นิยายเรื่อง "นกพิราบเป็นเหตุ" บอกเล่าโดย.."ทิดถึก"
webmaster - 26/10/12 at 10:27
สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)
[1] นิยายเรื่อง "นกพิราบเป็นเหตุ"
[2] เรื่องจริง "ปัญหาข้างวัด"
[3] ตอนพิเศษ 1
นิยายเรื่อง "นกพิราบเป็นเหตุ"
บอกเล่าโดย.. "ทิดถึก"
...อตีตา กาเล นิยายเรื่องนี้เล่ากันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายว่า ในอดีตกาล มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหลายได้อาศัยกันอย่างเป็นสุข
แต่ภายหลังต้องมาพังพินาศเพราะ "นกพิราบ" ตัวเดียว ที่เป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องแตกแยกกัน อย่างแทบไม่น่าเชื่อ..เรื่องราวจะสนุกสนานตื่นเต้นเพียงใด ลองมาฟัง
"ทิดถึก" เล่ากันต่อไป...
...กาลครั้งหนึ่ง ยังมีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า "ผู้ใหญ่อรรณะ" ได้ปกครองดูแลลูกบ้านอย่างเป็นสุขตลอดมา นับตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าตายไป
ก็ยังให้ความเป็นธรรม ให้ความเมตตาตลอดมา ใครมีเรื่องสุขเรื่องทุกข์อย่างใด ก็พยายามเกื้อกูลช่วยเหลือ จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทั้งหลายสืบๆ มา
ต่างก็ช่วยกันเชิดชูเกียรติคุณหมู่บ้านแห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรืองด้วยดี
หากมีข้ออรรถธรรมที่ชาวบ้านสงสัยหรือใคร่เรียนรู้ ผู้ใหญ่อรรณะก็มอบหมายให้ลูกน้องของตนคนหนึ่ง มีหน้าที่ชี้แจงข้อสงสัยในอรรถธรรมนั้น นับเป็นเวลานานหลายปี
จนกระทั่งมีผู้คนศรัทธาเลื่อมใสกันมาก ชาวบ้านที่มีอาวุโสทั้งหลายที่มีตำแหน่งในหมู่บ้าน
ไม่ว่าจะเป็นรองผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ถือว่าช่วยทำงานแทนในด้านนี้ ต่างก็โมทนาไม่มีจิตคิดริษยาแต่อย่างใด
คงให้ทำหน้าที่ช่วยสั่งสอนจริยธรรมแก่ชาวบ้านทั้งหลาย
ต่อมาก็มีปัญหาเกิดขึ้นกับหมู่บ้านนี้ เนื่องจากมีฝูงนกพิราบมาอาศัยกันเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งก็ลงกินข้าวในนา
แล้วกลับมาขี้เลอะเทอะไปหมด จนสร้างความรำคาญให้เกิดขึ้น แต่ด้วยที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำร้าย หรือรังควาญนกพิราบเหล่านี้แต่อย่างใด
ผู้ใหญ่อรรณะจึงคิดอุบายว่าจ้างชาวบ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่สามารถจับนกพิราบได้ ถ้าจับได้จะให้รางวัลตัวละ ๑๐ บาท แต่ไม่ให้ฆ่านะ ต้องจับมาเป็นๆ
แล้วทำกรงใหญ่ขังรวมกันไว้ ให้เลี้ยงข้าวเปลือกมันกินทุกวัน พอมีจำนวนเยอะๆ ก็นำไปปล่อยในที่ห่างไกล โดยไม่มีจิตที่จะคิดร้ายต่อนกเหล่านี้
เพราะถือว่ามีเจตนาในการรักษาหมู่บ้านให้ปลอดภัยจากเชือโรคร้าย ที่เกิดจากขี้นกเหล่านี้
เหตุการณ์ก็ผ่านไปหลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่งมีเรื่องเกิดขึ้น จากเรื่องนิดเดียว..แต่ได้บานปลายลุกลามจนชาวบ้านแตกแยกกันไปจนทุกวันนี้
คือคนที่มีหน้าที่สั่งสอนอรรถธรรม (แทนผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน) ชื่อว่า "ปอมสาม" ได้เดินผ่านไปเห็นตาข่ายขึงอยู่ มีนกพิราบติดอยู่ด้วย
หลังจากทำธุระเสร็จแล้วเดินกลับเห็นนกยังติดอยู่ ซึ่งเป็นเวลานานแล้ว สงสารนกเหลือเกิน แต่ก็ไม่เห็นมีใครนำมันไปปล่อยสักที
วันต่อมาจึงได้นำเรื่องนี้มากล่าวตำหนิในที่ประชุมชาวบ้านภายในศาลาหลังใหญ่ ในเวลาบ่ายระหว่างที่สอนอรรถธรรมอยู่นั้น
ว่าผุ้ใหญ่บ้านเป็นผู้สั่งการให้ทรมานสัตว์ ติติงการจุดประทัดไล่นก คงไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านคนเก่าก็เคยสั่งให้จุดไล่ได้
และที่สำคัญไม่มีใครรู้มาก่อนว่า สมัยก่อน "ผู้ใหญ่คนเก่า" เคยตำหนิอาจารย์ "ปอมสาม" ในที่ประชุมหมู่บ้าน
หลังจากกลับมาจากการสอนปฏิบัติธรรมที่เมืองตัวหิน ห้ามมิให้สอนวิชามโนมยิทธิอีกต่อไป เพราะไปทำนายทายทักเขาผิด ทำให้ชาวบ้านคนหนึ่งเขาเสียหาย
(เรื่องนี้มีผู้บันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐานด้วย แต่ด้วยความมีเมตตาธรรม ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไม่เคยนำมาเปิดเผยเลย)
มาฟังทิดถึกเล่าต่อไปอีกว่า วันนั้นมีชาวบ้านร่วมฟังหลายสิบคน ได้ยินการตำหนิติเตียนผู้ใหญ่บ้านเรื่องสั่งให้จับนกพิราบด้วยความไม่เข้าใจ
โดยไม่มีการซักถามก่อน และพูดทำนองท้าทายให้ไล่ตนเองออกได้เลย พร้อมกันนี้ได้ให้บันทึกเสียงออกแจกจ่าย เหมือนจะเป็นการประจานผู้ใหญ่บ้านของตนเอง
คงจะไม่พอใจที่ผู้ใหญ่บ้านเคยติติงเรื่องทำปกหนังสือธรรมะมาก่อน จึงถือว่าเป็นการทำผิดมรรยาทในการปกครอง ที่เป็นลูกบ้านแต่ตำหนิผู้ใหญ่บ้าน
เหมือนผู้น้อยไม่มีความเคารพผู้บังคับบัญชาอย่างนั้นแหละ นับว่าเป็นจริยาที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
หากไม่ทำเด็ดขาดเช่นนี้ต่อไปคนอื่นก็ทำตามได้อีก
ความจริงเรื่อง "นกพิราบเป็นเหตุ" นี้ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด หากมีปัญหาไม่เข้าใจอย่างใด ก็น่าจะมาซักถามผู้ที่เกี่ยวข้อง
ไม่จำเป็นต้องเอาปัญหาภายในออกไป เพราะสามารถแก้ไขกันเองได้ มีคนเอาเทปไปให้ผู้ใหญ่อรรณะฟัง ถึงกับนิ่งอึ้งน้ำตาซึม ต้องทนทุกข์มาตลอดเวลา
หน้าตาไม่สดชื่นเหมือนก่อน
แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีพรหมวิหาร ๔ มีคุณธรรมประจำใจ ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองแต่อย่างใด คงมีคำสั่งให้กรรมการหมู่บ้านไปประชุมสอบสวนทวนพยานกัน
ซึ่งเรื่องนี้หลังจากได้มีการสอบสวนซักถามความจริงกันว่า เพราะเหตุใดจึงปล่อยให้นกถูกทรมานอยู่นาน ทำไมไม่ไปเอานกออกจากตาข่าย เหมือนอย่างที่เคยทำทุกวัน
ปรากฏว่าคนที่มีหน้าที่ไปจับนกพิราบปล่อย บังเอิญวันนั้นไม่ว่าง มีธุระต้องออกไปทำนอกหมู่บ้าน จึงทำให้กลับมาปล่อยนกพิราบช้าไปเท่านั้น
มิได้มีเจตนาที่ทรมานสัตว์อย่างที่เข้าใจ
หลังจากนั้นชาวบ้านบางคนที่ไม่เข้าใจ ต่างก็ติเตียนผู้ใหญ่บ้านว่า มัวแต่เป็นห่วงสถานที่ แล้วศีลไม่ขาดไม่ด่างดอกหรือ
นี่มีการวิพากย์วิจารณ์กันแบบไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้ได้บานปลายออกไปยิ่งขึ้น จากการคัดลอกเทปแจกจ่ายออกไปทั่วทุกหมู่บ้าน คนที่ฟังก็ยังไม่รู้ความจริง
ต่างก็เริ่มตำหนิติเตียนผู้ทำหน้าที่
โดยเฉพาะมีการตั้งคณะกรรมสอบสวน แล้วมีความเห็นให้ออกไปจากหมู่บ้านนี้ภายใน ๗ วัน บางคนก็ตำหนิติเตียนผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ๒ คน มีชื่อว่า "อินทร์จา" และ
"ชาติไวย" ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการไปแจ้งว่า
เวลานี้ถึงกำหนด ๗ วันตามมติของคณะกรรมการแล้ว ต้องทำตามคำสั่งนี้นะ ในเวลานั้นมีลูกน้องคนสนิทอยู่กับอาจารย์ "ปอมสาม" ๒ - ๓ คน
ภายหลังคงนำข่าวนี้ไปบอกพรรคพวกของตนเองว่า ผู้ช่วยผู้ใหญ่สองคนนี้ทำเกินกว่าเหตุ แค่นี้ทำไมถึงกับต้องไล่ออกไปด้วย
แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่สอนอรรถธรรมคนนี้ ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มานาน ๑๐ กว่าปี ไม่ได้ร่วมหมู่ร่วมคณะกันแต่อย่างใด
ไม่เคยร่วมกิจกรรมอะไรในหมู่บ้านเลย คณะกรรมการเห็นว่าเป็นความผิดยืดเยื้อมานานหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องที่ทำผิดในปัจจุบันด้วย
จึงเป็นเหตุให้ต้องประมวลรวมทั้งหมดให้ออกไป
อีกทั้งระเบียบแบบแผนที่ผู้ใหญ่บ้านคนก่อนวางไว้ เคยมีผู้ทำกฎระเบียบเช่นนี้มาแล้ว มีการตักเตือนและคาดโทษไว้ก่อน
แล้วผู้ใหญ่บ้านคนก่อนยังมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรอีกว่า หากภายหลังมีผู้ใดทำผิดเช่นนี้อีก ให้ไล่ออกไปจากหมู่บ้านสถานเดียว
เพื่อเป็นการเตือนไม่ให้บุคคลอื่นปฏิบัติตามอีก นี่เป็นกฎที่วางไว้นานแล้ว คณะกรรมการหมู่บ้านในปัจจุบันนี้
จึงไม่สามารถจะฝ่าฝืนได้จำต้องรักษากฎระเบียบที่วางไว้
ในระหว่างที่บุคคลนี้ยังไม่ยอมออกจากหมู่บ้าน มีคนจากเมืองหลวงที่มีความเชือถือ ได้อุทิศบ้านให้ไปทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน
แต่ก็ยังอุทิศให้ผู้ใหญ่บ้านอรรณะไปทุกต้นเดือนเหมือนเดิม ภายหลังเจ้าของบ้านได้ทำหนังสือ ๑ ฉบับ ไปติติงคณะกรรมการหมู่บ้าน
ว่าเหตุแค่นี้น่าจะตักเตือนกันได้ ทำไมถึงต้องขับไล่ด้วย
ผู้ใหญ่อรรณะได้นำหนังสือฉบับนี้ให้แก่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชาติไวยอ่าน แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เพราะยังไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
ต่อมาผู้ใหญ่บ้านให้ทำหนังสือถึงผู้ปกครองเขต ที่มีตำแหน่งใหญ่กว่าผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอเจ้าหน้าที่มาบังคับให้ออกไป เพราะผู้ใหญ่บ้านมีสิทธิ์ตามกฎหมาย
เนื่องจากเกินเวลา ๗ วันแล้ว พร้อมทั้งทำหนังสือติดประกาศแจ้งคนในหมู่บ้านทราบ
แต่เรื่องนี้คนนอกหมู่บ้านไม่ทราบรายละเอียด เพราะมีแต่เพียงคำสั่งให้ออกไปเท่านั้น เรื่องนี้เป็นมรรยาทของคณะกรรมการหมู่บ้าน
ที่มีใจเป็นธรรมไม่อยากประจานผู้เสียหาย แต่เพราะการไม่ชี้แจงความจริงนี้เอง นานเข้าจึงทำให้คนภายหลังเอาไปพูดคลาดเคลื่อนแบบไม่รู้จริง
ต่างตำหนิติเตียนคณะกรรมการที่ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าแต่งตั้งไว้ แล้วพยายามโฆษณาอาจารย์ของตนเองว่าเป็นผู้เห็นธรรมแล้ว พยายามชักชวนคนใหม่ๆ เข้าเป็นพรรคพวก
และยุยงให้เกลียดชังผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน สร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในสังคมนี้ ได้สร้างบาปกรรมอย่างมหันต์โดยไม่รู้ตัว (หรืออาจจะรู้ตัวก็ได้)
คนที่เพิ่งมาหรือคนเดิมที่มีอคติอยู่แล้ว (คำว่าอคติ คือรักเคารพเป็นห่วงอาจารย์ของตนเอง) จึงตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีโดยปริยาย
เพราะอาจมีสปายสายลับจากลัทธิอื่นปลอมปนเข้าไป เพื่อวางแผนล้มล้างหมู่บ้านของตนเอง
สำหรับเรื่องนี้ได้มีคนพยายามทำมาตั้งแต่สมัยผู้ใหญ่บ้านคนเก่ามีชีวิตอยู่แล้ว
เมื่อปีที่แล้วก็มีหนังสือตักเตือนจากผู้หลักผู้ใหญ่ในส่วนกลาง ว่ามีหมู่บ้านหลายแห่งที่ตกเป็นเป้าหมาย ขอให้ระมัดระวังบุคคลที่จะเข้ามาทำลาย
โดยเฉพาะมีชื่อหมู่บ้านของเราอยู่ในบัญชีนี้ด้วย เวลานี้ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าเริ่มเป็นจริงตามข่าวนี้แล้ว
ทิดถึกขอเล่าต่อไปอีกว่า ในตอนนี้มีคนของอาจารย์ "ปอมสาม" นำเรื่องนี้เข้าไปร้องเรียนต่อผู้ปกครองมณฑล (ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นเรื่องของภายในหมู่บ้าน) อันเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทั่วทั้งเขตแดน มีนิวาสถานอยู่ในเมืองหลวงโน่น มีตำแหน่งรักษาการสูงสุด
โดยได้เข้าไปรายงานข้อมูลแต่ฝ่ายเดียวหลายครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งคณะจากอาจารย์ "ปอมสาม" ได้เข้าไปรายงานและขอคำแนะนำที่อยู่ใหม่ ด้วยอาการที่ลุกลี้ลุกลน แต่บังเอิญในวันนั้นมีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ชื่อ
"ทิดต้อน" กำลังนั่งสนทนากับผู้ใหญ่ท่านนี้อยู่ก่อน (ทิดต้อนบอกว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้จักตนมาก่อน จึงนั่งฟังได้อย่างสบาย)
จึงได้รับฟังได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
พร้อมกับได้ยินคำถามเรื่องจะหาที่อยู่ใหม่ที่ไหนดี ก็ได้ยินคำตอบว่าให้อาจารย์ "ปอมสาม" ออกไปหาที่อยู่ใหม่ให้ไกลๆ ออกไป
(เหมือนกับท่านจะรู้ล่วงหน้าถ้าอยู่ใกล้ๆ จะมีแต่เรื่องยุ่ง เพราะภายหลังก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของท่าน) แต่หลังจากคนกลุ่มนี้ลุกออกไปแล้ว
ทิดต้อนจึงได้นำเรื่องราวทั้งหมดมาเล่าให้น้องสาวของ "เจ้าของบ้าน" ที่อุทิศให้ผู้ใหญ่บ้านอรรณะและอาจารย์ปอมสาม มาพักในเวลาไล่เลี่ยกัน
ในตอนนี้ถ้าทิดต้อนไม่มาได้เห็นได้ยินด้วยตนเอง ท่านทั้งหลายลองมองเหตุการ์ต่อไป จากคนที่เคยรักเคยชอบกัน จากคนที่เคยเป็นเหมือนญาติ
เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกันเริ่มเปลี่ยนไป คือจะมีคนมาหาเริ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือคนของฝ่ายผู้ใหญ่บ้านเดิม และคนของอาจารย์คนนี้
ถ้าหากมีการแบ่งเวลาสอนอรรถธรรม ลูกพี่ออกมาทำกิจกรรมต้นเดือน ลุกน้องออกมาทำกิจกรรมกลางเดือน นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ ท่านผู้มีธรรมอยู่ในใจ
คงจะเริ่มมองเห็นภาพเหตุการณ์ได้ดี คงไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วรอยร้าวนี้เกิดจากผู้ใด
ใครเป็นคนเริ่มสร้างความแตกแยก ทำให้แตกความสามัคคีกันก่อน ใครเป็นคนสร้างภาพให้เห็นว่าหมู่บ้านนี้ เวลามีการจัดงานใหญ่ในหมู่บ้าน
มีคนแบ่งกลุ่มแยกกันไปร่วมงาน ถ้าคนจากหมู่บ้านอื่นมาเห็นคงขำพิลึก ทั้งนี้เป็นเพราะแค่เหตุเพียง "นกตัวเดียว" เท่านั้นเอง (แต่ภายหลังกลับโยนบาปให้
"บุคคลคนเดียว" อีกเช่นกัน)
เป็นอันว่าความจริงทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยขึ้น (ทั้งนี้ยังไม่เคยเปิดเผยออกสู่สาธารณะ เพราะเห็นแก่คุณธรรม เพื่อจะไม่ให้เข้าใจว่าผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย
นี่..ทิดถึกได้ยินมาเองนะ) เมื่อทิดต้อนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวของเจ้าของบ้านนี้ กลับมาเล่าความจริงทั้งหมดว่า ผู้ใหญ่สูงสุดท่านนี้บอกว่า
คนที่นำเรื่องนี้มาเล่านะ ท่าทางอาการร้อนรนเหลือเกิน
แล้วทิดต้อนก็เล่าให้ท่านฟังถึงความเป็นจริงทั้งหมด พร้อมกับถามว่าการที่นำตาข่ายไปดักนกเช่นนี้ ศีลจะขาดหรือไม่ ท่านบอกว่าอยู่ที่เจตนา
หากเจตนาเพื่อป้องกันสถานที่ ไม่มีเจตนาที่ไปฆ่ามันตาย มันก็ไม่ผิดศีลและไม่เป็นบาปแต่อย่างใด
ทิดต้อนคนนี้ก็ซักถามต่อไปว่า แล้วเหตุที่อาจารย์คนนี้อยู่ในหมู่บ้านมานาน แต่ไม่เคยร่วมกิจกรรมเลย มีการมั่วสุมในที่พักที่อยู่
เวลาคุยกันหมู่มากก็เสียงดังรบกวนถึงไปถึงบ้านอื่น แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่รู้ว่าเขารำคาญ ผู้ใหญ่สูงสุดท่านนี้ก็บอกว่าไม่ถูกต้องนะ
แล้วก็รำพึงต่อไปว่า...น่าสงสารผู้ใหญ่อรรณะ..!
แล้วท่านก็เล่าว่า อาจารย์ปอมสามเคยมาหาท่านด้วยความผูกโกรธ ตำหนิผู้ใหญ่บ้านของตนเองอย่างรุนแรง จึงถามว่าอยู่ในหมู่บ้านนี้มากี่ปีแล้ว บอกว่า 5 ปีแล้ว
ท่านจึงนิ่งเฉย
แต่กลับเล่าให้ทิดต้อนฟังว่า อยู่มา 5 ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลยนะ ข้อนี้เหมือนกับท่านจะตอบโจทย์ว่า อาจารย์ปอมสามคนนี้ น่าจะยังไม่ได้บรรลุธรรมเบื้องสูง
ตามที่มีคนเข้าใจและเล่าลือกันอยู่ในเวลานี้
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความแจ่มแจ้งแก่เจ้าของบ้าน ภายหลังก็เข้าใจเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ได้ให้อาจารย์คนนี้ไปพักที่บ้านในเวลากลางเดือนอีกเลย
นี่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น โดยทิดต้อนได้เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่บ้านอรรณะฟังด้วยตนเอง
แล้วผู้ใหญ่บ้านอรรณะก็นำมาเล่าให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านชาติไวยอีกทีหนึ่ง จึงเชื่อว่าเป็นความจริงทุกประการ ภายหลังทางผู้ปกครองเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่
พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง ไปเชิญอาจารย์ "ปอมสาม" ให้ออกไปจากหมู่บ้าน แต่ทางกรรมการไม่ได้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป
เพราะเหตุนี้เองคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดต่างไม่พอใจ ออกไปหาซื้อที่อยู่ใหม่แล้วตั้งหมู่คณะสอนอรรถธรรมกันเองใกล้หมู่บ้าน
บางคนก็โพนทนาว่าผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยทำเกินกว่าเหตุ ต่างยุยงไม่ให้คนอื่นไปหาหรือไปร่วมงานต่างๆ (โดยเฉพาะผู้ช่วยชาติไวย บอกว่าโดนหนักกว่าใคร)
มีคนบางคนที่อาศัยอยู่ภายใน ไม่รู้ผิดรู้ถูก ไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ บ้างก็ชักชวนคนใหม่ให้ไปหา แล้วกลับมาหลบพักอาศัยหลับนอนกินอยุ่ในบ้านเดิมของตนเอง
ช่างเป็นนกเร่รอนที่อกตัญญูไม่รู้คุณค่าแต่อย่างใด สร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นต่อหมู่บ้าน ทำนองว่าเข้าทางโจรนั่นเอง
นี่ทิดถึกไม่ได้กล่าวหาว่าใครมาทำลายนะ เพียงแค่เตือนให้ระวังอย่าไปเข้าทางเขาเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หมู่บ้านที่เคยร่มเย็นเป็นสุข
หมู่บ้านที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยสร้างให้ คนเคยเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เคยทำงาน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายหลังก็ต้องมาจบสิ้นกันไป บางคนก็ไม่ทักทาย
บางคนก็ไม่มองหน้ากัน
บางคนจะเอาสิ่งของไปให้ ก็พูดกันท่าว่าไม่ต้องเอาไป หรือมีกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นก็ห้ามไม่ให้ไป เน้นแต่เรื่องปฏิบัติตามแนวของตนเองต่อไป
จะเห็นว่าบุคคลคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเหตุทำให้คนที่นับถืออีกฝ่ายหนึ่ง ต่างก็รังเกียจคนอีกกลุ่มหนึ่ง คนของฝ่ายกลุ่มที่ก่อเรื่องก็รังเกียจคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ต่างฝ่ายต่างโยนความผิดเข้าหากัน แล้วก็แยกไปทำกิจกรรมกันเอง แตกแยกกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเดินทางด้วยกันมาก่อน
ทั้งนี้ด้วยความเข้าใจผิดนิดเดียวจาก "นกพิราบเป็นเหตุ" แท้ๆ แล้วกลับมาเพ่งโทษโยนบาปให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
คนที่ได้รับหน้าที่แทนคณะกรรมการ เหตุการ์ณเช่นนี้จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ระมัดระวังไว้ อย่าดูหมิ่นเพียงแค่ "น้ำผึ้งหยดเดียว"
ที่จะเป็นเหมือนเช่นกับ "ภิกษุชาวเมืองโกสัมพี" ที่ในสมัยพุทธกาลต้องทะเลาะกันเพราะเหตุน้ำในห้องส้วมเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง
ซึงต่อไปนี้พวกเราจะไม่รอรับลูกอย่างเดียว จะลุกขึ้นมาชี้แจงแถลงไข ขอให้ทุกคนหันหน้าเข้ามาหากัน แล้วรวมพลังช่วยกันรักษาความสามัคคีดังเดิม
เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเป้าหมายของลัทธิอื่นต่อไป.
(โปรดรอติดตามภาค 2 ต่อไป)
webmaster - 24/12/15 at 23:19
*(กรุณาอย่านำข้อมูลเหล่านี้ออกไปเผยแพร่)*
ภาค 2 ปัญหาข้างวัดท่าซุง
...ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า เรื่องนี้มีคนวิจารณ์กันว่า เรื่องผ่านไปนานแล้ว ไม่น่าเอามาพูดกันอีก
แต่คนฟังคงไม่คิดว่า
กรณีนี้มีผู้เสียหาย 2 ท่าน โดยตรงคือ ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล แต่ก็กล่าวหาว่า พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต เป็นผู้ขับไล่แต่เพียงผู้เดียว
เพราะเหตุที่ไม่เปิดเผยไว้ก่อนนี้แหละ จึงทำให้เรื่องราวบานปลายมาจนถึงบัดนี้ ลองตั้งใจฟังตั้งอ่านกันให้ตลอดก่อนนะ
...เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ได้มีการปรึกษาหารือในเรื่องนี้ พระชัยวัฒน์ได้นำเอกสารของคณะกรรมการสงฆ์
สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมอบให้คณะกรรมสงฆ์ชุดนี้ได้ถือเป็นแบบอย่างต่อไป *(รายละเอียดอยู่ด้านล่างในตอนต่อไป)
นอกจากนี้ที่ประชุมก็ยังได้ระบุถึงปัญหาพระรูปหนึ่ง ที่ถูกให้ออกไปจากวัดท่าซุง ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความไม่เข้าใจมานานแล้ว
พระชัยวัฒน์จึงได้ชี้แจงพร้อมกับพยายานหลักฐาน ดังนี้
นกพิราบเป็นเหตุ
...ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ก็เป็นเหตุให้แตกแยกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยเมื่อปี ๒๕๔๕ ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล เห็นว่า นกพิราบ
ภายในวัดมีเยอะเหลือเกิน
จึงคิดจะจับไปปล่อย ด้วยการจ้างคนงานภายในวัดรับจ้างจับตัวละ ๑๐ บาท โดยจับมาแล้วใส่กรงไว้ก่อนแล้วนำไปปล่อยทีหลัง
ส่วนหน้าโบสถ์จับยาก ต้องใช้ตาข่ายขึงดักไว้ เมื่อนกบินมาติดก็จับไปปล่อย บังเอิญวันนั้นพระในวัดรูปหนึ่งเดินผ่านมาพอดี
ท่านเห็นนกติดอยู่นาน ด้วยเหตุที่ว่าคนในวัดคนหนึ่งไม่ได้มาเอานกออกจากตาข่าย เนื่องจากวันนั้นติดช่วยงานในป่า จึงมาช้าไป
พระรูปนี้ไม่เข้าใจ นึกว่าท่านเจ้าคุณฯ ทรมานสัตว์ จึงไปพูดตำหนิเรื่องนี้ต่อหน้าญาติโยม ในขณะสอนมโนมยิทธิภายในวิหารร้อยเมตร
จากนั้นก็สั่งให้อัดเทปแจกแก่ทุกคน
พระในวัดหลายรูปไม่พอใจการกระทำเช่นนี้ เหมือนกับประจานท่านเจ้าอาวาสต่อหน้าฆราวาส แสดงถึงความไม่เคารพต่อผู้บังคับบัญชา ผิดหลักการปกครอง
จะเป็นเยี่ยงอย่างให้เกิดขึ้นภายหลัง
เรื่องนี้สร้างความทุกข์ใจให้แก่ท่านเจ้าคุณฯ มาก จึงได้นัดประชุมคณะกรรมการสงฆ์ตัดสินให้ออกไปเลย โดยท่านเจ้าคุณเป็นผู้พิจารณาเอง
เพราะทำผิดกฏระเบียบวัดหลายกรณีด้วย ถึงแม้พระรูปนี้จะอ้างว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม
แต่ด้วยผิดกฎระเบียบการปกครองที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานวางไว้ คณะกรรมการสงฆ์จึงมีคำสั่งให้ออกจากวัดภายใน ๗ วัน
แต่ท่านก็ไม่ยอมออกไปตามคำสั่ง ท่านเจ้าคุณจึงมีหนังสือให้ ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู (ดาบสอ) ไปจัดการ *(ตามเอกสารแนบ)
แต่ท่านก็ไม่ยอมออกไป ท่านเจ้าคุณจึงให้ตำรวจพระในจังหวัดอุทัยธานี ที่เรียกว่า พระวินยาธิการ มาจัดการ ท่านจึงออกไป
ภายหลังวันเข้าพรรษาแล้ว ท่านก็ได้มากราบท่านเจ้าอาวาส พร้อมกับขอขมายอมรับผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ความจริง
ท่านเจ้าคุณจึงอนุเคราะห์ไปเทถนนทางเข้าให้
เหตุการณ์ต่อไปของดไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งเหมือนฟ้าลิขิตให้เหตุการณ์จบลงไปด้วยดี เมื่อลูกศิษย์ของพระรูปนี้ไปรายงานหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ
เป็นรอบที่สอง
ขณะนั้น ลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่คนหนึ่งได้นั่งอยู่ก่อน ได้ทราบเรื่องราวต่างๆ ได้ดี จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ทางบ้าน...ฟังจึงเข้าใจ
แล้วก็งดนิมนต์พระรูปนี้ไปที่บ้าน...อีก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในกรณีนี้ จึงขอนำบันทึกของคุณ...มาเป็นหลักฐาน เพื่อเปิดเผยความจริงกัน
โดยพระชัยวัฒน์จะได้ไม่ถูกกล่าวหาแต่ผู้เดียวว่าเป็นผู้ขับไล่ให้ออกไป ทั้งที่เป็นมติของคณะกรรมการสงฆ์
จากคำพูดของญาติโยมภายหลังที่ไม่เข้าใจ อาจเกิดความคลางแคลงใจในพระผู้ใหญ่ อันมีท่านเจ้าคุณพระราชภาวโกศล เป็นต้น แน่นอนถึงแม้จะไม่แสดงออกมา
แต่ก็เห็นแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าพระสงฆ์และญาติโยมแตกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากกว่านี้ ดังตัวอย่างในปัจจุบันนี้ สถานการณ์ข้างวัดย่ำแย่ แยกกันสอน แยกกันทำกิจกรรม
ผู้คนก็มองหน้ากันไม่สนิท ต่างหวาดระแวงกัน ช่างบังเอิญเหลือเกินเหมือนกับท่านรู้อนาคต หลวงพ่อสมเด็จฯ จึงแนะนำให้ไปอยู่ไกลๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตาม
เรื่องมันถึงได้เกิดมีขึ้นจนถึงบัดนี้
(สำเนาจดหมายของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่วัดสระเกศฯ)
บันทึก กรณีพระ.... วัดท่าซุง
"...วันหนึ่งเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมได้รับโทรศัพท์จาก ท่านพระครูปลัดอนันต์ (หลวงพี่นัน) ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุง
ปกติท่านไม่ค่อยได้โทรมา มีแต่เราโทรไปกราบเรียนท่านเวลามีธุระ ซึ่งก็ไม่บ่อย บางที 2-3 ปี ครั้งนึง แต่ก็ได้ไปถวายสังฆทานบ้าง ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ไป
คืนนั้นท่านโทรมาหาก็แปลกใจพอสมควร ท่านได้โทรมาปรารภเรื่องที่ท่านไม่สบายใจ เกี่ยวกับมีพระที่วัดท่าซุง
ชื่อพระ....ได้มีการกล่าวหาว่าร้ายท่าน ในหลายๆ เรื่อง
เรื่องที่ท่านโดนข้อหาหนักที่สุดจากท่าน....ก็คือ เรื่องที่ท่านเอาตาข่ายไปกางป้องกันนกพิราบ ไม่ให้มาเกาะและถ่ายรดถาวรวัตถุของวัด
ทำให้เกิดความเสียหายและสกปรก การวางตาข่ายป้องกัน ทำให้นกบางตัวมาติดตาข่ายและดิ้นไม่หลุด
ท่าน.....ได้นำเรื่องนี้ไปพูดให้ร้ายหลวงพี่นัน ว่าไม่มีความเมตตา ทำทารุณกรรมกับสัตว์
ทำให้มีศิษยานุศิษย์ของวัดท่าซุงที่มีความเคารพในท่าน....
ก็เกิดความไม่สบายใจ และบางท่านเกิดความไม่พอใจในท่านเจ้าอาวาส เกิดเป็นกระแสการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายในวัดท่าซุง
ผมจึงได้แต่กราบเรียนท่านไปว่า ขออย่าเพิ่งให้ท่านรีบด่วนตัดสินใจไม่มาที่นี่ เพราะว่าการมาที่นี่เป็นการปฎิบัติที่ทำมาตั้งสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ผมขออนุญาตไปคุยกับพี่...ก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
ประมาณ 2-3 วันต่อมา ผมได้เข้าไปกราบเข้าพบหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสระเกศ ซึ่งได้เข้ากราบพบท่านเป็นประจำอยู่แล้ว
หลังจากได้ทำบุญกับท่านเสร็จก็มีพระเลขาท่านได้เข้ามากราบเรียนว่า มีแขกมารอพบหลวงพ่อฯ
ผมเลยกราบขอลากลับ แต่ก็แปลกใจมากเพราะท่านบอกว่า อย่าเพิ่งกลับให้นั่งอยู่ข้างๆ ท่านก่อน ผมก็เลยไม่ได้ลุกไปไหน นั่งอยู่ข้างๆ ท่าน
สักพักก็มีเด็กหนุ่มคนนึงเข้ามากราบท่าน ท่านก็ถามว่ามีธุระอะไร หนุ่มนั่นก็กราบเรียนว่า แกมาจากวัดท่าซุง
เป็นลูกศิษย์ท่าน.....มาเพื่อที่จะกราบเรียนให้ท่านทราบว่า
เจ้าอาวาสวัดท่าซุงทำทารุณกรรมกับสัตว์ และความไม่ดีต่างๆ นานา และขอให้หลวงพ่อช่วยเข้าไปตัดสินจัดการด้วย
หลังจากเด็กหนุ่มคนนั้นเล่าจบ ท่านก็บอกว่าให้กลับไปก่อน หลังจากเด็กหนุ่มกลับไปแล้ว ท่านก็หันมาทางผมแล้ว ถามว่าเรื่องวัดท่าซุงมันเป็นยังไง
ให้เล่าถวายให้ท่านฟัง
ผมเองก็ตกใจว่าท่านทราบได้ยังไงว่าผมพอรู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ไปวัดมานานมาก และไม่เคยรู้เรื่องความเป็นไปในวัดมากนัก
และก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องวัดท่าซุงให้ท่านฟังมาก่อน
แต่ท่านกลับถาม เหมือนกับรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้ดี ถ้า 2-3 วันก่อนหลวงพี่นันไม่โทรมาหา และมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้เลย
ผมก็เลยกราบเรียนท่านไปว่า บังเอิญจริงๆ ที่หลวงพี่นันท่านเพิ่งโทรมาเล่าให้ฟัง ก็เลยเล่าถวายไปตามที่ได้ฟังมา ท่านก็เลยตอบกับผมว่า
ท่านอนันต์ ท่านทำถูกแล้วที่รักษาของสงฆ์ และท่านก็เล่าให้ผมฟังต่อไปอีกว่า ท่าน....เคยมาหาท่าน เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
ท่านก็ถามว่าบวชอยู่กับหลวงพ่อฤาษีมากี่ปีแล้ว ตอนนั้นท่าน....ตอบว่า 5 ปีแล้ว
หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอกกับผมต่อว่า อยู่กับหลวงพ่อฤาษี 5 ปีนี่ ยังไม่ได้อะไรเลยนะ ท่านพูดแค่นี้
(หมายเหตุ - คำว่าบวช 5 ปีนี้ ท่านอาจได้ยินไม่ชัดเจน ความจริงน่าจะ 15 ปี เพราะท่าน...บวชปี 2531 ตอนที่ไปพบหลวงพ่อสมเด็จฯ นั้น ปี 2545)
และท่านก็บอกกับผมว่า เรื่องนี้ถ้าใครถามก็ให้บอกไปว่า ท่านยังไม่ตัดสินก็แล้วกัน และท่านก็ยังบอกอีกว่า คุณอนันต์นะท่านดีเหลือเกิน
หลังจากนั้นก็ได้ทราบข่าวว่าทางคณะสงฆ์วัดท่าซุงได้ตัดสินให้ท่าน....ออกจากวัด ผมก็ได้ไปกราบเรียนท่านว่า
ทางท่าน....ได้ออกจากวัดไปแล้ว แต่ได้มาสร้างวัดอยู่ติดกับวัดท่าซุง ท่านก็ได้แต่พูดว่า ให้ไปอยู่ไกลๆ วัดท่าซุงน่ะดี ท่านพูดแค่นี้.
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า เรื่องนี้เป็นความจริง
Chi S.
(สำเนาจดหมายของพระครูปลัดอนันต์ถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ)
ที่พิเศษ ๐๒/๒๕๔๕ วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๕
เรื่อง ขอมอบอำนาจให้ ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู
สิ่งที่ส่งมาด้วย - เทปคาทเซท และสำเนาหนังสือถึง พระครูอุทิตศุภการ เจ้าอาวาสวัดอฤตวารี รองเจ้าคณะอำเภอเมืองอุทัยธานี
เนื่องด้วยอาตมา พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ขอมอบอำนาจหน้าที่ให้ ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่ที่วัดท่าซุง ให้เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับ พระสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต
ซึ่งมีความประพฤติผิดระเบียบข้อบังคับของวัด และไม่ประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย ขัดขืนคำสั่งเจ้าอาวาสและคณะกรรมการสงฆ์ ซึ่งมีมติให้ออกไปจากวัด
แต่ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงจำเป็นที่จะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติไปตามกฎหมายต่อไป
อาตมาจึงทำหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ เพื่อให้ ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู ได้ดำเนินการตามขั้นตอนแทนอาตมา เพื่อความสงบสุขและความสามัคคีในวัดสืบไป
ขอเจริญพรด้วยความนับถือ
........................................
พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
เจ้าอาวาส วัดจันทาราม (ท่าซุง)
...หมายเหตุ : ต่อมาหลังจาก ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็ยังไม่ได้ผล จึงได้แจ้งให้ "พระวินยาการ"
จากคณะสงฆ์จังหวัดอุทัยธานี มาดำเนินการจนเป็นผลสำเร็จ
แต่ก่อนออกจากวัด พระรูปนี้ได้เขียนจดหมายมาสั่งสอนเจ้าอาวาสของตนเอง โดยท่านพระครูปลัดอนันต์ส่งมาให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก (แทนที่ท่านจะเก็บไว้เอง)
นับเป็นเกียรติประวัติของวัดท่าซุงเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป
เขียนที่ วัดจันทาราม (ท่าซุง)
วันที่ 2 เมษายน 2545
กราบเรียน หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ที่เคารพ
...หลวงพี่ขอรับกระผมขออนุญตใช้การเขียนแทนการพูดเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ คือนับตั้งแต่เริ่มที่กระผมตั้งใจกระทำลงไป
กระผมปรารถนาเพียงแค่ขอให้หลวงพี่ผู้อยู่ในฐานะผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ และศรัทธาจากผู้ที่เป็นลูกหลานและลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมาก
อีกประการหนึ่ง ในฐานะผู้รักษาผืนแผ่นดินที่รองรับความดีของคนทั้งหลายทั้งปัจจุบันและอนาคต ที่พระพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้สร้างสมขึ้นมา
เพื่อให้พระศาสนาตั้งมั่น ยังผู้ที่มีศรัทธา ให้ศรัทธายิ่งขึ้น ผู้ยังไม่ศรัทธาก็หันมาศรัทธาพระศาสนายิ่งขึ้น
ด้วยกระผมเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงตัดสินใจกระทำลงไป ต้องการให้หลวงพี่มีสติที่จะหันมาดูแลจิตใจของตนเองให้มากกว่านี้
และกระทำให้สมกับคำว่าพระที่ต้องเจริญศรัทธา อันเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"บุคคลที่ทำลายพระศาสนามิใช่ใคร เป็นลูกตถาคตเอง"
การทำลายศรัทธาจะด้วยการประพฤติปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับความเป็นพระก็ดี หรือจากที่ตัวของเราผู้ยังไม่แจ้งในข้อธรรมทั้งหลายอย่างหมดจดก็ดี
แล้วนำไปบอกแก่บุคคลอื่นด้วยความไม่รู้จริง ทำให้คนเหล่านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
นี่ก็เป็นเหตุทำร้ายตัวเองและทำร้ายผู้อื่นให้หมดศรัทธาที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
นี่ก็คือการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรงนั่นเอง
กระผมได้ให้เวลากับสิ่งที่เกิดขึ้นมาพอสมควรแล้ว และคำพูดที่กระผมได้กล่าวไว้ต่อหน้าทุกๆ ท่าน ที่เป็นกรรมการสงฆ์ กระผมก็ยังยืนยันคำเดิม ยินดีรับคำตัดสิน
แต่ที่กระผมยังไม่ปฏิบัติตามนั้น ไม่ใช่ว่ากระผมจะดื้อดึงที่จะอยู่ต่อ
แต่เป็นเพราะกระผมต้องการจะรู้และพิสูจน์ใจของหลวงพี่ทั้งหลาย ว่าจะคิดจะกระทำสิ่งใด อันมาจากใจที่ปฏิบัติกันถึงไหน
เลยต้องแสดงละครเพื่อจะดูให้เห็นเป็นประจักษ์แก่ใจตัวเอง และได้เห็นแล้วว่า
ผลจากความเสื่อมของใจที่เคยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่กระผมเคยสัมผัสใจกับหลวงพี่ทุกๆ ท่านมาในการก่อน เดี๋ยวนี้เสื่อมลงไปมากจนน่ากลัวว่า
ผลของความเสื่อมของใจผู้นำ ผู้ได้ชื่อว่า ได้รับความไว้วางใจต่อศรัทธาที่ได้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จะเป็นเหตุทำให้ทุกอย่างเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นวันนี้กระผมจึงได้เขียนจดหมายมาเพื่อให้หลวงพี่หมดกังวลใจในเรื่องของกระผม กระผมจึงกราบเรียนมาเพื่อให้หลวงพี่สบายใจได้
นับแต่นี้เป็นต้นไปก็จะปฏิบัติตามคำตัดสิน กระผมเพียงขอโอกาสจัดการกับเรื่องที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จภายใน 7 วัน
และกระผมขอความเมตตาให้พระ...มาอยู่ที่กุฏิแทนกระผมเพราะท่านอายุมากแล้ว จะได้สะดวกในการปฏิบัติธรรม
ท้ายนี้ขออำนาจแห่งใจที่ได้กระทำทุกอย่างลงไป ด้วยความปรารถนาจากใจของกระผมที่มีต่อหลวงพี่ด้วยความรักและห่วงใย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผืนแผ่นดินของวัดท่าซุงที่เกิดขึ้นจากความปรารถนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อตั้งใจให้เป็นที่รองรับใจผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา และประกาศพระศาสนาให้มั่นคงอยู่ต่อไป ขอคำสัจจวาจานี้
ขอให้หลวงพี่หลุดพ้นจากอำนาจกิเลสตัณหาโดยเร็ววัน เพื่อเป็นกำลังของพระศาสนาต่อไป
ด้วยความเคารพและนับถือ
พระ.............................
...หลังจากนั้นก็มีการนำ "เอกสารแนบ" ดังกล่าวนี้มาให้ที่ประชุมรับทราบ ได้แก่จดหมายถึง ด.ต.พเยาว์ อินทร์ชู (ดาบสอ),
และจดหมายของผู้นี้ที่สอนมวยหัวหน้าค่ายของตนเอง
นับว่าเป็นการกระทำที่ประเสริฐอย่างยิ่ง เพราะพูดทำนองว่าเจ้าอาวาสยังปฏิบัติไม่ได้อะไร ขอย้ำตามที่พระรูปนี้กล่าวไว้ว่า "บุคคลที่ทำลายพระศาสนามิใช่ใคร
เป็นลูกตถาคตเอง"
"..ผลของความเสื่อมของใจผู้นำ ผู้ได้ชื่อว่า ได้รับความไว้วางใจต่อศรัทธาที่ได้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
จะเป็นเหตุทำให้ทุกอย่างเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว.."
ฉะนั้น การที่พระลูกวัดถูกขับให้ออกจากวัดแล้วยังไม่ออก บอกว่าเป็นการเล่นละครเพื่อทดลองใจเจ้าอาวาส เพราะเข้าใจว่าตนเองจบกิจเป็นพระอรหันต์แล้ว
ส่วนผู้นำและกรรมการสงฆ์ยังไม่ได้อะไร
เรื่องการเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์นี่ เรื่องนี้ท่านได้ประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่า สำเร็จเป็นพระอรหันต์เมื่อปี ๒๕๔๕ คือก่อนที่จะถูกให้ออกไปจากวัด
ถ้าจะถามว่า เรื่องใหญ่ๆ แบบนี้ที่มีการแตกแยกกันตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ หลวงพ่อจะไม่รู้ล่วงหน้าบ้างเลยหรือ
แน่นอน..คงไม่พลาดจากบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ไปอย่างแน่นอน ไว้ติดตามตอนสำคัญย้อนไปเมื่อปี ๒๕๓๒ ต่อไป
ขอเล่าเหตุการณ์ปี ๒๕๖๑ ต่อไปว่า การประชุมชี้แจงจากพระชัยวัฒน์ อชิโต ก็ได้รับทราบเรื่องราวโดยละเอียด ทั้งในที่ประชุมของพระสงฆ์วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ ตึกพระเถระ ภายในวัดท่าซุง
และในที่ประชุมของฝ่ายฆราวาส ณ ศาลานวราช เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ก็เป็นที่เข้าใจด้วยกันทุกฝ่าย ซึ่งมีการ บันทึกเสียงนี้ ไว้เป็นหลักฐานด้วย
อีกทั้งได้พบหลักฐานที่เป็นเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ภายในพระอุโบสถ
เมื่อวันเข้าพรรษา ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒
เรื่องการอบรมพระ "วันเข้าพรรษา" ในปีนั้น ถ้าใครได้ย้อนฟังแล้ว เหมือนกับท่านจะเตือนไว้ล่วงหน้า เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันนี้
สมคล้องกับคำพูดท่านมาก คิดว่าหลวงพ่อน่าจะหยั่งรู้อนาคตในเรื่องนี้มาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำที่ท่านใช้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เช่นคำว่า "มลทิน ๙" ในข้อลบหลู่, มายา, โอ้อวด หรือที่ "ท่านจรรยาณี"
เทพธิดาประจำทิศเหนือที่หัวหินมาฟ้องหลวงพ่อฯ ใช้คำว่า จิตเพริด, จิตฟู, และอารมณ์เหลิง เป็นต้น
การที่ท่านได้ตำหนิพระรูปนี้ กรณีออกไปสอนมโนมยิทธิที่หัวหินโดยไม่ได้รับอนุญาต และห้ามมิให้พระรูปนี้ออกไปสอนกรรมฐานภายนอกวัดอีก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พร้อมทั้งได้ตักเตือนความเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว เพราะเป็นแค่เพียงปีติเท่านั้นเอง
ท่านพูดไว้ชัดเจนเหมือนจะรู้อนาคตว่า จะมีเหตุการณ์เป็นชนวนความแตกแยกมาจนถึงปัจจุบันนี้ (ความยาวของเทปประมาณ ๑๑ นาทีเศษ)
ฉะนั้น การประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ หรือการทำอะไรเลียนแบบท่าน อยู่ในคำพูดของท่านมาก่อนแล้วทั้งนั้น
แสดงให้เห็นว่าเทวดาทั้งสี่องค์ที่หัวหินมารายงานหลวงพ่อไว้ไม่ผิด คิดว่าท่านคงเตือนมาถึงปัจจุบันนี้ด้วย
อีกทั้งปี ๒๕๔๕ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศก็พูดตรงกันว่ายังไม่ได้อะไร ตามที่หลวงพ่อฯ เตือนไว้ตั้งแต่พรรษาแรกปี ๒๕๓๒ ว่าเป็นแค่อารมณ์ปีติเท่านั้น
เป็นอันว่า ใครได้ฟังเทปชุดนี้ก็พอจะรู้ว่า เหตุการณ์ตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น เพราะท่านเพิ่งบวชได้แค่พรรษาเดียว แต่หลวงพ่อฯ ท่านพูดดักคอไว้ก่อนล่วงหน้า
เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เป็นจริงดังที่ท่านพูดไว้ก่อนทุกอย่าง คำสุดท้ายถ้าใครปฏิบัติตามนั้น ท่านให้ไล่ออกไปจากนอกวัดทั้งหมด
แล้วก็ควรออกไปให้ไกลๆ ตามที่หลวงพ่อสมเด็จฯ แนะนำด้วย เหมือนท่านจะรู้ล่วงหน้าเช่นกัน ว่ามาอยู่ข้างๆ วัดแล้วปัญหาจะตามมาอีก
โดยที่คนภายหลังไม่สนใจคำเตือนจากคณะกรรมการสงฆ์ ต่างก็โจษจันพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่รักษาระเบียบของวัด พากันชักชวนทั้งพระและคนภายในให้แตกแยกกัน
อ้างเป็นพระอรหันต์แล้วบ้าง อ้างคำเทศน์ที่สอนแข่งกับครูบาอาจารย์เป็นต้น จึงไม่รู้ใครจะต้องขอขมาใครกันแน่ พยายามฟังให้เข้าใจด้วยความเป็นธรรมนะ
แล้วจะไม่พลาดไปอเวจีมหานรกเช่นกัน
อนึ่ง ตามมรรยาทของลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์นั้น เขาไม่ทำตามกันหรอก เพราะเป็นการเลียนแบบ แม้กระทั่งการไม่เผาศพ จึงขอนำคำพูดของท่านมาทบทวนสติกันอีกครั้ง
ดังนี้
"...ถ้าบุคคลใดก็ตาม ประกาศตัวว่าเป็นผู้ทรงฌาน เป็นพระอริยะเจ้า ขอทุกองค์อย่าเชื่อเด็ดขาด นั่นไม่ใช่ ผิดแล้ว เป็นผู้ทรงฌานจอมปลอม
เป็นพระอริยเจ้าจอมปลอม
เป็นพระอริยเจ้าก็ดี และเป็นผู้ทรงฌานก็ดี เขาไม่ประกาศตัว อันนี้เป็นระเบียบ การเจริญพระกรรมฐานทุกองค์ให้ระวังตอนปิตินะ ตอนปิติจะมีความอิ่มใจมาก
ถ้าปิติทรงไม่ดีมันจะ เพริด มีอารมณ์ ฟู
อย่าลืมว่าผู้ทรงฌานก็ดี พระอริยเจ้าก็ดี มีอารมณ์ลด มีอารมณ์ตัดความต้องการทุกอย่าง ขึ้นชื่อความต้องการ ไม่ต้องการตัดหมดทุกอย่าง
ตัดการมีชื่อเสียง ตัดลาภสักการะ ตัดหมดทุกอย่าง ต้องการแค่ความสงบ มีอารมณ์สำรวมเป็นปกติ ถ้าปิติให้โทษมันจะเหลิง...
หลวงพ่อฯ อ้างว่าได้รับการรายงานจากเทพบุตรเทพธิดาทั้ง 4 ทิศ คือ ท่านจรรยาณี, ท่านศรีจันทร์, ท่านบุญมา, ท่านพิษณุ ที่ประจำอยู่ทางประจวบคีรีขันธ์
นี่ถ้าพระสมัยนั้นไม่บันทึกเทปเอาไว้ ป่านนี้คนก็เข้าใจผิดกันไปอีกนาน ดีไม่ดีสร้างความร้าวฉานให้แก่วัดครูบาอาจารย์ของตนเองไปตราบเท่า ๕,๐๐๐
ปีกันทีเดียว
*(กรุณาอย่านำข้อมูลเหล่านี้ออกไปเผยแพร่)*
webmaster - 1/11/19 at 06:16
webmaster - 23/1/20 at 10:09
นิยายเรื่อง "นกพิราบเป็นเหตุ" (ตอนพิเศษ 1)
...นับเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา วัดท่าซุงคงเป็นตำนานต่อไปในอนาคต แต่ถ้าปัจจุบันไม่ชี้แจงไว้ เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี
หากเราไม่เอาอดีตมาทำให้เกิดความเข้าใจ แน่นอน..ประวัติศาสตร์วัดท่าซุงที่ต้องจารึกไว้ คงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ฉะนั้น พวกเราที่หวังดีต่อวัด ถึงแม้ไม่ได้นัดหมายกัน แต่ก็เสี่ยงต่อคำครหานินทา จากบุคคลบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับความจริง คิดว่าเป็นส่วนน้อยแล้ว
เพราะคนส่วนใหญ่ได้พบกับหลักฐานที่แท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักฐานที่ได้ค้นพบเมื่อไม่นานนี่เอง นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ทั้งที่คิดว่าหายไปนานแล้ว แต่จู่ๆ ก็กลับมาอยู่ในตู้ของ
ผช.ผญบ.ชาติไวยได้อย่างไร
การพิสูจน์ศพ
...แต่นั่นแหละ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดท่าซุงมีจริง หลักฐานต่างๆ ก็ได้นำมาแสดงอย่างชัดเจน แม้แต่การนำเสนอเพื่อพิสูจน์ศพว่าฉีดยาหรือไม่
ป่านนี้ก็ยังไม่มีใครให้ความเห็นแต่อย่างใด
นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องจริง คือฉีดยากันเน่าอย่างแน่นอน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ออกมาจากโรงพยาบาลศิริราชโดยเป็นธรรมชาติ
คือไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีนอย่างแน่นอน
กล่าวจ้วงจาบผู้ใหญ่บ้าน
...สำหรับการพบหลักฐานชิ้นสำคัญนี้ คือเทปคาทเซทเสียง อ.ปอมสาม ตำหนิ ผญบ.อรรณะ อย่างชัดเจน ในระหว่างการสอนมโนมยิทธิช่วงกลางวัน ที่วิหารร้อยเมตร
ท่ามกลางชาวบ้านนับสิบคน เมื่อปี 2545
หลังจากนั้นก็มีการบันทึกเสียงแจกจ่ายกันไปทั่วหมู่บ้าน แม้แต่คนที่อยู่ข้างนอกก็ได้ฟังด้วย นับว่าช่วยกันประจานผู้ใหญ่บ้าน หรือในเทปเรียกว่า
"ผู้ปกครอง" นั่นเอง
การใช้โวหารสำบัดสำนวน ถ้าฟังอย่างเป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างผู้ใด จะเห็นว่าพูดลักษณะไม่เกรงกลัวใครเลย ความจริง อ.ปอมสามมีหน้าที่สอนโมนยิทธิ
แต่กลับไปเทศน์สอนธรรมะ แล้วกล่าวจ้วงจาบผู้ใหญ่บ้าน แม้แต่เด็กก็ฟังรู้ว่าหมายถึงใคร
อย่าบอกนะว่า ผญบ.อรรณะ ทรมานสัตว์จริง ท่านเพียงแค่สั่งให้ดักไว้แล้วก็ปล่อย แต่บังเอิญวันนั้นคนที่ปล่อยไม่อยู่กลับมาช้า จึงมองดูเหมือนตั้งใจทำร้ายสัตว์
หรือว่าขาดเมตตา
มโนมยิทธิที่ยังมีอุปาทาน
...การพูดแทนตัวเองว่า "ฉัน" กับคนฟังว่า "เธอ" นี่ก็แปลกๆ อยู่แล้ว เลียนแบบเหมือนกับพระพุทธเจ้ามาเทศน์นั่นแหละ
แล้วบอกว่าขึ้นไปถามผู้ใหญ่บ้านคนก่อนว่า ถ้าเป็นหลวงพ่อจะทำอย่างไร หลวงพ่อจะทำแบบนี้เหรอ ท่านก็บอกว่า "ใจของคนปกครองมันไม่ดี"
นี่มันอุปาทานชัดๆ เพราะท่านลืมคำเตือนหลวงพ่อในโบสถ์เมื่อปี 2532 ไปแล้ว การพูดการเล่าเรื่องนี้ต่อหน้าชาวบ้าน เหมือนกับแสดงตัวตีเสมอกับครูบาอาจารย์
ไม่ได้แสดงความเคารพนับถือท่านเลย
แต่ความเป็นจริง สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิต ท่านก็เคยสั่งให้จุดประทัดไล่นก การป้องกันของส่วนรวม ผู้ใหญ่บ้านมีสิทธิ์ที่จะทำอย่างไรก็ได้
ในเมื่อท่านไม่มีเจตนาจะฆ่ามัน หรือทรมานแต่อย่างใด
ทิดถึกได้สอบถาม คุณสุขสันต์ ศรียืนยง ตามที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนวางตาข่ายดักนก คุณสันต์ได้บอกว่า ผู้ใหญ่บ้านอรรณะได้บอกไว้ก่อนแล้วว่า
เรื่องนี้แกจะโดนด่าไปด้วยนะ แต่คุณสันต์ตอบว่า ไม่เป็นไรครับ ผมยอมถูกด่า เพราะรักษาของสงฆ์ไว้ ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายมัน พอจับมาได้แล้วก็นำไปปล่อยแถวเถิน
หรือไม่ก็แถวอุ้มผางโน่น
เรื่องนี้น่าจะถามผู้ใหญ่บ้านก่อน
...เรื่องนี้ทำไม อ.ปอมสาม ไม่ไปสอบถาม ผญบ.อรรณะ เป็นการส่วนตัว หากไม่เข้าใจก็น่าจะถามก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นำไปพูดกับลูกบ้านที่เขาไม่รู้เรื่อง
แล้วก็อ้างมโนมยิทธิ ต่างก็นั่งฟังกันไปก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
เท่ากับเป็นการพูดยุแหย่ให้เกลียดชังกันอย่างนั้นแหละ สร้างความแตกร้าวให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ เพราะกลุ่มลูกบ้านที่เคารพนับถือผู้ใหญ่อรรณะก็มีมากมาย
ทิดถึกคิดว่า การตำหนิติเตียนต่อหน้าฆราวาสเช่นนี้ ทำนองว่าผู้ใหญ่บ้านจิตใจไม่ดี ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกันเลย คงจะเกิดความลำพองเข้าใจว่าตนเองสำเร็จแล้ว
จึงอยากจะสั่งสอนผู้ใหญ่บ้าน
ด้วยการพูดจามีลักษณะทนงตน ท้าทาย ไม่สะทกสท้าน ไม่มีความเคารพยำเกรงใดๆ ทั้งสิ้น ใช้คำรุนแรงเช่นคำว่า "โง่ ขาดสติ" เป็นต้นว่า
"ฉันพูดตรงๆ นะ ไม่พูดอ้อมค้อม ไม่กลัวใครมาด่าฉันด้วย พูดฝากไว้ในเทปนี่แหละ"
"ฉันไม่กลัว จะมาฉะอะไรกับฉัน ฉันไม่สนใจ"
"ฉันพูดฝากเทปนี่ละ ถึงใครก็ถึง"
"อัดเทปไว้อย่างนี้แหละ ถึงไม่ถึงยังไม่รู้เลย"
"เราตัวกะเปี๊ยก ถ้าให้เราพูดได้ก็พูดตรง แต่ไม่ใช้คำว่าด่าหรอกนะ"
"ฉันว่าใจแบบนี้ไม่ดี ฉันไม่ได้ว่าใจใครนะ เดี๋ยวหาว่าฉันว่าเจ้าอาวาส ฉันไม่ได้ว่านะ ใครจะกล้าว่าท่าน เดี๋ยวไล่ฉันออก"
เทป "กรณีนกพิราบเป็นเหตุ" เมื่อปี 2545
ยังไม่รู้อนาคตจริง
...นี่ก็เป็นคำพูดตัวอย่างสั้นๆ ถ้าหากได้ธรรมะชั้นสูงจริงๆ แล้ว กรรมเช่นนี้ อ.ปอมสามน่าจะใช้ญาณหยั่งรู้ที่ไปที่มาในอนาคตได้ว่า
จะเกิดความแตกแยกในหมู่บ้านและลุกลามไปทั่ว อย่างมหาศาลหาประมาณมิได้
โดยเฉพาะการรักษาของสงฆ์นี้ มีคนไปฟ้องผู้ใหญ่ถึงที่วัดสระเกศ แต่ท่านมิได้เห็นด้วยเลย ท่านกลับบอกว่า การทำไปด้วยไม่มีเจตนา ศีลไม่ขาด
สุดท้ายท่านบอกอีกว่า "ยังไม่ได้คุณธรรมอะไรเลย"
ส่วนการเมตตาต้องอยู่ในฐานะอันควร ซึ่งจะนำเสียงผู้ใหญ่บ้านคนเก่า ที่พูดถึงเรื่องนี้มาให้ฟังภายหลัง เพราะผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนี้ก็ยืนยันว่า
อ.ปอมสามยังไม่ได้อะไร เป็นแค่ปีติเท่านั้น
การประกาศตัว
"...ถ้าบุคคลใดก็ตามประกาศตัวว่าเป็นผู้ทรงฌาน เป็นพระอริยะเจ้า ขอทุกองค์อย่าเชื่อเด็ดขาด นั่นไม่ใช่ ผิดแล้ว เป็นผู้ทรงฌานจอมปลอม
เป็นพระอริยเจ้าจอมปลอม เป็นพระอริยเจ้าก็ดี และเป็นผู้ทรงฌานก็ดี เขาไม่ประกาศตัว อันนี้เป็นระเบียบ
การเจริญพระกรรมฐานทุกองค์ให้ระวังตอนปิตินะ ตอนปิติจะมีความอิ่มใจมาก ถ้าปิติทรงไม่ดีมันจะ เพริด มีอารมณ์ ฟู
อย่าลืมว่าผู้ทรงฌานก็ดี พระอริยเจ้าก็ดี มีอารมณ์ลด มีอารมณ์ตัดความต้องการทุกอย่าง ขึ้นชื่อความต้องการ ไม่ต้องการตัดหมดทุกอย่าง
ตัดการมีชื่อเสียง ตัดลาภสักการะ ตัดหมดทุกอย่าง ต้องการแค่ความสงบ มีอารมณ์สำรวมเป็นปกติ ถ้าปิติให้โทษมันจะ เหลิง
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ ผช.ผญบ.ชาติไวย
...เมื่อฟังเทปแล้วอย่าพูดว่าไม่เห็นมีอะไรรุนแรงนะ แสดงว่านั่นไม่มีความเคารพผู้ใหญ่บ้านจริง เพราะ ผญบ.อรรณพ ฟังแล้วถึงกับน้ำตาซึม
แต่ท่านก็ไม่โต้ตอบอะไร ในกรณีที่ไม่มีโอกาสชี้แจงให้คนที่ฟังอยู่ข้างเดียวเข้าใจ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ภายหลังยังมีคนเอาภาพที่ทั้งสองมาเยี่ยมแล้วจับมือถือแขนกัน บางคนก็เอาไปโพสต์ในกองทุนอะไรของหมู่บ้านนะ อธิบายเสียเลิศหรู
แต่ก็ไม่รู้ใจท่านจริง
ภาพพจน์ที่ออกมาเหมือนดูดี แต่คนภายในก็ยังแตกกัน แม้พระบางรูปยังแอบไปอยู่ เท่ากับยังเข้าข้างฝ่ายผิดชนิดว่าไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น นี่ก็ต้องมลทิน ๙
ไปด้วยกันทั้งหมด ถ้ายังไม่ขอขมาโทษก็ปรามาสท่านอยู่ร่ำไป
รวมความว่า อ่านกันมาตั้งหลายตอน คงพอสรุปได้ว่าเป็นเรื่องระหว่าง อ.ปอมสาม กับ ผญบ.อรรณะ ไม่เกี่ยวกับ ผช.ผญบ.ชาติไวย แต่ก็พลอยโดนด่าฟรีๆ
ในข้อหาเป็นเจ้าสำนักนกพิราบบ้าง ล้อชื่อวัดว่า "วัดท่าซัมซุง" บ้าง ใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าว่า "อลัชชีสัตว์นรก" เป็นต้น
เรื่องนี้หลวงพ่อเคยกล่าวโทษไว้แล้วว่า
การกล่าวโทษพระ
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
...การโทษพระ การใช้คำว่า "พระ" คำเดียว ญาติโยมพุทธบริษัท ออกชื่อเสียดีกว่าว่า พระองค์นั้นองค์นี้ทำไมจึงไม่ช่วย อันนี้มันบาปน้อย บาปเฉพาะส่วนบุคคล
ถ้าใช้คำว่า "พระ" เฉย ๆ ยันพระพุทธเจ้าเลยนะ นั่นหมายความว่า โทษตั้งแต่พระสงฆ์ขึ้นไปทุกองค์ ยันพระพุทธเจ้าทั้งหมด
แม้แต่พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วก็โทษท่านด้วย มันบาปหนัก
กรรมประเภทนี้จะเกิดขึ้นได้ เพราะกำลังใจมืด คือ "ไร้ปัญญา" เมื่อกำลังใจมืด ตายแล้วก็ต้องไปอยู่ที่มืด นั่นที่ไหน ก็ตอบได้เลยว่านั่น "โลกันตนรก"
เป็นนรกพิเศษที่ยังไม่เข้า "อเวจี"
เป็นอันว่า ตอนต่อไปยังมีเทปที่ อ.ปอมสาม พูดถึงความเมตตา แต่ก็ยังมีเทปที่หลวงพ่อแก้เรื่อง "พรหมวิหาร" ในลักษณะที่ควรเมตตา
ไม่ใช่ว่าการลงโทษผู้ที่ทำผิดระเบียบแล้วขาดเมตตา ฟังหลวงพ่อแล้วจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทีเดียวละ..สวัสดีครับ
จากทิดถึก
23 มกราคม 2563
webmaster - 9/3/20 at 08:28