ตามรอยพระพุทธบาท

ดูดวงชะตา ปี 2553 จากหมอดูที่มีชื่อเสียง
webmaster - 20/12/09 at 18:56

สารบัญ (เลือก "คลิก" อ่านได้ในแต่ละตอน)

00.
'หมอลักษณ์' ฟันธงเหตุการณ์สั่นสะเทือนการเมืองไทย (Update 06-01-53)
02. ประวัติหมอลักษณ์ เลขานิเทศ
03. "หมอลักษณ์ ฟันธง ปี 2553" รายการศึก 12 ราศี (แบบครบ 12 ราศี)
04. ปี 2553 เกิด 5 ครั้ง..!! 'สัญญาณฟ้า' (อ.ภิญโญ)
05.
ตื่น..จันทรคราส คืนสิ้นปี..โหรเตือน ภัยพิบัติ ปี 2553 (อ.อรรถวิโรจน์)
06. คลิปดูดวง 12 ราศีปี 2553 "ไพ่ยิปซี" กับ อ.คฑา ชิญบัญชร (Update 05-01-53)
07. พยากรณ์ปีหน้า 2553 ‘สังคม-พิบัติภัย’ (ซินแสภาณุวัฒน์, อ.เก่งกาจ)
08. โหรฟันธงปีเสือ วิกฤติกว่าปี 40 (อ.โสรัจจะ นวลอยู่)
09. ลาปีฉลู...สวัสดีปีขาล" (ทีมวาไรตี้)
11. คลิป วู๊ดดี้คุยกับ "โหรวารินทร์" และ "ผ่าดวงชะตาประเทศไทย 2553" กับ อ.ภิญโญ พงษ์เจริญ"
13. โหรโสรัจจะ "นอสตราดามุสเมืองไทย" พยากรณ์ดวงปี 53 (Update 7-01-53)
14. "สมุดพยากรณ์" ที่เพิ่งพบของ "นอสตราดามุส" (Update 8-01-53)
15. ถอดรหัสคำทำนาย ''นอสตราดามุส'' (Update 9-01-53)
16. บทความ คำนาย "พระพุทธเจ้า" กับ "นอสตราดามุส" (Update 10-01-53)
17. เรามาดูพระพุทธเจ้าของพวกเรา ท่านทำนายไว้อย่างไรบ้าง? (Update 11-01-53)
18. เปิดตัว..หมอดูพม่าชื่อดัง "หมอดูอีที" (Update 24-01-53)
19. คุณยายวานก้า "นอสตราดามุส" แห่งบัลแกเรีย (Update 26-01-53)
20. คุณยายวานก้า ทำนายชะตาโลก ค.ศ. 2008 - 3797 (Update 29-01-53)

21. คำทำนายที่เพิ่มเติมจากเว็บไซด์ทั่วไป (ค.ศ. 3803 - 5079) (Update 31-01-53)
22. บทวิเคราะห์เจาะลึกคำทำนาย (Update 10-02-53)
23. พุทธทำนายล้านนาประเทศ (Update 6-03-53)
24. ภัยพิบัติทำนาย "ฉบับลาว" (Update 19-03-53)
25. "มหันตภัยโลกในพระไตรปิฎก" (Update 30-03-53)
26. "สุริยสูตร (โลกถูกไฟทำลายด้วยดวงอาทิตย์ 7 ดวง)" (Update 6-04-53)
27. "ดวงอาทิตย์กับวินาศของโลก" (Update 21-04-53)
28. "น้ำท่วมโลก..ในทรรศนะของพุทธศาสนา" (Update 5-05-53)
29. "จักกวัตติสูตร : สูตรว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ์" (Update 17-05-53)
30. "อายุขัยของมนุษย์" (Update 1-06-53)

31. ยุคศาสนา "พระศรีอาริยเมตไตรย" (Update 13-06-53)
32. ไฟบัลลัยกัลป์(Update 21-06-53)
33. "คำทำนายอีสานโบราณ" และ "ตำนานเมืองฝาง-เชียงดาว"
34. "การสัมมนาวิชาโหราศาสตร์ ไทยกับอินเดีย"
35. สรุปภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบโลก ปี 2553 (Update 12-11-53)



คำพยากรณ์ปี 2553 ของ อ.เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ ในหนังสือ "ธัมมโมกข์" ฉบับนี้ คงจะเป็นฉบับปีสุดท้ายไปเสียแล้ว เนื่องจากเพิ่งได้ทราบข่าวว่า อ.เกรียงศักดิ์ ได้เสียชีวิตลงไปเมื่อเดือนที่แล้ว ทางทีมงานฯ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ อ.เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.

"ทีมงานตามรอยฯ และทีมงานวัดท่าซุง"
30 มีนาคม 2553




คำพยากรณ์ ปี 2553 (โดย อ.เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์)
จากหนังสือ "ธัมมโมกข์" เดือนมกราคม 2553


หน้า 1 | หน้า 2 | หน้า 3 |หน้า 4 | หน้า 5
หน้า 6 | หน้า 7 | หน้า 8 | หน้า 9 | หน้า 10




1

'หมอลักษณ์' ฟันธงเหตุการณ์สั่นสะเทือนการเมืองไทย


ข่าวจาก..ไทยรัฐออนไลน์ 06-01-53
........ชั่วโมงนี้ไม่มีใครปฏิเสธความแรงของ อ.ลักษณ์ เรขานิเทศ หมอดูจอมฟันธงคนนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" จึงชักชวนให้หมอดูชื่อดัง มาฟันธงกับ 5+1 เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนซึ่งจะเกิดขึ้นในเมืองไทยในปีหน้า 2553 แบบสั้นๆ จะๆ สไตล์ ฟันธง, เชิญทัศนา...

เหตุการณ์ที่ 1
ในปี พ.ศ. 2553 เป็นปีที่ดวงเมืองถึงจุดแตกดับ เศรษฐกิจพัง เกิดจลาจลในเมืองไทย เป็นปีที่คนขาดความสามัคคีมากที่สุด ซึ่งเป็นจุดแตกหักที่เหมือนกับเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2539-2541 โดยเหตุการณ์จะคล้ายๆ กับความโกลาหลของวิกฤตเศรษฐกิจพัง ณ ตรงนั้น เพราะดาวเสาร์มันทับดาวศุกร์ ดังนั้นทายว่าในปี พ.ศ. 2553-2554 จะเป็นเหตุการณ์แห่งการล้มสลายในทุกอย่างแน่นอน ฟันธง...!

เหตุการณ์ที่ 2
ทำนายว่าจะเกิดปรากฎการณ์ "ยุบสภา"และมี "การเลือกตั้งใหม่" โดยช่วงเวลาราววันที่ 12 ก.พ. –25 เม.ย.2553 ฟันธง...!

เหตุการณ์ที่ 3
จะมีเกณฑ์การ "ยุบสภา" มากที่สุด และหลังจากการ "ยุบสภา" การเลือกตั้งจะเต็มไปด้วยความรุนแรง การทำลายล้างกันจนเลือดตกยางออก และมีการสูญเสียมากมายมหาศาล ฟันธง...!

เหตุการณ์ที่ 4
ในปี 2553 จะมีการสูญเสียบุคคลระดับประเทศทางการเมือง เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองล้มหายตายจาก ย้ำ...เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองที่มีอิทธิพลสำคัญทางการเมือง และ "การทหาร" ในประเทศไทยทั้ง "ต่อหน้า" และ "ลับหลัง" โดยมีจุดน่ากลัว ช่วงวันที่ 26 เม.ย. ถึง 30 ก.ค. 2553 โดยจะมีเกณฑ์ลื่นหกล้มหัวฟาด หรือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ฟันธง...!

เหตุการณ์ที่ 5
จะเป็นปรากฏการณ์ดีๆ เกี่ยวกับพืชผลทาง "การเกษตรและสมุนไพร" เช่น เราจะสามารถพบ "แร่ธาตุทองใต้ดิน" หรือ "น้ำมันใต้ดิน" จะถูกค้นพบในเมืองไทยและดังมากๆ จนสามารถเป็นสินค้าส่งออกได้ โดยจะมีเกณฑ์ค้นพบได้ราวเดือน เม.ย.หรือ ก.ค. พ.ศ. 2553 ซึ่งจุดที่มีเกณฑ์ในการค้นพบ "น้ำมัน" น่าจะเป็นภาคซึ่งติดอยู่กับริมชายทะเลแน่นอน ฟันธง...!


ทั้งนี้หมอดูชื่อดังจอมฟันธงแถมท้ายด้วยคำทำนายด้วยว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนต่อไปจะไม่ใช่พลเรือน และจะต้องมี "ยศบนบ่า" เท่านั้น ฟันธง...!

ll กลับสู่สารบัญ



2

ประวัติ หมอลักษณ์ เลขานิเทศ

(มีผู้โพสต์ในเว็บ www.mumdochata.com/History/001.html)


"ช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น หมอดูย่านคลองหลอดเคยดูไว้ว่า โตขึ้นผมจะต้องมาทำหน้าที่แทนเขา ผ่านไป ๒๐ กว่าปี ผมก็ได้เป็นหมอดูตามที่หมอดูบอกไว้จริงๆ"

นี่คือคำทำนายของหมอดูท่านหนึ่งที่ อาจารย์ลักษณ์ เลขานิเทศ เลขาธิการสถาบันพยากรณ์ศาสตร์ บอกว่า ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะอาชีพที่ทำอยู่ทุกวันนี้ คือ โหร หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า หมอดู

โหรลักษณ์ บอกว่า หมอดูส่วนใหญ่หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน หยั่งรู้อนาคต เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตคน สามารถแก้เคราะห์กรรม กำหนดโชคชะตาชีวิตคนอื่นได้ หมอดูคนใดคิดเช่นนี้ เรียกว่า เป็นหมอดูจัญไรคน หมอดูหลงตัวเอง

แท้จริงแล้ว หมอดูเป็นเพียง ผู้อ่านรหัสกรรม ซึ่งไม่ดูสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว การดูหมอเพียงแต่การคาดการณ์เหตุที่อาจจะเกิดล่วงหน้าเท่านั้น หน้าที่ของ หมอดูไม่ใช่คนแก้กรรม เพราะกรรมซึ่งหมายถึง การกระทำในปัจจุบัน เป็นเครื่องชีวัดดวงชะตา หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนคต หมอดูต้องชี้ ทางธรรม บอกทางสว่าง ให้ความหวังในเรื่องดีๆ

ด้วยเหตุนี้เองโหรลักษณ์ จึงฝากแนะนำผู้ที่นิยมชมชอบเรื่องการดูหมอ คือ การมีสติ ก่อนที่จะมาดูหมอ ต้องศึกษาสืบประวัติ ของหมอดูท่านนั้น ต้องมีคำถามในใจมาก่อน เพื่อมาหาคำปรึกษาจากหมอดู ส่วนสิ่งที่หมอดูแนะนำ แล้วไม่ควรจะไปทำเป็นอย่างยิ่ง คือ คำแนะนำที่ผิดศีลธรรม ผิดขนบธรรมเนียมประเพณีไทย โดยเฉพาะหมอดูที่แนะนำเรื่อง การทำบุญที่เจาะจง จำนวนเงิน และสถานที่ทำบุญ ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยไปหลงเชื่อหมอดูทำให้เสียเงินทองไปจำนวนมาก

โหรลักษณ์ เล่าถึง ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า เมื่อปี ๒๕๔๓ เกิดเพลิงไหม้ที่บ้าน ปรากฏว่ามีพระอยู่องค์หนึ่งที่ไม่ไหม้ไฟ พระองค์นั้น คือ หลวงพ่อโสธร ปี ๒๔๙๗ ไม่ไหม้ไฟ ส่วนองค์อื่นๆ หลอมละลายหมด แต่หลวงพ่อโสธรส่วนที่เป็นฐาน หลอมละลาย ไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

สิ่งหนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้โหรลักษณ์อยู่ไม่น้อย คือ ครั้งหนึ่งมีโอกาสถวายการตรวจดวงชะตาสมเด็จย่า ณ วังสระปทุม โดยสมเด็จย่าพระราชทานพระประจำพระชนมวารสมเด็จย่า (เนื้อทองคำ) ให้ ๑ องค์ พระองค์ดังกล่าวนี้อยู่ในกองเพลิงด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ไหม้ไฟ

"พระกลีบบัว เมืองไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พระประจำพระชนมวารสมเด็จย่า (เนื้อทองคำ) และพระคงลำพูน" พระทั้ง ๓ องค์นี้ เป็นพระเครื่องคู่ใจของโหรลักษณ์ ส่วนคำพูดหนึ่งที่คนมักพูดกันว่า "พระอยู่ที่ใจ" นั้น โหรลักษณ์เถียงหัวชนฝาเลยว่า

"คำพูดนี้น่าจะเป็นคนดัดจริตพูดมากกว่า เมื่อตกอยู่ในสภาวะคับขันน้อยคนนักจะมีสติได้ตัวเอง แต่ถ้ามีพระแขวนอยู่กับคอ เมื่อจับดูพระอย่างน้อยสติก็กลับคืนมาได้เร็วกว่า"

หลายคนอาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นโหรแล้วทำไมไม่ตรวจดวงชะตาตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โหรลักษณ์ ยืนยันว่า ได้ตรวจพบว่าไฟต้องไหม้บ้านอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงนำเรื่องไปข้อคำชี้แนะพร้อมกับขออุปสมบทจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ โดยท่านแนะนำว่า

"บวชได้แต่ไม่ให้อยู่วัด แต่ต้องไปจำวัดที่ไม่มีน้ำไม่มีไฟ"

หลังจากนั้นจึงตัดสินใจบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์ โดยท่านส่งให้ไปอยู่วัดผาเกิง จ.ชัยภูมิ อยู่ปฏิบัติธรรมได้ประมาณ ๑ เดือน ก็ไปอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมอาทิจจวังโส อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กับ พระอาจารย์นพพร อีกประมาณ ๑ เดือน จากนั้นก็เดินทางกลับวัดสระเกศเพื่อสึก

โหรลักษณ์ เล่าต่อว่า ก่อนสึกได้ดูกฤษ์สึกไว้ว่า ถ้าจะให้หมดเคราะห์ต้องสึก ภายในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ในพรรษา (เข้าพรรษา ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๓) ด้วยความคิดที่ไม่อยากแหกพรรษา ตามความเชื่อของคนโบราณ จึงตัดสินใจสึกในวันเข้าพรรษา เวลาประมาณ ๑๑ โมงเช้า ซึ่งคิดว่าสึกก่อนฤกษ์ ๕ วัน คงไม่เป็นไร ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน ปรากฏว่าบ้านเหลือแต่เถ้าถ่าน เพราะไฟไหม้บ้านในช่วงตี ๔ ก่อนที่จะสึกไม่กี่ชั่วโมง

จากประสบการณ์ไฟไหม้ครั้งดังกล่าว ทำให้โหรลักษณ์ฉุกคิดได้ว่า ตามคติความเชื่อของคนโบราณ มีวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์อยู่ ๓ ชนิดที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไฟไม้ ประกอบด้วย

๑. พระกำแพงศอก
๒. นกคุ่ม และ
๓. พระคำข้าวหรือคำหมาก ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง


ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า บ้านเรือนในต่างจังหวัดทั้งที่เป็นบ้านไม้มุงหลังคาด้วยจาก แต่ไม่เคยมีข่าวเรื่องไฟไหม้ให้ได้ยินเลยสักครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงหาพระกำแพงศอกมาบูชาไว้ในบ้าน

หลังจากนั้นได้มีโอกาสไปกราบ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) ครั้งหนึ่ง พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ไฟไหม้ให้ฟัง ท่านได้หลับตาสักพักหนึ่งแล้วพูดว่า

"บุญกรรมนี้แรงนัก อุตส่าห์ให้ไปบวชในที่ไม่มีน้ำไม่มีไฟ ให้ปฏิบัติธรรมแล้วยังไม่พ้น เพราะว่ากรรมบางอย่างหนีไม่ได้"

จากคำพูดของ "สมเด็จเกี่ยว" ทำให้โหรลักษณ์เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า "กรรมบางอย่าหนีไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องไฟไหม้หนีไม่ได้" ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อดูดวงให้ตัวเองพบว่าบ้านต้องไฟไหม้ ได้เตรียมตัวป้องกันเป็นอย่างดี ตั้งแต่การตรวจตราสายไฟที่ชำรุด ขนของมีค่าไปฝากบ้านญาติ รวมทั้งให้น้องที่ติดบุหรี่ย้ายไปอยู่ที่อื่น รวมทั้งบวชเพื่อเสริมดวงชะตาให้ตัวเอง แต่ไฟก็ไหม้อยู่ดี โดยเหตุเกิดจากคนติดยาบ้าใกล้ๆ บ้าน จุดไฟเผาบ้านตัวเอง และที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คือ ไม่ได้ทำประกันอัคคีภัย

โหรลักษณ์ บอกด้วยว่า ถ้ามีคนมาให้ตรวจสอบดวงชะตาและพบว่ามีมุมของดวงดาวชีวิตที่จะเกิดไฟไหม้บ้าน ก็จะแนะนำกลับไปว่า ต้องทำสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลก่อน คือ

๑. ให้ตรวจตราเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและสายไฟภายในบ้าน
๒. ความเสี่ยงจากเพื่อนบ้าน
๓. อุปกรณ์ดับเพลิง สายน้ำ
๔. ทางหนีทีไล่ หมายเลขโทรศัพท์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๕. ย้ายทรัพย์สินที่มีค่าไปฝากไว้บ้านญาติหรือเพื่อน


หลังจากนั้นจึงไปคิดเรื่องการทำบุญปฏิบัติธรรมเพื่อเสริมบารมี แม้ว่าจะไม่พ้นเคราะห์เลยทั้งหมดทีเดียว แต่ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้

"สรรพสิ่งในโลกเกิดขึ้น คงอยู่ และดับไปด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไร มันก็เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ตามหลักพุทธศาสนา คือ เมื่อทำดีต้องให้ดีที่สุด ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้นประกอบด้วยคุณงามความดี เป็นไปตามศีลธรรม และชอบด้วยกฎหมาย ก็ขอให้ทำไปเถอะ"

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 24/12/09 at 07:50

3

(Update 30-12-52)

คลิป ดูดวงปี 2553 หมอลักษณ์ ฟันธง รายการทีวี "ศึก 12 ราศี"

(คลิปทำนายเฉพาะ "ราศีเมษ - ราศีมีน" ครบถ้วน 12 ราศี)

ออกอากาศ วันที่ 20, 27 ธ.ค. 2552 และ 3 ม.ค. 2553


1. ราศีเมษ (13 เม.ย.-13 พ.ค.)
2. ราศีพฤษภ (14 พ.ค.-13มิ.ย.)
3. ราศีเมถุน (14 มิ.ย.-14 ก.ค.)
4. ราศีกรกฎ (15 ก.ค.-16 ส.ค.)

5. ราศีสิงห์ (17 ส.ค.-16 ก.ย.)
6. ราศีกันย์ (17 ก.ย.-16 ต.ค.)
7. ราศีตุลย์ (17 ต.ค.-15 พ.ย.)
8. ราศีพิจิก (16 พ.ย.-14 ธ.ค.)

9. ราศีธนู (15 ธ.ค.-15 ม.ค.)
10. ราศีมังกร (16 ม.ค.-12 ก.พ.)
11. ราศีกุมภ์ (13 ก.พ.-13 มี.ค.)
12. ราศีมีน (14 มี.ค.-12 เม.ย.)

ฟันธง "ภัยพิบัติ" ปี 2553
ฟันธงดวง "เศรษฐกิจ" ปี 2553

ดวงเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2553 ถอดเสียงจากรายการศึก 12 ราศี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาครับ


เศรฐกิจในปี 2553 นี้เป็นอีกหนึ่งปีที่อีรุงตุงนัง โดยเฉพาะในช่วยครึ่งปีแรก และยิ่งครึ่งปีหลัง ปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นเกิดขึ้น ยังทำให้สภาพรวมของเศรษกิจไปทางขาขึ้นในทางที่เด่นชัด แต่ยังไม่ปรากฎในดวงชตาของเมือง แต่มีที่เป็นความหวังคือ ผลิตผลทางการเกษตร แต่เป็นความเหนื่อยยากของเกษตรกร ที่จะต้องต่อสู้กับเรื่องของปัญหาของภัยธรรมชาติจากแมลงและจากฤดูกาลต่างๆ ที่มีปัญหา แต่เชื่อได้เลยว่า ปี 2553 เกษตรกรจะขายพืชผลทางการเกษตรได้ราคา..ฟันธง..!

ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา หรืออะไรก็ตามที รับรองว่าได้ราคา การค้าระหว่างประเทศอันเกี่ยวข้องกับเรื่องของพืชสมุนไพร หรือพืชผลทางการเกษตร จะนำมาซึ่งรายได้เข้าสู่ประเทศไทย และคนที่ทำการค้าในด้านนี้..ฟันธง..!

เรื่องไฮเทค เทคโนโลยี เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะดาวราหูโคจรอยู่ในหุบสุภะของดวงเมือง เรื่องการลงทุนข้ามชาติของชาวต่างชาติ จะมีมุมที่จะประสบความสำเร็จ เรื่องของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้ามชาติจะประสบความสำเร็จ แต่ปัญหาก็คือว่า การลงทุนแต่ชั้นเดิมของนักลงทุนและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีปัญหาอยากให้ใครก็ตามที ที่อยากจะได้เงิน ซื้อทองคำ จะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสำหรับในปี 2553

อย่างไรตามที เศรษฐกิจไทยในปี 2553 ยังอยู่ในภาวะ ซึม..เซา..ซบ และมีภาวะที่รอจังหวะขยับขยาย เศรษฐกิจไทยจะพลิกผันขยับขยายเศรษฐกิจจะฟู่ฟ่าหลังจากปี 2554 2555 ปีนี้ก็ประคับประคองตัว อย่าทำอะไรโดยประมาท อย่าผลีผลาม เป็นปีแห่งการเตรียมจะเริ่มต้นใหม่ เตรียมจะเริ่มต้น เตรียมจะขยับขยาย ดังนั้นจึงเป็นปีที่หลายคนจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ล้า ต้องอดทน ฉะนั้นในปีนี้ต้องระมัดระวังในการลงทุน ต้องระมัดระวังในการทำกิจการและการงาน อย่าประมาท งดการที่ทำอะไรเกี่ยวกับการสุ่มเสี่ยง หรือว่ามีโอกาสลงทุน ก็เอาเงินไปลงทุนเรื่องเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับการเกษตรเอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับไฮเทค เทคโนโลยีเอาไว้

ก็ขอฝากบอกไว้ยังงี้ครับ ท่ามกลางที่เศรษฐกิจที่ผกผันและมีปัญหา ประเทศไทยอาจจะมีอัศจรรย์บางอย่างที่เกิดขึ้น เช่นค้นพบน้ำมันหรือแร่ธาตุ หรือค้นพบทองคำ หรืออะไรก็ตามที แต่ผมคิดว่าทองคำก็คือ ข้าว หรือพืชผลทางการเกษตร ที่จะนำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ก็ขอให้นี่เป็นข่าวที่จะทำให้หลายคนหน้าบาน และวางแผนที่จะต่อสู้กับวิกฤตนั้น ด้วยความตั้งใจ ขอเป็นกำลังใจให้ปวงชนชาวไทย ให้แฟนรายการทุกคนทุกท่านฝ่าฟันให้พ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจขานี้ไปให้ได้ แล้วปีหน้าฟ้าใหม่ คุณจะมีอะไรที่ชื่นใจอย่างแน่นอน....ฟันธง..!!!

ที่มาข้อความ - bloggang.com



◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 27/12/09 at 13:20

4

ปี 2553 เกิด 5 ครั้ง..!! 'สัญญาณฟ้า'


อุปราคา 'ลางอันตราย'

.......เข้าสู่วันสุดท้ายของปีเก่า 2552 ก่อนจะก้าวผ่านสู่ปีใหม่ 2553 ในคืนรอยต่อข้ามปี...บนท้องฟ้าจะมีปรากฏการณ์ “อุปราคา” เกิดขึ้น และจากนั้นในรอบปี 2553 ก็จะมีอุปราคาอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 5 ครั้ง ซึ่งอุปราคานี้ก็มีทั้งแบบที่เรียกว่า “สุริยุปราคา-สุริยคราส” และ “จันทรุปราคา-จันทรคราส”

“อุปราคา” ในด้านหนึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งดาว

ขณะที่ทางด้านโหราศาสตร์ถือเป็น “สัญญาณฟ้าที่ไม่ดี”


ทั้งนี้ กับอุปราคา หรือทางโหรเรียกว่า “พระเคราะห์บังกัน” ในปี 2553 ในด้านของการเป็นสัญญาณจากฟ้า-จากดวงดาว ทาง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ มีคำทำนาย ทายทัก ดังนี้.....

......อุปราคาครั้งที่ 1 คืนส่งท้ายปีเก่า เกิดเวลา 02.14 น. วันที่ 1 ม.ค. 2553 เป็น “จันทรุปราคาแบบบางส่วน” คำทำนายโดยสรุปคือ...ต้องระวังเกิดความยุ่งยากเรื่องผู้ใช้แรงงาน เกิดการประท้วง เกิดอาชญากรรมมาก เกิดโรคระบาดหนัก เกิดความยุ่งยากในวงการศาสนา การศึกษา กฎหมาย แพทย์ อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย เกิดลมพายุรุนแรง หนาวจัด การเดินทางขนส่งติดต่อสื่อสารเกิดปัญหา เกิดอัคคี ภัยใหญ่ วงการบันเทิงมีปัญหา สตรีและเด็กถูกละเมิดสิทธิรุนแรง เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญ อบายมุขเฟื่องฟู เกิดปัญหาสังคมมาก

รัฐสภาจะตกต่ำถูกครอบงำโดยอิทธิพลและผลประโยชน์ มีปัญหายุ่งยากกับประเทศเพื่อนบ้านเพราะคนต่างถิ่นต่างแดน คนหมู่มากเกิดวิวาทะ มีความคิดเห็นรุนแรง พร้อม ๆ กับมีการใช้กำลังอาวุธ

......อุปราคาครั้งที่ 2 วันที่ 15 ม.ค. 2553 เวลา 14.12 น. เกิด “สุริยุปราคาแบบวงแหวน” คำทำนายโดยสรุปคือ... ต้องระวังด้านการต่างประเทศ ในบางกรณีเกิดความผันแปรครั้งสำคัญทางการเมือง ดินฟ้าอากาศแปรปรวน พืชผล-เศรษฐกิจการค้าเสียหาย อุปราคาครั้งนี้เกิดในราศีมังกร ธาตุดิน ระวังการพังทลายของดิน อาคารบ้านช่อง อาณาเขตมีปัญหา การช่วงชิงผลประโยชน์เยี่ยงโจรเกิดขึ้นมากมายตามโจโรฤกษ์ที่แนวอุปราคาปรากฏ

รัฐบาลคะแนนนิยมตกต่ำเพราะปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชั่น สุขภาพประชาชน เกิดปัญหาระหว่างชนชั้นมากขึ้น มีการโจมตีใส่ร้ายบุคคลสำคัญ เกิดการสูญเสีย-การตายเพราะความแตกแยก ต้อง ระวังการสูญเสีย-การลอบสังหารบุคคลสำคัญ การปฏิวัติรัฐประหาร อาจมีให้เห็นอีก

......อุปราคาครั้งที่ 3 เกิด 26 มิ.ย. เวลา 18.32 น. เกิด “จันทรุปราคาแบบบางส่วน” ในราศีธนู ธาตุไฟ คำทำนายโดยสรุปคือ... เมื่อเกิดอุปราคาขึ้นในฤกษ์นี้จะทำให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะ ที่สังคมจะมีการเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ไม่เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและ กัน ไม่มีความเมตตาปรานี ขาดการประนีประนอม ต้องระวังเกิดความยุ่งยากเรื่องการชุมนุมประท้วงทางการเมือง แรงงาน เกิดคดีอาชญากรรมมากขึ้น เกิดพายุใหญ่ โรคภัยในคนและสัตว์ระบาดหนัก เกิดเชื้อโรคใหม่ วงการศาสนา ศึกษา แพทย์ กฎหมาย เกิดยุ่งยากสูญเสีย การเดินทางระวังเกิดอุบัติเหตุมาก

ต้องระวังการเกิดไฟไหม้ครั้งสำคัญ เกิดเหตุการณ์สาธารณะ ที่ตื่นเต้น เกิดเหตุฆาตกรรมสำคัญ บางกรณีอาจเกิดการปะทะของกองกำลังต่าง ๆ และเกิดการตายของประชาชนและบุคคลสำคัญ

.....อุปราคาครั้งที่ 4 เกิด 12 ก.ค. 2553 เวลา 02.42 น. เกิด “สุริยุปราคาเป็นสรรพคราส (มืดมิดดวง)” ในราศีมิถุน ธาตุลม คำทำนายโดยสรุปคือ... ต้องระวังเกิดลมพายุรุนแรง เกิดอุบัติเหตุ-ปัญหาทางการขนส่งคมนาคมการสื่อสาร รัฐสภาถูกครอบงำโดยอิทธิพล ผลประโยชน์ มีปัญหายุ่งยากเรื่องกฎหมาย พรรคการเมืองแตกแยก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผันแปร ผู้นำ-ผู้ปกครองเกิดอันตราย บุคคลมีชื่อเสียงป่วยหนักหรือถึงแก่กรรม รัฐบาลจะใช้มาตรการที่เฉียบ ขาดเพื่อให้เกิดความยำเกรง กองทัพกองกำลังจะเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด

ต้องระวังจะมีปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้น หรือเกิดอุบัติเหตุทำให้มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินครั้งสำคัญ มีอาชญา กรรมลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้น เกิดปัญหาลึกลับจากต่างด้าว

.....อุปราคาครั้งที่ 5 เกิด 21 ธ.ค. 2553 เวลา 15.14 น. เกิด “จันทรุปราคาเป็นสรรพคราส (มืดมิดดวง)” ในราศีมิถุน ธาตุ ลม คำทำนายโดยสรุปคือ...ต้องระวังเกิดยุ่งยากเรื่องผู้ใช้แรงงาน เกิดอาชญากรรมมาก เกิดโรคระบาดหนัก มีความยุ่งยากในวงการศาสนา ศึกษา กฎหมาย แพทย์ เกิดอุบัติเหตุมาก เกิดลมพายุทำลายล้างรุนแรง เกิดวิวาทะรุนแรง การใช้กำลังอาวุธ วงการศาสนาเกิดการแตกแยก การคมนาคมขนส่งสื่อสารเกิดปัญหา

วงการบันเทิง ศิลปิน มีปัญหา เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญในวงการ มีปัญหาระหว่างนายทุนกับผู้ใช้แรงงาน ธุรกิจขาดทุน งานบริการงานบันเทิงทรุดลง สุขภาพประชาชนถูกกระทบกระเทือน อบายมุขเฟื่องฟู ประชาชนจะลุ่มหลงในอบายมุขตามการโฆษณาชวนเชื่อ เกิดปัญหาสังคมขึ้นตามมามากมาย

ที่ว่ามาก็เป็นคำพยากรณ์โดยสรุปเกี่ยวกับ “อุปราคา” ในปี 2553 ซึ่งทางโหรมีเกณฑ์ในการพยากรณ์ที่เป็นหลักการ แต่ด้วยพื้นที่จำกัดจึงไม่อาจแจกแจงได้หมด ทั้งนี้ ทาง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ ยังระบุไว้ด้วยว่า.....

“การเกิดของอุปราคาแต่ละครั้งจะมีผลต่อคนไทยทั้งสิ้น...!
ไม่ว่าจะมองเห็นในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม ?!?!?”.

ภาพข่าวที่มา - ข่าวยามเช้า เดลินิวส์



สรุปเกี่ยวกับคราสทั้งหลายในปี 2553


......"คราส" หรือ "อุปราคา" (Eclipse) เป็นเรื่องสำคัญมากทางโหราศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบนิรายะนะ (Sidereal Zodiac) อันได้แก่ โหราศาสตร์ภารตะ ไทย พม่า ฯลฯ

ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ปัจจุบันนี้ มีผู้สนใจเรื่องคราสกันมากขึ้น

(1) "จันทรคราส - บางส่วน" ในวันที่ 1 มกราคม เวลา 2:13 น. ที่ 16 องศา 15 ลิปดา ในราศี เมถุน

(2) "สุริยคราส - วงแหวน" ในวันที่ 15 มกราคม เวลา 14:11 น. ที่ 1 องศา 1 ลิปดา ในราศี มังกร

(3) "จันทรคราส - บางส่วน" ในวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 18:31 น. ที่ 10 องศา 46 ลิปดา ในราศี ธนู

(4) "สุริยคราส - สรรพคราส" ในวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 2:40 น. ที่ 25 องศา 24 ลิปดา ในราศี เมถุน

(5) "จันทรคราส - สรรพคราส" ในวันที่ 21 ธันวาคม เวลา 15:13 น. ที่ 5 องศา 20 ลิปดา ในราศี เมถุน

ในปี 2553 นี้ มีจำนวนคราสทั้งหมด 5 ครั้ง เท่ากับปี 2552 ที่ผ่านมา โดยปกติ ปีหนึ่งจะมีคราส 4 ครั้ง แบ่งเป็น สุริยคราส และ จันทรคราส อย่างละครึ่ง ในปีที่มีคราสเกินกว่าปกติ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ที่มา - ธนูเกณฑร์
http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=30014





5

ตื่น..... จันทรคราส คืนสิ้นปี.....โหรเตือน ภัยพิบัติ ปี 2553


......"เผยคืนรอยต่อปีเก่า-ปีใหม่ 31 ธ.ค. ต่อเนื่อง 1 ม.ค. 53 จะมีปรากฏการณ์จันทรคราสบางส่วนนาน 1 ชั่วโมง นักดาราศาสตร์ชี้เป็นแค่เสี้ยวจันทรคราสที่แทบมองไม่เห็น ให้รอลุ้นสุริยคราส 15 ม.ค. 53 ดีกว่า แต่ในส่วนโหราศาสตร์ โหรดังอย่าง ”อรรถวิโรจน์” ชี้เป็นปรากฏการณ์ที่อาจส่งผลทางร้ายต่อดวงโลก ทั้งภัยธรรมชาติและภัยเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใน "เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย" (thaiastro.nectec. or.th) ระบุการเกิดอุปราคาครั้งสุดท้ายของปี 2552 เป็นจันทรุปราคาบางส่วน เกิดขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนของคืนวันพฤหัสบดีที่ 31 ธ.ค. 2552 เข้าสู่เช้ามืดวันศุกร์ที่ 1 ม.ค. 2553 ตามเวลาประเทศไทย (ยังเป็นวันที่ 31 ธ.ค. ค.ศ.2009 ตามเวลาสากล) พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้

ได้แก่ ทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และตะวันตกของออสเตรเลีย ทวีปเอเชียและออส เตรเลียเห็นปรากฏการณ์ในเช้ามืดวันที่ 1 ม.ค. 2553 ขณะดวงจันทร์เคลื่อนต่ำลงบนท้องฟ้าทิศตะวันตก ทวีปยุโรปและแอฟริกาเห็นในคืนวันที่ 31 ธ.ค. ขณะดวงจันทร์เคลื่อนสูงขึ้นบนท้องฟ้าทิศตะวันออก

ประเทศไทยเริ่มเห็น ดวงจันทร์แหว่งในเวลา 01.53 น. ขณะดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 70 องศา ทางทิศตะวันตก เงามืดเข้าบังดวงจันทร์ลึกที่สุดในเวลา 02.23 น. ด้วยขนาดเพียง 8% ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงประมาณ 60 องศา ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวงอีกครั้งในเวลา 02.53 น. รวมเกิดจันทรุปราคาบางส่วนนาน 1 ชั่วโมง

นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน นักวิชาการศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาท้องฟ้าจำลอง กล่าวว่า ปรากฏการณ์ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2552 ล่วงเข้าสู่วันที่ 1 ม.ค. 2553 จะเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเพียงนิดเดียว มองดูแทบไม่ออก ดวงจันทร์จะแหว่งนิดหนึ่งถ้าเทียบเป็นสัดส่วนคงลำบาก

โดยดวงจันทร์จะเคลื่อนเข้าเงามัวของโลก แต่เราดูไม่ออก เพราะดวงจันทร์ยังคงสว่างอยู่มาก จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลกในเวลาประมาณตี 2 จะเห็นดวงจันทร์มีลักษณะเว้าแหว่งเพียงนิดเดียว

นายสิทธิชัยกล่าวต่อ ว่า ปรากฏการณ์จันทรุ ปราคาครั้งนี้ดูได้ทั่วประเทศ แต่อาจมองไม่รู้ เพราะเกิดขึ้นเพียงนิดเดียวเหมือนเฉือนผิวส้ม ไม่มีอะไรพิเศษ ในทางดาราศาสตร์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่การสังเกตไม่เร้าใจเท่าไร แต่ในวันที่ 15 ม.ค. 2553 จะเกิดสุริยุปราคา เวลาประมาณบ่าย 2 โมงจนถึงช่วงเย็น อันนี้น่าดูมากกว่า จะเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง แต่การดูต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

น.อ.ฐากูร เกิดแก้ว หัวหน้าโครงการศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA) กล่าวว่า การเกิดจันทรุปราคาหนนี้ไม่ใช่จันทรุ ปราคาเต็มดวง แค่หมอง ซึ่งหมายถึงดวงจันทร์ไม่ได้มืดเต็มดวง จึงไม่น่าสนใจ และโปรโมตไม่ค่อยได้

สำหรับในแง่มุมของนักโหราศาสตร์นั้น พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา นักโหราศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า สำหรับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. 52 ถึงเช้ามืดวันที่ 1 ม.ค. 53 และวันที่ 15 ม.ค. 53 ถือเป็นลางบอกเหตุไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นกับโลกและประเทศไทย เพราะจันทรุปราคา มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า จันทรคราส ซึ่งคำว่า “คราส” แปลว่า ความรุนเเรง

ในส่วนของโลกนั้น ให้จับตาดู 2 เรื่อง คือ ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ และเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลก ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาตินั้น ให้จับตาดูในเรื่อง แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า เมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงอยู่ในแนวเดียวกันพอดี

จะทำให้เกิดพลังงานแม่เหล็กที่มีผลกระทบต่อโลก โดยในอดีตก็มีเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่มาแล้ว คือ สึนามิ ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโลก อาจเกิดเหตุภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เงินดอลลาร์ตก คนตกงาน ข้าวของแพง และผู้คนอดอยาก

“ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดู ในเรื่องของการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงด้วย เพราะในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงเสียชีวิต ล่าสุดได้เกิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่างไมเคิล แจ๊กสัน” นักโหราศาสตร์กล่าว

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น โหรชื่อดังระบุว่า ตามหลักโหราศาสตร์จะต้องดูลัคนาราศีด้วย โดยเดือนธ.ค. จะตรงกับราศีธนู ที่หมายถึง “ศาสนาและคุณธรรม” จึงอยากให้มองประเด็นไปที่จิตใจคน เพราะเมื่อคนไม่ละอายต่อบาป หรือไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา ก็จะไม่มีคุณธรรม จิตใจก็จะเสื่อม ทำให้ขาดจิตใต้สำนึก ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา

จึงอยากให้จับตาดูในเรื่องที่เกี่ยวข้อง คือ สังคมและเศรษฐกิจ โดยในปี”53 จะเป็นปีที่ต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดเหตุการณ์รุนแรงอย่างในอดีต ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะดวงคนมีความผูกพันกับดวงดาว

ที่มา webboard.yenta4.com/topic/365489

“วิธีแก้ไข ควรทำการบวงสรวงและสวดดวงชะตาดวงเมือง โดยมีพระสงฆ์ 108 รูป และพราหมณ์ในการทำพิธี เพื่อปัดเป่าเภทภัยให้ทุเลาลง” พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์กล่าวและว่า ขอร้องให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เสียสละ และมีความสามัคคี เพื่อให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดี“



◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 30/12/09 at 15:04

6

(Update 05-01-53)


ดูดวงปี 2553 ไพ่ยิปซี กับ อ.คฑา ชิญบัญชร

ราศีเมษ (15 เม.ย. - 14 พ.ค.)
ระหว่างวันที่ 15 เมษายน 14 พฤษภาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีเมษ

ราศีพฤษภ (15 พ.ค. - 14 มิ.ย.)
ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 14 มิถุนายน สำหรับผู้ที่เกิด ราศีพฤษ

ราศีเมถุน (15 มิ.ย. - 15 ก.ค.)
ระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 15 กรกฏาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีเมถุน

ราศีกรกฎ (16 ก.ค. - 16 ส.ค.)
ระหว่างวันที่ 16 กรกฏาคม 16 สิงหาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีกรกฏ

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. - 15 ก.ย.)
ระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม 15 กันยายน สำหรับผู้ที่เกิด ราศีสิงห์

ราศีกันย์ (15 ก.ย. - 16 ต.ค.)
ระหว่างวันที่ 16 กันยายน 16 ตุลาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีกันย์

ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 15 พ.ย.)
ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม 15 พฤศจิกายน สำหรับผู้ที่เกิด ราศีตุลย์

ราศีพิจิก (14 พ.ย. - 14 ธ.ค.)
ระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 14 ธันวาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีพิจิก

ราศีธนู (15 ธ.ค. - 13 ม.ค.)
ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 13 มกราคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีธนู

ราศีมังกร (14 ม.ค. - 13 ก.พ.)
ระหว่างวันที่ 14 มกราคม 13 กุมภาพันธ์ สำหรับผู้ที่เกิด ราศีมังกร

ราศีกุมภ์ (14 ก.พ. - 13 มี.ค.)
ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 13 มีนาคม สำหรับผู้ที่เกิด ราศีกุมภ์

ราศีมีน (14 มี.ค. - 14 เม.ย.)
ระหว่างวันที่ 14 มีนาคม 14 เมษายน สำหรับผู้ที่เกิด ราศีมีน




ดูดวงปี 2553 ฟ้าเมืองไทย หมอดูกระดองเต่า (อ.ฉัตรประเสริฐ รวยโภคทรัพย์)

วีไอพี หมอดูกระดองเต่า 1/2

วีไอพี หมอดูกระดองเต่า 2/2



7

พยากรณ์ปีหน้า 2553 ‘สังคม-พิบัติภัย’




‘ปีเสือทอง’ ก็ยัง ‘ดุ’

จากเรื่องของดวงการเมืองไทยใน ปีหน้า 2553 ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” นำเสนอไปแล้วเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา วันนี้มาดู “ดวงเมือง” ของไทยในปีหน้ากันต่อ กับเรื่อง “สภาพสังคม” และ “พิบัติภัย” รูปแบบต่าง ๆ

สังคม-ภัยธรรมชาติ-อุบัติภัย…ปีหน้าเป็นเช่นไร ??

หลักโหรทั้งตำราไทยและตำราจีน…บ่งชี้ดังต่อไปนี้…..


.....เริ่มที่หลักโหราศาสตร์ตำราจีน ทาง ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย ระบุในภาพรวม สรุปได้ว่า… เมื่อผ่านปีใหม่สากลไปจนถึง 14 ก.พ. 2553 วันตรุษจีนแล้ว ก็ก้าวเข้าสู่ปีนักษัตรขาล ธาตุทอง เป็น ปีเสือธาตุทอง หรือ ปีนกเอี้ยง

สภาพสังคมไทยโดยรวมหากผ่านความวุ่นวายทางการเมืองได้ ถ้าทุกฝ่ายลดละเลิกความโกรธความเกลียด-การถือทิฐิเพื่อการเอาชนะ เห็นแก่ความอยู่รอดและความเจริญของบ้านเมืองในอนาคต ก็จะส่งผลให้เป็นปีเสือธาตุทองที่แม้จะดุ แต่ก็มีคุณธรรมแฝงอยู่ในความดุดัน

อย่างไรก็ตาม กับสภาพสังคมในปีหน้านั้น ซินแสภาณุวัฒน์ บอกว่า… ในยุคนี้ที่เศรษฐกิจมีความผันผวนเปลี่ยนแปลง ไม่ค่อยดี ธุรกิจการสุ่มเสี่ยงโชคคือการพนันขันต่อจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ อบายมุขทั้งใต้ดิน-บนดินจะยังคงเป็นยุคเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องเตือนประชาชนคนไทยอย่าไปหลงมัวเมาต่ออบายมุขที่คนมีเงินมีอำนาจ สร้างขึ้นมามอมเมา เพราะนอกจากจะหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ยังอาจจะหมดทั้งลูก ทั้งเมีย ทั้งครอบครัว จนต้องหลบหลีกไปจากสังคมที่ตัวเองอยู่ จึงควรห่างอบายมุขไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ดีกว่ามารู้ตัวเมื่อสายเกินแก้ไข เสียแล้ว

ปีหน้า เรื่องศีลธรรมยังมักเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ แม้จะมีคนดีมีคุณธรรมออกมาปลุกกระแสให้คนในสังคมยึดมั่นถือมั่นในศีลธรรม ความถูกต้อง ปลุกกระแสให้วัยรุ่นอยู่ในกรอบของวัยที่เหมาะสม แต่ที่สุดก็มักพ่ายแพ้

“จะแพ้แก่คนที่มีกิเลสหนาที่มีบทบาทต่อสังคมเงินตรา สังคมที่มีแต่ผลประโยชน์ สังคมที่สวมหน้ากากเข้าหากัน ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หรือหน้าเนื้อใจเสือ คนมือถือสากปากถือศีลยังคอยทิ่มคอยตำคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ โดยฉากสังคมเบื้องหน้าดี แต่เบื้องหลังการถ่ายทำนั้นฟอนเฟะ จึงควรมีผู้กล้าออกมาเบรก ออกมาแฉให้สังคมได้รู้ถึงความเป็นจริงไว้บ้าง และจะได้กำจัดน้ำเสียออกจากน้ำดี เอาคนที่ไม่ดีออกไปเรื่อย ๆ” …ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทยระบุ

สำหรับเรื่อง ภัยธรรมชาติ-โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซินแสภาณุ วัฒน์บอกว่า… “ปีหน้าก็ถือเป็นช่วงปีของเสือดุ” แต่ถ้ามีการเตรียมพร้อมตั้งรับป้องกัน มีการช่วยเหลือ ให้ข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันด้วยความจริงใจ ก็จะทำให้ทุกเรื่องราวร้าย ๆ สามารถจะผ่อนหนักให้เป็นเบา แล้วสังคมไทย-คนไทยก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้



.....ด้านหลักโหราศาสตร์ตำราไทย อ.เก่งกาจ จงใจพระ ประธานสถาบันโหราศาสตร์เก่งกาจพยากรณ์ ทายทักสังคมไทย-ภัยธรรมชาติ-อุบัติภัยในปีหน้า 2553 ในภาพรวม สรุปได้ว่า… เหตุการณ์ที่จะเกิดในสังคมไทย-เมืองไทยในปี 2553 นอกเหนือจากเรื่องการเมืองนั้น เด็กวัยรุ่นจะสร้างความวุ่นวายกับสังคมเป็นปัญหาใหญ่กับบ้านเมือง เศรษฐกิจมีปัญหา เจอทั้งภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด สินค้ามีราคาแพงทำให้ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น

“จะเกิดโรคระบาดเกี่ยวกับตา เกิดไฟไหม้กลางเมือง ประชาชนเดือดเนื้อร้อนใจ ข้าราชการต้องคดีมากขึ้น โจรผู้ร้ายจะฮึกเหิม มีคดีจี้-ปล้น-ฆ่ามากขึ้น คนร้ายมีจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมมากขึ้น อากาศจะแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดู พืชพันธุ์ธัญญาหารจะขาดแคลน การทำมาหากินจะฝืดเคืองไม่แน่นอน”

ประธานสถาบันโหราศาสตร์เก่งกาจพยากรณ์ บอกอีกว่า…

ปีหน้าจะเกิดคราส 5 ครั้ง และส่งอิทธิพลตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี อย่างช่วงต้นปี วันที่ 1 ม.ค. มีจันทรคราส เวลา 02.14 น. ส่งผลต่อ ปัญหาธรรมชาติเกี่ยวกับลมและน้ำ ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะเกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่เฉพาะในไทย ขณะที่ผลที่จะเกิดขึ้นตามคราสนั้น ต้องระวังบุตรบริวารเรื่องยานพาหนะเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตและ ทรัพย์สิน ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้การอุปการะพึ่งพาอาศัยเกิดล้มป่วยปัจจุบันทันด่วน สร้างความเดือดร้อนกับครอบครัว เกิดเหตุเลวร้ายไม่คาดฝัน

วันที่ 15 ม.ค. อ.เก่งกาจบอกว่า…เกิดสุริยคราส เวลา 14.12 น. คราสที่ราศีพฤษภ ภพการเงินของดวงเมือง ธุรกิจนอกกฎหมาย อบายมุข สิ่งเสพติด จะขยายวงทั่วประเทศ การละเมิดลิขสิทธิ์มีมากขึ้น ธุรกิจบันเทิงจะประสบปัญหา ดาราศิลปินจะมีข่าวอื้อฉาวคาวโลกีย์ทำให้วงการตกต่ำ วัยรุ่นใจแตก ขายบริการทางเพศอย่างเปิดเผย โรคเอดส์แพร่กระจายขยายวงกว้าง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามอิทธิพลสุริยคราส ในวันอุบาทว์และโลกาวินาศ

“เดือน ม.ค.-มี.ค. ต้องระวังอัคคีภัยเผาผลาญบ้านเรือนในย่านอุตสาหกรรม ถิ่นสลัมที่หนาแน่น เดือน มี.ค.-พ.ค. ระวังแผ่นดินไหว ภัยแล้ง หลายจังหวัดเดือดร้อนน้ำกินน้ำใช้น้ำทำเกษตร เดือน ก.ค.-ก.ย. ระวังพายุฝนรุนแรง เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดทั้งภาคเหนือและอีสาน และ 10 ส.ค. มีดาวเดินวิปริตตามราหู 5 ดวง อธรรมจะฟูเฟื่อง เดือน พ.ย.-ธ.ค. ภาคใต้จะเจอภัยธรรมชาติ” …อ.เก่งกาจสรุปทิ้งท้าย


ก็เป็นคำทำนายสังคม-ภัยธรรมชาติ-อุบัติภัย…ปีหน้า ก็รู้ไว้ใช่ว่า…อย่าถึงกับตื่นกลัว…แต่อย่าประมาท !!!.


◄ll กลับสู่สารบัญ

ที่มา - หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


webmaster - 31/12/09 at 08:19

8




วิชาการสวนสัญญาณดีเศรษฐกิจฟื้น

ต้อนรับสู่ศักราชใหม่ หลังปิดฉาก ปีฉลู สุดหดหู่ด้านเศรษฐกิจ ทั้งเจอพิษ การเมืองในประเทศ ซ้ำด้วยเศรษฐกิจนอกประเทศ แถมส่งท้ายปลายปีด้วยกรณีมาบตาพุดเข้าไปดอกใหญ่ ๆ เลยกลายเป็นเศรษฐกิจปีวัวจุก ต่างมึบตึ้บไปตาม ๆ กัน เรื่องร้าย ๆ ที่ผ่านมาก็ขอให้ผ่านไป ส่วนเรื่องดี ๆ อยากให้เก็บไว้ให้ชุ่มชื่นหัวใจ เตรียมตัวเตรียมใจรับศึกปีขาล

เช่นเคยเหมือนทุกปี ณ พื้นที่นี้ทุกคนจะได้เต็มอิ่มกับการพยากรณ์เศรษฐกิจไว้เป็นคู่มือนำทางในการใช้ชีวิตทั้งจากสารพัดโหร ที่เคยฟันธงตรงเผงหลายเหตุการณ์จนน่าขนลุก ควบคู่มุมมองฝ่ายวิชาการ จากหน่วยงานเสาหลักเศรษฐกิจของประเทศว่า จะมองภาพ รวมเศรษฐกิจปีขาล จะเป็นเสือดาวรุ่งพุ่งทะยาน หรือเสือหัวหกก้นขวิดหลงทิศ หลงทางอย่างไรต้องติดตาม

ประเดิมด้วยโหรชื่อดัง “โสรัจจะ นวลอยู่” ขึ้นชื่อเรื่องฟันธงสุดโต่ง หลายคนฟังคำพยากรณ์ได้แต่ออกอาการเซ็งในอารมณ์ ไม่อยากฟังต่อ เพราะมีแต่เรื่องร้าย ๆ แต่ พอวันเวลาผ่านไปเป็นต้องสะดุ้งโหยง รีบกลับมาดูใหม่

อย่างที่ผ่านมาทำนายปีวัวดุ ถูกตั้งแต่เหตุจลาจลเม.ย. แดงเดือด กระทบชิ่งภาวะเศรษฐกิจตกวูบ กลางปีบริษัทใหญ่ปลดพนักงาน ก็ตรงกับเคส ไทรอัมพ์ปลดพนักงานลอตใหญ่ ต่อมาก็หุ้นหล่นวูบ ตลาดเกือบหยุดการซื้อขายชั่วคราว อุบัติ ทางเครื่องบิน ก็ตรงกับเครื่องบินบางกอกแอร์เวย์สชนเปรี้ยงที่เกาะสมุย และที่สำคัญมีปัญหากับ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเขมร จะลุกลามบานไม่หุบมาถึงปี 53

กลิ่นปฏิวัติมาแรง

โหรโสรัจจะ พยากรณ์เศรษฐกิจปีขาลผ่านดวงดาว เป็นเสือดุสุดหฤโหด เหตุการณ์ซ้ำร้ายแย่ยิ่งกว่าปี 52 และแย่ยิ่งกว่าปี 40 วิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเกิดจากดาวเสาร์ ซึ่งเป็นดาวเกี่ยวเนื่องกับภาวะเศรษฐกิจโดยตรง มาอยู่ในราศีกันย์ เป็น อริกับดวงเมือง และเล็งกับมฤตยู ทำให้เศรษฐกิจไทย และทั่วโลกตกต่ำถึงขีดสุดในรอบ 20 ปี

ปี 52 เหมือนปี “เผาหลอก” แต่ปี 53 นี่แหละ “เผาจริง” อย่างแน่นอน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐ อเมริกา จีน อังกฤษ หรือแม้กระทั่งอินเดียจะอยู่ห้วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ไทยยังถูกแรงกระแทกจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศรุมซ้ำเติมอีกด้วย

เดือนที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือ เดือนเม.ย. ที่ดาวพฤหัสบดี ของไทยกำลังโคจรร่วมกับพระพุธ และดาวมฤตยู เหมือนเป็นเดือนอาถรรพณ์ ที่ต้องจับตา เพราะจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมคือ เหตุจลาจล ยุบสภา แล้วอาจเกิดรัฐประหาร ครั้งนี้รุนแรง และจะสำเร็จไประยะนึง

แล้วต่อมาเดือน ต.ค. ถึงเดือน พ.ย. ฝ่ายเดิมจะกลับมาทวงคืน ถึงขั้นจลาจลนองเลือด อาจมีรัฐประหารอีกครั้ง และเหตุการณ์รุนแรงจะลากยาวถึงปี 54 ทำให้เกิดการว่างงานเยอะมาก ข้าวของแพง อาจถึงขั้นแบ่งปันแย่งชิงกัน หุ้นตกต่ำด่ำดิ่ง แล้วกลับมาเฟื่องฟูสลับปรับเปลี่ยน กันไป

ครั้งนี้ "โหรโสรัจจะ" ยังได้พยากรณ์เศรษฐกิจ ผสมกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่จะเกิดกับไทย และทั่วโลก ไล่ตั้งเดือน ม.ค.-ธ.ค. ดังนี้ เดือน ม.ค. ภาวะทางการเงินตึงตัว เศรษฐกิจของประเทศเริ่มตกต่ำอีก คนงานถูกปลดออกจากงานเป็นจำนวนมาก หุ้นตกวินาศ สันตะโร สถาบันทางการเงินซวนเซ

เดือน ก.พ. บ้านเมืองจะมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะถอยหลังกู่ไม่กลับ คนงานในบริษัทใหญ่โตของประเทศ และข้าราชการบางส่วนต้องถูกปลดออกจากงาน เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารซวนเซ ประเทศญี่ปุ่นตึงเครียด จะถูกบีบคั้นบางอย่างทางเศรษฐกิจ มีการกระทบกระทั่งกับเขมร

เดือน มี.ค. หุ้นจะตกอย่างแรง อาจมีธนาคารบางแห่งปิดตัว หรือควบรวมกันเกิดขึ้น โรงงานผลิตสินค้าจำหน่ายในประเทศจะประสบปัญหาทางการตลาด คนงานอาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากลดกำลังการผลิต บางโรงงานถึงขนาดต้องปิดตัวลง เกิดปัญหาการว่างงาน ดาวมฤตยู ซึ่งเป็นดวงดาวแห่งการปฏิวัติเริ่มลอยอยู่เหนือฟ้ากรุงเทพฯ ปลายเดือนเริ่มขัดแย้งรุนแรงกับสหรัฐอเมริกา เป็นผลมาจากข้อตกลงทางเศรษฐกิจ

เดือน เม.ย. ดาวแห่งไทยสยาม โคจรเข้ามุมฉากกับดาวบาปเคราะห์ที่ทำมุมจตุโกณ เป็นเดือนที่หนักสาหัสที่สุดในรอบปี รัฐบาลจะต้องเผชิญปัญหาสำคัญใหญ่หลวง จะเกิดปฏิวัติรัฐประหารครั้งใหญ่ เลือดนองทั่วแผ่นดิน โลกจะเกิดวิบัติ เศรษฐกิจทั่วโลกจะตกต่ำทั่วทุกมุมโลก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดโลกจะผันผวน กระเทือนมาถึงค่าเงินบาทไทย ธุรกิจสับสน เศรษฐกิจไทยจะตกต่ำถึงขีดสุด และจะเกิดเหตุเครื่องบินภายในประเทศตก

เดือน พ.ค. เศรษฐกิจจะตกต่ำต่อเนื่อง หุ้นจะตกรุนแรง ธนาคารขนาดใหญ่จะซวนเซ กำลังซื้อลดลง มีการปลดคนงานทั่วประเทศ ไข้หวัดนกกลับมาระบาดอีกครั้ง เดือน มิ.ย. เศรษฐกิจยังตกต่ำ หุ้นตกอย่างรุนแรง ไทยจะเสียเปรียบทางการค้ากับต่างประเทศ เป็นหนี้สินจำนวนมาก

รัฐบาลจะต้องเผชิญปัญหารัฐวิสาหกิจก่อหวอดเป็นจำนวนมาก เรือโดยสารล่ม ตายหมู่เป็นจำนวนมาก เดือน ก.ค. มีเครื่องบินตกในประเทศ ชาวนากรรมกรมีหนี้สินจำนวนมาก ธุรกิจสับสน กระแสเงินตรามีจุดตึงเครียด ค่าเงินบาทลดลงอย่างรุนแรง ธนาคารมีปัญหา หุ้นตก

ไทยเหนื่อยเปิดสงครามเขมร

เดือน ส.ค. เขมรบุกประเทศ ส่งกำลังเข้าโจมตี กลายเป็นสงครามที่ไม่เคยมีกับประเทศเพื่อนบ้านมานานแล้ว ธนาคารระส่ำหนัก มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งใหญ่ รัฐบาลประกาศขึ้นภาษี เงินบาทลอยตัวสูง บุคคลที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศล้มละลายจะถูกลงโทษ เดือน ก.ย. เศรษฐกิจยังคงย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง เดือน ต.ค. บุคคล ในเครื่องแบบจะกลับมามีบทบาท เกิดการ จลาจล รัฐประหารครั้งใหญ่ เกิดการนองเลือดอีกครั้ง ยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำเข้าไปอีก

เดือน พ.ย. อาจเกิดการจลาจลอีกครั้ง อาจเกิดรัฐประหารอีกครั้ง หุ้นตกอย่างรุนแรง ถึงขนาดตลาดหลักทรัพย์ต้องปิดตัวลงเป็นครั้งคราว และจะเกิดภัยธรรมชาติครั้งรุนแรง น้ำทะลักท่วมหลายจังหวัด เดือน ธ.ค. ระยะนี้ ดาวเคราะห์เบียดหนัก เกิดการแตกแยกความสามัคคี มีการลอบวางระเบิด เขื่อนยักษ์แตก น้ำทะลักหลายจังหวัด หุ้นตกอย่างรุนแรงมาก กว่าปีก่อน ๆ หลายเหตุการณ์ทำให้เศรษฐกิจล้มเหลว เกิดหิมะตกในกรุงเทพฯ

โหรโสรัจจะ ย้ำตอนท้าย ทุกอย่างเป็นการพยากรณ์ ตามดวงดาวที่อาจจะสุดโต่ง บางเหตุการณ์อาจไม่ได้เกิดขนาดนั้น แต่จะเป็นเค้าโครงเรื่องที่จะเกิดขึ้น ไม่อยากให้งมงายกัน แต่ก็อยากเตือนสติไม่ให้คนประมาท บางครั้งผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบ ประมาทแล้วเตรียมตัวกันไม่ทัน แต่ปีขาลครั้งนี้ มีโอกาสสุดโต่งค่อนข้างสูง ที่คาดการณ์ไว้ อาจเกิดขึ้นทั้งหมดในปี 53 และลากยาวถึงปี 54

แต่ไทยโชคดีที่มี พระสยามเทวาธิราช คอยปกปักรักษา ทุกอย่างจะค่อย ๆ ฟื้นตัวได้ ภายหลังมรสุมผ่านไป และจะผ่านพ้นไปได้ทุกที และจะกลับมาตั้งหลักได้ในปี 56-57 ครั้งนี้ไทยจะรุ่งเรืองถึงขีดสุดมากกว่าครั้งอดีต โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และจะเจอแร่ทองคำ และน้ำมันเยอะมาก จนหลาย ๆ ประเทศจะพากันอิจฉา

ทุก 10 ปี วิกฤติตามมาหลอน

หลังจากพยากรณ์ผ่านดวงดาว ลองมาเปลี่ยนอารมณ์ดูฟากฮวงจุ้ย ฟันธงเศรษฐกิจปี 53 กันบ้าง อะไรจะรุ่ง อะไรจะริ่ง ได้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง “อ.มาศ เคหาสน์ธรรม” ประธานสถาบันค้นคว้าวิชาการฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทย แถมเป็นซินแสชื่อดังติด 1 ใน 3 ของโลก ปีก่อน อ.มาศ พยากรณ์ตรงเผงทั้งปัญหามาบตาพุด การขึ้นลงของราคาหุ้นและราคาทอง โดยเฉพาะราคาทองคำที่ทำลายสถิติสูงสุดเป็นว่าเล่น

ปีขาลครั้งนี้ อ.มาศ มองเป็นปีแห่งพลังธาตุไม้ ที่มาพร้อมกับธาตุทอง โดยไม้กับทองเป็นคู่พิฆาต เรียกว่า...ปีเสือบาดเจ็บ ขวานปักอก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งไปทั่วโลกแทบทุกเดือนโดยปีขาลใน 3 ครั้งที่ผ่านมาทั้งในปี 2490 2539 และ 2541 ได้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่พังลง และปีขาลครั้งล่าสุด จะเกิดผลพวงที่เกิดจากสึนามิทางการเงิน...โรคต้มยำกุ้งที่กระจายระบาดไปทั่วโลก ซึ่งจะเกิดหนึ่งครั้งต่อศตวรรษ

ในคัมภีร์อี้จิงนั้น...ปีนี้ได้ฉกลักษณ์ “เคี้ยง/จิ้ง” ซึ่งบ่งบอกว่า ผู้นำอาจถูกยึดอำนาจ และหลายประเทศจะพบกับความไม่มั่นคงทางการเมือง การให้รางวัลแก่ผู้ดำรง ความเป็นธรรม พลังงานประจำปีเป็นดาว 8 ซึ่งปราณมงคลทับซ้อนกับพลังงานประจำยุค ส่งผลให้ใครที่ดวงดีจะยิ่งเจริญรุ่งเรืองหลายเท่า ในขณะที่ใครกำลังดวงตกเคยร้าย ก็จะยิ่งดำดิ่งเลวร้ายจมลึก

เศรษฐกิจในยุโรป และอเมริกาจะไปได้ดีช่วงเวลาสั้น ๆ ราคาน้ำมันจะเริ่มขยับขึ้น การเก็งกำไรกลับมาคึกคัก ทำให้การฟื้นตัวมีอุปสรรคช่วงครึ่งปีหลัง จะ มีการเดินขบวนประท้วงขนาดใหญ่และการนัด หยุดงานเกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งจะหนักหน่วงมากในอเมริกาและอังกฤษ แถมมีการฟาดฟันขัดแย้งกัน ทำให้ตลาดหุ้น ตลาดค้า และค่าเงินมีความผกผันรุนแรง ดังนั้นต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังอ่อนลงต่อเนื่องอีก 2-3 ปี ทำให้ราคาทองจะพุ่งขึ้นไปถึง บาทละ 22,000-24,000 บาท มีทิศทางเป็นขาขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดที่ปีมะโรง พ.ศ. 2555 หลังจากนั้นจะเริ่มถดถอยตกต่ำลงโดยในภาพรวมนั้น...สภาวะเศรษฐกิจของเอเชียและออสเตรเลียจะยังไปได้ดีโดยเฉพาะในประเทศจีนที่รุ่งเรืองเป็นพิเศษ

ฮวงจุ้ยปี 53 จะเป็นปีแห่งความแตกแยกอย่างรุนแรง สถานการณ์จะสุกงอมไปถึงจุดแห่งความเปลี่ยนแปลง เหมือนฝีใหญ่ที่กำลังจะระเบิด ดวงนายกฯ อภิสิทธิ์ตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต อาจต้องระวังอุบัติเหตุที่รุนแรงและการถูกทำร้าย การเดินทางจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูง ขณะที่คนแดนไกลเริ่มดวงขึ้นฟ้าเปิดหลังตกต่ำมา 3 ปี จะเป็นจังหวะให้ขยับรุกฆาต ซึ่งบอกเท่านี้ก็คงพอจินตนาการออกว่าปีเสือเจ็บเที่ยวนี้จะน่าประหวั่นพรั่นพรึงสักเพียงใด ทุกคนคงจะต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

ปีนี้พลังจักรวาลส่งผลดีด้านการค้าและอาชีพที่เกี่ยวกับธาตุน้ำ อาชีพที่ดีในปีนี้ ปิโตรเลียม การเงิน การธนาคาร ประกันภัย เทคโนโลยี ของทะเล ผลิตภัณฑ์จากทะเล การขนส่งทางทะเล เครื่องไฟฟ้า ลอตเตอรี่ ฮวงจุ้ย การให้คำปรึกษา ยาที่มีส่วนประกอบทางชีวภาพ ข้อมูล เครื่องดื่มเย็น การแพทย์ อาชีพปานกลาง สื่อสาร ไฟฟ้า พลังงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม โหราศาสตร์ การโฆษณา ผลิตภัณฑ์แร่ธาตุ ศิลปะ รถยนต์ การบิน การพิมพ์ ความบันเทิง ของขวัญ การประมง ผลิตภัณฑ์อาหาร อาชีพไม่ดี เกษตรกรรม การท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศ ก่อสร้าง ดอกไม้ เครื่องเรือน โลหะภัณฑ์ สิ่งทอ ความงาม อัญมณี สิ่งพิมพ์

อ.มาศ ยังได้ฟันธงภาวะตลาดหุ้น และราคาทองคำปีขาลจะพุ่งปรี๊ดถึงขีดสุดอีกหรือไม่ บอกกันเดือนต่อเดือนให้เห็นให้เก็งกำไรกันชัด ๆ จะจะกันไปเลย ... ม.ค. ทองดี หุ้นตก ก.พ. หุ้นเริ่มขยับ มี.ค. หุ้นคึก เม.ย. ทองโดด พ.ค. ไฮเทคร่วง ทองขึ้นติดพัน มิ.ย. หุ้นเด่น ก.ค. หุ้นพุ่ง ส.ค. เล่นทอง ก.ย. ทอง ทอง ทองเท่านั้น ต.ค. หาจังหวะเข้าตลาด พ.ย. หุ้นโกยแล้วจร ธ.ค. หุ้นขยับแล้ววูบ

ทิศทางฮวงจุ้ยปี 53 ทิศตะวันออกและตะวันตก จะเปล่งพลังโชคลาภเข้ามาแบบจัง ๆ ส่วนทิศร้ายคือทางทิศเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพลังเกี่ยวกับความวิบัติเลวร้ายมาให้ผู้อยู่อาศัย
แนะทิศเสริมธุรกิจรุ่ง

และตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. เป็นต้นไปใครที่บ้านหันไปทางทิศตะวันออกหรือนั่งทำงานในบริเวณทิศตะวันออกของสำนักงาน...มีโอกาสจะได้รับการเลื่อนขั้น ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันตกจะโชคดีได้เงิน แต่เดินทางบ่อย ส่วนดาราหรือคนที่อยากเด่นดังแนะนำว่าให้นั่งในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งทิศนี้ใครที่ทำงานด้านตรวจสอบหรือขายไอเดีย ก็จะสมองแจ่มใสมีความคิดดี ๆ แวบเข้ามาบ่อย ๆ

ปีนี้ห้ามตกแต่งใหม่ หรือทำการต่อเติมทางทิศเหนือ และ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของบ้านและที่ทำงานจะนำมาซึ่งการเกิดภัยพิบัติขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน อาจถึงสูญเสียหนักถึงแก่ชีวิตได้ง่าย ๆ ควรเลี่ยงการตกแต่ง บ้าน ขุดดินปลูกต้นไม้หรือทำสวนในทิศนี้ด้วย ถ้าจำเป็นก็ต้องเลือกวันมงคลซึ่งมีพลังที่ดี และให้วางโคมไฟแดงทางทิศเหนือ และโลหะวาว ๆ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้

หากเริ่มที่กระทำทางทิศตะวันออกหรือตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่เป็นมงคล จะก่อเกิดโชคลาภ นำมาซึ่งความกลมเกลียวและอำนาจ ส่วนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ... จะนำมาซึ่งความเจ็บป่วย ให้นำของตกแต่งที่เป็นโลหะวาว ๆ หรือน้ำเต้ามาประดับไว้ทางทิศนี้ เพื่อป้องกันดาวโรคภัยมิให้รุกราน หากหันทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะต้องระวังเรื่องไฟ และการใช้ความรุนแรง

ทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้ ...มีพลังร้ายทำให้เกิดการวิวาทบ่อยครั้งทางบ้านและที่ทำงานซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ให้จัดวางโคมไฟแดงไว้จะช่วยปรับปรุงธุรกิจและก่อเกิดความสามัคคีที่บ้านและที่ทำงาน จะต้องให้ความใส่ใจกับบริเวณท่าเรือเนื่องจากอาจบังเกิดวิบัติภัยแบบไม่คาดฝันจากมนุษย์ได้
สศช.ชี้เศรษฐกิจเริ่มสร่างไข้

ได้ยินได้ฟังสารพัดโหรฟันธง เชื่อว่า หลายคนคงรู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่การพยากรณ์ ผ่านตำราโหราศาสตร์ ถือเป็นทฤษฎีที่กำหนด ขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักในการพยากรณ์เท่านั้น อาจเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ และให้ครอบ คลุมในการพยากรณ์เศรษฐกิจปีขาล ต้องฟังเสาหลักสำคัญเศรษฐกิจของประเทศ

อย่าง “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ออกมาหักธงโหรว่า เศรษฐกิจปีเสือจะฟื้นตัวจนสามารถขยายตัวได้มากถึงระดับ 3-4% แน่นอน เพราะอย่างแรกในปี 52 ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังคงหดตัวติดลบที่ไม่เกิน 3% ซึ่งเป็นฐานที่ต่ำเมื่อนำมาคำนวณทางตัวเลขแล้วในปี 53 เศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวแน่ ๆ

ขณะเดียวกันยังได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ขณะที่รัฐบาลได้ใช้นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเป็นแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของเอกชนมาก ขึ้นและนำไปสู่การบริโภคในประเทศโดยรวมขยับตามขึ้นไปด้วย ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5% จากที่ยังหดตัวในปี 52 ที่ติดลบ 0.2% ส่วนการลงทุนโดยรวมน่าจะขยายตัวได้ที่ 3.8% จากที่ติดลบมากถึง 8.6% การส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐเพิ่ม 10% การนำเข้าขยายตัว 18.5% ทำให้เกินดุลการค้าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2.5-3.5%

แต่ไม่ว่า สศช. จะประมาณการภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าว่าเติบโตได้สวยหรูเพียงใด แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญว่านโยบายเศรษฐกิจต้องมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการลงทุน 8 แสนล้านบาท ของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ จนถึงขนาดที่ “อำพน กิตติอำ พน” เลขาธิการ สศช. ต้องออกมาเปรยว่า

“เราไม่มีเวลาพอให้กับการเปลี่ยนแปลงหรือความขัดแย้งทางนโยบายเศรษฐกิจอีกแล้ว นั่นหมายความว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศต้องสงบ ไม่มีความวุ่นวายร้ายแรง ไม่เช่นนั้นเราจะสูญเสียโอกาสจากการที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว จนทำให้เศรษฐกิจไทยไม่มีโอกาสขยายตัวได้อีกต่อไป

ดังนั้นรัฐบาลต้องเป็นแกนนำในการลงทุน เพื่อก่อให้เกิดความเชื่อมั่นหลังจากนั้นเอกชนก็จะลงทุนตามมาเอง รวมทั้งรัฐบาลต้องเร่งเคลียร์ปัญหาในมาบตาพุดให้จบโดย เร็วด้วย”

เปิดโผธุรกิจรุ่ง-ร่วง

สำหรับอุตสาหกรรมดาวรุ่ง และดาวร่วงที่ สำนักงานรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำรวจไว้ โดยแบ่งออกเป็น กลุ่มเอ เขตเติบโต เป็นธุรกิจที่ไปโลด เพราะมีรายได้ดี ผลตอบแทนสูง และมีความสามารถชำระหนี้ได้ เช่น เยื่อกระดาษ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ สิ่งพิมพ์เคมีภัณฑ์ เครื่องดื่ม บริการทางการเงิน

ส่วน กลุ่มบี เป็นกลุ่มที่มีอนาคต อยู่ในภาวะฟื้นตัวเข้ามาอยู่ในระดับปกติแล้ว เช่น เหล็ก โลหะ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ขนมอบกรอบ ผลิตภัณฑ์น้ำตาล ยาสูบ ยาสมุนไพร บริการโลจิสติกส์ บริการไปรษณีย์ และโทรคมนาคม บริการที่ปรึกษา บริการอำนวยการ บริการวัฒนธรรม บันเทิง กีฬา ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง

กลุ่มซี เขตเฝ้าระวัง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หนัง ผลิตภัณฑ์พลาสติก แป้ง บริการก่อสร้าง โรงแรม ภัตตาคาร บริการให้เช่าสินทรัพย์ บริการเสริมสร้างสุขภาพ สปา

กลุ่มดี เขตเฝ้าระวังพิเศษ ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องผลตอบแทนต่ำ และมีการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ แก้ว และเซรามิก เป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด

สุดท้ายขอย้ำว่า การพยากรณ์เศรษฐ กิจเป็นการคาดคะเนล่วงหน้า อาจเกิดขึ้นจริง หรือไม่จริงก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าหลงเชื่องมงายจนเกินเหตุ ในทางกลับกัน การทำนายทายทักล่วงหน้า ก็เพื่อให้ทุกคนเดินหน้าอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญต้องตั้งสติรับมือแก้ปัญหา ขอให้ปีขาลครั้งนี้ เป็นปีเสือทองร่ำรวย เงินทอง ร่ำรวยความสุขสำหรับทุกคน.

ที่มา - จิตวดี เพ็งมาก : เศรษฐกิจ เดลินิวส์

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 31/12/09 at 08:42

9

ลาปีฉลู...สวัสดีปีขาล


ค้นเรื่องราวความหมายของ 'เสือ'

........นับถอยหลังเหลือเวลาอีกไม่นานสำหรับปีฉลูที่กำลังจะก้าวผ่าน และก็อีกไม่นานเช่นเดียวกัน สำหรับการต้อนรับ ปีพุทธศักราชใหม่ 2553 ปีขาลนักษัตรลำดับสามที่ใกล้จะมาถึง

วันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรมให้ความหมายคำว่า ปี หมายถึงเวลาที่โลกโคจรรอบ ดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน หรือ 12 เดือนตามสุริยคติ ตามจารีตประเพณีของไทย ถือวันแรมหนึ่งค่ำเดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพุทธศาสนาที่เริ่มฤดูหนาวเป็นจุดเริ่มต้นของปี

จากนั้นเปลี่ยนมาใช้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่โดยนับวัน เดือน ปีแบบจันทรคติ คือการโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์ แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ก็ถือวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่

ในปี พ.ศ. 2483 วันขึ้นปีใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งตามแบบสากลเพื่อให้สอดคล้องกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกและต้องการให้เป็น สากลมากขึ้น แต่ทั้งนี้ประเพณี การขึ้นปีใหม่ในวันสงกรานต์นั้นยังคงให้มีอยู่ด้วยถือว่าเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามควรแก่การอนุรักษ์ให้มีการสืบทอด

ส่วนการนับด้วยปีนัก ษัตรมีปรากฏมายาวนาน ต่อเนื่องจากปีชวด ฉลูก็มาถึง ขาล โดยมี เสือ สัตว์ที่มีพละกำลังความน่าเกรงขามเป็น สัญลักษณ์ประจำนักษัตร ดังนั้นเพื่อการรู้จักกับเรื่องราวของเสือหลากหลายแง่มุมยิ่งขึ้น ก่อนบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่โอกาสนี้ได้รวบรวมสีสันความหมายที่เกี่ยวเนื่องกับเสือโดยมีนักวิชาการวัฒนธรรม ส่วนหนึ่งจากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติมาร่วมบอกเล่า

"เสือ" เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดี (Felidae) วงศ์เดียวกับแมว เป็นสัตว์นักล่าที่ชาญฉลาดและน่าเกรงขามโดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ มักทำให้ผู้พบเห็นเป็นครั้งแรกเกิดความหวาดหวั่น กลัวเกรงในพละกำลังอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็จะรู้สึกประทับใจในความสง่างาม

เสือจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชาแห่งสัตว์ป่า ขณะที่สิงโตที่มักเรียกกันว่า เจ้าป่า นั้นจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับเสือ แต่อยู่ในสกุลแพนเทอรา เป็นเสือขนาดใหญ่ที่สามารถส่งเสียงคำรามได้ เพราะมีเส้นเอ็นเสียงลักษณะพิเศษเฉพาะและถือเป็นเอกลักษณ์ที่สัตว์อื่นไม่สามารถทำได้โดยเสือสกุลนี้นอกเหนือจากสิงโตแล้วยังมีเสือโคร่ง เสือดาว เสือจา กัวร์ และเสือพูม่า

ส่วนเสือขนาดกลางและขนาดเล็ก อาทิ เสือลายเมฆ เสือชีตาห์ เป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกจะไม่สามารถคำรามได้ แต่ส่งเสียงขู่ได้ เสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามป่าและทุ่งหญ้าไม่ชอบน้ำ เสือเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสที่ดีมาก โดยเฉพาะประสาทด้านการมองเห็นที่สามารถมองเห็นภาพเป็นมิติได้เช่นเดียวกับคนและลิง เสือมีกล่องหูขนาดใหญ่จึงได้ยินเสียงได้ดี แต่ประสาทด้านดมกลิ่นไม่ดีนัก

ลักษณะพิเศษอีกอย่างของเสือ คือสามารถซ่อนเล็บไว้ในปลายนิ้วเท้า เมื่อต้องการ จับเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็นอาวุธเพื่อฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่ง เล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้มากขึ้น นอกจากนี้การหดซ่อนเล็บของเสือยังเป็น การรักษาความแหลมคมของเล็บไว้ ช่วยป้องกันการขูดขีดขณะเดินหรือเคลื่อนไหวตามปกติ

ขณะที่เสือเป็นสัตว์รักสงบ แต่เมื่อต้องล่าเหยื่อก็จะกลายเป็นสัตว์ที่อันตรายและ ดุร้ายที่สุด จึงมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความเชื่อต่าง ๆ ซึ่งมีมาแต่ครั้งโบราณ อ.สุจริต บัวพิมพ์ นักวัฒนธรรมอาวุโส ที่ปรึกษาสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม ให้ความรู้ว่า ปีขาล ตามที่ทราบหรือรู้จักกันว่าเป็น ปีเสือ

ซึ่งคำนี้แม้จะไม่ได้หมายถึง เสือ แต่การที่นำสัตว์มาแทนสัญลักษณ์ปีก็เพื่อให้เกิดการจดจำและหลายชาติต่างก็นำสัตว์มาเป็นตัวแทนของปี แต่บางครั้งอาจมีการนำบุคลิก อุปนิสัยของสัตว์ชนิดนั้นมาเป็นตัวแทนเกี่ยวข้องกับเรื่องปีด้วย

“หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว ฯลฯ ต่างก็มีการนำสัตว์มาเป็นสัญลักษณ์และก็อาจแตกต่างกันไปบ้าง อย่างปีมะโรงของเราเป็นงู แต่มะโรงของจีนเป็นมังกร ปีเถาะของเราเป็นกระต่าย ประเทศญี่ปุ่นเป็นแมว ฯลฯ ส่วนการนำสัตว์มาเป็นสัญลักษณ์ เป็นสื่อแทนจากตำนานที่ปรากฏก็ไม่ได้มีบอกเล่า เพียงแต่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเล่า ตำนานนั้น ๆ ซึ่งจะกล่าวถึงการนำสัตว์ต่าง ๆ มาเป็นสัญลักษณ์แทนปี”

แต่อย่างไรก็ตามปีขาลที่มีเสือเป็นสัญลักษณ์และมีการกล่าวถึงความดุของเสือก็ต้องระมัดระวัง นำมาย้ำเตือนการดำเนินชีวิตไม่ให้ประมาท อย่างในสำนวนไทยไม่ว่าจะเป็น คำสุภาษิตหรือคำพังเพยนั้น ก็มีเรื่องราวของเสืออยู่ไม่น้อย อย่าง เขียนเสือให้วัวกลัว อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ เสือกลับใจ ฯลฯ

“เสือที่นำมากล่าวกันโดยมากมักเป็นนัยความหมายที่เปรียบถึงเสือซึ่งเสือหมายถึงอำนาจ ความดุ แต่ไม่ว่าจะเป็นสุภาษิตคำสอนหรือคำพังเพย คำเปรียบเปรยฝาก มุมมองแง่คิดต่างสอนใจและสำนวนไทยเหล่านี้ได้ถ่ายทอดคุณค่าที่สัมผัสได้ แต่ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่การสอนเตือนผ่านสุภาษิต คำพังเพยห่างไกลออกไป ทั้งนี้เพราะขาดการนำมาใช้ไม่มีการสืบทอด เด็กรุ่นใหม่จึงไม่ทราบความหมายคุณค่าของสำนวนไทยซึ่งมีความหมายต่อการเรียนรู้ภาษาไทย วิถีวัฒนธรรมไทย” นักวัฒนธรรมอาวุโสกล่าว

นอกจากนี้ยังมีสำนวนไทยที่เกี่ยวกับเสือที่มักได้ยินได้ฟังบ่อยครั้ง อย่าง เสือซ่อนเล็บ ผู้ที่เก่งกล้าสามารถแต่ไม่ยอมแสดงให้ปรากฏ หนีเสือปะจระเข้ หมายถึง หนีภัยอย่างหนึ่งมา แล้วต้องมาพบภัยอีกอย่างหนึ่ง เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ หมายถึง เลี้ยงลูกศัตรูหรือลูกคนพาลทำให้เดือดร้อนภายหลัง

เสือนอนกิน คนที่ได้รับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง หน้าเนื้อใจเสือ หมายถึง คนที่มองดูภายนอกเหมือนคนซื่อหรือคนดี แต่ที่จริงแล้วเป็นคนร้าย เสือไว้ลาย คนมีความสามารถ ทำอะไรย่อมแสดงฝีไม้ลายมือ เสือรู้คนที่มีไหวพริบหรือฉลาดเอาตัวรอด จับเสือมือเปล่า ทำการใดโดยไม่ต้องลงทุน เป็นต้น

อีกทั้งยังมีเรื่องราวความน่ารักของตัวการ์ตูนเสือขวัญใจเด็ก ๆ อย่าง หน้ากากเสือ การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องราวของนักมวยปล้ำฝีมือดีจากถ้ำเสือผู้อุทิศตนเพื่อเด็กกำพร้า พิงค์แพนเตอร์ การ์ตูนที่มีเสือโย่งสีชมพูสดใสอารมณ์ขันมีความชาญฉลาดเป็นตัวชูโรง ขณะที่ ทิกเกอร์ เป็นเสือการ์ตูนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนหมีพูห์ที่มีความน่ารักมีเอกลักษณ์ชวนจดจำ ฯลฯ

ในเรื่องราวของเสือยังมีการกล่าวถึงบุคคล สถานที่รวมทั้งมีนิทานพื้นบ้านของไทย อย่าง หลวิชัยคาวี ถ่ายทอดเรื่องราวของลูกเสือที่มีความกตัญญูต่อแม่โค และทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับเสือที่นำมาบอกเล่าให้ท่านทั้งหลายทำความรู้จัก เพื่อต้อนรับปีขาลที่กำลังจะมาถึง

ขณะที่ปีเก่ากำลังจะลาผ่านไป ปีพุทธศักราชใหม่คิดทำสิ่งใด ตั้งมั่นจะลด ละ เลิกสิ่งใดที่ตั้งใจไว้ช่วงเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นอีกโอกาสที่ดีที่จะเริ่มต้น...สวัสดีปีใหม่.


ที่มา - ทีมวาไรตี้ เดลินิวส์

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 3/1/10 at 20:17


webmaster - 4/1/10 at 09:47

11

(Update 04-01-53)











วู๊ดดี้คุยเรื่อง "ดวงชะตาบ้านเมือง" กับ "โหรวารินทร์" ทาง MCOT

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/1/10 at 08:14


webmaster - 7/1/10 at 06:52

13

(Update 07-01-53)


ดูดวงปี 2553 "นอสตราดามุสเมืองไทย" พยากรณ์ดวงปี 2553

siam55.com ขอขอบคุณบทความดีๆเรื่อง "นอสตราดามุสเมืองไทย" พยากรณ์ดวงปี 53 จากกะปุกดอทคอม

.......นายโสรัจจะ นวลอยู่ นักพยากรณ์ชื่อดังเจ้าของฉายา “นอสตราดามุสเมืองไทย” ซึ่งเคยทำนายดวงเมืองทั้งของประเทศไทยและโลกได้อย่างแม่นยำมาหลายต่อหลาย ครั้ง อาทิเช่น เหตุการณ์ก่อการร้าย 11 กันยายน 2544, การแพร่ระบาดของไข้หวัดนก, เหตุการณ์สึนามิ 26 ธันวาคม 2547, การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้น ได้เขียนคำพยากรณ์ดวงเมืองประจำปี 2553 เผยแพร่ในหนังสือ “ศาสตร์แห่งโหร 2553″ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นรายเดือน ดังต่อไปนี้


มกราคม

คนจำนวนมากต้องตายลงอย่างกะทันหันจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่จะแพร่ ขยายพันธุ์ทางอากาศ บ้านเมืองจะมีการปฏิรูปใหญ่ นักวิชาการจะมีบทบาทเข้ามาบริหารบ้านเมือง ปัญหาอันยุ่งยากซับซ้อนของบ้านเมือง ต่อให้เทวดาหน้าไหนมาแก้ไขก็เห็นจะแก้ให้คืนดีได้ยาก เว้นแต่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามกาลเทศะเท่านั้น

การเมืองของไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจมีผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง จะเกิดการผ่าตัดปฏิรูปหรือปฏิวัติตัวเองเป็นการใหญ่แบบพลิกแผ่นดินขึ้นใน เมืองไทย เป็นระยะที่นายกรัฐมนตรีจักเป็นอันตราย คนสำคัญจะล่วงลับไป

กรุงเทพฯจะถูกก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ ผู้คนล้มตาย สถานทูตและตึกรามบ้านช่องถูกทำลาย มีการตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนตร์ จะมีเครื่องบินภายในประเทศตก จะสูญเสียบุคคลสำคัญของประเทศไปในระยะนี้ เป็นนิมิตร้าย ย่อมจะวุ่นวายไปทั่ว

สถานการณ์ทางใต้ของประเทศไทยเพิ่มความร้อนแรงและน่ากลัวขึ้น เกิดระเบิดพลีชีพหลายจุด มีคนตายนับร้อย ศัตรูภายนอกจะแสดงบทบาทระราน ยั่วยวนโทสะมากขึ้นโดยอาศัยสถานการณ์อันยุ่งเหยิงภายในเป็นเหตุ บุคคลในเครื่องแบบจะมีบทบาทคึกคักขึ้น

เพราะ ความเห็นแก่ตนของเหล่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย เป็นเหตุให้เหล่าปัญญาชนตระหนักถึงภัยอันใหญ่หลวงของประเทศชาติ ซึ่งถ้ายังขืนปล่อยให้สังคมดำเนินไปเช่นนี้ เหล่าคนยากจนหรือผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำซึ่งล้วนมีรายได้น้อยไม่สมดุลกับ รายจ่ายก็จะลุกฮือขึ้นมาจับอาวุธต่อต้าน อาจละเมิดกฎหมาย เกิดจลาจล ประทุษร้าย ก่อความไม่สงบ เกิดการปล้นฆ่าล้างผลาญ คนรวยมาเดินตามท้องถนนไม่ได้อาจถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน ประกาศกฎอัยการศึก มีผู้คนต้องล้มตาย เกิดเป็นสงครามกลางเมืองแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย แผ่นดินเดือด เลือดไหลริน ผู้นำต้องหนีลี้ภัยออกนอกประเทศเหตุการณ์ถึงจะสงบลงได้

เศรษฐกิจของประเทศเริ่มตกต่ำอีก คนงานถูกปลดออกจากงานเป็นจำนวนมาก ข้าวยากหมากแพง หุ้นตกอย่างวินาศสันตะโร สถาบันทางการเงินและธนาคารล้ม

เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในประเทศไทย เกิดขึ้นทางภาคเหนือ มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมหาศาล และจะมีอุบัติเหตุทางทะเลและทางเครื่องบินมากกว่าในระยะใด มีการตายหมู่เป็นร้อย

กุมภาพันธ์

ทางภาคใต้ถูกก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ ชาวต่างชาติเสียชีวิตมากมายจากผู้ก่อการร้าย เกิดโรคระบาดร้ายแรงทั่วประเทศ คนนับพันล้มป่วยและล้มตาย มีเรื่องกระทบกระทั่งกับเขมร ที่เป็นหอกข้างแคร่ที่แสนขมขื่น

มีนาคม

ทางใต้ถูกก่อวินาศกรรมสุดโหดเหี้ยม ต้นเดือนมีอัคคีภัยร้ายแรงทั่วทุกภาคของประเทศ เกิดรถไฟชนกันและตกราง คนตายนับร้อยและบาดเจ็บจำนวนมาก อุบัติเหตุใหญ่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเดือน มีการตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ และทางเรือ เกิดแผ่นดินไหวสุดหฤโหดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ตึกระฟ้าในกรุงเทพฯพังทลายเป็นทิวแถว ฝังคนทั้งเป็นนับร้อยนับพันเหมือนมดปลวก

จะเกิดการ ผ่าตัดปฏิรูปหรือปฏิวัติตัวเองเป็นการใหญ่แบบพลิกแผ่นดินขึ้นในเมืองไทย เป็นระยะที่นายกรัฐมนตรีจักเป็นอันตราย คนสำคัญจะล่วงลับไป

หุ้นจะตกรุนแรง ธนาคารอาจปิดตัวลง ประสบภาวะเงินฝืด กำลังซื้อลดลง บรรดาบริษัทห้างร้านเอกชนหรือโรงงานผลิตสินค้าจำหน่ายภายในประเทศจะประสบ ปัญหาทางการตลาด จำเป็นต้องลดจำนวนคนงานลงอันเนื่องมาจากการลดผลผลิต โรงงานส่วนใหญ่จะต้องปิดตัวลง ราวกลางเดือนมีไฟไหม้ใหญ่หลายจังหวัด อาทิ เชียงใหม่และชลบุรี

เกิด ภัยพิบัติทางทะเลครั้งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ มีคลื่นยักษ์เป็นกำแพงสูงเสียดฟ้า อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตรา พัดเข้าถล่มหมู่เกาะและชายฝั่งด้านอันดามัน กวาดผู้คนและทรัพย์สินบ้านเรือนที่ติดทะเลลงสู่ทะเลไปเกือบหมดสิ้น ทำให้เกาะบางเกาะจมหายไปในทะเล

จะ มีสัญญาณบางอย่างบ่งบอกว่าผู้ใหญ่ในแผ่นดินของเราจักเป็นอันตราย เกิดจลาจลเผาผลาญอาคารสถานที่ราชการและบ้านเรือนวอดวายไป ปลายเดือนบุคคลที่กุมอำนาจน่าจะตระหนักถึงอันตรายภายในและภายนอกที่ค่อนข้าง รุนแรงมาก เราจะเริ่มขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจแดนไกล (สหรัฐฯ) เพราะสืบเนื่องมาจากข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่ตกลงกันไม่ประสบผลสำเร็จ

เมษายน

ปัญหาพม่าและเขมรจะนำความเดือดร้อนอย่างมาก เหตุการณ์น่าเป็นห่วง เศรษฐกิจ ของประเทศเริ่มตกต่ำอีกถึงขั้นล้มละลายทางเศรษฐกิจ คนงานถูกปลดออกจากงานเป็นจำนวนมาก ข้าวยากหมากแพง หุ้นตกอย่างวินาศสันตะโร เกิดการปฏิวัติรัฐประหารครั้งใหญ่ เลือดนองไปทั่วแผ่นดิน
ในกรุงเทพฯจะ ถูกก่อวินาศกรรมเสียหาย มีการตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ จะมีเครื่องบินภายในประเทศตก ทางใต้ร้อนเป็นไฟ ถูกก่อวินาศกรรมอย่างรุนแรง

กลางเดือน บุคคลสำคัญระดับสูงจะเจ็บป่วยหนักและเสียชีวิต รัฐบาลจะเผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างหนัก เศรษฐกิจของบ้านเมืองตกต่ำอย่างสุดปัญญา เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกาะสุมาตรา และมีผลกระทบถึงไทยอย่างรุนแรง

พฤษภาคม

บุคคลสำคัญของแผ่นดินจักเจ็บไข้ได้ป่วย และอาการจะรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงด้วย อาจสูญเสียชีวิต ทาง ภาคใต้เกิดจลาจลใหญ่ มีการสูญเสียชีวิตผู้คนมากมาย องค์กรระหว่างประเทศต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และอาจต้องประกาศสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ไข้หวัดนกระบาดหนักขึ้นมาอีก ทำให้ผู้คนล้มตาย จะติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้

เศรษฐกิจของบ้านเมืองตกต่ำอย่างสุด ๆ ค่าเงินบาทถดถอย หุ้นจะตกอย่างรุนแรง ธนาคารใหญ่ประสบภาวะเงินฝืดเคือง กำลังซื้อลดลง บริษัทห้างร้านหรือโรงงานผลิตสินค้าประสบปัญหาทางการตลาด เกิดปัญหาการส่งออก จำเป็นต้องลดจำนวนคนงาน โรงงานทั้งเล็กและใหญ่ปิดตัวลงมากมาย ปัญหาคนว่างงานมีไปทั่ว

ปลายเดือนประเทศไทยถูกเหล่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ภาคใต้ทำการเผาโรงเรียนหลายแห่ง ผู้นำประเทศถูกลอบทำร้าย ส่วนด้านชายแดนจะมีการขัดแย้งกับเพื่อนบ้านเขมรและพม่ารุนแรง

มิถุนายน

ดารานักแสดงอาจประสบอุบัติเหตุหรือล่วงลับไปหลายคน เลยกลาง เดือนไปแล้วบุคคลสำคัญจะเดินทางออกนอกประเทศ หรือมิฉะนั้นก็อาจจะเจ็บป่วย การเมืองไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจมีผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง มีการลอบวางระเบิดชนิดร้ายแรงกว่าที่เคยมีมาใน 3 จังหวัดภาคใต้ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ คนล้มตายเป็นพัน

กรกฎาคม

เกิดวินาศกรรมทั่วทุกภาคของประเทศ จะเกิดอุบัติเหตุหมู่ ไฟป่าเผาผลาญเป็นจำนวนมาก ไฟลุกโชติช่วงไปทุกหนแห่งในวงการการเมือง บุคคลในเครื่องแบบจะมีปัญหาขัดแย้งกันรุนแรง ผู้มัวเมาอำนาจจะแสดงอำนาจโดยไม่เป็นธรรม

ผู้ก่อ การร้ายทางภาคใต้จะกำเริบเสิบสานเป็นการใหญ่ ปัญหาชายแดนทางใต้จะก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ประเทศใกล้เคียงจะสนับสนุนให้มีการก่อการกำเริบมากขึ้น กลางเดือนกรุงเทพฯ ตึกรามบ้านช่องที่อยู่อาศัยอาจถล่มทลายจากแผ่นดินทรุดตัวหลายแห่ง

ปลาย เดือนพายุโซนร้อนผ่านตอนใต้ของประเทศอย่างรุนแรง ชาวใต้ต้องอพยพด่วน ชายทะเลฝั่งตะวันออกถูกพายุกวาดลงทะเลไปเป็นจำนวนมาก หลายจังหวัดทางภาคใต้โดนวาตภัยร้ายแรง ทางรถไฟสายใต้ขาด รถเดินไม่ได้ โทรศัพท์เสีย พายุไซโคลนลูกใหญ่จะพุ่งเข้าไทยอย่างร้ายแรงกว่าครั้งใด ๆ ที่ผ่านมา โหมเข้าภาคกลางรวมถึงกรุงเทพฯด้วย

สิงหาคม

เขมรบุกสยามประเทศ ส่งกำลังทหารเข้าโจมตี ทหารไทยเสียชีวิตจำนวนมาก ถึงคราวแล้วที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สงครามที่เราไม่เคยมีมาเลยกับประเทศเพื่อน บ้านเป็นเวลาช้านานแล้ว เป็นการรบอย่างแท้จริง ถ้าประเทศไทยยังเฉยเมยไม่ตระหนักต่อปัญหาที่รุมเร้าหนักข้อขึ้นทุกที เสมือนดูหมิ่นสยามประเทศมาโดยตลอด ดังนั้นปี 2553 จะเกิดการรบนองเลือดถึงขั้นเสียชีวิตผู้คนมากมาย ถึงจะได้คืนมาซึ่งแผ่นดิน แต่ก็อาจจะต้องประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน

กลางเดือน ถูกเหล่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ภาคใต้ทำการเผาโรงเรียนหลายแห่ง ผู้นำประเทศถูกลอบทำร้าย รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีทุกประเภท เงินบาทลอยตัวสูงสุดในประวัติการณ์ ผู้คนเดือดร้อน ฆ่าตัวตายกันเป็นแถว

พายุโซนร้อนผ่านตอนใต้ของประเทศอย่างรุนแรง มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย จนต้องมีการอพยพผู้คนไปอยู่ยังดินแดนแห่งใหม่ที่ปลอดภัย เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในประเทศไทย เกิดขึ้นทางภาคเหนือ มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมหาศาล และจะมีอุบัติภัยทางทะเลและทางเครื่องบินมากกว่าในระยะใด มีการตายหมู่เป็นร้อย

กันยายน

ทางใต้ขอแบ่งแยกเพื่อปกครองตนเอง ดี เปรสชั่นผ่านตอนเหนือของประเทศอย่างรุนแรง น้ำป่าเริ่มไหลบ่าจากทางภาคเหนือและอีสาน ลงมาทางใต้ต่อเลยมาถึงกรุงเทพฯ เขื่อนทั้งเล็กและใหญ่พังทลาย เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัด พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายหนักยิ่งกว่าครั้งใด มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน กรุงเทพฯต้องจมอยู่ใต้บาดาลเป็นเวลายาวนาน

ภัยธรรมชาติยังคุกคามต่อไปอีกทั้งภาคเหนือ อีสาน และทางภาคใต้ โดยเฉพาะทางภาคใต้จะโดนอย่างหนัก ถือได้ว่าเป็นวาตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง และผู้คนที่อาศัยอยู่ติดทะเลจะถูกพายุร้ายหอบตกทะเลแทบไม่เหลือหลอแม้แต่ราย เดียว เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ปัญหาของประเทศมีมาก ผู้เป็นใหญ่ บุคคลสำคัญจักล้มเจ็บอย่างกระทันหัน

ตุลาคม

เกิดปัญหาทางภาคใต้ ทำให้ทั่วโลกตกตะลึง เกิดการจลาจลนองเลือด บุคคลในเครื่องแบบจะมีบาทบาททันที เกิดการจลาจล รัฐประหารครั้งใหญ่ เกิดการนองเลือด ผู้คนล้มตายเป็นเบือ

พฤศจิกายน

เป็นเดือนสุดโหดสุดวิปริตที่แท้จริงสำหรับคนไทย เพราะจะเกิดภัยธรรมชาติครั้งรุนแรง แหล่งน้ำทั้งเล็กและใหญ่พังทลาย น้ำจะไหลทะลักเข้าท่วมหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ เกิดไต้ฝุ่นเข้าถล่มภาคใต้ ที่ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี (หนักกว่าพายุเกย์) คนตายนับพัน

หุ้นตกอย่างรุนแรง การเมืองของไทยเต็มไปด้วยความผันผวน เผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างหนัก ข้าวยากหมากแพง มีการประท้วงลุกลามกลายเป็นการชุมนุมใหญ่จากบุคคลทุกสาขา เกิดการจลาจล มีการเผาผลาญทำลายสถานที่สำคัญ รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ต้องเสียเลือดเสียเนื้ออีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าเมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 วิกฤตทางภาคใต้ได้ลุกลามเข้ามาถึงกรุงเทพฯ มีผู้คนเสียชีวิต

ธันวาคม

“เขื่อนยักษ์แตก” น้ำทะลักเข้าท่วมหมู่บ้าน อำเภอ หลายจังหวัด พื้นที่ไร่นา สัตว์เลี้ยง สิ่งก่อสร้าง ผู้คนที่อพยพหนีไม่ทัน ล้มตายมหาศาลอย่างอเนจอนาถ สร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ น้ำอาจลงมาถึงกรุงเทพฯ เราต้องขอความช่วยเหลือจากองค์การต่าง ๆ จากต่างประเทศโดยด่วน

เกิด “หิมะตกในกรุงเทพฯ” และปริมณฑล เป็นอาเพศที่ทำให้คนตกตะลึงไปทั่วโลก มีการลอบวางเพลิง วางระเบิด การเมืองระส่ำระสายและภัยรอบข้างทำให้ดูเหมือนเกิดความคับขัน

ทางใต้วิกฤตสุด หาทางแก้ไขไม่ได้ เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างหนัก สงครามอาจยืดเยื้อต่อไปจนกลายเป็นสงครามโลกครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา

ปลายเดือนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย กวาดผู้คนและทรัพย์สิน สิ่งก่อสร้างลงสู่ทะเลจนเกือบหมดสิ้น โดยที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายโสรัจจะสรุปปิดท้ายว่า แม้คำทำนายดวงเมืองประจำปีนี้ของตนจะค่อนข้างร้ายแรง แต่ขอเตือนทุกคนว่าอย่าหลงเชื่อจนงมงาย เพราะวิชาโหราศาสตร์เป็นเพียงทฤษฎีที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักในการให้คำ พยากรณ์ และการพยากรณ์ก็เป็นเพียงความคาดคะเน ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงควรยึดมั่นในการทำความดีและละเว้นการทำชั่ว ซึ่งย่อมอำนวยผลดีให้เกิดขึ้นตามมาภายหลัง


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก - มติชนออนไลน์



บาทหลวงแอฟริกัน-คิวบา ทำนายดวงเมืองโลก

3 มค. 2553 22:20 น.

หลังจากทำพิธีฉลองในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยการสวดมนต์และบูชายันต์ไก่และแพะรวมทั้งสัตว์อื่นๆแล้ว คณะบาทหลวงชาวคิวบาและแอฟริกัน ได้ร่วมทำนายดวงเมืองของคิวบา และ

ต่างพูดตรงกันว่าปี 2553 โลกจะเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งทางสังคมและการเมือง การแย่งชิงอำนาจ การกระทำรัฐประหาร และย้ำว่าจะได้เห็นการเสียชีวิตของผู้นำทางการเมืองคน

สำคัญ เป็นจำนวนมากกว่าปกติอีกด้วย คณะบาทหลวงได้แนะนำให้ผู้นำสูงอายุก้าวลงจากเวทีการเมือง และเปิดโอกาสให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งเหมือนกับเป็นนัยส่งตรงถึง ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำของคิวบา และ ราอูล คาสโตร น้องชายของเขาที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งผู้นำของคิวบาต่อจากพี่ชาย โดยตระกูลคาสโตรครองอำนาจบริหารคิวบามานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

บาทหลวงคณะนี้ศึกษาหลักศาสนา ซานทีเรีย ซึ่งเป็นหลักศาสนาโบราณผสมผสาน ระหว่างคาทอลิคกับโยรูบาของแอฟริกา ซึ่งมีชาวคิวบาจำนวนมากศรัทธรานับถือ เนื่องจาก 1 ใน 3 ของประชากร

จำนวน 11.2 ล้านคน สืบเชื้อสายมาจากชาวแอฟริกันขณะที่ในเบลเยี่ยมก็มีการฉลองรับปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน โดยหลังจากอบอุ่นและเตรียมความพร้อมให้ร่างกายนานประมาณ 15 นาทีบนชายหาดออสเทนด์ส ชาวเบล-เยี่ยมกว่า 6,000 คนได้วิ่งลุยลงไปในทะเลเหนือ ที่น้ำมีอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส

ท่ามกลางสภาพอากาศเย็นจัดวัดอุณหภูมิได้ที่ระดับ 1 องศาเซลเซียส แม้ต้องเจอกับสภาพอากาศที่เย็นจัด โดยชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่งบอกว่า พูดได้คำเดียวคือเย็นมาก แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสนุกสนานกับการลุยน้ำเย็นเยียบรับศักราชใหม่ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี ผู้คนต่างแต่งตัวหลายรูปแบบ ตั้งแต่กระโปรงแบบชาวฮาวาย เรื่อยไปจนกระทั่งชุดคลุมอาบน้ำ.

ที่มา - breakingnews.nationchannel.com

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 8/1/10 at 09:12

14

"สมุดพยากรณ์" ที่เพิ่งพบของ "นอสตราดามุส"



สมุดภาพที่พึ่งค้นพบ


ปี ค.ศ.1994 นักเขียนชาวอิตาเลียน นามว่า เอนซา มาสซ่า (Enza Massa) ได้เข้าไปร่วมงานเทศกาลหนังสือโบราณที่จัดโดยหอสมุด แห่งชาติของอิตาลี เธอบังเอิญเจอะเจอเอกสารเก่าแก่เล่มหนึ่งซึ่งเขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1629 ในชื่อ "Nostradamus Vatinicia Code" มีนามของผู้เขียนคือ "มิเชลแห่งนอเตรอะดาม" (Michel de Notredame) ปรากฏอยู่ในเล่ม

.......เอกสาร นี้นอสตราดามุสไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ ภายในเป็นภาพสีนํ้า จำนวน 80 ภาพ ซึ่งแต่ละภาพสามารถตีความออกมาได้เป็นคำทำนายถึงอนาคตของโลก ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นคำทำนายของนอสตรา-ดามุสจริง ก็นับเป็นเอกสารอันประเมินค่ามิได้ แต่ก่อนอื่น เรามาทบทวนเรื่องราวของเขากันสักหน่อยดีไหมครับ

นอสตราดามุสเป็นทั้งหมอและโหราจารย์ผู้มีชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส ช่วงศตวรรษที่ 16 เขาเกิดในปี 1503 มีเชื้อสายยิว เติบโตในมณฑลโปรวองซ์ ต่อมาได้เข้าเรียนแพทย์ จากนั้นก็แต่งงาน ทว่าภรรยาคนแรกของเขากับลูกๆ ได้เสียชีวิตจากกาฬโรคระบาด

นอสตราดามุสจึงออกตระเวนไปทั่วเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายนี้ จากนั้นก็แต่งงานใหม่ และสร้างหลักฐานอยู่ที่เมืองซาลอง แม้เขาจะศึกษาและผูกพันกับโหราศาสตร์เป็นเวลานาน แต่ด้วยความเป็นคนถ่อมตน จึงไม่ค่อยประกาศคำพยากรณ์ใดๆ จนกระทั่งอายุ 45 จึงได้เขียนคำทำนายเหตุการณ์ ประจำปี ค.ศ.1550 ขึ้น


.......ผู้คนพากันชื่นชอบในการทำนายของเขา และได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆในประเทศเกือบทั่วยุโรป แม้กระทั่งกษัตริย์และราชินีก็ยังให้ความสนใจต่อคำทำนายของเขา

อย่างไรก็ตาม การพยากรณ์ของนอสตราดามุส บางครั้งก็กระทบกระเทือนถึงผู้นำทางศาสนา หรือองค์สันตะปาปา โดยเฉพาะรูปภาพ 80 รูป ในสมุดสำคัญเล่มนี้ ซึ่งมีหลายภาพที่เกี่ยวโยงถึงโป๊ปในด้านที่ทำลายภาพพจน์ ดังนั้น ศาสนจักรจึงไม่พอใจ และเป็นสาเหตุให้สมุดเล่มนี้ไม่อาจตีพิมพ์ออกมาได้

หนังสือพยากรณ์ (almanac) ประจำปีของนอสตราดามุส มีทั้งคำทำนายให้กับรัฐบาล ตลอดจนคิงและควีนแห่งฝรั่งเศส รวมทั้งโป๊ป ทั้งนี้พระราชินีแคเธอรีน เดอ เมดิชิ (Catherin de Medici) ผู้ให้ความปกป้องพิทักษ์แก่นอสตราดามุสได้ทรงอ่านคำทำนายในปีถัดไป และทรงพบว่า "ร้ายกาจเกินกว่าที่จะเอ่ยถึง" เพราะเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับภัสดาของพระองค์ คือ กษัตริย์เฮนรี่ที่ 2


ภาพโป๊ปสตรี.


"พระราชาสมควรจะต้องระมัดระวังพระองค์ อันเนื่องมาจากการกระทำของบุคคลรอบข้าง ในสิ่งที่ข้าไม่อาจเขียนเป็นตัวอักษรได้ ทั้งนี้ดวงดาวบนท้องฟ้าได้บ่งบอกไว้เช่นนั้น"

พระราชินีแคเธอรีนนั้น ทรงเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสอย่างยิ่ง ทรงให้เขาทำนายอนาคตของโอรสธิดา ซึ่งนอสตราดามุสได้ถวายคำพยากรณ์ว่า จะมีถึง 4 องค์ ที่จะได้เป็นกษัตริย์!?

และแล้วในปี ค.ศ.1559 ได้มีการประลองฝีมือครั้งยิ่งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองพิธีเสกสมรสระหว่างธิดาของ เฮนรี่ที่ 2 กับกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน ในการนี้เฮนรี่ที่ 2 ได้ทรงเข้าร่วมในการประลองด้วย และทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคมหอกของมอนต์โกเมอรีย์ หัวหน้าองครักษ์ชาวสกอต ต่อมาอีกสิบวันก็สิ้นพระชนม์ ทำให้การพยากรณ์ของนอสตราดามุสโด่งดังไปทั่วยุโรป

นอสตราดามุสถึงแก่กรรมลงด้วยวัย 63 ปี ใน ค.ศ.1586



นอสตราดามุส.


.......นอกจากการพยากรณ์เกี่ยวกับฝรั่งเศสแล้ว นอสตราดามุสยังทำนายเหตุการณ์ครั้งสำคัญๆของโลกไว้มากมาย นับตั้งแต่มหาอัคคีภัยแห่งลอนดอนในปี 1666 การครองราชย์ของนโปเลียน การขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ฯลฯ


กลับมาถึงเรื่องเอกสารหรือสมุดรูปภาพที่สูญหายไป 400 ปีกันใหม่

นอสตราดามุสได้เขียนคำพยากรณ์อันเป็นมรดกลับเฉพาะนี้ หลังจากสูญเสียครอบครัวจากโรคระบาด และต่อมาเมื่อแต่งงานใหม่ เขาได้มอบคำพยากรณ์สำคัญชิ้นนี้ "Les Prophecies" แก่ เซซาร์ (Cesar) บุตรชายคนโตเมื่ออายุเพียงหนึ่งขวบ เพื่อว่า

"...ในวันหนึ่งข้างหน้า เจ้าจะได้อธิบายคำพยากรณ์นี้แก่ชาวโลก..."

เมื่อเซซาร์เติบโตขึ้น ก็ได้เป็นนักเขียน และจิตรกรฝีมือดี ซึ่งเชื่อกันว่ารูปภาพในสมุดพยากรณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือการเขียนของเขาในสมัย เด็ก เนื่องจากทุกรูปเขียนขึ้นง่ายๆ มองดูปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่ฝีมือระดับจิตรกรมืออาชีพ



พระราชินีแคเธอรีน เดอ เมดิชิ.


.......ปี 1629 เซซาร์ได้มอบสมุดพยากรณ์นี้แก่พระคาร์ดินัล บาร์เบอรินี (Barberini) ซึ่งต่อมาได้เป็นสันตะปาปาเออร์บานที่ 8 (Pope Urban VIII) โดยคาร์ดินัลเป็นผู้ขอสมุดนี้ เนื่องจากทำนายเกี่ยวพันกับโป๊ป และนำมาเก็บไว้ในห้องสมุดวาติกันโดยไม่มีใครได้เห็นอีกเลย

ปี ค.ศ.1888 มีชายผู้หนึ่งนามว่า ปิโวลิ (Pivoli) นำสมุดนี้มาขายให้กับหอสมุดแห่งชาติที่กรุงโรม เขาเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครรู้ข้อมูลเรื่องนี้

กระทั่งเอนซา มาสซ่า ได้พบสมุดนี้ดังกล่าวแล้ว ภาพพยากรณ์จึงได้นำมาเปิดเผยให้ได้รู้ทั่วกัน ซึ่งใน 80 ภาพสีนํ้าเหล่านี้ ที่น่าตื่นตาตื่นใจมีอาทิ

"อัคคีภัย หอคอย" (The Burning Tower) เพลิงที่ปรากฏขึ้นในภาพนั้นพลุ่งโพลงขึ้นไปราวกับถูกระเบิด เห็นแล้วทุกคนต่างนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 11 กันยายน 2001

เมื่ออาคารแฝดเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ถูกผู้ก่อการร้ายพุ่งเครื่องบินเข้าถล่มจนพินาศ โดยนอสตราดามุสได้เขียนคำพยากรณ์ไว้ว่า "มหาอัคคีจากศูนย์กลางของโลกได้สั่นสะเทือนแผ่นดิน ในบริเวณอันอยู่ในนครแห่งใหม่ (New City)"



ภาพวงล้อแห่งเวลา..


ซึ่งในครั้งสมัยนอสตราดามุสนั้นยังไม่มี "นิวยอร์ก" ดังนั้น คำว่า "นครใหม่" ในทำนายนี้จึงหมายถึงนครอื่นใดไปไม่ได้

ภาพ "วงล้อแห่งเวลา" (The Wheel of Time) บ่งบอกถึงเหตุการณ์หมุนเวียนของโลก เป็นประวัติ-ศาสตร์ที่นำมาสู่รูปแบบของโลกปัจจุบัน เช่น การเผชิญหน้าของลัทธิประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ อันทำให้เกิด "สงครามเย็น" ในศตวรรษที่ 20

ภาพ "ผู้หญิงหันหลังให้องค์สันตะปาปา" ภาพนี้ผู้สันทัดกรณีอธิบายว่า โป๊ปนั้นได้แก่ สันตะปาปาเบเนดิกท์ที่ 16 ซึ่งเป็นสังฆราชในขณะนั้น และการหันหลังให้ก็คือ ผู้คนได้เลิกศรัทธาในคริสต์ศาสนาอีกต่อไป



อีกภาพหนึ่งจากสมุดพยากรณ์.


.......ภาพ "โป๊ปสังหารหมี" เป็นภาพขององค์สันตะปาปาขี่มังกร และจ่อดาบที่คอหมี หมีนั้นเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ซึ่งเป็นชาติคอมมิวนิสต์ และช่วงปี ค.ศ.1917 ถึง 1991 สันตะปาปาทุกองค์ก็หวั่นเกรงลัทธินี้อย่างยิ่ง จนสหภาพโซเวียตล่มสลายในสมัยสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2

ภาพ "โป๊ปสตรี" แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงประมุขสูงสุดของคริสต์ศาสนา จากบุรุษเป็นสตรี มีความหมายส่อเค้าว่า อนาคต...สตรีจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น


นอกจากนี้ยังมีภาพการทำนายถึง "Antichrists" หรือ "ซาตาน" ซึ่งที่ผ่านมา นอสตราดามุสได้พยา-กรณ์ว่า ซาตานแรกคือ "นโปเลียน" ซาตานที่สองคือ "ฮิตเลอร์" และซาตานที่สาม ได้แก่ ผู้ ก่อการร้ายมุสลิม อาทิ ภาพ "สันตะปาปากับอสรพิษ" ภาพ "กริฟฟิธกับพระอาทิตย์" ซึ่งทั้งงูร้ายหรือกริฟฟิธ ล้วนแสดงถึงการมาของ "ซาตานที่ 3" ซึ่งจะก่อกวนทำลายล้างโลกจนพินาศในอนาคต

ถ้าท่านผู้อ่านสนใจในราย ละเอียดการทำนายต่างๆในสมุดพยากรณ์เล่มนี้ก็ติดตามชมได้ในโทรทัศน์ทรูวิชั่น ช่อง History (44) เรื่อง "THE LOST BOOK OF NOSTRA-DAMUS" เดือนตุลาคมนี้ ตามวันเวลาที่มีกำหนดไว้ในวารสารประจำเดือน Premiere ครับผม.

ที่มา - ไทยรัฐออนไลน์
โดย..ทีมงาน ต่วย'ตูน 4 ตุลาคม 2552


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/1/10 at 09:14

15

บทความ "เนื้อเรื่อง" หรือ "คำอธิบาย" โดยละเอียด




ถอดรหัสคำทำนาย ''นอสตราดามุส''


ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต


.......ชื่อของ ''นอสตราดามุส'' โหรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอายุเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ เหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่นการไฮแจ็คเครื่องบินพาณิชย์ที่บรรทุกผู้โดยสารร้อยกว่าชีวิตก่อนจะพุ่งเข้าชน อาคารธุรกิจชื่อดังของโลกอย่าง เวิล์ด เทรดเซนเตอร์ ในกรุงนิวยอร์ก

เหตุการณ์หลังจากการชนนั้น ถูกนำไปผูกกับคำทำนายของเขาอย่างช่วยไม่ได้
นอสตราดามุสเขียนเอาไว้ที่ เซ็นจูรี่เล่ม 6 โคลงบทที่ 97 ว่า

“ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45 เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา”

“มาบัส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์อย่างสยดสยอง ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา.....”

“ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตรพวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง....”


นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะนอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่ายามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ "ตึกเวิล์ดเทรด" ไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ

เพราะหัวของเครื่องบินที่มีปีกนั้น ดูเผินๆ ก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูกไฟไปทั่วฟ้า ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็น ดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อันเป็นที่ตั้งของ "มหานครนิวยอร์ก" เหมือนกัน

แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่า จะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อมาบัสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้นของ USaMA Binladen(อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรมครั้งนี้

ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่า การตายของบินลาเดน จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพ และจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือ "สหรัฐ" นั่นเอง

ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้าย จนกระทั่งเกิดการตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศที่สหรัฐภาคภูมิใจนักหนา เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะเมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมาตรการแซงชั่น ป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆ จะต้องเกิดขึ้นอย่างแนนอน

ก่อนหน้านี้มีคนพยายามตีความว่า "นอสตราดามุส..มั่ว..ฝันเฟื่อง.." คำทำนายของเขาดูจะไม่เป็นจริง ส่วนใหญ่ที่คนเชื่อก็เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว และไปทึกทักตามที่นอสตราดามุสเขียนเอาไว้เอง

เชื่อว่า หลายคนก็ยังหวังว่า คำทำนายของโหรบรรลือโลกคนนี้จะผิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะคงไม่มีใครอยากจะเจอกับสงครามโลกที่กินเวลายาวนานกว่า 50 ปีอย่างแน่นอน เนื่องจากเขากล่าวเอาไว้ในอีกโคลงว่ายุคของสันติจะกลับมาอีกครั้งในปี 2055...!!!

ที่มา - statics.atcloud.com



◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/1/10 at 08:41

16

บทความ คำนาย "พระพุทธเจ้า" กับ "นอสตราดามุส" ครับ




บทวิจารณ์

........สิ่งที่ดูเหมือนว่ามันง่ายๆ นั้นเมื่อเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป ดังตัวอย่างกรณีของประเทศเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นายโยเซฟ คอบเบลส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการในคณะรัฐบาลเยอรมันในยามสงคราม พบว่า งานโฆษณาชวนเชื่อที่เขารับผิดชอบอยู่นั้น ทำยากกว่าที่ควรจะเป็นเสียแล้ว เพราะที่สำคัญที่สุดมันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้

ในช่วงปลายปีก่อนหน้าที่ฝ่ายเยอรมันจะส่งทหารบุกประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมแบบสายฟ้าแลบนั้น นายโยเซฟ คอบเบลส์ได้เข้าปรึกษาหารืออย่างลับๆ กับท่านผู้นำ ฮิตเลอร์ ที่ข้างเตาผิงไฟ ในการปรึกษาหารือกันครั้งนี้ นายคอบเบลล์ได้นำเสนอผลของการรวบรวมและวิจัยเกี่ยวกับผลงานการพยากรณ์ของโหรชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง ซึ่งในความรู้สึกของนายคอบเบลล์แล้ว การพยากรณ์ของโหรชาวฝรั่งเศสผู้นี้ นอกจากจะพยากรณ์ว่าฮิตเลอร์จะก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดแล้ว ยังพยากรณ์ผลที่จะติดตามมาหลังจากนั้นด้วย

เป็นที่น่าประหลาดว่าโหรชาวฝรั่งเศสผู้นี้ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2043 ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองกว่า 400 ปีด้วยซ้ำไป เนื่องจากการพบปะกันระหว่างฮิตเลอร์กับนายคอบเบลล์กระทำกันอย่างลับ ๆ เราจึงไม่ทราบได้ว่าฮิตเลอร์ได้แสดงออกถึงความชื่นชมยินดีกับคำพยากรณ์ประหลาดดังกล่าวอย่างไรบ้าง

แต่เราทราบเพียงผลของการพบปะกันครั้งนี้ว่า หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน กล่าวคือในปี พ.ศ. 2483 กองทัพอากาศเยอรมันได้ส่งเครื่องบินไปทิ้ง ใบปลิวคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส จำนวนหลายล้านใบลงในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม

ในใบปลิวดังกล่าวมีข้อความแจ้งให้ผู้ที่พบเห็นใบปลิวเหล่านั้นได้ทราบว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่ประชาชนในประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม จะทำการต่อต้านการบุกของกองทัพฮิตเลอร์ “ชัยชนะของฮิตเลอร์” ข้อความที่ปรากฏในใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายเยอรมันว่า “ได้มีการพยากรณ์ไว้เมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว โดยโหรชาวฝรั่งเศสชื่อ "นอสตราดามุส”

ในบรรดาผู้ที่เก็บใบปลิวเหล่านั้นไปอ่าน จะมีใครใส่ใจถึงคำพยากรณ์มากน้อยเพียงใดเราไม่อาจจะทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ "ฝ่ายสัมพันธมิตร" เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายเยอรมันในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้พยายามหาทางป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้ใดเชื่อคำพยากรณ์ที่ปรากฏอยู่ในใบปลิวเหล่านั้น โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรองของประเทศอังกฤษ ได้จัดทำใบปลิวของฝ่ายสัมพันธมิตรให้กองทัพอากาศอังกฤษ นำไปโปรยลงในประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม ซึ่งมีใจความว่าคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสที่พวกเยอรมันอ้างถึงนั้น เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่มีวันที่จะเป็นไปได้แต่อย่างใด ฝ่ายเยอรมันไม่มีทางมีชัยชนะในสงครามครั้งนี้

เราสามารถเห็นข้อแตกต่างระหว่างใบปลิวของทั้งสองฝ่ายได้ คือ ใบปลิวของฝ่ายเยอรมันระบุว่า นอสตราดามุสพยากรณ์ว่า ฮิตเลอร์จะมีชัยชนะตลอดกาล ทั้งๆ ที่ความจริงเขาพยากรณ์ว่า ฮิตเลอร์จะชนะในตอนแรกแต่ในที่สุดจะแพ้สงครามในครั้งนี้ ส่วนใบปลิวของฝ่ายสัมพันธมิตรระบุว่านอสตราดามุสพยากรณ์ว่า ฮิตเลอร์จะแพ้ตลอดกาลไม่ว่าจะเป็นการรบ ณ ที่ใด

ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อความในใบปลิวของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าคู่สงครามแต่ละฝ่าย ได้พยายามแก้ไขคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพื่อใช้โฆษณาชวนเชื่อให้ฝ่ายตนได้เปรียบในการทำสงคราม แต่ละฝ่ายไม่ได้เคารพในลิขสิทธิ์และความจริงใจที่ปรากฏในคำพยากรณ์ดั้งเดิมของเขา ซึ่งการกระทำของแต่ละฝ่ายจึงไม่ผิดอะไรกับคำพังเพยที่ว่า “ในเรื่องรักและสงครามแล้ว อาวุธทุกอย่างนับว่ายุติธรรมทั้งสิ้น”

ปัจจุบันทั้งใบปลิวและผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลายเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ไปแล้ว บัดนี้ใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อของคู่สงครามทั้งสองฝ่าย ได้ถูกรวบรวมมาเก็บรักษาไว้บนหิ้งในหอจดหมายเหตุจนฝุ่นจับเขรอะไปหมดแล้ว แต่ใบปลิวเหล่านี้ไม่มีทางที่จะลบล้างความจริงอันปรากฏในคำพยากรณ์ตัวจริงของนอสตราดามุสได้เลย จากคำพยากรณ์ที่ถูกต้องและแม่นยำเหล่านี้เอง ทำให้เรามองเห็นว่านอสตราดามุส เป็นบุคคลที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์ และความลี้ลับมหัศจรรย์ของเขานี้จะมีอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน ไม่มีใครสงสัยเลยว่านอสตราดามุสเป็นผู้มีความลี้ลับมหัศจรรย์

แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วเขามีอะไรที่เหนือกว่าความลี้ลับมหัศจรรย์นั้นไปอีก นักวิจัยทุกคนนำคำพยากรณ์ที่เป็นโคลง 4 บรรทัดของเขามาทำการค้นคว้าวิจัยแล้ว จะเกิดความรู้สึกพิศวงและอัศจรรย์ใจ เมื่อวิเคราะห์ข้อความคำพยากรณ์ที่บรรจุอยู่ในแต่ละบรรทัดของ "นอสตราดามุส" เพราะมันแสดงออกมาอย่างแจ่มชัดว่า เขามีขีดความสามารถที่จะมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ โดยไม่มีขีดจำกัดของกาลเวลา

แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปนานกว่า 400 ปีแล้ว แต่คำพยากรณ์และการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างประหลาดนี้หาได้ตายตามเขาไปไม่ แต่มันยังคงอยู่และช่วยเสริมเกียรติภูมิของเขาเอาไว้ให้เป็นหนึ่งในบรรดาโหรที่ทำนายเหตุการณ์ได้แม่นยำทุกยุคทุกสมัย

นอสตราดามุส มีชื่อจริงว่า มิเชล เดอ นอสเตรอดัม เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2046 ที่แซงต์ เรมี เดอ โปรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าจะเกิดในตระกูลชาวยิว แต่ก็ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบชาวคริสต์ในนิกายโรมันคาทอลิก เขาเป็นคนฉลาดเฉียบแหลม มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เขาให้ความสนใจศึกษาค้นคว้า ได้แก่ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ปรัชญา และกายวิภาควิทยา แต่เขาเกิดความประทับใจในสาขาวิชากายภาควิทยามาก จนถึงกับลงทะเบียนเป็นนักศึกษาสาขาวิชานี้ในมหาวิทยาลัยมองต์เปลลิเย และในที่สุดก็ได้สำเร็จการศึกษาเป็นนายแพทย์ผู้ชำนาญการทางกายภาควิทยาเมื่อปี พ.ศ. 2072

ต่อมาไม่นานเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นแพทย์ซึ่งสามารถรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นกาฬโรคได้สำเร็จ มีคนไข้ของเขาจำนวนไม่น้อยได้รอดชีวิตจากโรคนี้ ซึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ยอมถ่ายเลือดออกจากร่างกายของคนไข้นั่นเอง การรักษาโรคนี้ด้วยวิธีการถ่ายเลือดคนไข้นั้น เป็นวิธีการที่บรรดาแพทย์ในยุคนั้นนิยมทำกัน

แต่มันก็เป็นวิธีการที่ทำให้คนไข้ต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากมาย ได้มีการสร้างทฤษฎีหลายทฤษฎีเพื่อนำมาศึกษาว่า นอสตราดามุสสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้อย่างกว้างไกลและแม่นยำได้อย่างไร ในข้อนี้ นอสตราดามุสก็ไม่ได้พยายามปกปิดเทคนิคที่เขานำมาใช้ในการพยากรณ์แต่อย่างใด

ในสมัยที่นอสตราดามุสยังมีชีวิตอยู่นั้น วิชาโหราศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุด เมื่อเขาตีพิมพ์ประมวลคำโคลงพยากรณ์ของตัวเองชื่อ Les Vrayes Centuries เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2098 นั้น เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า เขาพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ได้โดยใช้วิธีการสังเกตบนท้องฟ้า ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกับที่พวกโหรชาวอัสซีเรียและชาวบาบิโลเนียสมัยโบราณเคยใช้ในเวลาศึกษาวิชาโหราศาสตร์นั่นเอง

นอสตราดามุสไม่เคยปฏิเสธว่า วิธีการมองตรวจสอบบนท้องฟ้าเป็นวิธีหนึ่งที่เขาใช้ประกอบในการพยากรณ์ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับอีกด้วยว่าได้ใช้วิธีการอย่างอื่นๆอีกด้วยเช่นกัน เช่น โดยการเพ่งมองที่ผิวน้ำนิ่งในอ่างที่นำมาวางไว้บนขาหยั่งทองเหลืองชนิดสามขา ทำนองเดียวกันกับที่พวกหมอดูชาวยิปซีพยากรณ์เหตุการณ์โดยวิธีมองที่ลูกแก้ว

แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาใช้วิธีการเหล่านี้อย่างเดียว หรืออาจจะมีวิธีการอย่างอื่นอยู่ด้วย เป็นต้นว่า การทรงเจ้าเข้าผี การใช้เวทมนตร์คาถา การเลี้ยงผี การใช้ไพ่หมอดู อย่างไรก็ตามก็พอจะหาข้อสรุปได้ว่า พลังความรู้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเขา สามารถรอบรู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้อย่างลึกล้ำ ซึ่งบางทีความรู้ของเขานี้ อาจจะมีพลังในการควบคุม หรืออย่างน้อยก็มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แต่นอสตราดามุสยังไม่เคยเปิดเผย หรือแม้แต่แย้มพรายให้เราได้ทราบเลยว่า พลังความรู้ที่เขามีอยู่นั้นมันคืออะไรกันแน่ หรือว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เขาได้พลังความรู้เช่นนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า พลังอันลึกลับที่ควบคุมปรากฏการณ์ที่ทำให้เขาสามารถเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้นั้นคืออะไรกันแน่

ในมุมมองอีกมุมหนึ่งนั้น นอสตราดามุสมีพลังในการรับรู้ที่มีเองเป็นเองที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้เขาไม่เหมือนกับโหรชั้นนำบางคนในยุคปัจจุบัน มีการบันทึกกันไว้ว่า วันหนึ่งเมื่อนอสตราดามุสยังเป็นหนุ่มอยู่นั้น ได้ท่องเที่ยวไปในประเทศอิตาลี มีคนเห็นเขานั่งคุกเข่าลงกับพื้นแสดงความเคารพนักบวชรูปหนึ่ง ชื่อ เฟริซ เปเรตตี ซึ่งเดินสวนทางมา เขาได้แสดงออกถึงความมีศรัทธาเลื่อมใสในนักบวชรูปนั้นเป็นอย่างมาก

ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้มีความประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินเขาโพล่งปากกล่าวขึ้นว่า “กระผมขอคุกเข่าน้อมคารวะพระคุณเจ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาผู้ประเสริฐสุด” ซึ่งต่อมาในศตวรรษเดียวกัน คือ ในปี พ.ศ. 2128 เมื่อนักบวชรูปนั้นมีอายุและพรรษามากขึ้น ก็ได้รับการสถาปนาเป็นองค์สันตะปาปา ซิกซ์ตุสที่ 5 ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก จึงนับได้ว่านอสตราดามุสมีญาณของความเป็นหมอดูติดตัวมาแต่กำเนิด และสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำจนแทบไม่น่าเชื่อ

นอสตราดามุสรู้ตัวเป็นอย่างดีว่า ตัวเองกำลังเล่นเกมที่มีอันตรายรอบด้าน ในสมัยนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูของวิชาไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ประชาชนพากันลุ่มหลงงมงายในเรื่องเหล่านี้มาก จนฝ่ายศาสนจักรคาทอลิกทนนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ จึงหาทางกำจัดด้วยการตั้งศาลศาสนาขึ้นสอบสวน และชำระโทษผู้ที่คลั่งไคล้ในเรื่องเหล่านี้ และได้มีการลงโทษด้วยวิธีการรุนแรงมาก มีประชาชนหลายล้านคนถูกจับไปเผาทั้งเป็นที่หลักประหาร หรือมิฉะนั้นก็ถูกนำตัวไปทรมานโดยวิธีการต่าง ๆ ในข้อหาว่าเป็นพวกกระทำการนอกรีตนอกรอยศาสนา หรือคลั่งไคล้ในไสยศาสตร์

ทางฝ่ายคริสต์จักรคาทอลิกได้แจ้งให้ประชาชนยึดถือเป็นแนวปฏิบัติว่า สิ่งใดก็ตามที่พระในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแจ่มชัด จะต้องปล่อยสิ่งนั้น ๆ ให้เป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติอยู่ต่อไป จะใช้โหราศาสตร์หรือไสยศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ นอสตราดามุสได้หาทางป้องกันอันตราย จากการที่อาจถูกกล่าวหาในทำนองนั้นจากฝ่ายศาสนจักร โดยวิธีทำให้คำพยากรณ์ของเขาเกิดความสับสน ด้วยการใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ต่างๆ เขียนผสมผเสปนเปกัน ซึ่งก็จะทำให้ผู้ที่พบเห็นคำพยากรณ์เหล่านั้น เกิดความสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ได้

เขาเขียนคำพยากรณ์โดยการใช้ภาษาฝรั่งเศสโบราณบ้าง ใช้วิธีสลับตัวอักษรบ้าง ใช้ภาษาละตินหรือภาษาเก่าๆ อื่นๆ บ้าง ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตบตาคณะกรรมการสอบสวนผู้กระทำผิดของฝ่ายศาสนจักร ที่อาจจะมาเคาะประตูเพื่อขอตรวจค้นบ้านของเขาเมื่อใดก็ได้ เท่าที่ทราบนอสตราดามุสไม่ได้มอบกุญแจที่จะใช้ไขคำพยากรณ์ของเขาไว้กับผู้ใด

สมมุติว่าเขาเกิดมอบกุญแจนั้นไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง ป่านนี้คนที่ล่วงรู้ความลับนั้นก็ต้องตายไปนานหลายศตวรรษแล้ว ภายหลังเมื่อมีการตีความคำพยากรณ์ของเขาโดยไม่มีกุญแจเข้าช่วย จึงทำให้การตีความของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป

อย่างไรก็ดีเมื่อสามารถถอดคำพยากรณ์ได้แล้ว ปรากฏว่าคำพยากรณ์เหล่านั้นถูกต้อง แม่นยำ สมกับที่นอสตราดามุสได้รับเกียรติว่าเป็นโหรผู้ยิ่งใหญ่ของยุโรป ซึ่งเกียรติประวัติอันนี้จะคงอยู่ต่อไปโดยไม่มีวันจะเสื่อมสลาย แม้ว่าหนังสือพยากรณ์เล่มแรกของเขาที่เขียนเป็นคำโคลงพยากรณ์ 100 บท ได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2098 แต่แท้จริงแล้วเขาเริ่มงานพยากรณ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2090

คำพยากรณ์บางอย่างของเขาเป็นที่สนพระทัยของ พระนางแคทรีน เดอ เมอดีซี พระราชินีแห่งฝรั่งเศสเป็นอันมาก ถึงกับทรงรับสั่งให้ตามตัวเขามาเข้าเฝ้าที่พระราชวัง ในขณะเดียวกันพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์

อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของนอสตราดามุสในทางการแพทย์เริ่มเสื่อมลง เมื่อเขาไม่สามารถรักษาครอบครัวของตัวเองให้หายจากการเป็นกาฬโรคได้ แต่ทว่าชื่อเสียงของเขาในฐานะที่เป็นโหรกลับรุ่งโรจน์ จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

นอสตราดามุสสามารถมองเห็นอนาคตและได้เขียนสิ่งที่เขาเห็นนั้น ๆ ลงในคำพยากรณ์บทละ 4 บรรทัด มีทั้งหมดถึง 1,000 บท แต่ละบทเป็นคำพยากรณ์เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งได้ใช้คำที่เป็นสัญลักษณ์เข้ารหัสเอาไว้ จนคนอื่นยากที่จะเข้าใจความหมายของมันได้

นอสตราดามุสซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบุรุษลึกลับมหัศจรรย์หลายชั่วศตวรรษ ไม่เคยเสื่อมความนิยมชมชอบจากประชาชนแม้แต่น้อย ในระหว่าง 400 ปีที่ผ่านมามีบรรดาผู้ศึกษาค้นคว้าและตีความเป็นจำนวนมากได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจในการศึกษาตำรับตำราเป็นร้อยๆ เล่ม เพื่อนำมาถอดความจากรหัสและสัญลักษณ์

ในคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส การตีความของแต่ละคนมักจะแตกต่างกันออกไป เพราะอาจจะมีการตีความคำโคลงผิดเพี้ยนไปจากความประสงค์เดิมของผู้พยากรณ์ การที่จะสามารถจับเรื่องราวเป็นลำดับขั้นตอน และเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกันและกันได้นั้น ผู้วิเคราะห์จะต้องใส่ใจอยู่เสมอว่า นอสตราดามุสเขียนคำพยากรณ์ในขณะที่คณะกรรมการสอบสวนของฝ่ายคริสต์จักรกำลังจ้องจะเล่นงานเขาอยู่

นอกจากนั้นผู้วิเคราะห์ก็จะต้องมีความพร้อมทั้งด้านเวลา พลังกายและพลังสมองที่จะอุทิศให้กับการชำแหละคำพยากรณ์มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ และจะต้องสามารถถอดรหัสภาษาสัญลักษณ์ของนอสตราดามุสให้ได้ด้วย ไม่ว่าผู้วิเคราะห์จะใช้ความพยายามและวิเคราะห์ออกมาแบบใด คำพยากรณ์ที่ถูกตีความออกมานั้นจะมีความถูกต้องประมาณ 86-91 เปอร์เซ็นต์

ซึ่งความถูกต้องจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับอคติของผู้วิเคราะห์แต่ละคน ในบรรดาคำพยากรณ์ที่มีอยู่ในประมวลคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสนั้น ส่วนที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางทหารครั้งสำคัญครั้งนี้ เป็นการสู้รบที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

นอสตราดามุสไม่เพียงแต่ระบุขอบข่ายของสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ได้ชื่อว่าเป็นสงครามมหาวินาศยิ่งกว่าสงครามครั้งใด ๆ เท่านั้น แต่ก็ยังสามารถระบุชื่อของบรรดาแม่ทัพนายกอง ชื่อสถานที่ แม่น้ำ ภูเขา และพื้นที่ต่าง ๆ ที่จะเกี่ยวข้องกับการยุทธ์ในมหาสงครามครั้งนี้ ซึ่งเมื่อนำวิชาภูมิศาสตร์และวิชาเหตุการณ์ปัจจุบันเข้าไปจับแล้ว จะเห็นได้ว่าชื่อบุคคลและสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏในคำพยากรณ์ ถูกต้องและแม่นยำอย่างที่ทราบกันอยู่ในปัจจุบัน

จากความถูกต้องเช่นนี้ทำให้เราเกิดความมั่นใจว่า สงครามมหาประลัยโลกกำลังจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง และขอบข่ายการสู้รบรวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะนำมาใช้ทำลายล้างซึ่งกันและกัน จะตรงตามคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสทุกประการ ที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสจำนวน 265 บท บรรยายถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก เป็นมหาสงครามที่ยังไม่ได้ทำการสู้รบกันในขณะนี้

ตามคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส การขัดแย้งกันครั้งนี้ประเทศที่จะมีส่วนในการสัมประยุทธ์ นอกจากจะมีประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาแล้ว ยังมีการสู้รบกันในพื้นที่ต่างๆ อีกมากมายหลายแห่ง

กล่าวโดยสรุปได้ว่า ทั่วทั้งโลกรวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย จะมีส่วนร่วมและได้รับผลกระทบกระเทือนจากการขัดแย้งในครั้งนี้ จะมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ อาวุธแบคทีเรีย และไอพิษสังหารประชากรทีละประเทศ ๆ อำนาจการทำลายล้างครั้งนี้จะมีผลกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใด ๆ เท่าที่โลกเคยประสบมา ในคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเป็นสงครามมหาประลัย มีความหฤโหดเหนือกว่าสงครามทุกครั้งที่ผ่านมา สงครามจะเริ่มก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งสันติภาพ

ในชั้นแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในสหภาพโซเวียต ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะทำให้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตถูกเปลี่ยนมาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย นอสตราดามุสพยากรณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของสหภาพโซเวียต จะมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศนี้ และจะนำไปสู่การฟื้นฟูมิตรภาพระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตในที่สุด

นอสตราดามุสเรียกชาติมหาอำนาจทั้งสองนี้เป็นปริศนาว่า “สองพี่น้องแห่งภาคเหนือไกล จะคมนาคมติดต่อกันทางมหาสมุทรอาร์ติก” บรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศที่ มีทีท่าว่าจะสดใสนั้นจะกลับกลายไปในทางไม่ดีในทันที เพราะการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองอภิมหาอำนาจดังกล่าว จะมีผลกระทบกระเทือนต่อดุลอำนาจของโลกมากยิ่งขึ้น

กล่าวคือ สองอภิมหาอำนาจจะรวมแสนยานุภาพของตนเข้ากับแสนยานุภาพของฝ่ายยุโรปตะวันตก หลังจากนั้นไม่นานชาติต่างๆ ในตะวันออกไกลและตะวันออกกลางก็จะตอบโต้ด้วยการรวมตัวกัน เพื่อเตรียมพร้อมทำสงครามกับฝ่ายตะวันตก โดยฝ่ายตะวันออกไกลและฝ่ายตะวันออกกลาง ได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธแบคทีเรีย และอาวุธเคมีจากประเทศจีน

ลักษณะที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏอยู่ในคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส ได้แก่คำพยากรณ์ที่ว่าประเทศคู่สงครามทั้งฝ่ายตะวันตกและฝ่ายตะวันออก นอกจากจะใช้อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธแบคทีเรียทำลายล้างกันอย่างกว้างขวางแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังจะรุกและตั้งรับกันโดยใช้ยุทธวิธีปกติ กล่าวคือ ใช้กำลังรบทั้งทางบกและทางเรือกันอย่างกว้างขวางพร้อมๆ กันไปด้วย

ตามปกติมักจะคิดกันว่ามหาสงครามครั้งต่อไป จะเริ่มด้วยการกดปุ่มของทหารที่ซ่อนอยู่ในอุโมงค์ลึกใต้ดินและสงครามจะยุติลงในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โดยอาวุธนิวเคลียร์จะทำลายล้างอารยธรรมทั่วทั้งตะวันตกและตะวันออกเสียสิ้น

แต่นักยุทธวิธีทางการทหารหาได้ยอมรับแนวความคิดเช่นนี้อีกต่อไปไม่ ในบรรดายุทธวิธีที่เป็นไปได้ว่าจะถูกนำมาใช้ในการสู้รบในสงครามโลกครั้งต่อไปนั้น ยุทธวิธีที่เป็นไปได้อย่างยิ่งได้แก่ยุทธวิธีที่ว่ามหาอำนาจหนึ่ง จะพยายามชิงความได้เปรียบฝ่ายศัตรู โดยที่ตัวเองไม่เสี่ยงกับการถูกตอบโต้และทำลายจากฝ่ายศัตรู

ผู้ชำนาญการทั้งหลายต่างคาดการณ์ว่า จะมีการนำอาวุธนิวเคลียร์ออกใช้โต้ตอบกันในขอบเขตจำกัดในการทำสงครามกันครั้งนี้ และจะติดตามมาด้วยการทำสงครามแบบปกติ จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ขนาดเล็กภาคสนามเพื่อสนับสนุนการรบแบบปกติก็ต่อเมื่อเห็นว่าเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

ยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปดังกล่าว นับว่าสอดคล้องกับคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส โดยประการทั้งปวง ถึงแม้ว่านอสตราดามุสจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะซ่อนลำดับคำพยากรณ์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 เอาไว้ในระหว่างคำพยากรณ์อื่น ๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่า

แต่จากผลของการวิจัยและค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนนี่เอง ทำให้เราสามารถค้นหาคำโคลงพยากรณ์ทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับสงครามมหาประลัยครั้งนี้จนพบ เมื่ออ่านคำพยากรณ์นี้แล้วผู้อ่านก็คงจะเกิดความรู้สึกว่า แม้แต่นอสตราดามุสเองก็เกิดความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวง ในสถานการณ์ของมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้

ด้วยเหตุที่นอสตราดามุสเป็นชาวฝรั่งเศส ดังนั้นเขาจึงมองสงครามโลกครั้งนี้ในทรรศนะของชาวยุโรป โดยได้บรรยายถึงอนาคตของมหาอำนาจคู่สงครามทั้งในตะวันออกและตะวันตก ในแง่ที่จะมีผลกระทบต่ออนาคตของยุโรป สหรัฐอเมริกา และคริสต์ศาสนจักรแห่งกรุงโรม

จากการที่นอสตราดามุสทำนายว่าการสู้รบครั้งสำคัญๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นในยุโรปนั้น เมื่อดูกันอย่างผิวเผินแล้ว อาจจะทำให้มีความรู้สึกว่า ส่วนอื่นๆ ของโลกจะโชคดีไม่ต้องรับเคราะห์กรรมจากสงคราม แต่โดยแท้ที่จริงแล้วความขัดแย้งกันครั้งนี้มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาล ถึงแม้ว่าการสังหารและการสู้รบกันอย่างนองเลือดส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในดินแดนยุโรป แต่ส่วนอื่นๆ ของโลกก็หาได้รอดพ้นจากความหฤโหดของสงครามมหาประลัยนี้ไม่

อย่างไรก็ดีพวกเรายอมรับว่า จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ฝ่ายหนึ่งกับจีนแดงและกลุ่มประเทศตะวันออกไกลและตะวันออกกลางอีกฝ่ายหนึ่งนี้ ไม่เป็นที่สงสัยแม้แต่น้อยว่ายุโรปจะเป็นสมรภูมิที่สำคัญในการทำสงครามตามแบบ และการที่จีนและฝ่ายสัมพันธมิตรของจีนในตะวันออกไกล จะมีชัยชนะได้อย่างเด็ดขาดนั้น มีทางเดียวที่จะกระทำได้ก็คือต้องปิดล้อมและหาทางแยกเอาสองอภิมหาอำนาจออกจากกัน รวมทั้งแยกสองอภิมหาอำนาจนี้ออกจากส่วนอื่นๆ ของโลกด้วย

ยุโรปเป็นเส้นทางคมนาคมหลักระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการพิชิตและทำลายล้างยุโรปจึงเป็นส่วนสำคัญยิ่งในแผนยุทธศาสตร์การรบของฝ่ายตะวันออก เมื่อวิเคราะห์คำพยากรณ์ของนอสตราดามุส ในส่วนที่เกี่ยวกับสงครามครั้งใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พอที่จะแบ่งคำพยากรณ์ออกเป็น 9 บท ซึ่งแต่ละบทได้พรรณนาสงครามในแต่ละช่วงเอาไว้ดังต่อไปนี้

ในช่วงแรกของสงคราม อิสราเอล จะเป็นประเทศแรกที่ตกเป็นเหยื่อของแผนพิชิตตะวันออกกลางของเหล่าประเทศอาหรับ ซึ่งฝ่ายอาหรับไม่เพียงแต่มีแผนที่จะพิชิตตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ก็ยังมีแผนที่จะพิชิตทุกประเทศในทวีปยุโรปอีกต่อไปด้วย

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ประเทศกรีซ กับ ประเทศตุรกี ก็เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนถึงกับใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน กรีซเป็นฝ่ายแพ้สงครามและได้เปิดการเจรจาสันติภาพที่นครเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่การเจรจากันครั้งนี้ต้องประสบกับความล้มเหลว

สงครามช่วงที่ 2 อุบัติขึ้นทางด้านตะวันออกไกล เมื่อจีนใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีฝ่ายตะวันตกอย่างฉับพลัน และยิงระเบิดแบคทีเรียชนิดร้ายแรงไปที่รัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปตามกระแสลมและกระแสน้ำครอบคลุมถึงประเทศต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรของฝ่ายประเทศตะวันตก

หลังจากนั้นจีนก็จะใช้กำลังทหารบุกทางภาคใต้ของรัสเซีย ส่วนฝ่ายกลุ่มประเทศอาหรับ ก็ไม่ต้องการน้อยหน้ามหาอำนาจทางตะวันออกไกลคือจีน ก็จะดำเนินแผนการรบของตนบ้าง โดยเคลื่อนกำลังไปทางประเทศตะวันตก ทำการโจมตีชาติต่างๆ ที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตน

ในที่สุดกรุงโรมประเทศอิตาลีก็จะถูกทำลายอย่างย่อยยับ และจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศอิตาลี กองกำลังของฝ่ายอาหรับได้เคลื่อนตัวมุ่งสู่พรมแดนของฝรั่งเศส เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสกระโจนเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งนี้เพราะสถานการณ์บีบบังคับ สงครามในช่วงที่ 3 เริ่มขึ้นเมื่อกองทัพฝรั่งเศสเข้าไปตั้งรับฝ่ายอาหรับที่พรมแดนอิตาลี แล้วต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในขณะที่กองทัพฝรั่งเศสกำลังรวมพลหลังการแพ้สงครามอยู่นั้น ทางด้านประเทศอังกฤษก็จะเกิดอุทกภัยอย่างร้ายแรงทั่วประเทศ

เมื่อหันไปดูอิตาลีสถานการณ์กลับเลวร้ายยิ่งขึ้น องค์สันตะปาปาจะถูกบังคับให้เสด็จหนีไปยังดินแดนแห่งใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กับที่เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งประเทศโมนาโกถูกจับกุมตัว และเมืองเวนิชในประเทศอิตาลีถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ ในระหว่างช่วงที่ 4 ของสงคราม ประเทศโมนาโกจะถูกถล่มจนราบคาบ กองทัพจีนจะบุกเข้าโจมตีฝรั่งเศส กองกำลังร่วมระหว่างจีนกับอาหรับจะยกทัพเข้าโจมตีประเทศสเปน และระดมทิ้งระเบิดจนทั่วยุโรป ฝ่ายพันธมิตรตะวันตกจะปราชัยอย่างราบคาบ

เมื่อสูญเสียประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และที่มั่นสุดท้ายคือเมืองบลูเจสในประเทศเบลเยี่ยม และทั่วทั้งยุโรปก็จะตกอยู่ในความยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันออกอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงช่วงที่ 7 ของสงครามโลกครั้งที่ 3 กระแสของสงครามจะเปลี่ยนไป โดยสหรัฐอเมริกาและรัสเซียจะเป็นฝ่ายรุกบ้าง แต่กว่าจะถึงช่วงนี้ฝ่ายพันธมิตรตะวันออกจะเคลื่อนกำลังเข้าไปในละตินอเมริกาเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่านอสตราดามุสจะไม่ได้พยากรณ์ไว้อย่างแน่นอนว่า เมื่อใดสงครามในตะวันออกไกลจะยุติลง แต่เขาได้กล่าวไว้ว่าสงครามในแถบนั้นจะยุติลงเมื่อสองอภิมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกาและ รัสเซีย เริ่มใช้อาวุธเชื้อโรคกับชาวจีน และบุกโจมตีเข้าไปในดินแดนประเทศนี้

เมื่อฝ่ายพันธมิตรตะวันตกสามารถรวมกำลังพล และกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์มาทุ่มอยู่ทางด้านสมรภูมิทางยุโรป ก็จะสามารถช่วงชิงยุโรปคืนมาได้ในเวลาไม่นานนัก จะมีการใช้กองกำลังเรือดำน้ำเข้าโจมตี รวมทั้งใช้อาวุธเชื้อโรคและอาวุธนิวเคลียร์สนับสนุน กับจะมีการยุทธ์ทางเรือครั้งยิ่งใหญ่นอกฝั่งตะวันตกของประเทศสเปน และในที่สุดฝ่ายพันธมิตรตะวันตกก็จะสามารถช่วงชิงยุโรปกลับคืนมาได้ทั้งหมด

เมื่อสงครามยุติลง "องค์พระสันตะปาปา" ประมุขศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็จะเสด็จกลับนครวาติกันดังเดิม แต่เมื่อถึงขณะนั้นนครวาติกันจะถูกฝ่ายตะวันออกทำลายจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังเป็นอนุสรณ์เท่านั้น เมื่อพิจารณาในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว จะเห็นว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ประเด็นหนึ่ง คือที่นอสตราดามุสพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2043 ว่ากลุ่มประเทศตะวันออกกลาง จะมีบทบาทสำคัญในการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่ 3

คำพยากรณ์นี้อาจจะทำให้บางคนเกิดความรู้สึกลังเลที่จะเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการที่ประเทศอิสราเอลเคยทำสงครามชนะประเทศเพื่อนบ้านอาหรับมาตลอด แล้วอย่างนี้ประเทศอาหรับจะมีน้ำยาทำอะไรต่ออิสราเอลได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าในปัจจุบันชาติต่าง ๆ ในตะวันออกกลางอาจจะแสดงออกมาว่ายังไม่เข้มแข็งพอ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่ต้องสงสัย

ปัจจุบันชาติอาหรับต่างๆ เหล่านี้มีพลังทางเศรษฐกิจอย่างมากมายเนื่องจากมีน้ำมันสำรองอยู่มากนั่นเอง อิทธิพลของรัสเซียในแถบนั้นได้เสื่อมทรามลงไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว ส่วนอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาก็มีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลงในดินแดนแถบนั้น เนื่องจากสหรัฐอเมริกายืนหยัดอย่างแน่วแน่ที่จะยังให้การช่วยเหลือแก่ประเทศอิสราเอลซึ่งเป็นศัตรูของฝ่ายโลกอาหรับอยู่ต่อไป

เมื่อฝ่ายอาหรับหันหลังให้ลูกพี่เก่าคือสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย จึงหันหน้าไปทางลูกพี่ใหม่คือจีนที่กรุงปักกิ่ง ฝ่ายอาหรับย่อมสามารถหาพันธมิตรที่จะเต็มใจให้การสนับสนุนพวกเขาในด้านอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธแบคทีเรีย อาวุธเคมี และอาวุธแบบปกติอื่น ๆ

เมื่อฝ่ายอาหรับได้อาวุธเหล่านี้จากจีนมาเก็บไว้ในคลังแสงของตนแล้ว ก็พร้อมที่จะรุกโจมตียุโรปทางตะวันออก ส่วนจีนก็จะโจมตีขนาบยุโรปทางตอนใต้ นั่นคือจุดระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 3 ต่อไปนี้ ขอเชิญท่านผู้อ่านพบกับรายละเอียดของความหายนะ ที่ปรากฏอยู่ในคำพยากรณ์ของนอสตราดามุสได้แล้ว.

ที่มา - atcloud.com

(โปรดติดตามการวิเคราะห์จากเว็บ atcloud.com ต่อไป
ตอน "เรามาดูพระพุทธเจ้าของพวกเราบางครับ ท่านได้ทำนายไว้ว่ายังไร")


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 11/1/10 at 05:04

17

เรามาดูพระพุทธเจ้าของพวกเราบ้างครับ
ท่านได้ทำนายไว้ว่ายังไร..?



ความฝันที่ 1 พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝันเห็นว่า ได้เห็นโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัวนั่นวิงเข้ามาใส่ตัวท่านพระปเสนทิโกสนโคกระบือนั่นวิ่งเข้ามา 4ทิศด้วยความโกรธอย่างยิ่งเเต่พอมาถึงตัวท่านกลับวิ่งออกห่าง โดยไม่ได้ชนกันเลยเเม้เเต่น้อย

พระพุทธเจ้าก็เลยทรงทำนายว่า จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นต้นครับ เช่น ฝนตกไม่ตรงกับฤดูกาลเเต่ท่านเปรียบเป็นก้อนเมฆ 4 ทิศที่เข้ามาร่วมกลุ่มดูเหมือนฝนจะตกเเต่ไม่ตก นั่นหมายความว่าท่านเอ่ยถึงปัญหาโลกร้อนจริงๆ


ความฝันที่ 2 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า ไปสถานที่เเห่งหนึ่งต้นไม้นานาชนิด ที่ยังเป็นต้นไม้เล็กยังเจริญเติบโต เเบบไม่เต็มที่นั่นที่ได้ออกดอกออกผลเจริญงอกงามหมดทุกๆ ต้น

พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าในอนาคต เด็กสาว(วัยรุ่น) วัยที่ยังไม่ควรมีสามีก็มีเเละมีสามีก็มีมักไคร่ในกามมณ์บางคู่ก็เเต่งงานกันในวัยไม่พร้อมเเละไม่เหมาะสมกันในความจริงมันเป็นเรื่องจริงอย่างเหลือเชื่อท่านไ ด้ทรงเอ่ยสังคมปันจุบันได้อย่างถูกต้องเพราะสมัยนี้มีเด็กใจเเตกท้องบางจนเกิดปัญหาเป็นขยะสังคมก็มีนั่นคือคำทำนายของพระพุทธเจ้าครับ


ความฝันที่ 3 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า ฝูงพ่อโคเเม่โคได้ไปดูดนมลูกตัวเอง


พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกว่านั่นหมายถึง ความอกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นมันตรงสมัยปันจุบันเสียเหลือเกินครับ พ่อเเม่เสี้ยงเด็กในไส้จนเกิดใหญ่เเต่พอท่านได้ชราลงไปเเต่ลูกหลานไม่เคยเลี้ยวเเลเลย นั่นก็เป็นจริงทำให้อัตราผู้สูงอายุเพิ่มมากเรื่อยๆ นับว่าไม่เเปลกใจเลยในปันจุบันครับ


ความฝันที่ 4 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า ผู้คนทั้งหลายได้จับลูกวัวตัวน้อยๆไปลากจูง พอลากไม่ไหวก็เอาไม้เฆี่ยนลูกวัวอย่างทรมาน นั่นหมายถึงวิกฤติของคนดีมีปัญญาครับในปันจุบันมันก็เกิดขึ้น


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า คนดีที่มาปกครองบ้านเมืองมักมีน้อย ส่วนข้าราชการผู้ด้อยประสบการณ์ มักจะมาบริหารบ้านเมือง เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมีการ (เล่นเส้นเล่นสาย) ไงครับ ตรงกับปันจุบันรัฐบาลปกครองบ้านเมือง มักจะเห็นพวกพ้องมากกว่าประชาชนครับ เเต่ละยุดเเต่ละสมัยครับก็เหมือนกันหมด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง ทำนายที่เเม่นยำนี้เเหละเหลือเชื่อจริงๆ ครับ ตรงกับยุคนปัจจุบันมากๆ


ความฝันที่ 5 พระเจ้าปเสนทิโกสนได้ทรงฝันว่า เห็นม้าตัวเดียวหัวเดียว เเต่มีสองปาก


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่านั่นหมายถึงความอยุติธรรมครองเมืองคนส่วนมักจะใช้เงินในสู้คดีของความผิดที่ตนได้ก่อเพื่อจะพ้นจากความผิดก็มีเทคนิคโกงอย่างชาญิฉลาดคนที ่บริสุทธ์มักจะรับบาปกับสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ อืมมันก็ใช้นะน่าสน คำทำนายต่อไป


ความฝันที่ 6 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เห็นสุนัขตัวหนึ่งได้ไปถ่ายอุจจาระบนถาดทองคำเเสนที่มีค่า


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ในอนาคตรวมถึงปันจุบันด้วย ก็กลุ่มคนเลวผู้หนึ่งเหยียบย่ำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธ บ้างก็ทำลายบ้างก็ดูถูกพระธรรม บ้างก็ทำลายศาสนาของพวกเรา ของบางศาสนาไม่บอกว่าศาสนาอะไร บ้างก็เอาสมบัติของศาสนาสถานมาเป็นของตนบ้าง


ความฝันที่ 7 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนำหนังมาฟั่นเป็นเชือกอยู่บนตั่งด้านล่าง มีสุนัขจิ้งจอกคอยกินเลือด พอฟั่นเชือกเสร็จก็กินหมดพอดี


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ในอนาคตข้างหน้า (รวมถึงปันจุบันด้วย) คนมีจิตใจอันเเสนเลวทรามเเละต่ำช้ามากๆ
เมื่อได้รับยศถาบรรดาศักดิ์รับใช้พระราชสำนัก ก็จะเเอบอ้างอาศัยบารมีให้เกิดประโยชน์ต่อพวกพ้อง บ้างก็เปิดเผยความลับบ้าง จนเป็นที่เสื่อมเสียต่อราชวงค์ครับ ในปันจุบันมันก็มีนะ บางคนกล่าวอ้างบางจ้วงจาบและลบหลู่สถาบันเบื้องสูงของเเต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยครับ


ความฝันที่ 8 พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝันว่า เห็นโอ่งใบเล็กกับใบใหญ่ คนส่วนใหญ่มักจะตักน้ำใส่โอ่งใบใหญ่ ปล่อยให้น้ำโองใบเล็กเเห้ง


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าในสังคมในอนาคต(ปันจุบัน) คนส่วนใหญ่มักจะทำดีเเบบเลือกหน้านั่นก็ถูกนะ มักถวายสิ่งของให้เเก่พระผู้ใหญ่ ส่วนเณรน้อยก็อดอยากปากเเห้งไม่มีใครมาถวาย มันก็เกิดจริงจนไม่มีใครที่ปฎิเสธได้ว่าบางคนยังถามเลยว่า เป็นพระหรือเณรถ้าเป็นพระถวายของก่อนเณรจะทีหลัง


ความฝันที่ 9 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เห็นสระใหญ่น้ำรอบนอกใสสะอาดรอบในขุ่นหมองมัว สัตว์เหล่านั้นมักจะกินน้ำรอบในที่ขุ่นมากกว่า และไม่สนใจกินน้ำที่สะอาด


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ในอนาคตรวมถึงปันจุบัน ผู้คนจะความโลภในอาชีพ อาชีพที่มันสะอาดสุจริตไม่บิดเบือนใครก็ไม่อยากทำ เงินน้อยกว่ารวยช้ากว่าก็ทำอาชีพที่มันผิดกฏหมายเช่น ค้ายาเสพติดบ้าง โกงคอรัปชั่นบ้างก็มี มันเป็นสิ่งน่าประหลาดใจเช่นกันครับ ซึ่งในปัจจุบันข่าวคราวเกี่ยวยาเสพติดมันก็มีเหลือเกิน
บ้างก็เป็นข่าวใหญ่บ้างก็ข่าวเล็กครับ


ความฝันที่ 10 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เห็นหม้อข่าวใบเดียวครึ่งหนึ่งสุกครึ่งหนึ่งดิบ อีกส่วนหนึ่งสุกๆ ดิบๆ


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ในกาลใดในอนาคตผู้คนมักจะมีความกังขาในมรรคผลนิพพานบางคนเชื่อนรกสรววด์บ้างก็ไม่เชื่อ พระศาสนาเป็นลุล่วงมาเเล้ว 2500 กว่าปี เพราะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยเเล้วมันก็จริง เพราะคนในสังคมปันจุบันนั้น ส่วนใหญ่มักจะมีความคิดความเชื่อที่เเตกต่าง รวมทั้งสังคมเหตุการณ์บ้านเมืองเรา มักมีความขัดเเย้งไปตลอด บ้างก็ศรัทธาบ้างก็ไม่ศรัทธา นั่นเป็นความจริงที่เลี่ยงมันไม่ได้ครับ

ความฝันที่ 11 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า การนำของสูงไปเเลกของต่ำ คือได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเอาเเท่งทองคำไปเเลกกับนมเปรี้ยวเเบบไม่สมราคา


นั่นหมายถึงผู้คนที่เเย่มากๆ ในปันจุบันพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปตีป็นเงินตรา ถ้าไปเทียบยุคปันจุบันเเล้วละก็มันมีจริงอยู่ เเละมีอยู่ถมไปเอาพระธรรมไปจดสิทธิบัตรคนที่ทำปราศจากศาสนาเเย่มากๆ ครับ


ความฝันที่ 12 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า น้ำเต้าเเห้งกลวงใน ปกติมันจะจมเเต่นี้มันกลับลอยน้ำขึ้นมาเฉย


พระพุทธทรงบอกว่าคนดี มีความรู้ มีคุณธรรม รวมพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมมากๆ มักจะไม่เชิดชูในวงสังคม มักจะโดนคนชั่วกลั่นเเกล้งอยู่ตลอดเวลา ถ้าผมจะยกตัวอย่างเช่น ในวงการบ้านเมืองส่วนใหญ่ คนดีที่มาเป็นนักการเมืองมักจะถูกกลั่นเเกล้งให้ลงไปจากตำเเหน่ง ปล่อยคนชั่วครองอำนาจเเละทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาครับ ดังได้เห็นในบ้านเราไม่ต้องอะไรมากครับ


ความฝันที่ 13 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เห็นก้อนศิลาใหญ่ถ้าเป็นปกติมันจะจมน้ำเเต่นี้มันกลับลอยน้ำ


พระพุทธทรงบอกว่า คนชั่วจะครองชาติบ้านเมือง ต่างก็ทำดีเพื่อเป็นหน้าตามากกว่าทำดีให้เห็นเป็นผลต่อประชาชน ส่วนใหญ่มักจะเห็นช่องทีวีต่างๆ ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ มักจะพูดอภิปรายต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีปิดบังอยู่ ซึ่งเราก็ไม่รู้เท่าที่ควร


ความฝันที่ 14 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เจ้าเขียดน้อยซึ่งเป็นอาหารของงูเห่าตัวใหญ่ เเต่กลับโดนเจ้าเขียดน้อยไล่จับงูเห่ากินเป็นอาหาร


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าในอนาคต คนที่มีหน้าตาในสังคมมักจะหลงในลาภยศ เช่น พระสงฆ์ที่เเสดงธรรมได้ไพเราะ คนอยู่วงการสังคมชั้นสูง (ไฮโซ) เป็นต้น มักจะถูกเจ้าเขียดน้อย (สีกา หรือ สตรี เพศหญิง) วิ่งเข้าไปหาเห็นช่องโหว่เเละสบโอกาสเเสดงเสน่ห์มายารูปร่างหญิง จนงูเห่า (นักบวชหรือผู้มีชื่อเสียงในสังคม) หลงในความใคร่ในกามารมณ์ หลงไหลมายาเสน่ห์หญิง ถ้าจะยกตัวอย่างเช่น พระเกจิชื่อดังโดนชาวบ้านล้อมกุฏิบังคับให้สึก หรือพระเกจิชื่อดังทำสีกาจนตั้งท้อง เป็นต้น


ความฝันที่ 15 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า เห็นหงษ์ทองสวยงามตระการตาเเต่ดันมารายล้อมอีกาตัวเดียว


พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า บุคคลที่เป็นนักบวชมักทำตัวเป็นนักบวชทุศีล (พระนอกรีต) ได้กระทำเล่ห์เหลี่ยมทำตัวเป็นคนดี โดยมีสามเณรหรือพระบวชใหม่ล้อมห้อม เเละหลงเชื่อว่าพระองค์นั้นๆ เป็นครูเป็นอาจารย์ ถ้าเปรียบเทียบกับสังคมยุดปันจุบัน พระดีๆ ส่วนใหญ่มักจะโดนกลั่นเเกล้งตลอดเวลา เเละคนดีส่วนใหญ่หลงตกเป็นเหยื่อคนชั่ว ตั่งที่ไม่เต็มใจคอยห้อมล้อมคนเลว เพื่อเอาอกเอาใจอย่างที่เห็นกันอยู่


ความฝันที่ 16 พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงฝันว่า ผันเห็นว่าฝูงเเกะไล่กินเสือ หมายถึงสังคมอ่อนเเอคนดีอ่อนเเอ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ในสมัยอนาคตครั้งหน้าอันไกล้นี้ เสือ(พระราชาผู้นำเป็นต้น) จะถูกเเกะไล่กิน(ประชาชน) ได้ทำปฏิวัติครั้งใหญ่หลังปกครองเเบบไม่สมบูรณ์ เเบบมีช่องโหว่ทางกฏหมาย เปรียบได้ดังฝูงเเกะได้กระทำการโค่นล้มอำนาจจากพระราชา ทำให้ประชาชนปกครองกันเองเเละสังคมสงบสุขมากขึ้น

......นี่เป็น "พุทธทำนาย" ที่เคยทำนายเอาไว้เมื่อ 2,500 กว่าปีล่วงมาแล้ว คำทำนายดังกล่าวเป็นคำทำนายที่ทำนายจากความฝันของพระราชาองค์หนึ่งในสมัยนั้น และในปัจจุบันหากใครได้อ่านฉบับเต็ม จะเข้าใจถึงความเป็นไปในสิ่งที่เกิดขึ้น

หากกล่าวโดยสรุปแล้ว เมื่อคนเราขาดศีลธรรม ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไร้ซึ่งคุณธรรมจริยธรรมแล้วไซร้ เราก็จะพบกับเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายเอาไว้ทุกอย่าง อยู่ที่การกระทำของมนุษย์ทั้งนั้น ถึงเวลาหรือยังครับ เราคนไทยหากยังมีสำนึกก็ยังไม่สายเกินไป ที่จะช่วยกันสร้างจิตสำนึกในเรื่องของศีลธรรม

ความรู้จักผิดชอบชั่วดี และปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับลูกหลานของเรา เพื่อที่ว่าในอนาคตอันใกล้ความผาสุกจะเกิดขึ้น เราอาจจะไม่ได้สัมผัสถึงความสุขก็ได้ แต่อย่าลืมว่าลูกหลานของเราเองครับ ที่จะต้องรับในสิ่งที่เราได้กระทำในวันนี้.


ภาพและบทความ จาก - atcloud.com

โปรดติดตามตอนต่อไปในปลายเดือนนี้
ตอน.."หมอดูอีที" แห่งประเทศพม่า, "นอสตราดามุส" แห่งบัลแกเรีย ทำนายชะตาโลก ถึงปี 5079
(ส่วนใหญ่ตามเว็บต่างๆ มีคำทำนายแค่ปี 3797)
ตอนต่อไป..พุทธพยากรณ์โลก โดย "หลวงพ่อวัดท่าซุง"
และตอนสุดท้าย..คำทำนายประจำปี 2553 จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์"


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 24/1/10 at 10:22

18

เปิดตัว..หมอดูพม่าชื่อดัง "หมอดูอีที"




.......เป็นบุคคลสุดลึกลับ หลังมีกระแสวิพากย์วิจารณ์กันหนาหู ว่าอยู่เบื้องหลัง เป็นกุนซือคนสำคัญของ.... เปิดใบหน้า "ผู้กุมความลับ ไขชะตาชีวิต เปลี่ยนวิกฤติ ความเป็น - ความตาย แก้เคล็ดเสริมดวง ให้กับ..... ในช่วงที่ขาลง!"

.......ว่ากันว่า ดูดวงบ้าน ดูดวงเมือง "ราวกับตาเห็น" ทั้งนักการเมืองระดับบิ๊ก นายทหารชั้นผู้ใหญ่ เศรษฐี หรือ แม้กระทั่งคุณหญิง คุณนาย ไฮโซ ในบ้านเมืองก็ไปใช้บริการ!! เปิดโฉมหน้าหมอดูอีที กันชัดๆ อีกครั้ง...!!

ที่มา - nationchannel.com


คลิป "ทูไนท์โชว์" ย้อนหลัง 4 มกราคม 2553




แกะรอยหมอดูพม่า "โหรอีที" (มะขุ่ย) เขาว่าเก่ง-เขาว่าแม่น?


......อย่างไรก็ตาม จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ได้ปรากฏชื่อ “หมอดูพม่า” ขึ้นมาหนึ่งคน ซึ่งหมอดูพม่าคนที่ว่านี้ มีบางคนบอกว่ามีตัวตน อยู่จริง และก็มีคนดัง ๆ คนใหญ่คนโตของไทยในหลายแวดวง ให้ความเชื่อถือ

“หมอดูอีที” คือฉายาของหมอดูพม่าคนนี้ ?!?

.......“ได้ยินชื่อเสียงของหมออีทีมานานแล้ว ในวงการหมอดูด้วยญาณของไทยก็มีการกล่าวถึงหมอดูพม่าคนนี้ แต่ไม่มีใครยอมรับ แต่สำหรับผมในฐานะที่ใช้ญาณดูเช่นเดียวกัน ยอมรับว่าหมอดูอีทีเก่งจริง”

.......เป็นการระบุของ หมอนิด-กิจจา ทวีกุลกิจ หมอดูไทยที่ระยะหลังคนไทยจะคุ้นชื่อจากการออกมาทายทักเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอยู่เนือง ๆ ซึ่งหมอนิดยังระบุต่อไปอีกว่า...

........“ส่วนตัวยอมรับว่าหมอดูอีทีทำนายดวงชะตา เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้น 2-3 เดือนแม่นมาก ส่วนระยะยาวไม่รู้ว่าจะทำนายแม่นหรือเปล่า ซึ่งปกติหมอดูด้วยญาณสามารถพยากรณ์ได้ข้ามปี ถึง 3 ปี”

........กับหมอดูอีทีคนนี้ หมอนิดบอกว่า...เท่าที่ทราบจะรับดูแค่ช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น นอกเหนือจากเวลาที่กำหนดจะไม่ดูให้ใครอย่างเด็ดขาด โดยการดูจะให้ลูกค้าเขียนคำถามเป็นภาษาอังกฤษลงในกระดาษ ไม่เกิน 5 คำถาม ถ้าเป็นคำถามสำคัญก็ได้แค่ 3 คำถามเท่านั้น

........“หมอคนนี้พูดภาษาไทยไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็งู ๆ ปลา ๆ มีพี่เลี้ยง เป็นคนแปล และเขียนคำตอบให้กับลูกค้า ราคาการดูก็ไม่มากเป็นแสน ๆ เหมือนที่มีข่าว เริ่มประมาณ 30,000-40,000 บาท ส่วนถ้าลูกค้าประทับใจ ถูกอกถูกใจ ก็จะให้ทิปเป็นสินน้ำใจอีกส่วนหนึ่ง”...หมอนิดระบุ

........ด้านแหล่งข่าวซึ่งใกล้ชิดนักการเมืองระดับรัฐมนตรีรายหนึ่ง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “หมอดูอีที” ว่า...ตนเองเคยเดินทางไปพม่ากับผู้ใหญ่หลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งหลังจากเสร็จภารกิจผู้ใหญ่ก็จะไปดูดวงกับหมอดูอีที

.........“เป็นหญิงพม่า ค่อนข้างสูงอายุ มีรูปร่างเล็กผอม เล็บยาว ขาคอด แขนคอด หลังค่อม ฟันเหยิน ไปไหนมาไหนต้องนั่งรถเข็น”...แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งจากบุคลิกประมาณนี้นี่เองเป็นที่มาของฉายาหมอดู “อีที”

.........แหล่งข่าวยังเล่าต่อไปว่า...หมออีทีเป็นหมอดูชื่อดัง เป็นที่รู้จัก กันอย่างแพร่หลายในหมู่นักการเมืองพม่าและไทย รวมถึงนักธุรกิจ ว่ากันว่า ทำนายทายทักดวงชะตาได้แม่นยำราวกับตาเห็น ทั้ง ๆ ที่ “ตาทั้งสองข้าง บอดมาแต่กำเนิด” โดยเสี่ยนักธุรกิจชาวพม่าเป็นผู้ชักนำหมอดูคนนี้มาให้กับกลุ่มนักการเมือง

........“หมอดูคนนี้รับใช้รัฐบาลทหารพม่ามานาน ดูดวงเมือง ดวงชะตา ผู้นำประเทศพม่า เขาลือกันว่าดูแม่นมาก คนที่ดูดวงกับหมออีทีล้วนเป็น คนใหญ่คนโตของบ้านเมือง ทั้งนักการเมือง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ เศรษฐี และนักธุรกิจระดับวีไอพี ซึ่งอัตราค่าบริการดูดวงชะตานั้นแพง ไม่ต่ำกว่า 1 พันเหรียญต่อครั้ง”

.........ทีเด็ดของหมออีทีคนนี้คือ ก่อนตรวจดวงชะตาลูกค้าจะโชว์ เพาเวอร์ให้ลูกค้าดูก่อนตามธรรมเนียม ด้วยการทายเลขแบงก์หรือธนบัตรในกระเป๋าลูกค้า และทุกครั้งจะสร้างความทึ่งให้กับลูกค้า เพราะทายเลขที่ระบุอยู่ในแบงก์หรือธนบัตรถูกทุกตัว และถูกต้องทุกหลัก ?!?

........ด้วยกิตติศัพท์ชื่อเสียง นายทหารและนักการเมืองไทยหลายคน เมื่อไปเยือนพม่าจึงมักจะไม่พลาดที่จะใช้บริการดูดวงกับ “หมออีที”

........“หมอดูอีทีเคยทำนายดวงชะตาคนดังไทยบางคนว่าดวงถึงขั้นชะตาขาด หมอแนะนำให้แก้เคล็ดเสริมดวง เพื่อความอยู่ยั้งยืนยงต่อไป โดยต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อต่อดวงชะตาที่กำลังจะขาดให้กลับคืน มา เริ่มจากท่องมนต์บทสวด แล้วเดินวนรอบเจดีย์ชเวดากองไปทางซ้าย 3 รอบ ขวา 3 รอบ จากนั้นก็ต้องไปทำพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ชุดใหญ่ในถิ่นที่ทุรกันดาร”...แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ นอกจากคุณหญิงคุณนาย ไฮโซ คนดังในแวดวงการเมือง ของไทยตามที่แหล่งข่าวบอกว่าเคยใช้บริการหมอดูอีทีคนนี้ มีเป็นสิบ ๆ คน มีทั้งซีกรัฐบาลรักษาการ และอดีตฝ่ายค้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นระดับบิ๊ก ๆ หรือแกนนำ

ว่ากันว่าหมอดูอีทีเคยทำนายดวงชะตาอดีตบิ๊กทหารบางคนว่า จะได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ก็ได้เป็น ?!? ทำนายดวงชะตาอดีตข้าราชการสายการ เงินการคลังบางคนว่าจะได้ตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงการคลัง ก็ได้ตำแหน่ง ?!? ทำนายนักธุรกิจบางคนที่เข้ามาเล่นการเมืองว่าจะได้ดูแลกระทรวงคมนาคม ก็ได้สมใจ ?!?

เหล่านี้เป็นเรื่องราว-คำเล่าขานร่ำลือถึง “หมอดูอีที” ว่าถึงเรื่อง “แม่น” หมอดูดัง ๆ ของไทยยังยอมรับ แต่เรื่อง “แก้เคล็ด” เจ๋งแค่ไหน...ก็ไม่รู้ ?!?!?.

แนะแก้ที่ "ใจตัวเอง" ก็พอแล้ว

......หมอดูชื่อดังยังกล่าวด้วยว่า ตามหลักที่ตนทราบนั้น การแก้ดวงหรือการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตานั้นสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่แก้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้น แต่ถ้าแก้ให้ถูกจุดก็ทำได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ




ที่มา - mornid.com



เมื่อถามถึงการเมืองในประเทศไทย


อีที...ได้พยากรณ์มาแล้วก่อนหน้าว่า ไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหา และทำนายว่า ก่อนสิ้นปี 2552 ไทยกับกัมพูชาจะปะทะกันรุนแรงด้วยอาวุธ จะมีบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ส่วนในประเทศ...อีทียืนยันจะมีสถานการณ์นองเลือดเกิดขึ้น ช่วงแห่งการต่อสู้ล้มตายจะกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

2553 จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่..โดยที่ฝ่ายทหารจะถอยห่างจากการเมือง...พรรคใหญ่ในขณะนี้จะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งแต่ฝ่ายต่อต้านจะยังมีอยู่ แต่ชั่วขณะหนึ่งก็จะโรยราหมดแรง เมื่อถามถึง... หมอพิการชาวพม่า...ฟันธงว่า..เมษายน 2553 ......จะกลับมาอยู่ในประเทศไทย ก่อนวันสงกรานต์


วิเคราะห์จาก...ปรากฏการณ์ปัจจุบัน...กับการขับเคลื่อนของแต่ละกลุ่มฝ่ายทางการเมือง...น่าห่วงว่าคำพยากรณ์น่าจะเป็นจริง...เสรีภาพที่อยู่เหนือตัวบทกฎหมาย.. .แผ่นดินจึงไร้กติกา...ถ้าการฆ่ากันระหว่างคนไทยกับคนไทย...เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้...ประชาชนคนไทยจะเหลือเท่าไหร่...จากยอด 64 ล้านคน...วันที่ เขมร กับ เขมร...ลุกขึ้นมาไล่ล่าเข่นฆ่ากัน...กว่า 3 ล้านชีวิต สิ้นสูญไป...ภาวนากันไว้ให้ดีๆ อย่าให้อีที เธอทายแม่นเล้ย..!!!

ที่มา - downmerng.blogspot.com

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 26/1/10 at 08:10

19

คุณยายวานก้า "นอสตราดามุส" แห่งบัลแกเรีย
ทำนายชะตาโลก ถึงปี 5079



(ภาพจาก statics.atcloud.com)


เรื่องนี้...เป็นอีกเรื่องที่คิดอยู่นานเหมือนกันว่าควรนำมาเผยแพร่หรือไม่ เพราะเรื่องค่อนข้างน่าสนใจสำหรับคนไทยอย่างเรา แต่ขณะเดียวกัน ก็เห็นว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นก็ยังเป็นแนวของไสยศาสตร์ความเชื่อ และอาจจะมีเรื่องของการหลอกลวงต้มตุ๋นรวมอยู่ด้วยไม่น้อย

แต่หลังจากที่ปรึกษาคนอื่นๆ และคิดเอาเองว่าชาวโอเคเนชั่น มีวิจารณญาณสูง ย่อมใช้สมองไตร่ตรองเอาเองได้ว่า อะไรถูกอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจนำมาเสนอครับ มันเป็นเรื่องการทำนายโชคชะตาของโลกตลอดช่วงหลายร้อยปีต่อจากนี้ และผู้ทำนายก็คือ “วานก้า”

“วานก้า” หรือชื่อจริง คุณยาย “วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า” (Ewangelia Pandewa Guschterowa) เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน คุณยายผู้นี้เกิดเมื่อ 31 มกราคม 1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย

เมื่อคลอดออกมา คุณยายทำท่าว่าจะไม่รอดตั้งแต่หลังคลอด แต่ไม่ยักกะตาย และหลังจากมีอายุได้ 2 เดือน เด็กน้อยก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเด็กปกติ ตอนอายุ 3 ขวบ แม่คุณยายก็เกิดมาตาย ไม่นานหลังจากนั้น พ่อก็ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งแรก เพื่อนบ้านต้องช่วยกันดูแลเด็กน้อยแทน หลังจากพ่อกลับมา ชีวิตของท่านก็ดีขึ้น เมื่อพ่อมีเมียใหม่ แม่ใหม่ก็ไม่ได้รังเกียจลูกเลี้ยง

พอคุณยายมีอายุได้ 12 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับตัวท่าน กล่าวคือได้เกิดพายุหมุนในหมู่บ้าน ( โดยก่อนและหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย) พายุได้หอบเอาคุณยายขึ้นไปเบื้องบน ก่อนจะปล่อยตกลงมาในภายหลัง และหลังจากนั้นตาของคุณยายก็เริ่มมองไม่เห็น หลังการผ่าตัดก็ไม่หาย และมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง 3 ปีหลังเหตุการณ์นั้น

ปี 1925 คุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนคนตาบอด และใช้เวลาอยู่ที่นี่ 3 ปี เมื่อกลับมาบ้าน ก็ต้องเจอกับชีวิตที่ยากลำบาก ทั้งความยากจน งานหนัก และโรคภัยไข้เจ็บที่เกือบจะคร่าชีวิต แต่ในช่วงนั้นเองที่คุณยายเริ่มรู้สึกตัวว่ามีอำนาจพิเศษ นั่นก็คือการมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งจากในความฝัน พรายกระซิบ และอื่นๆ

ทำให้สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ ทั้งที่จะเกิดในอนาคต และเกิดมาแล้วได้อย่างแม่นยำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องทหารที่สูญหายไปในแนวหน้า แต่ตอนแรก คุณยายไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร กลัวจะถูกหาว่า นอกจากบอดแล้วยังบ้า คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน

.....ปี 1942 คุณยายแต่งงานกับหนุ่มที่รู้จักกันที่โรงเรียนคนตาบอด และเริ่มเป็นนักทำนายอย่างเป็นงานเป็นการตอนอายุ 30 ช่วงนี้คุณยายเริ่มโด่งดังมากขึ้น เมื่อทำนายทายทักว่า ทหารคนไหนจะกลับมาจากแนวหน้า หรือไม่ได้กลับ ทำให้ผู้คนแห่แหนกันมาหาคุณยาย ให้ช่วยทำนายทายทัก ทั้งเรื่องทหาร เรื่องโรคที่ป่วย

.....จากการประเมินเชื่อว่า มีผู้มาขอความช่วยเหลือจากคุณยายมากถึงกว่าล้านคน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืยยันเรื่องนี้ได้ เพราะไม่ได้มีการจดบันทึกใดๆทั้งสิ้น นอกจากนั้น บางคนก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาหรือเธอ มาขอความช่วยเหลือจากคุณยายบ้านนอกตาบอด

......ว่ากันว่า..หนึ่งในผู้ที่มาหาคุณยาย เพื่อให้ทำนายโชคชะตาก็คือ "ฮิตเลอร์"

เมื่อ "บัลแกเรีย" กลายเป็นประเทศสังคมนิยม ทางการก็เข้ามาตรวจสอบคุณยาย แถมยังส่งคุณยายไปนอนถึงอยู่ครึ่งปี เพราะดันไปทำนายทายทักเรื่องการตายของ "สตาลิน" แต่เมื่อเรื่องการตายเกิดขึ้นจริง พวกเขาก็ปล่อยคุณนายออกมา ฝ่ายศาสนาเองก็ไม่ชอบหน้าคุณยาย เพราะคำทำนายหลายข้อขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาของกรีก "ออโธดอกซ์"

ในส่วนของความแม่นยำนั้น จากการทำวิจัยของนักวิทยาศาสตร์บัลแกเรียผู้หนึ่งที่ติด ตามคำทำนายมากกว่า 7 พันคำทำนายของคุณยาย ก็สรุปว่า ถูกต้องถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยคำว่าแม่นในที่นี่ ระบุด้วยว่า เกินกว่าระดับที่จะถือได้ว่าเป็นการประจวบเหมาะ

และเมื่อไม่สามารถสยบกระแสนิยมการมาใช้บริการ ทางการก็เลยหาทางทำเงินทำทองจากเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ ปี 1967 จนถึง 1990 คุณยาย ถือเป็นข้าราชการคนหนึ่ง และมีการกำหนดสนนราคาการเข้ามาขอใช้บริการของคุณยายวานก้า ไว้อย่างเป็นกิจลักษณะ โดยคนจากประเทศสังคมนิยม 15 ประเทศคิดค่าบริการคนละ 10 เลียฟ (ประมาณ 2 ดอลล่าร์ )

ส่วนจากประเทศอื่นๆ ที่เหลือคิดคนละ 50 ดอลล่าร์ งานนี้ทางการรับเข้ากระเป๋าไปหมด ในส่วนของตัวคุณยาย ก็จะได้เงินเดือนเดือนละ 200 เลียฟ นอกจากนั้นก็ยังได้รถยนต์ บ้าน และคนรับใช้ จากคนที่เคยถูกทางการจับ คุณยายวานก้า ได้กลายเป็น ความภาคภูมิใจของบัลแกเรียไปเสียแล้ว

เมื่อมีคนชอบ ก็มีคนชัง คนที่ชิงชังคุณยายตาบอดรายนี้มากที่สุด ออกมาติติงคุณยายว่า ทีอันไหนทายถูกแล้วละก็ จำได้จำดี ส่วนอันไหนทายผิด ดันลืมไปหมดนานแล้ว นอกจากนั้น ก็ยังบอกว่าคุณยายทำงานประสานกับหน่วยข่าวกรองบัลแกเรีย ในการทำนายโชคชะตาผู้คน คือให้หน่วยข่าวกรองไปสืบข้อมูลของคนที่จะมาพบคุณยายเป็นการล่วงหน้า เขาบอกว่าหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือหลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ล้มลง ฝ่ายข้าวกรองไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออีกต่อไป การทายของคุณยายก็แย่ลง



เรือดำน้ำคูร์สค์


(ภาพจาก oknation.net)


ตัวอย่างการทำนายของคุณยายวานก้าที่ว่าแม่นๆ นั้น ก็อย่างเช่นเรื่อง "เรือดำน้ำคูร์สค์" ของรัสเซียที่ระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ที่คุณยายทำนายไว้ตั้งแต่ปี 1980 คุณยายทำนายเรื่องนี้ว่า

"ในปี 1999 หรือ 2000 คูร์สค์ จะจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนทั้งโลกจะเศร้าใจกับมัน..!"

แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะเมืองคูร์สค์ อยู่ไกลจากทะเล หรือแม่น้ำ และไม่มีใครฉุกคิดว่าคุณยายทำนายถึงเรื่องดำน้ำคูร์สค์

นอกจากนั้น คุณยายวานก้า ก็ยังทำนายตั้งแต่ปี 1979 ถึงการที่สหภาพโซเวียต จะกลับคืนมาเป็นรัสเซียเหมือนเดิม เรื่องที่สหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ตั้งแต่ปี 1989 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกอร์บาชอฟกับเรแกน การเข้ามาอยู่ในกลุ่ม จี 8 ของรัสเซีย การกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งของรัสเซีย การขึ้นมายิ่งใหญ่ของคนชื่อ วลาดิมีร์ และเรื่องวันตายของคุณยายเอง

คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา และต่อไปนี้คือคำทำนายถึงโลกในอนาคตครับ..

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 29/1/10 at 10:12

20

ทำนายชะตาโลก ปี 2008 - 3797 (ตามที่เว็บไซด์ทั่วไปลงไว้แล้ว)



(ภาพจาก : statics.atcloud.com)


2008 - ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี

- การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี

2016 - ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 - จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 - เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์

2033 - น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 - เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 - มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 - สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 - สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 - ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู

2088 - เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 - เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 - ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 - มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 - โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 - โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)

2164 - สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 - เกิดศาสนาใหม่
2183 - อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 - โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 - อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน

2196 - ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 - ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 - ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 - การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่

2279 - พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 - มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 - ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 - เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 - ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม

2302 - เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 - พบความลับของดวงจันทร์
2354 - เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 - เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 - ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 - สงครามบนดาวอังคาร
3010 - ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 - ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 31/1/10 at 07:30

21

คำทำนายที่เพิ่มเติมจากเว็บไซด์ทั่วไป (ค.ศ. 3803 - 5079)


(ภาพจาก : statics.atcloud.com)


ขอขอบคุณ พระปลัดวิรัช โอภาโส สำนักสงฆ์ธรรมยาน
ต.นาเฉลียง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ที่จัดส่งข้อมูลมาให้


3803 - A new planet is papulate by little. Few contacts between people Climate new planet affects th organisms of people - they mutate.
3803 - มีประชากรเพียงน้อยนิดบนดาวเคราะห์ดวงใหม่ และไม่ค่อยการติดต่อกัน สภาวะบนดวงดวงใหม่นี้ สร้างผลกระทบกับร่างกายมนุษย์ - ทำให้เกิดการกลายพันธุ์

3805 - The war between humans for recources. More than half of people dying out.
3805 - เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรขึ้น ตายกันมากกว่าครึ่ง

3815 - The war is over
3815 - สงครามจบ

3854 - The development of civilization stops. People live flocks as beasts.
3854 - ดูเหมือนว่าการพัฒนาทางอารยธรรมจะชงักลง ผู้คนใช้ชีวิตราวสัตว์ป่า

3871 - New prophet tells people about moral values, religion.
3871 - ศาสดาใหม่ถือกำเนิดขึ้น สั่งสอนผู้คนในเรื่องศีลธรรมและศาสนา (พ.ศ. 4414)

3874 - New prophet receives support from all segments of the population. Organized a new church.
3874 - ศาสดาได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทุกหมู่เหล่า จัดสร้างนิกายขึ้นมาใหม่

3878 - along with the Church to re-train new people forgotten sciences.
3878 - เมื่อนิกายใหม่ถือกำเนิด ผู้คนยุคใหม่ก็ลืมเรื่องวิทยาศาสตร์

4302 - New cities are growing in the world. New church encourages the development of new technology and science.
4302 - เมืองต่างๆ เติบโตขึ้นบนโลกนิกายใหม่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

4302 - The development of science. Scientists discovered in the overall impact of all diseases in organism behavior
4302 - ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ภาพรวมของโรคทุกชนิด

4304 - Found a way to win any disease.
4304 - เจอทางกำจัดโรคทุกชนิด


4308 - Due to mutation people at last begining to use their brains more than 34 % Completely lost the notion of evil and harted.
4308 - ในที่สุดมนุษย์ก็ใช้สมองเกิน 34% ทำให้กำจัดความเกลียดชังออกไปจากใจได้

4509 - Getting to Know God. The man has finally been reached such a level of development that can communicate with God.
4509 - ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น มนุษย์พัฒนาถึงขั้นที่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

4599 - People achieve immortality.
4599 - มนุษย์เข้าถึงความเป็นอมตะ

4674 - The development of civilization has reached its peak. The number of people living on different planets is about 340 million. Assimilation begins with aliens.
4674 - อารยธรรมถูกพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด ประชากรรวมๆ ในทุกๆ ดาวอยู่ที่ 340 พันล้านคน เริ่มการรวมเผ่าพันธุ์กับเอเลี่ยน

5076 - A boundary universe. With it, no one knows.
5076 - สู่สุดขอบจักรวาล ที่ซึ่งหามีผู้ใดรู้จักไม่

5078 - The decision to leave th boundaries of th universe. While about 40 percent of the population is against it.
5078 - เกิดการตัดสินใจก้าวข้ามขอบจักรวาล ในขณะที่ผู้คน 40% ไม่เห็นด้วย

5079 - End of the World.
5079 - จบบริบูรณ์.


จัดพิมพ์ลงเว็บโดย : ทีมงาน "ตามรอยพระพุทธบาท.คอม"

(โปรดติดตาม "บทวิเคราะห์เจาะลึก" ในตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 10/2/10 at 09:31

22

บทวิเคราะห์เจาะลึกคำทำนาย

โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต

การวิเคราะห์เรื่องนี้ คงจะไม่เข้าไปถึงรายละเอียดมากนัก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของอนาคตทั้งสิ้น อาจจะก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในแง่ลบและแง่บวกก็เป็นได้ เพราะเหตุการณ์ของโลก หรือดวงชะตาของบ้านเมืองนั้น สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เขียนเคยได้ยินกับตนเอง โดยท่านพูดไว้ว่า

"การพยากรณ์ดวงชะตาบ้านเมืองตรงๆ นั้นไม่ได้ เพราะดวงเมืองมีการเปลี่ยนแปลงได้"

นั่นหมายถึงว่า คนไทยมีการทำบุญสุนทาน มีการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ดวงชะตา หรือมีการสูญเสียบุคคลสำคัญไป ก็เท่ากับเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ดวงเมืองเหมือนกัน คือจากหนักเป็นเบา หรือจากเบาเป็นหายนั่นเอง

โดยเฉพาะเรื่องการทำนายเหตุการณ์ของโลก เช่น นอสตราดามุส เป็นต้นว่าจะมีสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น อีกทั้งในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ก็ได้สร้างวัตถุมงคลหลายอย่าง สามารถป้องกันอาวุธสงครามสมัยใหม่ได้ เช่น "นิวเคลียร์" เป็นต้น

ส่วนเหตุที่ท่านพูดถึง "นอสตราดามุส" ในเรื่อง "พุทธพยากรณ์โลก" นั้น มีเหตุมาจาก ท่านปลัดวิรัช โอภาโส ได้ไปซื้อหนังสือเรื่องนี้มาอ่าน และได้นำมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง แล้วท่านได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง เพื่อจะหยั่งเสียงหลวงพ่อว่าเป็นจริง หรือควรจะเชื่อถือได้แค่ไหน

อีกทั้งสมัยนั้น ท่านโหรอรุณ เทศถมทรัพย์ ซึ่งเป็นบิดาของ อ.เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์ เป็นผู้พยากรณ์ดวงชะตาใน "ธัมมวิโมกข์" ทุกปี ก็ได้ยอมรับในเรื่องการพยากรณ์ของ "นอสตราดามุส" เช่นกัน แต่วันเวลาอาจจะไม่แน่นอน เพราะเป็นการพยากรณ์แบบใช้สำนวนของโหราศาสตร์ คือไม่ได้ทายตรงๆ นั่นเอง แล้วก็ใช้ภาษาฝรั่งโบราณอีกด้วย ผู้แปลบางท่านอาจจะวิเคราะห์คลาดเคลื่อนได้

จะเกิดมีผู้นำศาสนาคนใหม่

โดยเฉพาะมีคำพยากรณ์บทหนึ่ง จากหนังสือ "นอสตราดามุส" โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน (ฉบับพิมพ์ ปี 2532 หน้า 208) กล่าวว่า

"ในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษที่ 90 โลกจะมีผู้นำศาสนาคนใหม่ เผยโฉมหน้าออกมาให้โลกเห็น เป็นบุคคลที่มาจากทวีปเอเซีย และไปพำนักอาศัยในยุโรป เขาจะบินผ่านท้องฟ้ากว้าง บินผ่านสายฝนและหิมะ"

เรื่องนี้ ศ.เจริญ วรรธนะสิน วิเคราะห์ว่า "ซึ่งนอสตราดามุสอาจจะบอกใบ้ถึงชื่อ หรือเครื่องหมายของบุคคลผู้นี้ที่เกี่ยวกับ "นก" และในจำนวนโคลง 60 บท ที่เขาทำนายเกี่ยวกับผู้นำศาสนาใหม่ เขาเอ่ยถึงบุคคลที่มีชื่อว่า "ลูนา" หรือ "มูน" อันมีความหมายเกี่ยวข้องกับ "ดวงจันทร์" ผู้เชี่ยวชาญยังไม่อาจจะเจาะจงได้ว่า นอสตราดามุสหมายถึงคนที่มีชื่อนี้ หรือเป็นบุคคลที่ใช้เครื่องหมาย "พระจันทร์" แต่ไม่ได้หมายความว่าศาสนาใหม่นี้ เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแต่อย่างใด.."

ในตอนนั้น เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ จึงได้คุยกับท่านปลัดวิรัชว่า คำว่า "นก" น่าจะมีความหมายของ "อภิญญา" เพราะนกบินได้ ผู้ที่ฝึกอภิญญาใหญ่ได้แล้วก็สามารถบินได้เหมือนนก ส่วนคำว่า "ลูนา" หรือ "มูน" ผู้เขียนได้วินิจฉัยว่าน่าจะเป็น "สีเหลือง" เพราะสัญลักษณ์ของพระจันทร์เป็นแสงสีเหลือง ผู้ที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลือง อันเป็นสีของ "สมณะ" ในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น

หลังจากได้สนทนากันถึงเรื่องนี้แล้ว ภายหลังเมื่อมีโอกาส ท่านปลัดวิรัชได้ลองคุยถึงความคิดของผู้เขียนในเรื่องนี้ ซึ่งท่านปลัดวิรัชได้บอกว่า หลวงพ่อท่านก็ยอมรับในความคิดนี้เช่นกัน แม้แต่ในปัจจุบันนี้ผ่านเวลามาหลายสิบปี ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับท่านปลัดวิรัช เมื่อปลายเดือนมกราคม 2553 ท่านวิรัชก็ยังจำได้และยืนยันว่า หลวงพ่อเคยพูดไว้เช่นนี้จริง

พุทธพยากรณ์

......อีกทั้งพระเดชพรคุณหลวงพ่อฯ ท่านเคยนำคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่เคยตรัสทำนายไว้ โดย ศ.เจริญ วรรธนะสิน ก็ได้อ้างถึงในหนังสือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุง เล่มที่ 18 หน้า 53 ท่านแสดงธรรมไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสข้อความพยากรณ์อนาคตของมนุษย์โลกแก่พระอานนท์ไว้ดังนี้

...... อานันทะ...ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก

แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้ ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก

ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก.."

นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลกยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า

"อาณาเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมายถึงประเทศไทย


(ในเรื่องนี้ ผู้เขียนขอนำคำพูดของหลวงพ่อมาเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า)



......เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่า สร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า "สงคราม" นี่ อาตมา ผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง

ของทุกอย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่ แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น

หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาด ระแวง ความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึก นึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น

คิดว่าถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี แต่บังเอิญ คนที่นับถือศาสนานั้นๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะ วิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป

เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย

สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต

ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริงๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่

ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า

หลักสูตรพระพุทธศาสนา ถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการ น่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้ ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง

ทีนี้...เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม

ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.

เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่าเราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ

แต่ว่า...ขอยืนยันบรรดาท่าน พุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรู้สึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

ภาวนา "พุทโธ" ป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง

ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ "พุทธานุสสติ"

นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกถึง "โธ" ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า "พุทโธ"

ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย

แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า "นะโม ตัสสะฯ" 3 ครั้ง แล้วก็ว่า "พุทโธ" เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี "พุทธานุสสติ" เป็นกำลังใจ

(ความเห็นของผู้อ่านในกระทู้ http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=286)

"ลองตั้งใจฟังดูดีๆนะครับแล้วลองพิจารณาดูแล้ว เทียบกับสถานการ์ณที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ และไว้ดูเป็นแนวของสิ่งที่จะเกิดในอนาคต โดยเฉพาะให้สังเกตุว่า เทปบันทุกเสียงนี้ได้ถูกบันทึกไว้สิบกว่าปีมาแล้ว แต่ว่าหลวงพ่อท่านได้กล่าวถึงปัญหาในภาคใต้ไว้แล้ว และอื่นๆ อีกมาก ! ลองตั้งใจฟังดูดีๆ ครับ แล้วจะค้นพบอะไรมากมาย...




มีผู้กล่าวอ้างว่า "คำพยากรณ์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"

แต่ถึงแม้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้กล่าวไว้เช่นนี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกระแสความเคลื่อนไหวให้รุนแรงกว่าเดิม โดยอ้างว่าเป็นคำพยากรณ์ของท่าน ดังตัวอย่างที่ คุณจารุภา (หลี) ส่งมาให้อ่านดังนี้

กราบนัสการหลวงพี่ชัยวัฒน์ทราบ

โยมได้รับเมล์ที่ส่งต่อมาเรื่อยๆ เป็นหัวข้อ "ทำนายวันสิ้นโลก ของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง" ที่จะแนบมาให้อ่านนี้เจ้าค่ะ อ่านแล้วคิดว่าไม่ใช่สำนวนที่หลวงพ่อเคยพูด จึงเรียนมาแจ้งทางวัดเจ้าค่ะ อาจมีผู้แอบอ้างชื่อของหลวงพ่อ ทำให้เสียหายเสื่อมเสียเจ้าค่ะ ข้อความมีดังนี้ (Copy มา Paste) จะนำมาให้อ่านบางส่วนเพราะยาวมาก ต้องขออีเมล์จะส่งต่อทั้งหมดให้ดูเจ้าค่ะ

Fw : คำทำนายวันสิ้นโลก ของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ก่อนอื่นหลายๆคนอาจจะสงสัยว่า หลวงปู่ฤาษีลิงดำนั้น ท่านคือใคร คำตอบคือ ท่านเป็นพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งที่สำเร็จ แล้วถึงขั้นอรหันต์ คือ ตัดกิเลสได้ทั้งหมดจิตบริสุทธิ์ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาปรุงแต่งจิตของท่านให้เศร้าหมองอีกต่อ ไปแล้ว โดย อริยสงฆ์ แบ่งออก เป็น โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ โดยการบรรลุอรหันต์คือเป็นระดับ สูงสุดแล้ว เมื่อมรณภาพภพภูมิที่จะไปที่เดียวคือ พระนิพพาน โดยไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

* เรื่องกล่าวมาข้างต้นนี้ เราจักรู้ได้ว่า ท่านหลวงปู่ฤาษีลิงดำ นั้นท่านไม่ธรรมดา เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ท่านย่อมรู้บางเรื่องมากกว่า ปถุชนธรรมดา เฉกเช่นเรา แม้กระทั่งท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับวันสิ้นโลก !! โดยท่านได้ทำนายให้ อุบาสก อุบาสิกา ได้ทราบไว้มีดังนี้ *

...*อาจจะค่อนข้างยาวหน่อย ถ้าขี้เกียจอ่านมากขอแนะนำว่า ให้อ่าน ตอนแรกก่อน หลังจากนั้นถ้าเกิดอยากรู้ว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นในจังหวัดที่เราอยู่ ให้ลองเลื่อนลงไปดูเรื่อยๆ นะ*...

--------------------------------------------------------------------------------

สถานที่แห่งแรกในประเทศไทย
ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน
ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว
เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง
ข้ามวัน ข้ามคืนติดต่อกัน
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ
ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง
จนสุดที่จะเยียวยาได้
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่
ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว
แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้ร ับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น

**********************************

ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่
พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ
ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม.
พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา
ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่
ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา
จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ
มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คน

ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก
ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ
ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา
หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน
เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ

******************************

ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร
ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง
อย่างเหลือที่จะคณานับ

*******************************

เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา
เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง
ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่


***********************************

(โปรดติดตามการวิเคราะห์ "คำทำนายเรื่องศาสนาใหม่และวันสิ้นโลก" ในตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 6/3/10 at 05:53

23

ก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์เจาะลึกกันต่อไป บังเอิญผู้เขียนได้ไปพบข้อความคำทำนายโบราณอีกชิ้นหนึ่งจาก "เว็บโหราศาสตร์ไทย" จึงนำมาให้อ่านกันก่อน...

พุทธทำนายล้านนาประเทศ


จากคัมภีร์ใบลานเรื่อง "หมากน้ำเต้าจมหมากหินฟู" ของวัดป่าสักน้อย ตำบลแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้จารชื่อ "อภิชัย ยาตันคหัสถ์" ผู้สร้างชื่อ "นายน้อยตัน" จารไว้เมื่อ พ.ศ.2492

มีใจความว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับที่เชตวันวนาราม ทรงปรารภถึงการดำรงอยู่นานหรือไม่นานของพระศาสนา โดยทรงปรารภเหตุที่เทวดาทั้งหลายได้กราบทูลถาม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาตอบ โดยที่ในมัชฌิมยามคืนหนึ่ง เหล่าเทพเข้าไปสู่ธัมมสภาคศาลาเป็นจำนวนมากเพื่อฟังธัมมกถาในสำนักของพระพุทธองค์ยามเที่ยงคืน

ทั้งนี้ มีเทวดาชื่อ "ปัณณเทพ" เป็นหัวหน้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า การที่บางคนเกิดมาได้รับความลำบากยากแค้น แต่บางคนมีทรัพย์มั่งคั่ง บางคนรูปร้ายทุพพลภาพ บางคนอายุสั้น และบางคนอายุยืนยาวนั้นเป็นเพราะเหตุใด

พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่คนเกิดมาและอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นเพราะในชาติก่อน ได้ทำบุญให้ทานถือศีลฟังธรรม ส่วนคนที่เกิดมาลำบากเข็ญใจนั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทาน ไม่สงเคราะห์แก่ผู้ใด มีแต่กระทำบาป

เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในนรก พ้นจากนรกก็เกิดเป็นเปรต หากยังมีกรรมหนาแน่นอยู่หรือเคยฆ่าสัตว์มาก่อน ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเคยฆ่าอีกห้าร้อยชาติ แล้วจึงเกิดมาเป็นคนอนาถายากไร้

คนที่มีรูปงามและมีอายุยืนนั้น ก็เนื่องมาจากอดีตชาติเคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่อิจฉาริษยาขึ้งโกรธต่อผู้ใด คนที่มีแต่ความอิจฉาริษยาอยู่ในใจนั้น มักเป็นผู้ผูกโกรธและไม่ทำบุญรักษาศีล พอเกิดมาจึงมีรูปร่างไม่งดงาม หรืออวัยวะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือมีอายุสั้น

คนที่เกิดมามีสติปัญญาและความจำดี มีศิลปวิทยาเป็นประโยชน์ต่อตนและครอบครัว ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง หรือเป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาแก่ผู้อื่นมาก่อน เมื่อเกิดมาอีกจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดส่วนคนที่เกิดมาแล้วโง่ทึบหรือเป็นบ้าเป็นใบ้นั้น เป็นเพราะในชาติก่อนมิได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้ฟังคำสอน หรือมีผู้สอนแล้วไม่เชื่อฟัง ก็ทำให้เกิดมาเป็นคนโง่ทึบและเป็นบ้าใบ้

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า พระองค์จะมีพระชนมายุเพียง 80 ชันษา ก็จะนิพพาน และได้กำหนดให้พระพุทธศาสนายืนอยู่ได้ 5,000 ปี เมื่อพระองค์นิพพานไปครบ 1,000 ปีแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งเหยิงเป็นครั้งคราว จะมีพระอริยสงฆ์และพระราชาช่วยกันกอบกู้เป็นระยะๆ เพื่อให้พระพุทธศาสนาสืบเนื่องต่อไปได้

ครั้นพระองค์นิพพานไปแล้ว 2,500 ปี พระศาสนาจะเริ่มถอยลง คนจะขาดความเคารพในพระธรรม พระภิกษุบางเหล่าจะแตกแยกกัน บางหมู่จะไปตั้งนิกายใหม่ บางหมู่จะนำเอาคำสอนของพระองค์ไปทำให้ไขว้เขว พระสงฆ์บางกลุ่มจะตั้งตนเป็นผู้วิเศษ ประพฤติตนเป็นมิจฉาทิฐิอลัชชี จะมีการหากินด้วยเดียรัจฉานวิชาต่างๆ

คนทั้งหลายทำไร่นาลำบาก ท้าวพญาจะข่มเหงชาวบ้านชาวเมือง ความยุติธรรมจะบกพร่อง และเมื่อศาสนาของพระองค์มีอายุ 3,000 ปีแล้ว ท้าวพญาจะขัดแย้งกัน บ้านเมืองจะวุ่นวายฆ่าฟันกันไปทุกหย่อมหญ้า เกิดความแห้งแล้งและพืชผลจะตกต่ำ คนจะพากันล้มตายด้วยเหตุต่างๆ เป็นอันมาก

และเมื่อโดยเฉพาะศาสนาของพระองค์พ้น 2,500 ปีไปแล้ว คนหลายๆ ครอบครัวจะได้ร่วมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน หญิงชายอายุถึงสิบปีก็จะมีผัวมีเมียกันแล้ว

ยามนั้นคนทั้งหลายจะไม่อ่อนน้อมต่อกัน และจะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อศาสนาของพระองค์ล่วง 2,500 ปีไปแล้ว จะเกิดปัญหา "หมากน้ำเต้าจักจม หมากหินจักฟู" หมาจิ้งจอกจักไล่กัดเสือ ช้างจะพากันกินถ่านไฟแดง

คนใจบุญใจกุศลจะต้องหาบ แต่คนใจบาปจะเดินตัวเปล่า พ่อค้าจะอาสาออกศึก น้ำไม่ลึกจะพากันทำที่ว่ายน้ำเล่น กบเขียดจะไล่กินงู พญาครุฑจะเป็นบริวารของกาดำ หมาจิ้งจอกจะกินอาหารจากถาดทอง และราชสีห์จะเป็นบริวารของหมาจิ้งจอก

ครั้งนั้นเทวดาถามว่า เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้ว พระองค์จะตั้งพระรัตนตรัยไว้อย่างไร ภายหน้าภายหลังไม่เสมอกันจะเป็นเหตุใด สัตว์ไม่เคยเกิดก็จะมี ที่มีแล้วก็จะเกิดมาอีก อันว่า หมากน้ำเต้าไม่เคยจมน้ำก็จักจม หมากหินซึ่งอยู่ใต้น้ำก็จักฟูลอยขึ้น จะเป็นด้วยเหตุใด

พระพุทธองค์ตอบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2,500 ปีแล้ว "หมากน้ำเต้าจม" ได้แก่ คนทั้งปวงที่เคยบวชและเรียนพระไตรปิฎกจนถ่องแท้แล้วนั้น ต่อมากลับทำบาปและไม่รักษาศีล อีกทั้งยังแนะให้คนอื่นหลงผิดจนตกนรกหมกไหม้เป็นอันมาก

คนเหล่านั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะไปจมอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 อันว่า "หินจะลอยไปตามกระแสน้ำ" นั้น ได้แก่ คนบ้านนอกซึ่งไม่รู้จักพุทธศาสนาจะพากันละเลิกมิจฉาทิฐินั้นแล้วทำบุญรักษาศีล และสร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมือง เป็นผู้ค้นคว้าเอาวิชาความรู้มาเผยแพร่แก่กุลบุตรกุลธิดาสืบไปอีก คนเหล่านั้นจักได้ชื่อว่า "หมากหินจักฟู"

ต่อมาท้าวพญาจะแย่งชิงอำนาจกันและแตกเป็นพวกเป็นเหล่า เมื่อรบกันแล้วผู้มีกำลังน้อยก็จะจ้างชาวป่าชาวดอยมาเป็นกำลัง โดยบอกว่าหากตนชนะแล้ว จะตั้งให้มีอำนาจและได้ทรัพย์สินของผู้แพ้นั้น

พวกท้าวพญาหรือเสนาอำมาตย์ที่อาศัยพวกโจรหรือชาวบ้านชาวป่ามาเป็นนักรบ ซึ่งเมื่อชนะแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่งหน้าที่และได้ลูกเมียของพวกผู้แพ้ไปสมสู่อยู่กินด้วย อันนี้เรียกว่า "ราชสีห์จักได้เป็นบริวารของหมาจิ้งจอก"

ส่วนวงศาลูกเมียของพญาผู้เสียอำนาจนั้นก็เท่ากับว่า "พญาครุฑไปเป็นบริวารของกาดำ" และพวกโจรหรือนักเลงชาวป่าชาวดอย

เมื่อไม่มีความรู้แต่มีอำนาจหน้าที่แล้ว ก็จะใช้แต่ความหยาบช้าหาศีลธรรมมิได้ คนดีมีความรู้ก็จะพากันหันหนีเข้าป่า คนอธรรมจะได้ครองเมือง และบ้านเมืองก็ระส่ำระสายเกิดกลียุค อันนี้เรียกว่า "กบเขียดไล่กินงู" คือเมื่อศาสนาของพระองค์ผ่าน 2,500 ปีไปแล้ว คนทั้งหลายก็จะเป็นทุกข์และเดือดร้อนฉิบหายกันมากนัก

เทวดาก็ทูลถามว่า หากเกิดเหตุเช่นนั้นจริง พระองค์จะให้พวกเทวดาทำอย่างไร พระพุทธองค์ตอบว่า หากคนยังเคารพและปฏิบัติตามในพระรัตนตรัยอยู่ ก็จะเป็นบุญของผู้นั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นกรรมของผู้นั้น จึงขอให้เทวดาทั้งหลายทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมคำสอนของผู้รู้ สร้างกุศลและละเว้นจากบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วตั้งจิตปรารถนาให้ได้พบพระพุทธอาริยเมตไตรย

เทวดาทูลถามต่อว่า คนที่อยากพบพระอาริยเมตไตรยนั้นพึงทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ตอบว่าให้มั่นคงในการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วตั้งความปรารถนาว่าให้ได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรย ก็จะได้พบกับพระพุทธอาริยเมตไตรยเป็นแน่แท้

เมื่อเทวดาทั้งหลาย มีปัณณเทพเป็นประธานได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว ก็มีความชมชื่นยินดีมากนัก จึงพากันกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วอำลาคืนสู่วิมานของตน

บัดนี้...เป็นไปอย่างพุทธทำนายของพระพุทธองค์แล้วหรือยัง?

ที่มา - horasadthai.com

((( โปรดติดตาม "พิบัติทำนายฉบับลาว" กันต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 19/3/10 at 07:58

24

จากข้อมูลในเว็บไซด์เดิมอีกนั่นแหละ ผู้เขียนท่านนี้ได้นำ "คำทำนายฉบับลาว" มาให้อ่านกันอีกต่อไป ทั้งนี้แล้วแต่การใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน พร้อมทั้งสามารถย้อนเหตุการณ์ตามความเป็นจริงด้วย ว่าคำทำนายจะเป็นจริง พอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่ เว็บตามรอยจึงเพียงแต่นำข้อมูลมาประกอบในการพิจารณาจากท่านผู้อ่านทั่วไปเท่านั้น


ภัยพิบัติทำนาย "ฉบับลาว"


คงจำกันได้ ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาข่าวภัยพิบัติธรรมชาติจากอุตรดิตถ์ ไปจนถึงยอร์คจาร์การ์ตา อินโดนีเซีย ทำลายทรัพย์สินและคร่าชีวิตผู้คนมากมาย

ก่อนนั้นบ่ายวันหนึ่งต้นเดือนพฤษภาคมผมนั่งหลบร้อนอยู่ใต้ถุน จู่ๆ ก็มีเพื่อนบ้านเดินมาแจกเอกสาร 2 เล่ม ลักษณะเป็นกระดาษเอ4 ซีรอกซ์ เย็บง่ายๆ ปกใช้กระดาษปอนด์สีฟ้าตัวพิมพ์คอมพิวเตอร์ ข้อความบนปกบอกว่า เป็นคัมภีร์ใบลานอักขระธรรมจากภูค้อของ "สามเณรคำ" อีกเล่มเป็นกระดาษเอ 4 พับครึ่ง ปกสีเดียวกันเป็นบทสวดใช้คู่กับเล่มแรก เพื่อนบ้านคนนั้นระบุว่าต้องการฝากเอกสารฉบับดังกล่าวให้พ่อ(ของผม) ผมก็รับนำไปให้ท่าน ส่วนเขารีบเดินจากไปคงไปแจกต่อ

ครั้นพ่อรู้ว่าใครมาแจกก็ยิ้มๆ อยู่ พูดงึมงำอะไรอยู่ในคอไม่ทันฟัง อ่านครู่หนึ่งก็วางแล้วกลับไปดูมวยช่วงเจ็ดสีต่อ ผมว่างมากวันนั้นก็ถือโอกาสนั่งพลิกๆ อ่านเล่น พบเรื่องตื่นเต้นจริงบ้างเล่นบ้าง คล้ายเรื่องในอินเตอร์เนท ข่าวลือ จริง ลวง เท็จอย่างไร เผยแพร่ด้วยวัตถุประสงค์อันใด ไม่รู้ไม่มีที่มาชัดแจ้งนัก

ที่ผมสนใจนี่เป็นการเผยแพร่แบบดั้งเดิมแบบชาวบ้านจริงๆ นี่แหละ (เดินแจก) ไม่ต้องพึ่งความเร็วของสื่อยุคใหม่ มาไกลเหมือนกัน และคงสร้างความเชื่อและแตกตื่นระดับหนึ่ง ที่มาที่ไป ต้องการอะไร ใครได้ประโยชน์ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้

หนังสือใบลานนี้ระบุว่า ตกลงมาสู่วัดแห่งหนึ่งในแขวงอัตตะปือ (น่าจะเป็นประเทศลาว)

ข้อความเริ่มที่....ข้าพเจ้า(คนเขียนเผยแพร่) บอกว่าได้รับรู้จากพระอาจารย์ ผู้ทรงศีลองค์หนึ่ง เผยแพร่ให้ทราบจึงเกิดศรัทธ่เสียสละทรัพย์ส่วนตัวพิมพ์แจกจ่ายมายังชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นการกุศล และพิจารณาด้วยตนเอง ถึงมหันตภัยของโลกาภิวัตน์ซึ่งจะเกิดขึ้นตามพุทธทำนาย

ผมพลิกดูข้อความก็พบว่าเป็นการทำนายหายนะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น คัดมาเพียงบางตอนดังนี้...

..ในปีระกา ปีจอนี้ มีเรือนแล้วจะไม่มีคนอยู่ มีนาไม่มีคนทำ เดือนเจ็ดจะมีงูเต็มไปทั่ว ถึงเดือนสิบเอ็ด คนบาปจะตายเพราะไม่ซื่อสัตย์ จะมีภัยต่างดังนี้

1. จะมีสงครามเกิดขึ้นทางน้ำ ,ท่าน้ำจะมีอันตราย
2. จะเกิดนอนไม่หลับ
3. ผัวเมียจะไม่เห็นหน้ากัน
4. ทั้งลูกทั้งหลานจะไม่เห็นหน้ากัน
5. คนจะตายทั่วทั้งทวีป


แต่ว่าการตาย จะไม่มีคนฝัง คนเผา ไม่มีผ้านุ่งผ้าถุง มีข้าวไม่มีคนกิน เพราะการกระทำบาปทั้งหลายในจำนวนคนหนึ่งหมื่นคนจะตายเหลือแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น จะเกิดโจรผู้ร้ายเรียกค่าคุ้มครอง เสือร้ายต่างๆ จะเกิดขึ้นสี่ห้า หกปี ไปจนถึงปีชวดก็จะหมดกันแล้ว บ้านเมืองไม่สบายในห้าปีนี้ มันร้อนเต็มที่แลฯ .....

ยังมีภัยอีกอย่างว่า ถ้ามีคนมาเรียกอย่าขาน กลัวผีมัมาเห็นเดือนหกออกใหม่ค่ำหนึ่งกับเดือนแรมเก้าไม่ให้ตักน้ำ ให้ตักไว้ก่อน กลัวผีมันเอายาใส่กินแล้วตาย ...น้ำอุบาทว์จะท่วมโลกโดยบังเอิญทั่วทั้งทวีป คิดกลัวจะไม่ถึงปีระกาและปีชวด ถ้าไม่เชื่อเดือนสิบสองจะบันดลให้คนไออกเลือดแล้วตาย .......

ในปีจอต่อปีกุน ยามเดือนแจ้งจะเกิดมีงูพิษออกมาฉกกัดให้ตาย ฝูงชนทั้งหลายจะได้รับความเดือดร้อนหลายประการ เช่น ทุกข์ยากร้อนเพราะศึกสงครามไม่เสร็จสิ้น ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีน้ำมีไฟ ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครดูแลใคร ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครอยู่ทุ่งไร่นา ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่ ทุกข์ยากร้อนเพราะไปต่างประเทศสะดวก ทุกข์ยากร้อนนอนไม่หลับ

ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทร์จะมีองค์ฤาษีทองคำ ลาสิกขาบวชมาเป็นพ่อค้า ในปีจอออกใหม่ 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ต้กน้ำอาบน้ำกิน ตามห้วยหนอง คลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน หรือก่อนมืดค่ำ พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นลงมายังโลกมนุษย์

ในปีจอนี้เมืองกรุงเทพมหานครจะพังทลาย ในเวลาไก่ขัน....พระอินทร์จะลงโทษกับมนุษย์ใจบาป 9 ข้อนับแต่ปีจอถึงปีกุนคือ

1. จะทำให้เกิดภัย ลมแรง แผ่นดินไหว
2. จะเกิดไฟไหม้
3. จะเกิดน้ำท่วม
4. จะเกิดฟ้าผ่า
5. จะทำให้เกิดเดือดร้อน ร้อนหลาย หนาวหลาย
6. จะเกิดสารพิษต่างๆ อากาศ อาหารเป็นพิษ
7. จะเกิดสารโรค พยาธิร้าย
8. จะเกิดอดอยาก
9. จะเกิดอาฆาต ฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนบาป


มหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นแต่บุคคลผ็มีใจบุญใจกุศล ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น...

จะเกิดภัยพิบัติในระยะไม่กี่ปีนี้ และมีภัยอีกอย่างหนึ่ง คนบาปมากในที่ต่างๆ มาทำให้เกิดพิษแก่ข้าว ถั่ว งา ให้เป็นพิษ ทำนาไม่ได้ข้าว ปลูกถั่ว งา ไม่มีผล ไม่มีหน่วย เงินสามสิบบาทซื้อข้าวไม่พออิ่ม คนจะอดอยากจะตายเพราะอดข้าว อีกอย่างหนึ่งจะตายทางน้ำมาก

เช่นฝนตกลงมาเป็นพิษ ถูกเนื้อตัวเป็นผื่นคัน เป็นเม็ด เกิดน้ำเหลืองหรือเปื่อยเน่ารักษาไม่หาย อีกอย่างหนึ่งจะมีโจรผู้ร้ายใจบาปมาก ฆ่าพ่อ ตีแม่ตนเองเหยียบย่ำศาสนา ใจบาปทำความเดือดร้อนเรียกค่าคุ้มครองทั่วๆไปจนเกิดความหวาดกลัวและยังมีภัยเกิดจากสงคราม ทำให้คนทั่วทวีปล้มตายกันมากแท้ จะหนีไปอยู่ในป่า ในแนว ในหลุมก็ตายไม่เหลือ

แล้วจะเกิดอุบาทว์ ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เป็ดไก่ วัว ควาย จะตายมาก แม้คนก็จะตายตาม แล้วห้าทวีปจะหนีในการบริหารประชุมกัน ก็จะเกิดสงคราม เพราะคนใจบาปมาก จะไม่เกิน 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 จะมีคนเหลือน้อยใน 5 ทวีป ขอให้ท่านทั้งหลายจงพากันทำบุญรักษาศีลทุกท่านเทอญ

ภัยพิบัติโลก เมื่อพ.ศ. 2547 ต่อ 2548 ต่อ 2549 ต่อ 2550 ต่อ 2551 ครั้งที่ 1 คือ 2547ต่อ 2548 ไม่หนักเท่าใด ครั้งที่ 2 2548 ต่อ 2549 หนักกว่าครั้งแรก 3 เท่า ครั้งที่ 3 2549 ต่อ2550 หนักมากที่สุด จะมีเมฆก้อนสีดำก้อนใหญ่มาปกคลุมโลก ฝนที่ตกลงมาจะเป็นพิษตกถูกผู้ใดจะเน่าเปื่อยรักษาไม่หาย

แล้วทางทะเลจะระเบิดน้ำจะท่วมสูงประมาณ 100 เมตร แล้วจะมีภูติพื้นพิภพออกมากินมนุษย์ เกาะต่างๆ ในน้ำทะเลจะไม่มี ทางบก ทางอากาศจะระเบิดพร้อมกัน ในปี 2548 ต่อ 2549 จะมีงูน้อยใหญ่ออกมาทั่วพื้นพิภพในราวเดือน 11-12 งูนั้นเป็นบริวารของพญานาคราช ถ้าผู้ใดทำอันตรายเขาผู้นั้นจะตายทันที

มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ขอจงอย่าประมาทถ้าอยากพ้นภัยพิบัตินั้นให้พากันถือศีลกินทาน และพากันท่องคาถาป้องกันภัยพิบัติโลก.....

ผมหาอยากนำเรื่องนี้มาเล่าตั้งแต่วันแรกที่เห็นเอกสารเผยแพร่ฉบับชาวบ้านดังกล่าวแล้วครับ แต่ไม่มีโอกาสหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติใหม่ๆ ก็คิดอยู่ แต่มาคิดอีกมุมหนึ่ง หากนำเสนอหลังภัยพิบัติเพิ่งพ้นผ่าน ประเดี๋ยวจะเป็นการหาโอกาสสร้างความขลังให้กับคำทำทาย ประเภทว่ารู้มาก่อนล่วงหน้า (แต่ดันมาพูดตามหลังเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แบบหมอเดา ...ช่วงนี้ยังมีเรื่องพระโลงศพ ออกมาใบ้หวยผิด คิดแล้วมองเห็นการออกนอกลู่นอกทางทางคำสอนแท้ๆ ของพระพุทธเจ้าไปถึงไหนแล้ว )

เอาเป็นว่าที่คัดมาเล่าให้ฟังเพื่อให้เห็นการกระจายข่าวประสาชาวบ้านอย่างหนึ่ง อีกประการหนึ่งเพื่อเตือนสติกันอยู่เสมอๆ ว่าอย่าตั้งตนในความไม่ประมาทตามคำสอนของพระพุทธองค์..!

ที่มา - horasadthai.com

((( โปรดติดตาม "มหันตภัยโลกในพระไตรปิฎก" กันต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 30/3/10 at 09:04

25

เมื่อได้อ่านข้อมูลจากแหล่งข่าวต่างๆ แล้ว ในตอนนี้ จะขอนำความรู้จากพระไตรปิฎกมาให้อ่านกันอีก เพื่อเป็นฐานข้อมูลที่เป็นหลักฐานมานานพันปี ซึ่งผู้เขียนท่านนี้ก็ได้ค้นคว้าหามาให้อ่านกันอีก..

มหันตภัยโลกในพระไตรปิฎก

ศาสนา
เขียนโดย สพท.ลพบุรี เขต 1
วันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๒:๔๒ น.


(ภาพจาก : oknation.net)

......ปรากฏการณ์ที่มาพร้อมกับโลกาภิวัตน์คือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกอย่างรวดเร็วมากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อสองศตวรรษก่อนหน้านี้ ชาวไทยใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะทราบข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย หรือไฟไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน

แต่ปัจจุบันนี้เราได้เห็นภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในมณฑลเสฉวนของจีนที่คนตายนับหมื่นในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หรือภาพหายนภัยจากการถล่มของพายุไซโคลนในพม่าในเวลาไม่ถึงวัน เป็นที่แน่ชัดว่าพิบัติภัยต่างๆ เหล่านี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นในแต่ละปี

อย่างไรก็ตามมหันตภัยจากธรรมชาตินั้นมีอยู่ในบันทึกตามหลักฐานประวัติศาสตร์มากมาย แต่หลักฐานหนึ่งที่ชาวพุทธควรศึกษาคือ "มหันตภัยโลก ในพระไตรปิฎก" ทั้งนี้ นพ.ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่ องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (WCPR) ได้อธิบายให้ฟังว่า

ในพระไตรปิฎกเองมีหลักฐานการเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติหลายครั้ง เช่น ระหว่างมีการจารึกพระไตรปิฎกนั้น ชมพูทวีปทั้งหมดประสบภัยแล้งที่ยาวนานหลายปี ผู้คนตายไปจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในยุคนั้น และอาจเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเกิดภัยแล้งที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนายูดาย หรือพระเวท

ขณะเดียวกันในพระไตรปิฎกยังมีเรื่องราวการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดังที่มีใน "มหาปรินิพพานสูตร" จนเป็นเหตุให้พระอานนท์รุดเข้าไปถามเหตุการณ์เกิดแผ่นดินไหวกับพระพุทธเจ้า

แต่พระสูตรมิได้เล่าต่อไปว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีผู้คนตายกันด้วยหรือเปล่า บอกแต่เพียงว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากนั้นแล้วยังมีพุทธพยากรณ์ย่อยๆ ในเรื่องอนาคตของเมืองปาฏลีบุตรว่าจะมีภัย ได้แก่ น้ำท่วม ไฟไหม้ และการแตกแยกของประชาชนเมืองนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้แล้วพระสูตรสั้นๆ อีกพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎกชื่อว่า "สุริยสูตร" แสดงพุทธพยากรณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับภัยโลกร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จริงอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นชาวโลกคนแรกที่พูดถึงภัยโลกร้อน

ในพุทธพยากรณ์โลกจะร้อนขึ้นทุกปี โดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งวันหนึ่งมนุษย์จึงเห็นดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้า จึงรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโลกร้อนนั้นมาจากการเกิดขึ้นของดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ความร้อนนั้นมีผลต่อสภาพแวดล้อม และต่อมาเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่สาม ดวงที่สี่ เรื่อยไปจนครบเจ็ดดวง เมื่อครบเจ็ดดวงโลกทั้งหมดก็ลุกเป็นไฟ

นพ.ดร.มโน ยังบอกด้วยว่า ในทางศาสนาคัมภีร์ศาสนาต่างๆ เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลเกี่ยวกับมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อโลกได้อย่างมากขึ้นกับมิติและความเชื่อของผู้มอง เช่น ชาวคริสเตียนจำนวนนับล้านในหลายประเทศ ตีความว่ามหันตภัยจะเกิดขึ้นถี่ขึ้นทุกวัน และจะคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน เพราะเป็นลางบอกเหตุที่เตือนชาวโลกให้รู้ว่า วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง

คริสเตียนหลายคนเชื่อต่อไปอีกว่า วันสิ้นโลกนั้นใกล้เข้ามาทุกที อาจเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็เป็นได้ รูปแบบของมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมาจากหลากหลาย ตั้งแต่แผ่นดินไหว โรคระบาด พายุขนาดใหญ่

แต่ทั้งหมดเป็นการเตือนชาวโลกให้ทราบว่าใกล้จะถึงวันสิ้นโลกแล้ว เงื่อนไขที่มากับความเชื่อนั้นด้วยคือ คำเตือนที่ว่า “ใครที่ยังไม่มีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าก็จงเชื่อเสียก่อนที่จะสายเกินไป”

ในศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม อธิบายไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับความอหังการของมนุษย์ ส่วนในพุทธศาสนาเห็นว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเกิดขึ้นก่อนมีมนุษย์คนแรกในโลก

เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีผู้ใดพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ศาสนาใดเป็นฝ่ายถูก แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ครั้งหนึ่งเมื่อแสนกว่าปีมาแล้ว เคยมีน้ำท่วมใหญ่ทั่วโลก เมื่อยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลงและอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้น น้ำแข็งที่จับตัวหนาแน่นทั่วโลกละลายลงจนเป็นเหตุให้น้ำท่วมครั้งใหญ่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าความทรงจำเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งใหญ่นั้น ได้ผ่านมาจากบรรพบุรุษของมนุษย์ชาติพันธุ์ต่างๆ และปรากฏอยู่ในรูปของตำนานและคัมภีร์ของศาสนาที่ตกทอดมาหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน

"สำหรับเรื่องราวในอดีตคัมภีร์ศาสนาต่างๆ กล่าวไว้มากมายเช่นกัน ในที่นี้ขอยกตัวอย่างจาก "คัมภีร์อัคคัญญสูตร" พระสุตตันตปิฎก ซึ่งเป็นตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องการกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และการเกิดขึ้นของระบบการปกครองบนโลกนี้

ซึ่งทรงอธิบายว่าโลกในยุคแรกนั้นเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งก็คล้ายคลึงกับสาระใน "คัมภีร์ปฐมกาล" ของศาสนายูดาย คริสต์ศาสนาและอิสลาม รวมถึงตำนานการเกิดของมนุษย์ในศาสนาชินโต

และตำนานโบราณของจีนและอียิปต์ที่แสดงให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งโลกเต็มไปด้วยน้ำ แต่ศาสนาทั้งหลาย และตำนานทั้งหลายอธิบายสาเหตุของน้ำท่วมครั้งใหญ่ของโลกนั้นแตกต่างกันออกไป" นพ.ดร.มโน กล่าว.

แหล่งข้อมูล freie-enzyklopadie.com




แถมท้ายข่าวที่ "บังคลาเทศ"


Submitted by lew on Fri, 26/03/2010 - 07:29
in Bangladesh Global Warming India


.....ภาวะ "โลกร้อน" อาจจะสร้างปัญหามากมาย แต่ล่าสุดปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของพรมแดนระหว่างอินเดียและบังคลาเทศก็หายไปอีกเปราะ เมื่อเกาะ South Talpatti ที่อยู่ใกล้ๆ เส้นพรมแดนในทะเลของทั้งสองประเทศ และเป็นประเด็นยืดเยื้อได้จมน้ำไปอย่างถาวรแล้ว

.....บังคลาเทศเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องกังวลกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกเนื่องจากระดับพื้นดินที่ต่ำ แต่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นด้วยความเร่ง ทำให้คาดว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 1 เมตรในปี 2050 กระทบต่อที่อยู่อาศัยของคนจำนวน 20 ล้านคน


.....เมืองไทยนี่ถ้าทำทะเลสูงขึ้นอีกเมตรก็กรุงเทพฯ ก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน?

ที่มา - Google News (AP)

((( โปรดติดตาม "สุริยสูตร พระสุตตันตปิฎก" กันต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 7/4/10 at 05:52

26

ความจริงกระทู้นี้ ผู้เขียนได้เริ่มจากเรื่อง "หมอดู" แล้วก็ยาวมาเรื่อยถึงภัยจากธรรมชาติ ซึ่งเวลานี้ท่านผู้อ่านจะได้ข่าวเรื่อง "แผ่นดินไหว" อยู่เสมอ บางท่านก็เข้ามาฟังคลิปเสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ คุยถึงเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

ในตอนนี้จึงขอนำเรื่องราวจาก "พระไตรปิฎก" โดยสืบเนื่องจากตอนที่แล้ว คือเรื่อง "สุริยสูตร" อันเป็นพุทธพจน์ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมานาน 2 พันกว่าปีแล้ว โดยอาศัยพระพุทธญาณที่พระพุทธองค์ทรงทราบในอนาคต ว่าโลกจะประสบภัยพิบัติเช่นนี้ ซึ่งจะขอนำมาเรียบเรียงโดยย่อพอเข้าใจ ดังนี้..

สุริยสูตร (โลกถูกไฟทำลายด้วยดวงอาทิตย์ 7 ดวง)



(ภาพจาก : dhammajak.net)

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดได้ใน พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ (หน้าที่ 214-219)

......[๖๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้พระนครเวสาลี ได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขุนเขาสิเนรุ โดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี

เมื่อฝนไม่ตก ต้นไม้ป่าไม้และพืชพันธ์ต่างๆ ที่ใช้เข้ายาย่อมเฉาเหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนด ควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏ เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏ แม่น้ำลำคลองทั้งหมด ย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง... ควรหลุดพ้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ และ ดวงที่ ๔ ปรากฏ เพราะอาทิตย์ดวงที่ ๓ ดวงที่ ๔ ปรากฏ แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง ไม่มีน้ำ ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง... ควรหลุดพ้น.


(ภาพจาก : b2bqnw.blu.livefilestore.com)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ เพราะอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ น้ำในมหาสมุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี ๒๐๐ โยชน์ก็ดี ๓๐๐ โยชน์ก็ดี ๔๐๐ โยชน์ก็ดี ๕๐๐ โยชน์ก็ดี ๖๐๐ โยชน์ก็ดี ๗๐๐ โยชน์ก็ดี ย่อมงวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ชั่วต้นตาลก็มี ๕ ชั่วต้นตาลก็มี ๔ ชั่วต้นตาลก็มี ๓ ชั่วต้นตาลก็มี ๒ ชั่วเพียงเอว เพียงเข่า เพียงแต่ข้อเท้า เพียงในรอยเท้าโค

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น้ำในมหาสมุทรยังเหลืออยู่เพียงในรอยเท้าโคในที่นั้น ๆ เปรียบเหมือนในฤดูแล้ง เมื่อฝนเมล็ดใหญ่ ๆ ตกลงมา น้ำเหลืออยู่ในรอยเท้าโคในที่นั้น ๆ ฉะนั้น เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ เปรียบเหมือนในฤดูแล้ง เมื่อฝนเมล็ดใหญ่ ๆ ตกลงมา น้ำเหลืออยู่ในรอยเท้าโคในที่นั้น ๆ ฉะนั้น เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ น้ำในมหาสมุทรแม้เพียงข้อนิ้วก็ไม่มี ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง... ควรหลุดพ้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ปรากฏ เพราะอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น เปรียบเหมือนนายช่างหม้อเผาหม้อที่ปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง... ควรหลุดพ้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางครั้งบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ เพราะอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ แผ่นดินใหญ่นี้และขุนเขาสิเนรุ ไฟจะติดทั่วลุกโชติช่วง มีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน เมื่อแผ่นดินใหญ่และขุนเขสิเนรุไฟเผาลุกโชน ลมหอบเอาเปลวไฟฟุ้งไปจนถึงพรหมโลก

เมื่อขุนเขาสิเนรุไฟเผาลุกโชนกำลังทะลาย ถูกกองเพลิงใหญ่เผาท่วมตลอดแล้ว ยอดเขาแม้ขนาด ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ย่อมพังทะลาย เมื่อแผ่นดินใหญ่และขุนเขาสิเนรุถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่า เปรียบเหมือนเมื่อเนยใสหรือน้ำมันถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่าฉะนั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ควรจะเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น ใครจะรู้ใครจะเชื่อว่า แผ่นดินนี้และขุนเขาสิเนรุจักถูกไฟไหม้พินาศไม่เหลืออยู่ นอกจากอริยสาวกผู้มีบทอันเห็นแล้ว (โสดาบัน)

ศาสดาชื่อ "สุเนตตะ" เกิดเป็นพรหม

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ศาสดาชื่อ "สุเนตตะ" เป็นเจ้าลัทธิ ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ศาสดาชื่อสุเนตตะนั้น มีสาวกอยู่หลายร้อย เธอแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหมโลก และเมื่อสุเนตตะศาสดาแสดงธรรมเพื่อความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหมโลก สาวกเหล่าใดรู้ทั่วถึงคำสอนได้หมดทุกอย่าง สาวกเหล่านั้น เมื่อตายไปก็เข้าถึงสุคติพรหมโลก

ส่วนสาวกเหล่าใดยังไม่รู้ทั่วถึงคำสอนได้หมดทุกอย่าง สาวกเหล่านั้น เมื่อตายไป บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี บางพวกเข้าถึงความเป็นแห่งเทวดาชั้นดุสิต บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา


(ภาพจาก : vimokkha.com)

บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาล บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งพราหมณ์มหาศาล บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายแห่งคฤหบดีมหาศาล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล สุเนตตะศาสดามีความคิดเห็นว่า การที่เราจะพึงเป็นผู้มีสติเสมอกับสาวกทั้งหลายในสัมปรายภพไม่สมควรเลย ผิฉะนั้น เราควรจะเจริญเมตตาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ครั้งนั้นแล สุเนตตะศาสดาจึงได้เจริญเมตตาจิตตลอด ๗ ปี แล้วไม่มาสู่โลกนี้ตลอด ๗ สังวัฏฏวิวัฏฏกัป

เมื่อโลกวิบัติเข้าถึงพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เมื่อโลกเจริญ เข้าถึงวิมานพรหมเป็นใหญ่ ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์โดยถ่องแท้ เป็นผู้มีอำนาจมาก เกิดเป็ท้าวสักกะจอมเทวดา ๓๖ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระธรรมราชา มีสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต

ผู้ได้ชัยชนะสงคราม สถาปนาประชาชนไว้เป็นปึกแผ่นมั่นคง พรั่งพร้อมด้วยรัตนะ ๗ ประการ หลายร้อยครั้ง พระราชโอรสของพระเจ้าจักรพรรดิ ล้วนแต่องอาจ กล้าหาญ ชาญชัยย่ำยีศัตรูได้ พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นทรงปกครองปฐพีมณฑล อันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขต ไม่ต้องใช้อาญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ใช้ธรรมปกครอง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุเนตตะศาสดานั้นแล มีอายุยืนนานดำรงมั่นอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่พ้นจากชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ไม่พ้นจากทุกข์ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะยังไม่ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดธรรม ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน คือ อริยศีล ๑ อริยสมาธิ ๑ อริยปัญญา ๑ อริยวิมุติ ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยศีล อริยสมาธิ อริยปัญญา อริยวิมุติ เราตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว เราถอนตัณหาในภพได้แล้ว ตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า


ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญาและ
วิมุตติอันยิ่ง พระโคดมผู้ทรงพระยศตรัสรู้แล้ว
พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดา ผู้มีพระจักษุ ทรงรู้ยิ่ง
ด้วยประการดังนี้แล้ว ตรัสบอกธรรม ๔ ประการ
แก่ภิกษุทั้งหลาย ทรงกระทำที่สุดทุกข์แล้ว
ปรินิพพาน.


จบ สุริยสูตรที่ ๒

((( โปรดติดตาม "ดวงอาทิตย์กับความวินาศของโลก" กันต่อไป )))




ข่าวด่วน..เกิดแผ่นดินไหว 7.8 บนเกาะสุมาตรา เตือนภัยสึนามิ

07 เมษายน 2553 เวลา 06:06 น.


(ภาพนี้ได้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อ 5 ม.ค. 53 ระดับ 5.1 ริคเตอร์ แต่วันนี้ 7 เม.ย. 53 ได้เกิดขึ้นอีกแต่เหนือขึ้นไปจากจุดเดิมเล็กน้อย ขณะนี้เพิ่มขึ้นไปเป็นระดับ 7.9 ริคเตอร์แล้ว)

แผ่นดินไหวระดับ 7.8 บนเกาะสุมาตรา ห่างจากประเทศไทยประมาณ 644 กม.ประกาศเตือนภัยสึนามิ
เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.8 บนเกาะสุมาตรา ทางเหนือของอินโดนีเซียในช่วงเช้าวันนี้ (7 เม.ย.)ประมาณ 05.15 น. ตามเวลาประเทศไทย สำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯระบุ จุดชนวนเตือนภัยสึนามิท้องถิ่น

สำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯระบุว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางห่างจากเมืองซิโบลกา ราว 204 กิโลเมตรและลึกลงไปใต้ดินราว 28.6 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือตัวเลขผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

ทั้งนี้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวดังกล่าวได้ห่างจากประเทศไทยประมาณ 644 กม. ศูนย์เตือนภัยภิบัติสึนามิจึงได้ประกาศให้ประชาชนฝั่งอันดามันอพยพออกจากพื้นที่


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 21/4/10 at 06:39

27

ดวงอาทิตย์กับวินาศของโลก


ดวงอาทิตย์มีบทบาทสำคัญต่อการวินาศของโลก โดยที่โลกก็มีอายุของโลกเช่นกัน คือระยะเวลาเกิดจนกระทั่งแตกสลายไป เรียกว่า มหากัป และมหากัปหนึ่งแบ่งออกตามลักษณะได้ ๔ ช่วง หรือ ๔ กัปย่อยคือ

๑. สังวัฏฏกัป แปลว่า กัปเสื่อม
๒. สังวัฏฏฐายีกัป แปลว่า กัปที่ตั้งอยู่ต่อจาก กัปเสื่อม
๓. วิวัฏฏกัป แปลว่า กัปเจริญ
๔. วิวัฏฏฐายีกัป แปลว่า กัปที่ตั้งอยู่ต่อจาก กัปเจริญ


กัปแรกหรือกัปเสื่อมนั้น เพราะเป็นระยะเวลาที่โลกกำลังวินาศ คือ วินาศด้วยไฟ ด้วยน้ำ หรือด้วยลม

ตามคติเก่าแก่กล่าวว่า วินาศด้วยไฟนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” คือฝนตกใหญ่ทั่วโลกก่อน ครั้นฝนหยุดแล้วจะไม่มีฝนอีก โลกจะแห้งแล้งไปโดยลำดับ แล้วเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ปรากฏขึ้น และ ดวงมี่ ๓ ดวงที่ ๔ จนถึงดวงที่ ๗ ซึ่งทำให้โลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อตัวเป็นไฟประลัยกัลป์ เผาไหม้โลกจนกลายเป็นจุลมหาจุล

ส่วนโลกวินาศด้วยน้ำนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อน แล้วเกิดฝนด่างตกลงมาท่วมโลกไปทั่ว กลายเป็นน้ำประลัยกัลป์ ย่อยโลกให้สลายไปเป็นจุลมหาจุล
ส่วนโลกพินาศด้วยลมนั้น จะเกิด “มหาเมฆกัปวินาศ” ก่อนแล้วจะเกิดลมวินาศเป็นลมประลัยกัลป์ พัดทำลายโลกให้แหลกเป็นจุลมหาจุล

เกณฑ์โลกวินาศตามคตินี้กล่าวไว้ว่า โลกวินาศด้วยไฟ ๗ ครั้ง แล้วจึงวินาศด้วยน้ำในครั้งที่ ๘ หนึ่งครั้ง ครั้นวินาศด้วยไฟและน้ำดั่งนี้ครบ ๘ ครั้ง ๘ หนแล้ว จึงวินาศด้วยลมครั้งหนึ่ง

ระยะเวลาตั้งแต่เกิดมหาเมฆกัปวินาศ จนถึงไฟประลัยกัลป์ไหม้โลกจนหมดสิ้นสลายไป ใช้เวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย กัปย่อยที่โลกกำลังวินาศนี้เรียก "สังวัฏฏกัป" เมื่อโลกวินาศเป็นจุลเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็จะว่างเปล่าปราศจากโลกนี้ต่อไปอีกยาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า สังวัฏฏฐายีกัป

หลังจากผ่านพ้นความว่างเปล่าที่ยาวนานหนึ่งกัป ดวงอาทิตย์จะเริ่มลดลงจนเหลือดวงเดียวอีกครั้งหนึ่ง “มหาเมฆกัปสมบัติ” เริ่มตั้งขึ้น เกิดฝนตกทั่วทุกที่ในจักรวาล ลมจะประคองน้ำฝนรวมเป็นก้อนกลม แล้วก็แห้งไป ปรากฏเป็นโลกขึ้นใหม่ เกิดวิวัฒนาการของเปลือกโลกเป็นแผ่นดิน ภูเขา และมหาสมุทร และเกิดชั้นบรรยากาศหุ้มห่อโลก ซึงใช้ระยะเวลายาวนานหนึ่งกัปย่อย เรียกกัปย่อยนี้ว่า "วิวัฏฏกัป"

เมื่อโลกก่อกำเนิดขึ้นแล้ว มีแผ่นดิน ท้องฟ้าและมหาสมุทร รวมทั้งบรรยากาศ เกิดกลางวัน กลางคืน และฤดูกาลหมุนเวียนต่อเนื่องขึ้น ดังนี้นสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเกิดขึ้น เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียวก่อน และวิวัฒนาการเป็นหลายเซลล์ แล้วเกิดพืชและสัตว์พันธุ์ต่างๆมากขึ้น จนปรากฏมนุษย์บุรุษและสตรีขึ้น สืบเผ่าพันธุ์ต่อกันมาแล้วตั้งบ้านเรือนและประเทศต่างๆขึ้น

การปรากฏของดวงอาทิตย์ขึ้นถึง ๗ ดวงตามคตินี้ นักดาราศาสตร์ก็วิเคราะห์ออกมามีความสอดคล้องกันอยู่มากทีเดียว ลองมาดูความเห็นทางนักดาราศาสตร์ดูมั๊ยครับ..?

ชีวิตของดวงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์สีเหลือง อุณหภูมิผิวประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร อยู่ในวัยกลางของชีวิต คือ ประมาณ 5,000 ล้านปี คาดว่า ดวงอาทิตย์จะมีอายุคงอยู่ต่อไปอีกราว 5,000 ล้านปี ตลอดชีวิตของดวงอาทิตย์จึงมีอายุยืนยาวราว 10,000 ล้านปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของดาวฤกษ์ทั่วไป

ปัจจุบัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผ่พลังงานอยู่ในสภาพสมดุล เพราะพลังงานจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ในใจกลางดวงสมดุลกับการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วง จนเมื่อใดดวงอาทิตย์ ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในใจกลางดวงเหลือน้อยลง ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงชีวิต ที่ไม่สมดุลในบั้นปลาย

เมื่อย่างเข้าวัยปลาย ดวงอาทิตย์จะขยายตัวออกกลายเป็น ดาวยักษ์แดง จนมีขอบเขตเลยวงโคจร ของดาวอังคารออกไป ก๊าซและฝุ่นรอบนอกถูกแรงดันแผ่กระจายออกทุกทิศทาง มีลักษณะคล้าย วงแหวนของก๊าซ เรียกว่า "เนบิวลาดาวเคราะห์" (Planetary Nebula) ส่วนใหญ่มีสีสันสวยงาม

ขณะที่ใจกลางดวงอาทิตย์ยุบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วงที่มีพลังสูงกว่า จนมีขนาดเล็กเท่าโลก กลายเป็น ดาวแคระขาว (White Dwarf) และสิ้นสุดชีวิตดาวฤกษ์ กลายเป็นดาวตายดับไปในที่สุด


(ภาพ - picdb.thaimisc.com)


ตามที่นักดาราศาสตร์วิเคราะห์มานี้ ที่ว่าดวงอาทิตย์จะขยายใหญ่ขึ้นนั้นตรงกันกับของเราที่ว่าดวงอาทิตย์จะมี ๗ ดวง เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกันแล้วลองวาดภาพปรากฏการณ์นี้ดู ก็จะเป็นดังภาพนี้

แต่ที่นักดาราศาสตร์คำนวณอายุของดวงอาทิตย์ได้ว่าราวหมื่นล้านปีคงจะไม่ถูก เพราะของเรายาวนานเป็นกัป คือในกัปย่อยกัปหนึ่งแบ่งได้อีก ๖๔ อันตรกัป โดยหนึ่งอันตรกัป คิดเป็นจำนวนปีจะยาวนานมาก เริ่มตั้งแต่มนุษย์มีอายุขัยเท่ากับ อสงไขยปี คือหนึ่งตามด้วยศูนย์จำนวน ๑๔๐ ตัว แล้วค่อยๆลดลงเหลือ ๑๐ ปี แล้วกลับมีอายุยืนขึ้นใหม่อีกจนถึง อสงไขยปี อีกครั้งหนึ่ง จึงนับเป็นหนึ่งอันตรกัป

เกณฑ์โลกวินาศด้วยไฟ ๗ ครั้ง แล้วน้ำ ๑ ครั้ง ครบ ๘ รอบจึงเป็น ลม ๑ ครั้ง อาจเขียนสรุปได้แบบนี้

วินาศด้วยไฟ ทั้งหมด ๕๖ ครั้ง
วินาศด้วย น้ำ ทั้งหมด ๗ ครั้ง
วินาศด้วย ลม ๑ ครั้ง


เอาทั้งหมดมารวมกันได้ ๖๔ ครั้งพอดี เป็นวัฏฏจักรการทำลาย ๑ รอบ มีบางคัมภีร์ได้ขยายความลึกลงไปอีกว่า

โลกวินาศด้วย โลภะ ๕๖ ครั้ง
โลกวินาศด้วย โทสะ ๗ ครั้ง
โลกวินาศด้วย โมหะ ๑ ครั้ง


เมื่อนำมาประกอบกันกับข้างต้นก็ทำให้เข้าใจได้ว่า โลกวินาศด้วยไฟ เพราะเป็นสมัยที่สัตว์โลกเต็มไปด้วย "โลภะ" วินาศด้วยน้ำก็เพราะ "โทสะ" และวินาศด้วย ลม ก็เพราะ "โมหะ"

จะเห็นว่า "โลภะ" มีมากที่สุด ทำให้นึกถึง พระอภิธรรมคัมภีร์ ที่ว่าด้วยเรื่องของ "จิต" มีจิตที่เป็น อกุศล ด้วยกันอยู่ ๑๒ ดวง

ที่มา - thaimisc.pukpik.co

((( โปรดติดตาม "น้ำท่วมโลก..ในทรรศนะของพุทธศาสนา" กันต่อไป )))

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/5/10 at 08:21

28

น้ำท่วมโลก..ในทรรศนะของพุทธศาสนา



(ภาพจาก : igetweb.com)


จุดจบของโลก

ขอตั้งสมมติฐานว่า “จุดจบของโลกอยู่ที่ ๖,๐๐๐ ล้านปี และ จุดจบของโลก กับ จุดจบของสัตว์ที่มีวิญญาณครองต่างกัน” โดยมีเหตุผลและอรรถาธิบาย ยกหลักฐานจากพระคัมภีร์มาประกอบดังนี้

ทางวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกใบนี้เกิดมาแล้ว ประมาณ ๔๕๐๐ ล้านปี แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"..ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ ๑. พระกกุสันธะ ๒. พระโกนาคมนะ ๓. พระกัสสปะ ๔. พระโคดม (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)..."

[1] นั่นก็เท่ากับว่า ประมาณ ๑,๑๕๐ ล้านปี มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ หลังจากนั้นโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม, ไฟใหม้ (ภูเขาไฟระเบิด) เป็นยุค ๆ ไป

[2] (แต่โลกยังไม่แตก) ขณะที่โลกถูกไฟไหม้ และน้ำท่วมนั้น มนุษย์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม (ไปอยู่กับพระเจ้า) เมื่อภูมิอากาศ ผืนดิน และต้นไม้อุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีก

[3] พระพุทธเจ้าตรัสบอกอีกว่า ในกัปของโลกนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียง ๕ พระองค์

[4] แล้วโลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ ( ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง

[5] ) นั่นก็แสดงว่า อีกประมาณ ๑,๕๐๐ ล้านปีข้างหน้าโลกจะแตกพินาศ หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย อุบัติแล้ว ๑๐๐๐ ล้านปี

แต่สรรพสัตว์มิได้มีจุดจบอยู่แค่นั้น หลังจากโลกพินาศแล้ว สัตว์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์ในโลกอีก ดูรายละเอียดได้ใน อัคคัญญสูตร

"โลกร้าง" กับ "โลกแตก" แตกต่างกัน

อีกประมาณ ๕๐๐ ล้านปีโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม และไฟไหม้จนมนุษย์ตายหมดโลก ....แต่โลกยังไม่แตก หลังจากนั้น..ภูมิอากาศของโลกก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครับ ..มนุษย์ที่ตาย ไปเกิดในอาภัสสรพรหม..(ไปอยู่กับพระเจ้า..) ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีกครั้ง..แล้วจะเข้าสู่ยุคอยู่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ "พระศรีอริยเมตตรัย...." หลังจากยุคพระศรีอริยเมตตรัย..ประมาณ ๑๐๐๐ ปี โลกจึงจะแตก...

เมื่อโลกแตก....ก็จะเกิดโลกดวงใหม่ต่อไปอีก....สรรพสัตว์ก็จะกลับมาเกิดในโลกดวงใหม่ต่อไปอีก... เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ การได้ไปอยู่บนสรรค์กับพระเจ้า..ก็ยังมิใช่ที่ปลอดภัย...เพราะ..???
เพราะเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดในอบายภูมิเป็นส่วนมาก ปรากฏความในพระคัมภีร์ว่า

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา (เล็บ) ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ..
“ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน ?

ภิกษุทูลตอบว่า ....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว

ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง

[6] พระองค์ตรัสเปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า.... “ เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีกหรือไปเกิดในภูมิที่ต่ำลงมามีจำนวนน้อยแต่เทวดาที่ต้องไปตกนรกมีจำนวนมาก... เทียบได้กับจำนวนฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น”

สรุปว่า ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป โดยไม่ขึ้นกับศาสนา หรือศาสดาองค์ใด เพราะนี่คือกฎธรรมชาติ ถึงไม่มีใครเชื่อก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะนี้คือ "กฎธรรมชาติ"



[1] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์ เล่มที่ ๓๓ ข้อ ๑ หน้า ๗๒๑

[2] โลกเสื่อม มี ๓ อย่าง คือ
(๑) อาโปสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะน้ำ) หมายถึงกัปที่เสื่อมเพราะน้ำนับแต่ชั้นสุภกิณหพรหมลงมา
(๒) เตโชสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะไฟ) หมายถึงกัปที่ไฟไหม้ นับแต่ชั้นอาภัสสรพรหมลงมา
(๓) วาโยสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะลม) หมายถึงกัปที่ลมพัดทำลาย นับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมา หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่เปลวไฟดับจนถึงมหาเมฆที่ให้กัปพินาศ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๕๖/๓๘๔, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๕๖-๑๕๘/๔๒๑, วิสุทฺธิ. ๒/๔๐๖/๕๕)

[3] ดูลายระเอียดได้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎกเล่มที่ 10

[4] ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ องค์ คือ พระกกุสันธ พุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า พระเมตเตยยพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๒/๒๒๕/๓๓๐)

[5] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต สัตตสุริยสูตร เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๖๖ หน้า ๑๓๔

[6] อ้างอิง....สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๑๗๘/๖๕๔ , องฺ.จตุ.(ไทย) ๒๑ /๑๙๓/๑๒๕



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ (เป็นสุตตันตปิฎก) อัคคัญญสูตร สูตรว่าด้วยสิ่งที่เลิศ หรือที่เป็นต้นเดิม (รวมที่มาดั้งเดิมของโลก)

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขา ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้นสามเณรชื่อ วาเสฏฐและภารัทวาชะ (เดิมนับถือศาสนาอื่น) อยู่ปริวาส (อบรม) ในภิกษุทั้งหลาย ปรารถนาความเป็นภิกษุชวนกันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้กำลังจงกรมอยู่ในที่แจ้งเพื่อฟังธรรม

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกท่านมีชาติเป็นพราหมณ์ มีสกุลเป็นพราหมณ์ ออกบวชพวกพราหมณ์เป็นบุตรของพรหม เกิดจากปากพรหม เป็นพรหมทายาท พวกท่านละวรรณะอันประเสริฐ ไปเข้าสู่วรรณะเลว คือ พวกสมณะศรีษะโล้น ซึ่งเป็นพวกไพร่ พวกดำ พวกเกิดจากเท้าของพระพรหม ซึ่งเป็นการไม่ดี ไม่สมควรเลยพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พราหมณ์พวกนั้นลืมตน เกิดจากองค์กำเนิดของพราหมณีแท้ๆ ยังกล่าวว่าประเสริฐสุด เกิดจากปากพรหม เป็นต้น ซึ่งเป็นการกล่าวตู่พระพรหมและพูดปด

แล้วตรัสเรื่องมนุษย์ ๔ วรรณะ ที่ทำชั่วดีได้อย่างเดียวกัน และเรื่องที่พระเจ้าปเสนทิโกศล (ผู้เป็นกษัตริย์) แต่ปฏิบัติต่อพระองค์ ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าเป็นพวกดำ (เพราะปลงศรีษะออกบวช) อย่างเต็มไปด้วยความเคารพ

ครั้นแล้วตรัส (เป็นเชิงปลอบใจ หรือให้หลักการใหม่) ว่า ท่านทั้งหลายมาบวชจากโคตรจากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่า เป็นใคร ก็จงกล่าวตอบว่าพวกเราเป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมสร้างเป็นธรรมทายาท (ผู้รับมรดกธรรม) ทั้งนี้เพราะคำว่า ธัมมกาย (กายธรรม) พรหมกาย (กายพรหม) และผู้เป็นธรรม ผู้เป็นพรหมนี้เป็นชื่อของตถาคต

(เป็นการแก้ข้อด่าของพวกพราหมณ์ โดยสร้างหลักการใหม่ให้พวกมาบวชจากทุกวรรณะได้ชื่อว่ามีกำเนิดใหม่ที่ไม่แพ้พวกพราหมณ์)

ครั้นแล้วตรัสเรื่อง สมัยหนึ่งโลกหมุนเวียนไปสู่ความพินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก เมื่อโลกหมุนกลับ (คือเกิดใหม่ภายหลังพินาศ) สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจกินปีติเป็นภักษา (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัวไปได้ในอากาศ (เช่นเดียวกับเมื่อเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม)

อาหารชั้นแรก
แล้วเกิดมีรสดิน (หรือเรียกว่าง้วนดิน) อันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รสสัตว์ทั้งหลายเอานิ้วจิ้มง้วนดินลิ้มรสดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือนมีกึ่งเดือน มีฤดู และปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้างความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ

พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่นง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย แล้วก็เกิดสะเก็ดดินที่สมบูรณ์ด้วยสีกลิ่นและรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น

เกิดการดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น สะเก็ดดินก็หายไป เกิดเถาไม้สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่น ถือตัว

เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้นเถาไม้ก็หายไป ข้าวสาลี ไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็เกิดขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีก ไม่ปรากฏพร่องไปเลย ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น

เพศหญิงเพศชาย
จึงปรากฏเพศหญิงเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันแลกันเกินขอบเขตก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อนและเสพเมถุนธรรมต่อหน้าคนทั้งหลาย เป็นที่รังเกียจและพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะสมัยนั้นถือว่าการเสพเมถุนเป็นอธรรมเช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นธรรม (ถูกต้อง) ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น

การสะสมอาหาร
ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสารที่ถอนแล้วก็ไม่งอกขึ้นมาแทน ปรากฏความพร่อง (เป็นตอนๆที่ถูกถอนไป) มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับแล้วมีการแบ่งข้าวสาลีกำหนดเขต (เป็นของคนนั้นคนนี้)

อกุศลธรรมเกิดขึ้น กษัตริย์เกิดขึ้น
ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือขว้างด้วยก้อนหินตีด้วยไม้ เขาจึงประชุมกันปรารภว่า

การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งคนขึ้นให้ทำหน้าที่ติคนที่ควรติ ขับไล่คนที่ควรขับไล่ โดยพวกเราจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงามมีศักดิ์ใหญ่แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคน (ติและขับไล่คนที่ทำผิด)

คำว่า “มหาสมมต” (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้เป็นใหญ่แห่งนา) ราชา (ผู้ทำความอิ่มใจสุขใจแก่ผู้อื่น) จึงเกิดขึ้น กษัตริย์ก็เกิดขึ้นจากคนพวกนั้น มิใช่พวกอื่นจากคนเสมอกัน มิใช่คนไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม
เกิดพราหมณ์ แพศย์ ศูทร

ยังมีคนบางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่วเป็นอกุศล จึงมีนามว่าพราหมณ์ (ผู้ลอยบาป), สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ(ผู้เพ่ง); บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งตำรา (อรรถกถาว่า แต่งพระเวทและสอนให้ผู้อื่นสวดสาธยาย) คนจึงกล่าวว่า ไม่เพ่ง นามว่า อัชฌายกะ(ผู้ไม่เพ่ง) จึงเกิดขึ้น เดิมหมายความเลว แต่บัดนี้หมายความดี (อัชฌายกะปัจจุบันนี้แปลว่า ผู้สาธยาย)

ยังมีคนบางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีวิตจึงมีชื่อว่าศูทร (พระไตรปิฎกฉบับไทยตกหาย ข้อความวรรคนี้ทั้งวรรค จึงต้องแปลตามฝรั่ง อรรถกถาอธิบายคำว่า สุทท (ศูทร) ว่าเพี้ยนมาจากคำว่า ลุทท(นายพราน) หรือ ขุทท (งานเล็กๆน้อยๆ) เป็นเชิงว่าพวกแพศย์ คือผู้ทำงานสำคัญแต่พวกศูทรทำงานเล็กๆน้อยๆ ที่เข้าใจกันทั่วไป คือศูทรเป็นพวกคนงานหรือคนรับใช้)

ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากพวกคนพวกนั้น มิใช่เกิดจากคนพวกอื่น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม

(แสดงว่าการแบ่งชั้นวรรณะนั้น ในชั้นเดิมมิได้มาจากหลักการอื่น นอกจากการแบ่งงานหรือแบ่งหน้าที่กันตามความสมัครใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่าใครวิเศษกว่าใครมาแต่ต้น แท้จริงก็คนชั้นเดียวกันมาแต่เดิม ทั้งนี้เป็นการทำลายทิฏฐิมานะ ช่วยให้ลดการดูหมิ่นกันแลกันเป็นการปฏิเสธหลักการของพราหมณ์ที่ว่าใครเกิดจากส่วนไหนของพระพรหมซึ่งสูงต่ำกว่ากัน)

สมณมณฑล
แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในวรรณะทั้งสี่มีกษัตริย์ เป็นต้นไม่พอใจธรรมะของตน ออกบวชไม่ครองเรือน จึงเกิดสมณมณฑลหรือคณะของสมณะขึ้น จากคณะทั้งสี่ คือ เกิดจากคนเหล่านั้น มิใช่เกิดจากคนพวกอื่น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรมมิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม (อันนี้เป็นการพิสูจน์อีกว่า คนชั้นสมณะที่พวกพราหมณ์ดูหมิ่นอย่างยิ่งนั้น ก็เกิดจากวรรณะทั้งสี่ ซึ่งมีมูลเดิมมาด้วยกัน ไม่ใช่ใครสูงต่ำกว่ากัน)

การได้รับผลเสมอกัน
ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน

ถ้าตรงกันข้าม คือประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไปก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เหมือนกันหรือถ้าทำทั้งสองอย่าง (คือชั่วก็ทำ ดีก็ทำ) ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน

อนึ่ง วรรณะทั้งสี่นี้ ถ้าสำรวมกาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๗ ประการ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน

และวรรณะทั้งสี่เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพหมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรมเพราะธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ "สนังกุมารพรหม" และของพระองค์ที่ตรงกันว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชชา (ความรู้) จรณะ (ความประพฤติ) ผู้นั้นเป็น ผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์”

(หมายเหตุ : พระสูตรนี้ มีลีลาแสดงความเป็นมาของโลก แต่แสดงแล้ว ก็ยกธรรมะเป็นจุดสูงสุดในเทวดาและมนุษย์ วรรณะทั้งสี่ก็มาจากคนพวกเดียวกัน ไม่มีใครวิเศษกว่ากัน แต่ภายหลังคนเข้าใจผิดดูหมิ่นกันไปเอง การแสดงเรื่องความเป็นมาของโลก อาจวินิจฉัยได้เป็น ๒ ประการ

คือประการแรกเป็นการเอาหลักของศาสนาพราหมณ์มาเล่า แต่อธิบายหรือตีความเสียใหม่ให้เข้ารูปเข้ารอยกับคติธรรมทางพระพุทธศาสนา อันชี้ให้เห็นว่าพราหมณ์เข้าใจของเก่าผิด จึงหลงยกตัวเองว่าประเสริฐ

อีกอย่างหนึ่งเป็นการเล่าโดยมิได้อิงคติของพราหมณ์ โดยถือเป็นของพระพุทธศาสนาแท้ๆ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะถ้าเทียบส่วนใหญ่กับส่วนเล็กในทางวิทยาศาสตร์ แล้วปรมาณูที่มีโปรตอนเป็นศูนย์กลาง มีอีเล็กตรอนเป็นตัววิ่งวน รวมทั้งมีนิวตรอนเป็นส่วนประกอบด้วยนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับสุริยะระบบ ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (PLANETS) เช่นโลกเรา และดาวพระศุกร์ พระเสาร์ เป็นต้น วนรอบคล้ายอีเล็กตรอน

มีบางโอกาสที่ปรมาณูอาจถูกแยก ถูกทำลาย เพราะเหตุภายนอก เช่น ที่นักวิทยาศาสตร์จัดทำฉันใดสุริยะระบบ หรือ SOLAR SYSTEM ก็เช่นเดียวกัน อาจถูกทำลายหรือสลายตัวแล้วเกิดใหม่ได้ เพราะมีระบบสุริยะอื่นเข้ามาใกล้หรือมีเหตุอื่นเกิดขึ้น

ในการเกิดก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำลายได้ก็อาจรวมตัวได้ในเมื่อธาตุไฮโดรเยนกับออกซิเจน รวมตัวกันเป็นน้ำ พวกฝุ่นผงที่แหลกก็เข้ามารวมตัวกับน้ำได้และแข้นแข็งขึ้นในที่สุด เป็นเรื่องเสนอชวนให้คิดแต่มิได้ชวนให้ติดในเกร็ด เพราะสาระสำคัญอยู่ที่การถือธรรมะเป็นใหญ่ เป็นหลักของสังคมทุกชั้น)..!

((( โปรดติดตาม "จักกวัตติสูตร สูตรว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ์" กันต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/5/10 at 05:33

29

จักกวัตติสูตร : สูตรว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ์



(ภาพจาก : i692.photobucket.com)


พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นครมาตุลา แคว้นมคธ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้พึ่งตนพึ่งธรรมและเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วตรัสเล่าเรื่องรัตนะ ๗ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ์พระนามว่า ทัฬหเนมิ คือ :-

๑. จักร (ลูกล้อรถ) แก้ว (จักกรัตนะ)
๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)
๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)
๔. แก้วมณี (มณีรัตนะ)
๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)
๖. ขุนคลังแก้ว (คหปติรัตนะ)
๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)


พระเจ้าทัฬหเนมิตรัสสั่งบุรุษคนหนึ่งให้คอยดูว่า "จักรแก้ว" เคลื่อนจากฐานเมื่อไรให้มาบอก จำเนียรกาลล่วงมา เมื่อจักรแก้วเคลื่อนจากที่ บุรุษนั้นก็ไปกราบทูล พระองค์จึงตรัสเรียกพระราชบุตรองค์ใหญ่ มอบราชสมบัติให้แล้วปลงพระเกสา (ผม) และพระมัสสุ (หนวด) ทรงผ้ากาสายะ (ผ้าย้อมฝาด) ออกผนวชเป็นบรรพชิต

เมื่อออกผนวชเป็นราชฤษีได้ ๗ วัน จักรแก้วก็อันตรธานหายไป พระราชา (พระองค์ใหม่) ก็ทรงเสียพระราชหฤทัย เข้าไปเฝ้าพระราชฤษี เล่าความถวาย พระราชฤษีก็ตรัสปลอบว่า

จักรแก้วเป็นของให้กันไม่ได้และทรงแนะนำให้บำเพ็ญจักกวัตติวัตร คือข้อปฏิบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์มีฐานะอยู่ที่เมื่อปฏิบัติแล้ว จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกำตั้งพัน มีกงดุมสมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงจักปรากฏขึ้นแก่พระราชา ผู้รักษาอุโบสถ ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ผู้ขึ้นสู่ชั้นบนปราสาท กราบทูลถามว่า วัตรอันประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นอย่างไร ตรัสตอบว่า

๑. จงอาศัยธรรมสักการะเคารพนับถือธรรมให้ความคุ้มครองอันเป็นธรรมแก่มนุษย์แลสัตว์ ไม่ยอมให้ผู้ทำอันเป็นอธรรมเป็นไปได้ในแว่นแคว้น

๒. ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้

๓. เข้าไปหาสมณพราหมณ์ ผู้เว้นจากความเมา ประมาท ตั้งอยู่ในขันติ (ความอดทน) โสรัจจะ (ความสงบเสงี่ยม) และถามถึงสิ่งเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไม่ควรเสพอะไรทำเข้าเป็นไปเพื่อเสียประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน อะไรทำเข้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขตลอดกาลนาน เมื่อฟังแล้ว ก็รับเอาสิ่งที่เป็นกุศลมาประพฤตินี้แลคือวัตรอันประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น !

(หมายเหตุ : ข้าพเจ้าย่อวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้ ๓ อย่าง แต่ในอรรถกถาแจกไปตามพยัญชนะได้ถึง ๑๐ อย่าง คือ ให้อารักขาเป็นธรรมแก่

๑. พลกาย หรือกองทหารที่อยู่ใกล้ชิด (เป็นอันโตชน)
๒. กษัตริย์ (น่าจะหมายถึงพระราชวงศ์และกษัตริย์เมืองขึ้น)
๓. ผู้ติดตาม
๔. พราหมณ์คฤหบดี
๕. ชาวนิคมชนบท
๖. สมณพราหมณ์
๗. เนื้อและนก
๘. ขัดขวางผู้ทำการที่ไม่เป็นธรรม
๙. เพิ่มให้ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์
๑๐. เข้าไปหาสมณพราหมณ์แล้วถามปัญหา


และแล้วอธิบายต่อไปว่า แยกเป็น ๑๒ ข้อก็ได้ คือแยกคฤหบดีออกจากพราหมณ์ และแยกนกออกจากเนื้อ แต่ที่ข้าพเจ้าย่อเหลือเพียง ๓ ก็เพราะประเด็นแรก มุ่งในการเคารพธรรม ให้ความคุ้มครองอันเป็นธรรมและปราบอธรรม จัดเป็นข้อที่หนึ่ง – ผู้จัดทำ)

เมื่อพระราชา (ผู้เป็นราชบุตร) กระทำตาม จักรแก้วก็ปรากฏขึ้นตามที่พระราชฤษีทรงกล่าวไว้ พระราชาจึงทรงถือเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรงหมุนจักรแก้วไปด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา รับสั่งว่า

จักรแก้วอันเจริญจงหมุนไปเถิดจงมีชัยเถิด แล้วยกกองทัพมีองค์สี่ติดตามไปทั้งสี่ทิศจนจดสมุทร สั่งสอนพระราชาในทิศนั้นให้ตั้งอยู่ในศีลห้า แล้วมอบให้ครอบครองสมบัติต่อไปตามเดิม (เพียงให้ยอมแพ้เท่านั้น เมื่อได้ชัยชนะทั้งสี่ทิศแล้วก็เสด็จกลับสู่ราชธานีตามเดิม

พระเจ้าจักรพรรดิ์ พระองค์ที่ ๒-๓-๔-๕-๖ และที่ ๗ ก็เป็นอย่างนี้พระเจ้าจักรพรรดิ์ที่ ๗ เมื่อออกผนวช และมอบพระราชสมบัติแก่พระราชโอรสแล้ว จักรแก้วก็อันตรธานหายไป พระอำมาตย์ราชบริพารก็ถวายคำแนะนำเรื่องวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ์

ความผิดพลาดในพระราชาองค์ที่ ๘
พระราชาสดับแล้ว ก็ทรงจัดการรักษาคุ้มครองอันเป็นธรรม แต่ไม่พระราชทานทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์ (ในข้อนี้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันก็คือไม่จัดการด้านสังคมสงเคราะห์ ไม่มีการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) ความยากจนก็ไพบูลย์

เมื่อความยากจนไพบูลย์ คนก็ลักทรัพย์ของผู้อื่น ราชบุรุษจับได้ก็นำมาถวายให้ทรงจัดการ เมื่อทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ และทราบว่าเพราะไม่มีอาชีพ ก็พระราชทานทรัพย์ให้ไปเลี้ยงตนเลี้ยงมารดาบิดา บุตรภรรยาประกอบการงานและบำรุงสมณพราหมณ์

ต่อมามีคนลักทรัพย์ของผู้อื่นและถูกจับได้อีก ทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์อย่างเดิม ก็พระราชทานทรัพย์อีกข่าวก็ลือกันไปว่า ถ้าใครลักทรัพย์ก็จะได้พระราชทานทรัพย์ คนก็ปรารถนาจะลักทรัพย์มากขึ้น

ต่อมา ราชบุรุษจับคนลักทรัพย์ได้อีก แต่คราวขึ้นพระราชาทรงเกรงว่า ถ้าพระราชทานทรัพย์การลักทรัพย์ก็จักเพิ่มขึ้น จึงตรัสสั่งให้มัด โกนศรีษะ พาตระเวนไปตามถนนหนทาง ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว นำออกทางประตูพระนครด้านใต้ ปราบกันอย่างถอนราก ตัดศรีษะเสีย

เมื่อมนุษย์ได้ทราบข่าว ก็พากันสร้างศัสตราอันคมขึ้น และคิดว่าถ้าลักทรัพย์ใครก็จะต้องตัดศรีษะเจ้าทรัพย์บ้าง จึงเกิดการปล้นหมู่บ้านนิคมนครและการปล้นในหนทาง

อายุลด..อธรรมเพิ่ม
จากการที่ไม่ให้ทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ก็มากด้วยความยากจน มากด้วยการลักทรัพย์ มากด้วยการใช้ศัสตรา มากด้วยการพูดปด อายุและผิวพรรณของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมลง คือมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี บุตรมีอายุเพียง ๔ หมื่นปีและลดลงเรื่อยๆ

ในเมื่อความชั่วเกิดมากขึ้น เช่น การพูดเท็จอย่างจงใจ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒,๕๐๐ มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือ โลภอยากได้ของเขา และพยาบาทปองร้ายเขา เมื่ออายุลดลงมาถึง ๑ พันปี มากไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากคลองธรรม

เมื่ออายุลดลงมาถึง ๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ
๑. ความกำหนัดที่ผิดธรรม (อะธัมมะราคะ)
๒. ความโลภรุนแรง (วิสะมะโลภะ)
๓. ธรรมะที่ผิด (อรรถกถาอธิบายว่า ความกำหนัดพอใจผิดปกติ เช่น ชายในชาย หญิงในหญิง)

เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒๕๐ ปี มากไปด้วยธรรม คือการไม่ปฏิบัติในมารดา, บิดา,ในสมณะ, ในพราหมณ์, การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เมื่อเสื่อมลงอย่างนี้ทั้งอายุและผิวพรรณ มนุษย์มีอายุ ๒๕๐ ปี บุตรก็มีอายุเพียง ๑๐๐ ปี

เหลืออายุ ๑๐ ปี เกิดมิคสัญญี
จักมีสมัยที่บุตรของมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญิงสาวอายุ ๕ ปี ก็มีสามีได้
- รสเหล่านี้จะอันตรธานไป คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย รสเค็ม
- เมล็ดพืช ชื่อกุทรุสกะ (ไทยแปลกันว่าข้าวหญ้ากับแก้) จะเป็นโภชนะอันเลิศเสมือนหนึ่งข้าวสุกแห่งข้าวสาลีและเนื้อสัตว์เป็นโภชนะอันเลิศในสมัยนี้ (คือของเลวสมัยนี้กลายเป็นของดีในสมัยที่เสื่อม)

- กุสะละกัมมะบถ (คือของเลวสมัยนี้กลายเป็นของดีในสมัยเสื่อม) ; กุสะละกัมมะบถ (ทางแห่งกุศล) ๑๐ ประการ จะอันตรธาน อะกุสะละกัมมะบถ (ทางแห่งอกุศล) ๑๐ ประการจะรุ่งเรืองยิ่ง ;
- แม้คำว่ากุศลก็ไม่มี ผู้ทำกุศลจะมีแต่ที่ไหน ;

- การไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในสมณะในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล จะได้รับการบูชา สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับปัจจุบันนี้;

- จะไม่มีคำว่า มารดา, น้า, บิดา, ป้า, อา, ภริยาของอาจารย์, ภริยาของครู. โลกจะเจือปนกันเหมือนสัตว์ เช่น แพะ ไก่ สุกร; จักมีอาฆาต, พยาบาท, มุ่งร้ายกัน, คิดฆ่ากันอย่างรุนแรง, แม่คิดต่อลูก ลูกคิดต่อแม่,พ่อคิดต่อลูก ลูกคิดต่อพ่อ, พี่ชายคิดต่อน้องหญิง น้องหญิงคิดต่อพี่ชาย.

จะเกิดมีสัตถันตรกัปป์ ๒ คือ ๑ กัปป์ที่อยู่ในระหว่างศัสตรา ๗ วัน

๒. คำว่า "สัตถันตรกัปป์" นี้ อรรถกถาอธิบายว่า อันตรกัปป์ที่พินาศในระหว่าง คือโลกยังไม่ถึง

สังวัฏฏกัปป์ ก็พินาศด้วยศัสตราเสียในระหว่างอันตรกัปป์มี ๓ อย่าง คือ
"ทุพภิกขันตรกัปป์" กัปพินาศในระหว่างเพราะอดอาหาร
"โรคันตรกัปป์" กัปป์พินาศในระหว่างเพราะโรค
"สัตถันตรกัปป์" กัปป์พินาศ ในระหว่างศัสตรา เป็นผลแห่งกรรมชั่วของมนุษย์คือถ้าโลภจัด ก็พินาศเพราะอดอาหาร

หลงจัด ก็พินาศเพราะโรค ถ้าโทสะจัด ก็พินาศเพราะศัสตรา

คนทั้งหลายจะมีความสำคัญในกันและกันว่าเป็นเนื้อ (มิคสัญญา๓) จะมีศัสตราอันคมเกิดขึ้นในมือ ฆ่ากันและกันด้วยสำคัญว่าเนื้อ.

กลับเจริญขึ้นอีก
มีบุคคลบางคนหลบไปอยู่ในป่าดง พงชัฏ กินเหง้าไม้ ผลไม้ในป่าเมื่อพ้น ๗ วันแล้ว ออกมาก็ดีใจร่าเริงที่รอดชีวิต จึงตั้งใจทำกุศลกรรม ละเว้นการฆ่าสัตว์ และบำเพ็ญกุศลกรรม ละเว้นอกุศลกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อายุก็ยืนขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๘ หมื่นปี.

พระเจ้าจักรพรรดิ์อีกพระองค์หนึ่ง
เมื่อมนุษย์มีอายุยืน ๘ หมื่นปีนั้น หญิงสาวอายุ ๕ พันปี จึงมีสามีได้. มนุษย์จะมีโรคเพียง ๓ อย่าง คือ
๑. ความปรารถนา (อยากอาหาร)
๒. ความไม่อยากกินอาหาร (เกียจคร้านอยากนอน)
๓. ความแก่. ชมพูทวีปนี้จะมั่งคั่งรุ่งเรือง มีคามนิคมราชธานีแบบไก่บินถึง (ใกล้เคียงกัน) ยัดเยียดไปด้วยมนุษย์.

กรุงพาราณสี จะเป็นราชธานีนามว่า "เกตุมตี" อันมั่งคั่ง มีคนมากอาหารหาง่าย. จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์พระนามว่า "สังขะ" เป็นพระราชาผู้ปกครองโดยธรรม มีชัยชนะจบ ๔ ทิศ ปกครองชนบทถาวรสมบูรณ์ด้วยรัตนะทั้งเจ็ด.

พระเมตไตรยพุทธเจ้า
เมื่อมนุษย์มีอายุยืน ๘ หมื่นปีนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย จักบังเกิดในโลกเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้) จรณะ (ความประพฤติ) เป็นต้น แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ บริหารภิกษุสงฆ์มีพันเป็นอเนกเช่นเดียวกับที่เราบริหารภิกษุสงฆ์มีร้อยเป็นอเนก. พระเจ้าสังขะ

๓. คำว่า "มิคสัญญา" แปลว่า ความสำคัญกว่าเนื้อ ถ้าใช้เป็นคุณศัพท์ ก็ใช้ว่า "มิคสัญญี" แปลว่า ผู้มีความสำคัญกว่าเนื้อ

จักรพรรดิ์จักให้ยกปราสาทที่ "พระเจ้ามหาปนาทะ" ให้สร้างขึ้น ครอบครอง แจกจ่ายทาน และออกผนวชในสำนักพระเมตไตรยพุทธเจ้า ในไม่ช้าก็จะทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมด้วยความรู้ยิ่งด้วยพระองค์เอง (คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์).

ครั้นแล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายพึ่งตน พึ่งธรรม เจริญสติปัฏฐาน๔ และสอนให้ท่องเที่ยวไปในโคจรของบิดา (ดำเนินตามพระองค์) ก็จักเจริญด้วยอายุ วรรณะ (ผิวพรรณ) สุข โภคะ (ทรัพย์สมบัติ) และพละ (กำลัง).

๑. ทรงแสดงการเจริญอิทธิบาท (คุณให้บรรลุความสำเร็จ) ๔ปราการ ว่าเป็นเหตุให้ดำรงอยู่ได้ตลอดกัปป์หรือว่ากัปป์.
๒. ทรงแสดงการมีศีล สำรวมในปาฏิโมกข์ (ศีลที่เป็นประธาน) ว่าเป็นเหตุให้มีวรรณะ.
๓. ทรงแสดงการเจริญฌานทั้งสี่ ว่าเป็นเหตุให้มีสุข.
๔. ทรงแสดงการเจริญพรหมวิหาร ๔ ว่าเป็นเหตุให้มีโภคะ (ทรัพย์สมบัติ).
๕. ทรงแสดงการทำให้แจ้งเจโตวิมุติ (ความหลุดพ้นเพราะสมาธิ)ปัญญาวิมุติ (ความหลุดพ้นเพราะปัญญา) อันไม่มีอาสวะอยู่ในปัจจุบันว่าเป็นเหตุให้มีพละ (กำลัง)

ตรัสในที่สุดว่า ไม่ทรงเห็นกำลังอย่างอื่นสักอย่างหนึ่งที่ครอบงำได้ยากเท่ากำลังของมาร. เพราะสมาทานกุศลธรรม บุญก็จะเจริญยิ่ง.

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตาม "อายุขัยของมนุษย์" กันต่อไป )))


webmaster - 1/6/10 at 10:03

30


อายุขัยของมนุษย์


(ภาพ : bloggang.com)

.......เมื่อพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้หลายพระองค์ที่ผ่านมา หลายคนอาจมีความ สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ก่อนจะอธิบายประวัติของพระพุทธเจ้าให้ท่านได้รู้ จำเป็นต้องอธิบายในความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ให้เข้าใจ เพราะพระพุทธเจ้าที่ได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้ มนุษย์มีอายุขัยแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เท่ากัน

......บางยุคมนุษย์มีอายุขัยน้อย บางยุคมีอายุขัยมากไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าก็ต้องมีอายุขัยที่เป็นไปใน หมู่มนุษย์ตามยุคนั้นๆ อายุขัยของหมู่มนุษย์ไม่เท่ากัน เพราะเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติต้องเป็นอย่างนี้

......มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้อาจไม่รู้หรือไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ถึงอย่างไรขอให้ท่านได้พิจารณา ด้วยปัญญาที่มีเหตุผล อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา ถ้าผู้ได้ศึกษาหนังสือ "พุทธวงศ์" จะรู้ในเรื่องของพระพุทธเจ้าแต่ละยุคได้ดีและมีความเข้าใจในอายุขัยของ หมู่มนุษย์ในยุคนั้นๆ

......อายุขัยของมนุษย์แต่ละยุคไม่เท่ากัน ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น ในบางยุคมนุษย์มีอายุขัย ขาลงมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นมีอายุขัยขาลงเป็นอย่างไรท่านจะได้รู้ในหนังสือเล่มนี้ พระพุทธเจ้าที่มา อุบัติเกิดขึ้นในโลกก็จะอธิบายเอาไว้พอเป็นตัวอย่าง คำว่า มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้นและขาลงมีเพดาน กฎเกณฑ์เอาไว้ดังนี้

.....มนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น หมายถึง ยุคมนุษย์ที่มีอายุขัยยาวนานที่สุด ๑ ล้านปี เป็นอายุขัย อายุขัยของมนุษย์ขาลงต่ำสุดมี ๑๐ ปีเป็นอายุขัย... อายุขัยขาขึ้นและขาลงจะเป็นกฎธรรมชาติในตัวมันเอง มนุษย์ทั้งหลายจะมีอายุขัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ของธรรมชาตินี้ด้วยกัน

......เรียกว่ากฎเกณฑ์ของอายุขัย ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้เลย มนุษย์และสัตว์ จะเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นวัฏจักรหมุนเวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาขึ้น รูปร่าง สูงใหญ่ไปตามอายุขัยที่มากขึ้น เมื่อมนุษย์มีอายุขัยขาลง รูปร่างก็เตี้ยและเล็กลงตามอายุขัยในยุคนั้นๆ

.....การคำนวณอายุขัยของมนุษย์ขาขึ้นและขาลงมีดังนี้ สมมติว่ามนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย อีก ๑๐๐ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีเป็นอายุขัย อีก ๑๐๐ ปี อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๒ ปีตาย ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่ม ๑ ปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์จะมีอายุขัย ๒๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย ๑ พันปีตาย ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย นี้เป็นเพดานสูงสุดในอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆ

.....จากนั้นก็จะเกิดอาเพท มีความประมาทในชืวิต อายุขัยก็จะถอยกลับลงมา ๑๐๐ ปี อายุขัยของ มนุษย์จะลดลง ๑ ปี ๑๐๐ ปีอายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนอายุขัย ๑ แสนปี ๑ หมื่นปี ๑ พันปี ๑๐๐ ปี และลงสู่อายุขัย ๑๐ ปี ซึ่งจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่อย่างนี้ เรียกว่า วัฏจักรอายุขัยของหมู่มนุษย์ทั้งหลาย

.....ในหลักธรรมชาตินี้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นได้รู้ด้วยญาณของพระองค์เอง จึงเป็นโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อย่างเปิดเผยด้วยญาณรู้ของพระองค์ นี่ก็เป็นหลักสัจธรรมที่เป็นจริง เราทั้งหลายควรศึกษาให้รู้เอาไว้ หรือเอามาเป็นอุบายสอนใจตัวเองว่า วัฏจักรของชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีสิ่งใดถาวรเที่ยงแท้แน่นอนได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ด้วยกันทั้งนั้น

.....มีเหตุผลประกอบอีกเรื่องเกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์ที่มีขาขึ้นขาลง ในหลักของพระพุทธศาสนา จะอธิบายเรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ให้เราได้ศึกษาเอาไว้เพื่อประกอบการวินิจฉัยในอายุขัย ของหมู่มนุษย์ทั้งหลายที่ผ่านมา ให้รู้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นเป็นอย่างไร

.....พระพุทธเจ้าที่อุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้มีจำนวนมาก พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น แต่ละองค์มาตรัสรู้เป็นเวลาห่างกันมาก ในภัทรกัปหนึ่งๆ มีเวลายาวนาน ถึงจะมีภัทรกัปเท่ากัน ในบางภัทรกัปพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑ องค์ เมื่อโปรดสัตว์แล้วก็นิพพาน ต่อจากนั้นก็จะเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพุทธศาสนาเป็นเวลาอันยาวนาน ในบางภัทรกัปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ องค์ ความว่างเป็นสุญกัปก็น้อยลง

ขอยกตัวอย่างใน "ภัทรกัป" ปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ร่วมสมัยมี ๕ พระองค์ด้วยกัน แต่ละพระองค์ ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้มีอายุขัยไม่เท่ากัน

.....พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ พระกกุสันโธ พระองค์ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ช่วงนั้นมนุษย์ มีอายุขัย ๔ หมื่นปี เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน จากนั้นมาเป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นมี ๔ หมื่นปี ๑๐๐ ปีอายุขัยของมนุษย์ดลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ จนถึงมนุษย์ในยุคต่อมา มีอายุขัย ๓ หมื่นปี ในยุคนี้มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ พระโกนาคม ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

.....จากนั้นมาก็เป็น "สุญกัป" เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑๐๐ ปี อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ ในยุคต่อมามนุษย์มีอายุขัย ๒ หมื่นปี ในยุคนั้นมี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ "พระกัสสโป" ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้ว ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี จนถึงอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย ในยุคนี้ มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน) ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

.....พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้วางศาสนาต่อเอาไว้อีก ๕ พันปี ขณะนี้พระพุทธศาสนามาถึง ๒๕๕๓ ปี อีก ๒๔๔๗ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกนี้ จากนั้นจะเป็น "สุญกัป" เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนายาวนาน

.....คำว่า "ว่าง" คือไม่มีใครรู้ในพุทธวจนะ ไม่รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง
ถึงพระพุทธศาสนาจะหมดไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สัจธรรมคือความจริงยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้ เหมือนยุคสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ในยุคนั้นมีสัจธรรมอยู่ประจำโลก แต่ก็ไม่มีใครรู้

.....เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงนำเอาสัจธรรมคือความจริงนั้นๆ มาประกาศให้คนได้รู้ในภายหลัง เป็นอันว่าในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้โปรดสัตว์แล้ว ๔ พระองค์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอาริยเมตไตย ยังไม่มาอุบัติในช่วงนี้)

......กฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าจะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ จะมีอยู่ในช่วงอายุขัยของมนุษย์ขาลงเท่านั้น และอายุขัยของมนุษย์ไม่เกิน ๑ แสนปี และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี

.....จากนี้ไป อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุขัย ๕๐ ปี พระพุทธศาสนาก็จะสิ้นสุดลง นับจากนี้ไปอีก ๖ พันกว่าปี มนุษย์จะมีอายุขัย ๑๐ ปีตาย ในยุคนั้น หนุ่มสาวจะแต่งงานกันเมื่ออายุ ๓ ปี ตั้งครรภ์ ๓ เดือน นับจากวันนี้ไปถึงวันนั้นยาวนาน มนุษย์ทั้งหลาย ทั่วโลกจะมีอายุขัยในช่วงเดียวกันทั้งหมด นี้เป็นหลักพุทธศาสตร์

......ถ้าหากชาวพุทธได้ศึกษาในพระพุทธศาสนาดีแล้วจะรู้เรื่องนี้ดี ที่พวกฝรั่งจะทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวออกไปนั้น เป็นความคิดความเห็นของท่านเหล่านั้น เมื่อหลักพุทธศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ตรงกันอย่างนี้ เราจะเชื่อฝ่ายไหน ให้เราวินิจฉัยใช้สติปัญญาคิดพิจารณาในเหตุผลและตัดสินใจเชื่อด้วยตัวเองก็แล้วกัน

.....เมื่อถึงยุคมนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย จะเกิดกลียุค เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมยุคใหม่ เป็นสังคมมนุษย์ที่มีอายุขัยขาขึ้น ก่อนจะเกิดสังคมมนุษย์ในยุคใหม่จะเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ในยุคนั้นๆ ทุกคนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงฆ่ากันด้วยอาวุธต่างๆ เห็นกันอยู่ที่ไหนจะฆ่ากันในทันที ไม่มีใครยอมใคร ผัวเมียและทุกๆ คนจะมีความเห็นว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

......ก่อนที่จะเกิดกลียุคประมาณ ๑๐ ปี จะมีเทพอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะมาสืบทอดสังคมในยุคนั้น จะพากันลงมาเกิดในสังคมที่มีอายุขัย ๑๐ ปีนี้มากมาย แล้วจึงได้เกิดกลียุคขึ้น กลุ่มเทพที่เกิดมาก็พากันหลบหนีไปอยู่ที่ปลอดภัย ปล่อยให้พ่อแม่ญาติทั้งหลายฆ่ากันตายหมดแล้ว จะมีฝนตกลงมาชะล้างซากศพ

......คราบเลือดกลิ่นคาวที่ตกค้างในผืนแผ่นดินไหลลงสู่มหาสมุทรสุดสาครจนหมดสิ้น จากนั้นจะมีลมพัดพาเอาแก่นคู่แก่นจันทร์อันเป็นทิพย์ ที่หอมอบอวลลงมาจากสวรรค์โปรยลงมาเป็นบรรยากาศที่บริสุทธิ์ พร้อมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์ในสมัยครั้งนั้น

.....จากนั้น หนุ่มสาวทั้งหลายที่ไปหลบภัยกลียุคในป่าเขา ก็พากันออกมาสู่สถานที่เดิมเป็นหมู่ใหญ่และมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีคุณธรรมด้วยกัน จึงจัดตั้งหัวหน้าเป็นผู้นำทำพิธีจัดคู่หนุ่มสาวเหล่านั้นให้เป็นผัวเมียกันตามประเพณีในยุคนั้น แล้วพากันรักษาศีลกรรมบถ ๑๐ อย่างสมบูรณ์เคร่งครัด (ศีลกรรมบถ ๑๐ แบ่งเป็น ๓ หมวด ๑. กายกรรม ๓ , ๒. วจีกรรม ๔ , ๓. มโนกรรม ๓)

.....ลูกหลานที่เกิดมาก็พากันรักษาศีลกรรมบท ๑๐ สืบทอดต่อกันมายาวนานถึง ๑๐๐ ปี จากนั้นอายุขัยได้เพิ่มขึ้น ๑ ปี เป็น ๑๑ ปีตาย ๑๐๐ ปีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปีเป็น ๑๒ ปีตาย อายุขัยเพิ่มขึ้น ๑ ปีต่อ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์มีอายุขัยเพิ่มขึ้น ๒๐ ปีตาย ๕๐ ปีตาย ๑๐๐ ปีตาย ๑ พันปีตาย ๑ หมื่นปีตาย ๑ แสนปีตาย ๑ ล้านปีตาย

......เมื่อมนุษย์มีอายุขาขึ้นนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้เลย ให้เราคิดคำนวณดูเองว่า นับแต่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีตาย ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนมนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี ให้เราคิดคำนวณดูว่ามีความยาวนานกี่ปี ในช่วงนี้จะเป็น "สุญกัป" เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนายาวนานทีเดียว สังคมมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกันอย่างมีสุขในยุคนั้นๆ

.....เมื่อถึงยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑ ล้านปี จะเกิดอาเพศเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตอันเป็นอยู่ที่ยาวนาน มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ชีวิตจึงได้เกิดความแปรผันลดลง ๑๐๐ ปี อายุขัยลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ เป็น ๙ แสนปีตาย ๘ แสนปีตาย ๑ แสนปีตาย

.....ในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย ๑ แสนปี จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ได้ ถ้าอายุขัยของมนุษย์เกิน ๑ แสนปีขึ้นไป จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้แต่อย่างใด ถือว่ามนุษย์ในยุคนั้นยังมีความเพลิดเพลินในความเป็นอยู่ของชีวิต มีความสุขสบายในลาภ ยศ สรรเสริญ และมีความสุขในกามคุณ ไม่มีความทุกข์ใดๆ ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น.

ที่มา - watsanfran.com

◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตาม "ยุคศาสนาพระศรีอาริยเมตไตย" กันต่อไป )))


webmaster - 13/6/10 at 08:43

31

ยุคศาสนา "พระศรีอาริยเมตไตรย์" (บทความต่อจากตอนที่แล้ว)


........จากนั้นอายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ลดลงจนอายุ ๘ หมื่นปีเป็นอายุขัย ในช่วงนี้เองพระศรีอาริยเมตไตรย์จะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาแล้ว ก็จะได้มาเกิดในยุคนี้ทั้งหมด หรือผู้ได้บำเพ็ญบุญบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นที่ผ่านมา มีความปรารถนาขอให้เกิดร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ก็จะได้มาเกิดร่วมกันในยุคนี้ทั้งหมด

.......แล้วจะได้ฟังธรรมจากพระศรีอาริยเมตไตรย์ จนได้เกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ในสัจธรรมตามความเป็นจริง ผู้ทีบารมียังไม่สมบูรณ์ ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบัน ขั้นพระสกิทาคามี ผู้มีบารมีมากก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อถึงกาลเวลาก็จะได้นิพพานในชั้นพรหมนี้ต่อไป เมื่อผู้มีบารมีที่สมบูรณ์แล้วก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงพระนิพพานตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปในกาลครั้งนั้น

......ในยุคนั้น พระศรีอาริยเมตไตรย์ไม่ได้วางศาสนาเอาไว้เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพราะผู้มีบารมีที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้บรรลุธรรมตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปทั้งหมดแล้ว เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ได้บรรลุธรรมตามพระศรีอาริยเมตไตรย์ไปก็เป็นได้

.....ในยุคปัจจุบันนี้มีผู้ปรารถนาไปเกิดร่วมศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นจำนวนมาก ขอให้สมปรารถนาในหมู่ศรัทธาทั้งหลายด้วย แต่ทว่า..เพียงปรารถนาอย่างเดียวไม่บำเพ็ญบารมีไว้ ก็จะไม่สมความปรารถนาแต่อย่างใด จงพากันบำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เข้าไว้ หรือภาวนาปฏิบัติให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ให้ถูกต้อง

..... เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ผ่านมาจนถึงองค์ปัจจุบัน และพระศรีอาริยเมตไตรย์ หรือพระพุทธเจ้าที่จะได้มาอุบัติเกิดขึ้นในอนาคตภายภาคหน้า หลักคำสอนก็จะเริ่มต้นจาก "สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ" ด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นการเริ่มต้นในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง.



"ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง"


(ภาพจาก learners.in.th)

......โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติเป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่ภัยธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์

......แต่อีกไม่นานนัก เมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้นในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด

......ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภับธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ เมื่อโลกนี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นในสถานที่มีมนุย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก

......ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่
อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป จะทำให้มนูษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซนต์ของประชากรโลก แล้วเริ่มตันชีวิตใหม่ โดยไม่มีวิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน

......ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องต่อกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไปเจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า


.....ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น

๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย


....ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้นอยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียวทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิดขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆเป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วาตภัย" เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหารจากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

....นี้เป็นส่วนหนึ่งที่วาตภัยทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนานต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบจากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเลก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ

....วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเล ไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่างของตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆจะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่นทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัยจะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

....ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง จะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะมีความทุกข์เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก เพราะบ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้ ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

....วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรง ลมก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สินทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว

....ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ พอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆ ได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบ ก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องบริโภค เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้

....ความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกันหรือได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้องให้ใครๆ มาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์ อย่างนี้นับแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้
ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัยธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุกมุมโลกทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน

....เครื่องบินที่เคยเหาะเหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย รถเรือที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อกันไม่ได้เลย



..... วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย .....


(ภาพจาก i193.photobucket.com)

....วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากาศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้งเครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความแปรปรวน

....ถ้าเครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้วหมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน

....ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็ก ก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง ถึงเครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแส จนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบิน
ในโลกนี้ก็ต้องหยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

....ดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมาก ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสารจะทำงานไม่ได้

....ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ จะไม่มีใครๆ ขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียมก็จะมีปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้

.....เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

....กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสารจากภัยธรรมชาติต่างๆ ก็จะหยุดตัวลงทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

....ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง เมื่อครบวงจรของเปลือกโลกเสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้

....ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความทุกข์เดือดร้อนไปตามๆ กัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น


(ภาพจาก atom.rmutphysics.com)

๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นภิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่าลมประทุให้หินในพื้นภิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล

....ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหวจะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็นอย่างมาก อาคารต่างๆก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆช่วยกันได้

....การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่องอย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป ในเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้

....ความเป็นไปในลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นภิภพต้องเป็นอย่างนี้

....ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นภิภพเสื่อมอยู่ใรท่ามกลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่าแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิดระเบิดอย่างกว้างขวาง หลายๆ ประเทศจะได้รับผลกระทบตายเป็นจำนวนมาก

.....เมื่อชั้นหินได้แยกออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นภิภพเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัยในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่เรียกว่า "สึนามิ" นั้นเอง

....ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นภิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้น ในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหาก มีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นภิภพ น้ำทะเลเดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร

.....เครื่องเตือนภัยสื่อสาร กับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิดความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย

.....และภัยต่างๆ ก็จะเกิดตามมา เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มีหมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้ ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร..?

ที่มา - watsanfran.com


◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอน " ไฟบรรลัยกัลป์" ต่อไป )))


webmaster - 21/6/10 at 11:08

32

.....ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ทั้งตามหลักของพระพุทธศาสนามาแล้ว ในตอนนี้อยากจะขอนำเรื่องราวความรู้ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" มาให้อ่านกัน ท่านได้ชี้แจงเรื่องแบบนี้ไว้ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คิดว่าคงจะเป็นความรู้อีกมุมหนึ่งของท่าน กรุณาอย่านำไปอ้างอิงหรือเปรียบเทียบ หรือคัดลอกออกไปโพสต์ให้เกิดข้อขัดแย้งกัน ถือว่าเอามาอ่านให้เล่นเป็นแค่เกล็ดความรู้เท่านั้น.



"ไฟบรรลัยกัลป์"


ผู้ถาม "หลวงพ่อคะ ที่ว่ามีไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดอย่างไรคะ....?"

หลวงพ่อ "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย

ตอนนี้เกิด "มิคสัญญี" ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง

ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพุด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนเขียนเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึง "ภควพรหม" ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่าไฟอะไรจะดันไปไหม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี

เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ

เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร

เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี

คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที"



พระพุทธศาสนาภายหลัง ๕,๐๐๐ ปี

ผู้ถาม "หลวงพ่อขอรับ ผมอยากทราบว่า พระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็น "มหาทุคคตะ" นั้นท่านทำกรรมอะไร...ทำไมถึงยากจน เพราะคำว่า โพธิสัตว์ น่าจะร่ำรวยนี่ขอรับ?

ผู้ถาม "มีด็อกเตอร์คนหนึ่งนะคะพูดว่า ศาสนาพุทธนี่มีอายุไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เพราะขณะนี้ทางเบื้องบนตกลงไว้ว่าจะมีการชำระล้างกันก่อน เพราะว่าเวลานี้คนบาปมากเพื่อว่าจะได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ทีนี้ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นไปตามนั้นคะ....?"

หลวงพ่อ "ปัญหานี่ดี.. แต่ฉันว่าไม่มีหรอก พระพุทธศาสนาต้องทรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ฉันขอยืนยัน ถ้าใครไม่เชื่อจงอย่าตายนะ รอไปถึงเวลานั้น นี่เขาคงเดาเอาน่ะ พระพุทธดำรัสมีอยู่คือว่า

* พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
* พันปีที่ ๒ จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
* พันปีที่ ๓ คือระหว่างนี้จะมากไปด้วย เตวิชโช
* พันปีที่ ๔ จะมากไปด้วยสุกขวิปัสสโก และ
* พันปีที่ ๕ จะมากไปด้วยอนาคามี


คำว่า "มาก" หมายความว่า พวกนี้จะมากกว่าส่วนอื่นที่มีอยู่ แต่เวลานี้พวกปฏิสัมภิทาญาณก็มี อภิญญาหกก็มี แต่พวกวิชชาสามมีมากกว่า

อย่างพันปีที่ ๔ พวกสุกขวิปัสสโกมาก แต่ว่าปฏิสัมภิทาญาณก็ดี อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี เขาก็ยังมีอยู่

อย่างพันปีที่ ๕ พระอนาคามีมีมาก แต่ว่าพระอรหันต์ทั้ง ๔ พวกนี้ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่วางพื้นฐานส่งเดช และที่เขาว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาใครล่ะมา พระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ไม่มา ไม่เชื่อไปถามท่านซิ"


ผู้ถาม "หลวงพ่อคะ ถ้าหากว่าคนไปนิพพานหมด โลกนี้ก็จะร่อยหรอด้วยคนซิคะ.....?"

หลวงพ่อ "ไม่มีทาง พระพุทธเจ้ามาอีกแสนองค์ก็ยังไม่ร่อยหรอเลย เพราะคนที่พยายามคอยเกิดบนโลกนี้มีมากต่อมาก"

ผู้ถาม "คือคิดดูในปัจจุบันนี้ว่าคนมีปริมาณน้อยค่ะ "
หลวงพ่อ "ไอ้ที่ว่าเห็นน้อยก็เพราะว่าเขาไปเสวยทุกข์ในนรกกันมาก ยิ่งต้นกัปคนก็ยิ่งน้อย เพราะต้นกัปพวกที่มีบาปขึ้นมาไม่ได้เลย ลงมาแต่พวกพรหม หลังจากนั้นเลยมาอีกหน่อย ก็มาแต่พวกเทวดา

ฉะนั้นในยุคต้นๆ ของกัปเขาจึงมีความสุขกันมากการรบราฆ่าฟันกันไม่มี ความเป็นอยู่เป็นสุข ทรัพย์สมบัติก็สมบูรณ์บริบูรณ์ อายุเขาจึงยืนนาน ต้นกัปคนมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปีเพราะเขาไม่มีโทษปาณาติบาต

แล้วต่อมาพวกมี่มีบุญน้อยลดตัวลงมาก็หมายถึงพวกเทวดา พวกเทวดาหรือพรหมนี่ เมื่อหมดจากบุญวาสนาบารมีเดิม กรรมที่เป็นอกุศลเริ่มให้ผล อายุมันก็ลดลงบ้าง ๑๐๐ ปี ลง ๑ ปี

ต่อมาในยุคนี้สัตว์ในอบายภูมิขึ้นมาเกิดมาก โลกจึงมีแต่ความเร่าร้อน เวลานั้นเขาไม่มีสงคราม ต้นกัปจริงๆ เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีผู้ปกครองโลก ปกครองประเทศอยู่กันด้วยความสุข"

ถ้าพระโพธิสัตว์รวยอย่างเดียวก็โง่ เวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าก็เทศน์สอนเขาไม่ได้ ต้องจนมากมาก่อน ทดลองก่อนนะ ถ้าจะเล่าให้ฟังเล่าไม่ได้ เพราะบาลีตอนนั้นท่านไม่ได้บอกนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้

เป็นอันว่ากฏของกรรมบางอย่าง บางชาติอาจจะเป็นคนขี้เหนียว คนที่จนเพราะขาดการให้ทาน โกงเขา แต่พระโพธิสัตว์คงไม่โกง แต่ว่าอาจจะผ่านมาเป็นพัน ๆ ชาติก็ได้ กรรมประเภทนี้ไม่ใช่ทำชาตินี้ ชาติหน้ารับผล มันไม่ได้ กรรมบางอย่างต้องรอ เป็นพันชาติก็มี ตามไม่ทัน

คือว่าก่อนที่จะรู้จักบุญกุศลมันทำมาแล้ว ก่อนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ลองคิดดู ยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ แต่กรรมประเภทนั้นยังไม่มีผลและทำทุกชาติ ทำกี่อย่างกี่ครั้ง แต่ละคราวจะให้ผลไม่เสมอกัน ไม่พร้อมกัน



ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์

ผู้ถาม : "กระผมได้ยินมาว่าเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ก็จะมีศาสนาของพระศรีอาริยเมตตรัย สืบต่อจากศาสนานี้ใช่ไหมครับ"

หลวงพ่อ : "หมายความว่า เมื่อสิ้นศาสนา ๕,๐๐๐ ปีแล้วใช่ไหม แล้วพระศรีอาริยเมตตรัยจึงมาตรัส"

ผู้ถาม : "ใช่ครับ"

หลวงพ่อ : "ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ถ้าศาสนานี้ครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว พระศรีอาริยเมตตรัยยังไม่มาตรัส จะต้องว่างจากพระพุทธศาสนาไปหนึ่งพุทธันดรก่อน แต่ว่าในช่วงที่ว่างพระพุทธเจ้านี่ก็จะมี พระปัจเจกพุทธเจ้า ขึ้นมาแทน

สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ต่ำกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วก็ทรงสอนคนตั้งแต่อันดับต้นให้รู้จักการให้ทาน ให้รู้จักการรักศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนาให้รู้จักการครองเรือนให้อยู่เป็นสุข และให้รู้จักการปฏิบัติตนให้เข้าถึงกามาวจรสวรรค์ ให้เข้าพรหมโลก ให้เข้าถึงพระนิพพาน

สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เช่นนั้น ท่านตรัสแล้วท่านก็เฉยๆ หากว่าจะสงเคราะห์กันก็สงเคราะห์ในขั้นต้น คือ ทานกับศีล ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อเวลากาลล่วงไปหนึ่งพุทธันดร อาตมาตอบไม่ได้นะว่ากี่ปี ถ้าจะให้รู้กันจริงๆ คุณก็จงอย่าตายนะ อยู่ไปจนกว่าพระศรีอาริย์จะมา อยู่ไหวไหมล่ะ...?

ผู้ถาม : (หัวเราะ) "ไม่ไหวครับ"

หลวงพ่อ : "เป็นอันว่าเมื่อครบหนึ่งพุทธันดรแล้ว พระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในกัปนี้ แต่ว่าสำหรับกัปนี้ไม่ได้มีพระพุทธเจ้าเพียง ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า หลังจากพระศรีอริยเมตตรัยมาตรัสแล้ว ยังมีพระพุทธเจ้าต่อไปอีก ๕ พระองค์ คือ ในกัปนี้ทรงพระพุทธเจ้าได้ ๑๐ พระองค์

ศาสนาพระศรีอาริย์ ท่านว่าศาสนาของท่านนั้นมีผลดังนี้

๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ของสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่า มีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย

๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่มีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหารมีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

๓. การสัญจรไปมาก็สะดวกสบาย ไปทางไหนก็พายตามน้ำ

๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้าง พอสมควร จะเข้าถึงธรรมาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยะเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงไตรสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ


ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงนะ


ผู้ถาม : "ผมอยากจะถามว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่าอะไรครับ...? "

หลวงพ่อ : "พระกกุสันโธ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสำหรับกัปนี้
แต่องค์แรกจริงๆ ไม่ใช่องค์นี้ ที่เราเรียกว่า องค์ปฐม องค์ปฐมน่ะท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก เคยถามท่านว่าใช้เวลาถอยหลังไปเท่าไร ท่านบอกว่า ให้ตั้งเลข ๕ ขึ้นมา แล้วเอาศูนย์ใส่ไป ๕๐ ตัว ได้เท่าไรบอกฉันด้วย นับเป็นอสงไขยกัปนะ ไม่ใช่นับเป็นกัปเฉยๆ อสงไขยของกัป

ถ้าจะถามว่ามากเกินไปไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มากหรอก เราต้องดูซิว่า พระพุทธเจ้าขั้นปัญญาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป

ถ้าศรัทธาธิกะ ต้องใช้เวลา บำเพ็ญบารมีถึง ๘ อสงไขยแสนกัป

ถ้าวิริยาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ไม่เท่ากัน
ทีนี้กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ากี่องค์

สำหรับ "สูญญากัป" อันตรายกัปนี่ไม่มีพระพุทธเจ้า มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า อันตรายกัปนี่เป็นกัปที่มีอันตรายมาก รบราฆ่าฟันกันเป็นประจำ มันมีแต่พวกมาจากอบายภูมิมาเกิด อันนี้เป็นเรื่องจริง บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว บางกัปมี ๒ องค์ ๕ องค์ ยังไม่เคยเจอ แต่กัปนี้มีถึง ๑๐ องค์นะ ฉะนั้นคนที่เกิดในกัปนี้เฮงที่สุด แล้วก็ซวยที่สุด"


ผู้ถาม : "เป็นยังไงครับ....?"

หลวงพ่อ : "เฮงที่สุดก็คือ เกิดมาแล้วตั้งใจทำความดี ตายไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วพระพุทธเจ้าไปเทศน์ครั้งเดียวก็เป็นพระโสดาบัน

ไอ้ซวยที่สุดก็คือ เกิดมาชาตินี้ไม่ทำความดี ตายไปก็ลงนรกลงนรกแล้วพระพุทธเจ้าอีก ๖ องค์มาตรัส นึกว่าจะเกิดมาได้พบ ไม่มีทาง อีก ๓๐ องค์ก็ยังไม่ได้พบ"


ผู้ถาม : "โอโฮ้....ทีนี้ผลต่างกันไหมครับ ที่ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีไม่เท่ากัน....?"

หลวงพ่อ : "ผลมันต่างกันแน่ อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้บำเพ็ญมีขั้นปัญญาธิกะ จะเห็นว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ละ มีการรบราฆ่าฟันกัน มีคนจน มีคนรวย

ถ้าศรัทธาธิกะละก็คนจนไม่มี มีแต่คนรวย เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก

ส่วนวิริยาธิกะละก็เพียบพร้อมไปทุกอย่าง สมัยโน้นจะหาคำว่าลำบากสักนิดไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายเกือบหาไม่ได้ ที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีมาก ก็เพื่อสั่งสมความดีให้มาก แล้วก็คนที่ไปเกิดในสมัยนั้นก็ต้องเป็นคนที่ต้องบำเพ็ญบารมีตามกันไป

พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มิใช่จะโปรดคนได้หมด ต้องโปรดคนได้เฉพาะคนที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาแต่ละชาติที่เกิดร่วมกันมา เป็นพวกเป็นพ้อง ทำอะไรก็ทำด้วยกัน เวลาทำบาปก็ทำด้วยกัน ไปสวรรค์ก็ไปด้วยกัน ไปนรกก็ไปด้วยกัน


◄ll กลับสู่สารบัญ

((( โปรดติดตามตอน "ท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องประวัติในอดีตชาติ" ต่อไป )))


webmaster - 11/7/10 at 06:16

33

......ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่านเรื่องของท่านผู้เฒ่าต่อไปนั้น บังเอิญผู้เขียนเพิ่งได้พบกับคำทำนายโบราณอีกฉบับหนึ่งในเว็บไซด์ต่างๆ จึงขอคั่นรายการนี้ก่อน เพื่อให้เรื่องราวได้ครบถ้วน โดยเฉพาะท่านที่อ่านคำทำนายของไทย, ของนอสตราดามุส, พุทธทำนายล้านนาประเทศ, และ ภัยพิบัติทำนาย "ฉบับลาว" ผ่านไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงขอนำ "คำทำนายอีสานโบราณ" มาให้อ่านดังนี้


"คำทำนายอีสานโบราณ"


นาจะเป็นบ้าน เกียจคร้านจะอดตาย

ภูเขาจะย้าย แผ่นดินจะเดิน

พระจะไม่เชื่อสมภาร พญามารจะสู้ผู้ครองเมือง

เสือเหลืองจะปล้นบ้าน ห้วยหนองคลองจะแคบ

แกลบจะมีราคา หมูหมาคนตายไม่ต้องเป็นไข้

โรคใหม่จะมากินคน ไอ้ตีนมนจะออกเขา

เสาจะกินเงิน มนุษย์เดินดินจะกินน้ำพญานาค

คนทุกข์ยากจะแห่เข้าเมือง คนนุ่งผ้าเหลืองจะเอาเมีย

คนจะเกิดเหลือน้อยลง สัตว์ป่าดงพงพีจะสูญพันธุ์

คนคุยกันจะชักหาง ขุนนางจะขอทาน

ชาวบ้านจะออกรบ ศพจะเกลื่อนเมือง


..............................................................................................................................

......นาจะเป็นบ้าน หมายความว่า เกษตรกร(นา)จะไม่มีอีกต่อไป เพราะคนสมัยนี้หันไปเรียนทางด้านวิทยาการ เป็นพนักงานบริษัท(บ้าน) โดยลืมไปว่า ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรม เมื่อคนไทยหันมาเป็นผู้บริโภคในขณะที่การผลิตข้าวและพืชผลทางการเกษตรลดลง พืชผลจะแพงหูฉี่ ตอนนี้ยังไม่เป็นไรเพราะยังมีสัดส่วนการผลิตครึ่งต่อครึ่ง แต่เมื่อใดคนทำนาลดลงมากกว่านี้ เราอาจได้เห็นข้าวถุงละห้าร้อย.

เกียจคร้านจะอดตาย หมายความว่า เมื่อสังคมมีแต่เงิน มีเงินเป็นพระเจ้า ต่างคนต่างต้องแก่งแย่งชิงดี เพื่อใดมาทุกวิถีทางซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ และอาหารการกิน แน่นอนว่าผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ผู้พิกลพิการ ตลอดจนถึงคนขี้เกียจทำงาน อาจต้องอดตายสักวันเมื่อข้าวแพงถึงจุดสูงสุด

ภูเขาจะย้าย แผ่นดินจะเดิน หมายความว่า ภูเขา เป็นตัวแทนแห่งความสูงสุด หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นประมุขของชาติ เมื่อคนไทยไร้ความสามัคคี สถาบันกษัตริย์ก็จะปลีกตัวออกไป วางอุเบกขา ไม่ยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้ประชาชนผู้มีทิฐิแตกแยกทะเลาะกัน (ดูได้แถวหน้าสภา)

พระจะไม่เชื่อสมภาร พญามารจะสู้ผู้ครองเมือง หมายความว่า ลูกน้องจะไม่เชื่อเจ้านาย ผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่เชื่อฟังหัวหน้า เมื่อมีวุฒิการศึกษาสูงต่ำทัดเที่ยมกัน ย่อมจะเกิดทิฐิมานะว่า ตูก็เก่ง จะไปฟังทำไม ประชาชนจะไม่เชื่อรัฐบาล นักเรียนจะไม่เชื่ออาจารย์ พระจะไม่เชื่อเจ้าอาวาส ความวุ่นวายจะแผ่ซ่านไปทั่วทุกหัวระแหง ด้วยกำลังแห่งทิฐิมานะของมนุษย์

เสือเหลืองจะปล้นบ้าน ห้วยหนองคลองจะแคบ หมายความว่า เมื่อประชาชนในชาติทะเลาะกัน ชาวต่างชาติย่อมกอบโกยผลประโยชน์จากการทะเลาะกันของคนในชาติ ห้วยหนองคลองบึง เป็นตัวแทนแห่งความเอื้ออารีย์ของคนไทย เมื่อห้วยหนองแคบ หมายความว่า คนไทยจะไม่เอื้ออารีย์กันเหมือนเมื่อก่อน เมื่อต่างฝ่ายต่างมีมานะทิฐิ ไม่ยอมลดราวาศอกกันเพราะกลัวเสียหน้า ความหายนะย่อมมาเยือน

แกลบจะมีราคา หมายความว่า แกลบ หมายถึง คนชั้นต่ำ มีวุฒิการศึกษาแต่ไม่มีหัวคิด ไร้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม อาศัยอำนาจของตนเองจะเป็นใหญ่ครองบ้านครองเมืองโดยไม่สนกฏหมาย ไม่สนหลักประชาธิปไตย ไม่สนใจความเดือดร้อนของใคร อาศัยทิฐิของตนเองจะเป็นใหญ่ สร้างเครดิตให้ตัวเอง ความหายนะย่อมมาเยือน

หมูหมาจะตายโดยไม่เป็นไข้ โรคใหม่จะมากินคน หมายความว่า เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน เชื้อโรคที่หลับใหลอยู่ใต้ดิน เป้นเชื้อโรคโบราณสมัยยุคดึกดำบรรพ์ ย่อมกลับมาระบาดอีกครั้ง คร่าชีวิตผู้คนในทันทีโดยไม่มีอาการป่วย ดังที่เราได้เห็นได้ยินกันในปัจจุบันนี้

ไอ้ตีนมนจะออกเขา หมายความว่า อันนี้ไม่รู้ความหมาย แต่เท่าๆที่คิดดูน่าจะหมายถึง คนที่มีความสามารถ ทนเห็นบ้านเมืองวุ่นวายไม่ไหว จึงต้องออกมาแก้วิกฤติชาติ เพราะตีนมน เป็นลักษณะเท้าของคนมีความคิดและมีความสุขุมด้วยปัญญา.

เสาจะกินเงิน หมายถึง ตู้เอทีเอ็ม มนุษย์จะเปลี่ยนจากการใช้เบี้ยในสมัยก่อน มาเป็นแบบ E-money แทน ระบบเงินจะใช้คอมพิวเตอร์เป้นหลัก

มนุษย์เดินดินจะกินน้ำพญานาค หมายถึง "ซึนามิ"

คนทุกข์ยากจะแห่เข้าเมือง ก็เห็นกันอยู่

คนผ้าเหลืองจะเอาเมีย อันนี้เห็นประจำ

คนเกิดจะเหลือน้อยลง ด้วยการคุมกำเนิด

คนคุยกันจะชักหาง หมายถึง การยกหาง หรือการยกตนข่มท่าน เมื่อมีความรู้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีการอวดโอ่ ดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่าตน

ขุนนางจะขอทาน หมายถึง ข้าราชการดีๆ จะถูกปลด ข้าราชการเลวๆ จะถูกบรรจุ คนดีไร้ที่พึ่งพิง

ชาวบ้านจะออกรบ ศพจะเกลื่อนเมือง (หวังว่าข้อสุดท้ายคงไม่จริง)

แล้วคุณล่ะครับ มีความคิดเห็นยังไงกับคำทำนายของคนโบราณ..?


บทความทั้งหมดมาจากเวป xchange.teenee.com/ putho.com/



.....นอกจากเว็บที่นำคำนายเหล่านี้มาลง ยังมีคำทำนายอื่นๆ อีก คุณ SIAM โพสในเว็บ larndham.org ดังนี้

ขั้นทำนายตามอายุพัน

......บัดนี้เฮาจักทำนายให้เห็นทางสักหน่อย พอให้ฮู้แห่งพื้นภายซ้อยศาสนาก่อนแล้ว อันว่าพันที่ ๑ นั้นคนสูงได้ ๖ ศอก

อายุยืนฮอดฮ้อยจึงเฒ่าแก่ชรา ไผผู้ทำบุญสร้างอานิสงส์มีมาก บุญหากมาซ่อยคํ้านำยู้ต่อไป ดนนานไปได้ประมาณเถิงแสนโกฏิชาติ เพราะศรัทธาแก่กล้ากระทำสร้างส่วนบุญ บ่อได้ปุนแปลงปลิ้นแปรไปทางใหม่ ทั้งผู้รับและผู้ให้ไสแจ้งดังกันแท้แล้ว

อันว่าพันที่ ๒ นั้นคนสูงได้ ๕ ศอก อายุยืนได้ ๘๐ ปีล่วงแล้วจึงเฒ่าแก่ชรา ไผผู้สร้างอานิสงส์ลดหย่อนลงแล้ว บุญจักมาส่งซ้อนซูไว้ต่อไป ดนนานได้ประมาณเถิงแสนชาติ เพราะศรัทธาบ่อกล้ากระทำสร้างส่วนบุญ เหตุบ่อปุนปลงไว้มีใจหงวยเงี่ยง ทั้งผู้รับและผู้ให้บ่อได้เที่ยงชันแท้แล้ว

อันว่าพันที่ ๓ นั้นคนสูงได้ ๔ ศอก อายุยืนได้ ๖๐ ปีล่วงแล้วจึงเฒ่าแก่ชรา ไผผู้ทำบุญสร้างอานิสงส์หลุดลงแล้ว บุญจักมาซ้อยนำยู้ต่อไป ดนนานได้ประมาณ เถิงหมื่นชาติ เพราะศรัทธาเสื่อมซ้อยถอยถ่านตํ่าลง เหตุว่าคนคราวนี้บ่อปลงใจแน่วแน่ ทั้งผู้รับและผู้ให้หวังได้แต่รวยแท้แล้ว

อันว่าพันที่ ๔ นั้นคนสูงได้ ๓ ศอก อายุยืนได้ ๕๐ ปีล่วงแล้วจึงเฒ่าแก่ชรา ไผผู้ทำบุญสร้างอานิสงส์นนับมื้อตํ่าลงแล้ว บุญหากมาซ้อยคํ้าเมื่อหน้าต่อไป

ดนนานได้ประมาณเถิงพันชาติ เพราะศรัทธาที่สร้างกุศลซ้อยเสื่อมไป เหตุว่าคนคราวนั้นมีใจเคี้ยวขุ่น ทั้งผู้รับและผู้ให้บ่อมีใผผ่องใสแท้แล้ว

อันว่าพันที่ ๕ นั้นคนสูงได้ ๒ ศอก อายุยืนได้ ๔๐ ปีล่วงแล้วจึงเฒ่าแก่ชรา ไผผู้ทำบุญสร้างอานิสงส์ยิ่งต้อยตํ่าลงแล้ว บุญจักชูซ้อยคํ้าไปหน้าบ่อนาน ปุนประมาณได้ เถิงห้าร้อยชาติ เพราะศรัทธาตํ่าต้อยถอยสิ้นเสื่อมลง เหตุว่าคนคราวนั้นบ่อปลงใจตังต่อ ทั้งผู้รับและผู้ให้บ่อมีไผแน่นอนแท้แล้ว

เฮาหากถวายพรไว้พระอินทร์ให้จำจือเอาถ่อน นับแต่มื้อสิเห็นเที่ยงแท้ไปหน้าสู่พันปีแท้แล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นพวกหมู่ชาวมนุษย์ เขาพากันถือผิดบ่อเชื่อคำเฮาแท้ หมดทั้งชมภูพื้นผันแปรไปทุกแห่ง ศีลธรรมเฮาแต่งไว้บอ่มีได้หลํ่าคอย

คนจึงได้นับมื้อน้อยต้อยตํ่าลงไป เพราะบ่ออาลัยเถิงต่อธรรมพุทโธเจ้า เขาจึงพากันส่วยแหลมลงนับมื้อตํ่า แต่ว่าศาสนาเฮาบ่อส่วยเสมอด้ามดั่งเดิม ไผผู้พากันสร้างทำบุญได้ดังเก่า ว่าแต่จิตต่อตั้งใจมั่นต่อพระธรรม บ่อมีคำคณิงได้จงใจแน่วแน่ มรรคผลก็หากยังย่อมได้โดยด้ามดังเดิม

หาผู้ปฏิบัติบ่อได้ด้ามดังเดิม จึ่งได้หมดหั่นบ่อมีไผสืบต่อ พวกผู้หญิงทุกหมู่จึงบวชบ่อได้เลยจ้อยเท่าทุกวันนี้แล้ว ครั้นว่าศาสนาล่วงได้ ๖๑๘ ปี พวกหมู่เดียระถีนิครณฐ์นอกวงศ์พุทโธเจ้า พากันปลอมตัวเข้าในครองพุทธบาท บังอาจทำชั่วช้าไปแท้สู่อัน บางพวกนั้นฆ่าเนื้อเป็ดไก่ปูปลา เอามาเป็นอาหารสู่กันกินเหล้า

บางพวกเมามัวเล่นการพนันขันต่อ เตะตะกร้อมวยปลํ้าสู่อัน บางพวกนั้นก็เล่นเป่าปี่สีซอ เสียงระงมซมแซวบ่อละอายชาวบ้าน บางพวกทำการค้าหากำไรแลกเปลี่ยน เป็นดังฆราวาสแท้ผายเผี่ยนสู่อัน บางพวกนั้นก็เลี้ยงสัตย์สิ่งงัวควาย หาทางรวยเงินทองสู่อันมิเว้น เหตุที่เป็นเช่นนี้พวกหมู่อรหันต์ เกรงเกิดการเสียหายต่อไปภายหน้า ก็จึงทูลเจ้าลังกาให้ขับไล่ พวกพระเดียระถีเหล่านั้นหนีแท้เทียวพลัน

อันว่าพันนี้อรหันต์ยังอยู่ ไผผู้เพียรก่อสร้างบุญได้ดั่งใจ เหมือนดั่งจอมไตรแก้วองค์พุทโธยังอยู่พุ้นแล้ว บ่อได้สูญเสื่อมสิ้นเสียแท้ท่อใย อันว่าในพันนี้พระยาธรรมลงมาเกิด ชื่อว่าพระยาศรีธรรมโศกราชเจ้าบุญกว้างแผ่ผาย พระก็พาพลพร้อมบริวารหลายเหล่า ขุดเอาพระธาตุเจ้าจอม

ไท้ขึ้นจากดินแดนแต่ตีนธรังพื้นหัวเมืองพระธาตุอยู่ พระก็ขุดกันขึ้นมาได้ดั่งใจ แล้วจึงปงปุนให้แปลงเป็นพระธาตุใหญ่ ย้ายไว้ทุกแห่งห้องเมืองท้าวทั้วไป
ปุนประมาณได้ ๘ หมื่น ๔ พัน เมือง หมดทั้วทั้งชมภูก่อเป็นเจดีย์ไว้ พระก็ใจใสสร้างฉลองเจดีย์ทั้ง ๘ หมื่น ฝูงหมู่คนมากล้นลือท้าวทั้วไป

ดนนานได้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เป็นเขต ก็จึงเส็รจส่วงสิ้นโดยด้ามดั่งประสงค์ แล้วจึงทำบุญสร้างสละทานเททอด พวกพระอรหันต์มากล้นทานให้สู่องค์ พระก็จงใจสร้างศิลทานบ่อได้ขาด เป็นพระยาธรรมมิกราชลํ้าพ้นต้นก่อนสู่คนแท้แล้ว ครั้นพระดับแล้วไปเกิดเมืองสวรรค์ เนาวิมานท้องที่สถานเทิงฟ้า ฝูงหมู่เทวดาล้อมเลียนพระองค์ด้วยหมืน มีแต่ชมชื่นสร้างสีนซ้อยสำราญแท้แล้ว ฯ


....เอามาจากหนังสือเก่าที่แม่ให้มาพิมพิ์ให้ เห็นว่ามันแปลกดี แต่น่าเสียดายที่บางส่วนขาดหายไป เนื้อหาในนี้เคยเป็นรำกลอนของคณะหมอลำคณะหนึ่งในจังหวัดข่อนแก่น..ไม่แน่ใจว่ามีใครมีเล่มเต็มบ้าง

........................................................................................................................................

สาราณียธรรม ตอบ

ขอขอบคุณ คุณ Siam และ ขออนุโมทนา
ขอขอบคุณ คุณ(ณิชกุล)ความคิดเห็นที่ และ ขออนุโมทนา

เสียดายจังเลย กำลังอ่านสนุกๆ จบเสียก่อน

แต่เรื่องนี้ทั้งหมดมีอยู่ในพระไตรปิฎก และ ในอรรถกถาครับ คุณ Siam

--- เรื่องอายุขัยลดลง อยู่ใน จักกวัตติสูตร
--- เรื่อง ภิกษุวัชชีบุตร อยู่ใน สัตตสติกขันธกะ
--- เรื่องครั้นศาสนาล่วงจาก ๑๐๐๐ ปีแล้วพระอรหันต์ก็หมด อยู่ใน อรรถกถาและมิลินทปัญหา
--- เรื่องศาสนาล่วงได้เถิง ๕๐๐ ปี ภิกษุณีเลยหมดบ่อยังสูญ อยู่ใน อรรถกถาที่แสดงประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ส่งพระนางสังฆมิตตาเถรี ไปยังเกาะลังกา หลังจากนั้น ภิกษุณีก็เงียบหายไป คงสาปสูญ
--- เรื่องมีการฆ่าฟันกันแก่งแย่งกันหนักขึ้น มาใน จักกวัตติสูตร อีกรอบ

แต่เสียดายจังเลยครับ จบเสียก่อน
อย่างนี้เขาเรียก คัมภีร์แสดงความเป็นไปของโลกยุคหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน ผมเองไม่ทราบเหมือนกันว่า ชื่ออะไร ขออนุญาตเล่าต่อจากคุณSiam นะครับ

มนุษย์ไร้ตกต่ำด้วยศีลธรรมอย่างหนัก หลังจากนั้น ก็จะมีพระโพธิสัตว์ผู้บารมีมีปัญญามาชำระพระศาสนาอีกครั้งหนึ่ง พุทธศาสนากลับรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ก็ตั้งอยู่ไม่นานแล้วก็ถูกละเลย มนุษย์ไร้ตกต่ำด้วยศีลธรรมอย่างหนัก พ่อเอาลูกมาเป็นภริยา อากับหลาน น้องชายกับพี่สาว อายุขัยก็สั้นลงเหลือ๑๐ปี ตัวก็เตี้ยงลงจนต้องสอยต้นมะเขือทาน

ครั้นครบ พ ศ ๕๐๐๐ พระธาตุของพระพุทธองค์ก็รวมกัน แสดงพุทธนิมิตแสดงธรรมอยู่๗วัน๗คืน ทั้งมนุษย์เทวดาทั้งหลายต่างฟังธรรมครั้งสุดท้าย สำเร็จมรรคผลนับไม่ถ้วน หลังจากนี้ พระธาตุก็มลายหายไป เป็นอันว่าสิ้นสุดพระศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า.

เนื้อเรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ทราบว่า มันเป็นหนังสือชื่อว่าอะไร?
ใครรู้ช่วยแนะนำดว้ยนะครับ ผมจะหาซื้อเงินเอาไว้ เช่นกัน

*แต่สำนวนโบราณที่คุณSiam นำมาโพสส์นี้ ดีจังเลย ได้ลิ้มอรรถรสทางภาษาด้วย*
............................................................................................................................................

พรรณเพ็ญ : ตอบ

......คุณ siam เคยอ่านหนังสือเล่มที่ชื่อ"กาละนับมื้อส่วยไหมคะ เป็นหนังสือพยาการณ์ ทำนายโบราณของทางอิสาน ดิฉันเคยอ่าน เล่มเล็ก ๆ บอกเล่าพุทธทำนาย แต่เป็นการใช้ภาษาเขียนโคลงกลอนแบบอีสานโบราณ ( ความจริงอยากบอกว่า ภาษาลาวโบราณน่ะ) ไม่ใช่กลอนลำนะคะ เป็นตำราเลยล่ะ ถ้าอยู่ทางอีสานลองไปค้นดูนะคะ เผื่อจะมีอะไรดี ๆ มาบอกเล่าสู่กันฟังค่ะ ดิฉันเคยมี เคยอ่าน แต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ซอกไหน เฮ้อ! ....

........................................................................................................................................

คุณณิชกุล : ตอบ

ขอขอบคุณในความรู้ที่คุณ Siam นำมาเผื่อแผ่

ตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว

ตอนที่ ๓ กล่าว พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่ถ้ำเชียงดาว ทำนายว่ายักษ์ที่รักษาถ้ำจะได้เป็นพระยาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ มีอายุ ๒๐๐ ปี

โดยพระยาธรรมิกราชองค์แรกเกิดที่เมืองปาฏลีบุตร
องค์ที่ ๒ เกิดในเมืองหงสาวดี
องค์ที่ ๓ เกิดในเมืองเชียงดาว
องค์ที่ ๔ เกิดในเมืองอังวะ
องค์ที ๕ เกิดในเมืองอโยธิยา

และได้กล่าวถึงพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่ดอยอ่างสลุงก็เลยได้ชื่อว่า "อ่างสลุงเชียงดาว" มีพระยาอินทร์ เทวดา มาเนรมิตมหาเจดีย์ทองคำไว้บรรจุพระธาตุ ต่อจากนั้นก็มีพระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยานาค มาสร้างพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ไว้ในถ้ำ ประดับตกแต่งไว้สวยงาม ในถ้ำแห่งนี้มีทางแวะไปสถานที่ต่างๆ ได้ หลายแห่ง และได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติเมื่อจะเข้าไปชมถ้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกก็จะกลับออกมาไม่ได้

ส่วนในเมืองเชียงใหม่ เมื่อศาสนาใกล้จะถึงสามพันปี บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย หาเชื้อพระวงค์ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองมิได้ ในเวลาต่อมายักษ์ที่รักษาถ้ำเชียงดาวอยู่นั้นจะเกิดมาเป็นพระยาธัมมิกราช โดยเกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร พระอินทร์จะมาอัญเชิญขึ้นไปทำพิธีราชาภิเษกบนสวรรค์ จากนั้นจึงลงมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่งในเมืองเชียงดาว ส่วนพระมเหสีคือ"นางแก้ว" จากอุตรกุรุทวีป (จึงขอนำรายละเอียดมาให้อ่านกันต่อไป ดังนี้)


ตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว

......เรื่องในตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว มี ๓ ตอน โดยแต่ละตอนจบในตัวเอง

.......ตอนที่ ๑ เริ่มกล่าวตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจากดอยเกิ้ง (ในเขตอำเภอจอมทองเชียงใหม่) โดยมีพระอรหันต์ พระอินทร์ และพระยาอโสกธัมมิกราช ติดตามมาด้วย เมื่อทรงพบลัวะผู้หนึ่ง กำลังวิดน้ำเข้านา จึงทรงทำนายว่า ในที่นั้นต่อไปจะเป็นเมืองหอด (ฮอด) ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหินที่มีลักษณะคล้ายเต่า

เมื่อเดินทางต่อไป พระยานาคเกิดความเลื่อมใสจึงประทับรอยพระบาทไว้ให้และทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองมหานคร ครั้นเดินทางไปถึงบ้านลัวะที่เป็นช่างปั้นหม้อ ทำนายว่า ต่อไปจะเป็นเมืองภุญชานคร และสั่งเอาไว้ว่าหากพระองค์นิพพานไปแล้ว ให้นำเอาธาตุกระดูกศีรษะด้านขวามาบรรจุไว้ที่นี่

เมื่อเสด็จมาถึงใต้ร่มมะขาม เทวดาบันดาลห่าฝนเงินทองตกลงมาปูชา จึงได้ชื่อว่าดอยเขาฅำหลวง จากนั้นจึงเสด็จไปทางทิศตะวันออก ทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองใหญ่ มีอารามสำคัญ ๖ แห่ง ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนก้อนหิน เมื่อมาถึงใต้ร่มไม้บุนนาค สองสามีภรรยานำเอาดอกบัวมาถวาย ก็ทรงทำนายว่าต่อไปจะเป็น วัดบุปผาราม คือวัดสวนดอกไม้ (วัดสวนดอก) ทรงอธิษฐานให้เกศาธาตุแตกออกเป็น ๘ เส้นบรรจุไว้ในสถานที่ดังกล่าว

ครั้นเสด็จมาถึงกอไม้หก จึงทำนายว่าต่อไปจะเป็นเวฬุวนารามป่าหก (วัดป่าหก) ทรงประทานพระเกศาธาตุไว้ เมื่อเสด็จไปทางทิศตะวันออก ทำนายว่าต่อไปจะเป็นวัดบุพพาราม ต่อมามีพระชาวพม่ามาขอบวชใหม่ ทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองชีใหม่ หรือ "เมืองเชียงใหม่"

เมื่อเสด็จไปทางทิศตะวันออก ลัวะนำเนื้อวัวกระทิงย่างมาถวาย ทำนายว่าต่อไปจะเป็นวัดอโสการาม ทรงประทานเกศาธาตุไว้ จากนั้นจึงเสด็จไปทางทิศใต้ ลัวะนำผลไม้มาถวาย ทำนายว่าต่อไปจะเป็น "วัดพิชชอาราม"

เมื่อเสด็จไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ นักบวชชาวพม่า ๗ ตน ขอเอาเกศาธาตุ ทำนายว่าต่อไปจะเป็น "สังฆอาราม" จากนั้นจึงเสด็จไปสู่ทิศหรดี ลัวะสร้างกระท่อมไม้ถวายให้เป็นที่ประทับ ทำนายว่า ต่อไปเป็นวัดอินทาราม ทรงประทานเกศาธาตุไว้

ต่อมาเมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านลัวะ นักบวชชาวพม่าจุดไฟบูชา ทำนายว่าต่อไปจะเป็นโชติอราม ทรงประทานพระเกศาธาตุ พร้อมทั้งรับสั่งว่าถ้านิพพานไปแล้ว ให้นำเอาธาตุฝ่ามือขวามาบรรจุที่นี่ จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดช่างปั้นหม้อ ลัวะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จำนวน ๓ ล้าน ๖ แสนองค์ถวาย จึงให้นำไปฝังไว้ เมื่อเสด็จไปถึงดอยนั่งนอน ก็ประทานพระเกศาธาตุ ส่วนในเมืองยวม เมืองยาง เมืองแช่ ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ละแห่ง

.......ตอนที่ ๒ กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จไปพบพระยายักษ์ที่ "ดอยอ่างสลุง" (อยู่บนยอดดอยเชียงดาว) ทรงเทศนาให้พระยายักษ์ฟัง ทรงทำนายว่าต่อไปเมื่อศาสนาได้ ๒๐๐๐ ปี พระยายักษ์จะเกิดเป็นพ่อค้าข้าวสารเป็นผู้มีสติปัญญาและจะได้ครองเมืองเชียงดาว

เมื่อเสด็จมาถึงเมืองฝาง ทรงทอดพระเนตรเห็นหนองน้ำใหญ่ จึงทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองล้านช้างอโยธยา ครั้นมาถึงหนองน้ำอีกแห่งหนึ่ง พระยานาคนำเอาน้ำผึ้งมาถวาย ทำนายว่า ต่อไปจะได้ชื่อว่า "พระนอนหนองผึ้ง" (วัดพระนอนหนอนฝึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่) จากนั้นจึงเสด็จไปนอนบนคันนาแห่งหนึ่ง ทำนายว่าต่อไปจะได้ชื่อว่า "พระป้าน" และ "แม่ปูคาแห้ง" (วัดพระนอนแม่ปูคา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่)

ครั้นเสด็จมาถึงถ้ำตับเตาก็เกิดอาการประชวรอย่างหนัก หมอโกมารภัจจึงพาพระฤาษีจากดอยด้วนมารักษา แต่ทรงปลงอายุสังขารแล้ว จึงไม่ยอมให้ฤาษีรักษา จากนั้นได้เสด็จไปยังถ้ำเชียงดาว และใช้ให้พระอานนท์ไปตักน้ำที่แม่น้ำปิง พระอานนท์ถูกยักษ์จับตัวไว้ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปช่วย และได้ทำนายว่า ต่อไปยักษ์จะไปเกิดเป็น "พระยากาวิละ" ในเมืองเชียงใหม่

เมื่อเสด็จมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ทรงปวดท้อง นาคจึงเนรมิตห้องส้วมให้ ทำนายว่าต่อไปจะเป็นพระบาทยั้งวิด จากนั้นได้เสด็จไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พระอานนท์นำผ้าสังฆาฎิไปตาก ทำนายว่าต่อไปจะเป็น "พระบาทตากผ้า" (วัดพระบาทตากผ้า ป่าซาง) เมื่อมาถึงดอยแห่งหนึ่งเทวบุตรนำเอาฉัตรมาปังแดดให้ ทำนายว่าต่อไปจะได้ชื่อว่า "ดอยเกิ้ง" (วัดพระธาตุดอยเกิ้ง)

.......ตอนที่ ๓ กล่าวพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่ถ้ำเชียงดาว ทำนายว่ายักษ์ที่รักษาถ้ำจะได้เป็น "พระยาธัมมิกราช องค์ที่ ๓" มีอายุ ๒๐๐ ปี

โดยองค์แรกเกิดที่เมืองปาฏลีบุตร
องค์ที่ ๒ เกิดในเมืองหงสาวดี
องค์ที่ ๓ เกิดในเมืองเชียงดาว
องค์ที่ ๔ เกิดในเมืองอังวะ
องค์ที่ ๕ เกิดในเมืองอโยธิยา


และได้กล่าวถึงพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่ดอยอ่างสลุงก็เลยได้ชื่อว่า "อ่างสลุงเชียงดาว" มีพระยาอินทร์ เทวดา มาเนรมิตมหาเจดีย์ทองคำไว้บรรจุพระธาตุ

ต่อจากนั้นก็มีพระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยานาค มาสร้างพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ไว้ในถ้ำ ประดับตกแต่งไว้สวยงาม ในถ้ำแห่งนี้มีทางแวะไปสถานที่ต่างๆ ได้ หลายแห่ง และได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติเมื่อจะเข้าไปชมถ้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกก็จะกลับออกมาไม่ได้

ส่วนในเมืองเชียงใหม่ เมื่อศาสนาใกล้จะถึงสามพันปี บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย หาเชื้อพระวงค์ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองมิได้ ในเวลาต่อมายักษ์ที่รักษาถ้ำเชียงดาวอยู่นั้นจะเกิดมาเป็นพระยาธัมมิกราช โดยเกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร พระอินทร์จะมาอัญเชิญขึ้นไปทำพิธีราชาภิเษกบนสวรรค์ จากนั้นจึงลงมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่งในเมืองเชียงดาว ส่วนพระมเหสีคือ "นางแก้ว" จากอุตรกุรุทวีป.


ที่มา - www.lannaworld.com/story/legend/fang_sl.htm


......ความเห็นของผู้จัดทำเว็บตามรอยฯ ถือว่านำมาลงให้อ่านกันเล่นๆ อย่านำไปโพสหรือแสดงความเห็นให้เกิดข้อขัดแย้งกัน เพราะเรื่องคำทำนายถือว่าเป็นเรื่องประเทืองความรู้ ไม่มีข้อยุติในความเห็นซึ่งกันและกัน จึงขออย่าให้เป็นเรื่องจริงจังจนเกินไป

สำหรับข้อความในวงเล็บนั้น ผู้จัดทำเว็บตามรอยฯ เป็นผู้เพิ่มเติมไปเอง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ส่วนที่ไม่ได้วงเล็บนั้น หมายถึงชื่อเดิมสมัยนั้น ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ถ้าอยากจะอ่านรายละเอียด โปรดหาอ่านได้ในเรื่อง "มหาอาราม 8 แห่งในเมืองเชียงใหม่" จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท"


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 27/8/10 at 09:37

34

การสัมมนาวิชาโหราศาสตร์ "ไทยกับอินเดีย"

โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์ | 26 สิงหาคม 2553 | 12:27 น.

......นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการเปิดสัมมนาทางวิชาการด้านโหราศาสตร์ระหว่างประเทศไทยและอินเดีย โดยมีนายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ โหราศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศ ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงกัน


ทั้งนี้ นายชวรัตน์ กล่าวด้วยว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นโอกาสอันดีที่โหรของทั้ง 2 ประเทศจะได้แลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความคุ้นเคยระหว่างกันแล้ว ยังจะเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและอินเดีย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ มีความสัมพันธ์อันกระชับแน่นมาช้านาน

โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีความเก่าแก่ มีส่วนในวิถีชีวิต และอยู่คู่สังคมไทยมาตั้งแต่โบราณ ดังนั้นจึงสมควรจะสืบทอดมรดกสำคัญทางวัฒนธรรมนี้ไว้ และนำเอาวิชาโหราศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสังคม และเชื่อมโยงกับหลักคำสอนของศาสนา เพื่อการเตรียมพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติ รู้ตัว
อย่างไรก็ตามมองว่า ผู้ที่เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้จะได้รับประโยชน์ทั้งด้านวิชาการ และขนบธรรมเนียมประเพณีระหว่างกันด้วย



มท.1 เผยโหรทักการเมืองยังน่าห่วง

ไทยรัฐออนไลน์ | 26 สิงหาคม 2553, | 14:20 น.

.......ชวรัตน์” เผยโหรทักการเมืองยังน่าห่วง ยันปัญหานายอำเภอไม่เกี่ยวตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด -อธิบดี ชี้ร้อง ป.ป.ช.เป็นสิทธิ แต่ควรจบในขั้นข้าราชการ...

ประจำเมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 26 ส.ค. ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังร่วมเปิดงานสัมมนาโหราศาสตร์ระหว่างประเทศ ว่า สำหรับเรื่องโหราศาสตร์ เป็นตำราทางวิชาการมาเป็นพันๆปี ก็ต้องมีความจริงบางอย่างที่พิสูจน์ได้ แต่บางอย่างก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่คนส่วนมาก็ให้ความเชื่อถือ ตนเองก็ศรัทธา มีโหรไทยทายว่าโหงวเฮ้งดี แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ สิ่งที่ดีไม่ค่อยอยากฟังเท่าไหร่ แต่ถ้าสิ่งที่ไม่ดีก็จะรับฟังจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ด้วยความระมัดระวัง แต่วันนี้ไม่มีใครทักเรื่องไม่ดี แต่ก็ยังมีพูดถึงเรื่องการเมืองว่ายังน่าห่วงอยู่ 2 เดือน ต้องระมัดระวังอย่าให้ประเทศชาติล่มจม

รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ ก.พ.ค.วินิจฉัยให้กระทรวงมหาดไทยเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอระดับ 9 ว่า ต้องรอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย กลับจากต่างประเทศ และรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจึงจะทราบว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร

ส่วนความผิดพลาดในการออกคำสั่งที่ผู้อาวุโสน้อยได้รับการแต่งตั้งส่อให้เห็นถึงการทุจริตหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่าคงยังใช้คำว่าความผิดพลาดไม่ได้ แต่เป็นการทักของก.พ.ค. มากกว่า และคงไม่มีเรื่องการทุจริต

ด้าน กระทรวงมหาดไทยจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า หากพูดอย่างนี้ก็ไม่เป็นธรรมกับกระทรวงมหาดไทย ต้องดูอัตราส่วนของพนักงาน เรามีพนักงานมากที่สุด ก็ต้องเกิดเรื่องมากที่สุด บางหน่วยงานมีคนไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของเรา แต่ถ้าเอาเรื่องมาเปรียบเทียบกันอีกฝ่ายอาจจะมากกว่าของกระทรวงมหาดไทยก็ได้ อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องคำสั่งแต่ตั้งนายอำเภอคงไม่ส่งผลต่อการแต่งตั้งอธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะไม่เกี่ยวกัน

ส่วนที่ กลุ่มนายอำเภอที่ถูกข้ามอาวุโสจะไปร้องศาลปกครอง และยื่นเรื่องร้องเรียนต่อป.ป.ช. นายชวรัตน์ กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย แต่เรื่องนี้ควรยุติในขั้นตอนของข้าราชการประจำ เพราะฝ่ายการเมืองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

นายชวรัตน์ กล่าวถึงการเตรียมรับมือปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือว่า เราเตรียมพร้อมตามสมควร ปีนี้เกิดฝนมาผิดปกติ เลยทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองสูงขึ้นผิดปกติ ทำให้ตลิ่งทรุด โดยทุกจังหวัดก็ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว มีแต่เพียงในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้นที่ยังไม่พร้อม แต่ก็ได้สั่งการไปแล้ว แต่ปัญหาคืองบประมาณไม่ค่อยเพียงพอ จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป



โหรเตือนตุลาเลือด อาจเกิดปฏิวัติ มาร์คระวังตัว

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม | พ.ศ. 2553 | isnhotnews.com

.......โหรภิญโญฟันธง บ้านเมืองจะยังไม่สงบไปอีก 2 ปี ทุกฝ่ายต้องช่วยกันประคับประคอง ไม่เช่นนั้นอาจถึงขั้นนองเลือด เตือน "มาร์ค" ระวังถูกปองร้าย ด้านโหรภาณุวัฒน์ชี้ตุลา.อาถรรพณ์ กลียุค ปฏิวัติ


ที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ กรุงเทพฯ วันที่ 26 สิงหาคมนี้ นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ให้สัมภาษณ์โอกาสไปร่วมงานสัมมนาโหราศาสตร์ระหว่างประเทศไทย อินเดีย เนปาล ว่า ขณะนี้ดวงเมืองมีพระเคราะห์สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวอังคารกับดาวเสาร์ ซึ่งดาวอังคารเป็นดาวประจำราศีของดวงเมือง และดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนกรรมะ หมายถึงการบริหารราชการแผ่นดินขณะนี้อยู่ในภพอริ มีอุปสรรค ปัญหา จะต้องต่อสู้แก้ไข ดังนั้นใครที่มาเป็นรัฐบาลขณะนี้ต้องทนต่อสู้ แก้ไขปัญหาอุปสรรค

นายภิญโญกล่าวว่า ดาวเสาร์จะอยู่ในจุดดังกล่าวไปจนถึงปี 2555 หมายถึงดวงเมืองจะยังไม่สงบไปอีก 2 ปี อย่างไรก็ตาม ยังมีดาวที่ให้คุณ คือดาวพฤหัสฯ ที่จะโคจรเข้าสู่ราศีเมษในเดือนพฤษภาคม 54 ก็จะไปทับลักขณากำเนิดของดวงเมืองและไปทับอาทิตย์ เหตุการณ์ทางการเมืองก็น่าจะดีขึ้น เพราะในตำราโหราศาสตร์ พฤหัสฯ กับอาทิตย์เป็นคู่มิตรกัน หมายถึงเรื่องของชื่อเสียง ผลประโยชน์ แต่ดาวที่ให้โทษยังมีอยู่

"ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด เพราะดาวนพเคราะห์กำลังบีบอยู่" นายภิญโญกล่าว และว่า ขณะนี้ดาวเสาร์อยู่ตรงราศีกันย์กุมกับดาวอังคาร ราหูอยู่ตรงราศีคนยิงธนู อีกไม่นานราหูจะเคลื่อนไปราศีพิจิก ในเดือนพฤษภาคมปีหน้าจะทำมุมปลายหอกไปสู่ดวงเมือง เพราะฉะนั้นแม้ดาวพฤหัสฯ จะให้คุณ แต่ดาวให้โทษก็ยังคงให้โทษเช่นกัน จึงต้องประคับประคองให้ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดวงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรบ้าง นายภิญโญกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ลักขณาอยู่ราศีกรกฎ มีอาทิตย์คุมอยู่ นายอภิสิทธิ์ผ่านวิกฤติมาแล้วก็ต้องระวังอยู่อย่างเดียวคือความปลอดภัย หมายถึงจะมีคนปองร้าย ส่วนที่ว่าจะดำรงตำแหน่งได้ครบวาระหรือไม่ ก็คงอยู่ได้อีกสักพัก เมื่อดาวเคลื่อนเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะเคลื่อนด้วย

นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานกรรมการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ดวงเมืองไทยในแง่การพยากรณ์แบบศาสตร์จีน ปีนี้เป็นปีขาล ธาตุทอง เสือดุ คือดุแบบมีคุณธรรม ใครทำอะไรไม่ดีก็มักจะได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เดือนสิงหาคมปีนี้เป็นเดือนวอก เดือนแห่งความวุ่นวาย มีเรื่องจุกจิก ข่าวลือออกมามาก เดือนกันยายนจะเป็นเดือนของผลประโยชน์ เรื่องรับปากแล้วไม่เป็นไปตามรับปาก มีความปั่นป่วนในวงการข้าราชการส่วนหนึ่ง นักธุรกิจส่วนหนึ่ง

"เดือนตุลาคมคือเดือนเก้า จะเป็นเดือนที่วุ่นวายกับพวกผู้ชายโดยเฉพาะ ประกอบกับเดือนตุลา. ธาตุไฟ ที่สำคัญคือดวงนายอภิสิทธิ์เป็นปีมะโรง ธาตุไม้ ซึ่งชงกัน จะเป็นไฟที่เผาไม้ และนายอภิสิทธิ์อายุอยู่ในเคราะห์ด้วย ยังมาเจอเดือนไม่ดี เดือนตุลาคมจึงเป็นเดือนที่หนักที่สุดของนายอภิสิทธิ์"

นายภาณุวัฒน์ขยายความว่า บ้านเมืองจะมีเรื่องปั่นป่วนถึงขั้นมีอาวุธระเบิด ปืนไฟ มาสร้างปัญหากับบ้านเมือง โยงจนถึงขั้นบุคคลในเครื่องแบบต้องออกมาดูแลบ้านเมือง ถ้าหนักๆ อาจมีการนองเลือด เสียเลือดเสียเนื้อ สุดท้ายที่พูดกันอยู่ตลอดเวลาคือปฏิวัติ ถ้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ต้องการให้ถึงขั้นนั้น ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ บทบาท ต้องอดทน ใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ประเด็นที่สองต้องหาคนที่มีความสามารถ ประสานมือทั้งสิบทิศคุยกับทุกฝ่าย

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ที่โหรเตือนอีก 2 เดือนสถานการณ์บ้านเมืองน่าห่วง ก็คงต้องเตือนไปถึงประชาชนไม่ว่าฝั่งไหนต้องระมัดระวัง อย่าให้ประเทศชาติล่มจม.



โหรทายดวงเมืองยังไม่ดีอีก 2 ปี คาด ต.ค.อาจมีเรื่องถึงขั้นปฏิวัติ

โหรทาย ดวงเมืองยังไม่ดีอีก 2 ปี เตือนระวังมีนองเลือดอีก คาดต.ค.อาจมีเรื่องถึงขั้นปฏิวัติ ชี้หลัง 13 พ.ย.53 “อภิสิทธิ์”พ้นเคราะห์ แต่ก่อนหน้านั้นต้องระวังถูกปองร้าย

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 ส.ค.ที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ สีลม ได้มีการจัดสัมมนาโหราศาสตร์ระหว่างประเทศ ไทย อินเดีย เนปาล โดยนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานเปิดงาน ทั้งนี้นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดวงเมืองในขณะนี้ว่า ขณะนี้ดวงเมืองมีพระเคราะห์สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวอังคาร กับดาวเสาร์ ดาวอังคารเป็นดาวประจำราศีของดวงเมือง และดาวเสาร์ เป็นเจ้าเรือนกรรมะ



โหรทักดวงเมืองวุ่นถึงปี 55 - เตือนนายกฯ อดทนประคองบ้านเมืองให้ดี

การสัมมนาทางวิชาการด้านโหราศาสตร์ นายภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และประธานสภาโหราจารย์ กล่าวถึงดวงเมืองของไทยว่า ขณะนี้ยังต้องมีปัญหาวุ่นวายไปอีก 2 ปี จนถึงปี 2555 ดังนั้นผู้บริหารประเทศต้องประคับประคองสถานการณ์ให้ดี

ขณะที่นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่า ดวงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีเหตุรุนแรงช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในช่วงปลายปี แต่จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการอดทน ใจเย็น และหาบุคคลที่มีความสามารถสื่อได้ทุกฝ่ายมาช่วยเจรจา

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/11/10 at 09:33

35

สรุปภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบโลก ปี 2553


โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 8 พฤศจิกายน 2553, 05:30 น.


....ไม่เฉพาะในประเทศไทย หากดูข้อมูลย้อนหลัง 2010 ถือว่าเป็นปีแห่งภัยพิบัติของโลกอย่างแท้จริง สิ่งที่หลายคนสงสัยอยู่ที่ว่า ถ้าโลกพูดได้ เขากำลังจะสื่อสารอะไรกับมนุษย์หรือเปล่า…? ถ้าคุณเชื่อเรื่องธรรมชาติมีชีวิต เชื่อเรื่องกฎการคัดสรรของธรรมชาติ เชื่อหนังฮอลีวูดที่ผลิตกรอกหูซ้ำๆ ว่าวันหนึ่งโลกจะแตก และเชื่อว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะไม่มีอยู่บนแผนที่โลก ฯลฯ นี่คือสิ่งที่คุณต้องอ่านก่อนตาย... !!



2010 คำพูดจากโลก ถึง มนุษย์ผู้ทำลาย

ไทยรัฐออนไลน์ลองค้นข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติพิโรธ (มนุษย์โลก) แล้ว พบข้อมูลที่น่าตกใจเพราะที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2010 เหตุการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย

*เปิดศักราชใหม่วันที่ 12 มกราคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวที่ "เฮติ"​ ขนาด 7.0 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาล โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวงของประเทศเฮติ ทั้งนี้ ได้มีการประมาณว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มากกว่า 3 ล้านคน รัฐบาลเฮติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 3 แสนคน ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 3 แสนคน และอีกกว่า 1 ล้านคนยังไม่มีที่อยู่อาศัย

* เดือนต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.8 ริกเตอร์ที่นอกชายฝั่งแคว้นเมาเลประเทศชิลี จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายของทรัพย์สินชนิด "ราบพนาสูญ"​ที่น่าตกใจกว่าความเสียหายซึ่งมากมายมหาศาลแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แกนโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม 3 นิ้วส่งผลให้ระยะเวลาสั้นลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที) เลยทีเดียว

* วันที่ 8 มีนาคม 2553 เกิดพายุทำให้เกิดฝนตกหนักในนครเมลเบิร์น วัดระดับน้ำฝนได้ 26 มิลลิเมตร พื้นที่อื่นวัดระดับน้ำฝนได้สูงถึง 70 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ยังมีลูกเห็บยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 4 นิ้ว หรือเท่ากับลูกเทนนิส มีประชาชนแจ้งขอรับความช่วยเหลือมากกว่า 4,000 คน

* วันที่ 20 มีนาคม 2553 เกิดการปะทุของภูเขาไฟชื่อดังในไอซ์แลนด์ จริงๆ แผ่นดินไหวได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 ในครั้งนี้ ซึ่งมีการจัดดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟอยู่ที่ระดับ 1 การปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมาและได้รบกวนการจราจรทางอากาศในทวีปยุโรปมหาศาล ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารนับล้านๆ คน

* ทิ้งท้ายกับภัยธรรมชาติในวันที่ 31 มีนาคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในอ่าวเบงกอล วัดขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะอันดามันแอนด์ นิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล

* เดือนถัดมาเรียกว่าภัยธรรมชาติหายใจรดต้นคอโลกใบนี้ราวกับโกรธแค้น วันที่ 7 เมษายน 2553 เมื่อเวลา 05.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่คนกำลังหลับใหลเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนอกชายฝั่งของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีความรุนแรง 7.8 ริกเตอร์ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหลังจากนั้นเกิดคลื่นสึนามิ สูง 1.5 ซม.ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นคลื่นขนาดเล็ก

* อีก 1 อาทิตย์ถัดมา เกิดภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุขึ้นฟ้าสูงถึง 8 กิโลเมตร ฝุ่นขี้เถ้าลอยสูงกว่า 6 พันเมตร และฟุ้งกระจายไปทั่วประเทศ และหลายประเทศในยุโรปตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.เป็นต้นมา กลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินในภูมิภาคยุโรปต้องยกเลิกเที่ยวบินสร้างความ โกลาหลอย่างมากมาย

* ในวันเดียวกันที่ประเทศจีนเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก มีความรุนแรง 6.9 หรือ 7.1 ริกเตอร์ บริเวณเขตปกครองตนเองยูซู มณฑลชิงไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 07.49 น. (ตามเวลาในท้องถิ่น) สำนักข่าวซินหัวของประเทศจีน รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 2,220 ราย สูญหาย 70 ราย และบาดเจ็บ 12,135 ราย ซึ่งในที่นี้บาดเจ็บสาหัสเกือบ 2 พันราย

* เหตุการณ์โลกพิโรธต่อมาเกิดขึ้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 พายุทอร์นาโด และพายุลูกเห็บที่เมืองซุ่ยหัว ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฮาร์บินประมาณ 120 กิโลเมตร ในมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากมาย

* วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่นอกหมู่เกาะอันดามันของอินเดียที่ระดับความลึก 127 กิโลเมตร และมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวห่างประมาณ 120 กิโลเมตร จากเมืองพอร์ตแบลร์ของหมู่เกาะอันดามัน

* วันที่ 5 มิถุนายน 2553 เกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มทางภาคตะวันตกด้านกลางของสหรัฐอเมริกา

* วันที่ 7 มิถุนายน 2553 ภูเขาไฟระเบิดที่ประเทศคู่แค้นกับอเมริกา "รัสเซีย" และมีรายงานข่าวภูเขาไฟระเบิดอย่างต่อเนื่องมากถึง 3 ครั้งต่อชั่วโมงที่ประเทศเอควาดอร์

* วันที่ 9 มิถุนายน 2553 เกิดแผ่นดินไหวขนาดเกือบ 6 ริกเตอร์ ที่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นยังเกิดแผ่นดินไหวที่เกาะวาเนาตู (Vanautu) ขนาด 6.0 ริกเตอร์อีกต่างหาก

* วันที่ 10 มิถุนายน 2553 เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่รัฐเท็กซัส ของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

* วันที่ 12 มิถุนายน 2553 ราวตี 1 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ที่นอกชายฝั่งประเทศอินเดีย ซึ่งห่างจากซีกตะวันตกของหมู่เกาะนิโคบาร์ไปประมาณ 150 กิโลเมตรที่ความลึก 35 กิโลเมตร

* วันที่ 13 มิถุนายน 2553 เหตุภัยพิบัติพายุฝน และดินถล่มทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวจีนไปจำนวนหนึ่ง สำหรับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นเงินประมาณ 43,000 ล้านหยวน และมีผู้อพยพกว่าเกือบ 3 ล้านคน

* วันที่ 16 มิถุนายน 2553 เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะไบแอ็ก (Biak) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะปาปัว วัดความสั่นสะเทือนได้ 6.2 ริกเตอร์

* วันที่ 18 มิถุนายน 2553 ประเทศจีนเกิดน้ำท่วมและแผ่นดินถล่มฉับพลันในพื้นที่ 74 เมือง ของ 6 มณฑล ประมาณการณ์ว่าประชาชนกว่า 2.56 ล้านคนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

* เดือนกรกฎาคม วันที่ 14 เกิดเหตุน้ำท่วม และดินถล่มจากฝนตกหนักทางภาคใต้ของจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400 คน

* วันเดียวกัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวอินโดนีเซียขนาด 5.6 ริกเตอร์

* 2 วันถัดมา หรือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2553 เกิดพายุโซนร้อน "โกนเซิน" (Conson) ณ บริเวณทะเลจีนใต้ มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 600 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม

* ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงราวต้นเดือนกันยายน 2553 เกิดไฟป่าในรัสเซียนับหลายร้อยแห่ง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์รัสเซีย และความแห้งแล้งในภูมิภาค มีการประมาณผู้เสียจริงอาจสูงถึง 8,000 คน

* สิงหาคม เริ่มต้นด้วยความเศร้าอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2553 ได้เกิดอุทกภัยรุนแรงทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน จากผลพวงของพายุฤดูร้อน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย

* 8 สิงหาคม 2553 เกิดอุทกภัย และแผ่นดินถล่มที่จีน เนื่องมาจากฝนตกหนัก ที่เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 127 คน สูญหายอีก กว่า 1,300 คน

* 7 วันถัดมาเกิดเหตุไฟป่าในโบลิเวียเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากพบว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นมากกว่า 25,000 จุดทั่วประเทศ ไฟป่าได้ผลาญทำลายบ้านเรือนไปเกือบ 60 หลังคาเรือน

* 6 กันยายน 2553 โคลนถล่มกัวเตมาลา พบผู้เสียชีวิตและสูญหายพุ่งเกินกว่า 100 ราย

* มาถึงคิวประเทศไทย วันที่ 10-30 ตุลาคม 2553 เกิดอุทกภัยในประเทศไทย เป็นเหตุการณ์การเกิดน้ำท่วมในประเทศไทยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่แบบที่หลายคนยังประเมินความเสียหายไม่ได้

* 25 ตุลาคม 2553 แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ขนาดความรุนแรง 7.7 ริกเตอร์

* 26 ตุลาคม 2553 ภูเขาไฟเมราปี (Merapi) ระเบิดซ้ำที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีรัศมีการกระจายของขี้เถ้าขยายเป็นวงกว้างประมาณ 2-4 กิโลเมตร

* 27 ตุลาคม 2553 สึนามิถล่มซ้ำที่หมู่เกาะ เมนตาไว ประเทศอินโดนีเซีย ความรุนแรงถึง 7.2 ริกเตอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 108 คน และสูญหายราว 500 คน

* 1 พฤศจิกายน 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ความเสียหายของประเทศไทย กับการเดินทางผ่านของพายุดีเปรสชั่นถล่มภาคใต้ ฯลฯ


......อย่างไรก็ดี ภาพช่วงเวลาเหตุการณ์โลกพิโรธส่วนหนึ่งที่กำลังร้อยเรียงอยู่นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เรานึกภาพว่า ภาพยนตร์ดังเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลก จากฝีมือผู้กำกับฮอลลีวูดที่พวกเขาสร้างขึ้นมาซ้ำๆ มันไม่
ใช่เรื่องที่เกินจินตนาการ หรือเป็นเพียงความสนุกในครัวเรือนซะแล้ว...!!!

◄ll กลับสู่สารบัญ