การระลึกชาติของ..หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
webmaster - 26/6/08 at 19:49
"..สำหรับ "ญาณ" การระลึกรู้อดีตชาตินี้ ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ผู้ใฝ่ในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถาม
หลวงปู่ก็ยอมเล่าให้ฟังบ้าง ท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้อเนกชาติหาประมาณมิได้นั้น เพราะท่านทรงมหาสติ
มหาปัญญา มหาบารมี สำหรับท่านนี้ เท่าที่ระลึกได้ ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์ มักจะเป็นแต่คนทุกข์ยากเสียมากกว่า
เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับพ่อเชียงหมุน (อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งนี้ มาทานผ้าขาวหนึ่งวา และเงิน 50 สตางค์
บูชาถวาย "พระธาตุพนม" พร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวช ได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วย "สมัยพระมหากัสสปะเถรเจ้า"
พระธาตุพนมนี้สร้างก่อน "พระปฐมเจดีย์"
ในตอนนี้ ท่านบอกว่า "..ตอนไปเฒ่าแล้ว อายุ 70 ปี เป็นคนลาวข้ามมาจากฝั่งโน้น.."
ท่านเคยเกิดเป็น "คนยาง" อยู่ในป่า เกิดแค่ครั้งเดียว เมียตาย..ออกลูกตาย
และเคยเกิดเป็น "ทหารพม่า" มารบกับไทย ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน ประเทศพม่า
ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
เคยเป็นทหาร ไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และเคยตายเพราะอดข้าวที่นั่น ท่านเคยเป็นพระภิกษุ รักษาศีลอยู่กับ "พระอนุรุทธะ" เคยเป็นสามเณรนัอยลูกศิษย์
"พระมหากัสสปะ" และเคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลกอีกด้วย
สำหรับการเกิดเป็นสัตว์นั้น ท่านเล่าว่า ท่านก็ผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญเช่นกัน เช่น เคยเกิดเป็น "ผีเสี้อ" ถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกิน
ที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็น "ฟาน" (เก้ง) ไปแอบกินมะกอก กินไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมน
ถูกที่ขาวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
เมื่อครั้งเกิดเป็น "หมี" ไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟัน ถูกหัวและหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก
ต้องทนทุกข์ทรมาน จนกระทั่งหายไปเอง
เคยเกิดเป็น "ไก่" มีความผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำอีกถึง 7 ชาติ มีเรื่องเล่าไว้ดังนี้ว่า
วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มี "แม่ไก่" ตัวหนึ่งมาหาท่าน
กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง มาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น
จึงได้ดุว่าเอา
แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้
แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา
ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี
ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า แม่ไก่ก็เถียงว่า
ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ
แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อ "บ้านป่าพัวะ" อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง!
หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้
ไม่มีศิล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านบทความนี้แล้ว พึงระวังเทอญ
เคยเกิดเป็น "ปลาขาว" อยู่ในสระ ณ บริเวณซึ่งปัจจุบันคือสวนบ้าน พล.อ.อ. พโยม เย็นสุดใจ
ท่านเล่าชีวิตของการเกิดเป็นสัตว์นั้นแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้งมีความรู้สึกร้อนหนาว หิว กระหาย เหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้พูดไม่ได้
ต้องซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขา ตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียก ก็หนาวสั่น แดดออก ก็รัอน ก็ไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้าน
หิว กระหาย เห็นพืชผลที่ควรกินได้ เป็นอาหารได้
พอจะหยิบฉวยจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกลายเป็นของที่เขาหวงห้ามมีเจ้าของ ต้องถูกเขาขับไส ไล่ทำร้าย มะกอกสักหน่วย กล้วยสักลูก
แตงสักผล
หยิบปลิดมาใส่ปากกินยังไม่ทันอิ่มท้อง มนุษย์ก็ไล่ยิง ไล่ฟัน ของเพียงเล็กน้อย แต่ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิต ชีวิต
ซึ่งจะเป็นชีวิตของคน
หรือชีวิตของสัตว์
ของสัตว์ใหญ่ หรือ
ของสัตว์เล็ก ก็คือชีวิตดวงหนึ่งเหมือนกัน
ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรม ที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหายยกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็น
"ไก่" ใจนึกปฏิพัทธ์รักใคร่นางแม่ไก่ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้ได้พบนางแม่ไก่อีกก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น
ท่านเล่าว่า แม้ท่าน "พระอาจารย์มั่น" เอง เมื่อท่านระลึกชาติได้เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็น "สุนัข" ถึงหมื่นชาติ
ท่านบังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิฐานเลิกปรารถนา "พุทธภูมิ" เพราะการจะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น
ท่านต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ และหากเกิดกิเลสตัณหา ติดข้องผูกพันรักใคร่ ปรารถนาพบรัก พบทุกข์อยู่นั้นแล้ว
การเดินทางในภพชาติก็จะยืดเยื้อเยิ่นยาวต่อไปเป็นอนันตกาล เคราะห์ดี ที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ขอตัดขาด ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระอาจารย์มั่น
จึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
พร้อมกับที่เล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องการระลึกชาติ ท่านจะชี้ภัยของการท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปในภพต่างๆ ให้ฟังเสมอ ท่านเตือนย้ำว่า
การกำหนดระลึกรู้ได้เหล่านี้ เป็นเพียงผลพลอยได้ จากการบำเพ็ญเพียรภาวนาให้จิตสงบ หากเกิดขึ้นก็รับรู้ นำมาพิจารณาให้เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นไตรลักษณ์
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นอริยสัจ 4 ถือเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเจ้าของฟาดฟันกิเลสให้ย่อยยับอัปราไปโดยเร็ว
ไม่ใช่ มัวนึกหลง นึกดีใจ เกิดมานะ ว่าเราเก่งกล้าสามารถกว่าคนอื่น นั่นเป็นทางหายนะ
.! เพราะ "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" เป็นเพียงโลกียญาณ
ไม่ใช่โลกุตตรญาณ
! ถ้าเจ้าของไม่เร่งดำเนินเข้าสู่ทางไปสู่ "อาสวักขยญาณ" หรือญาณซึ่งถอดถอน "อาสวกิเลส" ให้สิ้นไปดับไป ญาณระลึกรู้อดีตชาติซึ่งเป็น
"โลกียญาณ" ก็ย่อมจะเสื่อมได้..."