"ตายแล้วฟื้น" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ (เรื่องที่ 1-5) แม่เฒ่าวัย 78 ปี
kittinaja - 19/4/08 at 15:58
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 1
แตกตื่นทั้งหมู่บ้านหลังแม่เฒ่าวัย 78 ปีตายแล้วฟื้น
เรื่องเหลือเชื่อ "ตายแล้วฟื้น" รายนี้ ได้รับการรายงานจากผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.บ้านด่านนาขาม อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ นายสมหวัง
สุขมั่น ว่าลูกบ้านคือ นางผาน ถือนิล อายุ 78 ปี ได้สิ้นลมหายใจแล้วฟื้น ขณะญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ช่วยเตรียมจัดงานศพกว่า 50
คน ทำให้ทุกคนวิ่งกระจัดกระจายอย่างโกลาหล
นายสมหวัง กล่าวว่า ตนได้รับแจ้งจาก นายบุญ ถือนิล ลูกชายของ นางผาน ว่าแม่ของตนเสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 23
สิงหาคมที่ผ่านมา จึงแจ้งข่าวให้ลูกบ้านได้ทราบเพื่อจะได้ไปช่วยงานศพ โดยตนได้จัดแจงให้ลูกบ้านจัดเตรียมสถานที่ เพื่อทำพิธีทางศาสนา
ในช่วงเย็นวันเกิดเหตุ
ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ได้นำร่างของนางผาน นอนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ล้างหน้า ประแป้ง แล้วนำธูปเทียนดอกไม้ใส่มือผู้ตายเพื่อทำพิธีมัดตราสัง
ตามประเพณีพื้นบ้าน แต่ยังไม่ทันทำพิธี นางผาน ก็มีการตอบสนอง ชีพจรตรงคอค่อย ๆ เต้น แล้วลืมตาขึ้น
"ช่วงจังหวะนั้น คนที่มาช่วยงานต่างตกใจวิ่งหนีกระจัดกระจายกันโกลาหล บางคนถึงกับทั้งวิ่งและตะโกนว่า โดนผีหลอก ผมพยายามให้ทุกคนตั้งสติ แล้วเข้าไปดู
นางผาน ใกล้ๆ จึงรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ สามารถพูดคุยได้เหมือนคนปกติ แต่ดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรง ร้องขอดื่มน้ำตลอดเวลา"
"นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะทุกคนที่มาร่วมงานศพต่างเข้าใจตรงกันว่า นางผาน เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้เมื่อปีก่อน
พี่ชายของนางผานได้เสียชีวิตด้วยโรคชรา โดยเสียชีวิตไปนานถึง 9 วันกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร
ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อต้นปีนี่เอง"
ด้าน นางผาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า ช่วงที่ตนกำลังนอนหลับ ก็รู้สึกเหมือนกับฝันว่ามีคนเรียกหา และบอกว่าจะพาไปยังสถานที่ซึ่งสงบ
ตนจึงตัดสินใจเดินตามไป แต่เดินอย่างไรก็ตามไม่ทัน แล้วจู่ๆ คนที่เรียกก็หายไป
ในขณะที่ น.พ.บุญเกิด เชวงศรี ผอ.โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่อาจสรุปได้ว่านางผานเสียชีวิตแล้วฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่
แต่ตามการแพทย์ ผู้ที่เสียชีวิตจะต้องทั้งหัวใจและชีพจรหยุดเต้น ม่านตาเปิดกว้างไม่มีการตอบสนองของแสง กรณีดังกล่าวอาจเป็นการช็อกชั่วขณะ
แล้วลูกหลานตกใจคิดว่าเสียชีวิต
ข้อมูลจาก - หนังสือพิมพ์ข่าวสด
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 2
ลูกหลานตะลึงยาย 83 ปี ตายแล้วฟื้น
ลูกหลานตะลึงยาย 83 ปีตายแล้วฟื้น เผยหยุดหายใจไปนานกว่า 2 ชั่วโมง ลืมตาขณะลูกหลานจัดเตรียมงานศพ
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 12 กันยายน ผู้สื่อข่าวได้แจ้งว่า มียาย อายุ 83 ปี เสียชีวิต ไป 2 ชั่วโมง ก่อนฟื้นกลับมาหายใจอีกครั้ง อยู่ที่บ้านเลขที่
91 ม.1 ต.นิคมพัฒนา อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จึงได้เดินทางไปที่บ้านดังกล่าว
เมื่อไปถึงพบว่าเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ทราบจาก นางจรินทร์ ขันแก้ว อายุ 61 ปี ขณะกำลังดูแล นางชอบ ม่วงจร
แม่ของนางจรินทร์ อายุ 83 ปี นอนอยู่ที่เตียงนอนริมหน้าต่างหน้าบ้าน
นางจรินทร์ เล่าว่า พ่อชื่อ นายจำรัส ม่วงจร เสียชีวิต ไปตั้ง 45 ปี แล้ว แม่ก็อยู่ครองเป็นหม้ายตลอด โดยมีพี่น้องรวมทั้งหมด 6 คน
ตายเสีย 1 คน เธอเป็นลูกคนที่สอง บ้านเดิมเป็นคน จ.สมุทรปราการ ย้ายมารับจ้างทำไร่ ที่ อ.นิคมพัฒนา ปักหลักปักฐาน โดยแม่ชอบขายของ ซื้อกะปิ
เก็บผักไปขายที่ตลาดมาบข่า โดยมีลูกเขยคนเล็กจะไปส่ง ในระยะหลัง 10 ปีมานี้สุขภาพไม่ดี เนื่องจากป่วยเป็นโรคเบาหวาน จึงไม่ได้ไปขายของอยู่แต่บ้าน
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องได้เกิดเบื่ออาหาร ไม่ทานข้าวมาเป็นเวลา 3 อาทิตย์ กินแต่น้ำเท่านั้น เริ่มพูดน้อย โดยจะเป็นที่รู้ถ้าอยากกินน้ำหรือนม
จะพยักหน้า รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำ แต่ทางญาติๆไม่อยากให้ไปรักษาที่ รพ.กลัวว่าแม่จะถูกสายน้ำเกลือ ตรวจโน่นนี่มากมาย
จึงลงความเห็นกันว่าจะปล่อยให้เป็นธรรมชาติจะเกิดอะไรขึ้น
นางจรินทร์ กล่าวอีกว่า ญาติพี่น้องมาคอยเฝ้าดูอาการทุกวัน จนกระทั่งเมื่อคืน(11ก.ย.) เวลาประมาณ 22.00 น. จู่ๆแม่ก็หยุดหายใจ
พวกญาติพี่น้องก็ว่าเสียชีวิตกันแล้ว นำดอกไม้ใส่มือมัดตราสังข์ เตรียมใส่โลง จัดเตรียมเครื่องเสียง นำพรม สิ่งของใช้จากวัด มาเพื่อเตรียมงานศพ
พร้อมทั้งเตรียมรูปจัดวางหน้าศพไว้ เหลือเพียงเอาเต๊นซ์มากางเท่านั้น
แต่ปรากฎว่า ขณะที่บ้านเตรียมงานศพกันชุลมุนรวมเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จู่ๆ เวลา 00.15 น. วันที่ 12 ก.ย.
แม่กลับลืมตาขึ้นมาสร้างความประหลาดและดีใจปนตกใจแก่ญาติพี่น้อง ต้องรีบเอาดอกไม้ที่มัดมือออก
นางจรินทร์ กล่าวต่อว่า ญาติพี่น้องช่วยกันนวดเฟ้นดูแล พร้อมตรวจสอบสภาพหูและความทรงจำก็พบว่ายังดีเหมือนเดิม แต่ไม่ยอมพูด
แม้จะถามว่าตายไปแล้วไปไหนามาเห็นอะไรหรือไม่ก็ไม่ยอมพูด ซึ่งญาติพี่น้องก็อยากจะทราบ แต่ก็ไม่อยากถามเพราะชรามากแล้ว
ข้อมูลจาก - คม ชัด ลึก
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 3
ตะลึง"ตายแล้วฟื้น" งงทั้งรพ.ตื่นคาห้องดับจิต
เรื่องจริงที่อุดรซิ่งจยย.แหกโค้งส่งหมอ - สิ้นใจออก"มรณบัตร"เรียบร้อยแล้ว!
หนุ่มอุดรฯ ตายแล้วฟื้น พ่อขึ้นโรงพักขอคืนใบชันสูตรพลิกศพลูกชาย หลังจากลูกชายที่ขี่จยย.แหกโค้งบาดเจ็บสิ้นใจที่ร.พ.
แพทย์-พยาบาลพยายามช่วยชีวิตเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ฟื้น ทว่าหลังตร.ให้ใบชันสูตรพลิกศพประกอบการเสียชีวิตช่วยจนท.ร.พ.เข็นศพไปไว้ห้องดับจิต
ไอ้หนุ่มกลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้คน
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 9 ธ.ค. ร.ต.อ.สมจิตร สรรพวุธ พนักงานสอบสวนสภ.อ.เมืองอุดรธานีเปิดเผยว่า วันเดียวกันนี้นายหล้า ศรีอ่อนแสง อายุ 63 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 21 ม.2 บ้านสามพร้าว ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี ขอเข้าพบและถอนแจ้งความ
กรณี นายสนอง ศรีอ่อนแสง อายุ 17 ปี ลูกชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ขับรถจักรยานยนต์แหกโค้งได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตหลังจากรักษาตัวได้ 4 วัน เนื่องจากตอนนี้ลูกชายฟื้นคืนมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่
ร.พ.ศูนย์อุดรธานี
ร.ต.อ.สมจิตรกล่าวว่า เมื่อเย็นวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นายหล้ามาแจ้งความว่าลูกชายที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำเข้ารักษาตัวที่ร.พ.ศูนย์อุดรธานีตั้งแต่คืนวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้เสียชีวิตแล้ว
ตำรวจจึงออกใบชันสูตรพลิกศพให้กับนายหล้าไปยื่นให้กับ ร.พ. เพื่อประกอบหลักฐานการเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ
และมาวันนี้นายหล้าถือใบชันสูตรพลิกศพกลับมาคืนให้ โดยบอกว่าลูกชายไม่ตายแล้ว
จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังตึกศัลยกรรม 7 ชั้น แผนก ICU1 ชั้น 1 ร.พ.ศูนย์อุดรธานี ได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.สุกัญญา เทพบล
พยาบาลประจำห้องไอซียู1 ว่าร.พ.ศูนย์อุดรธานีรับตัว นายสนอง ศรีอ่อนแสง อายุ 17 ปี มารักษาตัวเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น.วันที่ 5
ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีพลเมืองดีและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯนำส่ง เบื้องต้นทราบว่าได้รับอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ มีเลือดออกในสมอง
แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดช่วยชีวิตได้เนื่องจากมีเลือดออกในสมองมาก
พยาบาลกล่าวอีกว่า กระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น.วันที่ 8 ธ.ค. นายสนองหยุดหายใจแน่นิ่งไปนาน แม้จะพยายามปั๊มหัวใจช่วยกว่า 10 นาทีก็ไม่สำเร็จ
จึงมั่นใจว่านายสนองเสียชีวิตแล้ว จึงแจ้งให้พ่อของคนไข้ทราบและแจ้งให้ไปขอรับใบชันสูตรพลิกศพจากตำรวจเพื่อประกอบหลักฐานยืนยันการเสียชีวิต
จากนั้นจัดการห่อศพและแจ้งให้เจ้าหน้าที่เปลมาเข็นศพนายสนองไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิต
"ขณะกำลังเข็นศพนายสนองออกจากห้องไอซียูไปยังห้องดับจิตด้านหลัง ร.พ. ปรากฏว่าร่างของนายสนองขยับได้
จึงรีบนำร่างของนายสนองเข้าห้องไอซียูอีกครั้งและใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา โดยหัวใจเต้นอยู่ประมาณ 70 ครั้งต่อนาที แต่สมองไม่สั่งงาน
และถือว่าอาการยังโคม่าอยู่ ก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันที่คนไข้หยุดหายใจไปแล้ว แต่กลับมาฟื้นหายใจได้อีก แต่ต้องใช้เครื่องหายใจตลอดเวลา
และขณะนี้ยังถือว่าโคม่าอยู่" พยาบาลคนเดิมกล่าว
ข้อมูลจาก - หนังสือพิมพ์ข่าวสด
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 4
'พ่อเฒ่า'วัย72 ตายแล้วฟื้น!
เมื่อตอนเย็นวันที่ 12 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ไปที่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 9 บ้านป่าเป้ายี่ข้อ ต.มะเขือแจ้ อ.เมืองลำพูน หลังจากมีเสียงร่ำลือว่า
มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อลูกหลานนำร่างออกจากโรงพยาบาล เพื่อนำมาทำพิธีอาบน้ำศพที่บ้าน กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อไปถึงพบ นายจันทร์ ผัดเป้า อายุ 72 ปี เจ้าของบ้าน นั่งอยู่ชั้นล่าง มีลูกหลานห้อมล้อมนั่งคุยอยู่ด้วย ซึ่ง นางผ่องพรรณ
ไสยรัตน์ อายุ 49 ปี ลูกสาว เปิดเผยว่า นายจันทร์มีอาการป่วยเรื้อรังมาเป็น ระยะเวลาหนึ่ง ได้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งใน จ.ลำพูน และ
จ.เชียงใหม่ แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคถุงลมโป่งพอง
นางผ่องพรรณเผยต่อไปว่า นายจันทร์เข้าๆ ออกๆหลายโรงพยาบาล กินยาเป็นประจำ แต่อาการไม่ดีขึ้น กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา
ได้เข้ารักษาตัวที่ โรงพยาบาลลำพูน และโรงพยาบาลลำพูนได้ส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่
แพทย์และพยาบาลให้การดูแลอย่างดี กระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 15 ต.ค. มีอาการทรุดหนักลงและเสียชีวิต ตนกับพี่น้องได้ไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับศพ
"ไปถึงโรงพยาบาลประมาณบ่ายสองโมง เจ้าหน้าที่กำลังจะนำศพไปเก็บในห้องเก็บศพ หลายคนบอกให้ฉีดยากันเน่าก่อนจะใส่โลงนำกลับบ้าน แต่ฉันไม่ยอม
เพราะเชื่อว่าพ่อยังไม่ตาย จึงนำร่างของพ่อขึ้นรถรับจ้างขนศพนำกลับบ้าน ระหว่างทางมาถึงสี่แยกไฟแดงถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง หรือสี่แยกป่าแดด อ.สารภี
ร่างของพ่อที่คลุมผ้าขาวดิ้นขลุกขลัก จึงเปิดออกดู พบว่ายังมีลมหายใจ"
นางผ่องพรรณ เล่าต่อไปว่า เมื่อมาถึงบ้านได้นำขึ้นไปนอนบนห้อง ทุกคนที่กำลังเตรียมพิธีศพต่างตกตะลึง กระทั่งห้าทุ่ม นายจันทร์เริ่มรู้สึกตัว
ลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากยังถามว่า มากันทำไม เมื่อลูกหลานเล่าให้ฟังว่า นายจันทร์ป่วยหมดลมหายใจไปแล้ว
นำกลับมาบ้านเพื่อทำพิธีศพ นายจันทร์ได้ยินถึงกับแสดงอาการมึนงง บอกว่า ไม่ได้เป็นอะไร กระทั่งเวลานี้เวลาผ่านมาเกือบเดือนแล้ว กินอิ่มนอนหลับตามปกติ
ร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น
ทางด้านเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่ได้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า นายจันทร์ไม่ได้เสียชีวิต แต่ญาติมารับกลับไปเมื่อวันที่ 16 ต.ค.
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติม ทางโรงพยาบาลได้ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด
ข้อมูลจาก - ไทยรัฐ
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 5
นางเยิก ยนต์อยู่ กับการตายแล้วฟื้น !
ตายเพราะลูก
นางเยิก ยนต์อยู่ เชื้อสายมอญ ตั้งบ้านเรือนอยู่ หมู่ที่ 6 ตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ขณะที่อายุ 30 ปี เมื่อปี พ.ศ.
2459 นางเยิก ยนต์อยู่ ได้คลอดบุตรคนที่ 3 ทารกที่ออกมาอยู่ไม่นานก็ตาย นางเยิกเองมีการตกเลือดมาก ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่มีกำลัง
ชีพจรเต้นอ่อนลงแล้วสิ้นลมปราณไปอย่างสงบ ทิ้งความเศร้าโศกสลดไว้แก่สามีและลูกๆ ตลอดจนญาติมิตรที่อยู่ข้างหลังเป็นอย่างมาก
ในครั้งนั้น ส่วนใหญ่จะเก็บศพไว้ประมาณ 7 วัน และตลอด 7 วัน จะมีพระมาสวดอภิธรรมทุกคืน ศพของนางเยิก แม้ตายไปแล้ว 3 วันก็ยังเหมือนคนนอนหลับ
ไม่ขาวซีดเหมือนคนตายทั่วๆ ไป ทางญาติพี่น้องเพียงแต่เอาผ้าคลุมเอาไว้ ไม่บรรจุโลง เพราะหวังกันว่านางเยิกอาจจะฟื้นขึ้นมาได้ หากครบกำหนด 7
วันแล้วยังไม่ฟื้นจึงค่อยนำบรรจุโลงและทำฌาปนกิจต่อไป
ครั้นถึงเช้าวันที่ 7 นายแพ ผู้สามีและญาติพี่น้องก็ได้ทำบุญ และเตรียมการบรรจุศพเพื่อทำฌาปนกิจในวันนั้น ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า
และชาวตำบลบางมะเดื่อได้พร้อมใจกันมาช่วยงานทำบุญ 7 วันกันอย่างเนืองแน่น ทุกคนต่างเสียดายในการจากไปของคนใจบุญชอบช่วยเหลือผู้อื่นอย่างน่าเวทนา
เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องอยู่ในความเศร้าโศกไปตามๆ กัน
ยังไม่ทันสิ้นกระแสโศก ศพของนางเยิกที่มีผ้าขาวคลุมร่าง ก็ค่อยๆ เพลื่อนไหว ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ทุกคนต่างขวัญหนีดีฝ่อ
คนใจอ่อนเผ่นกระเจิงอำไปก่อนใคร คนที่คุมสติได้ค่อยๆ เพ่งพินิจด้วยใจเต้นระทึก ต่อมาก็ได้ยินเสียงนางเยิกพูดด้วยเสียงแผ่วเบา และสั่นเครือว่า...
ฉันยังไม่ตายดอก...ตา !!!
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจกล้าขยับเข้ามารุมล้อม เมื่อนางเยิกฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจยังอ่อนเพลีย เพราะไม่ได้รับประทานอาหารนานถึง 7 วัน
หลังจากรับประทานอาหารร่างกายเข้าสู่สภาพปกติ อาการป่วยที่ตกเลือดได้หายไปแล้ว
นางเยิก ยนต์อยู่ จึงได้เล่าถึงความเป็นไประหว่างที่ตนตาย ให้ญาติพี่น้องผู้ที่สนใจฟังอย่างละเอียดละออ ดังนี้
ขณะที่กำลังนอนป่วยเพราะตกเลือด เนื่อจากการคลอดลูกคนที่ 3 นั้น รู้สึกอ่อนเพลียมากพอหลับตา ตั้งใจจะนอนพักผ่อน ก็มองเห็นลูกคนที่คลอดใหม่
และตายไปแล้วได้เข้ามาทางปลายเท้าและเอามือกระตุกที่หัวแม่เท้า บอกว่า แม่ๆ ไปกันเถอะ ต่อจากนั้นตนก็ลืมความเจ็บปวด ลืมเหตุการณ์ณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด
และด้วยความห่วงใยสงสารลูก จึงลุกขึ้นตามไป
แต่ที่สุด..ก็ไม่เห็นลูกเสียแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีว่า ตนมายืนอยู่ข้างกำแพงคนเดียว จึงเอะใจว่าเรามายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
เหลียวซ้ายแลขวาก็มองหาลูกไม่พบ นึกประหลาดใจว่าทำไมลูกที่บ้านอีก 2 คน และนายแพสามีจึงไม่ตามมาด้วย
เมื่อต้องมายืนโดดเดี่ยวในที่เปลี่ยวเปล่าอ้างว้างเช่นนี้ จึงมีความกลัวมาก พยายามจะนึกว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็นึกไม่ออก
ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนคนหลงทางอยู่กลางป่าทึบ ทั้งว้าเหว่ ทั้งกลัวเป็นที่สุด
เมื่อมองดูกำแพงที่ตนมายืนอยู่ใกล้ๆ นั้น ดูเหมือนกับกำแพงคุกที่บางขวาง จังหวัดนนทบุรี คือทั้งสูงทั้งยาวเหยียด
บนกำแพงมีป้อมสำหรับให้คนยามคอยเฝ้าดูอยู่เป็นระยะๆ มีความกลัวขนาดใจเต้นดังตึ๊กตั๊ก จึงพยายามก้มหน้ากัมตาเดินเลาะไปตามตีนกำแพงนั้น
โดยคิดว่าคงจะได้พบกับผู้คนบ้าง แต่ก็ไม่พบใครเลย เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างดังออกมาจากภายในกำแพง นึกสงสัยว่า
ภายในเขาทำอะไรกันอยู่ จึงเดินไปเรื่อยๆ ไปจนถึงประตูกำแพง ซึ่งเปิดอ้าอยู่ แต่มีคนยามหน้าตาน่ากลัวยืนเฝ้ายาม
ตนจึงได้มองเข้าไปในประตู แลเห็นนักโทษชายหญิงถูกล่ามโซ่ตรวนคล้องไว้ที่คอและขา เดินกันให้ขวักไขว่เป็นจำนวนมาก
จึงได้รู้ว่าเสียงกรุ๋งกริ๋งโกร่งกร่างนั้น เป็นเสียงโซ่ตรวนกระทบกันขณะที่นักโทษเดินไปเดินมานั้นเอง ตนอยากรู้ขึ้นมาว่า
เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงได้มาต้องโทษ ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนพะรุงพะรังเช่นนี้ จึงได้เดินเข้าไปพูดคุยกับคนยามที่เฝ้าประตูว่า
จะขอเข้าไปดูภายในกำแพงที่คุมขังจะได้ไหม ?
คนยามมองหน้ากลัวตอบว่า เข้าไม่ได้ ผู้ที่จะเข้าไปในแดนนี้ได้ ต้องเฉพาะผู้ที่มีคนคุมมาเท่านั้น
เมื่อตนได้รับการชี้แจงเช่นนั้น จึงได้เดินไปเรื่อยๆ จนถึงลานกว้างใหญ่อีกลานหนึ่ง ในบริเวณนั้นมีถนนใหญ่อีกสายหนึ่งมาบรรจบกัน
บนถนนสายนี้มีคนแบกหามคนตายมาเป็นทิวแถว มองดูเหมือนกับงานลงแขกเกี่ยวข้าว เสร็จแล้วก็แบกหามฟ่อนข้าวมาวางในลานนวดข้าว
ผิดกันแต่ว่าที่กลางลานนั้นมีบัลลังก์ใหญ่ตั้งอยู่
บนบัลลังก์มีคนท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่คนหนึ่ง และมีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มีสมุดข่อยสีดำคล้าย "คัมภีร์พระอภิธรรม" วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ
ซึ่งตั้งอยู่เบื้องล่างถัดลงมา คนที่นั่งบนบัลลังก์และคนที่นั่งต่ำกว่า แต่งตัวเหมือนกับละครของกรมศิลปากร ที่เคยดูอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาแสดงเป็น "พญายม"
ตนจึงเข้าใจว่าคนที่นั้งอยู่บนบัลลังก์คือ "ยมบาลใหญ่" หรือ "พญายม" นั้นแหละ และพวกที่มัดคนตายหามมาเป็นแถวๆ คือยมทูตนั่นเอง
เมื่อยมทูตแบกคนตายมาวางตรงหน้าบัลลังก์แล้ว พญายมก็ถามนายบัญชีผู้ถือสมุดข่อยว่า
คนนี้ทำกรรมชั่วอะไรมา ?
ผู้รักษาบัญชีเปิดสมุดตรวจดูแล้วบอกว่า คนนี้ใจบาปหยาบช้า ทำความชั่วไว้มาก ความดีมีโอกาสก็ไม่ทำ จึงควรจะชดใช้กรรมที่ทำไว้
พญายมจึงประกาศิตสั่งให้ยมทูตอีกพวกหนึ่งลากตัวไปลงโทษตามที่กำหนดไว้
นางเยิก ได้ยืนดูการพิพากษลงโทษคนทำความชั่วอยู่เป็นเวลานาน บางคนก็ถูกจับโยนไปในกองไฟ บางคนก็ถูกนำตัวเอาไปเฆี่ยนหลังด้วยหวายเหล็กไฟ
บางคนก็ถูกจับโยนลงไปในดงหนามเหล็กที่มีปลายแหลมคมเหมือนปลายหอก
ขณะที่ยืนดูอยู่เห็นคนทำชั่วปาบถูกลงโทษอย่างแสนจะทารุณเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกหวาดเสียวสยดสยองเป็นที่สุด แต่ใจก็อยากจะดูต่อไปอีก
ซึ่งยมทูตก็แบกคนตายเข้ามาวางอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น บางคนนั้นเมื่อนายบัญชีตรวจดูสมุดข่อยแล้วก็แจ้งพญายมว่า
คนๆ นี้เป็นคนดีมีศีลธรรมเคยทำบุญไว้มาก ยังไม่ถึงกำหนดจะสิ้นอายุ
พอนายบัญชีแจ้งแก่พญายมยังไม่ขาดเสียง คนตายที่วางอยู่หน้าบัลลังก์ก็กลับมีชีวิต ผลุดลุกขึ้นนั่งพนมมือแต้ทันที
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน พญายมท่านก็บอกว่า
เอ็งเป็นผู้ที่ทำความดีไว้ และทำบุญไว้ดี ก็ดีแล้ว จงตั้งหน้าทำความดีต่อไป เมื่ออายุยังไม่ถึงกำหนดก็จงกลับไปก่อนเถิดและอย่าได้ประมาท
เมื่อพญายมสั่งแล้วผู้คุมก็นำตัวออกไปจากที่นั้นทันที ครั้นพญายมเหลือบมาเห็นตนยืนดูอยู่จึงหันมาถามด้วยความสงสัยว่า
อ้าว ! นี่ใครละ ?......เอ็งมายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไงละ ?
ที่ท่านพญายมถามเช่นนั้น ก็เพราะว่าผู้ที่จะมายืนอยู่ที่นี่ได้ จะต้องมียมทูตแบกมัดเอาตัวมาทั้งนั้น สำหรับตนแล้วไม่มีใครผูกมัดมา
ทั้งไม่มียมทูตพาตัวมาด้วย ตนเดินเข้ามาเฉยๆ เมื่อได้ยินท่านถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ มีจิตเมตตา ไม่ได้แสดงกิริยาดุดัน จึงได้ตอบทานไปอย่างนอบน้อมว่า
ฉันหลงทางมาจ้ะ
ท่านถามชื่อแล้วให้ยมบาลเปิดสมุดข่อยตรวจดูว่า ตนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร และมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นายบัญชีได้แจ้งไปแก่ท่านว่า คนๆ นี้เป็นคนดี
เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ ทำบุญกุศลไว้มาก ยังไม่ถึงเวลาจะสิ้นอายุขัย พญายมจึงบอกแก่ตนว่า
เออ...เออ ! เอ็งเป็นคนดีมากที่อุตส่าห์ทำบุญทำกุศลไว้ บุญกุศลที่เอ็งทำไว้นี้ จะได้แก่ตัวเจ้าเอง
เมื่อท่านพญายมพูดขึ้นดังนั้น ทันใดนั้นตนก็ได้เห็นภาพนิมิตที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างชัดเจน เช่น โบสถ์ที่มีช่อฟ้าใบระกา มีเสียงระฆังที่แขวนไว้รอบๆ
โบสถ์ดังเหง่งหง่างเมื่อต้องลมโชย เห็นศาลาสี่มุข ที่ท่าน้ำที่มีน้ำในสะอาดไหลผ่านเย็นระรื่น
ครั้นมองไปอีกทางหนึ่งก็เห็นบนศาลาใหญ่ มีอาหารดีที่ปรุงด้วยฝีมือประณีตน่ารับประทาน มีทั้งสำรับเล็กและสำรับใหญ่วางอยู่เต็มศาลาไปหมด
ตนนึกไม่ออกว่าเคยเห็นบริเวณวัดนี้ที่ไหนมาก่อน จะเหมาเอาว่าเป็นวัดน้ำวนที่ตนเคยไปทำบุญเสมอหรือ ก็แต่วัดน้ำวนก็หาได้มีความวิจิตรพิสดารเช่นนี้ก็หาไม่
และที่น่าประหลาดใจอย่างที่สุดคือ เมื่อได้มาเห็นโบสถ์ วิหาร ศาลา ทั้งได้ยินเสียงของระฆังที่ถูกลมพัดกวัดแกว่ง ก็รู้สึกมีความเบิกบานสดชื่น
อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ลืมความกลัวที่มีอยู่ไปเสียสิ้น กระทั้งได้ยินเสียงของท่านพญายมพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า
เอ็งยังไม่หมดอายุขัย ยังจะทำความดีได้อีกมาก จงกลับไปก่อนเถิด
เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น ด้วยความดีใจตนจึงรีบยกมือไหว้ แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อมุ่งกลับบ้าน แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง
ปรากฏว่าสถานที่นั้นได้หายไปเสียแล้ว มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อกำลังเดินอยู่บนถนนอีกสายหนึ่ง เป็นถนนที่ราบรื่นร่มเย็น ไม่สกปรก
ไม่มีเศษขยะมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูลเปรอะเปื้อน แม้กระทั้งฝุ่นละอองก็ไม่มี
สองข้างถนนนั้นเล่าก็ปลูกต้นไม้เป็นแปลง เป็นพุ่มสวยงาม ทั้งไม้ใบและไม้ดอกหลากสีส่งกลิ่นหอมรวยระรื่น ขณะที่ตนเดินมาตามถนนด้วยจิตใจอันสดใสนั้น
ถึงจะเป็นเวลากลางวัน แต่แสงแดดก็ร่มครึ้ม เย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลย
ครั้นเดินต่อมาอีกครู่ใหญ่ ก็มาถึงหมู่บ้านที่ปลูกเรียงรายอยู่เป็นแถวเป็นแนวอยู่สองฟากถนน แต่ละบ้านสวยงามด้วยแบบต่างๆ
ผู้คนที่อยู่บนบ้านก็ล้วนแต่หน้าตาสวยๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีค่า เมื่อเดินผ่านไปเขาก็จะยิ้มต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีทุกคน
จนตนเองมีความรู้สึกในใจว่าชาวบ้านที่อยู่แถวนี้เขาทำบุญด้วยอะไรกันหนอ จึงต่างมีความสุขเหลือล้น ในขณะที่กำลังเดินชมหมู่บ้านไปอย่างเพลิดเพลิน
ก็ไปถึงบ้านหลังหนึ่ง มีความงามไม่แพ้หลังอื่นๆ ที่ผ่านมา คนที่อยู่ในบ้านเห็นตนเดินก็ออกมาบอกด้วยสำเนียงอันไพเราะว่า
แม่เยิกจ๋า บ้านนี้แหละที่เธอสร้างไว้ เมื่อเธอหมดอายุแล้ว จะได้มาอยู่บ้านหลังนี้
เมื่อได้ยินหญิงสาวที่อยู่ในบ้านร้องบอกเช่นนั้น ก็ดีใจจนบอกไม่ถูก จึงรีบจ้ำเดินกลับบ้านเพราะคิดถึงลูก
และก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนอนเหยียดยาว มีผ้าขาวปิดคลุมร่างคลุมหน้าอยู่ หูก็ได้ยินเสียงดังหริ่งๆ จึงพยายามทบทวนเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงหริ่งๆ ก็ยิ่งดังชัดขึ้นทุกที ปรากฏว่าเป็นเสียงร้องไห้อยู่ข้างหัวนอน ซึ่งเป็นเสียงร้องไห้ของตานั่นเอง ตนจึงได้ร้องออกไปว่า
ฉันยังไม่ตายดอก..ตา
นางเยิก อยู่มาอย่างมีความสุข ทำบุญสุนทานมากยิ่งกว่าเดิม ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงปี พ.ศ. 2520 อายุได้ 91 ปี
จึงได้เรียกลูกหลานมาประชุมกันพร้อมหน้าและสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ขอให้ทุกคนมีความปรองดองสามัคคีกันไว้ให้ดี อย่าทะเลาะเบาะแว้ง หมั่นทำบุญกุศลให้มาก
ใช้จ่ายเงินทองที่หามาด้วยความเหนื่อยยากในทางที่เป็นประโยชน์ ไม่ให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน
ส่วนแม่นี้ถึงเวลาที่จะต้องจากลูกหลานไปในอีก 4 วันข้างหน้านี้ และเมื่อแม่จากไปแล้วลูกหลานไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเสียใจอะไรทั้งสิ้น
เพราะการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น ให้ลูกๆ หลานๆ ทุกคนอยู่เป็นสุขๆ ด้วยกันทุกคนเถิด
ครั้นถึงวันที่ 4 จากนั้นมานางเยิกก็ถึงแก่กรรมไปโดยสงบที่บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลบางเดื่อ จังหวัดปทุมธานีนั่นเอง..
((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่องที่ 6 - 7 )))))