สาเหตุที่ตรัสชาดก
......ณ พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี วันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีและบริวารได้นำดอกไม้ธูปเทียน
และสิ่งของควรแก่สมณะบริโภค ไปกราบถวายบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ณ เชตวันมหาวิหารตามปกติ ในวันนั้นมีสหายของท่านเศรษฐีอีก ๕๐๐ คน ซึ่งเป็นสาวกของ
อัญญเดียรถีย์ ตามไปด้วย
ครั้นฟังพระธรรมเทศนาจบแล้ว สหายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๕๐๐ คนนั้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเปี่ยมล้น จึงละ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
เลิกนับถือลัทธิอัญญเดียรถีย์ ประกาศตนเป็น พุทธมามกะ ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต่างก็ตั้งใจไปวัด ให้ทาน
รักษาศิล เจริญภาวนา มิได้ขาด
ต่อมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ไปประทับ ณ กรุงราชคฤห์ พวก อุบาสก สาวกเก่า อัญญเดียรถีย์ทั้ง ๕๐๐ คน ก็เลิกไปวัด
หันกลับไปนับถืออัญญเดียรถีย์ตามเดิมอีก
ครั้นอีก ๗-๘ เดือนต่อมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับไปยังเชตวันมหาวิหารตามเดิม อัญญเดียรถีย์ทั้ง ๕๐๐ คนนั้น ก็ตามอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปวัดอีก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนสติ ด้วยการตรัส อานิสงส์ ของการบูชา พระรัตนตรัย ว่ามีอานิสงส์มาก คือ
๑. ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไม่ไปอบาย คือ ไม่ไปเกิดในนรก เป็นต้น
๒. ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง ย่อมไปบังเกิดในเทวโลก ได้เสวยทิพยสมบัติอย่างแน่นอน
ฉะนั้น การที่อัญญเดียรถีย์ทั้ง ๕๐๐ คนนี้เป็นคนโลเลกลับกลอก รับไตรสรณคมน์แล้วละทิ้งเสีย ย่อมเป็นความผิดมหันต์ ไม่สมควรอย่างยิ่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติหนหลังของอัญญเดียรถีย์ทั้ง ๕๐๐ คนนี้ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเป็นปริศนาธรรม ว่า