ตามรอยพระพุทธบาท

"ตายแล้วฟื้น" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ (เรื่องที่ 9) พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์
webmaster - 10/5/08 at 07:03

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 9


(ฟังเสียง พ.อ.เสนาะ จินตรัตน์ เล่าเรื่อง "ตายแล้วฟื้น" ตอนที่ 1 - 2)





(อ่านเรื่อง พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ผู้ตายแล้วฟื้น)


"......เรื่องราวที่ผมจะพูดในวันนี้ ถ้าคิด ๆ ดูมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วกับผม และมันเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ตายไปแล้วนะครับ
........คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นขึ้นมาและพูดหรือบรรยาย ความรู้สึกในสิ่งที่เขาไปพบเห็นมาให้ฟังได้ เพราะเขาไม่มีโอกาสหรือบางท่านอาจจะมีโอกาส แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเกียรติ เมื่อพูดจาไปแล้วก็ดูว่าเชื่อถือไม่ได้

.........เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เลยเป็นสิ่งที่เร้นลับ ไม่มีใครสามารถจะพิสูจน์ได้ แต่ในฐานะที่ผมประสบมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ผมกล้ายืนยันว่า เรื่องเหล่านี้มีจริง เรื่องของผมที่จะเล่าจะเริ่ม ณ บัดนี้...

ประวัติชีวิตข้าพเจ้า

ชีวิตผมเกิดมาเป็นลูก "สิบเอก" คุณพ่อเป็นทหารรักษาวังชีวิตความเป็นอยู่แร้นแค้น เพราะว่าคุณพ่อมีลูกเยอะถึง 10 คน ผมเป็นคนที่ 3 เมื่ออายุได้ 8 - 9 ขวบ ช่วงนั้นคุณพ่อมีลูกถึง6 - 7 คน แล้วนะครับ

เพราะฉะนั้นความเป็นอยู่ลำบากมาก เมื่อเวลาฝนตกทุกคนนอน แต่ผมต้องออกไปหาปลา น้องอีกคนไปหากบหาเขียด อีกคนหาผักบุ้ง เพื่อมาเป็นอาหารมื้อเช้า เงินเดือนสิบเอกแค่ 22 บาท เท่านั้น

ผมโตขึ้นผมต้องไปรบเวียดนาม ไม่ใช่เพราะผม ego ที่ไปเพราะผมต้องการเงินมาให้ญาติพี่น้องผมเรียนหนังสือ เพราะคุณพ่อผมเสียตั้งแต่ปี 2513 พูดถึงเรื่องความตายทุกคนก็ไม่อยากจะพบ ไม่อยากประสบ แต่ทุกคนก็อยากรู้ว่า

เมื่อเวลาตายแล้วไปไหน จริงหรือไม่เมื่อตายแล้วเราต้องไปนรกหรือไปสวรรค์ เราทำบุญเราจะได้บุญเราทำบาปเราจะได้บาป เรื่องนี้ท่านทุกคนก็สงสัย ทุกคนมีกรรม แต่ว่ากรรมของเรานี้เมื่อชาติก่อนเราเป็นอะไร อาจจะเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นสัตว์ เราได้สร้างกรรมสร้างเวรไว้กับใคร อันนี้เราไม่ทราบได้

แต่เมื่อเกิดมาในชาตินี้ กรรมนั้นมันก็ตามมา บางท่านอาจจะไม่เชื่อว่ากรรมนั้นเป็นมาอย่างไร แต่กรรมนั้นมี แต่เราไม่รู้ ทุกคนเกิดมาก็จะต้องมีการตายแน่นอน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมายความว่ากรรมที่ว่านั้นคือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ซึ่งเราเรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่ว

ท่านอาจจะอยากทราบว่าเวลาจะตายนั้นมันเป็นอย่างไรเพราะเมื่อมีการตายนั้นจะต้องมีการตั้งศพสวด นิมนต์พระมาสวดศพ เป็นการแผ่บุญกุศลให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว และก่อนที่เราจะบรรจุศพคนตายลงไปในโลง เรามีการรดน้ำศพที่มือขวา

เวลาที่เรารดน้ำศพ เรามักพูดกันอย่างนี้ คือขออโหสิกรรมผู้ตายเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กรรมใดที่เราเคยผิดพ้องหมองใจก็ขออโหสิกรรมเสียในชาตินี้ อีกคนหนึ่งก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านไปสู่สุคติ อีกท่านก็อาจจะพูดว่า ขอให้ท่านจงไปสู่สัมปรายภพเทอญ

บางท่านก็บอกว่าชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน ขอให้ท่านอย่าได้ห่วงร่างและห่วงวิญญาณในชาตินี้เลยขอจงไปสู่สุคติเถิด บางคนก็รดน้ำศพไปอย่างนั้นน่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรการที่เราทำอย่างนั้น เราก็ต้องการให้คนที่ตายไปอยู่ภพหน้า ทั้ง ๆที่เราก็ไม่รู้ว่ามีจริงมั้ยจริง ให้เขาไปอยู่ในภพหน้าด้วยความสุขกว่าที่เขาอยู่ในชาตินี้

ถึงแม้ว่าเขาจะมีความลำบากในชาตินี้อย่างไรเพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาเขาตาย เราก็ขอให้เขาไปดี แล้วก็ไปอยู่ดีกว่าที่เขาเป็นอยู่ในชาตินี้ แต่ความจริงแล้วการที่เราพูดอย่างนั้นมันก็มีส่วนถูกบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะถูกทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์การที่เรารดน้ำศพ เราควรจะพูดอย่างนี้ครับ
ชีวิตของคนเกิดมา ท่านกับเราตายเหมือนกัน แต่ว่าใครจะตายช้าตายเร็ว ขอให้กรรมดีที่ท่านได้สร้างไว้ในชาตินี้ในภพนี้จงช่วยนำท่านไปสู่สุคติ อย่างนี้ครับจึงจะถูก.

และต้องพูดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตายต้องการมากที่สุด อย่าได้ห่วงญาติมิตร อย่าได้ห่วงทรัพย์สมบัติ ซึ่งมันไม่มีแก่นสารอะไร ขอให้ท่านตัดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ และขอให้กรรมดีที่ท่านทำในชาตินี้พาท่านไปสู่สุคติ อย่างนี้น่าจะถูกต้องมากกว่า



เล่าเรื่องการตายครั้งที่ 1

ซึ่งผมจะมีเหตุผลในการที่จะพูดต่อไปในเรื่อง การตายครั้งที่ 1 ที่กองทัพหนึ่งมีสโมสรของ พัน สห.มทบ. 1 ผมได้มาเล่นรัมมี่ที่นี่ติตต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน 6 เดือนนี้ผมจะเลิกในราวเที่ยงคืน ตลอด วันนั้นประมาณวันที่ 8 มีนาคม 2513 ก็ปรากฏว่าผมเล่นไพ่ 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันแรกทานข้าวได้ วันที่สองทานก๋วยเตี๋ยววันที่ 3 ทานน้ำอัดลม

พอคืนวันอาทิตย์ผมก็หมดแรง ผมจะลุกขึ้นไปห้องน้ำปรากฏว่าหน้ามืดล้มตึง เพื่อน ๆ ถามว่าจะไปตายที่บ้านหรือจะไปโรงพยาบาลผมบอกไปตายโรงพยาบาล ญาติพี่น้องไม่เห็นใจ เขาก็พาผมไปบ้านในสภาพของคนที่เรียกว่าหมดสภาพเหมือนนกปีกหักไม่มีแรง โซซัดโซเซนะฮะ หน้าดำ..ดำปี๋เลย.

ผมก็บอกคุณแม่ว่าผมไปเล่นไพ่มา แล้วก็ไม่ได้ทานน้ำไม่ได้นอนเลย คุณแม่มองดูลักษณะท่าทางการพูดของผมแล้วมันเหน็ดเหนื่อยมาก ท่านก็บอกว่าไปนอนพักผ่อนซะ ในระหว่างนั้นผมก็มีอาการหนาวสั่น เท้าเริ่มชา แล้วตาก็มองไม่เห็น คุณแม่ก็คิดว่าผมคงจะต้องตายแน่ ท่านก็เลยให้น้องชายไปซึ้อดอกไม้มา แล้วก็ให้ผมสวดมนต์

ท่านให้ผมนึกถึงพระที่ผมนับถือ ให้นึกถึงหลวงพ่อที่เราเคารพ เพื่อวิญญาณเราจะได้ไปสู่สุคติตามความเชื่อของผู้ใหญ่ ท่านให้ผมพูดคำว่า "พระอรหันต์" ผมก็ไม่รู้ว่า "พระอรหันต์" หมายความว่ายังไง ผมก็นึกว่าคงเป็นพระพุทธเจ้ามากกว่า ผมก็พูดตามที่คุณแม่ว่า

ตอนนี้มันก็มีโลหิตออกทางปาก จมูก และที่หู เท้าชา แล้วก็เริ่มลมสว้าน ลมสว้านมันจะตีขึ้นมา เสียงมันจะอู้ในหูครับ ดังวิ้ว..วิ้ว,,วิ้ว..ว ดังตลอดเลย นั่นหมายความว่าชีวิตใกล้จะสิ้นแล้ว แล้วตัวนี่เย็นชาตลอด เย็นมาก คุณแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงฮะ คุณแม่ก็ร้องไห้ ท่านร้องไห้ตลอดเวลา ผมก็บอกว่า คุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงระฆังดัง

เพราะตอนนั้นมันเป็นเวลาใกล้สี่ทุ่ม คุณแม่ก็บอกว่าระวังที่ว่านี้มันเป็นระฆังแบบที่แขวนไว้ตามโบสถ์ มีใบโพธิ์ห้อยกลาง เขามีเงินเขาก็ซื้อมาแขวนไว้ที่บ้าน เราคนจนเราก็ไม่มี อย่าไปสนใจเลยลูกว่า "พระอรหันต์" ต่อดีกว่า ผมก็ว่า "พระอรหันต์" ต่อ.

เดี๋ยวเดียวเท่านั้นผมได้ยินเสียงพระสวด พระท่านสวดมาแต่ไกล ผมก็บอกคุณแม่ครับ ผมได้ยินเสียงพระสวด คุณแม่ก็บอกมีคนตายใกล้ ๆ บ้านเรา เขาเป็นเศรษฐี เขาเอาศพทั้งที่บ้านสามารถที่จะเลี้ยงแขกได้ 3 มื้อ ซึ่งมันเปลืองกว่าไปเลี้ยงที่วัดเพราะเขาเป็นเศรษฐี ลูกอย่าไปสนใจเลย ว่า..พระอรหันต์ ว่า..นะโม ตามที่แม่บอกดีกว่า

ผมก็ว่าตาม คราวนี้ผมเห็น...ก้อนเนื้อพังผืด ที่มันน่าเกลียดมาก มันลอยจากท้องฟ้า ลอยมา..ลอยมา แล้วผมก็บอกคุณแม่ว่าผมเห็นเนื้อพังผืด ซึ่งเป็นปุ่มปมคล้าย ๆ กับหนังคางคก ซึ่งมันน่าเกลียดมาก เมื่อมันลอยเข้ามาหาผม ผมมีความขยะแขยง ความน่าเกลียดของมันมาก ผมก็แลบลิ้นออกมาเต็มที่

ในช่วงนี้ผมปัสสาวะราดและก็อุจจาระออก เลือดออกปาก ออกจมูก แล้วคุณแม่บอกว่า ผมคอพับไปและหัวใจไม่เต้น คุณแม่ก็หวังว่า พรุ่งนี้จะรดน้ำศพกันที่วัดโสมฯ ก็ได้มีการติดต่อกับที่วัด จะเอาศพผมไปรดน้ำศพที่ศาลา 3 และได้มีการติดต่อกับทางญาติที่ชลบุรีบ้าง ที่เพชรบุรีบ้าง ที่นครสวรรค์นครปฐม และที่ปากเกร็ด คือบอกหมดทั้งญาติคุณพ่อคุณแม่เพื่อจะให้มารดน้ำศพ

ท่องแดนนรก - สวรรค์
ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ผมไปแล้วนะครับ ต่อไปก็เป็นช่วงที่ผมจะไปพบอะไรข้างบนบ้าง ผมไม่ทราบว่าผมใช้เวลาเท่าไหร่ในการที่จะรู้สึกตัวว่าผมได้มาเดินอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นราบน่าเดินมาก พื้นราบนั้นเปรียบเสมือนสนามบินดอนเมือง แต่ว่าเท้าที่เราเดินผมไม่มั่นใจว่าเป็นการเดินเอาฝ่าเท้าลง

ผมรู้สึกว่าผมเดินเอาฝาเท้าหงายขึ้นซึ่งมันผิดปรกติ แล้วพึ้นที่นั่นก้มมองไม่เห็น เพราะมันเป็นพวกหมอกสีขาว และหมอกสีขาวนั้นทึบมาก แต่ผมมองเห็นตัวเองนุ่งกางเกงสีน้ำเงิน เสื้อยืดสีขาว แต่คนที่เขาเดินกับผมไม่เหมือนผม คือเขาแต่งชุดสีขาว ลักษณะเป็นผ้ามัดตราสัง แล้วตัวเขาไม่ได้มีเนื้อมีหนังเหมือนอย่างเรา คือตัวเป็นกระดูกทั้งสิ้น

เพราะเราสังเกตได้เวลาเขาเดิน ตรงหัวเข่าเขาที่หายไปกับหมอกควัน ซึ่งท่วมพื้นอยู่นั้น ผมเห็นเขาเดินหย่ง ๆเหมือนหนังสโลว์ แล้วก็เห็นเป็นกระตูก มีเสียงดังของกระดูกกระทบกับพื้น แล้วทุกคนที่เดินไปร้องไห้ ร้องไห้ทุกคน

เขาร้องไห้ทำไมครับ เขาร้องไห้ เพราะเสียดายเวลาเมื่อตอนที่เขาเป็นมนุษย์เขาไม่ได้ทำบุญเลย หรือทำก็ทำน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ เมื่อเขาเดินทางไปเขาหิว เมื่อหิวเขาก็ไม่มีอาหารทาน.

ในระหว่างที่เดินไปนั้น มันจะมีอำนาจอันหนึ่งที่เราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอำนาจนี้มาจากไหน เราจะได้ยินแต่เสียงดังขึ้นจากท้องฟ้า เสียงนั้นบอกว่า บัดนี้ท่านตายแล้ว ขอให้ท่านปฏิบัติตัวดังนี้ หนึ่ง อย่าคิดถึงญาติพี่น้อง ลูก เมีย และร่างของตัวเองที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ห้ามคิดถึงเด็ดขาด ใครคิดจะมีโทษ โทษนั้นหนักมาก เดี๋ยวจะเล่าว่าเป็นยังไง

ต่อไปประการที่สอง ในระหว่างเดินไปห้ามเหลียวซ้ายห้ามแลขวา ห้ามหันหลัง ประการที่สาม ห้ามพูดจากันระหว่างทางที่เดินกันไป เหล่านี้เป็นบัญญัติที่มีการสั่งห้ามไว้ แล้วถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษมาก เมื่อเราฟังโทษแล้ว เราจะรู้สึกว่าโทษนั้นเป็นโทษที่น่ากลัวมาก เราเป็นทหารนี่ เจ้านายผู้บังคับบัญพาบอกว่าถ้าทำผิดอย่างนี้จะต้องถูกขัง 3 วัน เรามีระยะเวลาออก ละเราก็สามารถที่จะทนได้ แต่โทษของเขาข้างบนนั้นไม่เหมือนกัน.

ยกตัวอย่างเช่นคนที่ถูกตีถูกโบย เนื่องจากก่อกรรมไว้ในชาตินี้มาก เวลาตายไปแล้วจะมีคนมารับ แล้วคนที่รับนั้นจะทุบตีการตีด้วยหวายของเขา เขาไม่ใช่เฆี่ยนตีหลายที เขาตีเพียงทีเดียวหนเดียว แต่การเจ็บนั้นเจ็บไปถึง 3 - 4 ชั่วโมง แล้วคนที่ถูกตีนั้นจะร้องโหยหวนเจ็บปวดมาก ที่ผมฟังดังนั้นเสียงมันโหยหวนมาก จนกระทั่งเรียกว่าเรากินข้าวเสร็จ เสียงนั้นก็ยังได้ยินอยู่เรื่อยไป

อันนี้ทุกคนเห็นภาพแล้วนะครับว่าผมเดินไปยังไง และมีใครบ้าง แต่ผมจะไม่พูดถึงการไปนรกนะครับ ผมจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์เท่านั้น เพราะข้างบนเขาสั่งมาว่า ถ้าท่านจะพูดถึงเรื่องการไปสวรรค์นั้น ท่านพูดได้ ข้างบนไม่ขัดข้อง แต่ห้ามพูดเรื่องการไปนรก เพราะว่าในการที่เราพูด มันจะมีผลเสียผลดีไม่เหมือนกัน

อย่างเช่นเราบอกเขาว่าท่านทำบุญสิ ใส่บาตรพระวันละองค์สิ ถึงแม้ไม่มีก็ใส่ไข่ต้มหรือไข่ดาวก็ได้ ไม่มีก็ปาท่องโก๋หรือซาลาเปา ถวายพระชิ้นสองชิ้นก็ได้ ถ้าหากท่านไม่ทำมันก็ไม่มีผลเสียอะไร สังคมก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากเราบอกว่า ท่านอย่าไปผิดถูกผิดเมียเขาท่านอย่าไปปล้นจี้ขี้โกง อย่าไปฆ่าคนนะ ถ้าหากท่านทำอย่างนี้ท่านจะได้รับโทษอย่างนี้.

สภาพเมืองนรก
1...ท่านอาจจะต้องลุยกอบัวที่มีหนามแหลมคม ซึ่งหนามนี้เป็นหนามเหล็ก ท่านจะต้องปีนต้นงิ้ว ซึ่งมีอีกาปากเหล็ก และข้างล่างจะมีคนคอยเฆี่ยนคอยโบยให้ท่านต้องปีนต้นงิ้ววันหนึ่งไม่รู้กี่เที่ยว ท่านต้องนั่งในที่แคบ ๆ โดยที่ไม่มีอาหารกิน แล้วก็จะมีคนมาเฆี่ยนตีท่านทุกชั่วโมง ถ้าหากเราพูดไปอย่างนี้ไม่มีใครเชื่อ เมื่อไม่มีใครเชื่อคนต่าง ๆ เหล่านั้นก็ขัดขืน เมื่อเขาเกิดการลองดีขึ้นมา เขาก็ไปก่อกรรมทำชั่วขึ้นมา มันก็เกิดผลเสียขึ้นต่อมนุษยโลก ...

เพราะฉะนั้นไอ้เหตุผลอันนี้นะครับ ผมถึงไม่พูดเรื่องการไปนรก ดังที่ผมก็เห็นว่านรกมีอะไรหลายต่อหลายอย่าง แต่พูดไม่ได้ เพราะรับปากไว้แล้วว่าไม่พูด แล้วผมกลัวมากครับ ผมถึงไม่พูด ทีนี้ในระหว่างที่เดินไปนะครับ ทางขวาก็เป็นพื้นที่ว่างโล่งทางซ้ายก็เป็นเหมือนคนใส่บาตรเต็มหมดเลยนะครับ แล้วแต่ว่าคนมีคนจน

อานิสงส์การทำบุญใส่บาตร
แต่คนจนก็มีพวกโต๊ะไม้ ขันทองเหลือง ขันอะลูมิเนียมใส่ข้าว ปิ่นโตก็ใส่กับข้าว คนรวยก็มีเก้าอี้มุก เก้าอีเงิน และอาหารก็แตกต่างกันออกไป ผมก็รู้สึกว่าผมหิวข้าว ผมก็มองไปที่ที่เขาตั้งอาหารอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกวักมือเรียกผม บอกว่า เอ้า ! ร้อยโท เสนาะอาหารคุณอยู่ทางนี้ ตอนนะผมยังเป็นร้อยโท เขาก็เรียกผมเข้าไป.

เขาก็เอาอาหารให้ผมทานตลอด ผมท่านไปผมก็คิดนะครับว่า อาหารต่าง ๆ เหล่านี้ผมเคยเห็นที่ไหน ผมนึกได้ครับว่าเมื่อตอนสมัยผมอายุ 7-8 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ใช้ให้ผมเป็นผู้ใส่บาตรตอนเช้าตลอดเวลา เนื่องจากครอบครัวเราจน เพราะฉะนั้นเราจึงทำบุญใส่บาตรทั้งข้าวแดงข้าวขาว

ส่วนกับข้าวนั้น คุณแม่ก็ช่วยรายได้ของคุณพ่อ ก็โดยที่คุณแม่ก็เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงให้กับทหารเกณฑ์ เพราะงั้นอาหารที่ใส่บาตรพระก็เป็นพวกแกงซะเป็นส่วนใหญ่ พวกแกงปลาดุกแกงปลาไหล แกงเนื้อ ปลาทูทอด ไข่ลูกเขย ไข่ต้ม ไข่ดาว ไข่พะโล้มันจะเป็นลักษณะนี้มาก ขณะผมท่านผมคิดได้ว่า ไอ้ขันเงินใบนี้มันเป็นขันล้างหน้าของคุณแม่ผม

และก็ไอ้ขันทองเหลืองที่ใส่ข้าวแดงเป็นขันล้างหน้าของคุณพ่อผมที่ให้ผมใส่ข้าว แล้วก็เอามาใส่บาตรพระ ผมทานเสร็จผมก็นึกนะฮะ นึกถึงการทำบุญเมื่อตอนสมัยที่ผมเป็นเด็กอยู่ ผมก็คิดว่าเมื่อผมทำบุญมาผมก็ได้กิน ผมก็ถามบอกว่าแล้วคนอื่นเขาจะมาทานอาหารผมได้มั้ย ผู้หญิงคนที่เขามารับผมบอกว่าทานไม่ได้ เนื่องจากว่าตอนเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้ทำเอาไว้ เพราะงั้นก็ไม่มีกิน.

ผู้หญิงที่มารับผมเขานุ่งผ้าถุงสีเขียว เสื้อสีขาวแบบผ้าด้ายดิบ สะอาดและมีกลิ่นหอม ทรงผมปล่อยแล้วมีปิ่นปักผมเป็นไม้ไผ่เสียบไว้ข้างหลัง มันจะหอมชวนให้เราเดินตามไป ลักษณะมันคล้าย ๆ ต้นไม้ใหญ่ลอยบนอากาศ เป็นรากสีเขียว ๆ มัน ๆแผล็บเลย มันจะลอยนำหน้าตลอดเวลา แล้วมันจะมีกลิ่นหอมให้เรานี้เดินตามกลิ่นหอมนั้นไป คล้าย ๆ ว่าไปแล้วไม่ต้องกลับละให้ไปตลอดทาง

ผมได้เหลือบมาทางซ้ายมือนะฮะ ก็เห็นตาแก่คนหนึ่ง แกสูงประมาณ 180 ซม. ตัดผมทรงลานบิน นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อด้ายดิบแขนสั้น แกชะโงกทางขวามือ แล้วก็ถามว่าเห็นนายแกมั้ยผมบอกผมไม่เห็นหรอก เพราะผมไม่รู้จักว่านายท่านชื่ออะไรอยู่ที่ไหนผมไม่รู้ แกบอกว่าแกมาคอยนายแกนานแล้ว ไม่เจอสักที

ผมสังเกตว่าอาหารของแกวางอยู่บนเก้าอี้มุก มีขันเงินใบใหญ่ มีข้าวมีควันขึ้น แล้วก็น้อยหน่าลูกใหญ่ มีทั้งเงาะ ลางสาดหรือผลไม้ลูกโต ๆ แกงก็ใส่ภาชนะที่ดีมากเลย แล้วมีควันขึ้นตลอด ผมก็ทานเงาะของผมที่มันดีมั่ง ใหญ่มั่ง เล็กมั่ง และกันไปนะฮะซึ่งเทียบเขาไม่ได้

ผลของการทำความชั่ว
ในขณะเดียวกันผมก็มองไปทางขวามือ ผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งสีขาวแบบที่ผมว่า แกกินข้าวแล้วแกก็ร้องไห้ น้ำตาแกไหลพรากเลย แกกินข้าวไม่เหมือนเรากิน อย่างเรากินเราใช้ช้อนตักทานปรกติ แต่แกกินแกต้องใช้มือหยิบข้าวทีละเม็ดเข้าปากเวลาแกกินทีแกต้องร้องทีร้องโหยหวน ผมก็ถามผู้หญิงที่เขามารับผู้ชายคนนี้ว่า ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ น่าสงสารนะ น่าเวทนา เขาก็เล่าให้ฟังว่า

เมื่อตอนที่ผู้ชายคนนี้ยังเป็นมนุษย์ เขาเป็นพ่อค้า ก็มีพระองค์หนึ่งมาบิณฑบาตตอนเช้า แกก็ไม่อยากให้พระมาบิณฑบาต เพราะแกไม่อยากทำบุญ วันแรกแกก็ทำบุญด้วยข้าวดิบ พระก็กลับไปวัดไปฉันข้าวดิบก็ท้องเสีย อีกวันหนึ่งพ่อค้าคนนี้ก็แกล้งเอาข้าวไหม้ใส่บาตร เพื่อจะไม่ให้พระองค์นี้มาบิณฑบาตอีก อีกวันก็เอาข้าวบูด ส่วนผลไม้ก็เอาที่ดิบมั่ง สุกมั่ง เน่ามั่ง เอามาใส่บาตร

เมื่อเวลาแกตายมา แกก็ต้องมากินไอ้อย่างนั้นแล้วแกก็ร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งระยะทางที่ต้องไปมันจะมีทางสองแพร่งทางหนึ่งจะเดินขึ้นสูง นั่นหมายความถึงไปสวรรค์ อีกทางหนึ่งจะเดินไปทางลง ความรู้สึกเราบอกว่าเราเดินขึ้น แต่คนที่เดินไปทางแรกนั้นจะมีคนไปเยอะมาก เดินกันที่เรียกว่าแทบจะเบียดกันเลยนะฮะ เยอะมาก.

ผมก็บอกว่าผมหิวน้ำนะครับ เขาบอกว่าเมื่อตอนสมัยที่คุณเป็นมนุษย์นั่น คุณไม่ได้ทำบุญด้วยน้ำ เพราะงั้นคุณไม่มีน้ำกินผมหิวคอแห้งมาก ผมบอกว่าผมจะกลับไปเมืองมนุษย์ใหม่ เพื่อทำบุญด้วยน้ำ จะได้มีน้ำกินเยอะ ๆ แต่ผู้หญิงที่มารับผมเขาบอกว่า ผู้ที่มาที่นี่แล้ว ไม่มีใครที่จะกลับได้สักคนนะครับ แล้วก็ถามผมว่าอิ่มหรือยัง เพราะคุณจะต้องไปอีกไกล ผมบอกผมอิ่มแล้ว

พอพูดคำว่าอิ่มแล้ว อาหารที่เราทานหมดมันมีขึ้นมาพูนเหมือนเดิม ข้าวก็เต็มขัน แกงก็เต็มปิ่นโต ไข่เจียวไข่พะโล้เนี่ย ก็ขึ้นมาเต็มจาน ผู้หญิงคนนี้ก็แบกโต๊ะแล้วก็เดินไปเขาเดินไปสัก 4-5 ก้าว ก็กลายเป็นลอยขึ้นไปนะฮะ เหมือนคนเหาะแล้วก็หายขึ้นไปในอากาศ อากาศที่นั่นผมกะประมาณ 17-1 8 องศาเซลเซียสเพราะว่าอากาศมันเย็นมาก และฝุ่นละอองไม่มี ผมก็รู้สึกหิวน้ำมากก็คิดว่าจะต้องกลับ แต่กลับทางเก่าก็คงกลับไม่ได้

เพราะงั้นมันมีช่องสำหรับผู้หญิงผู้ชายที่เป็นคนคอยมารับ เพราะเมื่อเขาไปแล้วมันจะมีช่องโหว่ตรงนั้นใช่ไหมครับ ผมก็เอาเท้าไปเหยียบลงไปพอเอาเท้าไปเหยียบก็คล้าย ๆ ว่าถูกของแหลมคมบาดผมก็ชักเท้ากลับมา รู้สึกว่ามีเลือดไหลที่ฝ่าเท้า ผมก็ให้เท้าขวาเหยียบไปอีก ก็ปรากฏว่าเจ็บเหมือนกัน แต่ทีนี้ไอ้ความหิวอยากจะทานน้ำ หรืออยากจะกลับบ้านมีมาก ทำให้ผมกลั้นใจเหยียบเดินลงไป แล้วก็ย้อนจากตาแก่นั้นขึ้นมา.


ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา ครั้งที่ 1

ผมเดินมานานเท่าไหร่ผมไม่ทราบนะฮะ แต่ผมมารู้สึกว่าผมเห็นบ้านผม แล้วก็มีคนเดินกันขวักไขว่ เขาแต่งขาว แต่งดำตอนนั้นผมกะว่าตอนนั้นคงเป็นเวลาสัก 3 โมงครึ่งเกือบ 4 โมงแล้วตอนนี้ทางวัดโสมฯ เขาเอารถมารับผมแล้ว ที่ใส่ศพสมัยก่อนเขาก็เป็นเปลสนาม มันจะมีผ้าคลุมศพสีดำคาดทอง ผมรู้สึกว่าหน้ามืดแล้วก็ล้มลง มารู้สึกอีกทีผมก็ดันฟื้นมาตอนเกือบ 4 โมงเย็น ผมหมดสติหรือผมตายไป ดังที่ว่านี่ก็เป็นเวลาตั้งแต่ 4 ทุ่มของคืนวันอาทิตย์แล้ววันจันทร์ตอน 4 โมงผมฟื้น

ตอนช่วงที่ผมสิ้นชีวิตหรือว่าตายไป คุณแม่ผมจุดธูปตลอดไม่ให้ขาดเลยนะ โดยที่ขอชีวิตผมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยคุณแม่ก็หวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง คล้าย ๆ กับว่าคุณพ่อก็มาเสียไป ถ้ามาเสียผมอีกคน น้อง ๆ อีก 7 คน ก็ไม่ได้เรียนหนังสือกันก็อยากจะขอวิญญาณหรือขอชีวิตผมคืนมา

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมก็กลับฟื้นขึ้นมานะฮะ แล้วผมก็ไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎ ประมาณ3-4 วัน หมอก็ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ ให้เลือด แล้วผมก็มีชีวิตอยู่รอดมาจนกระทั่งมีการตายครั้งที่สองขึ้นมา

คราวนี้ผมต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า ผมเริ่มช่วยเป็นโรคไตวาย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2527 ผมได้เข้ารับการรักษาที่ตึกแปดชั้น โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ห้อง 619 ผมป่วยอยู่ประมาณเกือบ 70 วัน.

วันนั้นเป็นวันที่ 7 หรือที่ 8 เดือนมกราคม 2528 ซึ่งเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด เพราะคุณหมอผู้รักษาก็บอกว่าผู้การกลับบ้านได้แล้วนะ เพราะว่าโรคไตที่เป็นนั้นได้รับการรักษาขั้นต้น ได้มีการเจาะหน้าท้อง แล้วก็ใช้น้ำยาล้างหน้าท้อง คือถ่ายเอาของเสียออกทั้งหมด 54 ขวด ก็หมายความว่าพ้นขั้นอันตรายแล้วกลับบ้านได้ แล้วก็รอการผ่าตัดเส้นเลือดดำเส้นเลือดแดง คือรอให้เส้นมันโตจะได้ใช้การล้างทางเครื่องไตเทียมต่อไป ผมก็ดีใจมาก

ตอนนั้นผมกับภรรยายังคุยกันเรื่องหนัง ที.วีที่ดูในห้องผู้ป่วยพิเศษที่ผมนอนอยู่นั้น พอหนังเรื่องนี้จบตอน 2 ยาม15 ผมก็นอน ก็ต่างคนต่างนอนลง พอล้มตัวลงนอน ผมรู้สึกว่ามีคนมาปลุกผมนะครับ โดยคนจำนวนมากไม่ต่ำกว่าร้อย ๆ คน ผมก็ลืมตาขึ้นมา

ก็ปรากฏว่าทางซ้ายมือของผมในลักษณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงนี้นะครับ ผมเห็นมือของคนเป็นร้อย ๆ มือยุ่บยั่บเลย ส่วนหลังมือเป็นสีดำคล้ายๆแช่น้ำครำ แต่ฝามือนี่เหลืองคล้าย ๆ สีท้องจิ้งจก เหลืองมากและซีดมาก เสียงร้องนี่ไม่รู้ใครเป็นใครเลย ระงมไปหมด ผมไม่ทราบว่าหูผมฝาดไปหรือเปล่า

ตอนแรกลืมตาดูก็เห็นภาพไหว ๆ ทางขวามือ ผมเห็นผู้หญิง 2 คน นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลไหม้เก่า ๆ ตัวแกผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มือแก ก็มีแต่กระดูก กำลังจับแขนผมดึงขึ้นเอาไว้ที่แก้มแก 2 หนนะครับ แล้วแกก็ร้องไห้ ผมก็แอบชำเลืองดู

เอ๊ะ ! ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนนี่ มันเป็นผีนี่เพราะว่าดวงตาของแกมันไม่มีดวงตาสีดำเลย มันเป็นดวงตาสีขาว แต่มีเลือดสีแดงเต็มหมดเลย แล้วตาแกก็ลึกโบ แก้มตอบ แกหิวโหย มาก ปากแกแห้ง แกร้องไห้แบบ - ผมไม่รู้จักเรียกยังไงไอ้ความเศร้าโศกของแก แกร้องไห้เหลือเกิน โหยหวนมาก

ในระหว่างนี้ผมก็นึกถึงพระนะครับ ว่าตอนนี้ผมถูกผีหลอกผมก็นึกถึง หลวงพ่อผา หลวงพ่อโอภาศรี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ผมเคารพนับถือ พระแก้ว พระชินราช ผมก็นิมนต์มาหมดเลยผมก็ท่องคาถาของหลวงพ่อโอภาศรี ท่องสามจบแล้วก็ยังไม่ไปท่องคาถาของหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ไม่ไป ท่อง "นะโมตัสสะ" แล้วก็ไม่ไป เมื่อไม่ไปแล้วเขาทำยังไงรู้ไหมครับ.

ตอนนี้เขาเริ่มยกตัวผมขึ้นจากเตียง ยกขึ้นๆ ๆ ผมก็เริ่มกลัวผมก็ร้องเรียกแฟนผมว่า แม่! ผีหลอก! ผมอ้าปากลั่นห้องเลยแต่ว่าแฟนผมไม่ได้ยิน แกก็หลับไปเรื่อยเลย เห็นท่าไม่ดีผมก็บอกว่า เอายังงั้นผมรู้แล้วว่าที่ท่าน ๆ มาท่านต้องการให้ผมช่วยเหลือ ผมจะทำบุญใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลไปให้พรุ่งนี้นะ เสียงก็ยังร้องอยู่ และยกผมขึ้นสูง ผมก็จะตกเตียง

ผมก็บอกงั้นพรุ่งนี้ ผมจะนิมนต์พระที่วัดมะกอก เพราะมันใกล้โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ มาทำสังฆทานให้ในห้องนี้เลย เสียงนั้นก็ยังร้องไห้โหยหวนต่อไปอีก ผมกลัวมาก แล้วหน้าตาของแต่ละคนก็เริ่มปรากฏให้เห็นในลักษณะของหน้ากระดูกทั้งนั้นเลย แล้วมือนี่ซีดและน่าเกลียดมากยุ่บยั่บเลย ผมมานึกดูเป็นร้อย ๆ มือเลยแล้วมาอุ้มตัวคุณอยู่ คุณจะรู้สึกยังไง ผมก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแน่

เอาละ..พรุ่งนี้ผมกลับไปบ้านแล้วนี่ผมจะนิมนต์พระ 9 องค์มาทำบุญและก็บังสุกุลให้ เขาก็ไม่ยอมรับจนกระทั่งผมบอกว่าปีนี้ผมยังไม่ได้บวชเลยนะ ผมจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ เท่านั้นละครับเสียงหายเลย ทำไมเขายอมรับครับ เมื่อเราบอกว่าจะบวชและแผ่ส่วนกุศลให้ คืออย่างนี้ครับ การทำบุญนี่มีหลายอย่าง การทำบุญด้วยการใส่บาตรนั้น สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปแล้วสามารถจะได้รับเพียงบางส่วน เพราะว่าผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระสงฆ์ แล้วก็ทรมานสัตว์

ตัวอย่างนี้นะครับ เวลาเราทำบุญใส่บาตร พวกนี้ไม่ได้รับครับ เพราะว่าพวกนี้ไม่ได้เป็นผี แต่เขาเป็นเปรต เขาเป็นเปรต อยู่ในนรก มันมีขุมอะไรต่าง ๆ อีก เขาตกนรก คราวนี้ถ้าหากว่าเขาอยู่ลึกไป 3 เมตร เราเอาไม้ประมาณ 100 เมตร แล้วก็ผูกอาหารไป เขารับไม่ได้

เพราะงั้นเขาก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ผมเสนอไป เราบอกเราจะทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน หมายความว่าเราต้องเสียเงินมากขึ้นมานิดหนึ่ง แต่เขา มีบาปมากเขาก็รับไม่ได้ เพราะ งั้นวิธีสุดท้ายที่เขาจะรับส่วนบุญจากเราได้คือการบวชและการแผ่ส่วนกุศลให้ เพราะงั้นพอวันที่ 30 กรกฎาคม2528 ผมถึงบวชครับ บวชที่นครราชสีมา วัดเบญจมบพิตร บวชอยู่ 1พรรษา.

ในระหว่างที่บวชผมก็ได้ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ก่อนนอนก็สวดมนต์ แล้วก็แผ่ส่วนกุศลไป หลังจากฉันเช้า ฉันเพล ผมก็สวดสัพพีให้ ตอนกลางคืนก่อนนอนผมก็สวดชินะบัญชร เพราะ ชินะบัญชรสามารถจะให้ได้ทั้งการแต่งงาน การทำบุญขึ้นบ้านใหม่การให้ศีลให้พรเป็นสิริมงคล หรือแม้แต่การทำน้ำมนต์ เป็นบทครอบจักรวาล ผมได้พูดถึงเรื่องการทำบุญ และผู้ที่ได้รับนั้นถ้าหากว่า ไม่มีเวร ไม่มีกรรมแล้วนี่ ก็จะสามารถได้รับส่วนบุญนี้ คราวนี้กลับมาอีกนิดเรื่องการทำบุญ

คือตอนเช้าไม่ว่าจะทำบุญที่ไหนก็ตามแต่ ตามประเพณีเขาต้องมีการกรวดน้ำ บางคนบอกว่าผมไม่กรวดน้ำจะได้ไหมบอกได้ ท่านไม่กรวดน้ำ อาหารที่ท่านทำไปมันก็เป็นอาหารของท่าน คนอื่นกินไม่ได้ ญาติพี่น้องท่าน บุพการีท่าน ปู่ย่าตาทวดที่เสียชีวิตไปแล้วกินไม่ได้ แกจะมานั่งพับเพียบและมานั่งคอยดูอาหารอันนี้ แต่แกไม่ได้กินเพราะกินไม่ได้.

วิธีที่เราจะแผ่กุศลไปให้คนตาย เราไม่จำเป็นต้องไปท่องบาลีสันสกฤตหรือภาษาพระเขาสวด เพราะเราไม่ใช่พระ เพียงแต่เราพูดว่า ข้าพเจ้าพันเอก เสนาะ จินตรัตน์ ขออุทิศส่วนกุศลอันมีข้าวแกง ปลาดุก เป็ปซี่กระป๋อง แล้วก็ลอดช่องนำกะทิ หรือไข่ดาวขอให้กับใคร ให้ คุณพ่อสิบเอก เลือน จินตรัตน์ อะไรอย่างนี้ แล้วก็่คุณยาย เอ่ยชื่อและนามสกุล



เล่าเรื่องการตาย ครั้งที่ 2

ถ้าเราพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่เราเอ่ยไปนี้ก็ได้รับอาหารและเราไม่ต้องคำนึงถึงเลยว่าเขาจะไม่ได้รับ เขาจะได้รับและมีอาหารทาน ส่วนการตายครั้งที่สองของผม เมื่อพุทธศักราช 2528 ผมยังป่วยเป็นโรคไตวายนะครับ นายแพทย์ผู้รักษาบอกว่าภายใน 6 เดือน ผมจะต้องเสียชีวิต

นายแพทย์ผู้นั้นก็คือ พันเอก สุทธชาติพืชผล เป็นหัวหน้ากองหน่วยไต แล้วก็มีนายแพทย์ลูกมืออีกหลายคนมี แพทย์หญิง อุษณา แพทย์หญิง พันธุ์บุปผา ทั้ง 3 ท่าน บอกว่าผมจะตายภายใน 6 เดือน หรือน้อยกว่านั้น เพราะฉะนั้นให้ผมเตรียมตัวเตรียมใจให้ปลงซะว่าจะต้องตาย.

เพราะฉะนั้นภายในเดือนมกราคม - มิถุนายน 2528 ผมจะต้องตายในระหว่างป่วยท่านจะบอกตลอดเวลา เพราะดูจากผลเลือดของผม ท่านบอกว่าคนที่มีผลเลือด บี.ยู.เอ็น. เสียถึง 2,300 ซี.ซี. มันอยู่ไม่ได้ ผมก็บอกกับภรรยาและคุณแม่ผมให้เตรียมจัดการศพผมได้ แล้ววันที่ 8 มีนาคม 2528 ผมตายจริง ๆ ครับ

วันนั้นผมทำการผ่าเส้นเลือดเป็นครั้งที่สาม แล้วก็ครั้งที่ 4ใ นวันเดียวกัน เพื่อช่วยชีวิตฉุกเฉิน เนื่องจากว่าเลือดที่เข้าไปในเครื่องไตเทียมนั้น มันน้อย เลือด 4,000 ซี.ซี. จะล้างของเสียออก4,000 ซี.ซี. ปรากฏว่าเครื่องมันดูดเลือดได้แค่ 2,000 ซี.ซี.

เพราะฉะนั้นตัวเริ่มบวมครับ ปากเหม็น และมีการคลื่นไส้อาเจียน ก็ทำท่าจะตายตอนนั้นผมเข้ามาอยู่ห้อง 609 ห้องพัดลมคู่ อยู่กับผู้ป่วยเป็นทหาร พันเอกพิเศษอีกคน แต่คนนั้นตายไปก่อนผม เป็นโรคหัวใจ แกดีใจฮะ หัวเราะแล้วก็ตายไปเลย ก็เหลือผมคนเดียว

วันนั้นผมก็มีอาการแน่นที่หน้าอก คุณหมอก็บอกว่าวันนี้ผู้การอาการไม่คอยดี คุณหมอก็ถามว่าแน่นที่ไหน พอผมบอกว่าแน่นที่หน้าอกในช่วงนี้ผมก็วืดไปเลย ขณะนั้นเป็นเวลา 8 นาฬิกา 30 นาที วืดไปไหนใช่ไหมครับ ท่านคงนึกว่าวิญญาณคงเป็นจุดเล็ก ๆ วิญญาณอาจจะเป็นดวงไฟกลม ๆ เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกัน

ความจริงไม่ใช่นะครับ วิญญาณก็คือตัวเราเอง คือตัวผมเองก็ยังเป็นคนเหมือนอย่างเราเช่นนั้นที่เขาเรียกวิญญาณหมายความว่ามันไม่มีไส้ ไม่มีกระดูก มันสมองก็ไม่มี มันเป็นตัวโปร่งแสง หลับตาดูนะฮะ ตอนนี้ผมก็เริ่มไปแล้ว คราวนี้ไปสวรรค์ ครับ.

ผมเป็นตัวโปร่งแสงนะครับ ทั้งนี้มีเสียงมาเรียกผมบอกว่าพันเอก เสนาะ จินตรัตน์ มาทางนี้เสียงนี้มีอำนาจมาก ผมก็เหลียวมาทางขวามือ ก็ลุกขึ้นเลยนะครับ ลุกขึ้นไป ก็เห็นรางไม่ลุกตามเราแล้วเราก็มองตัวเราเอง เราก็เห็นว่าตัวเราเนี่ยเป็นตัวโปร่งแสงแล้วเราก็เห็นหมอ 3-4 คน กำลังสาละวนปั๊มหัวใจในการให้ออกซิเจนเรา เราเห็น..เรารู้ เขาวิ่งกันพล่านเลย

ชีวิตหลังความตาย
หมอผู้หญิง 2 คนหมอผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็ให้ผมนอน ให้เอาเท้าชิดกัน แล้วเวลาแผ่นแก้วลอยขึ้นสูงแล้ว ให้มองที่เท้าอย่างเดียว ห้ามมองทางซ้าย ทางขวาเหมือนกับการตายครั้งแรก แล้วก็ห้ามแหงนไปข้างหลัง ประการสุดท้ายที่ผมจำได้แม่นที่สุด ห้ามคิดถึงบุตร ภรรยา พ่อแม่ พี่น้องห้ามทั้งสิ้น บัดนี้ท่านจะต้องไปกับเราในภพอีกภพหนึ่ง แผ่นแก้วก็ลอยขึ้นไปสูงมากเลยครับ

ผมรู้สึกหนาวในขณะนี้ที่เขาห้ามเรา มองซ้ายมองขวา ผมก็ยังอุตส่าห์มอง ผมมองทางซ้ายไป ผมก็เห็นเต่เมฆขาว ๆ ลอยเหมือน คนเราขึ้นเครื่องจัมโบ้เจ็ทอะไรอย่างนี้ แล้วเรามองเมฆลอยเข้าหาตัวเรา แต่ที่เราไปนี่มันหนาว อุณหภูมิก็คิดว่าคงราว ๆ 18 องศาเซลเซียส เย็นมากมันก็ลอยไป ผมไม่รู้ลอยไปไหนนะฮะ แต่ว่ามีกลิ่นหอมตลอดทางเลยแล้วเราก็มองที่ปลายเท้าอย่างเดียว การเคลื่อนที่เขาเคลื่อนที่อย่างเอาเท้านำไปนะครับ.

มันนานเท่าไหร่ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ตอนี่ผมช็อคไปหรือว่าตายไปนั้นมันประมาณ 08.30 น. ที่หมอเขาเรียกว่า unconcious หรืออะไรไม่รู้ BP มัน under zero เขาว่าอย่างนั้นผมก็จำไม่ได้ เขาพูดว่า BP มันวูบหายไปเฉย ๆ แล้วความจริงคือ "ตาย" ผมมารู้จักตัวอีกทีเมื่อแผ่นแก้วที่พาผมไปมันหยุด เห็นคน...คนมารับผม แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดานะครับ แต่ว่าเสื้อสะอาดสะอ้าน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ร่างกายสมบูรณ์

เขาก็ยินดีมากนะครับที่ผมไป ผมถามว่าที่นี่ที่ไหน เขาบอกสวรรคชั้น 7ผมบอกเอ๊! ผมตายแล้วเหรอ เขาบอกผมตายแล้ว ผมก็ถามว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร เขาบอกว่าบ้านหลังเป็นบ้านของท่าน ผมบอกบ้านผมไม่มีดีอย่างนี้หรอกครับ คือมันเป็นบ้านสามมุข แล้วก็เป็นพื้นไม้สัก หน้าบ้านมีต้นไม้อยู่ต้นผมจำได้ที่นั่นไม่มีฝุ่นละอองครับ

เวลาเราเดินสัมผัสด้วยฝ่าเท้า เรารู้สึกว่ามันนุ่มสบายเหมือนพรม แล้วประตูบ้านผมมันเป็นไม้ใหญ่สีแดงเหมือนบ้านโบราณ น่าอยู่มากครับ ผมก็บอกว่าผมไม่เคยมีบ้านใหญ่อย่างนี้ ชีวิตที่ผมอยู่ในเมืองมนุษย์นั้น ผมมีบ้านเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ด้วยเงินกู้ ทบ.แปดหมื่น แล้วก็มีเงินติดกระเป๋าอยู่สี่หมื่น กลับจากลาวก็มีเงินแสนสอง ก็ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ แต่บ้านหลังที่ผมเห็นใหม่มากครับ น่าอยู่มาก เราก็อยากจะเข้าไปอยู่.

เขาบอกว่าเมื่อตอนสมัยที่ผมเป็นมนุษย์อยู่นั้น ผมได้ทำบุญไว้เยอะ ผมก็มานึก เอ๊ะ ! บุญอะไร ผมทำบุญอย่างนี้ครับ ผมทอดผ้าปา ผมทอดกฐิน สร้างกุฎิสงฆ์ สร้างโบสถ์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างหอฉัน สร้างหอระฆัง สร้างบ่อน้ำ ผมทำทั้งกฐินและผ้าป่าเยอะมากเลย เสียงนั้นได้ระบุว่าบ้านนี้เป็นของผม ให้ผม เพราะว่าผมเป็นผู้ที่ทำบุญไว้มาก แล้วผมก็ถามว่าแล้วท่านทั้ง 3 นี้ล่ะ ทำไมต้องมารับใช้ผม

อานิสงส์จากการช่วยเหลือ
เขาบอกว่าตอนที่ผมเป็นมนุษย์อยู่นั้น เขาได้รับการช่วยเหลือจากผม ผมก็สงสัยว่าผมไปช่วยเหลือใครเขาไว้ มันก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไฟไหม้สลัม พวกนี้ไม่มีข้าว ไม่มีอาหารไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ผมเคยซื้อผ้าห่มทหารเก่า ๆ ไปให้เขา ผมเคยซื้อข้าวถุงของนักการเมืองที่มาขายเอาไปให้เขา ผมเคยซื้อปลาทูเค็มเป็นเข่ง ๆ เอาไปให้เขา สมัยก่อนปลาทูมันถูกนี่ ผลบุญที่ผมทำอันนี้ ทำให้เขาทั้ง 3 คนต้องมารับใช้ผม เขาว่าอย่างนั้นนะครับ.

ทีนี้ผมก็บอกว่าผมจะเข้าอยู่บ้านแล้ว เพราะว่าเดินทางมาเหนื่อย แล้วก็ไกลมาก เขาก็บอกว่ายังเข้าไม่ได้ กุญแจไม่มีผมทำท่าจะเข้า เขาแปลงร่างเลยครับ จากลักษณะของคนที่อ่อนน้อมเป็นคนที่สูงใหญ่ น่ากลัวมาก เสื้อผ้าที่เขาใส่หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีเต่ผ้าแดงคาดเหมือนอย่างลิเก แล้วตัวเขาก็สูงใหญ่พอ ๆ กับยักษ์วัดแจ้ง บังพระอาทิตย์ซะมิดเลย

พบเพื่อนที่ตายไปแล้ว 10 คน
ผมก็ตกใจกลัวมากรีบวิ่งหนีไปทางแผ่นแก้วใส พอล้มตัวลงนอนเสร็จ แทนที่จะเดินทางอย่างเมื่อกี้ ก็เดินทางต่ำลงมา ต่ำลงมาในลักษณะของการที่เอาทางศีรษะเคลื่อนที่ไป เคลื่อนที่มานานรู้สึกว่ากลัวมาก แล้วแผ่นแก้วนี้ก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่สวรรค์ชั้น 2

สวรรค์ชั้นสองนี้ ผมเจอะเพื่อนผมทั้ง 10 คนที่ตายไปแล้วมี "พ.ท.ธวัชชัย เพียงเพียร" มี "พันตรีเจริญ จ้อยทรัพย์" มี "ร้อยเอกธงชัย" ที่เป็นพลร่ม แล้วก็เพื่อน ๆ อีกหลายคนรวมแล้วสิบคน "ร้อยโทธวัชชัย รัตนวิภาค" ด้วยที่ไปตายที่เวียดนาม

แล้วก็ "ร้อยเอกสมสิงห์ เปาว์อินทร์" ที่ไปปราบ ผกค. แถว ๆ ภาคเหนือแล้วตาย ทั้งหมดเขามารับผมนะครับ เขาดีใจมาก บางคนเขาก็เอารถน้ำมารับผม บางคนก็เอาเกวียนมารับผม บางคนก็เอารถเก๋งแบบโบราณมารับผม แล้วก็พาผมไปที่อีกแห่งหนึ่ง.

ในที่แห่งนี้ผมก็เจอ "พันโทวัชระ" ที่เขาตายเพราะรถคว่ำที่โคราซ เขาก็คอยเสิร์ฟอาหารและน้ำให้กับเพื่อนอีกสิบคน ผมเสียใจนะฮะ ที่ไม่สามารถจะเอ่ยชื่อเพื่อนทั้งอีกสิบคนที่เห็นตอนหลังนี้ได้ เพราะว่าได้รับการขอร้องมาไม่ให้พูดครับ เนื่องจากว่าเมื่อเวลาพวกเราฟังแล้วก็ไปสอบถามเขา ทำให้เขาประสาทเสียเพราะเขายังมีชีวิตอยู่

และผมไปเห็นเขาล่วงหน้าว่าเขาตาย และทั้ง 10 คนนี้นอนเรียงเป็นแถวเลย ผมจำได้หมดเลยว่ามีใครบ้าง ขณะนี้ (ปัจจุบันนี้) เป็นพันเอกพิเศษ แล้วก็ได้ตายไปแล้ว 3 คน ตามที่ผมบอก ซึ่งบุคคลทั้ง 10 คนนี้ ผมได้เขียนหนังสือบอกทั้งสิ้นว่า ท่านอายุหมดแล้วขอให้เร่งทำบุญ

วิธีที่จะเร่งทำบุญนั่นก็คือต่ออายุ โดยที่ไปหาพระให้พระท่านเอาผ้ามาบังสุกุล และมีการสวด "อนิจจา วะตะ สังขารา.." คล้าย ๆ ว่าเราตายไปแล้ว และให้ท่านทำพิธีปลง ก็มีบางคนเชื่อบางคนไม่เชื่อนะครับ ไว้เล่าตอนหลังอีกที

ทีนี้ย้อนมาที่เพื่อนสิบคนแรกเขาบอกว่า บุคคลเหล่านี้เมื่อตอนสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น เขามีบุญคุณกับผม เขาบอกอย่างนั้นนะครับตัวเขาเอง ผมบอกว่าบุญคุณนั้นเป็นยังไงล่ะเขาบอกว่าปีหนึ่งเขาเอาอาหารมาให้ผมกินทีหนึ่ง

ผมก็นึกว่า เอ๊ะ..เขามาทำอะไรให้ทางนั้นเขาถึงมีอาหารกิน ก็มานึกว่าปีหนึ่งเราจะมีงานเลี้ยงรุ่นที แล้วตอนเช้าเราจะต้องไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ หลังจากที่พระท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มีการเขียนชื่อเพื่อนที่ตาย แล้วเราก็บังสุกุลให้ อันนี้ละฮะปรากฎว่าถึง.

เขาตอบอย่างฉาดฉานเลยว่า ปีหนึ่งเขาได้กินอิ่มมื้อหนึ่งหนึ่งวัน เพราะงั้นเพื่อนพวกนี้มีบุญคุณต่อเขามาก เขาเมื่อตายลงมาเขาจะต้องมาคอยเทคแคร์ต้อนรับทั้ง 10 คนหลังที่ว่านี้ครับ ตอนนี้ตายไป 3 คนแล้ว เว้นคนทื่ 1 ยังอยู่ เพราะคนที่ 1 นี่เชื่อผมมากนะครับ รุ่นเดียวกัน คนนี้ต่ออายุ ปล่อยนกปล่อยปลา แล้วก็มีการทำบุญใส่บาตรตลอดเวลาเลย อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วก็ขอให้มีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อจะเลี้ยงบุตรที่ยังเล็กอยู่

ยังมีรายชื่อคนที่จะต้องตายอีก
ก็ปรากฏว่าคนที่ 1 นี้ไม่ตาย คนที่ 2, 3, 4 ตาย คนที่ 5 หรือคนต่อ ๆ มาผมก็บอกแล้วว่า ขึ้นชื่อแรกว่า "ศ.ศาลา" หลังจาก "ศ.ศาลา" แล้วจะมีคนที่มี "อ.อ่าง" นำหน้าตายตามไป ฯลฯ อันนี้ผมบอกหมด ผมไม่แคร์ว่าจะไม่ถูกต้อง แต่ว่าจะต้องตายก่อนปี 2531

คราวนี้ผมก็ถามว่าเตียงนอนผมอยู่ไหน ผมอยากนอนเขาบอกว่าเตียงผมยังไม่มี ยังทำไม่เสร็จ แล้วเพื่อนจะต้องกลับเมืองมนุษย์ เพื่อนต้องรีบกลับ ผมก็พยายามเซ้าซี้ เขาก็ไม่ยอมให้ดู จนกระทั่งเขาอ่อนใจมาก เขาเลยพาผมไปดูเศษไม้กอง ๆ อยู่ไม่กี่ชิ้น ผมก็บอกผมจะกลับแล้ว

ตอนที่ผมจะกลับนั้นก็ปรากฏว่าไอ้เพื่อน 10 คนหลัง ที่ผมเห็นที่ยังไม่ตายในโลกนะครับ แต่ผมไปเห็นที่บนสวรรค์ซั้น 2 ว่าเขาตายแล้วนั้น ผมก็เถียงบอกว่า เขาทั้งหมดนี่ยังไม่ตายยังมีวิตอยู่ แต่ปรากฏว่าเพื่อนที่อยู่ทีนั่นบอกว่าพวกนี้ตายแล้ว ผมก็เถียงอยู่พักหนึ่งฮะ.

เมื่อถึงเวลาจะกลับทางนู้นก็ไล่ผม จะต้องรีบกลับแล้วอยู่ช้าไม่ได้ ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ 1 ที่อยู่ที่นั่นแล้วบอกว่า อย่าลืมนะกลับไปเมืองมนุษย์แล้วทำบุญให้เราบ้าง เพราะว่าเรามีอาหารกินน้อยเหลือเกิน เราอยากกินไอ้นั่น เราอยากกินไอ้นี่ ผมก็บอก เออแล้วจะทำมาให้ ไอ้เพื่อนคนที่สองก็ยกมือ แล้วบอกว่าเราด้วยนะ คนที่สามก็บอก คนที่สี่ก็บอก ยกมือกันหวอย ๆ ๆ ในลักษณะของคนที่รอความหวังว่า เราจะทำบุญให้เขา เพราะเขาหิวโหย เขาอด...ผมรับปาก

ผมจำหน้าได้หมดเลยนะ ที่ยกมือให้ผมทำบุญให้ ลักษณะของหน้าบางคนเป็นอย่างนี้ครับ อย่างคนที่หนึ่งผมเห็นแต่งชุดฟาติค แล้วใบหน้ามีรอยช้ำ ๆ เสื้อผ้าขาด คนที่ 2ที่ผมเห็นลักษณะคล้าย ๆ กัน คือใบหน้ามีแผลเยอะแยะเต็มไปหมดเลย คนที่ 3 คนที่ 4 หน้าซีดขาว ลักษณะพวกนี้หมายความว่าถ้าเขาจะตาย เขาจะตายแบบอุปัทวเหตุ แล้วหน้าขาว ๆ จะเป็นพวกป่วยตาย ผมฟื้นมาแล้วผมบอกทุกคนครับ

ผลจากการบอกความจริง
การบอกครั้งแรกนั้นผมได้รับการโทรศัพท์มาแล้วก็ด่าว่าผมบ้า เขาว่าผมบ้านะครับผมก็บอกผมไม่บ้า ผมประสาทดีทุกอย่าง หมอก็ลงความเห็นว่าผมไม่บ้า ไอ้เหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็ผ่านไปในช่วงนั้น จนกระทั้งมาฮือฮาตอนที่เพื่อนผมมาตายกะทันหันทั้งสิ้น แล้วทุกคนก็เริ่มมาไหวตัวทำบุญ ผมก็ดีใจด้วย.

วกกลับมาตอนผมที่ผมจำได้หมดว่ามีใครบ้าง แล้วผมก็ลอยลงมา พอลอยมาถึงสวรรค์ชั้นหนึ่ง ผมก็เจอนายทหารอีกคนซึ่งเป็นคนที่ 11 คนนี้ก็รับราชการอยู่ที่ ขส.ทบ. เป็นหัวหน้ากองฝึกที่เกียกกาย ห้ามเอ่ยชื่อครับ เขาขอร้องมา คนนี้จะตายเป็นคนที่ 11 ฮะ

เขาบอกว่าเขาอยู่บนสวรรค์ชั้น 1 ความสะดวกต่าง ๆกันไม่มี มันเป็นห้องที่มืดมาก แล้วเก้าอี้ก็ไม่มีนั่ง อาหารก็ไม่มีกินเขาอดอยาก เขาบอกว่าเพื่อนที่อยู่สวรรค์ชั้นสองใจดำ ไม่ยอมเอาบันไดทอดมาให้เขาขึ้นไปเลย เป็นการทรมานเขานะครับ เขาก็ถามว่าผมจะไปไหน ผมก็บอกว่าจะกลับเมืองมนุษย์เขาบอกเขากลับไม่ได้

แต่ขณะเดียวกันเขาบอกว่าให้ผมทำบุญให้เขาด้วย ก็บอกทำไมต้องทำบุญให้เขาด้วย เขาบอกเขาไม่ได้ทำบุญตอนที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อตายมาแล้วเขาไม่มีกิน เขาหิวพูดเหมือนกันหมดครับ ผมก็รับปาก แล้วเขาก็โวยวายว่าเพื่อนที่อยู่บนสวรรค์ชั้น 2 อีก เมื่อพรมแก้วพาผมลงมาจากสวรรค์ชั้น 1



ตายแล้วกลับฟื้นเป็น ครั้งที่ 2
ผมเห็นหมอกำลังสาละวนอยู่กับร่างของผม กระจกแก้วก็มาอยู่ใกล้ผม คนอำนาจในการสั่งการตลอดเวลานั้น บอกว่าให้ผมเข้าร่างเดี่ยวนี้ช้าไม้ได้ ผมก็ดีใจจะได้เข้าร่าง เพราะความกลัวด้วยก็กระโดดเข้าร่าง พอกระโดดเข้าร่างก็เข้าไม่ได้ เพราะศีรษะผมมันอยู่อีกทาง แล้วผมมากระโดดเข้าอีกทาง เมื่อเข้าไม่ได้คนที่พาผมมาส่งก็บอกว่า เมื่อเวลาท่านออกจากร่างอย่างไรก็เข้าอย่างนั้น

ผมก็มานึกดูเวลาผมออก ผมก็ลุกนั่งก่อนแล้วยืนแล้วเดินออกมาทางขวามือ ผมต้องไปนั่งครับ โดยเอาขาซ้ายทาบขาซ้าย ขาขวาทาบขาขวา แขนซ้ายทาบแขนซ้าย แขนขวาทาบแขนขวา แล้วเอาตัวค่อย ๆ นอนทับตัวเอง แล้วพอศีรษะกับคอเข้ากันได้ ผมก็ยิ้มแฉ่งเลย.

ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่หมอเขาเอาออกซิเจนออกครับ เพราะเป็นช่วงตอนทุ่ม 5 นาที ทางหมอบอกว่าให้ทางคุณแม่และญาติพี่น้องมาดูใจผมครั้งสุดท้าย เพราะว่าไม่มีหวังแล้ว จะต้องตายแน่หมอบอกว่าจะไม่มีการรักษาแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่มีการรักษาหัวใจ ไม่มีการให้เลือด จะไม่มีการให้ออกซิเจนแล้ว แล้วก็ชักออกซิเจนออก จังหวะที่ชักออกซิเจนออก ผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

ตื่นขึ้นมาหนนี้ญาติพี่น้องผมก็มาเต็มหมดเลย ร้องไห้กันระงมเลย หมอบอกว่าถ้าทุ่มครึ่งไม่ฟื้นก็จะเข้าห้องดับจิต เข้าลิ้นพักแช่ตู้แข็ง นั่นหมายความว่าผมก็ไม่มีทางฟื้น ถ้าฟื้นมาก็ตายในห้องแข็ง ห้องดับจิต ผมตื่นขึ้นมา หมอก็ถามว่าคุณเป็นยังไงบ้าง ผมบอกผมเจ็บหน้าอกข้างซ้ายครับ แล้วแกก็มาแหกตาผมเอาไฟฉาย แล้วก็ถามว่าแล้วเจ็บที่ไหนอีก

ผมก็บอกว่าเจ็บหน้าอกข้างซ้ายข้างเดียวก็ปรากฏว่าระหว่างที่ผมหมดลมไปนั้น หมอก็บอกว่า คือแกเป็นหมอใหม่ แกไม่อยากให้ผมตายต่อหน้าแก แกก็ปั๊มหัวใจตลอดนี่ภรรยาเล่าให้ผมฟัง แกก็ปั๊มหัวใจตลอด แล้วแกก็ให้ออกซิเจน ให้เลือด

ภรรยาก็ถามผมว่า รู้มั้ยหมอให้เลือด 2 ขวด ไม่รู้ รู้มั้ยว่าให้ออกซิเจนผมบอกไม่รู้ รู้มั้ยหมอไม่ได้ทานข้าวเลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาก็แปลกใจมาก แต่ช่วงนั้นเมื่อเล่าเสร็จแล้วมันไม่มีอะไร มันก็เป็นเรื่องเล่าลักษณะคนเพ้อฝันมากกว่านะครับ.

ทุกคนก็ดีใจผมไม่ตาย แล้วผมก็กลับบ้านได้ แต่ว่าเมื่อตอนที่ผมไปและจะกลับบ้าน ข้างบนสั่งมาอย่างนี้ครับ เขาสั่งผมมาบอกว่าให้ผมมาถ่ายทอดไอ้เรื่องที่ไปเจออะไรต่าง ๆ บนสวรรค์โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ปัจจัยที่ได้ในการบรรยายนั้น เขาบอกว่าห้ามรับมาเป็นสมบัติส่วนตัวเป็นอันขาดอันนี้ผมจำแม่นเลย

จะต้องตายอีกเป็นครั้งที่ 3
ผมยังก้มลงกราบรับปากแล้วเขาบอกว่า สังเกตท่าทางผมอยากจะอยู่บ้านบนสวรรค์เต็มที่ เขาก็บอกว่าถ้าอยากจะอยู่หลัง 16 มิถุนายน 2531 แล้วมาอยู่ได้ กลับไปนี่แล้วร่างกายจะแข็งแรง ทำงานได้ปรกติไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นโรคเดียวกัน คนอื่นเป็นโรคเดียวกับผม ไปดูได้ครับ..ล้างไตเสร็จแล้ว กลับไปก็นอนผวาแบบคนไม่มีแรง

ไม่เหมือนผมครับ..ทุกคนทำงานไม่ได้เลย แต่ผมแข็งแรง แล้วผมบอกหมอว่า ผมไม่ตายภายในปีนี้ แต่ถ้าหลัง 1มิ.ย. 31 ผมอาจจะต้องตายแน่นอน แล้วในช่วงนี้ผมก็ต้องพยายามทำบุญครับ แล้วก็พยายามมาชี้แจงชักนำท่านว่า การทำบุญนั้นมันได้ผลจริง ๆ ไม่ใช่ว่าทำบุญแล้วได้บาป.

นี่เป็นเรื่องที่มันแปลกประหลาดใช่ไหมครับ แล้วถ้าผมไม่ไปใน 16 มิ.ย. 31 ผมก็จะไปหลังจากนายทหารคนที่ 11 ที่อยู่ขส.ทบ. คนนี้ตายเมื่อไหร่ ผมก็จะเป็นคนที่ 12 ที่ตายตาม ตอนเขาให้ผมกลับมาใช้กรรมก่อน มานี่ไม่ได้ทำบุญอย่างเดียวนะ ให้กลับมาใช้กรรม เพราะผมยังมีกรรมอยู่ และได้มาเผยแพร่เรื่องนี้ให้ท่านได้ฟัง.

เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ผมไม่ได้หลอกลวงท่าน เป็นการเผยแพร่ประสบการณ์ที่ไปพบมาด้วยตัวเอง ซึ่งน้อยคนนักฟื้นมาแล้วจะมาเล่าให้คนอื่นฟัง มีบางท่านถามว่าอาจจะฝันไป ผมบอกไอ้การฝัน ทำไมถึงต้องมาให้เลือด ให้ออกซิเจนกันด้วย การฝันต้องนอนธรรมดาแต่นี่มีการให้เลือด ให้ออกซิเจน มีการปั๊มหัวใจ ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นการตาย ทางแพทย์เขาว่าอย่างนั้น

มีบางคนถามว่า การที่ผมไปพบคนเยอะแยะ ไม่พบพวกฝรั่ง พวกแขกมั่งหรือ ผมบอกว่าผมไม่พบหรอกครับ เพราะว่า ลักษณะของคนที่ผมเห็นนั้นเป็นกระดูก ซึ่งคล้ายถูกไฟไหม้ ไฟเผ


webmaster - 10/5/08 at 10:45

เรื่องเล่า...พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ผู้ตายแล้วฟื้นมาสองครา

(คัดมาจากหนังสือของ คุณทองทิว สุวรรณทัต )

ผู้เขียนจะต้องไปนั่งสัมภาษณ์ท่านผู้มีเกียรติท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังต่อสู้กับความตายอย่างกล้าหาญสมเป็นชายชาติทหาร บนเตียงคนไข้ ณ ตึกอายุรกรรมธนะรัชต์ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ เพื่อรับการฟอกเลือด ด้วยเป็นโรคไตวายทั้งสองข้าง และจะมีชีวิตอยู่อีกสอง - สามเดือนเท่านั้น (ปี 2531)

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนไปส่งต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ "โลกทิพย์" และแวะไปที่ห้องทำงาน คุณสมศักดิ์ ตัณตยกุล คุณสมศักดิ์ได้ส่งกระดาษชิ้นเล็กๆ แผ่นหนึ่ง มีข้อความว่า พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ กองสถิติ กระทรวงกลาโหม

ผู้เขียนอ่านแล้วเงยหน้าถาม ก็พอดีคุณสมศักดิ์บอกว่า "มีท่านผู้อ่านโทรศัพท์มาขอให้คุณลุงไปสัมภาษณ์เพราะท่านพันเอกเสนาะตายไปแล้วสองครั้ง และกำลังจะตายอีกครั้งหนึ่ง ท่านมีเรื่องราวที่ท่านพบมาเมื่อครั้งท่านตายมากมายครับ"

ในเวลา 8 - 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ตึกอายุรกรรมธนะรัชต์ เพราะท่านให้เหตุผลว่า "ผมจะไปฟอกเลือด แล้วในห้องนั้นเงียบดี เราจะได้คุยกัน"

ผู้เขียนถามท่านว่า ในวันนี้ไม่ว่างหรือ ! ท่านบอกว่าไม่มีเวลาว่างเลย เพราะมีผู้เชิญให้ท่านไปพูดตามสถานที่ต่างๆ ติดต่อกันถึงสองเดือน ผู้เขียนได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ ด้วยท่านกำลังป่วยอยู่ ทำไมถึงผู้เชิญท่านไปพูดมากมายเช่นนี้ จึงถามท่านว่า "ก็ผู้การฯ ยังป่วยอยู่ ทำไมต้องไปพูดละครับ" ท่านตอบว่า "ก็เพราะผมอยากขึ้นสวรรค์ชั้นสูงเมื่อตายนะซีครับ...."
สาเหตุการตายครั้งแรก

เมื่อผู้เขียนเรียนถาม "ผู้การฯ เสนาะ" ถึงการตายครั้งแรกของท่านว่ามาจากสาเหตุใด และพบเห็นอะไรมาบ้าง ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ในปี 2513 ตอนนั้นท่าานยังประจำอยู่จังหวัดนครสวรรค์ มียศร้อยโทเต็มขั้น บิดาของท่านสิ้นแล้ว เป็นสมัยที่ท่านติดรัมมี่ เมื่อเลินงานก็นั่งเล่นรัมมี่กับเพื่อนๆ ไปจนดึกดื่นค่อนคืนอดนอนอดข้าวเป็นเวลาถึง 6 เดือนเต็ม ๆ ร่างกายก็ทนไม่ไหว

คืนที่ท่านจะหัวใจวายนั้น เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ท่านก็เดินทางมากรุงเทพฯ พักที่บ้านมารดา แล้วก็เล่นไพ่อีก จนกระทั่งเกือบ 5 ทุ่ม รู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกและหน้ามืด ทั้งมีอาการหนาวสะท้าน หายใจไม่ทัน จะไปหาหมอก็ไปไม่ไหว มารดาเห็นอาการของลูกเช่นนั้น ก็บอกว่า ไหนๆ จะตายแล้ว ก็ขอให้ตายที่บ้านเถิด ไม่ต้องไปตายที่อื่น ท่านอยู่ในความทรมานไม่นานเท่าใดนัก ก็รู้สึกตัวว่าหมดลมไป !!

ตายแล้วไปไหน ?

"พอผมหมดลมแล้ว ก็รู้สึกตัวว่าไปเดินกับคนหมู่มาก แต่ว่าเขาไม่แต่งตัวเหมือนเรา เขาแต่งสีขาวเหมือนคนถูกมัดตราสังข์ส่วนผมเองนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืดคอกลม ก็เดินไป พวกเขาก็ร้องไห้ เดินไปร้องไห้ไปตามถนนที่กว้างใหญ่ราบเรียบที่มีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีเสียงนกเสียงกาเลย แม้ต้นไม้ก็ไม่มีสักต้น มีเวิ้งว้างไปทั่ว เห็นแต่หมอกสีขาวสูงประมาณหัวเข่าปกคลุมอยู่

แล้วผมก็เห็นว่าพวกเขาไม่เหมือนเรา คือ เรามีเนื้อมีหนังเหมือนคนธรรมดา พวกเขามีแต่โครงกระดูก ผมก็รู้ตัวว่านี่เรามาอยู่ในโลกใหม่แล้ว ขณะนั้นมีเสียงที่มีอำนาจตามมาตลอดเวลา บังคับเราห้ามเราพูด เราได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัว ซึ่งเรื่องนี้ผมมาทราบภายหลังว่า พวกนี้มีร่างเป็นกายทิพย์ เป็นพวกทำบุญมาก มีกุศลสูงส่ง จึงได้เกิดบนสวรรค์

ถาม - เขาสั่งห้ามไม่ให้เราพูดกับใคร

ในช่วงนั้น ผมรู้สึกคิดถึงญาติพี่น้องมาก แต่กลับไม่ได้ เขาบอกว่าถ้าเราคิถึงญาติพี่น้อง อยากร้องไห้ก็ร้องไป ผมก็เดินร้องไห้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเขาก็สั่งห้ามไม่ให้เหลียวซ้ายแลขวา ห้ามหันไปมองข้างหลัง เพราะว่าจะมีโทษ เขาว่าอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อเขา เพราะเขามีอำนาจมาก เสร็จแล้วผมก็มาพบผู้หญิงคนหนึ่ง นุ่งผ้าถุงสีเขียวเสื้อก็เป็นผ้าด้ายดิบ แต่ขาวสะอาด ผมของแกปล่อยเกล้ามวยมีปิ่นที่ทำด้วยไม้ไผ่ปักอยู่

แกพูดจาเพราะมาก แกบอกว่า อาหารของผมอยู่ที่นี่ มาทานเสีย ทานเสร็จแล้วอิ่มแล้ว จะต้องไปไกลอีก แต่แกไม่บอกว่าไปไหน ในทางที่เราไปมีรากไม้เป็นสีเขียวๆ มันๆ ท่อนใหญ่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเรา ส่งกลิ่นหอมฉุยเลย หอมชื่นใจ เขาต้องการให้เราเดินตามไปยังต้นกลิ่นของเขา กลิ่นหอมนี้ไม่มีกลิ่นหอมชินดใดในเมืองมนุษย์มาเปรียบได้

ผมก็ทานอาหาร มีจำพวกไข่ดาว ไข่เจียว แกงเผ็ดเนื้อ แกงเผ็ดไก่ ไข่พะโล้ อะไรทำนองนี้ ที่คุณแม่เคยให้ใส่บาตรตอนเด็กๆ เราก็ทานไป นึกไปว่า เราเคยเห็นกับข้าวเหล่านี้ที่ไหน ก็ไม่รู้ว่าเป็นกับข้าวที่เราเคยใส่บาตรตอนเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทานของเรา ครั้นอิ่มแล้วก็หิวน้ำ ผมจะหาน้ำกิน แกก็บอกว่า เราตายแล้ว ไม่มีน้ำ เพราะตอนเป็นมนุษย์ ไม่เคยทำบุญด้วยน้ำ แกจึงไม่มีน้ำให้เรากิน ผมก็หิว จึงบอกว่า ผมจะกลับไปเมืองมนุษย์ใหม่ แล้วจะทำบุญด้วยน้ำ

แกก็บอกว่า คนมาที่นี่แล้วไม่มีใครกลับได้สักคน แล้วก็ถามผมว่า กินอิ่มหรือยัง ผมก็บอกว่าอิ่มแล้ว พอบอกว่าอิ่มแล้ว อาหารที่พร่องก็ขึ้นมาเต็มจานอย่างเดิม ! แล้วแกก็แบกโต๊ะที่ใส่อาหารเดินหายไป เมื่อเป็นดังนี้ ผมก็เห็นช่องทางที่จะกลับบ้าน จึงเดินย้อนกลับสวนกับคนที่เขากำลังยกกับข้าวมาให้คนที่ตายกิน แต่พวกนี้เขาไม่ได้เอาใจใส่กับผม ผมก็เดินกลับบ้าน เดินย้อนศรกลับมาทางเดิม

พอถึงบ้านก็รู้สึกหน้ามืด เป็นลม แล้วรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาหิวน้ำ บอกคุณแม่ขอน้ำกิน ครั้งนี้ผมไประยะหนึ่งเท่านั้นเอง คือไปเกือบๆ 4 ทุ่ม แล้วฟื้นขึ้นมาประมาณ 4 โมงเย็น เรื่องนี้อาจจะไม่มีใครเชื่อนะครับ ตายแล้วฟื้นได้ แต่ก็ยังมีคนประเภทนี้ที่เราสามารถเช็คได้คือ คุณประชุมที่ห้างพาต้า เขามีญาติของลูกน้องคนหนึ่งตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา

การตายครั้งที่สอง

ผู้เขียนฟังผู้การฯ เสนาะ เล่าถึงเรื่องการตายแล้วฟื้นในครั้งแรกแล้ว ได้เรียนท่านว่า ผู้เขียนเชื่อเรื่องตายแล้วฟื้น เพราะเคยคุยกับคนที่ตายแล้วฟื้นมา ทั้งเคยเขียนลงในนิตยสาร "โลกทิพย์" ด้วย แต่ยังไม่เคยพบคนตายแล้วฟื้นสองครั้งสองคราเช่นตัวท่าน จึงอยากจะขอให้ท่านเล่าถึงการตายครั้งที่สองให้ฟังสักครั้ง

ท่านผู้การฯ ก็กรุณาเล่าต่อว่า เมื่อปี พ.ศ.2528 ท่านมาล้างไตที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ เพราะป่วยเป็นโรคไตวาย ได้รับการล้างไตที่ห้อง 609 ตึก 8 ชั้น ในขณะที่กำลังล้างไตอยู่นั้น ได้เกิดช็อค หัวใจหยุดเมื่อเวลา 8.30 ถึง 19.05 น. อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกผม บอกว่าผมตายแล้ว ให้ไปกับเขา ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดคนป่วย

ปรากฏว่าตัวผมไปแล้ว ก็เห็นร่างของผมโปร่งแสง คือไม่มีกระดูก ไม่มีปอด ม้าม ตับไตไส้พุง ตัวมันเบา เรียกว่า กายละเอียด เขาบอกว่า เราตายแล้ว มีแต่เสียงมา ไม่เห็นตัว เรามองหาก็ไม่เห็น แต่เขามีอำนาจมาก เราต้องกลัวเขา

พอผมลุกขึ้น เขาก็บอกว่า บัดนี้เราต้องห่างลูกห่างเมียไม่ได้พบอีกแล้ว เราต้องไปอยู่โลกใหม่ของเรา ถ้าคิดถึงลูกเมียตอนนี้ก็ให้ร้องไห้เสีย ผมก็ยืนร้องไห้อยู่นาน พอหายโศกเศร้าแล้ว เขาก็บอกให้ไปกับเขาได้ เขามีแผ่นแก้วใสหนาประมาณสัก 5 เซนติเมตร กว้างยาวเท่าตัวเราพอดี เขาบอกให้ขึ้นไปนอน เขาจะพาไปโลกใหม่ ผมก็ขึ้นไปนอน

ระหว่างทางที่เราจะไปนั้น เขาสั่งให้เรามองที่ปลายเท้าอย่างเดียว ห้ามเหลียวซ้ายแลขวา ถ้าไม่เชื่อจะมีโทษมาก แล้วเขาก็พาผมไป ไม่ทราบว่าไปไหนนะครับ แต่ผมรู้ว่าไปสวรรค์ ที่รู้ก็เพราะว่ามันลอยขึ้นสูง มีแต่ความเงียบสงัดลอยขึ้นไปนานมาก ผมก็เห็นเมืองสวรรค์ ที่เขาบอกว่าสวรรค์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสามนั้น ก็เหมือนเมืองมนุษย์ ทุกอย่างเหมือนกันหมด มีผู้มีคน มีบ้านมีเรือน

แต่เมื่อขึ้นไปชั้นสูงๆ ก็ไม่เห็นคน ได้ยินแต่เสียงคนพูดกันเท่านั้น สถานที่มันก็ต่างกัน อย่างบ้านเรือนนี่ก็เปลี่ยนจากไม้เป็นตึก หลังคาทองคำ สวยงามมากนะครับ ตั้งแต่ชั้น 11 ขึ้นไปถึงชั้นที่ 27 ที่นี่มันสว่างไสวไปด้วยเปลวทองคำที่จับบนหลังคา มันแตกต่างกัน ผู้คนเรามองไม่เห็นได้ยินแต่เสียงสวดมนต์

รู้สึกว่าเรามีความสุขมากเพราะมีแต่ความเงียบสงัด มีความสดชื่น แล้วก็คลายทุกข์ทุกๆ อย่างหมด ได้รับแต่กลิ่นหอมของดอกไม้บนเมืองสวรรค์ที่ไม่มีในโลกนี้ ดอกไม้นี่มันบานออกกลางใบ ต้นไม้สูงเท่าต้นมะม่วง ใบมีสีเขียวเข้ม ดอกสีเหลืองอ่อนๆ พอเวลาเราเดินผ่าน ก็หอมฉุยเลย

ผมอยู่ในระหว่างนั้นสักชั่วโมงกว่าๆ เขาพาไปเที่ยวหมด แผ่นแก้วมันก็พาเราไปสวรรค์ชั้นต่างๆ จนถึงชั้น 27 ผมก็นอนอยู่อย่างนั้น เห็นหมด แต่พูดไม่ได้ ความสวยงามของสวรรค์แปลกมาก เพชรนิลจินดาที่ประดับอยู่บนหลังคานั้น มันสว่างวูบวาบ วูบวาบไปหมด ทำให้เกิดความสว่างไสวไปทั่ว แต่ไม่เห็นผู้คน เพราะท่านเหล่านั้นมีกายทิพย์

เราไม่สามารถที่เห็นได้ มีแต่เสียงสวดมนต์ เราฟังแล้วรู้สึกเยือกเย็นชื่นใจ รู้สึกสบายใจ ฟังแล้วมีความสุข ฟังแล้วลืมความทุกข์ทั้งสิ้นเลย ทำให้เราละความทุกข์ที่จากโลกมนุษย์มาได้ เราอยากอยู่ แต่เขาไม่ให้เราอยู่ เพราะบุญกุศลเรามันน้อย ไม่ถึงชั้นบน

เขาบอกว่า บุญกุศลของผมอยู่แค่ชั้น 7 เท่านั้น ส่วนเมืองนรกนั้น ผมก็เห็นสภาพมาแล้ว เพราะในระหว่างเดินทาง ผมเอี้ยวคอไปทางซ้าย แลเห็นนรกเยอะแยะเลย แต่เล่าไม่ได้ครับ เขาห้ามเล่าเพราะเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าเวทนา

ในนรกมีอยู่สามอย่างด้วยกัน คือ
1. ความทุกข์ยาก
2. ความเจ็บปวด
3. ความทุกข์ทรมาน


นรกจะมี 3 อย่างเท่านี้ แต่ละคนที่ตกอยู่ในนั้นไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่ง แก้ผ้ากันหมด มีแต่หนังหุ้มกระดูก มีผู้คนตกนรกเยอะมากเหลือเกิน นับไม่หวาดไม่ไหว มันต่างกับสวรรค์ ในนรกไม่มีที่จะอยู่นะครับ มันแน่นเหลือเกิน ช่วงที่ผมไปนั้น มีคนตายไปลงนรกมากมาย แต่ละคนแต่งขาวนุ่งขาวห่มขาว ลักษณะเหมือนถูกมัดตราสังข์ ใบหน้าเป็นมะขามเปียก ร้องไห้คร่ำครวญ ลงนรกกันเป็นแถว

แต่ละชั้นแตกต่างกัน เท่าที่ผมไปมาในคราวนั้นพอจะทราบเรื่องสวรรค์ดังนี้
- สวรรค์ชั้น 1 ถึง ชั้น 5 เหมือนเมืองมนุษย์ทุกอย่างเพราะเป็นกายหยาบ
- ชั้น 6 ถึง 10 เป็นกายละเอียด เพราะชั้น 10 นี่ยังเห็นกายเหมือนพลาสติกใสๆ อยู่
-ชั้น 11 ขึ้นไปแล้ว เป็นกายทิพย์
- ชั้น 6 ขึ้นไป สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่มีฝุ่น อากาศก็เย็น ประมาณ 15-16 องศาเซลเซียส ต้นหมากรากไม้มี แต่ไม่มาก สัตว์ต่างๆ ไม่มีเลย เงียบ มีแต่เสียงสวดมนต์

ที่ผมจำได้คือ "บทชินบัญชร" ตอนนั้นผมยังไม่ได้บวช ก็ไม่ทราบว่ามีชินบัญชร ตอนหลังไปบวชแล้วไปดูข้อความบทสวดที่เราได้ยินนี่ เป็นบทสวดตอนไหน ถึงได้ทราบว่า อ้อ ! บทชินบัญชรนี่เอง คือ เขาอาจจะสวดหลายอย่างนะครับ แต่ผมจำได้อย่างเดียว

พบบ้านในสวรรค์

ผู้การฯ เสนาะขยับพลิกตัวคล้ายๆ ให้คลายความอึดอัด หรือเมื่อยขบที่ต้องนอนอยู่ท่าเดียวเป็นเวลานาน แล้วเล่าต่อว่า ตอนที่ผมกลับ เขาพากลับลงมาที่สวรรค์ชั้น 7 มีบ้านผมอยู่แล้ว ทั้งมีคนมาคอยต้อนรับ 3 คน เป็นผู้ชาย 1 ผู้หญิง 2 ไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อนเลย หน้าตาแปลกๆ แต่งตัวก็เหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละครับ แต่เสื้อผ้าเขาสะอาดมีกลิ่นหอมเหมือนกันหมด

กลิ่นที่ว่านี้เหมือนการบูรที่เอามตำผสมกับเกสรดอกไม้ เช่น ดอกทานตะวัน ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ หน้าตาเขาไม่บุดบึ้ง พูดจาก็สุภาพ เขาบอกว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของผม ผมก็สงสัยนึกว่า เอ๊ะ ! บ้านผมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร บ้านผมอยู่ในเมืองมนุษย์เล็กนิดเดียว เพราะผมกู้เงินจากสวัสดิการเขามาปลูกเพียงแปดหมื่นบาท

พอเห็นบ้านบนสวรรค์นี่ ผมก็เกิดกิเลส อยากเข้าไปอยู่เพราะมันใหญ่โต มีสามมุข พื้นกระดานมันปล๊าบเลย คล้ายๆ กับพื้นไม้สักขัดมัน อ้ายบ้านเราในเมืองมนุษย์มันพื้นไม้เต็ง เวลาเดินทีดังแอ๊ดๆ จึงเกิดกิเลสขึ้นมาอยากอยู่ ก็ขอเขาเข้าไป แต่เขากลับบอกว่า เข้าไม่ได้ เพราะว่านายยังไม่ให้กุญแจ ผมก็แปลกใจ เอ๊ะ ! ก็บ้านของผม ทำไมจะเข้าไปไม่ได้

เขาบอก ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะเข้าไปอยู่ในบ้านนี้ ท่านยังมีกรรมอยู่ ท่านต้องกลับไปใช้กรรมอีกนิดหน่อย ผมฟังดังนั้นก็ถามเขาไปว่า อ้าว ! เมื่อกี้นี้ไปเอาผมมาแล้ว เรื่องอะไรจะให้ผมกลับไปอีก แล้วผมก็บอกว่า เอ ! ผมนึกไม่ออกนะครับว่า ผมทำอะไรถึงได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาก็พูดว่า ท่านลองคิดดูซิ ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ ท่านทำบุญด้วยอะไร

เราก็นึกไปถึงเคยทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ผมสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียบ หาเงินเข้าวัด สร้างพระอุโบสถ ซื้อกระเบื้อมุงหลังคา อะไรเหล่านี้ ผมทำบุญมากนะครับ ตอนป่วยครั้งหลังเป็นโรคไตนี่ ผมเป็นพันเอกแล้ว ปี 2527 เป็นพันเอกแล้ว ตอนผมตายครั้งแรกแล้วฟื้นขึ้นมา ผมทำบุญใหญ่เลย เดินแจกซองผ้าป่าเอง เพื่อหาเงินเข้าวัด เป็นเจ้าภาพเอง หาพรรคพวกทำทุกอย่าง ทำบุญมาตลอด

ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า "ตอนนั้นปฏิบัติธรรมหรือยัง"

ท่านผู้การฯ เสนาะบอกว่า "ยังทำไม่เป็นครับในตอนนั้น ทำบุญอย่างเดียว"

แล้วท่านเล่าต่อ "บนสวรรค์นี่ เวลาเรานึกในใจว่า เราเคยทำอะไรๆ มาบ้าง เขาก็กุเวลานึกไปว่าเราเคยทอดผ้าป่า เคยทอดกฐิน เคยหาเงินเข้าวัด เขาก็พยักหน้า ทั้งสร้างหอระฆัง หอฉัน เราทำหมดสร้างบ่อน้ำ เราก็ทำมาก เพราะต้องการมีน้ำกิน เวลาตายไปแล้วจะได้ไม่อดๆ อยากๆ กินข้าวแล้วไม่มีน้ำเหมือนครั้งแรก พูดกันไปพูดกันมา เขาก็ไม่ให้เข้าบ้าน เราก็จะเข้า แล้วผมถามว่าคุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ?

เขาบอก ผมช่วยเขาไว้ตอนผมเป็นมนุษย์ ผมก็ถามว่า เคยทำอะไรให้คุณละ เขาบอกว่าคุณลองนึกอีกทีซิ ที่คุณเคยช่วยคนตอนเป็นมนุษย์น่ะ ช่วยยังไง

ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ของคุณพ่อที่ไม่ใช้ไปให้คนที่เขาถูกไฟไหม้บ้านหมดตัว ไม่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วก็ซื้อพวกเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาแห้งไปให้เขา เพราะไฟไหม้สมัยก่อนมันหมดตัวจริงๆ เขาก็พยักหน้า รู้ทันความคิดของเราหมดทุกตอน ผลบุญที่เราทำมานี้ทำให้ได้เขาเป็นผู้รับใช้เรา เมื่อเวลาเขาหมดบุญ หมดอะไรที่เคยผูกพันกับเราแล้ว เขาก็ไปอยู่ตามที่ของเขา อาจไปอยู่สวรรค์ชั้น 1 ถึง 2 หรืออยู่นรกไหนก็แล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ในโลกมนุษย์

ครั้นพูดคุยแล้ว ผมก็อยากจะเข้าบ้านเพราะเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง เขาก็ไม่ยอมให้เข้า ผมดื้อจะเข้าท่าเดียว เขาก็เลยพูดจากอ่อนน้อม แต่แข็งกร้าว ไม่ยอมให้เข้าเด็ดขาด เมื่อเห็นผมจะเข้าจริงๆ เขาก็แปลงร่างจากคนธรรมดาเป็นมนุษย์ยักษ์ ตัวเบ้อเริ่ม ดำเป็นเหนี่ยง หน้าตาน่ากลัว ผมก็ถอยหลัง แล้ววิ่งหนีมาที่แผ่นแก้ว แผ่นแก้วก็พาผมลงมาที่สวรรค์ชั้น 2

พบเพื่อนรุ่นเดียวกัน

เมื่อผมมาถึงสวรรค์ชั้น 2 ก็พบเพื่อนที่ตายไปแล้ว เป็นนายทหาร 10 คน เขามาคอยรับผม เอารถน้ำ เอาเกวียน เอารถโบราณมารับผมหมดเลย ดีใจที่ได้ผมเป็นสมาชิก เพราะเขารู้ว่าผมจะต้องกลับไปโลกมนุษย์ แล้วเพื่อนๆ ก็ผมไปหาเพื่อนอีก 10 คน (ซึ่งขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่)

เพื่อนทั้ง 10 คนนี้นอนอยู่บนเตียง เพื่อน 10 คนกลุ่มแรกที่ไปรับผมนั้นตายไปแล้ว แต่เพื่อนอีก 10 คนที่นอนอยู่เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เขานอนนิ่งเฉย ทุกคนมีความเศร้าโศกมาก ทุกคนเสียใจที่ได้ตายจากญาติพี่น้องมา ก็นอนแบบคนมีทุกข์

มีเพื่อนคนที่ตายไปแล้วเอาข้าว น้ำ มาให้กิน ผมก็ประหลาดใจ จึงถามว่า ก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันทั้งนั้น ทำไมต้องปรนนิบัติเอาข้าวเอาน้ำมาให้กินด้วยเล่า เขาก็บอกว่า เพื่อน 10 คนที่นอนอยู่บนเตียงนี่เป็นผู้มีพระคุณต่อเขา เพราะในปีหนึ่งๆ ให้เขากินอิ่มปีละ 1 วัน

ผมมานึกดู ปีหนึ่งๆ เขากินอิ่มปีละ 1 วันได้อย่างไร คิดไปคิดมาก็นึกออก อ๋อ ! พวกนี้เขาเป็นกรรมการรุ่นไงครับ พอเลี้ยงพระเสร็จ ก็บังสุกุลให้แก่เพื่อนร่วมรุ่นที่ตายไปแล้ว ทำอย่างนี้มันถึงกุศลไปถึงพวกที่ตาย เขาก็ได้รับอาหาร เขาจึงถือว่าเป็นการผูกพันกัน เมื่อตายไปแล้วต้องคอยรับใช้กัน

ผมก็ถามต่อว่า ไหนละ เตียงผมอยู่ไหน อยากจะนอนบ้าง ช่วยเอาไม้มาต่อให้นอนหน่อย เขาก็บอกว่ายังไม่มีเตียงของผมหรอก ยังทำไม่เสร็จ ไม้ก็ไม่มี บนสวรรค์เขายังไม่ส่งมาให้ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่ไม่ไช่ที่อยู่ของผม เวลาผมตายมีที่อยู่สูงกว่านี้

ผมก็ไม่ยอมฟัง จะให้เขาต่อเตียงนอนให้ จนกระทั่งเขาเอาเศษไม้มาให้ผมดู แล้วบอกว่าเขาทำไม่ได้ดอก มีตะปูอยู่ตัวสองตัว มีไม้อยู่เพียงท่อนสองท่อน จะมาต่อเป็นเตียงนอนทำไม่ได้ ผมจึงบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะรีบกลับละ เพราะผู้มีอำนาจสั่งให้ผมรีบกลับแล้ว เนื่องจากผมยังมีกรรมต้องชดใช้ให้หมดเสียก่อน จึงจะขึ้นไปสวรรค์ชั้น 7 (บารมีในช่วงนั้น)

ผมโชคดีที่ได้กลับมาอยู่ในร่างเก่า ไม่ได้กลับมาในร่างของสัตว์เดรัจฉาน เช่น สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์จำพวกที่ใช้แรงงาน เพราะว่าบุญที่ผมทำมาเยอะ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ตัวว่าจะได้รับผลอย่างนี้ เขาก็บอกว่าจะต้องรีบกลับแล้ว ในช่วงนี้ทางโรงพยาบาลรู้สึกจะไม่ปั๊มหัวใจให้ผมแล้ว เขาสั่งมาเพราะเกรงว่าผมจะเข้าร่างไม่ทัน

ผมก็เดินผ่านเพื่อนๆ ขึ้นไปบนแผ่นแก้วเพื่อกลับโลกมนุษยส์ เพื่อนทั้ง 10 คนที่นอนอยู่ก็ยกมือขึ้นมาและบอกว่า "เพื่อนไปโลกมนุษย์แล้ว อย่าลืมทำบุญให้เราบ้าง เพราะเราไม่มีกินถึงมีกินก็ไม่ครบมื้อ ผมก็รับปากจะทำบุญให้ เขาก็ยกมือโลกไหวๆ ทั้ง 10 คนนี่ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่ามีใครบ้าง แต่ตอนนี้ห้ามเอ่ยชื่อนะครับ

เมื่อผมกลับมายังโลกมนุษย์ ยังไปเล่าให้พวกเขาฟัง ทั้งบอกว่า ถ้าจะตายต้องทำบุญมากๆ ทั้ง 10 คนนี่มีเชื่อยู่คนเดียว ทั้งผัวทั้งเมียก็ทำบุญต่ออายุ ทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร ปล่อยนกปล่อยปลา เขาก็ทำตามที่ผมบอก ก็มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้คนเดียว คนที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 นั้นตายหมด ตายเรียงเป็นแถวเลย !

ผมจากเพื่อนๆ มาแล้วก็ลงมาสวรรค์ชั้น 1 ก็พบเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนายทหารชั้นพันเอก เขาก็ต่อว่าเพื่อนใจดำเหลือเกิน ไม่ยอมเอาบันไดทอดลงมา เขาจะได้ขึ้นไปอยู่สบายๆ สวรรค์ชั้น 1 นี่มันไม่มีที่นอน มันไม่มีเก้าอี้ อาหารการกินก็น้อย ในระหว่างที่ผมเล่าเรื่องสวรรค์อย่างเดียวนี่ก็ประมาณชั่วโมงเศษๆ อันนี้ผมก็ขอผ่านไปครับ ผมก็บอกเพื่อนว่าผมจะรีบกลับละนะ

เพื่อนก็บอก เออดี ! จะกลับก็ดี ขอให้ทำบุญให้เราด้วยก็แล้วกัน เราจะได้มีกินครบสามมื้อ เราอยู่ที่นี่ เวลาใครเขาทำมาให้ก็ได้กิน เมื่อไม่มีใครทำบุญมาให้ ก็ได้อาศัยบุญเก่าที่เคยสร้างสมมา คนนี้เขาทำบุญไว้น้อยมาก แต่กรรมดีที่เขาทำก็ช่วยให้ขึ้นสวรรค์ แต่อาหารการกินเขาทำน้อย มันก็ได้กินน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับอดอยากดอกครับ อยู่บนสวรรค์น่ะ ทว่าไม่ครบมื้อเท่านั้นเอง

วิญญาณเข้าร่างอย่างไร

จากนั้นผมก็เดินทางมาโรงพยาบาล พอมาถึงจะเข้าร่างกายของเรา แต่เข้าไม่ได้ เราเจอร่างของเราก็ดีใจ เพราะพ้นจากสภาวะของอำนาจแล้วเราก็เป็นคน ความรู้สึกทางด้านที่อยากอยู่บนสวรรค์ก็หมดละ ไม่อยากไปแล้ว เห็นร่างของตนก็อยากจะหวนกลับเข้าร่างท่าเดียว คิดถึงลูก คิดถึงเมีย กระโดด เข้าใส่ผาง ! เข้าไม่ได้ กระเด็นออกมา เพราะเรากระโดดใส่ทางศีรษะ คนที่มาส่งเขาก็บอกว่า เมื่อออกจากร่างอย่างไรก็เข้าอย่างนั้นซิ

เวลาออกผมลุกขึ้นนะครับ เวลาจะเข้าก็ต้องนั่งเอาขาซ้ายทับขาซ้าย ขาขวาทับขาขวา เอาตัวทับตัว แล้วเอาคอทับคอ พยายามอย่าให้มันเหลื่อม พอเอาคอทับคอเสร็จ เอาหัวลงจะนอน ก็ฟื้นพอดี เวลาทั้งหมดที่ผมตายไป ตั้งแต่ 8.30 น. ถึง 19.05 น. นั้น คล้ายๆ เราหลับไป

แต่หมอบอกผมภายหลังว่า หัวใจหยุดเต้นแล้ว หัวใจหยุดเต้นมันก็คือตายนั่นเอง แต่ช่วงระยะเวลามันสั้น เวลาจะตายมันหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก แต่ตายครั้งที่ 2 นี่ทรมานไม่มากเลย สบายที่สุด ตายครั้งแรกยังทรมานมากกว่า

16 มิ.ย. 2531 ไปสวรรค์

พอกลับมาในครั้งนี้ เขาก็บอกว่าที่เราไปเห็นอะไรในสวรรค์หรือในนรกนี้ เขารู้นะครับว่า เราแอบหันไปมองทางซ้าย เขารู้ด้วยญาณวิเศษว่าเรานี่แอบมอง เขาบอกว่า เรื่องที่ไปเห็นอะไรๆ ในสวรรค์นั้นเล่าได้ แต่เรื่องไปเห็นอะไรในนรกนี่ห้ามเด็ดขาด มิฉะนั้นจะมีโทษมาก คำว่า "โทษ" ของเขานี่ เจ็บปวดมากนะครับ เขาตีอานเลย เจ็บปวดมาก แล้วเรากลัวเขามากที่สุด เขาบังคับโดยตลอด

คนที่ตายไปแล้วไม่มีเสรีนะครับ ตายไปแล้วถูกบังคับตลอดเวลา ไม่ว่านรก ไม่ว่าสวรรค์ เราไปสวรรค์นี่เขาพูดกับเราสุภาพนิดๆ เท่านั้นเอง แต่แฝงด้วยอำนาจที่เราต้องปฏิบัติตาม ถ้าเราจะให้เขาพูดดีกับเราได้ต้องทำบุญมหาศาลต้องทำบุญ สร้างสมบารมี เขาจึงจะพูดกับเราด้วยกิริยานอบน้อม

แล้วเขาบอกว่าให้ไปบรรยายเรื่องสวรรค์นี่กับทหารกับญาติพี่น้องใกล้ชิด ที่เขาเชื่อในพระพุทธศาสนา ว่าเรื่องนรกเรื่องสวรรค์นั้นมีจริง อย่าไปโมโหเขา อย่าไปโกรธเขา ถ้าเขาไม่เชื่อ เพราะแต่ละคนมันมีกรรมมีเวรไม่เหมือนกัน แล้วแต่กรรมของบุคคล อย่าไปโมโหโกรธา ไปดุด่าเขา หรือใช้กำลังกายกับเขา ข้อนี้ไม่ไห้ทำเด็ดขาด ถ้าจะทำถือว่ามีโทษ ให้ตัดใจเสียได้

ในการบรรยายนอกจากสิทธิของเรา เช่น ผมได้ค่าเบี้ยเลี้ยง 200-300 บาท อันนี้เอาได้ ของขบเคี้ยวที่เขาให้เป็นน้ำเป็นผลไม้ อันนี้กินได้ อาหารกินได้ แต่อย่าเอาปัจจัยที่เขาลงขันใส่กระป๋องแล้วมาทำบุญร่วมกับเราเอาไปใช้เด็ดขาด ถือว่าจะมีโทษมาก คำว่า "โทษ" นี้ขนหัวลุกเลย คือเงินที่เราไปบรรยายนี่เขาจะลงขันมาให้เราทำบุญ เราต้องเอาไปทำบุญ อย่าเอาไปใช้

หลังจากที่ผมตายคราวนี้ กลับมาจะแข็งแรงเหมือนมนุษย์ธรรมดา เขาจะให้เวลาผมในช่วง 8 มีนาคม 2528 ถึง 16 มิถุนายน 2531 ในช่วงนี้ห้ามผมตาย ห้ามตายก่อนกำหนดเป็นอันขาด มีหน้าที่ให้เผยแพร่การไปพบนรก-สวรรค์ มาให้คนได้เห็น คนได้รู้

อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ

เมื่อผู้การฯ เสนาะ เล่ามาถึงแค่นี้ ผู้เขียนได้เรียนถามท่านว่า ปัจจุบันท่านปฏิบัติธรรมหรือเปล่า"

ผู้ว่าการฯ เสนาะ บอกว่า "ทุกวันนี้ผมนั่งสมาธิโดยใช้ภาวนา "สัมมา อะระหัง" เวลานั่งก็นึกถึง "หลวงพ่อวัดปากน้ำ" เอารูปหลวงพ่อมานั่งดูและอธิษฐานในใจ ขอให้หลวงพ่อช่วยการเจ็บป่วยของลูก อยู่ไปถึง 16 มิ.ย. 2531 หลังจากนั้นจะเป็นอะไรก็ไม่ว่าแล้ว

ขณะที่ผมนั่งสมาธิไม่ได้นึกถึง "ดวงแก้ว" อย่างที่เขาปฏิบัติกันดอกครับ ผมนึกถึงหลวงพ่ออย่างเดียว เวลาไหว้พระก็ใช้บทสวดต่างๆ ของวัดปากน้ำ แล้วถึงนั่งสมาธิ ซึ่งอยู่ในเวลาระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ตอนลูกเข้านอนหมดแล้ว เพราะตอนนั้นมีความสงัดวิเวกพอสมควร"

เหตุที่ผมหันมาภาวนา "สัมมา อะระหัง" ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เพราะผมเคยเห็นอภินิหารของท่าน ครั้งนั้นผมยังเป็นเด็ก ไม่ค่อยจะเชื่อถือพระเจ้า คุณแม่พาผมไปกราบศพหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ พาผมขึ้นไปบนตึกชั้น 2 บอกว่า โลงศพของท่านตั้งอยู่บนนั้น ก่อนที่คุณแม่พาผมขึ้นบันไดไป ผมก็นึกในใจว่า ถ้าหลวงพ่อเก่งจริงดังคำเขาร่ำลือ ก็ขอให้แสดงอภินิหารให้ผมเห็นดูซิ

พอขึ้นไปถึงเรียบร้อย ผมไม่เห็นโลงศพของหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าเขาตั้งอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่อยู่ข้างหน้าผมไม่เกิน 3-4 เมตรเท่านั้น ผมก็หันไปถามคุณแม่ว่า ไหนคุณแม่ว่าโลงศพของหลวงพ่ออยู่บนนี้ ทำไมไม่เห็นมี คุณแม่ก็บอกว่าอยู่นี่ไง นั่นแหละผมจึงเห็นถนัดตา ขนลุกเลยครับ ! นับแต่นั้นมาผมก็เคารพบูชาท่าน

บรรยายธรรมไม่เคยเหนื่อย

ผู้เขียนอดแปลกใจมิได้ที่สุขภาพของท่านผู้การฯ เสนาะเป็นเช่นทุกวันนี้ แล้วยังจะไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ตามแต่เขาจะเชิญมา จนรับไม่หวาดไม่ไหว ได้อย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ท่านบอกว่า มันก็แปลกเหมือนกันครับ การบรรยายธรรมผมไม่เคยเหนื่อยเลย ไม่ว่าจะยืน 3 ชั่วโมง ไม่เคยเหนื่อย คล้ายๆ จะมีแรงเสริม ปกติแล้วผมนั่งเล่นไพ่เดี่ยวเดียวยังเหนื่อยเลย

ถ้าหากไปบรรยายนี่ไม่เหนื่อย ยิ่งมีกำลังใจ มีแนวที่จะบรรยาย แล้วกลับมารู้สึกสบายมาก เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ แปลก ! แต่ก่อนนี้ ก่อน 8 มีนาคม 2528 นี่ ร่างกายของผมอ่อนแอมาก ไม่มีแรงเดิน เดินไม่ไหว ลุกขึ้นมาก็คอตกหัวห้อย

ผู้เขียนถามท่านต่อไปว่าทำไมต้องมาฟอกเลือดอยู่เรื่อยๆ

ท่านผู้การฯ เสนาะ จินตรัตน์ตอบว่า "ทุกวันนี้ผมเป็นโรคไตวายเรื้อรังทั้งสองข้าง ถ้าเราไม่ฟอกเลือด มันก็ตาย ! เพราะว่าไตไม่ทำงาน ไตมันขับของเสีย ถ้ามันไม่ขับของเสียออก เราก็ตาย ผมจึงต้องมาให้เขาล้างไต ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 5 ชั่วโมง ที่มีชีวิตอยู่ได้นี่ก็ด้วยการฟอกเลือด ถ้าเราไม่ฟอกเลือดก็ตายได้ เราจะหายใจไม่ออก ตานี่มองไม่เห็น แน่นหน้าอก แล้วจะมีอาการอาเจียน อาเจียนมากจนกระทั่งหมดแรงไปเอง หัวใจวาย

ผู้การฯ เสนาะพูดถึงเรื่องนรก-สวรรค์ ต่อว่า "ช่วงนี้ผมไปบรรยายมาก เพราะไม่มีคนประเภทนี้พูดดอกครับ เขากลัวว่าจะถูกคนว่าเป็นบ้า พูดใหม่ๆ เขาก็หาว่าผมบ้า แต่ตอนหลังเขาเห็นว่า เราพอจะพูดให้คนเชื่อได้ ก็เลยเชิญกันไป
ครั้งแรกผมก็พูดให้เพื่อนฝูงฟังว่า นี่ลื้อจะตายนะ ลื้อจะต้องทำบุญมากๆ นะ เพราะอั๊วเห็นลื้ออยู่บนสวรรค์ชั้น 2 ก็บอกเพื่อนทั้งหมด 10 คนด้วยกัน บางคนฟังแล้วก็ไล่อัดผม ไล่เขกศีรษะผม เขาบอกว่าผมบ้า เพื่อนฝูงลงมติว่าผมบ้า

จากนั้นผมก็บอกกับเพื่อนทีละคน บางคนผมเดาได้นะครับ ผมเห็นเสื้อผ้าเขาขาด แล้วมีเลือดเป็นก้อนๆ ติดอยู่กับเสื้อ ผมก็เดาได้ว่าเพื่อนคนนี้ตายด้วยอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้ว่าตายทางดิ่งหรือทางราบ ทางดิ่งหมายถึงตกเครื่องบินตาย ตกที่สูงตาย ทางราบก็อุบัติเหตุ ด้วยรถ ด้วยเรือ ผมก็บอกเขาหมด เขาก็ว่าผมบ้า ร่างกายเขาแข็งแรง

แต่ปรากฏว่า ต่อมาเขาตาย ทีละคน ทีละคน ตามที่ผมบอกทุกอย่าง อย่างที่ผมเห็นหน้าขาวๆ กับหน้าดำนี่ ผมก็บอกว่า เฮ้ย ลื้อจะป่วยตายนะ ถ้าเห็นหน้าเพื่อนขาว เขาก็ป่วยตาย ความรู้สึกเช่นนี้มีขึ้นมาเอง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่ผมบอกว่าตายโดยอุบัติเหตุก็ถูกรถชนตาย คนที่เห็นหน้าขาวๆ ก็ป่วยตาย ที่ผมเชื่อก็เพราะเพื่อนผมที่ผมบอกว่าจะตายก็ตายไปตามนั้น ทีละคนๆ เหลืออยู่คนเดียวที่ไม่ตาย เพราะเขาทำบุญมาตลอด

วิสัยที่ผมจะหาหลักฐานพยานอ้างอิงได้นะครับ แต่ว่ามีเพื่อนผมตายตามที่ผมเห็น ทำให้ผมเชื่อ ผมก็คิดว่ามันน่าจะเพียงพอ และทำให้เราทั้งหลายเชื่อว่า นรก-สวรรค์นั้นมีจริง จึงอยากขอให้เราช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากกันเถิด อย่าไปซ้ำเติมเขาเลย ทั้งการแผ่เมตตาให้แก่คนที่เราไม่สามารถจะช่วยในปัจจัย 4 แก่เขาได้ เพื่อว่าในภพหน้า เราจะได้ไม่เกิดมาอีก เพราะการเกิดมันเป็นทุกข์จริงๆ ผู้ที่บรรลุแล้วจะไม่เกิดอีกต่อไป

ทุกวันนี้ผมนอนสบายมาก หัวถึงหมอนก็หลับ ผมไม่คิดอะไรแล้ว ผมรอวันนั้น วันที่ผมจะสิ้นลม ตายเมื่อไรผมก็ปลงแล้ว ยังนึกแต่เพียงว่า ถ้าตายแล้วจะต้องเกิดอีก ก็ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ มีคุณพ่อ-คุณแม่นับถือศาสนาพุทธ และขอให้ท่านมีเงินมีทองพอที่จะให้เราทำบุญได้ ก็พอแล้ว

ผู้เขียนลาผู้การฯ เสนาะ หลังจากได้สัมภาษณ์เสร็จด้วยจิตสลดหดหู่ คนที่รู้วันที่ตัวจะตายแล้วรอความตายเช่นนี้ ช่างน่าสรรเสริญท่านเป็นที่สุด เพราะท่านไม่ได้ปล่อยเวลาที่นอนรอความตายให้ว่างเปล่า แต่ได้ใช้เวลาเกือบจะทุกชั่วโมงชี้ทางให้คนเขาเห็นว่านรก - สวรรค์นั้นมีจริง ตามที่ท่านได้ไปเห็นมา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์อันใดหรือ ? ก็เพื่อให้มนุษย์เราละบาปหรือละอกุศลกรรม แล้วมาช่วยกันทำบุญ หรือก่อแต่กุศลกรรมนั่นเอง

บทสรุป

ท่านตายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2531 วันนั้นตรงกับวันพระ แรม 14 ค่ำ ที่ โรงพยาบาลมงกุฏฯเกล้า ภรรยาของท่านได้กล่าวว่า "วันนี้ (วันที่ 13 มิถุนายน 2531 หนูไปทำงานที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก มีคนไปบอกที่ทำงานเมื่อเวลา 08.30 น. บอกให้ไปที่โรงพยาบาลโดยด่วน ไม่ได้บอกว่า ท่านเสีย..หนูก็ไป

"หมอบอกว่า เสียแล้ว เสียตี 4 หมอช่วยจนถึงตี 5 หัวใจก็ไม่ฟื้นขึ้นมา หนูก็ไปกราบศพ ใบหน้าของท่านยิ้มเหมือนคนมีความสุขเหลือเกิน"

กำหนดวันตาย

เจ้าอาวาสวัดตาล ตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ พ.อ.(พิเศษ)เสนาะ ให้การช่วยเหลือบูรณะโบสถ์วิหารมาตลอดเวลา เปิดเผยว่า ผู้การฯ เสนาะ มาที่วัดนี้กว่า 13 ปีแล้ว ได้ช่วยเหลือกิจการของวัดมาสม่ำเสมอ โดยหาเงินมาซ่อมแซมโบสถ์อยู่เป็นประจำ

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน (ก่อนผู้การฯ เสนาะผ่าตัด 2 วัน) พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอีก 10 คน นำเงินสด 25,000 บาทเศษมาถวาย ขอให้นำปัจจัยดังกล่าวเข้ามูลนิธิ พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ท่านผู้การฯ ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะต้องหาเงินสร้างวิหารให้เสร็จภายในงบประมาณ 3 ล้านบาท แต่ในเวลาเดียวกัน...

ผู้การฯ เสนาะก็ปรารภให้เพื่อนๆ ฟังว่า ตนจะต้องตายภายในวันที่ 11-16 มิถุนายน เกรงจะสร้างไม่ทัน ซึ่งเพื่อนๆ ยังว่า พูดไม่เป็นมงคลแก่ตัว ถึงกระนั้น พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ ก็ยังพูดอีกว่า ถ้าตนตายก็ขอให้เอาอัฐิมาไว้ที่วัดตาลด้วย และในที่สุดผู้การฯ เสนาะก็มาตายจริงๆ..."

(((( โปรดคอยติดตาม ผู้ที่ตายแล้วฟื้นอีกนับเป็น เรื่องที่ 10 ))))


webmaster - 25/7/14 at 16:08

.