้น วันหลังยังมีฟาดเคราะห์เรื่องยานพาหนะอีก นั่นก็คือรถคันเดิมเสียเป็นครั้งที่ ๒ ไว้ติดตามอ่านกันอีกนะ...สวัสดีค่ะ

(โปรดติดตามตอน "บุกป่าซาฟารี" ต่อไป)


<ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/6/12 at 16:00

วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ (Kruger Nation Park-Blyde river canyon)

เชิญชมวีดีโอ (คลิปที่ 2) ตอน "บุกป่าซาฟารี"


(ติดตามคลิปที่ 3 ต่อไปที่ด้านล่าง)

เวลา ๐๖.๐๐ น. รับอาหารกล่องจากโรงแรมที่พักเพื่อเป็นอาหารเช้า จากนั้นออกเดินทางสู่เส้นทางพาโนรามา ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดและเป็นที่นิยมที่ที่สุดในแอฟริกาใต้ เริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติ KRUGER เป็นการท่องเที่ยวแบบซาฟารี ชมสัตว์ป่าที่มีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรีตามธรรมชาติ


(หลวงพี่พร้อมคณะถ่ายรูปร่วมกันก่อนออกเดินทางไปชมสัตว์ป่า)

ถ้าโชคดีอาจได้พบสัตว์ ๕ ชนิด (THE BIG FIVE) คือ สิงโต เสือดาว ช้าง แรด และควายป่า นอกจากนั้นยังพบสัตว์อื่นอีก ม้าลาย กวาง นกเหยี่ยว ยีราฟ หมูป่า สุนัขฮายีนาและอื่นๆ อีกมากมาย รับประทานอาหารเพลที่ SKUKUZA CAMP แคมป์ที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติ KRUGER


ภาพแรกที่เห็น..Zebra แต่คุณโทนี่พูดคำไทยว่า "ม้าลาย" ได้แฮะ
นับเป็นตัวแรกที่พวกเราได้เห็น ต่างก็ร้องวี๊ดว้าย..กระตู้ฮู้ ลั่นกันในรถเชียวละ

คุณโทนี่พร้อมด้วยภรรยาชาวจีนได้นำพวกเราออกเดินทางจากที่พักมาแต่เช้า เพื่อจะได้มีเวลาชมสัตว์ป่ากันอย่างเต็มที่ พวกเราตื่นตาตื่นใจเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่ได้ยินคำร่ำลือมานาน เกี่ยวกับชีวิตสัตว์ป่าซาฟารี ครั้งนี้ได้มีโอกาสมาเห็นของจริงกันแล้วล่ะ ทุกคนจึงแต่งตัวกันอย่างทะมัดทะแมง (ไม่รู้ใส่ซ้ำชุดเมื่อวานหรือป่าว..ฮิๆๆ ล้อเล่น..น..!)


แหม..เจ้าม้าลายตัวแรกเนี่ย เล่นตัวจัง ยืนอยู่ใกล๊..ไกล พวกเราบางคนแย่งกันถ่ายรูป จึงได้มาชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เพราะต้องแย่งกันแบบนี้แระ.. ต่อมาก็เจอเก้ง กวาง อะไรเนี่ย เรียกไม่ค่อยถูกนะ ส่วนเจ้าตัวหันบั้นท้ายมาให้ เป็นพ่อหมูป่าตัวดี แต่ถ้ายืนหันหน้ามาให้ สงสัยจะกลัวเขี้ยวโก่งของเธอเป็นแน่


เช้านี้พวกเราก็โชคดีที่ได้เห็นสัตว์ป่าหลายชนิด ทุกคนช่วยกันมองหากัน คนนั่งขวา-ซ้ายมือของรถคอยช่วยกันดู แต่เจ๊มายินจะตาดีกว่าเพื่อน มองเห็นแม้แต่ไกลแสนไกล ตาดีเหลือเกิน..ระวังอย่าไปเห็นสัตว์ประเภทเลื้อยคลานนะ..เจ๊จะร้องเสียงลั่น..หนีไม่ทันจะพลันกอดพวกเราอย่างลืมตัวแน่ะ


คุณโทนี่บอกว่าอุทยานแห่งชาติครูเกอร์แห่งนี้ (Kruger National Park) เดิมคือเขตสงวนสัตว์ล่าซาบี ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ พอล ครูเกอร์ นับเป็นอุทยานแห่งใหญ่ที่แห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ ๒๐.๗๐๐ ตารางกิโลเมตร เป็นเขตธรรมชาติแห่งแรกในแอฟริกาใต้ที่มีกฎหมายคุ้มครอง พื้นที่อุทยานมีนกกว่า ๔,๐๐๐ ชนิด และสัตว์หายาก เช่น แรดขาว แรดดำ สิงโต ฮิปโปโปเตมัส ช้าง เสือดาว ยีราฟ และสัตว์ต่างๆ อีกมาก


รถของคุณโทนี่ หมายถึงวันนี้คุณโทนี่ขับเองนะคะ ได้วิ่งไปตามถนนหนทาง บางเส้นก็ลาดยาง บางเส้นก็เป็นพื้นดินธรรมดา มองเห็นรถนักท่องเที่ยวขับไปมาหลายคัน สายตาสอดส่องหาสัตว์ต่างๆ แม้แต่คุณโทนี่เอง ขับไปก็มองไป พร้อมชี้มือบอกพวกเราให้ดูตามไปด้วย ในขณะนั้น เจ๊มายินมองเห็นฝูงช้างป่าแอฟริกา ซึ่งมีใบหูใหญ่กว่าช้างบ้านเราสิบกว่าตัว เดินหาหินอยู่ในป่าแต่ไกลมาก หลวงพี่มองตามพร้อมกับพูดว่า พ่อปู่..ขอมองเห็นใกล้ๆ หน่อยนะ


ปรากฏว่าไม่นานนัก รถของเราก็ไปเจอพอดี เพราะมองเห็นรถนักท่องเที่ยวหยุดจอดถ่ายรูปอยู่ข้างถนน ทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งหายจากการตื่นเต้นไปไม่นาน เนื่องจากได้เห็นยีร๊าฟกำลังกินใบไม้อยู่ ตามภาพจะเห็นว่าแม้จะห่างไกล แต่พวกเราก็พยายามซูมมาให้เห็นจนได้ ไม่ต้องอายหรอก..พี่ยีร๊าฟจ๋า ขอถ่าย..สักหน่อย เอ้ย..ไม่ใช่..ขอถ่ายรูปนะ ไม่ได้ขอถ่ายอย่างอื่นนะ


พวกเราทุกคนต่างก็เฮโลมายืนอยู่ริมหน้าต่าง โดยเฉพาะหลวงพี่ท่านได้เห็นอย่างเต็มตาเต็มใจจริงๆ พร้อมกับขอบคุณพ่อปู่..งาโค้งใหญ่นี่ อุตส่าห์มายืนให้เห็นกันชัดๆ โดนหันหลังให้พวกเรา แล้วก็ทำเป็นกินใบไม้อย่างเงียบๆ พอได้เห็นงาเท่านั้น พวกเราก็ตาโตกัน..ต่างพูดว่า..พ่อปู่น่าจะมาสงเคราะห์พวกเราจริงๆ อาจเป็นการรับรู้ด้วยสัญชาติญาณพิเศษเฉพาะก็ได้ หลังจากนั้นพ่อปู่เดินหลีกเข้าไปในป่าอย่างช้าๆ โดยเปิดโอกาสให้พวกเราได้ชื่นชมนานประมาณ ๑๕ นาที


หลังจากนั้นพวกเราก็พบม้าลายฝูงใหญ่แบบใกล้ๆ โดยที่คุณโทนี่พยายามขับเลี้ยวเลาะไปในป่า รถวิ่งสวนกับรถนักท่องเที่ยวมากมายยิ่งขึ้น รถบางคันก็รถเก๋ง บางคันก็เป็นรถใหญ่สำหรับยืนดู มีรถนักท่องเที่ยวบางคันก็วิ่งตามพวกเรา เขาบอกว่าพวกเราโชคดีที่ได้พบเห็นสัตว์ป่าบ่อยๆ เขาจึงอยากจะวิ่งตามไปดูด้วย

ในระหว่างนี้ พวกเราก็ได้พบสัตว์ป่าต่างๆ อีก เช่น แรด ฮิปโปเตมัส และเจ้าหมา่ป่าฮายีนากำลังกัดกินซากสัตว์อยู่ โดยมีนกอินทรีย์สองตัวบินโฉบไปโฉบมา รอคอยจ้องที่จะแทะซากกระดูกต่อไป แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเวลาไม่พอ พวกเราจึงยังไม่โอกาสสัตว์ป่าที่หายากอีก เช่น สิงห์โต และเสียดาว เป็นต้น


แต่อย่ามองดูเพลินนะ เพราะใกล้เวลาจะฉันเพล ตามกำหนดการจะไปฉันที่ร้านอาหารภายในอุทยาน รถจึงเลี้ยวเข้าไปใน SKUKUZA CAMP ซึ่งมีทั้งร้านอาหารและร้านจำหน่ายสิ่งของพื้นเมือง ส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึก ระหว่างนี้ยังมีเวลาที่จะช็อปปิ้งกัน หลวงพี่จึงเปิดโอกาสให้พวกเราไปเดินชมสินค้ากัน ส่วนหลวงพี่และหลวงพ่อก็มานั่งรอที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ ท่ามกลางป่าเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ส่วนเจ๊มายินก็เตรียมผลไม้มาให้หลวงพี่ด้วย


คุณติ๋ว (ใส่เสื้อสีชมพู) จากการบินไทย ได้เข้ามากราบและสนทนากับหลวงพี่ พร้อมกับบอกว่าดีใจและปลื้มใจเป็นอย่างมาก ที่มีโอกาสช่วยจัดการเดินทางครั้งนี้ ระหว่างนี้ก็มีนกชนิดหนึ่ง ไม่ทราบว่านกอะไร สีน้ำเงินอ่อนๆ ส่วนดี ต่างส่งเสียงร้องบนต้นมะเดื่อที่พวกเรานั่งอยู่ บรรยากาศตอนนี้ดีมาก อากาศก็ร่มรื่น เพราะมีต้นมะเดื่อปกคลุม มองไปก็เห็นแม่น้ำไหลคดเคี้ยว ริมชายฝั่งจะมองเห็นรอยเท้าสัตว์ป่าลงมากินน้ำมากมาย


ขณะนี้หลวงพี่จึงได้เอาเศษผลไม้และขนมที่เหลือหว่านลงไปที่พื้น พวกฝูงนกเหล่านี้เหมือนจะเชื่อง แต่ก็ไม่เชื่องจริง เพราะถ้ามีคนอื่นเดินผ่าน มันก็บินหนีขึ้นไปต้นมะเดื่อทันที หลวงพี่และคุณสำราญต่างก็ช่วยกันหลอกล่อให้มันลงมาอีก จนกระทั่งสนิทสนมภายในไม่กี่นาที นกก็เดินเข้ามากินถึงที่มือของหลวงพี่จนได้ แม้แต่คนงานชาวแอฟริกันในร้านอาหาร ต่างก็ออกมายืนดูพร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพไว้ด้วย


ระหว่างนี้คุณโทนี่ก็ไปติดต่อร้านอาหาร ถามว่าอยากจะออกมาทานข้างนอกหรือข้างใน แต่พวกเราเห็นว่านกอาจจะขี้ลงมา จึงได้ขอเข้าไปกินข้างใน แต่ความจริงพวกเราเข้าใจผิด เพราะนกมาอยู่เฉพาะตอนที่พวกเรามาเท่านั้น หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ปรากฏว่ามองไม่เห็นนกสักตัว นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก


ภายในร้านขายของที่ระลึก จะมองเห็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่แกะสลักด้วยไม้สน ส่วนใหญ่จะเป็นยีร๊าฟ แต่พอเข้าไปถามราคาแพงเหลือเกิน คุณโทนี่ก็ได้เตือนพวกเราไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าจะซื้อต้องต่อราคาก่อน


จากนั้นเดินทางต่อไปยัง BLYDE RIVER CANYON แคนยอนใหญ่อันดับ ๓ ของโลกรองจากแกรนด์แคนยอนของสหรัฐอเมริกา และ FISH RIVER CANYON ของนามิเบีย ระหว่างทางจะมองเห็นแนวเขายาวเหยียดตลอดทาง ซึ่งมีลักษณะคล้ายแกรนด์แคนยอนในสหรัฐจริงๆ แม้แต่ถนนก็ต้องวิ่งวกวนไปมาในระหว่างเขา แต่ก็ปลอดภัยเป็นอย่างดี เพราะถนนกว้างทำไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับหนึ่งของประเทศ รถวิ่งขึ้นมาถึงยอดเขาสูงสุด แล้วจอดให้พวกเราเดินลงมา มองเห็นร้านค้าขายอยู่ริมถนน แต่ยังไม่มีเวลาเดินชมกัน


พวกเราเดินออกไปที่หุบเขา เป็นทางเดินแคบๆ ประมาณ ๑๐๐ เมตร ก็จะมีราวเหล็กกั้นไว้ที่หน้าผา มองออกไปเบื้องล่าง บรื๊อ..น่ากลัว..หวาดเสียงจริงๆ แต่ก็แข็งใจมองลงไป เห็นสายน้ำคดเคี้ยวในหุบเขาลึกลงไป ท้องน้ำเป็นสีคราม มีเสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล มองขึ้นมาเห็นทิวทัศน์โดยรอบๆ แต่ไม่ค่อยชัดเจน เพราะเป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว จะเห็นเมฆหมอกลงมาบางๆ



จึงขอนำรูปภาพจากเว็บอื่นที่ชัดเจนกว่ามาให้ชมประกอบกันไปด้วยค่ะ ครั้นมองขึ้นไปไกลจะแลเห็นยอดเขาฝาชี หลวงพี่ตั้งชื่อแบบนี้ เพราะมองเห็นมาแต่ไกลตั้งนานๆ แล้ว แต่รถวิ่งวนไปวนกว่าจะขึ้นถึงยอดเขานี้ได้


เนื่องจากยอดเขานี้มีรูปทรงแปลกตากว่ายอดอื่น คือมองได้หลายๆ แบบ จะเห็นเป็นฝาชีก็ได้ เห็นเป็นเจดีย์ทรงมอญก็ได้ แต่คุณปุ๋มดันทะลึ่ง..บอกว่าคล้ายเต้านมผู้หญิง แหม..มาจากเมืองไทยแค่ ๒-๓ วัน ฟุ้งซ่านแล้วนะเนี่ย.ย..! พวกเราจึงต้องสมญานามคุณปุ๋มใหม่ว่า..."ปุ๋ม..มิลค์" แปลว่าอะไรต้องเอาไปคิดกันเองนะจ๊ะ


พวกเราได้เดินถ่ายรูปกันเต็มที่ ทั้งๆ ที่จะต้องระวังไม่ให้พลาดตกลงไป แต่ความที่อยากจะได้วิวสวยๆ มองดูแล้วหวาดเสียวจริงๆ จนถึงกับต้องหลบไปบรรเทาทุกข์ให้ตัวเองก่อน จากนั้นก็มาหามุมถ่ายรูปกันหลายๆ แบบ บางคนก็สลับกันไปมาระหว่างกลุ่ม เพราะสถานที่นี้เป็นไฮไลท์ในการท่องเที่ยวครั้งนี้เช่นกัน บรรยากาศหนาวเย็นจากลมเล็กน้อย


ใครเป็นใครดูกันเอาเอง เพราะสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อฟีมล์เหมือนสมัยก่อนแล้ว จึงกด..จิ้มกันเต็มที่ เพราะเรามี SD-Card เตรียมกันไปเต็มที่ ทั้งคุณปุ๋มเป็นคนถ่ายรูป และคุณแพรวเป็นคนถ่ายวีดีโอ


ภาพสุดท้ายทำท่าเหมือนขี่มอเตอร์ไซด์ หรือทำท่าอะไรกันแน่ จนกระทั่งได้ยินเสียงหลวงพี่ร้องเรียก บอกว่าให้รีบเดินทางกลับ เพราะยังเหลือสถานที่สุดท้ายเกรงว่าจะไปไม่ทัน ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว


หลังจากนั้นเดินทางย้อนกลับไปจุดที่ ๒ คือ BOURE’S LUCK POTHOLES โดยจอดรถไว้ที่ริมถนนหน้าร้านค้า จากนั้นเดินลงไปตามป้ายที่เจ๊มายินยืนบอกไว้นั่นแหละ


สถานที่นี้ชื่อว่า BOURE’S LUCK POTHOLES เป็นการเกินขึ้นของธรรมชาติ ซึ่งหลุมหินรูปทรงประหลาด อายุหลายล้านปีที่เกิดจาการกัดเซาะของกระแสน้ำไหลวนจากแม่น้ำ ๒ สายมาบรรจบกัน ประกอบด้วยแม่น้ำ BLYED และแม่น้ำ TREUR


ต้องเดินลงไปตามสะพานแขวน ที่ทางการเขาทำไว้อย่างแข็งแรง แต่พอเดินไปมันก็แกว่ง เสียวๆ เหมือนกัน เพราะมองลงไปเบื้องล่าง คิดไปว่าถ้าสะพานขาดคงไม่เหลือแน่ ยังไงก็ "พุทโธ" ไว้ก่อน แล้วมองไปข้างหน้าแข็งใจเดินต่อไป


หลังนั้นก็ย้อนกลับมาทางเดิม แล้วเลี้ยวเข้าไปชมสถานที่สุดท้าย คือ GOD’S WINDOW ที่มีทัศนียภาพอันงดงามแต่ไปไม่ทันมืดเสียก่อน จึงได้ยืนถ่ายป้ายไว้เป็นที่ระลึก แล้วกลับไปที่โรงแรมที่พักเดิม สถานที่เที่ยวทุกแห่งและสถานที่พักนี้ยังอยู่ในจังหวัด Mpumalanga



แต่ขอนำภาพที่ GOD’S WINDOW มาให้ชมจาก south-africa-tours-and-travel.com


กลับถึงที่พักก็เป็นเวลาค่ำแล้ว พวกเรารีบเข้าไปรับประทานอาหารกัน


วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ (Mpumalanga - Johannesburg)

เชิญชมวีดีโอ (คลิปที่ 3) ตอน "เมืองปูมาลังกา-โจฮันเนสเบิร์ก"




วันนี้พวกเรารับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมที่พักแล้ว ซึ่งคุณโทนี่ได้เลือกสถานที่พักให้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งบอกว่าวันนี้ควรจะถ่ายรูปกัน เพราะทิวทัศน์บริเวณรอบๆ ที่พักอยู่ริมทะเลสาบสวยงามมาก



แต่ภาพที่พวกเราถ่ายยังมีหมอกลงมา เนื่องจากยังเช้าเกินไป อีกทั้งจะต้องรีบเดินทาง
จึงขอนำภาพจากเว็บไซด์ south/mpumalanga.hotelguide.co.za มาให้ชมกัน




ปรากฏว่าเช้าวันนี้อากาศไม่แจ่มใสเลย พวกเราเสียดายที่ถ่ายรูปไม่แจ่มเลย แต่ก็ต้องถ่ายไว้เป็นที่ระลึก เพราะคิดว่าชาตินี้โอกาสจะกลับมาอีกคงจะยากมากๆ



ต่อจากนั้นพวกเราช่วยกันขนกระเป๋าใส่รถพ่วงเล็กๆ พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกับโชเฟอร์ฝรั่งใจดี จากนั้นก็เดินทางกลับโจฮันเนสเบิร์ก รถวิ่งย้อนกลับมาคนละทางกับที่ไปรอยเท้ายักษ์ ถนนลาดยางสี่เลนซ์อย่างดี บ้านเมืองแถวนี้เจริญมาก มีรถวิ่งสวนทางตลอดเวลา กำหนดการวันนี้คุณโทนี่จะพาไปให้ทันฉันเพลที่โจฮันเนสเบิร์ก



ระหว่างทางแวะเข้าปั้มน้ำมัน พวกเรามองเห็นหญิงแอฟริกันกำลังนั่งขัดถ้วยชามที่แกะสลักจากไม้ นั่งถูไปถูมาแล้วมองยิ้มๆ พวกเราจึงเข้าไปขอถ่ายรูปพร้อมกับหยิบไม้พายบ้าง คว้าถ้วยชามไม้จากมือของแกมานั่งถูไปถูมาบ้าง เด็กปั้มคนหนึ่งก็ออกมายืนถ่ายรูปด้วย


จากนั้นรถก็วิ่งเข้าเมืองด้วยความเร็วสูง เพื่อให้ทันรับประทานอาหารเพลที่ภัตตาคารอาหารจีนในไชน่าทาวน์ แต่ก่อนถึงถูกตำรวจทางหลวงเรียกสองครั้ง เสียค่าปรับทั้งสองครั้ง (มีภาพประกอบ "ใบสั่ง" ด้านล่าง) เพราะต้องรีบเดินทางไปให้ทันเวลา จากนั้นก็เข้าที่พักที่โรงแรม PARKTONIAN ซึ่งพวกเราต้องตกตะลึงกัน เพราะคุณโทนี่จัดให้ทุกห้องเป็นห้องสูทอย่างดีนั่นเอง


ถ่ายรูป "ใบสั่ง" จากแอฟริกาใต้ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับรถตำรวจทางหลวง ๒ คัน
โดยมีตำรวจหญิงอ้วนใหญ่ผิวดำ ทำหน้าบึ้งเข้ามาพูดคุยกับโชเฟอร์



ช่วงบ่ายออกไปหาชื้อสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก (ตามภาพข้างบน จะเห็นคุณโทนีช่วยถือยีร๊าฟที่แกะสลักจากไม้ เพื่อนำไปฝากลูกสาว ส่วนภาพที่เห็นคุณปุ๋มยืนคู่อยู่กับชาวแอฟริกัน ที่เข้ามาทักทายนึกว่าคุณปุ๋มเป็นพวกเดียวกับเขานะ) แล้วไปรับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารอาหารจีน ก่อนถึงภัตาคารอาหารจีน รถเสียเป็นครั้งที่สอง เทอร์โบพังรถไม่มีแรง เสียอยู่กลางถนน ต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจจราจร และหารถมาลากเข้าอู่ในที่สุด

ปรากฏว่าห้าปีที่ผ่านมารถไม่เคยเป็นอะไรเลย คุณโทนี่บอกพวกเราด้วยความเสียใจ ซึ่งต้องมาเสียกับการมาบริการพวกเรา นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติอยู่บ้างสำหรับไกด์นำเที่ยว แต่สำหรับคณะตามรอยพระพุทธบาทแล้ว..ถือว่าเป็นเรื่องปกติ พอมาถึงตอนนี้หลวงพี่เล่าย้อนระหว่างรอรถ ท่านเล่าว่าตอนไปลาวก็เหมือนกัน ท่านไปไหว้พระพุทธรูปสำคัญของลาว ชื่อ "พระฆ้อง" ที่เมืองงอย โดยเช่าเรือหางยาวล่องไปตามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

พอถึงขากลับเรือหางยาวหยุดอยู่กลางแม่น้ำดื้อๆ คนขับยกหางเรือขึ้นมา ปรากฏว่าใบพัดหลุดหายไปกลางแม่น้ำมาแล้ว ท่านบอกว่าไม่รู้ว่าผลบุญมันมากหรือไง จึงทำให้ขากลับต้องแก้เคล็ดอย่างนี้เกือบทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลวงพี่ได้อธิษฐานไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าสถานที่นี้เป็นรอยพระพุทธบาทจริงขอให้ไปได้ แล้วจะนำบายศรีไปกราบไหว้ให้ถึงที่ นี่ก็ถือว่าเป็นผลสำเร็จ พร้อมทั้งอากาศที่หนาวเย็นตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วก็กลับเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่นำมาเล่าสู่กันฟัง

ย้อนกลับมาถึงตอนนี้ หลังจากที่โชเฟอร์โดนปรับมาแล้ว ต้องนั่งรออยู่ในรถสักครึ่งชั่วโมง ก็มีรถคันใหม่มารับเราไปทานอาหารเย็น เสร็จแล้วกลับเข้าที่พักกันตามอัธยาศัย พร้อมกับช่วยกันแพ็คของที่ซื้อมาฝากเพื่อนๆ และญาติที่เมืองไทยเก็บเข้ากระเป๋ากันต่อไป

วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (โจฮันเนสเบิร์ก - สนามบินสุวรรณภูมิ)

เวลา ๗.๐๐น.รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก เสร็จแล้วเช็คเอาท์เวลา ๘.๓๐ น. คุณโทนีนำรถเบ็นท์และรถตู้ (รถคันเดิมพังไปแล้ว) มารับไปฉันอาหารที่ภัตตาคารอาหารจีนย่านไชน่าทาวน์ (ร้านเดิม)


พวกเราได้ถ่ายรูปในห้องสูทของ PROTEA HOTEL ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกับพนักงานต้อนรับในร้านอาหารของโรงแรมด้วย เดิมปรึกษากันว่าจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กัน หรือไม่ก็ไปชมบ่อนคาสิโน แต่ไม่ได้ไปเล่นนะ แค่ไปชมด้านหน้าเท่านั้น แต่คุณโทนีบอกว่าเวลาไม่ทัน จึงตัดสินใจกลับไปที่เดิม คือมีร้านค้าจำหน่ายสิ่งของอยู่ที่ร้านอาหารจีน



เมื่อมาถึงพวกเราเดินซื้อของที่ระลึกจากร้านค้าที่อยู่ด้านล่างภัตตาคาร จนถึงเวลา ๑๑.๐๐ น. หลวงพี่และหลวงพ่อฉันเพล ความจริงหลวงพี่ตั้งใจจะเลี้ยงพวกเรา แต่คุณโทนี่ขอแสดงความเสียใจที่รถเสียระหว่างทาง จึงขอรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อนี้แทน พร้อมทั้งขอโทษด้วยที่ทำให้รถเสียถึง ๒ ครั้ง


แต่ก่อนจะกลับพวกเราก็ช่วยกันรวมเงินเป็นการทิปให้ เพื่อเป็นขวัญเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แล้วเดินทางสู่สนามบินโออาร์แทมโบ (O.R.TAMBO) โดยมีคุณโทนี่และภรรยามาส่งด้วย พวกเราบางคนก็สวมกอดพร้อมกับหลั่งน้ำตา ประทับใจในการต้อนรับของเขา แต่ทว่าตอนท้ายก็ยังมีลุ้นอีก เนื่องจากคุณติ๋วยังไม่มีตั๋วเที่ยวกลับ คุณติ๋วได้อธิษฐานขอบารมีท่าน จนกระทั่งเพื่อนที่สนามบินแจ้งว่าได้ตั๋วกลับแล้ว ทำให้ทุกคนโล่งใจไปตามๆ กัน


เวลา ๑๓.๔๐ น. เดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ T.G.992 ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ต้อนรับบนเครื่องบินทุกท่านด้วยค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑๑ ชั่วโมง ปรากฏว่าเที่ยวขากลับผู้โดยสารเต็มลำ แต่ก็นั่งหลับๆ ตื่นๆ จนถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ.

วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕

เวลา ๕.๔๕น. คณะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ รถตู้จากบ้านคุณท้งมารอรับหลวงพี่และหลวงพ่อไปฉันเช้าที่โรงงานทำร่ม ส่วนทุกคนต่างโบกมืออำลาแยกย้ายกันกลับบ้าน สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือและรักษาความปลอดภัยในการเดินทาง งานตามรอยพระพุทธบาททริปนี้ ถือว่าไกลและสวยที่สุด ผลบุญคงจะมหาศาลเช่นกัน จึงขออนุโมทนาผู้ร่วมเดินทางทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย..สวัสดีค่ะ

<ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 14/9/12 at 15:20

(Update 14 ก.ย. 55)


.........เนื่องจากการเดินทางไปประเทศแอฟริกาครั้งนี้ ได้มีการเล่าเป็นภาษาไทย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ต้องการจะได้เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษด้วย ท่านจึงได้มอบหมายให้ คุณเกศราทิพย์ (ติ๋ว) สุทธิ์วรรณ์ เป็นผู้เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ ทีมงานฯ จึงขออนุโมทนาในความอุตสาหะไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ..

The Buddha’s Footsteps, A Path to Follow


.........There are hundreds of the Buddha’s footprints discovered throughout Asia but the latest one is very special because it is situated in South Africa. When thinking of Africa, the first thing that comes up in my mind may be the well-known African safari. Like most Thai people, visiting South Africa seems to be far from my imagination because of long distance and high expense. I, myself, have been there for a couple of times due to my work as a flight attendant. But this time is truly different. The main purpose of this trip is of course not for a safari but to worship the Buddha’s footprint which is reportedly located in Mpuluzi, Mpumalanga Province in northeastern of the country.

.........The journey started in the late night of June 12th, 2012 which was in the wintertime for South Africa. There were totally 11 people including 2 monks in this trip. The group was led by Phra Ajarn Chaiwat Achito, the senior Thai Buddhist monk who has devoted his lifetime to pursuing the Buddha’s footprints for more than 20 years. After 11 hours on board Thai Airways International heading to Johannesburg, we landed smoothly and safely at O.R. Tambo International Airport. Mr. Tony Lin, a local tour guide came to pick us up with the welcome banner “ Welcome the Tamroiphrabuddhabat Group” written in Thai which means the pursuers of the Buddha’s footprints. Before leaving the airport, we accidentally found a flower shop. Getting fresh flowers delighted us because they were one of the necessary stuff for a worship ceremony.

.........On the way to Mpumalanga, Mr.Tony, together with his wife and the driver, dropped us for lunch at a restaurant in a petrol station. We took this chance to prepare “Bai Sri”, the worship stuff made of silver and gold-coloured cloth for using in the worship ceremony. After 6 hours drive, we nearly arrived the destination. In fact, it was not easy. The driver drove us to the wrong direction as Mr. Tony was confused about its precise location. While not knowing which direction to go, we found a pine tree laying across the road a little further on. To me, it seemed like a hint indicating that it was a wrong way.

.........The driver moved back the bus and drove further about 500 metres. The rock in which embedded the footprint was on the next left turn. He was obliged to park the bus at the foot of the slope. We continued walking upward for about 10 minutes. The first thing appeared in our sight was a huge, stupa-like shaped rock standing alone below the footprint rock.

.........Moving the eyes upward, then we saw the footprint rock. It was incredible! This big footprint is about 1.2 metres long and is in an upright position with all 5 toes clearly visible. It looks like the left foot of someone who is physically big. Some local people believed it likely belong to giant in the ancient times. That’s why it is sometimes called “ Goliath’s footprint ”.

.........Despite many controversies over the origin of the big footprint, the fact that it is embedded in granite rock could not be denied. Scientists and geologists have been puzzled how it happened until now. But for us, this footprint is believed to belong to the Lord Buddha. According to Buddhist belief, the Buddha’s presence is not represented only by the Buddha’s images, but also his footprints or “Phrabuddhabat”.

.........They are one of the most significant things he left for Buddhists after his death. Even nowadays, his footprints have been founded in many places mostly in Asia, especially in Thailand, a Buddhist land. The natural ones are mostly embedded in rock while some are rarely found on soil. Buddhists believed that the true worship of the Lord Buddha is to follow on his footsteps. Then, that means to follow his teaching on morality in everyday life to make the good life. Basically, by avoiding bad deeds, doing good deeds and purifying one’s mind.

.........The worship ceremony started with the Buddhist chants, echoing around the hill. Then, we gathered to pay homage to the Buddha’s footprint by offering fresh flowers and Bai Sri, sprinkling fragrant water and applying gold leaf. The rock was tightened with gold-coloured cloth to mark the footprint of the Lord Buddha. Our hearts were united in one, to pay an ultimate respect to the Lord Buddha, the fully enlightened one who devoted his entire life teaching mankind to find the right path that leads to enlightenment or “ Nirvana ”. Realizing the great merit we just had done, our hearts were overwhelmed by abundant happiness and delight.

.........In that evening, I left the Buddha’s footprint with 2 different feelings. The first one was happiness while another one was regret. I was very happy that once in my life, I used to worship the Buddha’s footprint in the country far from Thailand like South Africa. But I also felt regretful, realizing that a chance to come here again was so rare. Anyway, like the Lord Buddha once said, “ Whatever you think it will be, it will always be something different ”. It means the future is uncertain and unpredictable. Just forget the past, ignore the future and enjoy the present moment. Whatever the future is, this remarkable trip will stay alive in my memory forever.

.........Finally, I would like to thank Phra Ajarn Chaiwat for being my teacher, my role model and my inspiration to pursue the Buddha’s footprints. Without him, I wouldn’t be a part of this trip, a trip of merit. The mission for this journey is completely achieved but the mission in our real life is a long way to go on. I keep telling myself not to give up. Since we follow the Buddha’s footsteps, the ultimate goal will be reached one day.


*******************************


webmaster - 17/9/12 at 09:00

.