ตามรอยพระพุทธบาท

บางจากฯ ห่วงใย แจก “คู่มือเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ”
webmaster - 12/12/08 at 06:40

Go to News Update
Go To News Update
คลิกลงไปที่ "วิกฤตน้ำ"




''ดร.อาจอง'' พยากรณ์หิมะตกไทย

ต้น ม.ค.ปีหน้า เตือนกาญจน์ระวังเขื่อนแตก


........"ดร.อาจอง" เผย "หิมะตก" ในเประเทศไทย ม.ค.ปีหน้า ชี้ห่วงคนเมืองกาญจน์ ตายยกจังหวัด เขื่อนมีสิทธิแตก ต้องลดปริมาณน้ำในเขื่อนด่วน พร้อมระบุอีก 30 ปีน้ำท่วมภาคกลาง ผลจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ต้องย้ายเมืองหลวง แนะพื้นที่เหมาะสมอีสานตอนใต้ เพราะสูงกว่าระดับน้ำทะเล วอนรัฐออก ก.ม.ก่อสร้างบ้าน ป้องกันแผ่นดินไหว 6 ริคเตอร์

.........ขณะที่ ปภ.รายงานสถานการณ์อุทกภัย 24 จังหวัด คลี่คลายแล้ว 16 จังหวัด จากกรณีน้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง สร้างความเสียหายเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง โดยมีบ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายหลายแสนไร่ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

.........ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. นาย อนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย (ปภ.) กล่าวสรุปสถานการณ์น้ำท่วมว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวม 24 จังหวัด 138 อำเภอ 735 ตำบล 4,262 หมู่บ้าน ผู้เสียชีวิต 13 ราย ราษฎรเดือดร้อน 282,554 ครัวเรือน 839,573 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 8 หลัง เสียหายบางส่วน 1,887 หลัง สะพาน 38 แห่ง ถนน 951 สาย พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมประมาณ 297,862 ไร่ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 114,957,778 บาท

อธิบดี ปภ. กล่าวต่อว่าขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 16 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ ตาก นครสวรรค์ นครนายก เลย สุโขทัย ฉะเชิง เทรา ตราด ชลบุรี พิจิตร สระบุรี อุบลราชธานี มุกดาหาร บุรีรัมย์ แม่ฮ่องสอน และจันทบุรี ทั้งนี้ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 8 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา และปราจีนบุรี

ด้าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อนเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศของประเทศที่ส่งสัญญาณมาทางพายุหมุนทอร์นาโดขนาดเล็ก ณ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ และพัทยา ว่าปกติแล้วพายุทอร์นาโดมีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสาเหตุมาจากอุณหภูมิสูงขึ้นและขณะนี้ทั่วโลกอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 1 องศาแล้ว แม้ภาพรวมจะไม่เห็นชัดเจนนัก แต่ที่ผ่านมาก็ส่งผลให้ประชากรในยุโรปเสียชีวิตแล้ว 20,000 คน จากความร้อนที่สูงขึ้นมีผลกระทบโดยตรง ประเทศที่อยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะ ที่ผ่านมามีหิมะตกครั้งแรกในเวียดนาม เคนยา และมีความเป็นไปได้ที่ในเดือน ม.ค. 2552 นี้จะมีหิมะตกในภาคเหนือของประเทศไทย

ดร.อาจอง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภาวะ โลกร้อนยังส่งผลให้ภาวะน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ละลายเร็วกว่าที่คิด ขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์ก ไหลสู่ทะเล หมายความว่าน้ำในทะเลจะค่อย ๆ กินชายฝั่งทะเลบ้านเราไปเรื่อย ตอนนี้เราสูญเสียแผ่นดิน 1 กม. ที่ชายทะเลบางขุนเทียน และทั่วโลกเจอปัญหาเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่ สหรัฐอเมริกา ออกมาพูดแล้วว่าต่อไปเมืองไมอามี่ ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลจะไม่เหลือ

ทั้งนี้กรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร เมื่อระดับน้ำทะเลขึ้นมาเกินกว่า 1 เมตร กรุงเทพฯ พร้อมกับ จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี และลพบุรี ครึ่งจังหวัดจะจมอยู่ใต้น้ำ และนั่นหมายความว่าพื้นที่ผลิตข้าวในภาคกลางจะหมด ราคาข้าวในตลาดโลกจะสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะแหล่งปลูกข้าวในภาคกลางเลี้ยงคนเกือบทั้งโลก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของแผนที่นาซาว่า ภายใน 30 ปี น้ำทะเลจะสูงขึ้น 6 เมตร

ดร.อาจอง กล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับปัญหานี้จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงตั้งแต่เดี๋ยวนี้เพราะต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ในการย้ายเมือง และภายใน 6 ปีจะเริ่มเห็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในระดับท่วมขังแล้ว จะสูบออกได้ยาก นอกจากสร้างเขื่อนกั้นน้ำเหมือนกับประเทศเนเธอร์แลนด์ จะป้องกันได้ แต่ล่าสุดตนไปประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนที่แล้ว เขาบอกว่าจะรับไม่ไหวแล้วเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น การสูบน้ำออกจากเขื่อนทำได้ลำบาก สถาปนิกของประเทศเริ่มออกแบบบ้านอยู่บนแพกันแล้ว

อย่างไรก็ตาม การย้ายเมืองใหม่อันดับแรกต้องย้ายรัฐสภาไปก่อน เพราะเป็นศูนย์กลางของเมืองใหม่ เมื่อย้ายไปหน่วยราชการต่าง ๆ จะตามไป จุดเหมาะสมที่จะย้ายเมืองหลวงคือ อีสานตอนใต้ ขณะที่ภาคใต้จะเจอพายุรุนแรงมากขึ้น จะเกิดสตอม เซอจมาถึงกรุงเทพฯ อย่างที่ ดร.สมิทธ บอกไว้ ส่วนภาคตะวันตกจะมีพายุไซโคลนเข้ามา โชคดีที่ผ่านมาพายุนาร์กีสเข้าไปที่พม่ายังมาไม่ถึง ประเทศไทย

อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา กล่าวต่อว่าก่อนหน้านี้ตนเคยเตือนแล้วว่าเขื่อนใหญ่ 2 เขื่อน ใน จ.กาญจนบุรี อยู่ใต้รอยร้าวของเปลือกโลก แต่วิศวกรแย้งว่าได้ออกแบบการก่อสร้างเขื่อนให้ทนต่อแผ่นดินไหวได้ 8 ริคเตอร์ แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาเขื่อนมาเขย่าในความแรง 8 ริคเตอร์ เขื่อนก็สามารถทนได้ แต่ถ้ารอยร้าวเคลื่อนที่สลับกัน จะทำให้เขื่อนแตก และน้ำจะไหลลงมาท่วม จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ใต้เขื่อน และจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

รัฐบาลต้องให้นักธรณีวิทยาไปศึกษาดู เบื้องต้นต้องรีบปล่อยน้ำออกจากเขื่อนให้เหลือน้อยลง แม้ว่าเขื่อนแห่งนี้จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของพื้นที่ภาคกลางก็ตามที จำเป็นต้องเสียสละไฟฟ้าเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ และต่อไปการสร้างบ้าน สร้างอาคารในแนวที่มีรอยร้าวแผ่นดินไหวไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ กรุงเทพฯ อีสานตอนเหนือ ต้องออกฎหมายรับรอง การทนทานต่อแผ่นดินไหวอย่างน้อย 6 ริคเตอร์

ส่วน นายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงกรณีที่มีผู้กล่าวว่าในช่วงเดือน ม.ค. 2552 จะมีหิมะตกในประเทศไทย ว่า การที่จะมีหิมะตกหรือไม่ขึ้นอยู่กับมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่เข้าปกคลุมในประเทศไทยช่วงนั้นว่ามีความหนาวเย็นมากแค่ไหน โดยต้องดูเรื่องระดับความสูงของพื้นที่ในไทยด้วย ซึ่งโดยรวมคิดว่าน่าจะเกิดแม่คะนิ้งตามภูเขาและดอยในเชียงใหม่ และเชียงรายมากกว่า ไม่ใช่หิมะ

ขณะที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ ม.รังสิต กล่าวว่า เรื่องที่จะเกิดหิมะตกในเมืองไทยถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวและมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ของประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตอากาศร้อนชื้นและไม่ได้อยู่ติดกับประเทศจีนเหมือนพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนาม ที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้การเกิดหิมะตกอุณหภูมิต้องติดลบ แต่ลักษณะภูมิอากาศของไทยยังไม่ถึงขั้นติดลบ โอกาสที่จะเกิดหิมะตกจึงเป็นไปได้ยาก คงมีแต่โอกาสที่จะเกิดลูกเห็บตกและเกิดแม่คะนิ้งบน ดอยสูงมากกว่า

สำหรับในเรื่องอีก 30 ปี จะเกิดน้ำท่วม กรุงเทพฯ เรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูง หากดูจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2538 ซึ่งหากมีปริมาณฝนตกหนักเหมือนปี 2538 ประกอบกับแผ่นดินที่ทรุดตัวลงทุก ๆ ปี รวมกับน้ำเหนือที่ไหลลงมา และเกิดน้ำทะเลหนุนขึ้น หากปัจจัยต่าง ๆ เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ก็อาจจะใช้เวลาไม่ถึง 30 ปี

โดยพื้นที่ที่จะเกิดน้ำท่วมก่อน คือ จ.สมุทรปราการ แต่การท่วมจะเป็นไปในลักษณะเหมือนน้ำขึ้น-น้ำลงตามระดับ จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหาทางรับมือตั้งแต่ตอนนี้เพื่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายน้อยที่สุด



ภัยธรรมชาติ


โดย ไมตรี ลิมปิชาติ
(www.dailynews.co.th/ วันที่ 5 ตุลาคม 2551)


สำหรับปีนี้น้ำท่วมกินบริเวณกว้างถึง 24 จังหวัดทางภาคเหนือ และน้ำยังไม่ทันแห้ง อยู่ ๆ ก็มีนักวิชาการคือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อมออกมาให้สัมภาษณ์ว่า อีกไม่นานภัยธรรมชาติจะเล่นงานเมืองไทย 3 อย่างคือ น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง, เขื่อนจะพัง และหิมะจะตกทางภาคเหนือของไทย

สำหรับน้ำท่วม ได้รับคำยืนยันว่า ภายในไม่เกิน 30 ปี น้ำจะท่วมเมืองไทยเป็นบริเวณกว้างจากปากน้ำเจ้าพระยาไปจนถึงจังหวัดลพบุรีเลยทีเดียว จึงควรย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นได้แล้วอย่ารอช้า

สถานที่จะตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เหมาะสมที่สุดเป็น อีสานใต้ เพราะเป็นที่ราบสูง ผมฟังแล้วทั้งเสียว ทั้งกลัวด้วย เพราะมีบ้านอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถ้าน้ำต้องท่วมกรุงเทพฯ บ้านผมก็ไม่เหลือ และน่าจะท่วมมากกว่ากรุงเทพฯ ด้วย เพราะอยู่ใกล้ทะเล

ถ้าน้ำท่วมจริงอย่างที่ว่า ผมจะทำยังไง ไม่ได้ห่วงตัวเองเพราะกว่าจะถึง 30 ปีที่ว่า ผมคงจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่อดห่วงลูกห่วงหลานไม่ได้ครับ เพราะถ้าบ้านถูกน้ำท่วม คงจะพากันลำบากแน่ ๆ เช่น จะต้องหนีขึ้นไปอยู่ชั้นบนของบ้าน จะต้องใช้เรือเป็นพาหนะ ต้องปรับตัวเป็นชาวน้ำ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะทำกันง่าย ๆ สำหรับคนเคยอยู่บนบก หรือจะใช้วิธีไปหาซื้อที่ดินที่อีสานใต้ไว้ก่อน ก็คงทำได้ยากอีกนั่นแหละ เพราะไม่มีเงินพอจะทำได้

“แล้วจะทำยังไงกันดี?” เป็นคำถามที่ผมหาคำตอบไม่ได้ สบายใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นตรงที่ ไม่ได้เดือดร้อนเฉพาะครอบครัวของผม แต่จะมีคนอื่น ๆ เป็นล้าน ๆ ครอบครัวก็เดือดร้อนเหมือนกัน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็อาจจะดี เพราะกรุงเทพฯ จะได้กลายเป็นเมืองเวนิสตะวันออกได้อีกครั้งหนึ่ง

เรื่องน้ำท่วมจะเป็นจริงหรือไม่จริงตามที่ ดร.อาจองบอก แต่ผู้รับผิดชอบ คือ รัฐบาลก็ควรวางแผนโดยตั้งคณะกรรมการสักชุดหนึ่งขึ้นมาทำงานเพื่อหาทางป้องกันน้ำท่วมและย้ายเมืองหลวงได้แล้ว อย่ารอช้า ถึงเวลาถ้ามีน้ำท่วมจริง ผู้คนจะได้เดือดร้อนน้อยที่สุด หรือถ้าน้ำไม่ท่วม ก็ไม่เสียหาย เพราะเมืองไทยจะได้มีเมืองหลวงใหม่เกิดขึ้น

ทุกอย่างเกี่ยวกับน้ำท่วมน่าจะทำได้สบาย เพราะน้ำคงไม่ท่วมแบบพรวดพราด แต่จะค่อย ๆ ท่วมเพิ่มขึ้นทุกปี เหมือนต้องการให้เราได้ตั้งหลัก

ทีนี้มาถึงเรื่อง เขื่อนพัง ดร.อาจองเจาะจงว่าเป็นเขื่อนตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี
วิธีป้องกันไม่ให้เขื่อนพัง ตามคำแนะนำของ ดร.อาจองก็คือ ให้ระบายน้ำออกจากเขื่อนให้เหลือน้อย ลดการผลิตกระแสไฟฟ้าให้น้อยลงเท่าที่ทำได้

ที่น่ากลัวที่สุดก็ตรงที่ ดร.อาจองบอกว่า ถ้าเขื่อนพังก็จะทำให้คนเมืองกาญจน์จะต้องตายกับน้ำกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

เรื่องตายนี่ซี นับเป็นเรื่องใหญ่มาก อย่าว่าตายทั้งจังหวัดเลย แม้ตายเพียงคนเดียวก็ไม่ควรตาย

สำหรับเรื่องเขื่อนพัง ผมได้รับการยืนยันจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตว่า โอกาสที่เขื่อนจะพังด้วยเหตุเพราะขังน้ำไว้เหนือเขื่อนเยอะ เป็นไปได้ยาก เพราะก่อนการสร้างเขื่อนได้คำนวณการรับน้ำไว้แล้ว คนเมืองกาญจน์จึงไม่ต้องห่วง รับรองเขื่อนไม่พังแน่

ภัยธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่า คนไทยพอจะรับได้ก็คือ หิมะจะตกในบริเวณภาคเหนือของไทยในราว ๆ เดือนมกราคมปีหน้า

ปกติถ้าหิมะตกในยุโรปหรืออเมริกา ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาปกติเพราะมีทุกปี แต่ถ้าหิมะมาตกในเมืองไทยถือว่าเป็นภัยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะยังไม่เคยมี
ก็เหมือนกับมีหิมะตกครั้งแรกในเวียดนามและเคนยา ประชาชนและเด็กแทนที่จะกลัวกลับพากันออกจากบ้านไปเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน เด็ก ๆ ถึงกับเอาหิมะมากิน เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นหิมะ

ฉะนั้นหากหิมะจะตกลงมาจริงในเมืองไทย ผมคนหนึ่งจะยินดีต้อนรับ และถ้าให้ดี หิมะควรตกเยอะ ๆ เพื่อยอดภูเขาของไทยจะได้มีน้ำแข็งปกคลุม จะได้แลดูสวยงามเหมือนภูเขาในยุโรป

การที่ ดร.อาจอง ออกมาพูดจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีคือ ทำให้ผู้รับผิดชอบไม่ประมาทได้วางแผนรับภัยธรรมชาติไว้ล่วงหน้าได้ แต่ข้อเสียก็คือ คำพูดของดร.อาจอง ทำลายการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเขตเมืองกาญจน์เพราะนักท่องเที่ยวจะต้องกลัวเขื่อนพัง ก็เหมือนกับที่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช เคยออกมาพูดเกี่ยวกับภัยธรรมชาติทางทะเลนั่นแหละ ท่านออกมาพูดแต่ละครั้ง ทำให้คนไม่กล้าไปเที่ยวทะเล แหยงทะเลไปนาน

ทั้งดร.อาจอง และดร.สมิทธ ไม่ผิดหรอกเพราะออกมาพูดด้วยความหวังดีต่อส่วนรวม เพียงแต่ออกมาพูดทีไร ทำให้บรรยากาศการมีชีวิตอยู่ในเมืองไทยไม่ดีเลย โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ

เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมคงต้องสอนให้ลูกหลานหัดว่ายน้ำให้เป็น แล้วซื้อเรือเตรียมไว้ให้พร้อม ก็คงทำได้เพียงแค่นี้แหละ.

ไมตรี ลิมปิชาติ

คลิกชม...เรื่องภัยธรรมชาติทาง oknation




รายการจับเข่าคุยกัน : สภาวะโลกร้อน

โดย.. ดร.อาจอง ชุมสายณ อยุธยา


ตอนที่ 1

จับเข่าคุย : ดร.อาจอง โลกร้อน 1

ตอนที่ 2

จับเข่าคุย : ดร.อาจอง โลกร้อน 2

ตอนที่ 3

จับเข่าคุย : ดร.อาจอง โลกร้อน 3

ตอนที่ 4

จับเข่าคุย : ดร.อาจอง โลกร้อน 4

ตอนที่ 5

จับเข่าคุย : ดร.อาจอง โลกร้อน 5




สัมภาษณ์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" - เสาร์สวัสดี


เรื่อง : ชุติมา ซุ้นเจริญ
ภาพ : สราวุธ สุวรรณรักษ์

ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา

ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

สำหรับบางคน ความสำเร็จในหน้าที่การงานอาจวัดด้วยชื่อเสียง เงินทอง แต่สำหรับบุคคลท่านนี้ สิ่งเหล่านั้นคือของแถมจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ถ้าบอกว่า เขาคือ อดีตวิศวกรที่ทำรายได้เป็นหลักล้านต่อเดือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นนักธุรกิจผู้เคยรั้งตำแหน่งผู้บริหารมาหลายบริษัท ได้รับการยอมรับในฐานะนักการเมืองน้ำดี เป็นนักการศึกษาที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายมาแล้วทั่วโลก รวมถึงเคยเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์เรื่อง 'ข้างหลังภาพ' ...หลายคนอาจนึกไม่ออก

แต่ถ้าแนะนำว่า ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้นี้ คือบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในโฆษณาชิ้นหนึ่งว่า เป็นผู้คิดค้นระบบลงจอดบนดาวอังคาร คงไม่มีใครมองผ่านไปเฉยๆ ถึงแม้ว่าในทัศนะของผู้เป็นเจ้าของเรื่อง ผลงานชิ้นนี้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ แห่งบททดสอบพลังการหยั่งรู้ของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าถึงเรื่องราวที่ปรากฏในโฆษณาชิ้นนี้ค่ะ

มีบริษัทโฆษณาเขามาติดต่อผม เขาเพียงแต่บอกว่าเขาต้องการยกย่องคนดีในสังคม ผมก็บอกว่าการที่จะยกย่องคนดีนั้นก็เป็นสิทธิของทุกคนอยู่แล้วไม่ต้องมาขออนุญาตอะไร ผมเพียงแต่บอกว่าขออย่างเดียวอย่าให้เกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้าอะไรต่างๆ ก็ได้บอกเขาไว้อย่างนั้น เขาก็สัญญาว่าในช่วงของผมจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์

แต่เสร็จแล้วเขาก็ไปเสริมเติมตอนท้าย ก็เลยเป็นการทำให้คนเข้าใจว่าผมมาโฆษณาเหล้า ซึ่งผมก็ไม่พอใจเหมือนกัน ก็เรียกเขามาคุย เขาก็รับปากว่าจะเพิ่มเติมส่วนที่แบ่งระหว่างเรื่องของผมและสินค้าที่เขาโฆษณา จริงๆ แล้วผมไม่ได้สักบาทหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการโฆษณาอะไร

แล้วในส่วนของผลงานการคิดค้นล่ะคะ มีที่มาที่ไปอย่างไร

ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอสอนไปได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าวิทยาการมันก้าวล้ำไปแล้ว ความรู้ ประสบการณ์ของเรามันล้าสมัย ผมก็เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้ไปหาข้อมูลเรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อกลับมาสอนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย ผมก็ลาราชการไป

บังเอิญเขาประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศขององค์การนาซาที่จะไปสำรวจดาวอังคาร ก็พยายามสมัครเข้าไป คือเสนอโครงการเข้าไป ตอนแรกๆ เขาก็จะไม่รับคนต่างชาติ เพราะว่าเป็นความลับทางเทคโนโลยี แต่ผมก็เห็นว่ามันมีช่องโหว่ในกฎหมายที่เขาจะรับคนต่างชาติได้ โดยเฉพาะกรณีที่เขาขาดแคลนคนที่มีความรู้ทางด้านนั้น

ผมก็เลยดูว่ามีอะไรที่ทางอเมริกาเขาขาด ทำไม่สำเร็จ ผมดูแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว คือช่วงนั้นปี พ.ศ.1971 อเมริกาและรัสเซียก็พยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ โดยเฉพาะดาวอังคาร ดาวพุธ กับดาวศุกร์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวทุกครั้ง พอเขาส่งไปถึงมันจะตกลงไป มันจะกระแทกพื้นดิน พังใช้การไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลก ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงได้จากโลกของเรา

ฉะนั้นต้องเป็นระบบที่มันควบคุมตัวเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งอันนี้ทางอเมริกายังไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็เลยเสนอโครงการเข้าไปว่าผมจะช่วยสร้างชิ้นส่วนอันหนึ่งที่จะบังคับยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติลงสู่พื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย

ตรงนี้เองที่ทำให้เขาสนใจและทำให้ผมเข้าไปร่วมในโครงการยานอวกาศได้ โดยเริ่มไปทำงาน ไม่ใช่กับองค์การนาซาโดยตรง เพราะนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรเอง เขาจะให้บริษัทต่างๆ เป็นผู้ผลิต ฉะนั้นผมก็ต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในโครงการอันนี้ที่ผมเสนอไป

ตอนแรกทางสหรัฐอเมริกาเขาเช็คประวัติของผมก่อนว่าผมมีแนวโน้มเอียงไปทางซ้ายหรือเปล่า เขาระมัดระวังมาก เขาจะส่งคนไปสืบดูในทุกๆ แห่งที่ผมเคยอาศัยอยู่ รวมถึงที่ปารีสซึ่งเคยอยู่ 2 ปี ปรากฏว่าผ่านทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร เขาเลยให้ทำงาน ทำวิจัยไปประมาณ 1 ปี สร้างต้นแบบมาหลายต้นแบบ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ใช้การไม่ได้

แต่หลังจาก 1 ปี ผมก็คิดขึ้นมาว่าวิธีการหาความรู้แบบตะวันตก มันใช้ไม่ได้ เพราะเราต้องอาศัยข้อมูลของคนอื่น เราต้องทำวิจัย เราต้องมาเปลี่ยนแปลงวิเคราะห์ ผมคิดว่าใช้วิธีของทางตะวันออกดีกว่าก็คือไปนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา ผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ๆ เมืองลอสแองเจลิส และนั่งสมาธิอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งจิตนิ่ง สงบ ปัญญามันก็เกิด

ผมอยู่ 4 คืน 5 วัน วันที่ 5 กำลังนั่งอยู่เฉยๆ สงบนิ่ง ไม่คิดถึงโครงการยานอวกาศเลย อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามา แล้วเราก็ได้คำตอบ เราก็ อ๋อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แค่นี้ คือในการฝึกสมาธิจนปัญญาเกิด โดยที่เราไม่ต้องคิด มันจะไม่ผ่านระบบความคิดอะไร

เมื่อไม่ได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การคิดคำนวณ แล้วนำไปสร้างได้อย่างไรคะ

ผมสร้างต้นแบบให้เขา และเขาก็ทดสอบ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ สมมติตอนที่ร่อนลง ปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงและไปแตะพื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย เขาก็ดีอกดีใจก็เลยให้ผมสร้างให้เขา 3 ชุด ไปไว้ในยานไวกิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และยานไวกิ้ง 3 สามลำด้วยกัน เขาส่งขึ้นไป 2 ลำ เดินทางไปใช้เวลา 11 เดือน

พอไปถึงดาวอังคารก็สำรวจว่าจะลงตรงไหน แล้วก็ส่งสัญญาณไปกระตุ้นเครื่องที่ผมสร้างไว้ และมันค่อยๆ ควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงไปโดยอัตโนมัติสู่พื้นดินของดาวอังคาร ประสบความสำเร็จ ยานทั้ง 2 ลำแตะพื้นเบาๆ ไม่มีปัญหาอะไร และสามารถส่งข้อมูลกลับมาที่โลกของเราเป็นเวลาเกือบ 7 ปี

ถือเป็นครั้งแรก?

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนลงไปบนพื้นดินของดาวเคราะห์ได้สำเร็จ แต่ตอนนั้นได้ลงไปที่ดวงจันทร์แล้ว แต่ดาวเคราะห์ยังไม่เคย

อาจารย์สนใจเรื่องสมาธิมาตั้งแต่ก่อนจะไปทำงานตรงนั้นหรือเปล่า

ผมเริ่มฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำ แล้วก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสมาธิ

เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่าช่วงนั้นผมเป็นเด็กเกเรพอสมควร ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง คือนอนอยู่ในห้องนอนรวม เป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง อาจอง อาจอง อาจอง ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม

ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก ก็ไม่สนใจ นอนหลับไป พร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อน ทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกัน คืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า เอ..มันเรื่องอะไร คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร

ตอนแรกไม่รู้จะไปปรึกษาหารือกับใคร เลยไปปรึกษากับนักบวชในศาสนาคริสต์ ท่านก็บอกว่าให้ไปสวดมนต์ภาวนา เข้าโบสถ์ด้วยกัน ผมก็เข้าไป แต่แล้วท่านก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผม ท่านบอกว่าต้องไปศึกษาพระคัมภีร์ต่อ ผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์

จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาพร้อมกัน เปร่งเสียงดังพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน ผมเถียงท่าน บอกว่าไม่จำเป็น เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆ ในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดในโบสถ์ อันนี้ท่านโกรธมากเลย ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็เสียใจมาก

ก็พยายามคิดว่าจะทำยังไง เลยไปเข้าห้องสมุด แล้วบอกตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ น่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนา ก็เลยไปค้นหนังสือเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ พออ่านแล้วมันประทับใจมาก ก็เลยเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา พอฝึกไปได้เดือนหนึ่งมันรู้สึกสงบ สบาย อารมณ์โกรธ โมโห อะไรก็ค่อยๆ หายไป เลยฝึกต่อ

พอฝึกไปได้ปีหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยได้ดี ปรากฏว่าความจำดีขึ้น การเรียนดีขึ้น พอสอบปีถัดมาก็สอบได้ที่ 1 ของทุกวิชา จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เป็นคนใจเย็น ความรู้เกิดขึ้น

บางครั้งเราเรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนหนัก ความจำดีขึ้น ได้รับรางวัลจากประเทศอังกฤษเยอะแยะไปหมด ได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษด้วย ทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านศาสนา นี่คือการทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน

แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน?

ผมมองดูตัวเองย้อนหลังกลับไป จริงๆ วิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่แตกต่างกัน ทั้งสองอย่างพยายามแสวงหาความจริง แต่วิทยาศาสตร์มุ่งไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา แต่ศาสนามุ่งเข้าไปในตัวเรา ฉะนั้นอันหนึ่งเป็นเรื่องภายใน อีกอันเป็นเรื่องภายนอก สองอย่างมาประกอบกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ

แล้วผมก็วิเคราะห์ดูตั้งแต่ตอนนั้นว่า ผมจะไม่หากินกับเรื่องของจิตใจ เรื่องของการฝึกสมาธิ ตรงนั้นจะทำอะไรก็เป็นการบริการช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเผื่อไปหากินก็คิดว่าใช้วิทยาศาสตร์ ผมก็เลยเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นอาชีพ

ในแวดวงของคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์ อาจารย์คิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นมั้ยคะ

คือผมเข้าใจเขา แนวความคิดของเขาเป็นอย่างไร ขั้นตอนของการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ทีนี้ผมพยายามดึงเขาเข้ามาให้เข้าใจด้วยว่าเรามีญาณวิเศษอยู่ในตัวของเราทุกคน เพราะถ้าเกิดเราย้อนหลังกลับไปดูในประวัติศาสตร์อย่าง เซอร์ไอแซค นิวตัน ซึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก ตั้งแต่เล็กๆ เขาชอบนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลตามลำพัง โดยที่เขาไม่คิดอะไร และเขาทำอย่างนี้เป็นประจำ

พอโตขึ้นมาเขาคิดถึง "ดาวหางแฮรี่" ว่ามันจะกลับมาเยี่ยมโลกทุกๆ กี่ปี การหาคำตอบของเขาไม่ได้จากการทดลอง ไม่ได้จากการคำนวณ เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล พอมันตกลงมาตอนนั้นเองมันก็แวบเข้ามา แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ ซึ่งนอกจากจะตอบว่า นอกจากดาวหางแฮรี่จะมาทุก 76 ปี ซึ่งก็ถูกต้อง เขายังได้กฎเกณฑ์ของฮิวตันซึ่งเป็นพื้นฐานของฟิสิกส์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้

ไอน์สไตน์ก็เหมือนกัน เขาก็บอกว่า เขาได้อะไรต่ออะไรจากการตอนที่เขาสงบนิ่ง แล้วเขาพูดออกมาชัดเจนเลยว่าการหยั่งรู้ด้วยตนเองไม่ได้มาจากการศึกษา ไม่ได้มาจากความพยายาม แต่มันมาจากใจโดยตรง ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้ สมาธิก็จะเกิด ความรู้เกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น

อธิบายสิ่งที่เรียกว่าการหยั่งรู้นี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรคะ

พอเราฝึกสมาธิ ความรู้สึกของเรามันจะขยายตัวออกไปกว้างใหญ่ พอเป็นอย่างนี้เท่ากับว่ามันขยายไปที่ไหนเราก็รู้ตรงนั้น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าข้างหนึ่งของโลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น เรานั่งสมาธิขยายความรู้สึกของเราออกไป มันเป็นจิตใจที่เราขยายออกไปได้ แล้วจะรู้เรื่องอะไรก็ได้ ฉะนั้นจิตเหนือสำนึกก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ที่อยู่ในตัวเรา มันไม่มีขอบเขต จิตเหนือสำนึกมันกว้างออกไป และทำให้เราสามารถรู้เรื่องอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้

ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าอาจารย์เป็นผู้หยั่งรู้ได้มั้ยคะ

ผมถือว่าทุกคนสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ บางทีพวกเราสังเกตกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันนั้นก็เป็นการหยั่งรู้ บางทีเรามีปัญหาเยอะแยะ เราคิดอะไรไม่ออก เรานอนหลับไป และช่วงที่เราตื่น อ๋อ! รู้แล้ว คำตอบมันมา เพราะระหว่างที่เรานอนหลับกับตอนที่เราตื่นตอนนั้นจิตใจเราสงบ เรายังไม่ฟุ้งซ่าน เรายังไม่คิดอะไรมาก พอจิตใจสงบในช่วงนั้นการหยั่งรู้ด้วยตนเองก็จะเกิดขึ้น

สภาวะจิตใจที่สงบนิ่ง ทางพุทธเราก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเรามีศีล มีสมาธิเกิดขึ้น จิตใจมันสงบ ปัญญามันก็เกิด

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีลงจอดแล้วอาจารย์ไปทำงานอะไรต่อ

ก็เป็นอาจารย์ต่อที่จุฬาฯ เริ่มสอนนิสิตนักศึกษาเรื่องสมาธิ และอบรมครูในเรื่องการฝึกสมาธิ

ช่วงหนึ่งได้มีโอกาสทำงานในแวดวงการเมืองด้วย?

คือหลังจากที่เป็นอาจารย์อยู่สัก 7 ปี ผมรู้สึกว่าเราน่าจะมีประสบการณ์ที่กว้างออกไป และให้เข้ากับทุกกลุ่ม คือสังคมต่างๆ ตอนนั้นก็ออกมาเป็นนักธุรกิจก่อน ประสบความสำเร็จได้เป็นกรรมการผู้จัดการหลายบริษัท พอเริ่มเข้าใจแล้วว่านักธุรกิจเป็นอย่างไรก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง เลยไปลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความสำเร็จตอนที่สังกัดพรรคพลังธรรม ได้รับเลือก 3-4 สมัย

ตอนนั้นเข้าไปอยู่ในงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นหลัก เป็นกรรมาธิการการศึกษา กรรมาธิการวิทยาศาสตร์ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม จะมุ่งไปในทางด้านนั้น จนสุดท้ายได้เป็นเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยท่านประสงค์ สุ่นศิริ ได้เดินทางไปรอบโลกพร้อมกับท่าน

ดูเหมือนอาจารย์จะมองการทำงานในตำแหน่งต่างๆ เป็นการเรียนรู้มากกว่าการประกอบอาชีพ?

คือทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ของผม ไม่ได้มีเป้าหมายคือ ชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจ?

ถ้าเราต้องการรวยมันง่ายมาก อย่างผมไปสร้างยานอวกาศที่สหรัฐอเมริกา เงินเดือนที่ได้รับตอนนั้นซื้อรถยนต์ได้ 1 คันต่อเดือน คือต้องเทียบอย่างนั้น เพราะว่าเงินสมัยนั้นมันยังน้อย เงินซื้ออะไรได้เยอะ มูลค่าสูง พอผมสร้างเสร็จแล้วหน้าที่ของผมคือกลับมาเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ ก็บอกทางโน้นว่าขอกลับแล้ว

ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอม เพิ่มเงินเดือนให้ผม 20 เท่า ซื้อรถยนต์ได้ 20 คันต่อเดือน และจะโอนสัญชาติให้ผม ผมก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ หน้าที่ของผมคือสอน ที่มาก็มาหาความรู้ ได้ประสบการณ์แล้วก็ขอกลับ ในที่สุดเขาก็ต้องยอม

ในชีวิตไม่เคยคิดอยากจะรวย ไม่เคยคิดอยากจะดังอะไร ถ้ามันดังก็ดังโดยธรรมชาติของมันเอง เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำด้วยความดังหรือชื่อเสียง หรือความร่ำรวยอะไร ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็ปฏิเสธไม่รับเงินเดือน เพราะว่านี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เราต้องการจะให้และช่วยเด็ก

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือการเมือง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มไปด้วยเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง?

อย่างผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ปกติเราต้องเลี้ยงลูกค้า เลี้ยงอาหาร เลี้ยงเหล้า อะไรต่างๆ ผมก็บอกเขาตรงๆ ว่า ผมไม่ดื่มเหล้านะ และผมทานมังสวิรัติด้วย เขาก็ตกใจ แปลกใจ แต่ก็บอกผมว่า ถ้างั้นก็ทานบ้าง เป็นเพื่อนดื่มน้ำชาด้วยกัน เสร็จแล้วก็คุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าเขาไว้ใจผมมากเลย เขาเชื่อว่าผมทำธุรกิจจะไม่มีวันเอาเปรียบเขา ไม่มีวันที่จะโกงเขา

เขาบอกเอาล่ะ ผมพร้อมจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับคุณ เซ็นสัญญาทีเป็นพันล้านเพราะเขาไว้วางใจเรา เพราะเราไม่ได้โม้อะไร ไม่ได้ไปแสดงอะไร ไม่ได้ดื่มเหล้าเมายากับเขา ไม่ได้เลี้ยงดูปูเสื่อ ซึ่งนักธุรกิจโดยทั่วไปเขาจะมี แต่ปรากฏว่ากลับไม่ค่อยไว้วางใจกัน แต่นี่เขาไว้ใจเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องใช้วิธีทางโลกในการค้าขาย สู้สร้างความไว้วางใจดีกว่า

การเมืองก็เหมือนกัน ผมก็เข้าไปในสภา เอาล่ะ ก็ยอมรับว่ามันมีผลประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็มีคนมาเสนอผลประโยชน์ให้ผมเยอะมาก ตอนที่เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็มีคนเสนอว่า พี่ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อย พอเซ็นแล้วผมจะได้ 150 ล้าน ผมก็บอกว่าเรื่องอะไรล่ะ ได้เยอะแยะขนาดนี้

เขาบอกว่าเขาจะนำเข้าไม้จากพม่า และเขาเอาหลักฐานให้ผมดูว่าเป็นไม้จากพม่า แต่ผมดูแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นเอกสารปลอม ผมก็เลยเอาเอกสารนี้ไปตรวจ พม่าตรวจแล้วเขาก็บอกว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็เอากลับมาแล้วบอกว่า ขอโทษนะเซ็นอันนี้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็พูดตรงไปตรงมากับเขา

ใช่..ผมอาจจะไม่ร่วมมือในเรื่องบางเรื่อง แต่ทุกคนก็ยอมรับ และก็ถือว่าผมเป็นคนที่น่าไว้วางใจ ถึงเวลาจะมีการปฏิรูปการศึกษา กรรมาธิการก็ให้ผมร่างในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ถึงเราไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ไปขอร้องเขา พอถึงเวลาเขาก็ยกมือให้ เขามั่นใจเรา เขารักเรา การทำงานไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ อิทธิพล ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง เราสร้างความไว้วางใจให้กับคนอื่นให้รักเรา

จริงไหมที่เขาบอกว่าคนดีๆ มักอยู่ในแวดวงการเมืองไม่ได้?

อันนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ทว่าเขาเข้าใจผิด คือยืนหยัดอยู่ในทางของตัวเองแล้วบอกคนอื่นผิดหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีใครผิด คือเราต้องเข้าใจว่าทุกคนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์ บางทีเราต้องหกล้มเราถึงจะรู้ว่าหกล้มแล้วมันเจ็บ แล้วเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ ตลอดเวลามีการสร้างความแข็งแกร่ง ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตให้ดีขึ้น ฉะนั้นผมมองนักการเมืองทั้งหลายว่าเขาก็เรียนรู้อยู่ บางทีเขาทำอะไรตัวเองก็เจ็บมาก สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ก็คือวิธีการเรียนรู้

ฉะนั้นคนดีบางคนบอกว่าตัวเองดี แล้วก็ไปชี้นิ้วว่าไอ้นี่มันไม่ดี ไอ้นั่นมันเลว แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราชี้นิ้วไป มันจะมีนิ้วสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ เราบอกว่าคนอื่นเลว แท้ที่จริงเราต้องดูตัวเองว่าเราเลว เราไม่ดีเอง เราคิดไม่ดีเอง ถ้าเผื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่ไปด่าใคร เราไม่ไปว่าใคร

จริงๆ แล้วการเป็นนักการเมืองก็น่าจะทำอะไรได้เยอะโดยเฉพาะในเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษา ทำไมถึงตัดสินใจออกมาล่ะคะ

ใช่..เราปฏิรูปอะไรได้ ทำอะไรได้เยอะ อย่างตอนนั้นเราออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผมเขียนเรื่องคุณธรรมใส่เข้าไป ก็ไปโดน รสช.ยึดอำนาจพอดี แล้วก็เกิดปัญหาพฤษภาทมิฬอะไรต่างๆ ผมก็ดูแล้วว่าเราต้องลงไปถึงระดับรากฐาน คือไปลงมือสร้างเด็กขึ้นมาเองเลย

การปฏิรูปการศึกษาจะมาสั่งคนให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยอาศัยกฎหมาย มันไม่ค่อยได้ผล เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยคิดว่าเราไปสร้างตัวอย่างให้เขาเห็นดีกว่า ไปปฏิรูปของเราเองก่อน วิธีการอย่างนี้จะขยายผลได้เร็ว

แล้วอีกอย่างผมก็คิดว่าเราสร้างอะไรต่ออะไร สร้างยานอวกาศ สร้างโน่นสร้างนี่มาเยอะแล้ว ตอนนี้ลองสร้างคนบ้าง ก็เลยหันไปสู่แวดวงการศึกษาของเด็ก ตั้งโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี ขณะเดียวกันก็อบรมครู ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้ เกี่ยวกับการศึกษา และเดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของประเทศต่างๆ เพื่อไปอบรมครู

แล้วทำไมต้องเป็นโรงเรียนแนวไสบาบา

........"คืออันนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณ 23 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมยังไม่ได้มาสนใจเรื่องการศึกษาของเด็ก แต่ก็ได้รับแรงกระตุ้นเมื่อครั้งไปที่ประเทศอินเดีย และไปเจอนักการศึกษา (ท่านสัตยาไสบาบา) ท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย ขณะเดียวกันท่านก็สอนธรรมะ ผมไปเจอท่าน ท่านก็มองหน้าผมสักพัก แล้วก็บอกว่าในชีวิตที่เหลือ ขอให้หันมาสนใจการศึกษาทั้งหมดได้ไหม ผมก็ตอบรับทันที เพราะท่านพูดประทับใจมาก เข้าถึงใจผม

.........ผมก็เลยตัดสินใจว่าเราต้องหันมาทางด้านนี้ กลับมาเมืองไทยก็เริ่มต้นจากการทดลองสอนเด็กในแหล่งชุมชนก่อน ดูสิว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ไหม ปรากฏว่าเด็กพวกนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เราก็เริ่มเห็นผล ทีนี้ก็เลยจัดอบรมครู พออบรมไปได้สักหมื่นห้าพันกว่าคน ครูเหล่านี้ก็เรียกร้องว่า วิธีสอนมันดีล่ะ แต่เขาอยากจะเห็นของจริง โรงเรียนที่ปฏิบัติอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจริงๆ

ผมก็เลยบอกพรรคพวก เรามาสร้างโรงเรียนกันดีกว่า เพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง ทุกคนก็เห็นดีด้วย ช่วยกันบริจาค เพราะเราจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต้องการทำตัวอย่างของการให้ ให้เปล่า ให้ฟรี ไม่ใช่ว่าจะเอากำไร โรงเรียนสัตยาไสก็เริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

อาจารย์ทำงานกับเด็กมาก็พอสมควร มองว่าปัญหาของเด็กยุคนี้คืออะไร

เป็นเรื่องจริงว่าเด็กที่มีปัญหาคือ เด็กที่ขาดความรัก ขาดความอบอุ่นในครอบครัว พอเขาขาดก็จะพยายามแสวงหาความสนใจของคนอื่นเข้ามา ฉะนั้นบางทีเขาก็ใช้วิธีที่เขารู้จัก คือเกเร ทำลายโน่น ทำลายนี่ แกล้งคนโน้น คนนี้ ทันทีเลยผู้ใหญ่ก็จะมาหาเขา จริงอยู่เขาโดนลงโทษ แต่เขาสามารถดึงดูดคนมาหาเขา และนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา

ที่เขาเกเรทุกวันนี้เป็นเพราะเขาขาดความรัก เขาอยากจะได้ความรักจากผู้ใหญ่ เราต้องเข้าใจ อย่าไปโทษเด็ก มันมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เสริมเข้ามา ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองของครูที่จะต้องเติมความรัก ความเมตตา และให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็ก

ภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน ยังพอมีหวังมั้ยคะ

คือผมเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน มนุษย์เราพอมีความทุกข์มากๆ จะรีบแก้ไข รีบเปลี่ยน รีบหนีความทุกข์ ฉะนั้นมันจะมีเหตุการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะให้กับเรา และปัญหาเหล่านั้นก็คือบทเรียนที่เราจะได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น

อย่างที่เขาบอกระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4 เมตร กรุงเทพฯก็หมดแล้วไม่มีเหลือ อยู่ใต้บาดาลแล้ว ภาคกลางของประเทศไทยก็จะโดนน้ำท่วมหมด พอถึงใกล้ๆ เวลานั้นพวกเราจะตกอกตกใจและรีบเตือนกันอย่างรวดเร็ว เราไม่มีทางเลือกแล้ว เราต้องเปลี่ยน

ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม มันต้องเปลี่ยนแล้ว คือชีวิตเราจะเปลี่ยนเร็วท่ามกลางวิกฤติต่างๆ ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

แต่อาจารย์มองว่าวิกฤติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี?

ผมมั่นใจว่ายุคแห่งความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?

มันก็ตรงกับศาสนาต่างๆ ที่เขาทำนายไว้ว่าจะเกิดยุคแห่งความสงบสุขขึ้นมา ผมดูเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็มุ่งไปทางนั้น แล้วตอนนี้ก็มีคนที่เริ่มคิดในแนวใหม่ เริ่มคิดในทางที่ดี หมอประเวศ วะสี ก็เริ่มคิดแหวกแนวออกมาแล้ว เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว และคนจำนวนมากก็เริ่มจะคิดในแนวเดียวกันมากขึ้นๆ กระแสจะค่อยนำพาทุกฝ่ายไปสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข

ระหว่างวิกฤติทางด้านสังคมกับสิ่งแวดล้อม อาจารย์คิดว่าอะไรน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากการที่อุณหภูมิมันสูงขึ้นในโลก ดิน ฟ้า อากาศ ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลง ผมเพิ่งกลับมาจากอาหรับเอมิเรสต์ ปรากฏว่าฝนตกมาตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นทะเลทราย ผมเคยบอกเขามานานแล้วว่า ตรงนี้ในที่สุดจะไม่ใช่ทะเลทรายแล้ว ฝนจะเริ่มตกมากขึ้นๆ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทะเลทรายจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางเหนือมากขึ้น อย่างประเทศสเปนจะแห้งแล้ง ทะเลทรายซาฮาราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเหนือ

อุณหภูมิในโลกเริ่มจะสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ผมไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศจีน มันเกิดจากน้ำทะเล เขายอมรับว่าทุกปีมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็เริ่มละลาย ฉะนั้นจึงทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงจะเกิดมากขึ้นๆ พายุไต้ฝุ่นมากขึ้น สึนามิก็จะมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นไปหมด

ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ยังทะเลาะกัน เถียงกัน ยังทำสงครามกัน ยังฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะแถวๆ อิหร่าน ตะวันออกกลาง จะมีปัญหาอยู่เยอะ และอีกหลายประเทศที่มีการสู้รบกัน ลักษณะแบบนี้มันจะเร่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งวิกฤติในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะเป็นตัวเร่ง ทำให้เราต้องยอมรับแล้วว่าถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง

ชีวิตของผมเองก็เหมือนกัน พอเป็นเด็กเกเรมากๆ ชกต่อยคนโน้น คนนี้ ตัวเราเองก็เจ็บด้วย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ็บอย่างเดียว และนั่นคือตัวเร่งที่ทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะฉะนั้นอันนี้กำลังเกิดขึ้น และผมคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด

เร็วแค่ไหนคะ

ผมให้เวลา 12 ปี

ทำไมถึงเป็นตัวเลข 12 ปี

เพราะว่าตัวเร่งมันกำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเร่งหมดแล้ว เราไม่เคยมีแผ่นดินไหวที่รุนแรง จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ไม่เคยมีอย่างนี้มานานทีเดียว แต่ตอนหลังมีตั้งหลายครั้งแล้ว และพอมันเกิดขึ้นตรงนี้ เปลือกโลกมันก็ขยับใช่ไหม มันก็ทำให้เกิดความกดดันอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมันก็ต้องขยับตาม

ทีนี้มันก็จะไปเรื่อยๆ ไปรอบด้านรอบโลก ซึ่งอันนี้เป็นภัยอันตรายที่พวกเราต้องระมัดระวัง แต่ถ้าพวกเราช่วยเหลือกันตั้งแต่แรก ภัยเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง อยู่ที่ความร่วมมือของมนุษย์ สึนามิไม่จำเป็นต้องฆ่าคนจำนวนมาก ถ้าทันทีที่เกิดขึ้นจุดใดจุดหนึ่งก็บอกต่อๆ กันไป

แล้ว 12 ปีนี่ประเมินจากอะไรคะ

ผมลองดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือเราก็สังเกตทุกด้านจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก อันแรกจากที่มนุษย์เราทะเลาะกันเอง สร้างสงครามกัน สร้างวิกฤติของตัวเองขึ้นมา อีกอันหนึ่งก็คือความถี่ของธรรมชาติที่มีแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินฟ้าอากาศที่รุนแรง มีพวกพายุมากขึ้น เฮอร์ริเคนทางโน้น มีไซโคลนทางนี้ มีอะไรต่างๆ ที่รุนแรงมากๆ

คือพวกนี้เราดูแล้วความถี่มันมากขึ้นๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ผมก็วาดกราฟออกมา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบไหน ผมคำนวณออกมาแล้วมันจะไม่เป็นเส้นตรง แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น ตอนแรกมันดูเหมือนช้ามาก แต่แล้วมันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก ผมคำนวณดูก็เห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ มันจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า

หลังจากนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านการศึกษา ทางด้านจิตใจของมนุษย์อะไรต่างๆ เพราะคนเราจะถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ความทุกข์มันพอแล้ว เลิกกันดีกว่า เราหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันดีกว่า มันจะถึงขั้นหนึ่ง มากจนต้องหยุดแล้ว

สุดท้ายอาจารย์คิดว่าอะไรจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้

มีอยู่อย่างเดียว ความรัก ความเมตตา คนเราถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกอย่างก็แก้ได้หมด เราให้อภัยซึ่งกันและกัน เราไม่มองในแง่ร้าย มีอะไรเราช่วยเหลือเขา เมื่อมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรามีอาหารเหลือเฟือ เรามีอะไรทุกอย่างเหลือเฟือในโลกนี้ เราไม่ต้องแย่งกันหรอก

แต่จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจต้องเปลี่ยน จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว แต่เป็นเศรษฐกิจของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เศรษฐกิจของในหลวง สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ.

กรุงเทพฯ ธุรกิจ
จุดประกาย - เสาร์สวัสดี
ฉบับที่ 306 วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2548

ที่มา - www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20050401/news.php?news=


webmaster - 21/6/09 at 14:36

(Updater 21/06/52)

มาดูการ์ตูนลดโลกร้อน น่ารักๆ กันเถอะ


• ปิดสวิตซ์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออกจากห้อง
• เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ดูฉลากแสดงประสิทธิภาพให้แน่ใจทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ต้องเลือกใช้เบอร์ 5
• ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่จะไม่อยู่ในห้องเกิน 1 ชั่วโมง สำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไป และ 30 นาที สำหรับเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5
• หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศบ่อย ๆ เพื่อลดการเปลืองไฟในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
• ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่กำลังสบาย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10

• ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตรวจสอบและอุดรอยรั่วตามผนัง ฝ้าเพดาน ประตูช่องแสง และปิดประตูห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
• ลดและหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นใดที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย และใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร
• ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโดยรอบห้องที่มีการปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจาก การถ่ายเทความร้อนเข้าภายในอาคาร
• ใช้มู่ลี่กันสาดป้องกันแสงแดดส่องกระทบตัวอาคาร และบุฉนวนกันความร้อนตามหลังคาและฝาผนัง เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป
• หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดประตูในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ

• ควรปลูกต้นไม้รอบ ๆ อาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน หรือให้ความเย็นประมาณ 12,000 บีทียู
• ควรปลูกต้นไม้เพื่อช่วยบังแดดข้างบ้านหรือเหนือหลังคา เพื่อเครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
• ปลูกพืชคลุมดินเพื่อช่วยลดความร้อน และเพิ่มความขึ้นให้กับดิน จะทำให้บ้านเย็น ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
• ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00 น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้
• ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มงาน และควรปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย เพื่อประหยัดไฟ

• เลือกซื้อพัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลมที่ไม่ได้คุณภาพมักเสียง่าย ทำให้สิ้นเปลือง
• หากอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ จะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากทีเดียว
• ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
• ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟหรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก
• ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน


• หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงาน มากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี
• ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือข้างนอก เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
• ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน จะประหยัดไฟลงไปได้มาก
• ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า
• ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจกหรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ยอมให้แสงผ่านเข้าได้ เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายในอาคาร
• ถอดหลอดไฟออกครึ่งหนึ่งในบริเวณที่มีความต้องการใช้แสงสว่างน้อย หรือบริเวณที่มีแสงสว่างพอเพียงแล้ว
• ปิดตู้เย็นให้สนิท ทำความสะอาดภายในตู้เย็น และแผ่นระบายความร้อนหลังตู้เย็นสม่ำเสมอ เพื่อให้ตู้เย็นไม่ต้องทำงานหนักและเปลืองไฟ
• อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย อย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้น กินไฟมากขึ้น
• ตรวจสอบขอบยางประตูของตู้เย็นไม่ให้เสื่อมสภาพ เพราะจะทำให้ความเย็นรั่วออกมาได้ ทำให้สิ้นเปลืองไฟมากกว่าที่จำเป็น
• เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว อย่าใช้ตู้เย็นใหญ่เกินความจำเป็น เพราะกินไฟมากเกินไป และควรตั้งตู้เย็นไว้ห่างจากผนังบ้าน 15 ซม.


• ควรละลายน้ำแข็งในตู้เย็นสม่ำเสมอ การปล่อยให้น้ำแข็งจับหนาจนเกินไปจะทำให้เครื่อง ต้องทำงานหนัก ทำให้กินไฟมาก
• เลือกซื้อตู้เย็นประตูเดียว เนื่องจากตู้เย็น 2 ประตู จะกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดเท่ากัน เพราะต้องใช้ท่อน้ำยาทำความเย็นที่ยาวกว่าและใช้คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่กว่า
• ควรตั้งสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิของตู้เย็นให้เหมาะสม การตั้งที่ตัวเลขต่ำเกินไปอุณหภูมิจะ เย็นน้อย ถ้าตั้งที่ตัวเลขสูงจะเย็นมาก เพื่อให้ประหยัดพลังงานควรตั้งที่เลขต่ำที่มีอุณหภูมิ พอเหมาะ
• ไม่ควรพรมน้ำจนแฉะเวลารีดผ้า เพราะต้องใช้ความร้อนในการรีดมากขึ้น เสียพลังงาน มากขึ้น เสียค่าไฟเพิ่มขึ้น
• ดึงปลั๊กออกก่อนการรีดเสื้อผ้าเสร็จ เพราะความร้อนที่เหลือในเตารีด ยังสามารถรีดต่อได้จนกระทั่งเสร็จ ช่วยประหยัดไฟฟ้า

• เสียบปลั๊กครั้งเดียว ต้องรีดเสื้อให้เสร็จ ไม่ควรเสียบและถอดปลั๊กเตารีดบ่อย ๆ เพราะการทำให้เตารีดร้อนแต่ละครั้งกินไฟมาก
• ลด ละ เลี่ยง การใส่เสื้อสูท เพราะไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน สิ้นเปลืองการตัด ซัก รีด และความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ
• ซักผ้าด้วยเครื่อง ควรใส่ผ้าให้เต็มกำลังของเครื่อง เพราะซัก 1 ตัวกับซัก 20 ตัวก็ต้องใช้น้ำในปริมาณเท่า ๆ กัน
• ไม่ควรอบผ้าด้วยเครื่อง เมื่อใช้เครื่องซักผ้า เพราะเปลืองไฟมาก ควรตากเสื้อผ้ากับแสงแดดหรือแสงธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า


• ปิดโทรทัศน์ทันทีเมื่อไม่มีคนดู เพราะการเปิดทิ้งไว้โดยไม่มีคนดู เป็นการสิ้นเปลืองไฟฟ้า โดยใช่เหตุ แถมยังต้องซ่อมเร็วอีกด้วย
• ไม่ควรปรับจอโทรทัศน์ให้สว่างเกินไป และอย่าเปิดโทรทัศน์ให้เสียงดังเกินความจำเป็น เพราะเปลืองไฟ ทำให้อายุเครื่องสั้นลงด้วย
• เช็ดผมให้แห้งก่อนเป่าผมทุกครั้ง ให้เครื่องเป่าผมสำหรับแต่งทรงผม ไม่ควรใช้ทำให้ผมแห้ง เพราะต้องเป่านาน เปลืองไฟฟ้า
• ใช้เตาแก๊สหุงต้มอาหาร ประหยัดกว่าใช้เตาไฟฟ้า เตาอบไฟฟ้าและควรติดตั้งวาล์วนิรภัย (Safety Valve) เพื่อความปลอดภัยด้วย

• เวลาหุงต้มอาหารด้วยเตาไฟฟ้า ควรจะปิดเตาก่อนอาหารสุก 5 นาที เพราะความร้อนที่เตาจะร้อนต่ออีกอย่างน้อย 5 นาที เพียงพอที่จะทำให้อาหารสุกได้
• อย่าเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวทิ้งไว้ เพราะระบบอุ่นจะทำงาน ตลอดเวลาทำให้สิ้นเปลืองไฟ เกินความจำเป็น
• กาต้มน้ำไฟฟ้า ต้องดึงปลั๊กออกทันทีเมื่อน้ำเดือด อย่าเสียบไฟไว้เมื่อไม่มีคนอยู่ เพราะนอกจากจะไม่ประหยัดพลังงานแล้ว ยังอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้
• แยกสวิตซ์ไฟออกจากกัน ให้สามารถเปิดปิดได้เฉพาะจุด ไม่ใช้ปุ่มเดียวเปิดปิดทั้งชั้น ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองและสูญเปล่า

• หลีกเลี่ยงการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องมีการปล่อยความร้อน เช่น กาต้มน้ำ หม้อหุงต้ม ไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
• ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้และหมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้า อยู่เสมอ จะทำให้ลดการสิ้นเปลืองไฟได้
• อย่าเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ถ้าไม่ใช้งาน ติดตั้งระบบลดกระแสไฟฟ้าเข้าเครื่อง เมื่อพักการทำงาน จะประหยัดไฟได้ร้อยละ 35-40 และถ้าหากปิดหน้าจอทันที เมื่อไม่ใช้งานจะประหยัดไฟร้อยละ 60
• ดูสัญลักษณ์ Energy Star ก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์สำนักงาน (เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรสาร เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ) ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้กำลังไฟฟ้า เพราะมีระบบประหยัดไฟฟ้าอัตโนมัติ

ที่มา - www.tlcthai.com


webmaster - 10/9/09 at 19:31


The Recommended : แนะนำบทความที่น่าสนใจ
 ''ภาวะโลกร้อน'' ความจริงช็อกโลก  สัญญาณโลกร้อน : ธารน้ำแข็งแห่งอาร์เจนตินาหลอมละลาย  เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว อะไรจะเกิดขึ้น !?  น้ำแข็งขั้วโลกเหนือกำลังละลาย : สัญญาณอันตรายของมนุษยชาติ


น้ำแข็งขั้วโลกเหนือกำลังละลาย : สัญญาณอันตรายของมนุษยชาติ


มติชน


นับเป็นข่าวร้ายของคนทั้งโลก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติ (National Snow and Ice Data Center–NSIDC) มหาวิทยาลัยโคโรลาโด ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ของนาซาและมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยผลการศึกษาว่า แผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติก ขั้วโลกเหนือกำลังละลายอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา



เป็นผลทำให้แผ่นน้ำแข็งเกือบ 7 ล้านตารางกิโลเมตรหดตัวเหลือเพียง 5.32 ล้านตารางกิโลเมตร ลดลงไปประมาณ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร หรือขนาดสองเท่าของรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมาก

การละลายที่รุนแรงนี้เปิดเส้นทางเดินเรือ "Northwest Passage" เส้นทางซึ่งเชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชียที่สร้างตำนานการผจญภัยของนักบุกเบิกซึ่งสูญเสียลูกเรือหลายคนในความพยายามแล่นเรือฝ่าแผ่นน้ำแข็งที่มีความหนาและสภาพ อากาศที่หนาวจัดเมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา


แผ่นน้ำแข็งอาร์กติก คือ บริเวณมหาสมุทรอาร์กติกที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอย่างน้อยที่สุด 15% น้ำแข็งจะเริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ และจะละลายมากที่สุดในเดือนกันยายนซึ่งเป็นปลายฤดูร้อน และจะฟื้นคืนสภาพเป็นน้ำแข็งอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญต่อทุกคนบนโลกซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่ตามมาหลายอย่าง เช่น พายุที่รุนแรงและความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ของโลก การละลายของธารน้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกซึ่งทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น



ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ NSIDC และนาซาทำการศึกษาการลดลงของแผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติกโดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียมตั้งแต่ปี 1978 จนถึงเดือนกันยายน 2005 พวกเขาพบว่าแผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติกลดลงในอัตราเร่งในช่วงปี 2002-2005 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการลดลงในช่วงเวลาก่อนหน้าปี 2002

ข้อมูลจากดาวเทียมในช่วงปี 1979-2001 บ่งชี้ว่าอัตราการลดลงของแผ่นน้ำแข็งต่อทศวรรษมากกว่า 6.5% เพียงเล็กน้อย แต่ปี 2002 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 7.3% และปี 2005 ขยับขึ้นไปอีกเป็น 8%

ในขณะที่ปริมาณน้ำแข็งที่คืนสภาพในช่วงฤดูหนาวของปี 2004-2005 มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


นอกจากนั้นยังพบว่า ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาช่วงเวลาน้ำแข็งละลายในฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติในบริเวณทางตอนเหนือของอลาสกาและไซบีเรีย และในปี 2005 ช่วงเวลาน้ำแข็งละลายทั่วอาร์กติกเร็วขึ้นถึง 17 วัน

อุณหภูมิบริเวณอาร์กติกสูงขึ้นในสองทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2005 สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรอาร์กติกประมาณ 2-3 องศาเซลเซียส หรือ 3.6-5.4 องศาฟาห์เรนไฮต์



จูเลียนเน สโตรเฟว นักวิทยาศาสตร์ของ NSIDC บอกว่า เมื่อดูจากปริมาณน้ำแข็งในปี 2005 จนถึงเดือนกันยายน มีปริมาณน้ำแข็งน้อยกว่าในปี 2002 ซึ่งเป็นปีที่น้ำแข็งมีปริมาณน้อยที่สุดมานานกว่าศตวรรษ และว่า ถ้าน้ำแข็งลดลงในอัตราเช่นนี้ต่อไป จะไม่พบน้ำแข็งในฤดูร้อนของอาร์กติกอีกเลยก่อนสิ้นศตวรรษนี้

ดร.มาร์ค เซอร์เรซ นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งของ NSIDC บอกว่า น้ำแข็งที่อาร์กติกมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคำอธิบายที่ดีที่สุดก็คือเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น




นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า แนวโน้มการลดลงของน้ำแข็ง การไม่คืนสภาพของน้ำแข็ง การละลายที่เร็วขึ้นในช่วงดูใบไม้ผลิและอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยเป็นฟีดแบ๊คต่ออินพุตของระบบซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

ฟีดแบ๊คที่สำคัญคืออุณหภูมิที่สูงขึ้น เซอร์เรซอธิบายว่า การลดลงของน้ำแข็งก็เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการลดลงของน้ำแข็งจะทำจะให้น้ำแข็งลดลงมากขึ้นไปอีก เพราะน้ำแข็งสีขาวสะท้อนรังสีหรือพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับไปยังอวกาศ ขณะที่น้ำทะเลสีเข้มในมหาสมุทรดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้มหาสมุทรจะร้อนขึ้น เมื่อมหาสมุทรร้อนขึ้นก็ยากที่น้ำทะเลกลับคืนสภาพเป็นน้ำแข็งอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว

ในที่สุดการสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์ของโลกทั้งใบก็ลดลงด้วยขณะที่โลกดูดกลืนพลังงานมากขึ้น โลกก็จะร้อนขึ้น

ผลกระทบจากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายได้เกิดขึ้นแล้วในระดับท้องถิ่น น้ำทะเลกำลังกัดเซาะชายฝั่งไซบีเรียและอลาสกาทำให้ประชาชนที่อาศัยตามแนวชายฝั่งต้องอพยพ ในขณะเดียวกันน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นดินก็กำลังละลายเช่นกัน ความแห้งแล้งอย่างยาวนานที่เกิดขึ้นในรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาก็อาจจะเป็นผลกระทบอย่างหนึ่งซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังหาคำตอบกันอยู่
< /STRONG>



Northwest Passage
นอกจากผลกระทบต่อมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกก็จะสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่เกินศตวรรษนี้เพราะพวกมันอาศัยอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง

สิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือ การเกิดพายุเฮอร์ริเคน "แคทรีนา" และเฮอร์ริเคน "ริตา" ที่มีกำลังรุนแรงเชื่อมโยงกับการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือซึ่งเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของความชื้นและลมหรือไม่

ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าทั้งสองปรากฏการณ์เกิดจากสาเหตุเดียวกันคือสภาวะโลกร้อนจาก "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสภาวะโลกร้อนอาจเกิดจากจุดดำของดวงอาทิตย์



โลกร้อนทำให้เกิดพายุเฮอร์ริเคนอย่างไร? คำอธิบายมีอยู่ว่า พายุเฮอร์ริเคนเกิดในบริเวณที่อุณหภูมิสูง เรือนกระจกทำให้มหาสมุทรร้อนขึ้นซึ่งก็เท่ากับว่าเติมเชื้อให้กับพายุเฮอร์ริเคนและทำให้มีกำลังแรงขึ้นด้วย

ดร.คลอส วอลเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ของ NOAA"s Climate Diagnostics Center มหาวิทยาลัยโคโลราโด บอกว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2005 ก่อนที่พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาจะถล่มอเมริกาในวันที่ 29 สิงหาคม 2005 นั้น อุณหภูมิของผิวทะเลในอ่าวเม็กซิโกสูงที่สุดในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เคยเกิดเฮอร์ริเคนที่มีกำลังแรงระดับ 5 สองลูกซ้อนในฤดูเดียวกันและในที่เดียวกันอีกด้วย "มันเป็นเรื่องที่พิเศษมากที่มีเฮอร์ริเคนสองลูกที่มีความแรงระดับ 5 มาด้วยกันและจากที่เดียวกัน แต่น้ำทะเลทางตะวันตกของฟลอริดาร้อนจริงๆ และร้อนในระดับลึกด้วย เราวัดได้ 79 องศาฟาห์เรนไฮต์ที่ความลึก 150 เมตร"



ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ความเชื่อมโยงระหว่างการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือกับการเกิดพายุเฮอร์ริเคน สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รู้ในขณะนี้ก็คือโอกาสที่จะเกิดพายุเฮอร์ริเคนที่มีความรุนแรงและมีจำนวนมากขึ้นในอนาคตมีสูงมาก

ดร.เคอรี เอ็มมานูเอล นักฟิสิกส์ของเอ็มไอที เผยผลการวิจัยในวารสารเนเจอร์ฉบับเดือนสิงหาคม 2005 ว่า ความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนเพิ่มขึ้นในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ความเสียหายที่เกิดจากอำนาจการทำลายล้างของพายุเฮอร์ริเคนทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกมีมากกว่าเกือบเท่าตัวกับที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1970 และพายุเฮอร์ริเคนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกก็มีกำลังเพิ่มขึ้นด้วย


และล่าสุด ผลงานวิจัยของศาสตราจารย์ ปิเตอร์ เว็บสเตอร์ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร เจอร์นอล ไซนซ์ ฉบับเดือนกันยายน 2005 ระบุว่า จำนวนพายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรซึ่งมีความรุนแรงระดับ 4-5 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในระหว่างปี 1990-2005

สถิตินี้บอกแนวโน้มว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

 

 





สิ้น ก.ย นี้อาจไม่เหลือน้ำแข็งขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรก


"เราอาจไม่เหลือน้ำแข็งบนขั้วโลกเหนือเ มื่อสิ้นสุดฤดูร้อนนี้ (ประมาณปลาย ก.ย.) และเหตุผลก็เป็นเพราะ บริเวณขั้วโลกเหนือในขณะนี้ ปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งที่บางมากๆ

และน้ำแข็งที่เราเรียกว่าเป็น "น้ำแข็งแรกของปี" ก็มีแนวโน้มว่าจะละลายหมดไปในฤดูร้อนนี้" เอเอฟพี รายงานคำให้สัมภาษณ์ของมาร์ก เซอร์เรซ (Mark Serreze) นักวิจัยอาวุโสของศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งสหรัฐอเมริกา (National Snow and Ice Data Center) ในเมืองโบลเดอร์ มลรัฐโคโรราโด สหรัฐฯ

ขณะที่เอพีรายงานด้วยว่า เพราะความบางของแผ่นน้ำแข็ง จะทำให้ละลายหมดไปในฤดูร้อน ทั้งนี้จะมีการประเมินเงื่อนไขทางสภาพอากาศ และมหาสมุทรในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ว่าจะทำให้น้ำแข็งในทะเลละลายไปเท่าใด

เบื้องต้นเซอร์เรซระบุว่า สัญญาณที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก โอกาสที่น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกจะละลายหมดไปเลยนั้น มีสูงมากกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่นั้นบางกว่าในอดีตที่เคยเป็น

เจย์ ซวอลลี (Jay Zwally) นักวิทยาศาสตร์น้ำแข็งแห่งองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) กล่าวว่า ข้อมูลจากดาวเทียมของนาซาเมื่อต้น ก.พ.และ มี.ค.นี้แสดงให้เห็นว่า วัฏจักรรอบๆ ขั้วโลกเหนือ "บางอย่างเห็นได้ชัด" กว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยเห็นมาในช่วง 5 ปีนี้ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นไปได้ 50-50 ที่ขั้วโลกเหนือจะไม่มีน้ำแข็งเลย

เช่นเดียวกับเซอร์เรซ ที่ให้ความเห็นกับเอเอฟพีว่ามีโอกาส 50% ที่จะไม่เหลือน้ำแข็งอยู่เลย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงในเดือน ก.ย. เรือเดินสมุทรอาจล่องจากอะลาสกา ไปยังขั้วโลกเหนือได้โดยตรง และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้หนึ่งว่าสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ดี แม้ไม่เหลือน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ก็ยังเหลือน้ำแข็งบริเวณอื่นๆ ของมหาสมุทรอาร์กติก และเซอร์เรซได้ชี้ว่า น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือนั้นเป็นสัญลักษณ์ทางใจของคนทั่วไป ที่เชื่อว่าขั้วโลกเหนือคือบ้านของซานตาครอส

เซอร์เรซย้อนว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา การคาดการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น จนกว่าจะถึงปี 2593-2643 และโดยส่วนตัวแล้วเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่คิดว่าสถานการณ์ที่น้ำแข็งจะละลายหมดไปนั้น กำลังใกล้เข้ามาในเร็วๆ นี้ และเมื่อหน้าร้อนปีก่อน ภาพถ่ายดาวเทียม เผยให้เห็นว่าน้ำแข็งในทะเล ลดลงเหลือน้อยที่สุดที่เคยบันทึกมาและเป็นไปได้ว่าอาจเหลือน้อยที่สุดในรอบศตวรรษก็ได้ โดยน้ำแข็งหดตัวลง 23% จากปี 2548

ทั้งนี้ น้ำแข็งอาร์กติกจะเริ่มละลายช่วงกลางเดือน มิ.ย.และเข้าสู่ช่วงบางที่สุดประมาณกลางเดือน ก.ย. ก่อนที่น้ำแข็งจะเริ่มก่อตัวอีกครั้ง และถึงจุดหนาที่สุดช่วงกลางเดือน มี.ค.

ทางด้านเซอร์เรซระบุว่าถ้าลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดอัตราเร่งของภาวะโลกร้อนก็จะช่วยชะลอการละลายของน้ำแข็งได้ แต่หากกลับแนวโน้มให้น้ำแข็งหนาตัวขึ้นจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน.

ที่มา :ผู้จัดการ



นักวิทยาศาสตร์เตือนระดับน้ำทะเลจะสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตรภายในปี 2643


นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นมากกว่าที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) คาดการณ์ไว้เนื่องจากตัวเลขของยูเอ็นไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยเรื่องแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม

นักวิทยาศาสตร์เตือนในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์กว่า รายงานการประเมินฉบับที่ 4 ปี 2550 ของคณะทำงานระหว่างประเทศของยูเอ็นว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (ไอพีซีซี) คาดการณ์ว่า ระดับน้ำทะเลโลกจะสูงขึ้นสูงสุด 59 เซนติเมตร ขณะที่พวกเขาคาดว่าจะสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ภายในปี 2643 ผู้หลายล้านคนเสี่ยงตกอยู่ในอันตรายเพราะมีผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลราว 600 ล้านคน หรือร้อยละ 10 ของประชากรโลก

ศ.คอนราด สเตฟเฟน มหาวิทยาลัยโคโลราโดในสหรัฐฯ ผู้ศึกษาเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกเหนือมานานกว่า 35 ปี เผยว่า น้ำแข็งที่กรีนแลนด์ละลายเร็วขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ต้องเร่งรับมือโดยทันที

ที่มา - http:// breakingnews.quickze.com/


webmaster - 8/2/10 at 07:59

หนีภัยสึนามิคราวหน้าต้องมองหา "อพยพแนวดิ่ง"




ทีมผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ของสหรัฐฯ กล่าวว่า การอพยพหนีภัยในบริเวณประสบภัยโดยตรงครั้งที่แล้วมา เป็นไปอย่างอลหม่าน เนื่องจากการหนีภัยคราวเดียวกันของคนจำนวนมาก มุ่งไปหาที่ดอน เช่น เนินและภูเขาเตี้ยๆ เป็นเหตุให้การจราจรติดขัด หากว่าพวกเขาเปลี่ยนมาอพยพทางแนวใหม่โดยวิ่งไปขึ้นตึกที่มีความสูง ซึ่งอาจมีอยู่ใกล้เคียง อาจจะช่วยให้รอดชีวิตได้มากขึ้น

คณะผู้เชี่ยวชาญได้เดินทางไปศึกษาที่เมืองปาดัง เมืองใหญ่ของอินโดนีเซีย ประชากร 6 แสนคน อยู่บนพื้นที่ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง 5 เมตร พวกเขามีเวลาหนีภัยเอาชีวิตรอด ในเหตุการณ์คราวนั้นเพียง 20 นาทีเท่านั้น จุดประสงค์อันหนึ่งเพื่อมาสำรวจและศึกษาดูว่า จะสามารถสร้างหรือซ่อมแซมตึก ให้มีความแข็งแรงสามารถทนคลื่นสูงขนาด 15-25 ฟุต ซึ่งอาจจะใช้เป็นที่อพยพหลบภัยคราวหน้าได้

ศาสตราจารย์เกรก ไดเออลีนหัวหน้าคณะศึกษา กล่าวว่า "ในยามเกิดสึนามิ มีคนตกอยู่ในอันตรายอันอาจถึงแก่ชีวิตเป็นแสน เนื่องจากไม่อาจหนีได้ทัน อินโดนีเซียเป็นชาติที่ล่อแหลมกับภัยสึนามิขนาดใหญ่ ลำพังการอพยพหนีตามแนวราบทางเดียวยังไม่พอ แม้จะใช้รถยนต์ก็ตาม".

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ


webmaster - 6/3/10 at 06:13


webmaster - 13/6/10 at 15:08

ประมวลเหตุการณ์ก่อนแผ่นดินไหวจริง วันที่ 12 มิถุนายน 2553


....เนื่องจากก่อนหน้านี้ ตามข่าวจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในเว็บไซด์ต่างๆ ก่อนที่จะถึงวันที่ 12 มิ.ย. 53 ได้มีนักวิชาการทางด้านต่างๆ ได้ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ภัยธรรมชาติ ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะคุณสมิทธ ธรรมสโรช ได้ยืนยันว่าจะเกิดขึ้นจริงว่า แผ่นดินไหว ภัยพิบัติช่วงบอลโลก !!!

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป วันที่ 13 มิ.ย. นี้ ทางรายการ "เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์" โดยคุณสรยุทธิ์ได้สรุปเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากมีแผ่นดินไหวที่อินเดีย - ญี่ปุ่น ช่วงประมาณตีสอง ซึ่งคุณสมิทธบอกว่าประมาณเที่ยงคืน ห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ถือว่าใกล้เคียงมาก ซึ่งมีรายละเอียดของข้อมูล ที่ทางทีมงานเว็บตามรอยฯ ได้นำมาให้อ่านกัน ส่วนจะมีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน คงต้องใช้วิจารณญาณกันเองด้วย ขอเริ่มข่าวก่อนวันที่ 12 มิ.ย. ก่อน..


สมิทธเตือนหลัง 12 มิย. อาจมีภัยพิบัติ (ไอเอ็นเอ็น)


"ดร.สมิทธ ธรรมสโรช" เตือนช่วงเสี่ยงเกิดภัยธรรมชาติ จากดาวในระบบสุริยะเรียงตัว ยังมีอีกหลัง 12 มิ.ย. แต่อาจไม่เกิดในประเทศไทย ขณะที่ตัดพ้อพูดมากคนตำหนิ

ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงข่าวภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นช่วง วันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเรียงตัวของดาวในระบบสุริยะ และ องค์ประกอบอื่นบนโลกที่สอดคล้องกันว่า ตนเองไม่ต้องการกล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก เนื่องจากที่ผ่านมานั้น ถูกตำหนิมามาก

แต่เมื่อตนเองรู้แล้วไม่บอกกล่าวก็รู้สึกผิด ซึ่งครั้งนี้คงทำได้แค่เตือนเท่านั้นว่า มีโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติได้ แต่อาจไม่ใช่ที่ประเทศไทย เนื่องจากองค์ประกอบของพื้นผิวโลกที่เปราะบางมีหลายพื้นที่ แต่อยากฝากไว้ว่า ช่วงเวลาเฝ้าระวังไม่ใช่มีเพียงแค่วันที่ 12 มิ.ย.เท่านั้น ซึ่งยังรวมถึงเดือนหน้าด้วย ที่อาจจะเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม ดร.สมิทธ กล่าว ฝากเตือนถึงการให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ต่างๆ ซึ่งประเทศไทย ยังขาดการค้นคว้าและศึกษาเพิ่มเติม ในเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดกับโลกของเรา ที่เกิดจากองค์ประกอบทางธรรมชาติต่างๆ ส่วนในต่างประเทศนั้น มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ขณะที่เรื่องการติดตั้งเครื่องเตือนภัยต่างๆ นั้น ดร.สมิทธ กล่าวว่า ไม่อยากเอ่ยถึง เนื่องจากถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ แต่อยากเตือนรัฐบาลให้ติดตามความคืบหน้า เรื่องการติดตั้งระบบเตือนภัยต่างๆ ด้วย หลังจากที่มีการทำเรื่องจัดซื้อจัดหาไปแล้ว เนื่องจากไม่อยากให้เสียเปล่าไป

นอกจากนี้ยังมีอีเมล์ที่ส่งต่อกันอีก ดังนี้

"สมิทธ" ฟันธง "ส.ค. - ต.ค." พายุใหญ่ถล่มประเทศไทย ทำให้ กทม.จมบาดาล ระบบประปาพินาศ คนเมืองหลวงไม่มีน้ำใช้ จี้หน่วยงานรัฐเร่งหามาตรการรับมือโดยด่วน ขณะที่อดีตนายกสภาวิศวกรรมสถานฯ หวั่น "วัดพระแก้ว" เสียหายหากเกิดน้ำท่วมพระบรมมหาราชวัง


การออกมาแจ้งเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ในการเสวนาเรื่อง "แผนรับมือวิบัติภัยในมหานครกรุงเทพ" ซึ่งจัดโดยสถาบันพัฒนาเมือง กรุงเทพมหานคร การเสวนาครั้งนี้มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศ.ดร.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมเสวนา

ดร.สมิทธ กล่าวว่า จากการศึกษาและติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติมาโดยตลอด พบว่าภัยพิบัติที่จะกระทบ กทม.และปริมณฑล มีอยู่ 2 ประเภท คือ ภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหว และภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง ซึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อน โดยภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหวเป็นภัยที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อมนุษย์จำนวนมาก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังอยู่ 13 รอย และจากการศึกษาพบว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ รอยเลื่อนทั้งหมดเกิดรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ซึ่งการเกิดรอยร้าวดังกล่าวทำให้อาคารที่โครงสร้างไม่แข็งแรงใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ มีโอกาสถล่มลงมาได้

ดร.สมิทธกล่าวต่อว่า ในพื้นที่ กทม. อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากรอยเลื่อน 2 รอย คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี หากเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นมาอีก เชื่อว่าจะส่งผลให้เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์แตก และทำให้น้ำปริมาณกว่า 17 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักเข้าสู่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ กทม.

"กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลน เมื่อได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแล้ว ระยะสั่นสะเทือนจะขยายตัว 2-3 ริกเตอร์ ทำให้อาคารที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น อาจแตกร้าวและพังทลายลงมา ส่วนอาคารสูงไม่น่าเป็นห่วง เพราะวิศวกรได้ออกแบบอาคารไว้รองรับอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงอาจทำให้เกิดความเสียหายมาก" ดร.สมิทธกล่าว

ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวว่า ภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง เนื่องจากสภาวะโลกร้อนขึ้นนั้น จากสถิติไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าพายุที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียจะมีแรงลมสูงมากถึงขนาดเป็นไซโคลน แต่ตอนนี้เกิดขึ้นแล้วคือพายุไซโคลนนาร์กีส ซึ่งมีความเร็วลมสูงถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อขึ้นฝั่งในลุ่มน้ำอิระวดีในพม่า แรงลมสูงสุดถึง 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความรุนแรงถึงระดับ 4

"ผมขอทำนายว่าในเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคมนี้ จะมีพายุขนาดใหญ่พัดถล่มประเทศไทย ทางด้านอ่าวไทย ไล่ตั้งแต่ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.เพชรบุรี เข้ามา ซึ่งอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์สตรอม เสิร์ช (Strom Search) หรือน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะทำให้น้ำทะเลไหลเข้ามาถึงบริเวณปากอ่าวเจ้าพระยา และเข้าท่วมพื้นที่ กทม. โดยกว่าจะไหลย้อนกลับสู่ทะเลต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 สัปดาห์ และหากท่วมเหนือคลองประปา จะทำให้ประชาชนไม่มีน้ำในการอุปโภคบริโภค" ดร.สมิทธกล่าว

ด้านนายต่อตระกูลกล่าวว่า มีความเป็นห่วงว่าหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นจริงจะทำให้อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญหลายแห่งเสียหายโดยเฉพาะวัดพระแก้ว ซึ่งก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ได้มีการฝังเสาลงดิน หากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่พระบรมมหาราชวังก็จะทำให้เสื่อมความแข็งแรงลงอย่างรวดเร็ว

หลังการเสวนา "คม ชัด ลึก" ได้สอบถามไปยัง ดร.วัฒนา กันบัว ผู้อำนวยการฝ่ายอุตุนิยมวิทยาทะเล กรมอุตุนิยมวิทยา เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดพายุใหญ่พัดถล่มประเทศไทยตามที่ ดร.สมิทธกล่าวในการเสวนา ดร.วัฒนาระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม อาจจะเกิดพายุใหญ่ถล่มประเทศไทย เพราะช่วงดังกล่าวเป็นช่วงฤดูฝน อยู่ระหว่างช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าประเทศไทย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าช่วงดังกล่าวมีพายุพัดถล่มประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น พายุไต้ฝุ่นเกย์ พายุไต้ฝุ่นลินดา ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนก็เกิดขึ้นในช่วงนี้

ดร.วัฒนา กล่าวต่อว่า สภาวะโลกร้อนอาจส่งผลให้ความรุนแรงของพายุเพิ่มมากขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า หากพายุพัดเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นเมืองก็อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะหากพายุเคลื่อนเข้าประเทศไทยทางฝั่งภาคตะวันออกจะทำให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ กทม.โดยตรง ซึ่งมีความเป็นห่วงว่า หากมีพายุพัดเข้าบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่ กทม. เนื่องจากขณะนี้แม้จะมีการสร้างเขื่อนกั้นริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาในหลายจุด แต่การสร้างเขื่อนที่ผ่านมาทำเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำเหนือไหลหลาก ไม่ได้มีไว้รองรับพายุที่พัดเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้บริเวณปากแม่น้ำยังไม่มีการก่อสร้างเขื่อน หากเกิดพายุพัดกระหน่ำจริง เขื่อนที่มีอยู่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมได้

ดร.วัฒนา กล่าวด้วยว่า มีความเป็นห่วงว่าหากช่วงเวลาที่เกิดพายุตรงกับช่วงที่ระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวอาจทำให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดกระหน่ำบริเวณชายฝั่ง หากอาคารบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งไม่แข็งแรงก็จะสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยามีการติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมความพร้อมไว้ด้วย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอพยพผู้ประสบภัย เพราะขณะเกิดเหตุภัยพิบัติหากมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัยได้รวดเร็ว ความเสียหายต่อชีวิตของประชาชนก็จะลดน้อยลง




วันที่ 12 มิ.ย. อ.จุฬาฯ ยันดาวเคราะห์เรียงตัวไม่ส่งผลต่อโลก


.........รายงานข่าว 10-06-2553 | อาจารย์สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาย้ำว่า ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ จะเกิดการเรียงตัวของ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และโลกจะอยู่ในแนวตั้งฉาก ซึ่งปรากฎการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่ส่งผลทำให้เกิดแผ่นดินไหวจากแรงดึงดูดของดาวดวงอื่น เพราะดาวแต่ละดวงมีแรงดึงดูดเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์ของแรงโน้มถ่วงโลก ซึ่งถือว่าน้อยมาก

ส่วนข่าวลือว่าในวันที่ 12 นี้ จะเกิดแผ่นดินไหวจากดาวเคราะห์เรียงตัวเป็นข้อมูลที่ไม่มีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งตามข้อมูลทางดาราศาสตร์แล้ว ปรากฎการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัวเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ สำหรับปีนี้จะเกิดในวันที่ 12 มิถุนายน, 8 กรกฎาคม, 21 กันยายน และ 7 ตุลาคม จึงย้ำว่าจะไม่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ตามทีประชาชนบางจังหวัดตื่นตระหนก

ที่มา - ch7.com
ข้อมูลเพิ่มเติม - จับตาการเรียงตัวของดาวเคราะห์ช่วงวันที่ 12 มิถุนายน คศ 2010
อ่านรายละเอียดได้ที่นี่



"เรื่องเด่นเย็นนี้" วันที่ 11 มิถุนายน 2553

สรยุทธสัมภาษณ์ ดร.สมิทธิ์ ธรรมสโรจน์

"นับถอยหลัง 12 มิ.ย.2010" อุบัติภัยโลก เกิด-ไม่เกิด?




ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ออกแจ้งเตือนภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี 2553 ผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ เรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง 3 วันที่ 11 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 17.45 น. ให้ข้อมูลว่าในวันที่ 12 มิถุนายน นี้ จะมีปรากฏการณ์ สุริยุปราคา คือมี ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เรียงตัวในแนวเดียวกัน และยังต้องอาศัย การคำนวณอีกว่า จะมีดาวดวงอื่นเรียงตัวในแนวเดียวกันหรือไม่ โดยอาจทำให้เกิดพลังงานมหาศาลส่งมายังโลกได้ และข้อมูลจาก ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไทยใน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซ่า (NASA) ได้คำนวณออกมาว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ตามตารางในภาพต่อไปนี้


โดยส่วนตัวแล้ว ความคิดเห็นของผม ณ ตอนนี้ การเตือนเป็นการเตือนให้เข้าใจ ไม่ใช่เตือนเพื่อให้กลัว ไม่ใช่เตือนให้ตื่นกลัวหรือตื่นตระหนก เตือนแล้วไม่จำเป็นว่า จะต้องเกิดขึ้นจริงๆ ทฤษฎีวันสิ้นโลก หรือภัยพิบัติ ไม่มีทฤษฎีไหน จะเกิดขึ้นจริง 100% อย่างแน่นอน แต่ลึกๆ นะ ผมคิดว่าผมเชื่อ แล้วถ้าฟังไม่ผิด คือไม่ได้ระบุ ว่าประเทศไหน แค่ระบุเวลาที่ตรงกับประเทศไทยเท่านั้น ขอภาวนาไม่ให้เป็นประเทศไทย หรือเป็นบริเวณที่มี มนุษย์อาศัยอยู่ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด..!!!

ข้อมูลและภาพ : horoworld.com

สถิติ "แผ่นดินไหว" ปี 2009 - 2010

2009-07-17 - แผ่นดินไหวปานกลางเขย่าไต้หวันและวานูอาตู
2009-08-03 - เกิดแผ่นดินไหว5.1ริกเตอร์ที่เกาะกวม
2009-09-03 - แผ่นดินไหวอินโดนีเซียตายเพิ่มเป็น 57 คน
2009-10-01 - แผ่นดินไหวตอนใต้ของเกาะสุมาตร6.8 ริกเตอร์
2009-10-08 - เกิดแผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์นอกชายฝั่งวานูอาตู
2009-10-12 - แผ่นดินไหว 6.3 ริกเตอร์ หมู่เกาะ Maurtius
2009-10-23 - แผ่นดินไหว 6.2 ริกเตอร์แถบตะวันออกอัฟกันและปากีสถาน
2009-10-25 - เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงนอกชายฝั่งของอินโดนีเซีย
2009-10-30 - แผ่นดินไหวรุนแรง 6.9 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งญี่ปุ่น
2009-11-27 - แผ่นดินไหว 5.9 ริกเตอร์ที่เอลซัลวาดอร์
2009-11-29 - เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกาะมินดาเนา ไม่มีรายงานความเสียหาย
2009-12-16 - แผ่นดินไหว 4.2 ริกเตอร์ทางภาคกลางอิตาลี
2010-01-15 - ญี่ปุ่นเตรียมจัดงานรำลึก15ปี"แผ่นดินไหวโกเบ"
2010-01-17 - แผ่นดินไหวชายฝั่งปาปัวนิวกินี
2010-01-18 - แผ่นดินไหวที่ปาปัวนิวกินี ไม่มีสัญญาณเกิดสึนามิ
2010-01-18 - แผ่นดินไหว 5.2 ริกเตอร์ที่ทะเลบันดา อินโดนีเซีย
2010-01-21 - แผ่นดินไหว5.2ริกเตอร์หมู่เกาะฟิลิปปินส์ไร้เสียหาย
2010-01-30 - เกิดแผ่นดินไหวปานกลางที่ภาคเหนือของชิลี
2010-02-01 - แผ่นดินไหว 4.7 ริกเตอร์กลางกรุงตุรกี
2010-02-05 - แผ่นดินไหว 6.0 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย
2010-02-16 - แผ่นดินไหว6.2ริกเตอร์นอกฝั่งอินโดนีเซีย
2010-02-18 - เกิดแผ่นดินไหว 6.7 ริกเตอร์เขย่าเกาหลีเหนือ
2010-02-27 - แผ่นดินไหวรุนแรงในแปซิฟิก ญี่ปุ่นเตือนภัยสึนามิ
2010-02-27 - สึนามิพัดถล่มตอนใต้ของชิลียอดตายพุ่ง 78 คน
2010-02-28 - ดินไหวชิลีตายแล้ว 214 สึนามิถึงฮาวาย
2010-04-05 - แผ่นดินไหว 3.0 ริกเตอร์ ที่เชียงราย
2010-04-05 - แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในเม็กซิโก
2010-04-07 - แผ่นดินไหวระดับ 7.8 เขย่า เกาะสุมาตรา
2010-04-19 - แผ่นดินไหวอัฟกานิสถาน5.3ริกเตอร์
2010-04-19 - แผ่นดินไหวอัฟกานิสถาน5.3ริกเตอร์
2010-04-20 - แผ่นดินไหวรุนแรงสุดรอบ50ในออสเตรเลีย
2010-05-04 - แผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ที่ชิลี
2010-05-09 - แผ่นดินไหวอินโดฯ7.4ริกเตอร์เตือนสึนามิ
2010-05-09 - เตือน 6 จว.เตรียมพร้อมรับมือสึนามิ
2010-05-23 - เกิดแผ่นดินไหวสะเทือนบริเวณชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐ
2010-05-29 - แผ่นดินไหวมณฑลชิงไห่ 5.4 ริกเตอร์

2010-06-13 - (คืนวันที่ 12) แผ่นดินไหวที่มหาสมุทรอินเดียและญี่ปุ่น 7.5 ริกเตอร์
2010-06-15 - ปาปัวนิวกินนี เสียชีวิตประมาณ 17 คน 7.0 ริกเตอร์
2010-07-18 - ครั้งแรก รัฐ นิวบริเธน ปาปัวนิวกินี (อินโดนิเซีย) 6.9 (หรือ 7.0) ริกเตอร์
2010-07-18 - ครั้งที่สอง ตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน สถานที่ใกล้เคียงกัน 7.3 ริกเตอร์
2010-07-23 - ครั้งแรก 7.3 ริกเตอร์
2010-07-23 - ครั้งที่ 2 7.4 ริกเตอร์
2010-07-23 - ครั้งที่ 3 7.4 ริกเตอร์ มินดาเนา ฟิลิปปินส์ หมดทั้ง 3 ครั้ง สถานที่ใกล้เคียงกัน
*** ของวันที่ 23 นี้ ลึกกว่า 500 กิโลเมตร ไม่มีผลกระทบรุนแรง ***
2010-08-01 - รัฐนิวบริเธน ปาปัวนิวกินี (อินโดนิเซีย) 7.0 ริกเตอร์
2010-08-10 - หมู่เกาะ วานูอาตู 7.3 ริกเตอร์
2010-08-12 - เอกวาดอร์ 7.1 ริกเตอร์
2010-08-13 - หมู่เกาะมาเรียน่าตอนกลาง 6.9 ริกเตอร์ ( บางสำนักให้ 7.2 ริกฯ )
2010-09-04 - 7.1 ริกเตอร์ นิวซีแลนด์
2010-09-29 - 7.2 ริกเตอร์ ปาปัวนิวกินี ( อินโดนิเซีย )
2010-10-25 - สุมาตรา หมู่เกาะเมนตาไว เกิดสึนามิ สูงราว 2-3 เมตร พัดถล่ม เสียชีวิตราว 400-500 คน 7.7 ริกเตอร์
2010-11-30 - หมู่เกาะโบนิน ญี่ปุ่น ( ตอนเหนือมาเรียน่า ) 6.8 ริกเตอร์ (บางสำนัก 7.0 ริกฯ)
2010-12-21 - หมู่เกาะโบนินอีกครั้งหนึ่ง 7.4 ริกเตอร์
2010-12-25 - วานูอาตู 7.3-7.5 ริกเตอร์(มีค่าความคลาดเคลื่อน)

2011-01-01- อาร์เจนตินา 7.0 ริกเตอร์
2011-01-02- ชิลึ 7.1 ริกเตอร์
2011-01-19 ปากีสถาน 7.2 ริกเตอร์
2011-02-21 นิวซีแลนด์ 6.3 ริกเตอร์
2011-03-11 ญี่ปุ่น 9.0 ริกเตอร์




12 มิถุนายน ลือเกิดภัยพิบัติ นักวิทย์ยันไม่จริง

เรียบเรียงข้อมูลโดย "กระปุกดอทคอม"


นักวิทย์ชี้ ข่าวลือ 8 มิถุนายน 2553 ดาวเคราะห์เรียงตัวแนวเดียวกัน-แกนโลกเอียง-ขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยนทิศ ส่งผล 12 มิถุนายน เกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกเหมือนในหนัง 2012 ไม่เกิดขึ้นจริง ยันไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีข่าวลือภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในวันที่ 8-12 มิถุนายน 2553 เนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลเรียงตัวเป็นแนวเดียวกันในวันที่ 8 มิถุนายน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาจากดวงอาทิตย์ ประกอบกับแกนโลกเอียงตัว อันจะส่งผลต่อโลกในวันที่ 12 มิถุนายน ทำให้เกิดแผ่นดินไหว และเกิดการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กของโลก

ทั้งนี้ อาจารย์สธน ระบุว่า ปรากฎการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลกในวันที่ 12 มิถุนายน คงไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และเรื่องการสลับขั้วแม่เหล็กของโลกนั้น ไม่ใช่เป็นการพลิกกลับของโลก หรือเปลี่ยนขั้วโลก แต่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต แต่ละครั้งใช้เวลาเป็นพันถึงแสนปี จะมีผลแค่เพียงสนามแม่เหล็กของโลกจะอ่อนลงบ้างเท่านั้น ส่วนเรื่องการเรียงตัวของดาวเคราะห์ ยืนยันว่าไม่มีอิทธิพลต่อแรงดึงดูดมากไปกว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง

ขณะที่ นายบัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลภัยพิบัติโลกในเดือนมิถุนายน 2553 น่าจะมีเจตนาดีในการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัว เตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ แต่ในการให้ข้อมูลอะไรก็ตาม ควรมีเอกสารวิชาการที่อ้างอิงได้ เพราะนั่นอาจทำให้ผู้คนตื่นกลัวได้

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ มีการพูดถึงจุดจบของโลกคล้ายกับปรากฎการณ์ดังกล่าว จากคำบอกเล่าของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ที่ระบุว่า จุดจบของโลกใกล้เข้ามาทุกที หลังองค์การนาซ่าค้นพบระบบสุริยะจักรวาลอื่นที่เหมือนกับระบบสุริยะของโลกเราอีกกว่า 20 ระบบ อยู่ใกล้เคียงกัน และพบจุดดำ หรือแบล็กโฮลในดวงอาทิตย์

ซึ่งหากมีการส่งรังสีออกมาจากแบล็กโฮลของดวงอาทิตย์ทั้ง 20 ดวงพร้อมกัน ในเวลาใกล้เคียงกันก็จะส่งผลกระทบต่อโลก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง โดยความร้อนจากของเหลวภายในโลกจะดันเปลือกโลกขึ้นมา เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 สอดคล้องกับความเชื่อของชนเผ่ามายัน

"ผิวของดวงอาทิตย์ถ้ามีการระเบิดออกมา เรียกว่า ลมสุริยะ รังสีนี้จะมากระทบกับผิวโลก บางครั้งจะทำให้ระบบการเสื่อสารหายไปเลย แต่ถ้ารุนแรงกว่านั้น มันจะทำให้ผิวโลกเคลื่อนตัว นี่เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แล้วคือไม่ได้มีระบบสุริยะอันเดียว มันมีหลายอัน ถ้าถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ก็จะส่งผลต่อโลกเราอย่างรุนแรงมาก จะทำให้โลกวินาศ เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง" ดร.สมิทธ กล่าว

ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติฯ กล่าวต่อว่า ได้ข้อมูลจุดจบของโลกมาจาก ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์ชาวไทยที่ได้รับเลือกให้ไปร่วมงานกับองค์การนาซ่านานกว่า 6 ปี แม้ว่าข้อมูลนี้จะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์แล้ว พบว่ามีความเป็นไปได้ แต่จุดจบของโลกอาจไม่ใช่ปี 2012 อาจจะช้ากว่านั้นสัก 2-3 ปี

"ทุกคนคงไม่ตายหมด แต่ก็คงไม่รอดหมด กลุ่มคนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ คงรอด แต่ประเทศไทยบริเวณเส้นศูนย์สูตรคงไปหมด ถ้าเปลือกโลกขยับปรับตัวใหม่ หาจุดสมดุลใหม่ ขั้วโลกก็จะปลี่ยนไป อย่างเช่น กรณีเจอช้างแมมมอธที่ขั้วโลก ก็เกิดจากระบบขั้วโลกเปลี่ยนกะทันหัน

จะเห็นได้ว่าช้างที่ขุดขึ้นมาได้ ยังเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก หญ้าก็ยังเป็นหญ้าสด แสดงว่ามันตายโดยไม่รู้ตัว ถูกแช่แข็งอย่างกระทันหัน และจากการพิสูจน์พบว่าตายมาแล้วกว่า 40,000 ปี อีกทั้งการที่ตรงนั้นมีหญ้า ก็แสดงว่าพื้นที่นั้นอาจไม่ใช่ขั้วโลกมาก่อน อาจจะเป็นเส้นศูนย์สูตรมาก่อนก็ได้"

ทั้งนี้ ดร.สมิทธ กล่าวว่า คงต้องคอยสังเกตกันต่อไปว่า หลังจากนี้มีเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งหรือไม่ ถ้าเกิดรุนแรง หรือเกิดบ่อยครั้งทั่วโลก นั่นหมายความว่าทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าทฤษฎีนี้ไม่ถูกต้อง

ถึงแม้ทฤษฎีของ ดร.สมิทธ จะไม่ใช่การกล่าวเตือนภัยพิบัติในเดือน มิ.ย. แต่ประเด็นจุดจบของโลกที่ใกล้จะมาถึงนั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานข้อมูลยืนยันแน่ชัดเช่นกัน อย่างไรเสีย คงต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลกใบนี้กันต่อไป

เรียบเรียงข้อมูลโดย "กระปุกดอทคอม"



รายงานข่าว วันที่ 13 มิถุนายน 2553

แผ่นดินไหวรุนแรงที่อินเดีย, ญี่ปุ่น


13/6/2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริคเตอร์นอกชายฝั่งนิโคบาร์ ในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อเช้าวันนี้ เบื้องต้นมีคำประกาศเตือนสึนามิ แต่ต่อมาได้ยกเลิกแล้ว

สำนักงานธรณีวิทยาสหรัฐฯเปิดเผยว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากชายฝั่งนิโคบาร์ไปทางตะวันตก 150 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย 440 กิโลเมตร และอยู่ลึกลงไปในทะเล 35 กิโลเมตร

ในเบื้องต้นสำนักเฝ้าระวังสึนามิท้องถิ่นได้รับคำเตือนจากศูนย์เตือนภัยสึนามิในแปซิฟิคว่าอาจเกิดสึนามิในภูมิภาค แต่ต่อมาได้ยกเลิกหลังจากการสังเกตระดับน้ำในทะเลไม่พบว่าจะทำให้เกิดสึนามิแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวทำให้ประชาชนแตกตื่นพอสมควร และรู้สึกได้ภายในรัศมีกว่า 1,000 กิโลเมตร ซึ่งแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวเกิดขึ้นประมาร 4 วินาที ขณะที่เจ้าหน้าที่อินเดียเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวไม่ทำให้เกิดความเสียหาย หรือทำให้ใครได้รับบาดเจ็บ

สำหรับหมู่เกาะนิโคบาร์ เคยได้รับผลกระทบและความเสียหายอย่างหนักมาแล้วจากเหตุสึนามิพัดถล่มหลายประทศในเอเชียเมื่อปี 2547 หลังเกิดแผ่นดินอินโดนีเซีย สึนามิที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2.2 แสนคน ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตอยู่ในอินโดนีเซีย ขณะที่ผู้เสียชีวิตอีกหลายพันคนอยู่ในศรีลังกา ไทย และอินเดีย

ขณะเดียวกันที่ญี่ปุ่น มีรายงานว่าเกิดแผ่นดินไหววัดความแรงของการสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริคเตอร์ทางภาคเหนือของประเทศเมื่อเวลา 12.33 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 10.33 น.ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งความแรงสามารถรับรู้ได้ถึงกรุงโตเกียว โดยจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลลึกลงไปราว 40 กิโลเมตร นอกชายฝั่งด้านตะวันออกของจังหวัด ฟูกุชิมะ บนเกาะฮอนชู ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 240 กิโลเมตร

ไม่มีการเตือนภัยสึนามิและยังไม่มีรายงานความเสียหายโดยเฉพาะกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังคงเปิดดำเนินการได้ตามปกติ ขณะที่สนามบินเซนไดในจังหวัดมิยากิ ที่อยู่ใกล้เคียงปิดให้บริการชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อตรวจสอบพื้นรันเวย์ก่อนจะเปิดบริการตามปกติ

แผ่นดินไหวนับเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้น โดยคิดเป็นร้อยละ 20 ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ที่มีความรุนแรงตั้งแต่ 6 ริคเตอร์ขึ้นไป




พังงา..ชาวบ้านน้ำเค็มตื่นแผ่นดินไหวที่นิโคบาร์


รายงานข่าว 13 มิ.ย. 53...หลังเกิดแผ่นดินไหว 7.5 ริคเตอร์ ตอนเหนือหมู่เกาะนิโคบาร์เช้ามืดวันนี้ ทำให้ชาวบ้านในหมู่ที่ 2 บ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ประมาณ 2,000 คน แตกตื่นพากันอพยพออกจากบ้าน

โดยชาวบ้านบางส่วนหนีขึ้นไปอยู่ในที่สูง บางส่วนออกมาอยู่ที่วัดน้ำเค็ม โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลบางม่วง และตามบ้านญาติซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านน้ำเค็มเพื่อมาอยู่ในที่ปลอดภัย

หลังจากชุด อปพร.ของบ้านน้ำเค็ม ใช้หวอมือหมุนแจ้งเตือนให้อพยพออกจากพื้นที่ ทำให้ทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวหนีออกจากบ้านกันอย่างชุลมุล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตะกั่วป่า เจ้าหน้าที่ อปพร.เฝ้าระวังริมทะเล

ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านเกิดความเชื่อมั่นกับข่าวที่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ได้ออกมาพูดถึงเรื่องการเกิดดาวเรียงตัว และจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตามคืนที่ผ่านมาชาวบ้านบางส่วนที่เกิดความวิตกกังวลไ ด้ย้ายออกจากบ้านไปนอนบ้านญาติแล้วก่อนหน้านี้

นายสมพร สิทธิประการ ชาวประมงบ้านน้ำเค็ม กล่าวว่า เมื่อช่วงเวลา 03.10 น.ที่เกิดแผ่นดินไหวได้มีเจ้าหน้าที่ อปพร.หมู่บ้านได้ใช้เครื่องสัญญาเตือนภัยมือหมุนแจ้งเตือนให้ชาวบ้านน้ำเค็มอพยพไปอยู่ที่สูง ทั้งที่วัดน้ำเค็ม องค์การบริหารส่วนตำบลบางม่วง หน้าตลาดบางม่วง ซึ่งเป็นที่ปลอดภัย และสำหรับคำทำนายของ ดร.สมิทธ ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ทำให้ชาวบ้านน้ำเค็มเกิดความเชื่อขึ้นจริงกับคำทำนายดังกล่าว

ที่มา - krobkruakao.com


webmaster - 14/6/10 at 08:41




☼ โปรดติดตามความเคลื่อนไหว "เหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่วโลกล่าสุด" จาก "สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา" ได้ตลอดเวลา มีการแสดงตำแหน่งทาง "แผ่นที่" และ "ดาวเทียม" จาก Google ด้วย คลิกที่นี่


webmaster - 16/6/10 at 15:10

อินโดฯ ดินไหวปานกลางพบเจ็บ 2 ราย -ไม่กระทบอันดามันไทย


กรมธรณีฟิลิกส์ของอินโดนีเซียเผย เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรงระดับ 7.1 นอกชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศวันนี้ (16 มิ.ย.53)

ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานพบเกิดแผ่นดินไหว บริเวณหมู่เกาะอิเรียนจายา ประเทศอินโดนีเซีย (Irian Jaya)วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.3 ริกเตอร์ ละติจูด : 2 01' 48'' ใต้ ลองจิจูด : 136 35' 24'' ตะวันออก ความลึกจากระดับผิวดิน : 10 กิโลเมตร ซึ่งแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว ส่งผลให้มาก ซึ่งทางการได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้เหตุดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย รวมทั้งชายฝั่งอันดามันด้วย จึงขอให้ประชาชนอย่าแตกตื่น และรับฟังข่าวสารจากทางกรมอุตุนิยมวิทยา

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาและธรณีวิทยาของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างน้อย 2 คน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 7.1 ริกเตอร์ที่จังหวัดปาปัว ประเทศอินโดนีเซียในวันนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลในเมืองบิอัคแล้วในขณะนี้ นอกจากนี้ สำนักงานอุตุนิยาวิทยาและธรณีวิทยายังประกาศยกเลิกการเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากออกแถลงการณ์เตือนภัยหลังเกิดแผ่นดินไหวได้ไม่นาน

รายงานระบุว่า หลังจากเกิดแผ่นดินไหวไม่นานนัก ก็ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา 2 ครั้ง ด้วยระดับความแรง 6.6 ริกเตอร์ และ 5.3 ริกเตอร์ ตามลำดับ จนเป็นเหตุให้อาคารหลายหลังในเมืองบิอัคทรุดตัว

ทั้งนี้ แผ่นดินไหว 7.1 ริกเตอร์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.16 น.ตามเวลาประเทศไทยในวันนี้ โดยมีศูนย์กลางห่างจากฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองบิอัคในจังหวัดปาปัวราว 123 กิโลเมตร ที่ระดับความลึก 10 กิโลเมตร

Content by VoicetV
16 มิถุนายน 2553 เวลา 11:21 น.


webmaster - 9/7/10 at 20:14

เปิดผลวิจัย กทม.และปริมณฑลเสี่ยงน้ำท่วม ทางทีวีสีช่อง 7


14-07-2553 | 19:40 l ข่าวจาก ch7.com

......โครงการวิจัยร่วม นำโดย นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ ประเทศเนเธอแลนด์ ที่ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมจีพีเอส ,ดาวเทียมวัดระดับน้ำทะเลในการใช้เทคโนโลยีอวกาศ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล , การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และ การทรุดตัวของแผ่นดิน พบว่าหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ที่เกาะสุมาตรา-อันดามัน เมื่อปี 2547 แผ่นเปลือกโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย ขยับตัวและลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ประมาณ 15 - 20 มิลลิเมตรต่อปี

นอกจากนี้ ยังพบระดับน้ำทะเลในอ่าวไทย เพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วงหากไม่มีมาตรการรองรับ พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจะเผชิญกับน้ำท่วมหนักหรือจมน้ำได้

อีกทั้ง พบการยืดตัวของแผ่นดินวัดจากจากเหนือสุดถึงใต้สุด 60 เซ็นติเมตร ซึ่งค่อนไปทางซ้ายเข้าใกล้บริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ปี 2547 จึงต้องติดตามรอยเลื่อนในไทย จะมีพลังขึ้นหรือไม่

ที่ตำบลห้วยยางขาม อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เกิดรอยแยกของแผ่นดินยาวกว่า 100 เมตร ภายในสวนลำไยของชาวบ้าน บางช่วงมีสภาพลึก และบางส่วนดินพังลงมาจากฝนตก ชาวบ้านที่เชื่อโชคลาง ทำพิธีเพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดตรวจสอบ


webmaster - 13/7/10 at 20:54

ผลการศึกษาชี้แผ่นดินทรุดอีก 100 ปี กทม. อาจจมทะเล

รายงานข่าวจากโทรทัศน์ช่อง "ทีวีไทย" (2010-07-13 20:05:20 น.)



ผลการศึกษาโครงการวิจัยร่วมไทย-ยุโรป พบว่ามี 3 ปัจจัยที่ส่งผลทำให้น้ำทะเลเอ่อท่วมเป็นบริเวณกว้างทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลในอีก 30 ปีข้างหน้า และอีก 100 ปี กรุงเทพฯ อาจจมทะเล..!


ผลการศึกษา โครงการวิจัยร่วม ไทย-ยุโรป เรื่องการเคลื่อนตัวของแผ่นดินและระดับน้ำทะเล ที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม พบว่าพื้นที่เขตบางขุนเทียนและจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก และจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพมหานคร ถูกระบุว่าจะเกิดการทรุดตัวของชั้นดินมากถึง 15 มิลลิเมตรต่อปี


นอกจากนี้ผลศึกษายังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยในอ่าวไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 2 เท่า โดยบริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันตก เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3 มิลลิเมตรต่อปี และตอนเหนือของอ่าวไทยใกล้กรุงเทพมหานคร มีน้ำสูงขึ้นเฉลี่ย 4 มิลลิเมตรต่อปี รวมถึงการลดระดับลงอย่างรวดเร็วของแผ่นเปลือกโลกในอัตรา 10 มิลลิเมตรต่อปี หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อเดือนธันวาคมปี 2547

ถ้ารวมผลการศึกษาทั้ง 3 ปัจจัย จะส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลและกรุงเทพมหานคร ทรุดตัวลงเฉลี่ยปีละ 3 เซนติเมตร โดยขณะนี้พื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร ดังนั้นภายในอีก 30 ปี ข้างหน้า กรุงเทพและปริมณฑลจะถูกน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง จากการสอบถามประชาชนพบว่า คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงในอีก 30 ปีข้างหน้า เพราะแผ่นดินเริ่มทรุดตัวลงทุกปี ขณะที่บางคนไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้


ด้านนายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยว่ากรุงเทพและปริมณฑลต้องรับมือกับปัญหาน้ำท่วมและการทรุดตัวของแผ่นดิน รวมทั้งการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเขตดอนเมืองเป็นพื้นที่ที่มีการทรุดตัวมากที่สุดประมาณ 4 เซนติเมตรต่อปี

ภายใน 30 ปีนี้ คนกรุงจะต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ขณะที่นักวิชาการเสนอแนวทางแก้ปัญหาว่าไม่ควรใช้วิธีตั้งรับที่ชายฝั่งและถอยร่นมาเรื่อยๆ แบบเดิม เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ควรสร้างความเข้าใจให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริง และให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยกันขับเคลื่อนและตัดสินใจว่าควรจะแก้ปัญหานี้อย่างไร..?


webmaster - 13/11/10 at 08:15

โหร คมช. ออกโรงเตือนระวัง "สึนามิ" ถล่มไทย

08-11-2553 | 07:56 น. l ข่าวจาก เดลินิวส์ออนไลน์

.......แฉคลื่นยักษ์ซัดสองฝั่ง "อ่าวไทย-อันดามัน" ยับหนักกว่า 5 ปีก่อน แนะทุกฝ่ายสามัคคีร่วมทำบุญบรรเทา


ที่วิหารหลวงปู่เกวาลัน แห่งเทือกเขาหิมาลัย หมู่บ้านสุขิโต ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 09.09 น. วันเดียวกัน มีพิธีทำบุญมหากุศล ครั้งที่ 8 ประจำปี พ.ศ.2553 โดยนายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือโหรคมช. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีตผบ.ทอ. พร้อมนายทหาร นายตำรวจ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมจำนวนมาก

......โดยนายวารินทร์ บัววิรัตน์ เปิดเผยว่าการทำบุญครั้งนี้ เป็นการคลายกรรมของชาติบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้

เพราะเคราะห์กรรมใหญ่ของประเทศยังมีอยู่ต่อไป โดยจะเกิดภัยพิบัติใหญ่ต่อชาติบ้านเมือง ขึ้นหลังวันที่ 20 พ.ย.นี้ โดยเป็นภัยธรรมชาติจะเกิด “สึนามิ” ใหญ่กว่าเมื่อ 5 ปีก่อนที่สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างมาก บริเวณฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

การทำบุญนี้จะช่วยแค่คลายเคราะห์กรรมเท่านั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันและสามัคคีเพื่อแผ่นดินของเรา และร่วมกันทำบุญเพื่ออนิสงฆ์ผลบุญที่ทุกคนได้ทำ จะช่วยให้เคราะห์กรรมบางเบาลง




ซัดเหลวไหล ผู้เชี่ยวชาญ 'ดีดปาก' โหรวารินทร์มั่ว
ทาย 20 พ.ย. 'สึนามิ' ถล่มอ่าวไทย


09-11-2553 | 05:30 น. l ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์


.......รุมดีดปาก "โหร" นิมิต นิมั่ว ทายผิดไม่เคยรับผิดชอบ ผู้เชี่ยวชาญเรียงหน้ากระดานซัด "โหรวารินทร์" กุเรื่องเหลวไหล

ด้านกรมอุตุฯ จับมือผู้เชี่ยวชาญสึนามิ เดินสายแจงวอนประชาชนอย่าตกใจ เพราะจะไม่เกิดสึนามิ โดยเฉพาะในอ่าวไทยในเวลาอันใกล้แน่นอน...


สร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งกับคำทำนายของเจ้าสำนักสุขิโต เจ้าของฉายา โหร คมช. วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ออกมาใช้นิมิตทำนายดุว่า หลังจากวันที่ 20 พ.ย.นี้ จะเกิด "มหาสึนามิ" ถล่มประเทศไทย ในอ่าวไทย-อันดามัน สร้างความเสียหายมากมายกว่าครั้งที่แล้ว

ล่าสุด รศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย นักวิจัยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ฐานะหัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย ออกมากล่าวถึงคำทำนายของเจ้าสำนักสุขิโตผ่านไทยรัฐ ออนไลน์ว่า สิ่งที่หมอดูคนนี้พูด ทั้งหมดเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น

"เหตุผลประการแรกก็คือ สึนามิไม่ว่าจะทางฝั่งอ่าวไทย โดยเฉพาะสึนามิที่เกิดฝั่งอันดามัน เมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกได้ยากมากๆ แต่ละครั้งอาจจะอาศัยระยะเวลาเป็นสิบ หรือหลายร้อยปีขึ้นไป ถึงจะเกิดอีกครั้งตรงนั้น ประการที่ 2 คือ หากบอกว่าคลื่นสึนามิในฝั่งอ่าวไทย จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องใช้แหล่งกำเนิดที่สร้างคลื่นที่มากระทบทางฝั่งอ่าวไทย ไม่ใช่แหล่งกำเนิดเดิมหรือรอยเลื่อยแถวๆ นั้น"

โดยรอยเลื่อนใหญ่ๆ ที่ฝั่งอ่าวไทยไม่มี อีกทั้งแม้ว่าในฝั่งทะเลจีนใต้มีรอยเลื่อน หรือแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆ ฟิลิปปินส์ เรียกว่า "รอยเลื่อนมะนิลา" และหากเกิดตรงนั้นจริงๆ กว่าสึนามิจะเดินทางมาถึงอ่าวไทย และสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยนั้น จะต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมง ซึ่งมีโอกาสน้อยมากเราคงจะได้ทราบเหตุการณ์ และมีเวลาในการเตรียมรับมือได้ทัน

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแผ่นดินไหว ย้ำชัดว่า ที่สำคัญขณะนี้ยังไม่มีผลการศึกษาไหนที่สามารถจะบอกว่า จะเกิดคลื่นที่เป็นอันตรายอย่างรุนแรงเหมือนทางฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้นอยากจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนอย่าตื่นกลัวกับคำทำนาย

"อย่างที่ผมว่า แม้ว่าการศึกษาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมันไม่มีความสมบูรณ์ 100% แต่กรณีนี้ความน่าจะเป็นมีเพียงเล็กน้อยมากๆ โดยเฉพาะสึนามิอ่าวไทย ทั้งนี้ ส่วนตัวก็ไม่ค่อยเชื่อหมอดูคนนี้ หรือคนไหนๆ ที่พยากรณ์อยู่แล้ว และคิดว่าอยากให้ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลจริงๆ โดยสิ้นเชิง" ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหว กล่าวอย่างชัดเจน

นายต่อศักดิ์ วานิชขจร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา รักษาการอธิบดีกรมอุตุฯ กล่าวถึงเรื่องคำทำนายที่ทำให้ประชาชนแตกตื่นว่า

"ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะยืนยันได้ ผมถามหน่อย ที่เขาออกมาพูดอย่างนี้ทุกอย่างเสียหายโดยเฉพาะเศรษฐกิจ คำทำนายทำให้ประชาชนหวาดกลัว ถามว่าเขารับผิดชอบอะไรหรือเปล่า ทุกวันนี้ผมตามแก้ข่าวสึนามิเยอะแยะไปหมด หากจะออกมาพูดอะไรก็ให้คำนึงถึงประชาชนหน่อย เรื่องนี้กรมอุตุฯ ยืนยันว่าไม่มีใครสามารถทำนายหรือเตือนล่วงหน้าได้" รองอธิบดีกรมอุตุฯ กล่าวอย่างมีอารมณ์

ด้าน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้ที่เคยออกมาทำนายเรื่องสึนามิจะเกิดขึ้นอย่างถูกต้อง กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดคลื่นสึนามิที่อ่าวไทยอย่างที่หมอดูระบุวัน เพราะในโลกนี้ไม่มีใครสามารถทำนายได้ถึงขนาดนั้น

"แต่ถ้าถามความคิดผมว่า จริงๆ แล้วสึนามิในอ่าวไทยมีโอกาสเกิดได้ไหม "เกิดขึ้นได้..."

แต่ไม่มีใครที่จะบอกได้ว่าจะต้องเกิดวันนั้นเวลานี่ ไม่มีใครในโลกทำได้ แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะทำได้ถึงขนาดบอกวันที่จะเกิด แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดก็มีอยู่ อาจจะเกิดก่อน หรือเกิดทีหลัง แต่ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาการเกิดได้แน่นอน

หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ก็อาจมีสินามิได้ ในส่วนของฝั่งอ่าวไทยก็อาจจะมีได้หากเกิดแผ่นดินไหวที่ตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ตอนนี้ก็ต้องเฝ้าระวังหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ สึนามิก็อาจจะเกิดขึ้น แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยก็ต้องผ่านอีกหลายประเทศ ซึ่งเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้ และเตรียมตัวได้ทัน"


สุดท้ายผู้ทำนายสึนามิได้อย่างแม่นยำ กล่าวทิ้งท้ายไปยัง "โหร" ชื่อดังด้วยว่า แม้ว่าตามหลักดวงดาวจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง อาจจะทำให้พื้นดินของโลกเรามีการเคลื่อนตัวได้ แต่สิ่งที่หมอดูคนนี่กล่าวก็ควรฟังหูไว้หูเป็นดีที่สุด.


webmaster - 19/12/10 at 10:13

17-12-2553 l ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์ l คลิปวีดีโอจาก ช่อง 3

ก.ทรัพย์เผยอีก 10 ปี น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ


กระทรวงทรัพย์ฯ เผยอีก 10 ปีน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ คลองเตย-ลาดพร้าว-สวนหลวง-ธนบุรีโดนหมด เสียหาย 1.5 แสนล้าน ...


.....นายเสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า อุทยานฯ ได้ศึกษาแบบจำลองผลกระทบภาวะน้ำท่วมและน้ำทะเลขึ้นสูงในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นในและปริมณฑล เพราะพบว่า กทม.เป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชีย มีความเสี่ยงสูงที่น้ำทะเลจะเอ่อทะลักเข้าท่วมในเมือง โดยเมืองทั้ง 9 เมืองที่มีความเสี่ยง ประกอบด้วย เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง ประเทศจีน ธากา บังกลาเทศ กัลกัตตา มุมไบ ประเทศอินเดีย ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ไฮฟอง โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และ กรุงเทพฯ ประเทศไทย

นายเสรีกล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุให้น้ำท่วม กทม.ชั้นในมี 4 อย่าง คือ 1.ปริมาณน้ำฝนที่ตกเพิ่มขึ้นถึง 15% ในปัจจุบัน 2.แผ่นดินใน กทม.ทรุดตัวลงปีละ 4 มิลลิเมตร 3.ระดับน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี และ 4.เกิดจากภาพรวมของระบบผังเมืองใน กทม. ที่พบว่าปัจจุบันนี้พื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สีเขียว ลดลงไปมากกว่า 50% และถูกเปลี่ยนสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานอุตสาหกรรมหมดแล้ว


นายเสรีกล่าวอีกว่า ทีมงานได้เอาปัจจัยทั้ง 4 อย่างมาสร้างเป็นแบบจำลองกรุงเทพฯและทดสอบกับปริมาณฝน พบว่าไม่เกิน 10 ปีจากนี้ กทม.ต้องเจอกับสภาพน้ำท่วมในพื้นที่ชั้นในอย่างแน่นอน 100% ทั้งนี้ เมื่อน้ำทะลักเข้ามา พื้นที่อันตรายที่สุดคือพื้นที่ที่เป็นกระเพาะหมู ได้แก่พื้นที่คลองเตย ถ.บางนา-ตราดฝั่งขาออก สวนหลวง ร.9 พื้นที่ลาดพร้าว วังทองหลางทั้งหมด รวมทั้งพื้นที่ฝั่งธนบุรีเป็นต้นมา รวมไปถึงบางขุนเทียน บางบอน แสมดำ บางแค และถนนพระราม 2

นายเสรีกล่าวด้วยว่า สำหรับผลกระทบจะมีประชากรใน กทม.ประมาณ 680,000 คน ได้รับผลกระทบ น้ำจะเอ่อเข้ามาท่วมอาคารที่ 1.16 ล้านหลัง ในจำนวนนี้จะเป็นบ้านพักอาศัยจำนวน 0.9 ล้านหลังคาเรือน โดย 1 ใน 3 จะอยู่ในพื้นที่บางขุนเทียน บางบอน บางแค และพระสมุทรเจดีย์ นอกจากนี้ ยังพบว่าอาคารและที่พักอาศัยเขตดอนเมืองประมาณ 89,000 อาคาร จะได้รับผลกระทบ รวมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 1.5 แสนล้านบาท.

เรื่องเล่าเช้านี้ "ภัยพิบัติ" (ออกอากาศ 20 ธ.ค. 53)


webmaster - 10/6/11 at 14:05



บางจากฯ ห่วงใย แจก “คู่มือเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ”



(ภาพจาก matichon.co.th)


วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:30:39 น.

☺....บางจากฯ สร้างความตระหนักให้ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความสมดุลสู่ธรรมชาติ ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยจัดทำหนังสือ “คู่มือคนไทยเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ” ทั้งภาษาไทย –อังกฤษแจกตั้งแต่ สิงหาคม นี้ เพื่อช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลกในปัจจุบันสืบเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย จึงก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่างๆ อาทิ ภัยน้ำท่วม ดินถล่ม แผนดินไหว สึนามิ ภัยแล้ง ฯลฯ ในขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีข้อมูลสำหรับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
จึงไม่สามารถหาทางป้องกันและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดภัย

ดังนั้น เพื่อเป็นการให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ บางจากฯ จึงได้จัดทำหนังสือ “คู่มือคนไทยเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ” ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ที่รวบรวมข้อมูลอันเป็นประโยชน์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แจกแก่ผู้ที่สนใจ ผ่านสถานีบริการน้ำมันบางจากในเขต กทม. และเส้นทางหลักทั่วประเทศ 350 แห่ง ผ่านสื่อในช่องทางต่างๆ หน่วยงานและสถาบันการศึกษา ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป หรือจนกว่าของจะหมด




โลกจะยิ่งร้อนหนักขึ้น ภายในเวลา 20 - 60 ปีข้างหน้าต่อไปนี้


ภาพข่าว - ไทยรัฐออนไลน์ | วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2554

.......มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ดของสหรัฐฯศึกษาพบว่า อากาศของดินแดนเขตร้อนและซีกโลกเหนือหลายแห่งจะร้อนขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างไม่เหมือนเดิมอีกภายในช่วงเวลา 20-60 ปีหน้านี้ หากยังปล่อยให้ก๊าซที่ทำให้บรรยากาศโลกร้อนอัดกันอยู่แน่นขึ้น


......วารสารวิชาการ “การเปลี่ยนแปลงสภาพดินฟ้าอากาศ” ของอเมริกา รายงานผลการศึกษาว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่า ดินแดนเขตร้อนในทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้หลายแห่ง อาจจะต้องพบการปรากฏของอากาศร้อนของฤดูร้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในระยะเวลา 20 ปีหน้านี้ ส่วนดินแดนของยุโรป จีน และอเมริกาเหนือ รวมทั้งอเมริกา ในเขตเส้นรุ้งใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ก็อาจจะโดนกับอุณหภูมิของฤดูร้อนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดๆ ภายในเวลา 60 ปีหน้านี้

.......ดร.โนอาห์ ดิฟเฟนโบผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาระบบสิ่งแวดล้อมโลก หัวหน้าคณะศึกษากล่าวว่า

.......“ตามคำพยากรณ์ส่อว่า ดินแดนบริเวณกว้างใหญ่ของโลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่กลางศตวรรษนี้ แม้แต่อากาศของฤดูร้อนที่เย็นที่สุด ก็จะยังร้อนกว่าฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมานี้”.

Go
To Top
Go To Top