......ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี
มีชายชราฐานะร่ำรวยคนหนึ่งมีภรรยาสาวรุ่น ทั้งสองมีบุตรชายคนหนึ่ง
วันหนึ่ง ชายชราคิดคำนึงถึงตนเองว่าอายุมากแล้ว นึกเป็นห่วงลูกที่กำลังเติบโต จึงคิดนำฝังสมบัติไปเก็บไว้ให้ลูก จึงเรียกนายนันทะ
ทาสซึ่งตนไว้วางใจที่สุดมาหา แล้วชวนกันไปฝังสมบัติในป่า
ต่อมาไม่นาน ชายชราได้สิ้นชีวิตลง ฝ่ายภรรยาก็เลี้ยงดูลูกน้อยจนกระทั่งเติบใหญ่ วันหนึ่ง นางได้กล่าวกับลูกว่า จงไปขุดทรัพย์สมบัติที่พ่อฝังไว้
นำมาสร้างฐานะในภายหน้าเถิด ชายหนุ่มจึงไปหานายนันทะ เพื่อขอให้พาไปยังที่ฝังสมบัติ
นายนันทะรีบกุลีกุจอนำจอบเสียมไปยังป่าที่ฝังสมบัติไว้ แต่พอไปถึงที่ที่ฝังสมบัติกลับ หันมาตะคอกชายหนุ่ม พูดจากระทบกระเทียบต่างๆ นานา
ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดี จึงชวนกลับบ้าน ครั้นถึงบ้านแล้ว นายนันทะกลับพูดจาอ่อนโยนเหมือนเดิม
ต่อมาอีกสองสามวัน ชายหนุ่มเห็นนายนันทะมีอารมณ์ดี จึงชวนไปขุดสมบัติในป่าอีก นายนันทะรีบไปด้วยความเต็มใจ ครั้นไปถึงที่ฝังทรัพย์ กลับพูดจาหยาบคาย
โยนจอบโยนเสียมทิ้ง
ชายหนุ่มจึงได้แต่ชวนกลับบ้านเช่นคราวก่อน ชายหนุ่มมีความแปลกใจยิ่งนัก พลันนึกถึงเพื่อนเก่าของพ่อ ซึ่งเป็นที่นับถือว่าเป็นบัณฑิต
จึงไปหาแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
......ในบัณฑิตผู้เฒ่าสืบสาวราวเรื่องแล้ว
พอจะเข้าใจได้ว่านายนันทะผู้เป็นทาสนี้ เมื่อไปถึงที่ฝังทรัพย์คงเกิดมานะถือตัวว่าตนผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ที่ฝังทรัพย์
นายจะต้องพึ่งพาอาศัยตน เพราะความลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้ จึงกล่าววาจาข่มขู่นาย แต่ครั้นมาถึงบ้านที่ตนอาศัยเขาอยู่อย่างทาสรับใช้ ก็บังเกิดความคุ้นเคย
แสดงตนเป็นทาสดังเดิม
คิดดังนี้แล้ว บัณฑิตเฒ่าจึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า หลานเอ๋ย หากนายนันทะบุตรของนางทาสี ยืนกล่าวคำหยาบอยู่ตรงไหน
ตรงนั้นแหละเป็นที่ฝังทรัพย์สมบัติของพ่อเจ้า
วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มจึงชวนนายนันทะเข้าป่าไปขุดสมบัติอีก เมื่อไปถึง นายนันทะก็ด่าว่าเช่นเดิม แต่คราวนี้ ชายหนุ่มออกคำสั่งให้นายนันทะขุดสมบัติ ณ
ที่นั้น
เมื่อขุดขึ้นมาได้แล้ว จึงสั่งให้นันทะแบกกลับบ้าน ซึ่งเมื่อนายนันทะกลับมาถึงบ้าน ก็กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเช่นเคย
ประชุมชาดก
นันททาส ได้มาเป็นพระภิกษุลูกศิษย์
ชายหนุ่ม ได้มาเป็นพระสารีบุตร
บัณฑิตเฒ่า ได้มาเป็นพระพุทธองค์
.