24 พฤศจิกายน 2555
8. วัดพระธาตุเชิงชุม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
......หลวงพี่ได้นัดกับคณะต่างๆ เพื่อที่จะมาร่วมกันสักการบูชาพระธาตุเชิงชุมกันก่อน เพราะถือว่าเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวหนองหาร หรือว่า
"เมืองสกลนคร" นั่นเอง หลังจากที่ได้นำเรื่องราวในอดีตมาเล่าสู่กันฟังแล้ว จะเห็นว่า "พระยาสุวรรณภิงคาร" ได้มาตั้งบ้านเมืองตั้งแต่สมัยพุทธกาล
จนกระทั่งปัจจุบันนี้กาลเวลาผ่านไป ๒ พันกว่าปี ก็ยังไม่มีเหตุการณ์บ้านเมืองที่จะล่มจมอีก นับว่าการย้ายเมืองมาตั้งแต่ครั้งกระนั้น
เป็นเพราะอยู่ใกล้กับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์นั่นเอง การอุปภัมถ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนา จึงทำให้ประชาชนมีแต่ความสันติสุข
บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีภัยพิบัติที่ร้ายแรงแต่ประการใด
โดยเฉพาะพวกเราที่ได้นัดหมายกันมาก่อน ว่าจะมาพบกันที่พระธาตุเชิงชุมในเวลาก่อนเที่ยง เพื่อจะลงเรือชมทะเลสาปหนองหารอันกว้างใหญ่
พร้อมอยากที่จะชมปรากฏการณ์ที่ร่ำลือมาตั้งแต่ คุณคำรณ หว่างหวังศรี นักข่าวจากช่อง 3 ที่ได้พบพานพญานาคในหนองหารแห่งนี้
พวกเราจึงอยากจะมาเที่ยวและพิสูจน์ความจริงกันด้วย
แต่ทว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ พวกเรากลับเปลี่ยนใจกระทันหัน โดยนัดเจอกันตอนเช้าก่อน ทั้งนี้หลวงพี่ก็ได้เข้าไปที่วัดพุทธโมกข์
เพื่อจะไปดูการจัดเตรียมสถานที่ ทั้งเครื่องกฐินของหลวงพี่ที่ฝากมาก่อนหน้านี้ และของคุณก๋วยเจ๋ง-คุณหลี ซึ่งมีถังคูลเลอร์น้ำเป็นต้น
เมื่อพบว่าสิ่งของมาครบหมดแล้ว หลวงพี่จึงเปลี่ยนแผนโดยนำคณะที่มาร่วมสมทบ พาไปกราบไหว้สถานที่สำคัญๆ ในตัวเมืองสกลนครก่อน (พระธาตุดุม,
พระธาตุนารายณ์เจงเวง) ก่อนที่จะไปลงเรือในเวลาเที่ยงตรง ซึ่งท่าเรือก็อยู่หลังวัดพระธาตุเชิงชุมนั่นเอง
ทั้งนี้ด้วยความไม่ประมาท เมื่อวันศุกร์หลังจากที่พวกเราเดินทางมาถึง จึงตรงเข้าไปเบิกเงินที่ธนาคารก่อน พร้อมกับหอบหิ้วเงินสดจำนวน ๒,๒๔๓,๐๐๐
บาทเอาไว้ในรถ จากนั้นก็เข้าไปดูสถานที่พักของญาติโยม ปรากฏว่าจองเต็มหมด จึงถามทางเพื่อเข้าไปที่ท่าเรือริมหนองหาร โดยหลวงพี่ขอให้พระอาจารย์ประทักษ์
(ตุ๋ย) ติดต่อขอเช่าเรือลำใหญ่เอาไว้ พร้อมกับติดต่อเรือหางยาวไว้สำรองอีกด้วย เพื่อจะเดินทางในวันเสาร์ที่ ๒๔ พ.ย. ๕๕ เวลา ๑๒.๐๐ น. ซึ่งวันศุกร์ที่ ๒๓
ขณะมาถึงนี้ หลวงพี่บอกว่ากลางวันอากาศร้อนเหลือเกิน เป็นห่วงคนที่ไปจะลำบาก โดยเฉพาะเป็นเวลาเที่ยงตรงที่เรือจะออก
แต่พอถึงวันที่ ๒๔ ปรากฏว่าอากาศกลับร่มคลึ้มตั้งแต่ตอนเช้า แล้วยังโชคดีมากที่ทางวัดจัดการแห่กฐินพระราชทานพอดี จึงได้ร่วมในพิธีแห่
และจะมีการทอดในตอนบ่าย พวกเราได้ทำกิจกรรมงานบุญโดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นบุญใหญ่มาก หลวงพี่มารอตั้งแต่เช้า
โดยแวะฉันเช้าที่ร้านใกล้ๆ พระธาตุเชิงชุม ปรากฏว่าฝีมือดีมาก พากเราจึงบอกให้คณะที่ติดตามมาภายหลังให้แวะเข้าไปลองทานดูบ้าง หลังจากนั้นคณะต่างๆ
ที่นัดหมายไว้ก็เริ่มเดินทางมาถึงจุดนัดพบที่พระธาตุเชิงชุม มีคณะกองทุน ๒ รถตู้ เป็นต้น
เมื่อคณะต่างๆ เดินทางมาครบถ้วนแล้ว ยังขาดแต่คณะคุณก๋วยเจ๋ง-คุณหลี ก็ไม่เป็นไร จึงชักชวนเข้าไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์
พร้อมทั้งนำผ้าสไบทองห่มรอบองค์พระธาตุ และหลวงพี่ได้เข้าไปเขียนชื่อ "คณะตามรอยพระพุทธบาท" ไว้ด้วย
จากนั้นจึงเข้าไปในวิหารข้างองค์พระธาตุ เพื่อเข้าไปที่ประตูอุโมงค์ ภายในจะเห็นยอดพระธาตุองค์เดิม ซึ่งมีการสร้างพระธาตุองค์ใหม่ครอบไว้
มองเข้าไปจะเห็นพระพุทธรูปเก่าแก่โบราณมากมาย หลวงพี่ได้โปรยดอกไม้และสรงน้ำหอม พร้อมกับโปรยแผ่นทองเข้าไปบูชาด้วย
หลังจากนั้นพวกเราจึงเดินออกมาด้านนอก เห็นขบวนแห่กฐินพระราชทาน โดยมีวงโยธวาทิต และขบวนฟ้อนรำหางนกยูง มีพระเจ้าหน้าที่ของวัดเดินมาติดต่อกับหลวงพี่
ขอให้ญาติโยมเข้าไปถือย่ามพระราชทาน พวกเราทุกคนดีใจจึงได้เข้าไปร่วมขบวนทันที
นับว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญ ทั้งที่ไม่รู้กำหนดการมาก่อน พวกเราปลาบปลื้มใจเป็นอันมาก ได้พากันเดินตามขบวนแห่ไปครบทั้งสามรอบ
ท่ามกลางอากาศที่ร่มเย็นสบายๆ มีความสุขที่ได้ยินเสียงเพลงปลุกใจ พร้อมกับลีลาร่ายรำของแม่บ้านชาวสกลนคร ที่แต่งกายอยู่ในชุดภูไทสวยงาม
มองเห็นผู้ชายแต่งชุดนักมวยโบราณ ต่างร่ายรำหางนกยูงพร้อมด้วยท่าเต้นที่แปลกตา
คำบูชาองค์พระธาตุเชิงชุม (รอยพระพุทธบาท)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด ๓ จบ)
มะหาวาปี ปุเร สุวัณณะภิงคาระ ราเชนะ ฐาปิตัง จะตุพุทธะปาทะ วะลัญชัง สิระสา นะมามิ
......ข้าพเจ้าขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ขอน้อมกราบรอยพระพุทธบาทขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๔ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคม พระกัสสปะ พระโคตมะ
และพระศรีอริยเมตไตรย์ ที่จะมาตรัสรู้และประทับรอยพระพุทธบาทในอนาคตกาล ด้วยระลึกนึกถึงพระคุณ
อันหาประมาณมิได้ ทรงเสียสละสั่งสมบารมีนับชาติมิถ้วน เพื่อตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศ
ธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏ พร้อมกราบพระธรรม และพระอริยสงฆ์
ด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้ ขอเป็นปัจจัยให้ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอย่างไร
ขอข้าพเจ้ามีส่วนรู้ตามธรรมของพระองค์ แม้ต้องเกิดอยู่ในภพชาติใดๆ ขอเกิดภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนา
ได้พบสัตบุรุษผู้รู้ธรรมอันประเสริฐมีกรรมสัมพันธ์ที่ดี ได้เกิดท่ามกลางกัลยาณมิตร และเป็นสัมมาทิฏฐิทุกชาติไป
มีโอกาสฟังธรรมและประพฤติธรรมจนเป็นปัจจัยให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณ
ตามส่งชาตินี้และชาติต่อๆ ไปจนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ ด้วยกรรมใดที่ได้ล่วงเกินต่อ พระพุทธ
พระธรรม พระอริยสงฆ์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในอดีตชาติก็ตาม ปัจจุบันชาติก็ตาม ขอกราบอโหสิกรรม
ทั้งหมดทั้งสิ้น ขอผลบุญจงสำเร็จแด่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง ท่านเจ้ากรรมนายเวรตลอดจนท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบ ในการดำรงรักษาไว้ซึ่งประเทศชาติ
พระพุทธศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายดังกล่าวนามมานั้น จงมีแต่ความสุขๆ ทุกท่านเทอญ
9. พระธาตุดุม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
หลังจากกราบไหว้องค์พระธาตุเชิงชุมแล้ว หลวงพี่ก็ได้นำมากราบไหว้ "พระธาตุดุม" ซึ่งตามประวัติบอกว่าบรรจุ "กระดุม" ของพระพุทธเจ้า
นับเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของชาวสกลนคร
ลักษณะดั้งเดิมเป็นพระปรางค์ก่ออิฐ ๓ หลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีร่องรอยของคูน้ำล้อมรอบเห็นได้ชัด
ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ปัจจุบันลักษณะคงเหลือเพียงพระปรางค์องค์เดียว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยเดียวกับ "พระธาตุนารายณ์เจงเวง"
แต่องค์ปราสาทเล็กกว่าพบทับหลังทั้ง ๔ ด้าน ด้านทิศเหนือเป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ นอกจากนี้ยังมีภาพเทวดาทรงพาหนะเหนือหน้ากาลประกอบด้วยสัตว์ต่าง ๆ เช่น
ช้าง สิงห์ และลายใบไม้ม้วน การกำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ศิลปะเขมรแบบบาปวน
10. พระธาตุนารายณ์เจงเวง ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร
สถานที่แห่งนี้ตามประวัติพระธาตุพนม หรืออุรังคนิทานเล่าว่า เป็นสถานที่บรรจุ "พระอังคารธาตุ" ของพระพุทธเจ้า
วัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง สร้างขึ้นพร้อมกันกับ "พระธาตุนารายณ์เจงเวง" หรือ "อรดีมายานารายณ์เจงเวง" โดยชื่อนี้ตั้งชื่อตามผู้สร้าง คือ
พระนางนารายณ์นาเวง พระมเหสีของพระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหารหลวง โดยคณะของพระนางที่เป็นสตรีแห่งเมืองหนองหารหลวง
ได้มีการแข่งขันกับกลุ่มบุรุษชาวเมืองหนองหานน้อย เพื่อสร้างพระธาตุไว้รอรับพระมหากัสสป ซึ่งนำ "พระอุรังคธาตุ" ไปบรรจุยังดอยภูกำพร้า (พระธาตุพนม)
โดยตกลงกันว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างพระธาตุเสร็จก่อนดาวเพ็กขึ้น (ดาวประจำเมือง) ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ
ตามตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่า เมื่อพระมหากัสสปเถระและบริวารเดินทางมาถึงเมืองหนองหานหลวง กลุ่มสตรีชาวเมืองหนองหานได้ทูลขอแบ่งอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอก)
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระมหาเถระมิได้อนุญาตด้วยผิดวัตถุประสงค์ที่พระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ก่อนปรินิพพาน
ว่าให้นำอุรังคธาตุไปประดิษฐานบรรจุเจดีย์ที่ภูกำพร้า (พระธาตุพนม)
แต่เพื่อมิให้เสียศรัทธา พระมหากัสสัปะเถระจึงให้พระอรหันต์รูปหนึ่งไปนำ "พระอังคารธาตุ" (ขี้เถ้าปนเศษกระดูก)
จากที่ถวายเพลิงพระศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์แห่งนี้ จึงนับว่าพระธาตุนารายณ์เจงเวงเป็นโบราณสถานที่สำคัญของเมืองสกลนคร
ส่วนฝ่ายชายที่สร้างพระธาตุเสร็จไม่ทัน เพราะเสียรู้กลอุบายของฝ่ายหญิงที่ทำดาวเพ็กหลอกขึ้นสู่ท้องฟ้า ปัจจุบันก็ยังสร้างค้างอยู่แค่ฐานเท่านั้น
เรียกกันว่า "พระธาตุภูเพ็ก" สูงจากระดับน้ำทะเล ๕๒๒ เมตร ที่บ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ห่างจากตัวเมืองสกลนครทางรถยนต์ ๓๗
กิโลเมตร โดยมาทางถนนหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๒ สายนครพนม อุดรธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๑๓๘ เลี้ยวซ้ายเข้าไปทางถนนลาดยางผ่านบ้านนาหัวบ่อ
เข้าถึงเชิงภูเขาและเดินขึ้นบันไดอีก ๔๙๑ ขั้น ถึงตัวปราสาท
webmaster - 15/12/12 at 10:11
11. วัดดอนสวรรค์ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
หลังจากที่ได้เดินทางไปกราบไหว้สถานที่สำคัญทั้งสองแห่ง หลวงพี่ฉันเพลและพวกเราทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว จึงได้เดินทางไปที่ท่าเรืออยู่ริมสวนสมเด็จฯ
หลังพระธาตุเชิงชุม เพื่อไปเกาะดอนสวรรค์ที่อยู่กลางบึงหนองหาร ตามเวลาที่นัดหมายไว้ประมาณเที่ยงตรง ต้องจอดรถไว้ริมถนนแล้วเดินเข้าไปที่ท่าเรือ
โดยมีเรือใหญ่บรรจุคนได้ประมาณ ๕๐ คนรออยู่ ส่วนเรือหางยาวพระอาจารย์มนูญ พร้อมด้วยชาวบ้านดอนเสาธงนำมาเสริมอีก ๙ ลำ
หลวงพี่เป็นผู้จัดให้คนลงเรือ เป็นไปตามที่ได้จองเอาไว้ ใครจองเอาไว้ก่อนก็ให้ลงเรือใหญ่ เพื่อความยุติธรรม และไม่ได้ลำเอียงแต่อย่างใด
ให้ความเสมอภาคกับทุกคน ส่วนคนที่แจ้งภายหลัง เมื่อเรือใหญ่เต็มแล้วจึงจัดให้ลงเรือหางยาว
มีหลายคนได้นำเงินค่าเรือมาให้ ซึ่งหลวงพี่ไม่ได้คิดค่าเรือ เพราะท่านตั้งใจจะเหมาให้ไปกันทุกคน ตามที่พระอาจารย์ประทักษ์ (ตุ๋ย) ติดต่อไว้ให้
เรือใหญ่ค่าเช่า ๒,๕๐๐ บาท ส่วนเรือหางยาว ๙ ลำ เขาไม่ได้คิดค่าเช่าเรือ แต่หลวงพี่ก็มอบค่าน้ำมันเรือโดยฝากไว้กับพระอาจารย์มนูญ ๕,๐๐๐ บาท
(ขอบคุณภาพจาก "ไทยรัฐ")
ทางเจ้าหน้าที่ของเรือใหญ่ได้เตรียมชูชีพไว้สำหรับทุกคน วันนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลก ถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน อากาศกลับร่มคลึ้มสบายๆ ลมพัดเย็นๆ
ทุกคนรู้สึกสดชื่นที่จะได้มีโอกาสล่องเรือชมหนองหารกันในวันนี้
โดยมีเป้าหมายไปที่ เกาะดอนสวรรค์ ก่อนแล้วจึงวนรอบเกาะ ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงภาพนี้จะมองเห็นศาลาที่อยู่ริมน้ำ ส่วนเรือหางยาวมีคุณเอก จากคณะบ้านก๋ง
นั่งคนเดียวเพื่อคอยถ่ายรูป
(ขอบคุณภาพจาก "ไทยรัฐ")
ช่วงนี้มีหลายคนตื่นเต้นเพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า มีคนเห็นพญานาคกันหลายคณะ มีการรายงานข่าวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ คลิกที่นี่
เมื่อทุกคนเดินขึ้นมาจากเรือแล้ว บังเอิญมีพระรูปหนึ่งที่เคยอยู่ที่นี่ ท่านได้อธิบายสถานการณ์ช่วงนี้ให้ฟังว่า ระหว่างนี้ยังไม่มีพระภิกษุมาอยู่อาศัยประจำ
เพราะทางจังหวัดต้องการจะเคลียพื้นที่นี้ก่อน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข้อพิพาทในการถือกรรมสิทธิ์กัน แต่พวกเราคงไม่เกี่ยว
เพราะตั้งใจมาเที่ยวเพียงอย่างเดียวนะคะ
พวกเราพากันเดินชมบริเวณด้านหน้าวัด ซึ่งมีศาลาหลังใหญ่และมณฑปพระพุทธบาท พร้อมทั้งเห็นมีต้นไม้ใหญ่ล้ม ส่วนใหญ่จะเป็นต้นยางใหญ่หลายต้น
แต่ก่อนนี้ท่านอาจารย์หนุนเคยมาจัดงานปริวาสเป็นประจำทุกปี
จากนั้นได้เดินเข้าไปที่มณฑปกราบไหว้บูชารอยพระพุทธบาทจำลอง ส่วนประวัติที่มีการเล่าว่า เดิมพระพุทธเจ้าประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่นี่ก่อน
หลังจากนั้นพญานาคได้อัญเชิญไปไว้ที่พระธาตุเชิงชุม เรื่องประวัติเหล่านี้ ภายหลังได้กราบเรียนถามพระอาจารย์หนุน
ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าได้เหยียบพระบาทไว้ที่พระธาตุเชิงชุมตรงนั้นแหละ ไม่ได้มีการย้ายรอยพระพุทธบาทแต่อย่างใด
เป็นอันว่า หลวงพี่ชัยวัฒน์เข้าใจถูกต้องตามตำนานวัดพระธาตุเชิงชุมแล้ว ตอนนี้ท่านได้ทำความสะอาดพร้อมทั้งกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ น้ำหอม และทองคำเปลว
หลังจากนั้นทุกคนก็เข้าไปบูชาเช่นเดียวกัน แล้วเดินออกไปที่ศาลาหลังใหญ่
พระท่านได้ให้พรแล้วเดินกลับมาที่ท่าเรือ ท่านได้ทักทายกับคนขับเรือหางยาวทั้ง ๙ ลำ พร้อมทั้งขอบใจทุกคนที่ได้นำเรือหางยาวมาช่วยเสริม
ก่อนจะกลับก็มาถ่ายภาพหมู่รวมกันไว้เป็นที่ระลึก
ต่อจากนั้นก็ลงเรือเพื่ออ้อมให้รอบเกาะดอนสวรรค์ โดยนัดหมายกับเรือหางยาวให้ไปเจอกันที่บริเวพญานาคขึ้นมาให้คนเห็น เพราะพวกเราได้เตรียมกระทงมาบูชาด้วย
เมื่อเรือมาถึงจุดนัดหมาย ซึ่งคนขับเรือใหญ่บอกว่า ตรงบริเวณนี้แหละที่่เคยเห็นพญานาคกัน จากนั้นหลวงพี่ก็ได้ทำพิธีลอยกระทง
โดยมีเรือหางยาวมารออยู่ครบทุกลำ เป็นที่สังเกตว่า แม้เรือใหญ่จะหยุดนิ่งเฉยๆ แต่ก็ไม่ต้องทอดสมอ เพราะเรือไม่ไหลไปตามกระแสน้ำ นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก
หลังจากเสร็จพิธีกันแล้ว เรือก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ แต่พอวิ่งมาได้สักระยะหนึ่ง ปรากฏว่าเรือวิ่งช้าลง คนขับเรือใหญ่บอกหลวงพี่ว่า
จะขอหยุดเรือเพื่อสะบัดสาหร่ายที่อาจจะเกาะอยู่ที่ใบจักร จากนั้นเรือก็ถอยหน้าถอยหลัง แล้วออกเดินทางต่อไป
พอเรือออกวิ่งมาได้ระยะหนึ่ง ได้เสียงร้องบอกว่าเห็นพญานาคอยู่ด้านท้ายเรือ ทุกคนต่างก็เฮโลเดินไปด้านหลังจนเรือเอียงไปทันที
แม้แต่ผู้บันทึกเองก็ยังเห็นเกลียวคลื่นที่อยู่ไกลออกไป เกลียวคลื่นน้ำนั้นสูงเป็นโค้งครึ่งวงกลม ประมาณ ๔-๕ โค้ง ซึ่งไม่ใช่คลื่นของเรืออย่างแน่นอน
บางคนก็เห็นเป็นลำตัวที่ดำแวววาว
ส่วนคนที่นั่งเรือหางยาว โดยเฉพาะคุณหลีบอกว่า ช่วงนั้นตนนั่งอยู่บนเรือหางยาว มองเห็นลำตัวยาวอยู่ข้างลำเรือใหญ่ เฮียที่เป็นสามีเจ๊จูบอกว่า
ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เรือจะติดสาหร่าย เพราะช่วงนี้น้ำลึกมาก ขนาดว่าเรือไปจอดที่เกาะยังไม่เห็นมีอะไร อาจจะเป็นเพราะท่านมาอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง
ในขณะที่พวกเราตั้งใจจะมองหาออกไปไกลๆ ที่ไหนได้..ท่านแอบมาอยู่ใกล้เรานั่นเอง...
คลิปวีดีโอ กบนอกกะลา ตอน ตลุยดอนสวคค์
webmaster - 16/12/12 at 10:27
(Update 20 ธันวาคม 2555)
12. พระพุทธบาท บ้านซ่งน้ำพุ ต.บ้านแป้น อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
หลังจากที่ไปล่องเรือชมหนองหารกันแล้ว หลวงพี่ก็ได้ชักชวนพวกเราร่วมทำบุญกับท่านอาจารย์มนูญ สำนักบ้านดอนเสาธง ที่ได้นำเรือหางยาวมาช่วยเสริม ๙ ลำ
จากนั้นหลวงพี่จึงได้นำคณะทั้งหมดกลับมาที่ "บ้านซ่งน้ำพุ" อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่ายังพอมีเวลา ก่อนที่จะไปร่วมงานพิธีเททอง ณ วัดพุทธโมกข์ ในเวลา
๒ ทุ่มโดย ประมาณ
เนื่องจากบ้านซ่งน้ำพุอยู่ห่างจากวัดพุทธโมกข์ประมาณ ๑๕ ก.ม. เท่านั้น พวกเราจึงได้นำรถเข้าไปจอดที่บริเวณ "ศาลปู่ตา"
ซึ่งหลวงพี่ได้มาสำรวจไว้ก่อนเมื่อวานนี้ วันนี้จึงไม่ลำบากในการหาที่จอดรถ ญาติโยมต่างก็เดินมาล้อมกันที่บ่อน้ำพุ พร้อมกับเปิดน้ำพุให้ทุกคนได้ดื่มกิน
บางคนก็นำใส่ขวดกลับมาด้วย
เมื่อได้ลิ้มรสน้ำพุมหัศจรรย์อันเป็นสิ่งมงคล ที่เกิดในวันประสูติพร้อมด้วยพระขรรค์ของ "พระยาสุรอุทก" กันแล้ว ซึ่งพระองค์เป็นพระราชบิดาของ
"พระยาสุวรรณภิงคาร" เจ้าเมืองหนองหารหลวง (สกลนคร) หลวงพี่จึงนำไปที่รอยพระพุทธบาทกลางทุ่งนา ท่านได้บอกว่าถึงแม้รอยจะไม่ชัดเจน
แต่อานุภาพหาประมาณไม่ได้ เนื่องด้วยตากแดดตากฝนอยู่นานแล้ว หลวงพี่จึงมอบทุนให้สร้างศาลาครอบไว้ตั้งแต่ ปี ๒๕๔๘
โดยเฉพาะที่สำคัญตาม "ตำนานพระธาตุพนม" ได้กล่าวถึงบ้านซ่งน้ำพุ หรือ "บ้านทรงน้ำพุ" ว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่พระธาตุเชิงชุมแล้ว
ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จมาที่นี่ด้วย เสียดายที่หลักฐานตรงนี้ถูกตัดออกไป
เมื่อได้ทำพิธ๊กราบไหว้บูชากันแล้ว โดยถวายพานบายศรีไว้ ๑ พาน อีกพานหนึ่งจะนำไปถวายไว้ที่รอยพระพุทธบาทอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณ "ศาลปู่ตา"
ที่อยู่ห่างกันประมาณ ๕๐ เมตรเท่านั้น คุณบำรุง และคุณน้อย ภรรยา จากสวรรคโลก เป็นผู้จัดทำกระทงที่หนองหาร และบายศรี ๒ พาน ที่บ้านซ่งน้ำพุ
หลังจากหลวงพี่ได้เล่าประวัติความเป็นมาแล้ว จึงเดินทางกลับไปที่ วัดป่าสามัคคี อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร ซึ่งอยู่ก่อนถึงวัดพุทธโมกข์ แค่ไม่กี่กิโล
เพื่อให้ญาติโยมรับประทานอาหารเย็นกัน หลังจากนั้นได้มีการทำบุญบำรุงวัดป่าสามัคคี โดยมี พระสมุห์ประทักษ์ (อ.ตุ๋ย) ธัมมธโร เป็นเจ้าอาวาส
และชาวบ้านวัดป่าสามัคคีให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ต้องขออนุโมทนความมีน้ำใจไมตรีไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
13. วัดพุทธโมกข์ อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
ต่อจากนั้นจึงเดินทางไปพักค้างคืนที่วัดพุทธโมกข์ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. หลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนากิจวิมล (พระครูปลัดอนันต์) พร้อมด้วยหลวงพ่อโอ
หลวงพี่ชัยวัฒน์ และพระอาจารย์หนุน ได้ทำพิธีหล่อพระ ๓ องค์ คือ สมเด็จองค์พระปฐม หน้าตัก ๔ ศอก หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
โดยมีช่างเนียน-ช่างประเสริฐ เป็นช่างหล่อ
ก่อนพิธีเททองมีการทำพิธีบวงสรวงก่อน จากนั้นประธานในพิธีคือ ท่านเจ้าคณะภาค และท่านเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร ได้ทำพิธีเททอง
โดยมีพระเถรานุเถระเจริญชัยมงคลกถาตลอดพิธี
หลังจากเสร็จพิธีเททองกันแล้ว พวกเราก็ช่วยกันปล่อยโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ต่อจากนั้นก็คงอำลาขอเข้านอน ซึ่งศาลาหลังใหญ่หรือทุกแห่งในวัด
เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาค้างคืน พระสงฆ์ก็เดินทางมาค้างคืนกันหลายสิบรูป ส่วนฆราวาสบางคณะก็ออกไปค้างคืนในตัวเมืองสกลนครบ้าง
และพักตามรีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆ กันบ้างตามอัธยาศัย
25 พฤศจิกายน 2555 (งานทอดกฐิน)
ตอนเช้าวันนี้ พระสงฆ์ฉันเช้า และญาติโยมทานอาหารเช้ากันแล้ว ก็เริ่มมีการจัดเตรียมงานทอดกฐินกันต่อไป โดยมีเจ้าภาพมาร่วมงานกันมากมาย
เมื่อคืนนี้นอนเต็มศาลาไปหมด
คลิปวีดีโอ "งานทอดกฐิน ณ วัดพุทธโมขก์"
14. วัดพระพุทธบาทน้ำทิพย์ ต.สร้างค้อ อ.ภูพาน จ.สกลนคร
หลวงพี่ได้เคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และได้ถวายปัจจัยร่วมสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก ๑๘ ศอก แบบพระพุทธชินราช ปางมารวิชัย แต่ก็ไม่เคยเจอเจ้าอาวาสสักครั้งเลย
ฉะนั้น เจ้าอาวาสที่นี่ได้ไปหาหลวงพี่ก่อนงานกฐิน จึงได้นัดกันไว้ว่าขากลับจากงานกฐิน ๒๓ วัด จะแวะกราบรอยพระพุทธบาท
และร่วมทำบุญกับวัดสร้างฐานพระพุทธรูปที่ยังค้างอยู่
ในขณะที่พวกเราเดินทางมาถึง พระที่นี่แจ้งว่าเจ้าอาวาสไปธุระที่อื่นกำลังเดินทางกลับมา
พวกเราจึงขอไปกราบไหว้ที่รอยพระพุทธบาทที่อยู่ตรงข้ามกับสำนักสงฆ์กันก่อน
ช่วงนี้คุณก๋วยเจ๋ง-คุณหลี ได้นำเครื่องบูชามาด้วย จึงช่วยให้พวกเราทุกคนได้มีดอกไม้โปรย น้ำหอม และทองคำเปลว
จากนั้นหลวงพี่ก็ได้นำน้ำในรอยพระพุทธบาทประพรมให้พวกเราทุกคน พร้อมทั้งกระเป๋าสตางค์เพื่อให้เงินไหลมาเทมาเหมือนกันที่ไหลผ่านรอยพระพุทธบาทนี้
จากนั้นก็ออกมาพบกับเจ้าอาวาส และได้พบกับคณะอื่นๆ ที่เดินทางผ่านมาด้วย ช่วยกันทำบุญสร้างพระใหญ่กัน รวมเงินทำบุญ ๒๐,๐๐๐ บาท
พร้อมด้วยเครื่องไทยทานที่คุณก๋วยเจ๋ง-คุณหลี พร้อมด้วยคณะ จึงขออนุโมทนาสาธุ..กับทุกท่านด้วยค่ะ
webmaster - 20/12/12 at 13:34
26 พฤศจิกายน 2555 (มหาสารคาม - ขอนแก่น - ชัยภูมิ)
15. พระพุทธมิ่งเมือง (พระยืนองค์แม่) วัดสุวรรญาวาส ต.โคกพระ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
พระพุทธมิ่งเมือง วัดสุวรรณาวาส เป็นพระพุทธรูปทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ เป็นปูชนียะวัตถุที่ควรแก่การเคารพสักการบูชายิ่ง แต่ชาวบ้านทั่วไปจะนิยมเรียกว่า
"หลวงพ่อพระยืน" เป็นพระพุทธรูปที่พึ่งทางใจของชาวพุทธ เป็นที่เคารพบูชาของชาวมหาสารคามและพุทธศาสนิกชนทั่วไป
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นปางสรงน้ำ มีความสูงตลอดองค์ 4 เมตร กว้าง 1 เมตร สร้างด้วยศิลาแลง เป็นพระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยขอมก่อนยุคสุโขทัย
พระพักตร์หันไปทางทิศใต้ เป็นพระพุธรูปที่ท้าวลินทอง เจ้าครองเมืองคันธวิชัยในสมัยจุลศักราช 147 (1328) สร้างขึ้นเพื่อทดแทนคุณมารดา(นางบัวคำ)
ถือเป็นปูชนียะวัตถุเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองตามประวัติที่หาได้จากใบเสมาที่ฝังอยู่ใกล้พระยืน ได้รับประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุสำคัญของชาติในปี
2478
พวกเราได้มาถึงสถานที่นี่โดยบังเอิญ ในขณะที่กำลังฉันอาหารเช้าอยู่ในตลาดนั้น หลวงพี่นึกขึ้นได้ว่าเคยมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ครั้งนั้นได้แวะไหว้พระยืนที่ฝังอยู่ใต้โคนโพธิ์ก่อน แล้วจึงได้แวะมาไหว้พระยืนที่นี่ แล้วเกิดปาฏิหาริย์ คือมีฝนโปรยลงมาชั่วขณะหนึ่งในขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใส
ครั้งนี้หลวงพี่จึงแวะกราบพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอกันทรวิชัย ด้วยการกราบไหว้บูชาและทำบุญใส่ตู้บำรุงวัดตามอัธญาศัย ประมาณ ๕๐๐
บาท
16. พระพุทธมงคลเมือง (พระพุทธยืนมงคล หรือพระยืนองค์พ่อ) ต. โคกพระ อ.กันทาวิชัย จ.มหาสารคาม
ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง
.......พระพุทธมิ่งเมือง (วัดสุวรรณาวาส) และพระพุทธมงคลเมือง (วัดพุทธมงคล) ทั้งสององค์ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์
เป็นปูชนียวัตถุที่ควรแก่การสักการบูชายิ่งทั้งสององค์นี้ ชาวบ้านมักนิยมเรียกกันว่า หลวงพ่อพระยืน
พระพุทธรูปทั้งสององค์นี้เป็นปางสรงน้ำมีความสูงตลอดองค์ประมาณ 8 ศอก กว้าง 2 ศอก พระเนตรและเนื้อองค์พระสร้างด้วยศิลาแลงอย่างดี
เป็นพระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยขอม ก่อนยุคสุโขทัย หลวงพ่อพระยืนทั้งสององค์ผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ และอยู่ห่างกันประมาณ 1.250 เมตร
หลวงพ่อพระยืนทั้งสององค์เป็นปูชนียวัตถุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ตามตำนานหรือประวัติที่หลักฐานยืนยันจากใบเสมาที่ฝังอยู่ใกล้องค์พระได้เขียนเป็นอักษรขอมว่า
สร้างปี ฮวยสง่า พุทธศักราช 1399 ปัจจุบันอักษรที่ปรากฏอยู่ใบเสมาเลอะเลือนไปมากแล้ว
ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมา เดิมทีดินแดนแถบนี้ขอมได้ครอบครองมาก่อน ต่อมาทางนครเวียงจันทร์ มีอำนาจเข้าครอบครองจากขอม มีเจ้าผู้ปกครองโดยอิสระเรียกว่า
เมืองกันทาง หรือ เมืองคันธาธิราช ก่อนปีมะเส็ง จุลศักราช 147 (ปี พ.ศ. 1328) ผู้ครองเมืองคนสุดท้ายมีนามว่า ท้าวลินจง
ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงบริเวณ มีภรรยาชื่อ บัวคำ ปกครองราษฎรหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา หัวเมืองต่างๆ
ส่งส่วยขึ้นต่อเมืองคันธาธิราช ที่หลวงบริเวณปกครองอยู่เป็นประจำ ท้าวลินจงมีบุตรชายคนเดียวชื่อว่า ท้าวสิงห์โต หรือ ท้าวลินทอง บุตรชายของท้าวลินจง
เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม หากท้าวลินจงจะให้บุตรเป็นผู้ปกครองเมืองแทนตน ก็เป็นการไม่เหมาะสมจะเป็นเหตุให้ราษฎรผู้อยู่ใต้ปกครองได้รับเดือดร้อน
เนื่องจากขาดความเมตตา ความนี้ได้ทราบถึงท้าวลินทองผู้บุตรจึงมีความโกรธแค้นบิดาเป็นอย่างยิ่งจึงได้ตัดพ้อต่อว่าบิดาต่างๆ นาๆ
แล้วบังคับให้บิดาตั้งตนเป็นผู้ครองเมืองแทน ผู้เป็นบิดาไม่ยินยอมท้าวลินจงจึงถูกท้าวลินทองผู้เป็นบุตรจับขังทรมานด้วยการเฆี่ยนทุบตี ใช้มีดกรีดตามเนื้อตัว
เพื่อบังคับให้บิดายกเมืองให้แก่ตน บิดาก็หาได้ยอมไม่ บิดาได้รับการทรมานต่อไปด้วยการขังในห้องมืด ห้ามข้าว ห้ามน้ำ มิให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมเด็ดขาด
นอกจากมารดาเพียงผู้เดียว
แต่ห้ามมิให้นำเอาอาหารและน้ำเข้าไปให้บิดา มารดาได้ทัดทานอ้อนวอนอย่างใดท้าวลินทองก็หาได้ฟังไม่ ด้วยความรัก และความห่วงใยสามีนางจึงทำอุบายนำข้าวน้ำ
โดยเอาผ้าสะใบเฉียง ชุบข้าวบดผสมน้ำนำไปเยี่ยมสามีได้ดูดกินประทังชีวิตไปวันๆ แต่หาได้พ้นสายตามของบุตรไม่ ท้าวลินทองจึงห้ามมารดาเข้าเยี่ยมอีกต่อไป
ท้าวลินจงอดข้าว
อดน้ำได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนถึงแก่ความตายในที่สุดก่อนที่จะสิ้นลมปราณท้าวลินจงได้ตั้งจิตอธิษฐานกล่าวฝากเทพยดาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมผู้สถิตอยู
่ ณ พื้นธรณีนั้นว่า
......ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าเพื่อหวังความสงบสุขของบ้านเมืองอันเป็นที่ตั้งอาศัยของข้าพเจ้า
แต่เหตุการณ์ในชีวิตกลับมีการเป็นไปได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ขอให้เทพยดาฟ้าดินผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดในที่สุขเถิด
และขอให้มนุษย์มีจิตใจโหดเหี้ยมดุร้าย ทารุณ ขาดคุณธรรม พูดจาโกหกหลอกหลวง ไม่สัตย์ซื่อนับแต่นี้ไปข้างหน้าจะเป็นผู้ใดก็ตาม
หากเป็นเจ้าเมืองนี้แล้วขออย่าให้มีความสุขความเจริญเลย ขอให้ประสบแต่ความวิบัติ ความพินาศ ฉิบหาย ขอให้เกิดความเดือดร้อนหายนะต่างๆนานาเถิด....
เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็สิ้นลมหายใจเมื่อท้าวลินจงถึงแก่ความตายแล้วนางบัวคำผู้เป็นมารดาจึงได้ต่อว่าท้าวลินทองผู้บุตรว่าทรมานบิดาของตนถึงแก่ความตาย
ท้าวลินทองไม่พอใจเกิดโทษะจริตกอปรด้วยโมหะจริตจึงฆ่ามารดาของตนอีกคนหนึ่ง เมื่อท้าวลินจงกับนางบัวคำตายแล้วท้าวลินทองจึงได้ปกครองเมืองคันธาธิราชสืบมา
นับแต่ท้าวลินทองปกครองเมืองคันธาธิราช เป็นต้นมา บ้านเมืองมีแต่ความระส่ำระสายไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ได้รับแต่ความเดือดร้อน
ท้าวลินทองเองก็รู้สึกไม่สบายกายใจไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งที่มีทรัพย์มากมายก่ายกอง จึงหาโหรมาทำนายทายทัก
โหรทำนายว่าท้าวลินทองได้ทำบาปกรรมมหันตโทษผลกรรมจึงทำให้เดือดร้อนเป็นผลมาจากการอธิษฐานจิตอันแน่วแน่ของบิดาที่ได้สาปแช่งเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจกอปรกั
บมาตุฆาตฆ่ามารดาตนเอง
ทั้งนี้การจะล้างบาปกรรมได้ก็โดยการสร้างพระพุทรูป
เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญเพื่อทดแทนพระคุณบิดาและมารดาพระพุทธรูปองค์หนึ่งสร้างอุทิศเพื่อทดแทนพระคุณมารดาสร้างที่นอกเขตกำแพงเมืองทางทิศอุดร
ผินพระพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ คือพระพุทธมิ่งเมือง ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณาวาส (ปัจจุบัน) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้สร้างพระพุทธรูปยืนขึ้นอีกองค์หนึ่งเพื่อทดแทนพระคุณบิดาโ ดยสร้างขึ้นในกำแพงเมืองผินพระพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ คือ
พระพุทธมงคลเมืองที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพุทธมงคล(ปัจจุบัน) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมื่อท้าวลินทองได้สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์เสร็จแล้ว
ความเดือดร้อนกระวนกระวายใจก็มิได้เบาบางลง ท้าวลินทองก็ได้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
พอดีมีโหรมาจากเมืองพิมายเดินทางผ่านมาและขอเข้าพบและทำนายดวงชะตาชีวิตของท้าวลินทอง โหรได้ทำนายว่าท้าวลินทองจะตายภายใน เร็ววัน
ท้าวลินทองได้ยินถึงกับบันดาลโทสะสั่งประหารชีวิตโหรทันที แต่พวกข้าราชการที่ปรึกษาได้ขอชีวิตโหรไว้
โหรจึงทำนายไปว่าหากท้าวลินทองสร้างพระพุทธรูปปางพุทธไสยาสน์ด้วยทองคำหนักเท่าตัวขึ้นอีกองค์หนึ่ง ความทุกข์ร้อนที่มีอยู่จะบรรเทาเบาบางลง
ท้าวลินทองก็ได้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ด้วยทองคำตามคำทำนายของโหรขึ้น แล้วจึงสร้างพระอุโบสถขึ้นครอบองค์พระไว้
แต่ด้วยบาปกรรมของท้าวลินทองเป็นมหันตโทษคือมาตุฆาต ปิตุฆาต จึงไม่สามารถสร้างให้สำเร็จได้ ท้าวลินทองก็ได้ถึงแก่ความตาย
แต่ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจท้าวลินทองก็ได้อธิษฐานว่า พระพุทธรูปทองคำอย่าให้คนพบเห็นเป็นขาด
หากผู้ใดมีเคราะห์กรรมได้พบเห็นขอให้ผู้นั้นล้มป่วยพินาศฉิบหายและให้ถึงแก่ความตาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ำกลายเขตพระอุโบสถ
(พระพุทธรูปทองคำ) นั้นเลย
กาลล่วงเลยมานานจนเกิดเป็นป่าร้างต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ พระพุทธรูปทองคำจึงไม่มีใครพบเห็น
ถ้าผู้ใดชะตากรรมถึงฆาตพบเห็นก็จะเกิดอาเพศป่วยไข้ถึงแก่ความตายความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เล่าลือ ตราบเท่าทุกวันนี้ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าว
คณะสงฆ์อำเภอกันทรวิชัย ได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นสำนักปฏิบัติธรรมและตั้งชื่อว่า วัดพระพุทธไสยาสน์ (หรือวัดดอนพระนอน อำเภอกันทรวิชัย
จังหวัดมหาสารคาม)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธรูปทองคำหรือ "พระพุทธไสยาสน์" หลักฐานที่ปรากฏชัดเจน คือ การศึกษาจากใบเสมาที่ปรากฏในสถานที่ดังกล่าว
ปัจจุบันนี้ "พระพุทธรูปองค์พ่อ" พระบาทท่านจมอยู่ตรงโคนต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์เกิดขึ้นมาในภายหลังได้ห่อหุ้มส่วนพระบาทเอาไว้หมด
จากนั้นจึงร่วมทำบุญใส่ตู้ตามอัธยาศัย ๕๐๐ บาท แล้วนำดอกไม้ธูปเทียนนั้นกราบไหว้บูชาต่อไป จากนั้นได้ออกเดินทางต่อไป ระหว่างทางหลวงพี่บอกให้แวะที่
"วัดพระพุทธไสยาสน์" ปรากฏว่าบริเวณวัดเป็นป่าไม้ร่มเย็นดีแต่เงียบเหงาไม่มีใครอยู่ในวัดเลย พวกเราได้เข้าไปกราบพระนอนปูนปั้นองค์เล็กอยู่ในศาลา
จากนั้นออกเดินทางต่อไป
17. รอยพระพุทธบาทในป่าลึก อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
เช้าวันนี้หลวงพี่ได้สั่งให้เตรียมอาหารเพลไปด้วย หลังจากเตรียมแสบียงมาแล้ว ได้แวะซื้อเต่าเพื่อมาปล่อยเนื่องจากมีผู้ร่วมทางเกิดเดือนนี้ถึง ๓ คน
โดยซื้อเต่าที่บริเวณพระพุทธยืนมงคลโชคดีที่คุณสุรศักดิ์ อุบาลี จากอยุธยา นำรถปิ๊คอัพไปด้วย จึงช่วยกันขนของได้โดยสะดวก แม้แต่กระติกน้ำแข็ง
และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ก่อนถึงรอยพระพุทธบาทมีหนองน้ำที่ใหญ่พอสมควร พวกเราช่วยกันปล่อยจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากปิดทองที่หลังเจ้าเต่าทุกตัว
จากนั้นก็เข้ามาถึงรอยพระพุทธบาทเพลพอดี หลวงพี่ฉันเพลแล้ว จึงเริ่มพิธีกราบรอยพระพุทธบาท
พวกเราได้ทำการบูชาด้วยการทำความสะอาดบริเวณสถานที่ และที่รอยพระพุทธบาททุกรอยด้วย สำหรับสถานที่นี้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด เพราะต้องเข้าไปในป่าลึกมาก
ห่างจากหมู่บ้านไกลพอสมควร ต้องอาศัยความจำจากหลวงพี่และคุณพี่สำราญ รอยพระพุทธบาทแห่งนี้แปลกกว่าที่อื่นๆ ที่ส่วนใหญ่รอยจะลึกลงไป
แต่สำหรับที่นี่จะนูนขึ้นมาแล้วมีขอบคล้ายฐานดอกบัวรองรับด้วย
หลังจากทำความสะอวดโดยรอบแล้ว โดยเก็บผ้าห่มรอบพระพุทธบาทเดิมที่หลวงพี่เคยมาห่มเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นพวกเราได้ช่วยกันห่มด้วยผ้าสไบทองผืนใหม่
และหลวงพี่ได้เสียสละผ้าจีวรของท่าน โดยการนำไปขึงเป็นเพดานกางกั้นรอยพระพุทธบาท ถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยผ้าจีวร
คล้ายกับที่ "ท่านพระมหากัสสป" ได้บูชาพระเจดีย์ทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ทรงพระนาม "พระพุทธกัสสป" ด้วยผ้าห่มของตนเองในชาติก่อน
เพราะความยากจนไม่มีผ้าอะไรที่จะมีค่าเท่ากับผ้าของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ผลบุญอันยิ่งใหญ่ได้ส่งผลให้ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์
ซึ่งท่านได้ประกาศบุพกรรมของท่านหลังจากสิ้นอาสวะกิเลสแล้ว
เมื่อได้ทำพิธีกราบไหว้บูชาเสร็จแล้ว คุณอิฏฐ์ได้ถวายหนังสือคอมพิวเตอร์แก่หลวงพี่ เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิด ซึ่งใกล้เคียงกับวันเกิดของ "น้องติ๋ว" และ
"น้องตึ๋ง" ด้วย
18. พระใหญ่ชัยภูมิ ต.นาฝาย อำเภอเมือง จ.ชัยภูมิ
หลังจากแยกกันกับคณะของน้องติ๋วและน้องนนท์แล้ว คณะที่เหลือคือ นายดาบรอดและน้องหนิง (อุไรวรรณ) ก็แวะที่พระใหญ่ชัยภูมิ
นับเป็นโชคดีที่มาหลายครั้งไม่เคยพบกับเจ้าของโครงการนี้เลย ครั้งนี้ได้มีโอกาสพบกับท่านอาจารย์ทิพากร เจ้าของโครงการสร้างพระใหญ่
จึงได้รวมเงินทำบุญกันมากมาย ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งที่ผ่านมาหลายวันเงินก็เริ่มร่อยหรอไปแล้ว
ท่านอาจารย์ทิพากรได้นำไปดูการขุดลงไปที่พื้นศิลาแลง เพื่อเทปูนลงไปทำเป็นฐานราก งานที่ล่าช้าเพราะไปเจอหินใต้พิ้นดินนี่เอง ซึ่งตั้งใจจะสร้างให้เสร็จทันปี
๒๕๖๑ เพื่อให้ทันก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยท้าวสักกเทวราชเป็นผู้สั่งให้สร้างเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศ
19. รอยพระพุทธบาท สำนักสงฆ์โสกหอย ต.หนองบัวบาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ
หลังจากนั้นได้ออกเดินทางล่องลงมาที่แห่งนี้ เนื่องจากหลวงพี่เคยมาสร้างพระใหญ่ หน้าตัก ๑๕ ศอก เป็นองค์แรกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ต่อมาก็ได้ไปสร้างทางภาคใต้ที่ วัดแหลมสน อ.หลังสวน จ.ชุมพร และภาคตะวันตกที่ วัดเขาดินเหนือ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี และภาคเหนือที่วัดพระร่วง อ.ศรีสัชนาลัย
จ.สุโขทัย โดยตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้เหมือนกันหมด ชื่อว่า "พระพุทธพรชัยมงคลมุนี"
ขณะที่ไปถึงพบว่าทางสำนักกำลังจะทอดกฐินวันรุ่งขึ้น จึงได้ร่วมทำบุญทอดกฐินเป็นเงิน ๘,๕๐๐ บาท เพราะทางวัดกำลังสร้างศาลาและพระประธาน พร้อมด้วยพญานาคพอดี
สถานที่นี้มีรอยพระพุทธบาท ๒ รอย และแท่นประทับนอน พวกเราโชคดีเลยได้ทอดกฐินเป็นวัดสุดท้าย
ตอนที่อยู่ในศาลา พี่มายินมองเห็นรูปปั้นพญานาค จึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนฝันเห็นพญานาค มีรูปลักษณะที่เห็นนี่แหละ แต่ในฝันเห็นเป็นจำนวนมากเต็มห้องไปหมด
มีลักษณะเป็นสีเขียวผสมทอง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะพี่มายินไม่เคยเห็น และยังไม่เคยมาที่สำนักแห่งนี้มาก่อนเลย
ท่านอาจารย์อดุลย์ เจ้าสำนักจึงบอกว่าเดิมคิดว่าจะปั้นเป็นสีทองทั้งองค์ แต่เมื่อฝันเป็นสีเขียวเช่นนี้ แสดงว่าท่านคงไปเข้าฝันเพื่อบอกให้ทราบ
จึงตัดสินใจปั้นเป็นสีเขียวผสมทองนี่แหละ โดยปั้นองค์ใหญ่อยู่ด้านหน้าศาลา ส่วนองค์เล็กจะสร้างไว้ให้ญาติโยมบูชา
จากนั้นได้เดินไปกราบไหว้รอยพระพุทธบาท ซึ่งได้พบตั้งแต่มาสร้างพระใหญ่ที่วัดบ้านหลักศิลา เมื่อปี ๒๕๔๘ (อยู่ห่างกันประมาณ ๘๐๐ เมตร
แต่เวลานี้ได้ทำทางเข้าคนละด้าน)
ในปี ๒๕๔๘ ท่านอาจารย์หนุนได้มาช่วยสร้างพระใหญ่ด้วย หลังจากทำพิธีที่พระใหญ่แล้ว ท่านได้นำมาที่รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ปรากฏว่าเกิดเหตุอัศจรรย์
"พระอาทิตย์ทรงกลด" กว้างใหญ่สวยงามมาก อีกทั้งมีแสงสีเกิดขึ้นเป็นพิเศษที่ไม่เคยเกิดที่ไหนมาก่อน นั่นก็คือมีแสงฉัพพรรณรังสีส่องลงเป็นลำแสง
ในลำแสงก็มีเกล็ดระยิบระยับลอยลงมาด้วยนานเป็นชั่วโมง หลังจากนั้นหลายปีหลวงพี่เพิ่งจะมีโอกาสกลับมาอีกในครั้งนี้
ส่วนภาพนี้ก้อนหินก้อนนี้เพิ่งได้เห็น เป็นคล้ายแท่นบรรทม มีก้อนหินลักษณะเหมือนหมอนด้วย มองดูสวยงามตามธรรมชาติ
ในตอนนี้ พอดีเป็นเวลาฉันเพล โชคดีที่พวกเราซื้อเตรียมไว้แล้ว จึงได้ไปจัดอาหารที่ศาลาหลังเก่า พระที่วัดท่านก็ฉันเพลพอดี
จึงได้ทำอาหารเพลถวายพระอีกหลายรูป พร้อมกับหลวงพี่ได้ถวายส่วนองค์ท่านอีกทุกรูป
20. รอยพระพุทธบาท วัดบ้านหลักศิลา ต.หนองบัวบาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ
พวกเราได้นำรถย้อนกลับออกไปเข้าทางวัดบ้านหลักศิลา ได้เข้าไปกราบรอยพระพุทธบาทที่อยู่ในศาลา เสร็จแล้วไปดูพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นองค์แรก ชื่อว่า
"พระพุทธพรชัยมงคลมุนี" หลวงพี่ได้มอบเงินให้ท่านอาจารย์อดุลย์ เพื่อช่วยบูรณะทาสีองค์พระใหม่และซ่อมแซมฐานที่ชำรุด เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท
ระหว่างที่เข้าไปในวัดบ้านหลักศิลา ปรากฏว่าไม่พบท่านเจ้าอาวาส หลวงพี่จึงฝากเรื่องการซ่อมพระพุทธรูปไว้กับฆราวาสที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน
พระพุทธรูปองค์นี้มีความสำคัญมาก ในขณะทำพิธีเมื่อปี ๒๕๔๘ ปรากฏว่ามีพระอาทิตย์ทรงกลดด้วย ในครั้งนั้นมีเจ้าภาพร่วมบุญ กองละ ๕,๐๐๐ บาท
ในตอนนั้นรีบเร่งในการสร้าง ช่างทิดแก้วจึงทาแค่สีรองพื้น แล้วยังไม่ได้ทาสีจริงอีกเลย
ด้วยเหตุนี้หลวงพี่จึงได้มอบหมายให้พระอาจารย์อดุลย์ช่วยซ่อมป้ายชื่อที่หล่นลงมา พร้อมทั้งทำป้ายชื่อพระพุทธพรชัยมงคลมุนีใหม่ ถ้าเงินยังไม่เพียงพอ
หลวงพี่จะจัดส่งไปเพิ่มเติมภายหลังอีก
ในขณะที่เดินสำรวจ ปรากฏว่ามีเมฆลอยมาบังพระอาทิตย์ ทำให้ถ่ายภาพไม่แจ่มใส อย่างไรก็ตามนับว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นองค์แรกประจำภาคอีสาน
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศ การซ่อมแซมครั้งนี้คงจะสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ชาวอีสานด้วย
ซากต้นตะเคียนเก่าแก่อยู่ภายในวัดบ้านหลักศิลา มีผู้นำเครื่องแต่งกายสตรีชุดไทยมาถวายไว้ด้วย หลวงพี่ยืนมองดูอยู่นานบอกว่า
"เสียดายมองไม่เห็นตัวเลขสักตัวเลย"
ก่อนจะออกจากหมู่บ้าน ท่านอาจารย์อดุลย์ได้นำมาแวะที่หลักศิลา ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมตั้งชื่อหมู่บ้านไว้ตามที่มีหลักศิลาอยู่ด้วย
รวมยอดเงินทำบุญ ตั้งแต่วันที่ 20 - 26 พฤศจิกายน 2555 เป็นเงิน 117,900 บาท เพื่อทุกท่านได้อนุโมทนาร่วมกัน
เพราะการเดินทางครั้งนี้ นับเป็นบุญใหญ่ได้สร้างได้ซ่อมพระใหญ่หลายองค์..สวัสดีค่ะ
ll กลับสู่สารบัญ