เมื่อได้ทำพิธีบวงสรวงบายศรีกันแล้ว จึงได้อำลาญาติโยมที่แสนดี แต่เสียดายที่เพิ่ง จะรู้ภายหลังว่า เลขหวยงวดนั้นออก ๕๗ พอดี
จึงไม่รู้ว่าใครจะโชคดีกันบ้าง เรื่องนี้คงไม่สำคัญ ประเดี๋ยวจะหาว่ากราบเพื่อหวังโชคลาภกันอีก รีบเดินทางต่อไปดีกว่า เพราะตอนนี้เย็นมากแล้ว
".......แต่กว่าจะถึง วัดมหาธาตุ ต.ในเมือง อ. เมือง จ.นครพนม ก็เป็นเวลามืดค่ำแล้วได้ทำ
บุญร่วมซ่อมพระอุโบสถ ๑,๐๐๐ บาท และองค์ พระธาตุก็เพิ่งซ่อมเสร็จ จึงขอร่วมอนุโมทนา กับเจ้าอาวาสไปด้วยเลย เพราะเป็นวัดที่สำคัญ เก่าแก่อยู่ริมแม่น้ำโขง
........เช้าวันที่ ๑๙ มี.ค. ๔๘ หลังจากกราบ ไหว้พระธาตุกันแล้ว จึงออกไปฉันเช้าและจัด เตรียมอาหารเพลไปด้วย เพราะตามแผนที่วาง ไว้
ในวันที่จะข้ามไปแขวงคำม่วน ประเทศลาว ทางด่านท่าแขก เนื่องจากได้รับข่าวว่า เพิ่งจะ พบถ้ำใหม่และจะไปไหว้รอยพระพุทธบาทด้วย
........ฉะนั้น การเดินทางไปภาคอีสานครั้งนี้ นอกจากมี อาจารย์ตุ๋ย, อาจารย์คำ, ก็ยังมี อาจารย์น้อย รับอาสาเป็นผู้นำทางไปลาวด้วย พระสงฆ์ ๔ รูปและฆราวาส ๖ คน รวมเป็น ๑๐ คนพอดี แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ได้แวะ
เข้าไปไหว้พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวนคร พนม ณ วัดโอกาส กันก่อน
นั่นก็คือ พระติ้ว และ พระเทียม ตามประวัติเล่าว่า
ลอยน้ำมาตั้งแต่สมัยศรีโคตรบูรณ์จึงได้กราบไหว้และสรงน้ำปิดทอง เพื่ออธิษฐานขอพรให้พวกเราได้เดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัย
และสำเร็จตามที่ปรารถนาทุกประการ.
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนไป "ลาว" เป็นตอนจบ )))))))
webmaster - 26/5/08 at 12:05
(Update 26 พ.ค. 2551)
ภาคอีสาน วันที่ 14 - 22 มีนาคม 2548 (ตอนจบ)
นครพนม - คำม่วน (ประเทศลาว)
ทางขึ้นถ้ำพระทอง หนองปาผา ประเทศลาว
เมื่อเตรียมเรื่องหนังสือเดินทาง แล้วก็เสบียงอาหารและสิ่งของที่จะบูชาเสร็จแล้ว จึง ช่วยกันหิ้วของสัมภาระลงเรือข้ามไปทันที แล้ว
เช่ารถตู้ฝั่งลาวเดินทางไปที่ ถ้ำพระทอง บ้านหนองปาผา แขวงคำม่วน
ในระหว่างทางผ่านบริเวณเทือกเขา มีหินก้อนหนึ่งเป็นแท่งสี่เหลี่ยมตามธรรมชาติ เขาว่าเป็นเสาหินสำหรับคล้องช้างใน
อาณาจักรล้านช้าง เรียกว่า หลักอูบช้าง บริเวณนี้จึงเป็นที่เลี้ยงช้าง คำว่า
ล้านช้าง น่าจะเป็นที่ บริเวณนี้ด้วย
| |
รถตู้ได้นำพวกเราชมทิวทัศน์มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณ "ถ้ำพระทอง" พอเดินลงมาจากรถ มีลมพัดกรรโชกมาทันที
มองเห็นชาวบ้านเพิ่งมุงหลังคาหญ้าแฝกยังใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะขายของป่า เช่น น้ำผึ้ง และ ผาเลือด เป็นต้น มีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างประเทศด้วย
เพราะถ้ำแห่งนี้เพิ่งค้นพบใหม่ ทางลาวได้ถ่ายทำเป็น สารคดีเผยแพร่ไปทั่วโลก พวกฝรั่งจึงสนใจกัน อาจารย์คำก็ได้ดูสารคดีนี้ด้วยจึงเล่าว่า
ถ้ำพระทองแห่งนี้ เดิมไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน แต่เมื่อสองปีที่แล้ว ชาวบ้านเห็นค้าง คาวบินออกมา จึงได้ปีนขึ้นไปสำรวจ ปรากฏ ว่าพบของโบราณมีค่ามากมาย
เช่นพระพุทธ รูปทองและเงินสมัย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง เมื่อสี่ห้าร้อยปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ภายในถ้ำจะไม่มีผู้ใดอาศัย แต่มองดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนกับมีคนทำอยู่เสมอ
เมื่อมองไปที่ยอดเขานี้จะเป็นรูปหัวช้าง ตามปกติส่วนใหญ่ถ้ำจะอยู่เชิงเขาด้านล่าง แต่ที่นี่ถ้ำอยู่ระหว่างกลางเขา จึงมองเห็นบันได
ไม้ที่เขาพาดเอาไว้สูงชัน มีสองอัน คือทางขึ้นและทางลง ใครกลัวความสูงคงจะหมดสิทธิ์
แต่ก็ต้องแข็งใจปีนกันขึ้นไป หากมอง ลงมาจะเห็นเบื้องล่างของถ้ำเป็นหนองน้ำใหญ่ เหมือนกับที่ ถ้ำธารลอด
บ้านเรา อาจารย์คำเล่าว่า เดิมมีคนเห็นปาผาใหญ่ คือตะพาบน้ำ แต่ปัจจุบันได้หายไปแล้ว ก่อนจะขึ้นบันได มีคนคอยเก็บเงิน
เมื่อขึ้นไปแล้วเขาก็ห้ามถ่ายภาพ
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีภาพภายในถ้ำให้ได้ ชมกัน จึงเล่าไปตามความทรงจำว่า ภายในถ้ำ มีพระพุทธรูปทองคำองค์เล็กๆ และที่นิยมสร้าง ในสมัยล้านช้างก็คือ
"พระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก" มองดูแล้วหาค่ามิได้จริงๆ แต่ที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้เขียนได้สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่
คนหนึ่งนั่งทับบนแผ่นโลหะที่เขาปิดช่องลมอยู่
จึงขอให้พระอีสานของเราช่วยเจรจาให้เขาช่วยลุกขึ้นหน่อย พอเขาลุกขึ้นก็ได้เปิดฝาโลหะแผ่นนั้นออก ปรากฏว่าพื้นถ้ำทะลุลงไปมองเห็นหนองน้ำอยู่เบื้องล่าง
แต่ที่แปลกก็คือ ว่ารอยทะลุลงไปนั้น เป็นรูปรอยเท้าใหญ่มาก น่าเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่ถูกประทับจนทะลุลงไปนั่นเอง
น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพไว้ได้ จึงได้แค่บันทึกไว้ในทำเนียบพระพุทธบาทว่า ถ้ำพระทองนี้ก็มีรอยพระพุทธบาทด้วย ต่อจาก นั้นก็ปีนกันลงมา
การเดินทางครั้งนี้มี เจ๊หย่ง (ภรรยาคุณทนงฤทธิ์) ร่วมไปด้วย เขามีกฎระเบียบให้ผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุงขึ้นไป
จะยากลำบากแค่ไหนในการปีนขึ้นบันได ต้องไปถามเจ๊หย่งกันเองนะ
| |
หลังจากปีนป่ายลงมาแล้ว ได้เวลาฉันเพลพอดี จึงนั่งฉันอาหารกันที่ร้านของชาวบ้าน แล้วออกเดินทางต่อไป ตามถนนสายคำม่วน - เวียงจันทน์
แต่ยังไม่ถึงเวียงจันทน์ มีทางแยก ไปเขตหินบูน เรียกว่าหลักกิโลเมตรที่ ๒๐ ได้แวะพักที่จุดชมวิวบนยอด ภูผาม่าน
ซึ่งมองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงาม
ต่อจากนั้นก็เดินทางต่อไปถึง บ้านนาพวก ต.นาหิน เขตหินบูน แขวงคำม่วน ต้องจอดรถตู้ไว้ แล้วจ้างเรือไปต่อ แต่ไปเย็นมาก
แล้วจึงหาเรือไม่ได้ ต้องไปหาเรือที่อื่น ๒ ลำ กว่าจะตกลงราคากันได้ก็เจอพิษของพวกนี้เข้า จนได้นั่งเรือหางยาวประมาณ ๑ ชั่วโมง จึง จะถึง วัดบ้านแคน เขตหินบูน มีชาวบ้านมา รอต้อนรับมากมาย แต่ก็เป็นธรรมเนียมไปแล้ว คือฉลองกันจนเดินโซซัดโซเซอยู่ภายในวัด
| |
รวมระยะเวลานั่งรถตู้ ๔ ชั่วโมง นั่ง เรือหางยาวหัวจรวดอีก ๑ ชั่วโมง วัดบ้านแคน นี้อยู่ริมแม่น้ำ ต้องไปทางเรือเท่านั้น ได้พักค้าง
คืนแล้วทำบุญกับเจ้าอาวาส ๑,๕๐๐ บาท วัดนี้พระอาจารย์หนุนเคยมาธุดงค์ที่นี่ จึงได้ไปไหว้
รอยพระพุทธบาทที่มีนิ้วเท้าชัดเจนอยู่ภายในถ้ำ
ต่อมาอาจารย์น้อยได้มาสร้างพระพุทธ รูปที่นี่ จึงรู้จักทางดีบอกว่าจะต้องนั่งเรือไปอีก ๑ ชั่วโมงกว่า แล้วต้องเดินไปที่ถ้ำอีกไกล พระ
พุทธบาทอยู่ภายในถ้ำลึกต้องเดินลุยน้ำเข้าไปอีก พวกเราได้ฟังแล้วแทบหมดแรง อย่าว่าแต่ไปต่อ เลย เท่าที่เดินทางมาทั้งวันนี่ก็ทรหดอยู่แล้ว
| |
ในตอนเช้าวันที่ ๒๐ มี.ค. ๔๘ จึงต้อง เดินทางกลับ ชาวบ้านขับเรือมาส่ง ขากลับนั่ง เรือประมาณ ๒ ชั่วโมง เพราะน้ำแห้งลงไป เรือจึงวิ่งเกยตื้นอยู่เสมอ
พอใกล้จะถึงบางคน ต้องลงเดินลุยน้ำกันขึ้นมา โชเฟอร์รถตู้ไปกับ พวกเราด้วย จึงขับรถกลับมาส่งที่ท่าแขก
นครพนม - หนองคาย
เป็นอันว่า พระพุทธบาทถ้ำบ้านแคน จึงไม่สามารถจะเดินทางไปถึงได้ แต่ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือรวมเล่ม ๑ แล้ว
จากนั้นก็เดินทางกลับมาฝั่งไทย แล้วเดินทางต่อไปที่ บ้านธาตุ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
เข้าไปหาพระพุทธบาทที่อยู่ในป่า พบบ่อน้ำทิพย์อยู่บนก้อนหินคล้ายตะพาบ และพระพุทธบาทเกือกแก้วเบื้องขวา รอยใหญ่มาก
อาจารย์ตุ๋ยเล่าว่าเคยคุยกับคนแถวนี้ว่า ถ้าเป็นที่มีรอยพระพุทธบาท จะต้องเป็นที่ศักดิ์ สิทธิ์ บางครั้งมีแสงลอยขึ้นในวันพระ จะเป็นที่เฮี้ยน
ใครจะมาเอาอะไรไปไม่ได้ เขาก็เลย เล่าตรงนี้ให้ฟังว่าเป็นหินตะพาบ เคยมีคนเข้ามาขุดเอาของแถบนี้ เกิดอาเพศต่างๆ มากมาย ชาวบ้านจึงกลัวไม่ค่อยกล้าเข้ามา
ต่อมาผมก็เลยเข้ามาค้นหาจนพบ
บริเวณนี้เป็นป่าโปร่ง ไม่มีวัดไม่มีบ้านอาศัยอยู่เลย หลังจากสักการบูชาแล้ว จึงเดินทางไปที่ บ้านโพนแดง
ต.นาใน อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม พบก้อนหินมีรูปร่างมนกลมข้าง บนแบนราบ มีลายเส้นตากผ้าจีวร และมีร่องรอยคล้ายพระพุทธบาทอยู่ในป่าเช่นกัน
ชาวบ้านเคารพนับถือมาก พากันมาบูชากราบไหว้เป็นประจำทุกปี เรียกว่า หินกระโตก แปลว่าถาดข้าว
แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นก้อนหิน อะไร เพียงดูเหมือนกับถาดข้าว ต่อเมื่อได้ชี้แจงและเสี่ยงทายกันแล้ว จึงได้เข้าใจว่าเป็นพระ แท่นที่ประทับนั่ง
สถานที่นี้อาจารย์ตุ๋ยได้นัดชาวบ้าน แถวนี้ให้นำทางเข้ามา หากมาเองคงจะหายาก เพราะต้องจอดรถแล้วเดินอ้อมหนองน้ำเข้าไป ในราวป่าจนสุดทาง
จึงจะพบก้อนหินใหญ่นี้อยู่ ในป่าทึบ สภาพภายในป่าแห่งนี้มีหนองน้ำ กว้างใหญ่ เป็นธรรมชาติที่สร้างสรรไว้เงียบ สงบร่มเย็นดี ในใจคิดอยากให้พระสายอีสาน
มาตั้งสำนักแถวนี้
แต่ก็ไม่ไหวเพราะไกลกันเหลือเกิน คงได้แต่นำผ้าห่มสไบทองบูชารอบๆ แล้วอำลาโยมที่ช่วยนำทางมา โยมผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ช่วงนี้อากาศร้อนอบอ้าว
อยากอธิษฐานให้ฝนตกสักที กลับมาแล้วอาจารย์ตุ๋ยได้โทรไปสอบถาม ปรากฏว่าฝนตกลงมาจริงๆ หลังจากพวกเรากลับไปแล้ว
ในตอนนี้เดินทางกลับมาค้างคืนที่ วัดพุทธโมกข์ อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร แต่ได้แวะที่ วังสะโน บ้านกลาง กันก่อน อาจารย์ตุ๋ย บอกว่ามีก้อนหินรอยพระพุทธบาทอยู่ในห้วย แถวนี้ แต่หน้าแล้งไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย
ก้อนหินเป็นศิลาแลง รอยจึงไม่ชัดเจน แต่อาจารย์ตุ๋ย บอกว่าเมื่อก่อนเห็นชัดเป็นรอยเบื้องซ้าย ชาวบ้านว่าเป็นรอย ปู่ฟื้มหาปลาแม่น้ำโขง
พิชิตยอดเขาสูง "ภูลังกา"
คืนนั้นได้ทำบุญกับ ท่านอาจารย์หนุน แล้ว ตอนเช้าวันที่ ๒๑ มี.ค. ๔๘ นับเป็นวัน ที่แปดของการเดินทาง
ลำดับต่อไปที่ค้างสำรวจตั้งแต่ปีที่แล้ว เรียกว่า สาละครึ บนยอดเขา ภูลังกา
บ้านทุ่งเจริญ ต.นางัว อ.บ้านแพง จ.นครพนม นับว่าโหดที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา
แต่นับว่าเป็นโชคดีที่บังเอิญนัดไว้กับ พระที่จะนำทางเมื่อปีที่แล้ว ในคราวนี้กลับติด ต่อกับท่านไม่ได้ จึงต้องไปหาเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา
ซึ่งเป็นชาวบ้านแถวนี้ที่ทำงาน กับอุทยานฯ จึงมีความชำนาญและช่วยอำนวย ความสะดวกให้กับพวกเราเป็นอย่างดี ถ้าหาก เป็นไปตามแผนเดิม เราต้องขึ้นกันไปเอง คง
จะลำบากมากกว่านี้หลายเท่า
เมื่อติดต่อประสานงานกับชาวบ้านที่จะนำทาง ๒ คนแล้ว เราก็เตรียมเสบียงอาหาร ขึ้นไป พร้อมทั้งช่วยกันหอบหิ้วสิ่งของที่จะไป บูชาด้วย เช่น
บายศรีและผ้าห่มสีทอง ดอกไม้โปรยและน้ำอบ เป็นต้น ก่อนจะขึ้นคนนำทางได้เอาสิ่งของทั้งหมด รวมลงไปในถุงพลาสติกใหญ่ แล้วตัดเถาวัลย์ผูกมัดเป็นสายคล้องไหล่
นี่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นจริงๆ
เมื่อขับรถไปจอดไว้ที่ วัดถ้ำผามนต์ แล้วเริ่มเดินเท้าเข้าไปในเวลา ๐๘.๐๐ น. เป็น ทางขึ้นเขาโดยตลอด
เพราะภูลังกาเป็นยอดเขาที่สูงมาก แต่ก่อนพระสายหลวงปู่มั่น มักจะนิยมธุดงค์เข้ามาถึงที่นี่
ภูลังกาย่อมเป็นที่รู้จัก กันดีในสายพระธุดงค์ เพราะสมัยก่อนมักมีภัยอันตรายจากไข้ป่าและสัตว์ร้ายมากมาย
ฉะนั้น ใครที่ขึ้นไปพิชิตยอดภูลังกาได้ ถือว่าได้ผ่านศึกหนักมาแล้วนั่นเอง จะสามารถ ไปยอดเขาที่ไหนได้ทุกแห่งในประเทศไทย แต่
ทำไมผู้เขียนจึงสนใจอยากจะขึ้นไปล่ะ เพราะ ถ้าไม่ได้ยินเขาเล่า ว่าข้างบนยอดสุดมีรอยพระพุทธบาทที่มีรอยนิ้วชัดเจน เป็นรอยก้าวย่าง เดินไปประมาณ ๗ - ๘ ก้าว
แล้วละก็คงจะไม่กระเสือกกระสนให้ลำบากอย่างนี้ นอนอยู่ที่วัดสบายๆ ดีกว่า
แต่นี่เดินกันมาตั้งนานแล้ว กว่าจะถึง ยอดเขาเดินกันประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่งเองนะ แหม..ฟังดูแล้วเหมือนกับจะง่าย อยากให้มาลอง กันมั่ง
จะได้รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรก็ตาม คุ้มค่าจริงๆ สำหรับการเดินทางครั้งนี้
เพราะว่าระหว่างทางได้พบรอยพระพุทธ บาทในลำห้วยหลายรอย เริ่มเดินทางเวลา ๘ โมงเช้า กว่าจะถึงยอดเขาเวลา ๑๐.๓๐ น. จึง ต้องฉันเพลกันก่อน
แต่ผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าถึง ยอดสุดแล้วนะ ยังๆ ยังไม่ถึงหรอก อย่าเพิ่งดีใจเหมือนพวกเรา ยังต้องเจอศึกหนักที่แสนโหด ยิ่งไปกว่านี้อีกหลายเท่า
| |
ขอบรรยายภาพตอนที่นั่งฉันเพลกันก่อนนะว่า ตรงนี้เป็นสถานที่วิเศษอย่างไร แต่ความจริงตรงนี้เกือบถึงยอดสาละครึอยู่แล้วละ
รูปร่างของยอดเขานี้เป็นหินสองก้อนที่ติดกัน ดูไกลๆ มีลักษณะกลมมน แต่ข้างล่างเป็นช่อง ทะลุออกไปได้ ช่องหินนี้คล้ายซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถ
ธรรมชาติสร้างสรรให้สวยงาม เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความเหน็ดเหนื่อยแทบจะหาย ไปสิ้นทีเดียว
แต่ทว่าแทบจะหมดแรงไปอีก เมื่อเขาบอกว่ายังจะต้องปีนโขดหินนี้ขึ้นไปอีก จึงจะพบรอยพระพุทธบาทดังกล่าว แต่เวลานี้บันได
ไม้ที่เขาทำไว้ผุกร่อนไม่สามารถขึ้นไปได้ อาจเกิดอันตรายร่วงหล่นลงมาได้ พวกเราได้ฟังก็รู้สึกใจหาย เสียดายที่อุตส่าห์ขึ้นกันมาเกือบตาย
อีกนิดเดียวใกล้จะถึงอยู่แล้ว แต่ก็โชคร้ายที่บันไดผุไปหมด
ในขณะที่นั่งฉันข้าวกันอยู่นั้น พลันก็มีความหวังขึ้นมาอีก เมื่อเห็นโยมสองคนที่นำทางมา ได้นำมีดของตนเองไปตัดไม้ไผ่ แล้ว
ช่วยกันผูกมัดทำเป็นบันไดทางขึ้นชั่วคราว ทั้งที่ไม่มีเชือกติดตัวมาด้วยนะ แต่ก็สามารถเหลาผิวไม้ไผ่มาผูกแทนเชือกได้
เมื่อลองขยับดูแล้วเห็นว่าแข็งแรงดี จึงช่วยกันปีนช่วยกันจับดึงขึ้นไปทีละคน ทั้งพระ และโยมขึ้นไปหมด พร้อมกับช่วยกันส่งของด้วย คงเหลือแต่ "บุ๋ม"
กับ "ปุ้ย" สองคน เพราะเป็นโรคกลัว ความสูง กับน้ำหนักตัวมากเกินไป จึงต้องรออยู่ข้างล่าง
ตอนกลับลงมาเล่าให้ฟังทีหลังบอกว่า แหงนมองพวกเราปีนขึ้นไปแล้วหวาดเสียวแทน เพราะว่าไม้ที่ทำบันไดวางพาดอยู่บนโขดหิน
โดยมีต้นไทรอยู่เพียงต้นเดียวเท่านั้น ที่มีรากให้มือเกาะพอที่จะเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปได้ ถาม ว่าถ้ารากไม้หลุด หรือบันไดเอียงออกไป จะทำไง อ๋อ..ตอบไม่ยาก
คงตกลงมาไม่เหลือนะ
อย่าบรรยายมากไป..ยังหวาดเสียวอยู่นะ อยากให้ดูภาพที่บันทึกไว้ใน DVD ดีกว่า ได้แจกกันไปหลายชุดแล้ว
ใครต้องการก็มารับไปได้ไม่ต้องเสียเงิน ขอให้เอาไปดูก็พอใจแล้ว บนโขดหินยอดสุดนี้ ที่ข้างล่างเป็นช่องคล้ายซุ้มประตูโบสถ์ (เจ้าหน้าที่บอกว่าสมัยก่อนเคยมี
พระพุทธรูปที่ทำด้วยไม้หลายองค์ ส่วนรอยที่อยู่ข้างบนยอดสุดนี้ แต่ก่อนไม่เคยมีใครขึ้นไป เห็นกันเพิ่งจะค้นพบเมื่อปี ๒๕๔๖ นี่เอง)
| |
โขดหินสองก้อนข้างบนนี้อยู่แนบชิดกันกลายเป็น สาละครึ มีลานกว้างไม่มากนัก มองดูทิวทัศน์ข้างล่างได้โดยรอบ
ยังสามารถมองเห็นฝั่งลาวตรงข้ามแม่น้ำโขงได้ชัดเจน จึงลืมความเหน็ดเหนื่อยและความหวาดเสียวไปได้ ชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อทุกคนปีนขึ้นมาครบแล้ว คุณทนงฤทธิ์ได้บันทึกภาพไว้ทันที ปรากฏว่าเป็นรอยเท้าประทับอยู่บนหินจริงๆ ตามที่เขาเล่าไว้ มีนิ้วเท้าครบทั้ง ๘ รอย
เป็นรอยก้าวย่างข้างขวา และซ้ายเดินสลับกัน แล้วหยุดเป็นรอยคู่อยู่ที่ ริมหน้าผา เหมือนกับเดินไปแล้วหยุดลอยขึ้นไปบนอากาศฉะนั้น รอยเท้าทั้งหมดกว้าง ๑๐
ซ.ม. ยาว ๒๕ ซ.ม. นับเป็นที่อัศจรรย์จริงๆ
| |
เป็นอันว่า ได้กราบไหว้สมหวังแล้วก็ปลอดภัย แต่ก็หนักหนาสาหัสเอาการ ตอนเดินกลับลงมาอีกทางหนึ่ง ถึงแม้จะได้พบรอย พระพุทธบาทอีกหลายรอย
รวมทั้งหมดประมาณ ๒๐ รอยก็ตาม ด้วยความที่เหน็ดเหนื่อย และอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ทุกคนดื่มน้ำกันไปจนหมด กว่าจะเดินกลับลงมาอีก ๓ ชั่วโมง
พวกเราคอแห้งกระหายน้ำกันทุกคน
คนนำทางได้นำกลับลงมาถึงวัด ต่างคนต่างวิ่งเข้าไปหาน้ำกันดื่มกัน ปรากฏว่าวันนั้น ดื่มน้ำกันเอร็ดอร่อย แล้วก็นอนแผ่หรากันที่ศาลาวัด
ในตอนนี้ไม่มีภาพถ่าย ไม่มีการบันทึกวีดีโอ เพราะทุกคนต่างนอนหมดแรงกัน
ครั้นนอนพักเอาแรงกันชั่วครู่หนึ่ง ได้ให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่นำทางแล้ว จึงออกเดินทางต่อไปที่ ดานชมพูทอง
บ.โนนจำปา อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย ขณะนั้น พระอาจารย์หนุน เดินทางมาร่วมสมทบด้วยเล่าว่า
ขณะที่ออกมาจาก วัดพุทธโมกข์ ฝนตกลงมาตลอดทาง ทั้งที่ยัง ไม่ถึงหน้าฤดูฝน
ในตอนนี้มีพระรวมกันหลายรูป จึงช่วยกันสำรวจพบรอยพระพุทธบาทอยู่บนดานหิน ใหญ่มากถึง ๔ รอย ท่านถาวรเล่าว่า พระมาอยู่ที่นี่เคยเห็นแสงขึ้นตรงต้นกะบก
สว่างไปหมดทั่วบริเวณนี้ เป็นต้นกะบกคู่อยู่ระหว่างก้อนหินพระบาท
| |
ต่อมามีชาวบ้านคนหนึ่งมาจากสุรินทร์ มาทำไร่แถวนี้ไม่กี่วัน แล้วบุกรุกเข้ามาถึงที่นี่ ภายหลังลูกสาวคนเล็กตาย ลูกสาวคนโตก็ตาย เลยหนีหายไปไม่กลับมาอีก
แล้วเคยมีคนสร้างบ้านอยู่ตรงนั้น ตอนหลังหลงเข้าไปในป่าด้านโน้น ข้างในเป็นบ้านเป็นเมืองหมดเลย เป็น เมืองลับแล แล้วก็วันศีลวันพระจะมีเสียงดนตรี
เสียงพิณประโคมแถวนี้ เวลาหน้าฝนฟ้าจะผ่าลงมาที่ดานตรงนี้เท่านั้น
รอยพระพุทธบาทตอนแรกพบกันแค่ ๓ รอย ที่อยู่บนหินก้อนเดียวกันนี้ เป็นรอยที่ใหญ่มาก ไม่สามารถจะวัดได้ ตามปกติไม่ค่อยจะได้พบเห็นรอยใหญ่ๆ เช่นนี้
แต่ที่นี่ไม่มีรอย นิ้วเท้านะ ขณะนั้นมีพระรูปหนึ่งท่านอยู่ที่นี่มานานแล้ว ได้มาเล่าให้ฟังว่า ตนเองเคยเห็นแสงสว่างเป็นสีรุ้งพุ่งขึ้นตรงต้นไม้ใหญ่ใน
เวลากลางคืน ตรงกับวันออกพรรษาพอดี แล้ว ก็มีญาติโยมเห็นกันหลายคน
เมื่อถามว่าแสงพุ่งขึ้นแล้วไปลงตรงไหน ท่านบอกว่าไปลงตรงถ้ำที่อยู่ใกล้ๆ นี้ แล้วก็เคยเห็นดวงแก้วลอยออกมาจากถ้ำด้วย
เหตุนี้เองผู้เขียนจึงอยากจะลงไปสำรวจ และในขณะนั้น ท่านถาวรก็ขุดคุ้ยพบรอยพระบาทอีก อยู่ บนก้อนหินอีกด้านหนึ่ง รวมกันเป็น ๔ รอย
จึงได้กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าครบทั้ง ๔ พระองค์ พระพุทธบาทก็มีขนาดไล่เลี่ยกัน พอดี เป็นรอยเบื้องขวา ๑ รอย เบื้องซ้าย ๒ รอย และเกือกแก้วอีก ๑ รอย
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง พอถึงตอนนี้ท่านอาจารย์หนุน กับท่านถาวรพูดขึ้นว่า มิน่าละตอนที่ออกมาจากวัดพุทธโมกข์ฝนตกลงมาทันที
แล้วก็มีฟ้าคำรามอีกด้วย
ผู้เขียนเลยบอกว่า ความจริงตอนนี้ภาค อีสานแห้งแล้งมาก อยากจะให้ฝนตกลงมาด้วย ฉะนั้น จะเป็นด้วยอานิสงส์แห่งการบูชาพระ พุทธบาทหรือไม่
เพราะว่าได้สรงด้วยน้ำหอม จึงดลบันดาลให้มีความร่มเย็นเป็นสุข สมัยก่อน จึงนิยมสรงน้ำพระพุทธบาทกันเป็นประเพณี
| |
แต่ปัจจุบันนี้เสื่อมหายไปหมด ผู้เขียนไปที่ไหนก็พยายามแนะนำให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็มีหลายแห่งเริ่มทำกันแล้ว
บุญส่วนนี้น่าจะมีผลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลด้วย ผู้เขียนจึงชักชวนเพื่อนพระภิกษุทุกองค์ให้เข้าไปนั่งรวม กันบนกระต๊อบ รวมทั้งพระเจ้าอาวาสที่นี่ด้วย
หลังจากนั้นก็ได้ทำบุญเป็นสังฆทานชุดใหญ่ ๖ ชุด พร้อมถวายปัจจัยพระภิกษุทุกองค์ รวมเป็นเงิน ๒๔,๐๐๐ บาท เป็นการทำบุญปิดท้ายรายการ
เพราะใกล้จะถึงวันเดินทางกลับแล้ว จากนั้นก็อำลาพระภิกษุทุกรูป ทั้งที่ร่วมเดินทางมาหลายวัน และที่ตามมาสมทบวันนี้
◄ll กลับสู่ด้านบน
สกลนคร - ชัยภูมิ
ในคืนนั้นได้มาพักค้างคืนที่ วัดพระธาตุฝุ่น บ้านคำเจริญ ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
สำหรับสถานที่แห่งนี้ คุณโยมลัดดา นภาลัย เป็นผู้แนะนำ ซึ่งค้นพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ โดย ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลังจากพักผ่อนนอนหลับกันพอแล้ว รุ่งขึ้นเป็นวันที่เก้าของการเดินทาง ตรงกับวันที่ ๒๒ มี.ค. ๔๘ เป็นวันที่จะเดินทางกลับ นับ ลำดับที่ ๔๘
แล้วจึงได้ทำบุญกับวัด ๕๐๐ บาท ให้แม่ชีอีก ๑๐๐ บาท แล้วจึงไปนมัสการองค์พระธาตุที่อยู่ภายในบริเวณวัดกัน
ในตอนเช้าวันนี้ ปรากฏว่าฝนตกลงมาตลอด มีเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามด้วย ทั้งที่ยังเป็นหน้าร้อนอยู่ แต่ก็ร่มเย็นเป็นสุขดี
เมื่อหลวงปู่มั่นค้นพบพระเจดีย์เก่าแก่นี้แล้ว ซึ่งสร้างสมัยเดียวกับพระธาตุพนม ต่อมาท่านได้ให้ หลวงปู่ขาว
เป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์ ปัจจุบันวัดนี้จึงเป็นพระสายธรรมยุต
เมื่อเห็นว่าฝนยังไม่หายตกจะต้องรีบกลับ จำต้องบูชาสักการะท่ามกลางสายฝน ด้วย การห่มผ้าสไบรอบองค์พระธาตุ จากนั้นก็เดินทางต่อไปทางจังหวัดอุดรธานี
ในระหว่างทางเห็นป้าย วัดศรีมหาธาตุ ต.โนนยา อ.หนองหาน จ.สกลนคร จึงบอกให้แวะเข้าไปทันที
ครั้นเดินเข้าไปแล้วจึงจำได้ ว่าเคยเข้ามากราบไหว้ไปแล้ว ชื่อว่า พระธาตุนาหลวง
แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว จึงได้บูชาพระธาตุและห่มผ้าสามสีที่ต้นโพธิ์ใหญ่ด้วย แล้วออกเดิน ทางต่อไปตามเป้าหมายสุดท้าย
ซึ่งเป็นที่สำคัญมากที่ คุณสมพร (เพื่อนคุณวรวิทย์ที่อยู่เชียง ใหม่) แจ้งไว้ว่าอยู่ที่ เขาน้อย (เขาแก้วพิสดาร) บ.ดงลาน ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
พูดถึงจังหวัดชัยภูมินี้ ผู้เขียนต้องเดินทางมาหลายครั้งแล้ว พบรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดนี้หลายแห่งแล้ว สมกับคำว่า
ชัยภูมิ คือ เป็นแผ่นดินที่มีชัยชนะนั่งเอง จึงมีเหตุให้แผ่นดินนี้เป็นที่รองรับฝ่าพระบาทของผู้มีชัยชนะ คือ
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามากมายหลายแห่ง
โดยเฉพาะเมื่อได้ติดต่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดงลาน และลูกชายผู้ใหญ่บ้านกับเพื่อนแล้วรวม ๓ คน ก่อนขึ้นไปบนเขา คุณดิเรก
(ผช.ผู้ใหญ่ บ้าน) กล่าวยืนยันว่า ตนเองเคยเห็นดวงไฟสีเขียวสว่าง ลอยไปมาตามทิวเขาบริเวณนี้ เรียกว่า เขาพนม ที่อยู่ติดกับเขาน้อย เวลาประมาณ ๕ ทุ่มเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับวันพระพอดี
| |
ชาวบ้านค้นพบรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ มานานแล้ว เคยมีพระภิกษุมาอาศัยบนเขาน้อย ตอนนั้นโด่งดังมาก คุณดิเรกได้เล่าพร้อมกับ ชี้มือไปที่เขาน้อยว่า
"รอยพระหัตถ์" จะอยู่ด้านล่าง ส่วน "รอยพระพุทธบาท" อยู่ระหว่างกลางเขา แล้วชี้มือไปที่ "เขาพนม" บอกว่ามี "บ่อน้ำทิพย์" ด้วย
ซึ่งผู้เขียนก็เสียดายไม่มีเวลาไปที่เขาพนม
ฉะนั้น จึงได้เดินเท้าเข้าไปที่ "เขาน้อย" ทันที เนื่องจากเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อเดินเข้าไปสักพักหนึ่งก็จะถึงเชิงเขา มองเห็นรอย
พระหัตถ์ขนาดใหญ่ได้แต่ไกล จึงปีนป่ายขึ้นไป บนก้อนหินนี้ ซึ่งมีรูปร่างแบนราบตะแคงอยู่ ไหล่เขา มีรอยฝ่าพระหัตถ์อยู่ตรงกลาง เป็นร่อง ลึกมาก
เข้าไปมองดูใกล้ๆ จะเห็นร่องนิ้วครบห้านิ้ว นิ้วมือมีลักษณะเหมือนกับวันทยาหัตถ์ คือสี่นิ้วเหยียดตรง และหัวแม่มืองอเข้ามาเล็ก น้อย
ด้านข้างมีตัวหนังสือเขียนว่า มาเห็น ๕ ต.ค. ๒๘ แสดงว่าพบกันมานาน ๒๐ ปีแล้ว
พวกเราเดินขึ้นมาถึงรอยพระพุทธหัตถ์ ประมาณ ๒๐ นาที แต่ยังไม่ถึงยอดเขา หลัง จากได้สรงน้ำและปิดทองแล้ว จึงเดินขึ้นเขาต่อไปอีก
ได้พบรอยพระพุทธบาทอยู่ทั่วไป มีทั้ง รอยธรรมดาและเกือกแก้ว ส่วนใหญ่ตะแคงอยู่ ข้างโขดหิน รวมแล้วประมาณ ๒๐ รอย มีตัว หนังสือเขียนไว้อีกว่า พบเมื่อ ๑๒ พ.ย. ๒๘
บนเขาน้อยนี้ จึงมีรอยพระพุทธหัตถ์อยู่ข้างล่าง ส่วนข้างบนเต็มไปด้วยรอยพระพุทธบาท ซึ่งมีลักษณะตะแคงเหมือนกันหมด ต้องโหนตัวปีนป่ายด้วยความยากพอสมควร
ถ้ามองดูลงไปข้างล่าง แต่ก็ยังไม่หวาดเสียวเท่ากับที่ ภูลังกานะ
ขณะที่อยู่บนเขาน้อย ชาวบ้านนำทางขึ้น ไป แล้วก็ลงมาอีกทางหนึ่ง จึงมีโอกาสสำรวจได้ทั้งยอดเขา เดินไปไหว้ไป โปรยดอกไม้และ ปิดทองตลอดทาง
ระหว่างนี้พบหินรูปเต่าด้วย พอเอาแผ่นทองไปปิดที่ลูกตา มองดูเหมือนของ จริงเลย ตอนนี้คุณทนงฤทธิ์บันทึกภาพไปที่ ต้นลาน
ซึ่งมีใบลักษณะคล้ายต้นตาล บ้านนี้จึง มีชื่อว่า บ้านดงลาน
สมัยโบราณนิยมเอาใบลานไปจารเป็นตัวอักษรธรรมสำหรับพระเทศน์ บ้างก็นำไปทำตาลปัตร บางแห่งก็ใช้ทำหมวกทำกระเป๋า หรือเอาไปมุงหลังคาบ้าน จึงแปลกที่ต้นลาน
ขึ้นที่ภูเขาลูกนี้ ซึ่งมีทั้งรอยพระหัตถ์และรอยพระพุทธบาท ที่มีลักษณะตะแคงอยู่บนโขดหินเหมือนกันหมด
ผู้เขียนจึงไม่แน่ใจว่า สถานที่แห่งนี้เดิมที อาจจะเป็นที่แสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตก็เป็นได้ จึงมีความประทับใจกลับมา รวมเวลา ๙ วัน
สถานที่ ๕๐ แห่ง นับว่า คุ้มค่ากับการเดินทาง ได้ทำบุญทั้งสิ้น ๖๑,๑๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายอีก ๒๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๔,๑๐๐
บาท
จึงเป็นอันสรุปได้ว่า การเดินทางไปภาค อีสานครั้งนี้ เพื่อเก็บสถานที่ค้างตั้งแต่ปีก่อนๆ แต่ก็ยังไม่ครบถ้วน
จะต้องเดินทางรอบหน้าในเดือพฤษภาคมอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า ตอนรวมภาค ขอให้ทุกท่านติดตามกันต่อไป ซึ่งส่วน
ใหญ่จะเหลือแต่ที่ยากลำบากกันทั้งนั้น ฯ
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนย้อนไปทาง "ภาคเหนือ" ปี 2547 คลิกที่นี่ ll►
)))))))