"ตายแล้วฟื้น" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ (เรื่องที่ 10) คุณครูบุญชู ศรีผ่อง
webmaster - 10/5/08 at 08:59
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 10
คุณครูบุญชู ศรีผ่อง จังหวัดอ่างทอง ผู้ตายแล้วฟื้น
บันทึกโดย...ครูบุญชู ศรีผ่อง
สภาพเมืองนรก
วันนั้นเป็นวันที่ ๕ ก. พ ๒๔๙๕ ฉันได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของฉันคือเป็น "ครูน้อย" ประจำโรงเรียนประชาบาล ต. สามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิตร)
อ.วิเศษไชยชาญ จ. อ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็ก ประกอบกับความง่วงผิดปกติ
ซึ่งฉันก็ไม่ได้ไปอดนอนที่ไหนมา
แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ ทำให้ฉันง่วงนอนอยากจะหลับ เป็นเหตุทำให้จิตใจของฉันไม่เป็นปกติ แต่ฉันก็ทนสอนต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น.
ซึ่งเป็นวันเวลาเลิกทำการสอน
พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้วฉันก็เดินมาบ้าน ซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ ๓ เส้นเศษ
ฉันมาถึงบ้านก็ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือหุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำตนเองและบุตร เมื่อเสร็จงานบ้านแล้ว
ฉันก็นำเสื่อมาปูและนอนเล่นกับบุตร ๒ คน ในขณะนั้นเวลา ๑๖. ๓๐ น.เศษ
ท่องสู่ปรโลกโดยไม่รู้ตัว
ต่อมาฉันก็หลับไปเมื่อไรไม่ทราบมารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวของฉันเองมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มองดูสวยงามมาก มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก
แต่ก็ไม่ทราบว่าที่ฉันยืนอยู่นี้เป็นที่ใด ฉันมองไปรอบ ๆ ตัวบังเอินสายตามองไปบนถนนสายหนึ่ง ยาวเหยียดไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้
ฉันยกเท้าจะขึ้นไปเที่ยวถนนสายนั้น
แต่ยังมิทันที่เท้าของฉันจะถูกพื้นถนนก็ต้องสดุ้ง เพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกิน ดังคล้ายตวาด มาจากทางข้างหน้าของฉันว่า
อ้อ...!บุญชู เหมอะเลยมาเถิด นายให้มารับถึงเวลาแล้ว ฉันได้ยินดังนั้นก็บอกเขาไปว่าไม่ไปหรอก พร้อมกับผละวิ่งหนีทันที
แต่ชายทั้งสี่คนก็เดินตามและพูดว่า
ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้
ฉันก็หันไปบอกเขาว่า ลุงไปบอกนายเถิดว่า ฉันผัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปไหนหรอก แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า
ผัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผลัดเอง เมื่อหมดทนทางเลี่ยงฉันจึงบอกว่า ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อน
ฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะที่มาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้ แล้วฉันก็เดินมาหน้าบ้านและเดินเข้ารั่วบ้านขึ้นบันไดไป
ก็พบว่าบนบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเข้าพายุและมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ฉันขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของฉัน
ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆหมอ ฉันเสียหลักสะดุดชายเสื่อล้มลงไป
เมื่อฉันลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้านข้าง ๆ ฉันนั้นต่างพากันถอยหนีไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมดและต่างก็ชิงกันถามว่า
ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ
ฉันก็บอกพวกนั้นว่า อย่ากลัวฉันเลย ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย แล้วก็จะไปเพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ฉันยังไม่อยากตาย ขอผลัดเขา
เขาไม่ยอมบอกให้ไปผัดกับยมบาลเอง ฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วย ขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน
ถ้าไม่กลับหมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อยเผา..
พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้นและได้ยินเสียงเรียก ฉันจึงบอกว่า
โน้นเขาเรียกเร่งมาแล้ว ฉันไปล่ะ ลาก่อนทุก ๆ คน นายเจ๊กที่เป็นหมอแกจึงเอาธูปเทียนมาให้ฉัน และบอกว่า พระอรหัง..พระอรหัง
ตอนนี้ฉันเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำ "พระอรหัง" ได้สองครั้งก็หมดสติวูบไป มารู้สึกตัวว่าตัวของฉันเองได้เดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว
ในระยะที่ฉันฟื้นและตายไปใหม่นี้ คือฟื้นตอนประมาณ ๒๒. ๐๐ น. และตายไปใหม่ประมาณ ๒๒ . ๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นฉันอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง ๒ คน
เดินมาพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งข้างทางเดินมีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต้ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่
ขนมจีนน้ำยาและขนมอีกหลายชนิดคนทั้งสี่ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกฉัน
บุญชู..ยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียซิ
ฉันก็ตรงเข้าไปกินกับเรา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า
ของใครนี่เรามากินของเขาไม่ว่าเอาหรือ
คนที่มีท่าทีว่าจะเป็นหัวหน้าบอกฉันว่า
ไม่มีใครว่าหรอกเพราะเขาเซ่นผี ไว้อีกสองวันข้าจะกลับมาเอา
ฉันถามว่าบ้านใครเล่า เขาบอกว่า
โน้นไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพานเขาทำบุญต่ออายุไว้ อีกสองวันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป
ฉันมองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้าง ๆ บ้านมีลูกกรงสีเขียวต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนนต่างไชโยโห่ร้องรับฉัน
และร้องบอกกันว่า
พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย ฉันบอกกับเขาว่า ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย
จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกสวยมากเป็นทองคำทั้งดอก ใบสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ฉันตรงเข้าไปจะเก็บก็ถูกห้ามไม่ให้เก็บ
เขาบอกว่าถ้ายังอยากจะกลับละก้ออย่าเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ฉันต้องเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย
เดินพักใหญ่ก็พบลานกว้างมีต้นไทรขนาด ๒ คนโอบ มีแท่นหินและโต๊ะหินอยู่โคนต้นไทร มีชายคนหนึ่งตัวดำ ผมหยิกตพอง รูปร่างใหญ่โตนั่งอยู่บนแท่นหินนั้น
ชายทั้งสี่และฉันเดินมาถึงตรงนี้ ก็ถูกเรียกว่า
เฮ้ย !.. พามาตรงนี้ซิ มาถามไถ่กันดูก่อน อีนี่ดื้อนักเรียกไม่ค่อยจะมา
ฉันและชายทั้งสี่จึงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพอเงยหน้าขึ้นดูก็รู้สึกดีใจว่ายมบาลคนนี้รูปร่างเหมือน "นายสิงห์หมี" ผู้ใหญ่บ้านที่รู้จักกัน จึงถามว่า
อ้าว ! ..ตาเชย มาเมื่อไรเล่า ? แต่กลับตวาดว่า เชย..เชยอะไร เอ็งรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทำให้ฉันเงียบเสียงทันที แต่ยังนึกสงสัยว่า ยมบาลนี้ถ้าไม่ชื่อ "เชย" ทำไมรูปร่างเหมือนผู้ใหญ่เชยจริง ๆ คล้ายกับจะเป็นลูกฝาแฝดทีเดียว
แต่ยมบาลตัวใหญ่มาก ฉันจะพูดกับยมบาลต้องแหงนหน้า ฉันยืนอยู่ตรงหน้าคล้ายกับเอาลูกหนูไปยืนอยู่ตรงหน้าวัว ตัวเขื่อง ๆ ทีเดียว
ยมบาลเอาไปผิดตัว
ต่อไปยมบาลถามฉันว่า เอ็งทำไมดื้อนัก! ข้าให้คนไปรับยังวิ่งหนี
ฉันตอบไปว่า ฉันห่วงลูก เพราะลูกยังเล็กอยู่ คราวนี้ยมบาลสดุ้งทันทีร้องว่า
อ้าว..พวกมึงทำไมทำระยำอย่างงี้เล่า..ผิดตัวเสียแล้ว อีนี่มันไม่มีลูกนี่หว่า
เสร็จแล้วก็ไปพลิกบัญชีดูและบอกว่า อีกคนนั้นชื่อ "บุญชู จิตทอง บ้านต้นโพธ์ หมู่ ๑ จ.สิงห์บุรี" ตายเวลาตีหนึ่งครึ่ง เป็นไข้ทับระดูตาย
อีนี่ตายตั่งแต่ห้าโมงเย็น เป็นลมตาย ไม่ใช่ ๆ ผิดตัว เอ็งจัดแจงเตรียมตัวไปเอาอีคนนั้นมา
บัญชีผู้ที่จะต้องตายในเวลาต่อมา
พอสี่คนนั้นเตรียมตัวไปยมบาลก็หันหน้ามาบอกฉัน จะดูอะไรก็ดูเลย ประเดี๋ยวจะให้เขาเอากลับไปส่ง ฉันจึงเดินดู พบชายคนหนึ่ง ซึ่งฉันเคยรู้จักชื่อ
"นายเปรื่อง" ถูกตัดนิ้วมือด้วนกุดหมด ถามได้ความว่าชอบยิงนกในวัด
บางคนก็เคยทุบหัวควายก็ถูกล่ามโซ่และถูกเชือดเนื้อเสียงร้องอู้ ๆ น่ากลัวมาก
ฉันมองดูด้วยความหวาดเสียว เมื่อฉันเดินออกมายมบาลก็โยนบัญชีมาให้ฉันดู ในบัญชีนั้นมีหนังสือตัวใหญ่ ๆ แผ่นกระดาษใหญ่เท่ากับแผ่นกระดานดำที่สอนเด็ก
ฉันมองดูมีชื่อคนมาก แต่ฉันพยายามจำแต่คนที่ฉันรู้จักจำมาได้ดังนี้คือ
(๑) นางบุญชู จิตทอง ตีหนึ่งครึ่ง ไข้ทับระดู ๕ ก.พ. ๒๔๙๕
(๒) นางหล่ำ ๗ ก.พ. ๒๔๙๕
(๓) นางฉาย บุญวงศ์ ๔ มี. ค. ๒๔๙๕
(๔) นานแม่น ทองสติ ๔ ก. ค. ๒๔๙๕
(๕) นายปลอด สีสิงห์ ๔ ก.พ. ๒๔๙๗ (อีกสองปี)
ฉันเปิดขอดูอีกแต่เขาไม่ยอมให้เปิด เขาบอกว่า
เอ็งหมดสิทธิ์ที่จะเปิดแล้ว เอ็งเป็นคนใจบุญเปิดดูไม่ได้หรอก เดี๋ยวไปเที่ยวบอกเขาหมด เมื่อก่อนนี้ เอ็งเป็นคนทำบัญชีให้ข้า ข้าคิดถึงเอ็ง
อีกห้าปีข้าจะให้ไปรับเพราะเอ็งจะลำบากอีกมาก
ฉันบอกว่า อีกห้าปีฉันไม่มาหรอก ยมบาลหัวเรอะแล้วพูดว่า
เอ็งอยากลำบากก็ตามใจเอ็ง แต่ถ้าเอ็งไม่มา เอ็งต้องบวชลูกให้ข้า ข้าก็ไม่ไปรับเอ็ง แต่ข้าจะให้คาถาเอ็งไว้ป้องกันตัวบทหนึ่ง เอ็งพยายามท่องอยู่เสมอ
อันตรายและความลำบากจะลดน้อยลงไป คาถานี้เอ็งบอกให้ทั่ว ๆ ไปเถิด เพราะต่อ ๆ ไปในเมืองมนุยษ์จะยุ่งกันใหญ่ เอ็งคอยจำนะข้าจะบอกให้
แล้วเขาบอกว่า ก่อนท่อง ตั้ง "นะโม ๓ จบ" เสียก่อนนะแล้วท่อง จะออกจากบ้านหรือจะนอนนะ ท่องอยู่เสมอ ๆ จะคุ้มภัยเอ็งได้
"ปะโตเมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ "
ฉันจำไว้เพื่อนำมายังมนุษย์โลกต่อไป และก็เป็นที่น่าแปลกว่า ฉันได้ฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้และก็พอดีเขานำ "บุญชู จิตทอง" มา
บุญชูคนนี้กับฉันรูปร่างเหมือนกันมาก
ฉันได้ยินเสียงยมบาลดุบุญชูว่า
เอ็งนี่จะตายแล้วยังก่อเวรไปลักพุทราเขามากิน และผิดสำแดงพุทราจึงตาย
แล้วเขาสั่งให้ตีบุญชู ฉันรู้สึกกลัวจริง ๆ เมื่อบุญชูคนโน้นถูกตีด้วยหวายแล้ว ยมบาลก็สั่งให้ชายทั้งสี่นำฉันมาส่ง
พอมาถึงหน้าบ้านฉันเข้าบ้านไม่ได้ เพราะล้อมสายสิญจน์และซัดข้าวสารไว้ จนกระทั้งคนที่ท่าทางคล้ายกับเป็นหัวหน้าแก จึงจับฉันเหวี่ยงโครมขึ้นมาบนบ้าน
ทำให้บ้านไหวยวบ คนหนีกันหมดเหลือแต่ลูกสาวฉันได้อายุได้ ๔ ปี นี่งอยู่และถามฉันว่า
แม่ไม่ตายหรือ !..
พอบอกว่าไม่ตายหรอก จึงได้เรียกคนขึ้นมาบนบ้าน ฉันรู้สึกใจหาย เพราะตอนที่ฟื้นมานี้เป็นเวลา ๐๘. ๐๕ น.เศษ และต่อโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พวกชาวบ้านและพระขอร้องให้ฉันเล่าให้ฟัง "ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชี" ฉันก็นำมาเล่าให้ชาวบ้านและพระฟังจนหมด
และต่อมาเมื่อวันที่ ๗ "นางหล่ำ" ตาย วันที่ ๔ มี.ค. "นางฉาย" ตาย วันที่ ๔ ก.ค. "นายแม่น" ตาย ต่อมาคนสุดท้าย "นายปลอด สี่สิงห์" กำหนด ๒ ปี
พอครบพอดีก็ตาย
แต่ก่อนตายแกไปเที่ยวขุดละลายหัวคันนา ที่แกเคยรุกที่เขาคืนให้เจ้าของหมด
ต่อมานายคนหนึ่งทางห้วยคันแหลม ( ต. ห้วยคันแหลม ) ได้สั่งลูกหลานไว้หลังฉันฟื้นมาแล้ว กูตายไปละก้อ มึงเอาขวานใส่โลงไปให้กูด้วย
กูจะเอาขวานไปโค้นต้นงิ้วในนรก พอตาย ลูกหลานก็เอาขวานใส่โลงไปให้จริง ๆ ต่อมาแกกลับมาเข้าทรงเด็ก ๆ ให้ไปขุดขวานขึ้น แกบอกว่า
ไม่ไหวละ..มันเอาขวานทุบหัวเสียอีกด้วยซี แทนที่จะเอาขวานไปโค้นต้นงิ้ว ในที่สุดพวกลูกต้องไปขุดเอาขวานขึ้น
(((( โปรดคอยติดตาม ผู้ที่ตายแล้วฟื้นอีกนับเป็น เรื่องที่ 11 ))))