นิทานชาดก (เรื่องที่ 25) กาญจนักขันธชาดก - ชาดกว่าด้วย "ธรรมะอุปมาเสมือนทองคำ"
webmaster - 20/9/09 at 05:58
...นิทานชาดกนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ "พระพุทธเจ้า" ขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้บำเพ็ญพระบารมีมาในแต่ละชาติ จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
แล้วได้ตรัสเล่าบุพกรรมเหล่านี้ ซึ่งมีมาในพระไตรปิฎกมากมายหลายเรื่อง
ในตอนนี้ จะขอนำการ์ตูนเรื่องที่ 25 มีชื่อว่า "กาญจนักขันธชาดก" (อ่าน..กาญจะนักขันธะชาดก) โดยพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น "ชาวนา" จึงขออนุโมทนาไว้
ณ โอกาสนี้ด้วย
กาญจนักขันธชาดก : ชาดกว่าด้วย "ธรรมะอุปมาเสมือนทองคำ"
มูลเหตุที่ตรัสชาดก
......สมัยหนึ่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
มีชายผู้หนึ่งได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว เกิดความเลื่อมจึงทูลขออุปสมบท
บวชแล้วมีกิริยางามและอ่อนน้อม พระเถระผู้ใหญ่จึงเมตตาเอ็นดู ช่วยกันเอาใจใส่อบรมสั่งสอนเป็นพิเศษให้ศึกษาข้อธรรมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พระอาจารย์ล้วนไม่รู้จักประมาณกำลังสติปัญญาของลูกศิษย์ มีแต่ความปรารถนาดีจึงกลายเป็นยัดเยียดคำสอนให้โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น ไม่นาน ศิษย์ก็เริ่มท้อแท้ใจเพราะการศึกษาหนักมาก จึงคิดอยากลาสิกขาไปครองเรือนตามเดิม จึงเข้าไปกราบลาพระอุปัชฌาย์
ด้วยท่านไม่อาจรักษาศีลให้ครบถ้วนได้
พระอุปัชฌาย์ ได้ทราบความแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจ เมื่อท่านอาจยับยั้งได้จึงพาไปเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอบถามพระอุปัชฌาย์ถึงวิธีการสอน
จากนั้นจึงตรัสว่า พระองค์จะรับเป็นธุระในการสอนให้เอง แล้วตรัสกับพระภิกษุบวชใหม่รักษาศีลเพียง ๓ ข้อ
จงรักษาทวารทั้งสามไว้ คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร คือ ไม่กระทำกรรมชั่วด้วยกาย ไม่กระทำกรรมชั่วด้วยวาจา และไม่กระทำกรรมชั่วด้วยใจ จงรักษาศีล ๓
ข้อนี้เท่านั้นเถิด
ตั้งแต่นั้นมาภิกษุก็ตั้งใจประคับประคองควบคุม กาย วาจา ใจ อย่างเคร่งครัด ๒- ๓ วันต่อมา สามารถเข้าถึงอรหัตผล หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง
ท่านถึงกับเปล่งอุทานออกมาว่า
เท่านี้เองหนอ... ศีลตั้งมากมายที่พระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ อ้อมค้อมบอกแก่เราจนเหลือกำลังรับ แท้ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงประมวลไว้เพียง ๓ ข้อ
เท่านี้เอง
เหล่าพระภิกษุต่างสนทนากันในเรื่องนี้ สรรเสริญในความเป็นเอกบุรุษของพระบรมศาสดา ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องแล้ว จึงตรัสเรื่อง
กาญจนักขันธชาดก ดังนี้
...ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีชายชาวนาผู้ขยันคนหนึ่ง ได้จับจองที่ดินรกร้างว่างเปล่า เพื่อถากถางเป็นที่นาของตน ซึ่งที่ดินแห่งนี้เมื่อในอดีต
เคยเป็นที่ตั้งบ้านของเศรษฐีผู้มาก่อน
ชายหนุ่มได้ออกไปไถนาทุกวัน วันหนึ่งขณะที่กำลังไถนาอยู่นั้น ผาลไถ ( เหล็กสำหรับสวมหัวหมูเครื่องไถ) ก็ไปสะดุดติดอยู่กับของแข็งๆ ท่อนหนึ่งในดิน
วัวที่เทียมไถไม่สามารถลากต่อไปได้จึงหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
เมื่อแรกเขาคิดว่าเป็นรากไม้ จึงเอามือขุดคุ้ยก้อนดินดู แต่กลับเป็นแท่งทองคำขนาดใหญ่ฝังอยู่ในดิน ทองคำแท่งนี้ เศรษฐีเจ้าของบ้านคนเดิมได้ฝังซ่อนไว้
แล้วอพยพครอบครัวไปอยู่ที่อื่น กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
ขณะนั้นเพิ่งจะบ่าย ยังมีเวลาเหลืออีกมาก ชาวนาผู้รักงานจึงค่อยๆ ทำงานต่อ แล้วโกยดินกลบท่อนทองคำไว้ดังเดิม จนกระทั่งโพล้เพล้ เขาจึงหยุดทำงาน
แล้วย้อนกลับไปยังที่ฝังแท่งทองคำ คุ้ยดินออก ตั้งใจจะแบกกลับบ้าน
แต่ทองมีน้ำหนักมากแบกไปไม่ไหว เขาจึงคิดที่จะแบ่งแท่งทองนี้ออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่ ๑ ขายนำทรัพย์มาเลี้ยงชีพ ส่วนที่ ๒ ฝังไว้ที่เดิมเก็บไว้ยามขัดสน
ส่วนที่ ๓ เป็นทุนค้าขาย ส่วนที่ ๔ ทำบุญให้ทาน
เขาจึงตัดทองคำออกแบกกลับบ้านคราวละท่อนๆ นำไปใช้ตามจุดประสงค์นั้น โดยไม่มีความกังวลว่า ทองคำส่วนที่กลบดินจะสูญหายหรือไม่
แต่เพื่อความไม่ประมาท ชาวนาจึงไม่ปริปากแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครทราบแม้แต่กับลูกเมีย ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การจับจ่ายภายในบ้าน ก็ยังให้เป็นไปตามปกติ
จนไม่มีใครล่วงรู้เบื้องหลังในความเป็นผู้มั่งมีของเขาเลย เข้าใจเอาเองว่า เป็นเพราะความขยันขันแข็งในการทำงานของเขา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถาว่า...
นรชนใด มีจิตร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำเพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนนั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างได้โดยลำดับ
ครั้นแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า "ชาวนา" ได้มาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
๑. ผู้ที่เป็นครูอาจารย์ ต้องศึกษาอัธยาศัยของผู้รับคำสอนเสียก่อน แล้วพลิกแพลงวิธีการให้เหมาะสม มิฉะนั้น จะกลายเป็นยัดเยียดคำสอน อย่างไรก็ดี
ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยฝึกคุณสมบัติ ๔ ประการ คื
( ๑) แตกฉานในการขยายความ ( ๒) แตกฉานในการย่อความ ( ๓) แตกฉานในการพูดโน้มน้าวให้สนใจ ( ๔) มีปฏิภาณไหวพริบ ในการถามและตอบปัญหา
๒. ถ้าต้องการให้งานใหญ่สำเร็จ ต้องรู้จักแบ่งงานเป็นส่วนย่อย
๓. ผู้นำต้องฉลาดในการเก็บความลับด้วย เรื่องบางอย่างบอกใครไม่ได้
ที่มา - kalyanamitra.org