รวมเงินทั้งหมดที่ได้ทำบุญ 180,000 บาท เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเป็นครั้งที่ 2 หลังจากการสร้างครั้งแรกเมื่อปี 2548 ซึ่งวันนั้นมีพระอาทิตย์ทรงกลดด้วย
ส่วนวันนี้ก็มีปรากฏการณ์อีก คือเมฆก้อนนี้ไม่เคยเคลื่อนไปไหนทำให้อากาศไม่ร้อนอย่างที่คิด
การสร้าง "พระพุทธพรชัยมงคลมุนี" ทั้ง 4 องค์ และ
หลวงพ่อสุรพงษ์ - คุณสุชัย ชินบุตรานนท์ ร่วมสร้างอีก 1 องค์ ที่สระบุรี
1. องค์ที่ 1 ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประดิษฐาน ณ วัดบ้านหลักศิลา อ.จตุรัส จ.ชัยภูมิ
2. องค์ที่ 2 ประจำทิศใต้ ประดิษฐาน ณ วัดแหลมสน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
3. องค์ที่ 3 ประจำทิศตะวันตก ประดิษฐาน ณ วัดเขาดินเหนือ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี
4. องค์ที่ 4 ประจำทิศเหนือ ประดิษฐาน ณ วัดสิริเขตคีรี (วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย
5. องค์ที่ 5 ประจำภาคกลาง ประดิษฐาน ณ วัดถ้ำรัตนบุปผา อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
ขอเล่าต่อไปอีกว่า หลังจากถวายพระพุทธรูปที่ วัดตะคร้อ อ.ไพศาลี กันแล้ว เวลาเที่ยงหลวงพี่พร้อมคณะจึงได้ออกเดินทางสู่ วัดบ้านหลักศิลา อ.จัตุรัส
จ.ชัยภูมิ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง โดยมีรถปิคอัพของชาวบ้านตะคร้อตามมาด้วยอีก 1 คัน คือ อาจารย์วิลาส, คุณธีระพันธ์ และคุณแม่ของคุณธีระพันธ์
พร้อมด้วยเพื่อนคุณแม่อีก 1 คน รวมเป็น 4 คน
ส่วนทางด้านนี้พระอาจารย์อดุลย์ได้เตรียมกางเต้นท์และจัดอาสนสงฆ์ พร้อมทั้งปูเสื่อให้ญาติโยมนั่งอีกด้วย
ท่านต้องรออยู่นานหลายชั่วโมงกว่าพวกเราจะไปถึงก็เป็นเวลา 15.00 น.แล้ว พอลงจากรถพวกเราก็ไม่รอช้า ต่างรีบกันยกต้นบายศรีลงมาจากรถของนายดาบรอด
ช่วยกันคนละไม้คนละมือในไม่ช้าก็เสร็จ ประดับดอกไม้อย่างสวยงาม อาศัยถังน้ำแข็งใบใหญ่ที่ใส่รถกระบะของคุณสัมพันธ์ (พิษณุโลก) นี่แหละ
ทำให้ดอกไม้สวยงามไม่สร่าง ต้องขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันดีจริงๆ ค่ะ
ต่อจากนั้นหลวงพี่ได้ทำพิธีบวงสรวง โดยเปิดเทปเสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ช่วงนี้แดดร่มลงทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนที่ทำบายศรี แดดยังแผดร้อนอยู่เลย
จากนั้นท่านได้สรงน้ำหอมโปรยดอกไม้ เสร็จแล้วจึงได้เชิญเจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยที่โต๊ะหมู่บูชา คุณสำราญเป็นผู้นำกราบพระและอาราธนาศีล
พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว คณะเจ้าภาพทั้งหมดจึงได้ถวายปัจจัยและเครื่องไทยทาน
หลังจากที่ได้ถ่ายภาพรวมกันแล้ว หลวงพี่จึงได้ให้คุณนนทยานำผ้าห่มสไบไปถวายพระพุทธรูปในศาลาครอบรอยพระพุทธบาท แล้วออกมากราบรอยพระพุทธบาทที่ได้พบใหม่
ซึ่งอยู่บนลานหินบริเวณด้านหน้าองค์พระใหญ่ ลักษณะเป็นรอยเท้าเล็กๆ ประมาณ 20 ซ.ม.
ภาพองค์พระใหญ่ (หนักตัก 15 ศอก) ก่อนที่จะซ่อมแซมทาสีใหม่ (ถ่ายเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555)
ขณะนั้นอากาศร่มคลึ้มมีก้อนเมฆมาบดบังพระอาทิตย์พอดี
ระหว่างที่กำลังบูรณะได้มีการซ่อมรอยร้าวและทำป้ายจารึกใหม่
เจ้าภาพผู้ร่วมบูรณะทั้งหลายต่างก็ดีใจที่ได้มาร่วมงานจนประสบความสำเร็จในครั้งนี้
บรรยากาศก็ร่มเย็นเหมือนกับวันที่มาพบสภาพขององค์พระที่ทรุดโทรมเมื่อปลายปีที่แล้ว จึงขอโมทนาเจ้าภาพทุกท่านที่มาร่วมงาน และท่านที่ไม่ได้มาร่วมงาน
ตลอดถึงผู้ที่ใส่ย่ามหลวงพี่เป็นประจำ คงได้รับอานิสงส์ผลบุญในการบูรณะครั้งนี้ด้วยทุกๆ ท่าน
webmaster - 11/3/13 at 17:28
วันที่ 3 มีนาคม 2556
3. วัดถ้ำรัตนบุปผา อ. มวกเหล็ก จ.สระบุรี
สำหรับงานนี้เจ้าภาพ คือ คุณสุชัย ชินบุตรานนท์ เป็นผู้นิมนต์หลวงพี่ไปเป็นประธานในการหล่อพระนอนปูนปั้นความยาว 39 ศอก (18.5 เมตร)
ซึ่งได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ไปตั้งแต่ปี 2555 งานนี้ได้จัดพิธีเพื่อเทในส่วนพระเศียร ส่วนองค์พระได้ทำเสร็จไปบ้างแล้ว
พร้อมทั้งสร้างวิหารมุงหลังคาเกือบเสร็จแล้วเช่นกัน
เวลาประมาณ 8.40 น. หลวงพี่ชัยวัฒน์นำกล่าวถวายสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ที่จะอัญเชิญขึ้นไปบรรจุในส่วนพระเศียร
เมื่อกล่าวคำบูชาเสร็จแล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ได้สรงน้ำพระบรมธาตุ พร้อมทั้งหลวงพ่อสุรพงษ์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำรัตนบุปผา
จากนั้นญาติโยมได้เข้าแถวสรงน้ำกันเป็นจำนวนมาก อีกด้านหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ให้ทำบุญสร้าง "พระเมาฬี" ขององค์พระนอนด้วย
เวลา 9.29 น. หลวงพี่ชัยวัฒน์พร้อมเจ้าอาวาสวัดถ้ำรัตนบุปผาเริ่มพิธีบวงสรวง ที่ด้านหน้าสมเด็จองค์ปฐม (ทันใจ) คุณสุชัย ชินบุตรานนท์
เดินไปด้านหลังเพื่อจุดธูปเทียนบูชาพระภูมิเจ้าที่ของวัดด้วย
เวลา 9.49 น. เริ่มตั้งขบวนแห่พระบรมธาตุที่จะนำไปบรรจุไว้ในส่วนพระเศียรของพระนอน โดยขบวนแรกเป็นขบวนฆราวาสเดินถือพานดอกไม้สวยงาม
ด้านหน้าถือธงชาติและธงธรรมจักร เมื่อขบวนแรกเดินขึ้นไปตามบันไดสู่ยอดเขา ซึ่งเป็นยอดเขาที่ไม่สูงมากนัก อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์องค์นี้
เมื่อแถวขบวนเดินขึ้นไปสุดบันไดแล้ว ต่างก็แยกแถวออกเป็นสองด้าน เพื่อเตรียมโปรยดอกไม้ เป็นการต้อนรับ "ขบวนพระ"
ที่จะอัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นไปบรรจุไว้ในพระนอน ตอนนี้ขบวนทั้งสองจะมองเห็นกันด้วยความเป็นระเบียบสวยงาม
ครั้นขบวนพระเดินขึ้นไป โดยมีหลวงพี่ชัยวัฒน์เดินนำขบวน ต่อด้วยหลวงพ่อสุรพงษ์และพระสงฆ์ทั้งหลาย คณะญาติโยมที่ยืนอยู่บันไดด้านบนบอกว่า
มองเห็นขบวนพระแล้วสวยงามมาก ต่างก็ปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับบรรยากาศในวันนี้ หลวงพ่อสุรพงษ์บอกว่าต่างกับเมื่อวานมากที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่เช้าวันนี้อากาศกลับตรงข้าม
คือมีเมฆหมอกเต็มท้องฟ้ามองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย อากาศเย็นสบายด้วยสายลมเบาๆ ทุกคนต่างมีความสุขดีใจที่จะได้ร่วมพิธีนี้
ทั้งที่วันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ
ถึงแม้จะเป็นวันเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีผู้คนเดินทางมาร่วมพิธีมากมาย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะคณะตาพระยามากันหลายสิบคน ทางใต้ก็มีคณะคุณประสงค์
จินตนพันธ์ จากภูเก็ต ทางภาคเหนือก็มีคุณศรีนุช - คุณทีน่า พร้อมคณะจากเชียงใหม่ ทางกรุงเทพฯ ก็มีหลายคณะ โดยเฉพาะ คุณก๊วยเจ๋ง - คุณหลี
ได้นำเครื่องไทยทานมาถวายพระเถระทุกรูปด้วย
เวลา 10.09 น.โดยประมาณ เมื่อขบวนพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาถึงแล้ว ท่ามกลางการโปรยดอกไม้บูชาจากทั้งสองด้าน
หลวงพี่ได้นำพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุไปวางไว้ที่โต๊ะ แล้วช่วยกับหลวงพ่อสุรพงษ์จัดบรรจุไว้ในผอบลายคราม
จากนั้นก็มีญาติโยมได้ถวายวัตถุสิ่งของอันมีค่าบูชาไว้ภายใน บางคนก็ถอดสร้อยถอดแหวนกันเดี๋ยวนั้นกันเลย
เวลา 10.29 น. ท่ามกลางเสียงสาธุแซ่ซ้องกันดังลั่น ลุ้นจนวินาทีสุดท้าย คือมีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งถอดสร้อยออกจากคอของตัวเอง แล้วเดินแหวกคนเข้ามาข้างใน
หลวงพี่ยกผอบขึ้นรับ จากนั้นหลวงพี่และหลวงพ่อก็นำผอบลายครามเข้าไปบรรจุไว้ในพระนอน (เป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเอง พระเกศาธาตุหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สำลีที่เปื้อนเลือดของท่าน เข็มน้ำเกลือ เกสาของหลวงพ่อคง เกสาของหลวงปู่ดาบส เกสาของหลวงปู่วัดสระเกศ เกสาของหลวงปู่เหรียญ)
ภายในเป็นห้องใหญ่ตามยาวขององค์พระ สร้างเป็นห้องไว้ด้านใน ปลายปีนี้คงจะมีพิธีบรรจุหัวใจองค์พระกันอีก หลวงพี่ได้ตั้งชื่อไว้ว่า
"พระพุทธไสยาสน์รัตนสุรชัยมงคล" คือเอาชื่อของวัดนำหน้า เอาชื่อของเจ้าอาวาสและชื่อเจ้าภาพตามหลัง
เวลา 10.35 น. เริ่มผสมปูนเทองค์พระ หลวงพี่ชัยวัฒน์ขึ้นไปบนนั่งร้านประเดิมในการเทปูน คณะญาติโยมเข้าแถวส่งถังปูนต่อๆ กันเป็นสองแถว
และเปลื่ยนเป็นสองชุด จนปูนเต็มทั้งหมด ท่ามกลางเสียงพระสงฆ์สวดชยันโต ต่อด้วยอิติปิโส ต่อมาญาติโยมก็สวดคาถาเงินล้านกันตลอดเวลา
(น้าๆ ขอผมเทปูนด้วยคน ลูกชายคุณประสงค์ จากภูเก็ต ชื่อ ดช.โภคิน จินตนพันธุ์ ใฝ่บุญตั้งแต่เด็กๆ)
หลวงพ่อสุรพงษ์และหลวงน้าอีกองค์หนึ่งต่างก็ช่วยกันเทอย่างเต็มที่ โดยมีพี่ผู้ชายหลายคนแต่งชุดขาวคอยช่วยเสริมอยู่ด้วย โดยมีช่าง "ทิดแก้ว" ที่เคยบวชพระ
ตอนนี้ได้รับเหมาการสร้างองค์พระนอนองค์นี้ ซึ่งใช้เวลาเทปูนอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ จนได้เวลา 11.30 น. พระสงฆ์จึงลงไปฉันภัตตาหารเพล
พร้อมกับการเทองค์พระก็เสร็จสิ้นพอดี ส่วนหลวงพี่ชัยวัฒน์ลงมาเทส่วนพระเมาฬีอีกด้วย
เมื่อพระสงฆ์ไปฉันเพลที่ในศาลาด้านล่าง เจ้าภาพคือหลวงพ่อและคุณสุชัยได้ถวายปัจจัยไทยทาน พร้อมกับได้บอกภายหลังว่า งานนี้ได้เงินทำบุญประมาณ 7 แสนบาทเศษ
โดยทางวัดได้ใช้เงินสร้างไปแล้วประมาณ 4 ล้านบาท และบอกว่าคนที่มาร่วมงานปลื้มใจกันมาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่แปลก เนื่องจากบริเวณนอกวัดโดยรอบฝนตกลงมาตลอด
แต่ภายในงานฝนตกลงมาปรอยๆ เท่านั้นเอง ทุกคนที่มาร่วมงานนี้จึงได้พบกับบรรยากาศที่สบายๆ ตลอดงาน
(โปรดติดตอนต่อไป..ตอนจบ)
webmaster - 12/3/13 at 15:59
4. วัดป่าสว่างบุญ ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
เวลาเที่ยงกว่าๆ คณะก็ออกจากวัดถ้ำรัตนบุปผา ตรงไปที่วัดป่าสว่างบุญ ขึ้นไปห่มผ้าพระเจดีย์ห้าร้อยยอด สวดอิติปิโสและคาถาเงินล้าน หลวงพี่คุยเรื่องต่างๆ
ถึงกำหนดการปีนี้จะไปลอยกระทงที่ภูเก็ต และจะไปบวงสรวงที่พระธาตุพนมในปี 2558 สำหรับแผนงานของท่านปีนี้ จะซ่อมสมเด็จองค์ปฐม "ปางประทับรอยพระพุทธบาท"
ที่วัดพระร่วง อ.ศรีสัชนาลัย
ส่วนที่เกาะแก้วพิสดาร จังหวัดภูเก็ต คุณสาธิต (โกโบ้) ได้ทำการซ่อมไปแล้ว รอที่จะไปฉลองวันลอยกระทง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ตรงกับการจัด "งานลอยกระทง"
ที่เกาะแก้วพิศดารแห่งนี้ เมื่อปี 2537 วันนั้นเป็นวันลอยกระทง วันที่ 17 พฤศจิกายน 2537 อันเป็นวันครบรอบ 20 ปีพอดี
กำหนดการเดินทาง วันที่ 15 - 17 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งวันแรกจะเดินทางไปแวะกราบพระใหญ่ที่ วัดแหลมสน ต.ปากน้ำ อ.หลังสวน จ.ชุมพร พักค้างคืน 1 คืน
คณะชาวปากน้ำหลังสวนจัดเลี้ยงต้อนรับ กลางคืนมีพิธีเวียนเทียนรอบองค์พระ
วันที่ 2 เดินทางไปกราบรอยพระพุทธบาทศรีสุราษฎร์ คณะชาวสุราษฎร์จัดเลี้ยงอาหารกลางวัน จากนั้นเดินทางต่อไปพักค้างคืนที่ภูเก็ต รุ่งขึ้นวันที่ 17 พ.ย.
ลงเรือที่หาดราไวย์เดินทางสู่เกาะแก้วพิศดาร ทำพิธีบวงสรวงฉลองสมเด็จองค์ปฐม "ปางประทับรอยพระพุทธบาท" ต่อจากนั้นทำพิธีลอยกระทง
ชาวภูเก็ตจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน
ขอกลับมาเล่าเรื่องตอนนี้ก่อนว่า พวกเราได้ร่วมกันสร้างพระนอนยาว 148 เมตร เป็นเงินทำบุญ 15,200 บาท ร่วมกันสร้างพระยืนสูง 80 เมตร เป็นเงิน 6,000 บาท
รวมเป็นเงิน 21,200 บาท จากนั้นแยกย้ายกันเดินทางกลับ
webmaster - 14/3/13 at 09:21
วันที่ 4 มีนาคม 2556
5. หินวัวเลีย อ. พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
(ภาพข่าวจาก dailynews.co.th)
.......มุมพิลึกวันนี้ นำพาท่านมาที่ เทือกเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ชลบุรี เพื่อดูตำนาน หินวัวเลีย ที่ว่ากันว่า
เป็นหินมหาเสน่ห์ แม้แต่วัวนับพันตัวที่หากินอยู่ในย่านนี้ ก็ต้องเดินเข้าไปเลียกันทุกตัว จนทิ้งเป็นปริศนาให้เหล่าชาวบ้าน ต้องขบคิดกันอยู่ทุกวัน
ว่าทำไมวัวถึงได้เข้าไปเลีย ทั้ง ๆ ที่เป็นหินธรรมดา ๆ
โดยหินดังกล่าวตั้งเด่นอยู่กลางเขาเป็นสง่าโดดเดี่ยว แต่กลางก้อนกร่อนลึกลงไป ใหญ่ ยาว ลึก พอเหมาะพอเจาะกับลิ้นวัวพอดี
แต่ไม่ว่าจะมองส่วนไหนก็ไม่มีเหตุที่วัวจะต้องมาเลียหินดังกล่าว เพราะมันทั้งแห้ง ทั้งร้อน แล้วก็แข็งเหมือนหินภูเขาทั่ว ๆ ไป ลองเอานิ้วป้ายหินมาแตะลิ้น
ก็ไม่มีรสชาติอะไร แล้วอย่างนี้จะรู้ได้ไงว่าเป็นหินมหาเสน่ห์
สอบถาม นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ หรือ หมู นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง จึงทราบว่า หินดังกล่าวยังไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่ที่แน่ ๆ!!
หินก้อนนี้ได้ผ่านการพิสูจน์จากท่านนายกหมูคนนี้มาแล้ว!!!
โดยเมื่อช่วงการต่อสู้เลือกตั้งนายกเทศบาลตำบลที่ผ่านมา นายกหมูยอมลงทุนขับรถก่อนจะเดินเท้ามาที่หินดังกล่าว เพื่อตั้งจิตอธิษฐานขอให้ชนะการเลือกตั้ง
จากนั้นก็ก้มหน้าเลียก้อนหินบริเวณจุดกึ่งกลางด้านใน หลังจากนั้นพอผลคะแนนออกมา เธอกลับชนะคู่แข่งคนสำคัญอย่างขาดลอย!!! สร้างความประหลาดใจให้หลาย ๆ
คนเป็นอย่างยิ่ง...
จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พิจารณา ว่าแต่ยอมลงทุนกันขนาดนี้...ไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงละครับ ถ้านักการเมืองมาเลียแทนวัวกันบ่อย ๆ
อีกไม่นานได้เปลี่ยนชื่อแหง ๆ อิอิ.
ผู้เขียนได้นำข่าวเรื่องนี้มาเกริ่นกันก่อน เพราะตอนนี้ได้เดินทางมาถึงแล้ว ต้องถามหาทางกันอยู่นาน อีกทั้งสถานที่นี้ได้วางแผนกันมานานแล้ว
ว่าวันนี้จะต้องไปค้นหากันให้ได้ โดยคุณสำราญเป็นผู้กำข้อมูล เอ้ย..ไม่ใช่ๆ เป็นผู้ให้ข้อมูล
ในขณะเดินทางมีเรื่องแปลก เพราะฝนพรมลงมาตั้งแต่ตอนเข้ามา ขณะหลงทางก็มีฟ้าร้องคำราม คิดว่าน่าจะเป็นสถานที่สำคัญมาในอดีต
จึงขอนำบันทึกประวัติศาสตร์บริเวณสถานที่นี้มาให้ทราบกันก่อน
แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว
(ภาพข่าวจาก loppao.com)
......ชุมชนดึกดำบรรพ์ คน ๓ พันปี บ้านโป่งมะนาว เป็นแหล่งโบราณคดียุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่พบโครงกระดูกมนุษย์มากที่สุดในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย
เท่าที่ได้ทำการขุดค้นแล้วในปัจจุบัน เป็นหมู่บ้านขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่ในเขตการปกครองของตำบลห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
โดยอยู่ห่างจากตัวอำเภอพัฒนานิคมไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔๕ กิโลเมตรและอยู่ห่างจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพียง 23 กิโลเมตร จากการศึกษาโดย รศ.สุรพล นาถะพินธุ
จากภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ผ่านมาพบว่า แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย โดยเฉพาะในช่วง 2,500 - 1,500
ปีมาแล้ว เป็นชุมชนขนาดใหญ่มาก
ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งกิจกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ การอยู่อาศัย และการผลิต ได้พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางประชากร ศูนย์กลางเศรษฐกิจ
และศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่รอยต่อระหว่างที่ราบภาคกลางกับที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ประวัติการขุดค้น
........นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เป็นต้นมา ราษฎรในหมู่บ้านโป่งมะนาวและหมู่บ้านข้างเคียงในตำบลห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
ก็ได้ทราบกันอย่างดีว่าที่บริเวณวัดโป่งมะนาวเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวพื้นที่บริเวณนี้ถูกขุดหาโบราณวัตถุอย่างผิดกฎหมาย และได้พบโบราณวัตถุมากมายหลายประเภท
โดยล้วนพบฝังอยู่ร่วมกับโครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณ แต่การลักลอบขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณวัดบ้านโป่งมะนาวได้มีการลักลอบขุดค้นได้เพียง 2
วันก็ยุติลงเพราะว่านายสมส่วน บูรณพงษ์ ตำแหน่งหัวหน้าสถานีอนามัยตำบลห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ร่วมกับอาจารย์ภูธร ภูมะธน
จากชมรมรักษ์โบราณสถานและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลพบุรี ดำเนินการแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรตำบลมะนาวหวาน อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
ได้เข้าดำเนินการจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด 64 ราย พร้อมของกลางโบราณวัตถุจำนวนมาก
ต่อมานายสมส่วน บูรณพงษ์ ได้เป็นผู้ริเริ่มและพัฒนาให้เป็น "แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว"
โดยดำเนินการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตามอัธยาศัยและการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีการวิจัยและพัฒนา(R&D)การนำชมโดย
"ยุวมัคคุเทศก์ประจำแหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว"
โดยมีการพัฒนาให้เป็นแหล่งโบราณคดีที่ดำเนินการโดยชุมชนเองโดยมีองค์การภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างยั่งยืนตลอดมา
ต่อมาสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาสยามราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานชุมชุนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2547
การค้นหาสถานที่แห่งนี้ลำบากมาก เพราะต้องจอดรถไว้แล้วเดินลุยร่องน้ำ จากนั้นช่วยกันมุดลวดหนาม แล้วเดินฝ่าไร่มันสัมปะหลังไปถึงตีนเขา
กว่าจะพบเมืองโบราณและสถานที่สำคัญได้ เล่นเอาเหงื่อออกเหมือนกัน ทั้งๆ ที่วันนี้อากาศร่มคลึ้ม มีฝนโปรยมาบางเบา นับว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก
ในตอนนี้จะขอย้อนเรื่อง "เมืองโบราณ" ต่อไปอีก ซึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงข่าวเมื่อปี 2555 อีกทั้งครูบาสันยาสี
ท่านก็ได้เขียนจดหมายแจ้งให้หลวงพี่ทราบมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่หลวงพี่เพิ่งจะมีเวลาเดินทางมาสำรวจ
(ภาพข่าวจาก dailynews.co.th)
.......เรื่องเมืองโบราณนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 8 ก.ค. 2555 โดยครูบาสันยาสี ภิกขุ แห่งสำนักปฎิบัติธรรมพระพุทธบาทจันทาราม
อ.ทุ่งขนาน จ.จันทบุรี ได้เล่าเรื่องนิมิตเห็นเมืองโบราณนานนับพันปีที่ปรักหักพังที่บริเวณโดยรอบ เขารัก เขาจั่ว เทือกเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
ให้นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ อายุ 44 ปี นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และชาวบ้านฟัง
จึงได้นิมนต์ ครูบาสันยาสี ภิกขุ พร้อมศิษย์ร่วมเดินทางพากันไปพิสูจน์ตามนิมิต ทุกคนถึงกับตะลึง เมื่อเดินขึ้นไปบนภูเขา "เขารัก เขาจั่ว"
พบซากปรักหักพังของเมืองโบราณจริง โดยเฉพาะหน้ากาลจั่วขนาดใหญ่จำนวนมาก ครกหิน สากหิน ลูกหินกลม หรือลูกนิมิต ตั้งอยู่บนผิดพื้นดินมองเห็นได้ชัดเจน
และยังมีหินก้อนใหญ่มหึมาตั้งเด่นสง่า ด้านหน้ามีการจำลองภาพปริศนาเหมือนประตูสองด้านให้เห็น
เชื่อกันว่าเป็นหินก้อนนี้ปิดปากถ้ำไว้ไม่ให้ใครบุกรุกเข้าไปหาวัตถุโบราณ
นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ อายุ 44 ปี นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรีเปิดเผยว่า นับเป็นมหามงคล "พุทธชยันตี 2600 ปี
แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นความโชคดีของชาวอำเภอพัฒนานิคม และชาวจังหวัดลพบุรี ที่ได้ค้นพบเมืองโบราณแห่งใหม่
ในอดีตมีแต่เสียงเล่าขานถึงความมหัศจรรย์ของ เขารัก เขาจั่ว ว่าเป็นเมืองบังบดลับแล ผู้ใดที่ขึ้นไปด้วยใจไม่บริสุทธิ์ หยิบ หรือขโมย วัตถุโบราณ
หรือแม้แต่ก้อนหินที่เป็นรูปแกะสลัก หม้อ ไห ฯลฯ เพียงสิ่งเดียวก็จะพบกับความหายนะ เสียชีวิต ผูกคอตาย
ถ้าใครนำไปจะมีอาเพท มีเสียงร้องของผู้หญิง ชาย มีเด็กมาทวงคืนทุกครั้ง ต้องนำมาคืนวันรุ่งขึ้นโดยเฉพาะคนงานก่อสร้าง
ประชาชนพลัดถิ่นที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงไม่กล้าขึ้นไปบนเขา 2 ลูกนี้
อีกทั้งมีการพบว่ามีงูจงอางตัวใหญ่คอยเฝ้าหน้าถ้ำ และเป็นความสำนึกดีของชาวบ้านที่ไม่เข้าไปทำลายป่าต้นน้ำ ภูเขาที่มีคุณค่าในท้องถิ่น
จึงทำให้ความสมบูรณ์ของเมืองโบราณยังเป็นมรดกของจังหวัดลพบุรี หรือมรดกโลกได้ในอนาคต
นางสุทัศน์กล่าวอีกว่า หลังจากที่ประจักษ์ด้วยตาตัวเอง และมีสักขีพยานจำนวนมากที่ร่วมไปพิสูจน์ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่คุณค่า คุณประโยชน์ต่อพุทธศาสนาอย่างมาก
จะต้องรายงานให้นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้รับทราบ เพื่อหาแนวทางดำเนินการอนุรักษ์พื้นที่เขารัก เขาจั่ว ไม่ให้มีการบุกรุกจากนายทุน
ไว้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และพระพุทธศาสนาของจังหวัดลพบุรี ในอนาคตจะได้จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมืองโบราณแห่งใหม่ เชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ
ที่ประชาชนนิยมมาท่องเที่ยวกัน
นางขวัญเมือง แก้วขอนแก่น อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 3 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
คนงานดูแลสถานที่ของบริษัทฯแห่งหนึ่งที่ไปทำธุรกิจขายกระแสไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) เล่าว่าได้พบก่อนหินหน้าจั่ว ทรงกลม ถ้วย ชาม ไห ยุคเก่า
จำนวนมาก อยู่ในพื้นที่ ได้มีพระสงฆ์ที่ทราบข่าวมานำไป แต่ก็ต้องเกิดอาเพท ในเวลาต่อมาได้ผูกคอตาย ส่วนคนงาน
และชาวบ้านต่างถิ่นที่เข้ามาทำงานและพลัดถิ่นมาก็ขึ้นไปเก็บวัตถุเหล่านี้ ปรากฎว่าพอรุ่งเช้าอีกวันจะต้องนำมาคืนไว้อย่างเดิม เพราะมีเสียงผู้หญิงร้องไห้
มีกุมารไปทวงคืน บางคนดื้อไม่เชื่อเรื่องนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องครอบครัว อุบัติเหตุ และการทำมาหากินมาโดยตลอด
จนปัจจุบันไม่มีใครกล้ามานำวัตถุโบราณไปเป็นสมบัติของตัวเอง เพราะกลัวอาเพทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย
ส่วนทางด้าน ครูบาสันยาสี ภิกขุ เปิดเผยว่า อาตมาได้นั่งสมาธิได้มีนิมิตเห็นเมืองโบราณ อยู่ที่เทือกเขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นภูเขาหินขนาดกลาง
จำนวน 2 ลูก อยู่ด้านข้างทางขึ้นภูเขาสูง มีสระบัวขนาดใหญ่ และยังเห็นหินกาลจั่วขนาดใหญ่ จำนวนมาก ก้อนหินที่เป็นรูปต่างๆ
วัตถุโบราณใต้ดินและผิวพื้นเกลื่อนกลาดไปหมด จึงได้เดินทางไปติดตามหา จนพบ นางสุทัศน์ มธุรวงษาดิษฐ์ หรือนายกหมู นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขาพระยาเดินธง
อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี จึงทราบว่าตามนิมิตเห็น เขารัก และเขาจั่ว ซึ่งเป็นภูเขาโบราณมีความมหัศจรรย์ อาถรรพณ์ อาเพท ให้ล่วงรู้ ปรากฎอยู่บ่อยครั้ง
แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่บ้างบนภูเขา 2 ลูกนี้ จึงได้พากันเดินทางขึ้นไปตรวจพิสูจน์ จบพบว่ามีหินกาลจั่วขนาดใหญ่ จำนวนมาก และยังมีหินรูปต่าง ๆ
กระจุยกระจายอยู่ทั่วบริเวณเขาแห่งนี้
ครูบาสันยาสีเปิดเผยอีกว่า ไม่เพียงมีนิมิตเห็นเมืองโบราณเพียงอย่างเดียวเท่านั้นยังมี ดวงพระญาณของ หลวงปู่หิน หรือ วัดหนองนา
ที่ท่านได้หนีทางโลกขึ้นไปปฎิบัติธรรมบนยอด เขาพระยาเดินธงเพียงองค์เดียว จนลือกันว่าท่านสำเร็จอรหันต์ ซึ่งบนยอดเขาเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมของ หลวงปู่หิน
เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองพระนารายณ์ และที่สำคัญบนยอดภูเขาแห่งนี้ ครูบาสันยาสี ภิกขุ บอกว่าท่ามีนิมิตว่า หลวงปู่หิน
ได้มาบอกว่าด้านข้างสถานที่ปฎิบัติธรรมของท่าน มีรอยพระพุทธบาทเกลือกแก้วขนาดใหญ่ อยู่ด้านซ้าย มีรูปต้นโพธิ์อยู่บนก้อนหินด้านขวา
และด้านล่างที่ทีท่านเคยนั่งสมาธิกรรมฐานก็มี รอยพระพุทธบาทเกือกแก้วขนาดใหญ่ อีก 1 แห่ง
ขอให้ไปทำพิธีเปิดสถานที่ เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทราบกันในวงกว้าง ได้มีโอกาสขึ้นไปกราบไหว้ สักการะ
เพื่อร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาที่กำลังเสื่อมถอยไปอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนิมนต์ ครูบาสันยาสี พร้อมประชาชนไปตรวจสอบต่อไปว่ามีจริงหรือไม่
ถ้ามีก็จะเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในพุทธชยันตี 2,600 ปี ซึ่งจะต้องหาแนวร่วมภาครัฐ เอกชน อำเภอ จังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนจังหวัด และ
ประชาชน ช่วยกันให้เทือกเขาพระยาเดินธง เป็นแหล่งทางพุทธศาสนา
ไม่เพียงเท่านี้ ขณะปฎิบัติสมาธิ ได้มีดวงวิญญาณ ของ หลวงปู่หิน หรือหลวงพ่อพระครูหิน อาโสโก เกจิอาจารย์ชื่อดัง
ที่สังขารไม่เน่าเปื่อยมาบอกว่าให้พาศิษยานุศิษย์สายพุทธ ขึ้นไปทำพิธีเปิดรอยพระพุทธบาทเกือกแก้ว จำนวน 2 แห่ง และต้นโพธิ์หินที่เห็นอยู่บนก้อนหิน
โดยรอยพระพุทธบาทจะอยู่ด้านขวา ส่วนโพธ์หินจะอยู่ด้านซ้ายขององค์พระประธานพร ที่ประดิษฐานอยู่บนก้อนหินใหญ่ บนยอดสูงสุดของ เขาพระยาเดินธง
ซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องปรึกษากับเจ้าของพื้นที่ และประชาชนเสียก่อน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ยังไม่มีใครเคยพบมาก่อน
ทั้งที่หลวงปู่หินได้เคยพูดไว้ตอนท่านมีชีวิตอยู่ ต้องหาโอกาสขึ้นไปพิสูจน์อีกครั้งว่ามีจริงหรือไม่ ถ้าพบก็ถือว่าเป็นปีของศาสนาพุทธ 2,600 ปี พุทธชยันตี
ที่ได้เปิดสิ่งลี้ลับให้ประชาชนได้ล่วงรู้ ไปสักการะเพื่อสืบทอดพระศาสนาให้เข้มแข็งต่อไป
จึงหวังว่าอนาคตอันใกล้จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรือง จะได้เป็นมรดกโลก มรดกทางวัฒนธรรมของชาติและประเทศไทย
และศาสนาสืบต่อไป.
ตามที่เล่าไปแล้วว่า ตอนขาไปนั้นจะต้องลุยน้ำฝ่าลวดหนามกันเข้าไป ตอนขากลับก็เช่นกัน หลังจากไปพบแหล่งโบราณสถานอันสำคัญในอดีตนานนับพันปีกันแล้ว
มองดูนาฬิกาเป็นเวลา 11 โมงกว่าแล้ว จึงต้องรีบจ้ำอ้าวกันอย่างที่เห็นนี้ แล้วกลับนำมาเล่ากัน ถึงแม้จะช้าไปและไม่ละเอียดนัก แต่ก็เอาข่าวความสำคัญมาประกอบ
คิดว่าน่าจะเป็นความรู้ว่าบ้านเมืองไทยของเรา ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าเขาอีกเป็นจำนวนมาก...
รวมเงินทำบุญทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 2 - 4 มีนาคม 2556 จำนวนเงิน 217,000 บาท
คลิก กลับสู่สารบัญ
webmaster - 14/3/13 at 15:15
.