ตามรอยพระพุทธบาท

(ตอนที่ 6) รูปภาพชุด..เกิด..แก่..เจ็บ..ตาย "ศพจริงๆ" ถ้าไม่มั่นใจก็อย่า "Click"
webmaster - 9/5/08 at 08:57

<< ตอนที่ 5

ภาพชุดที่ 6 "มรณัมปิ ทุกขัง" การตายเป็นทุกข์

(จะฟัง "คลิปเสียง" เทศน์หลวงพ่อไปด้วยก็ได้)


ผู้ที่อยู่ใต้ความตาย

ภาพชุดผู้อยู่ใต้ความตายนี้ ความจริงก็คือผู้อยู่ใต้ท้องรถนั่นเอง อาจจะสะท้อนความรู้สึกของผู้ชมทั้งหลาย แต่ก็เป็นภาพที่เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ผู้ที่ประสบเหตุก็ตาม ตนเองคงไม่อยากพบเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องนอนตายอยู่ใต้ท้องรถเช่นนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์ของความประมาทก็แล้วกัน สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นเช่นนี้


ศพแล้วศพเล่าก็เป็นแบบนี้ทุกปี แม้ทางการจะรณรงค์เตือนเรื่อง "เมาไม่ขับ" แต่ถึง "ไม่เมาก็โดนทับ" ยังไงล่ะ ถึงเราไม่ประมาทแต่คนอื่นประมาท มันก็หนีไม่พ้นเหมือนกันนะ


พอออกมาจากบ้าน ขณะที่เดินได้ ยังพูดได้ ทรัพย์สมบัติมีเท่าไร ก็หวงแหน แต่พอถึงเวลาตาย เดินก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ออก บางทีทรัพย์สมบัติก็สูญหายไปซะอีก เอาไปไม่ได้สักอย่าง แต่ยังไม่ตายก็ยังอยากได้อยู่เนอะ


ฉะนั้น จงอย่าประมาทกับความตาย ไม่งั้นก็ต้องมานอนสงบ แต่กระจัดกระจายอยู่กลางถนนเช่นนี้ ไม่หญิงก็ชาย ไม่เด็กหรือผู้ใหญ่ หนีไม่ไกลแสนไกลแค่ไหนก็ไม่พ้นความตาย จงดูตัวอย่าง "บุคคลในอดีต" ต่อไปนี้นะครับ ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นเล้ยย





ผู้ที่อยู่ในอดีต


ต่อไปก็เป็นผู้นำระดับประเทศในอดีตทั้งหลาย เริ่มต้นที่ ท่านประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง แห่งประเทศจีน ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เจ้าของฉายาค้อนกับเคียว สามารถล้มระบอบการปกครองให้เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ แต่ผลสุดท้ายตนเองก็ต้องสิ้นลมหายใจไป เมื่อ ปี ค.ศ.1976 (พ.ศ. 2519)

ส่วน นายพอล พต แห่งพรรคเขมรแดงนั้นเล่า สมัยเรืองอำนาจก็ยิ่งใหญ่อยู่ในประเทศกัมพูชา ได้สังหารผู้คนล้มตายไปนับล้านคน ผลที่สุดตนเองก็ต้องนอนทอดร่างอยู่ในหลุมฝังศพ เหมือนกับชาวเขมรอีกนับล้านคนเหมือนกัน เมื่อปี ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541)


นี่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนกัน สมัยก่อนนี้ ใครๆ ก็รู้จักดี คือ ท่านมุสโสลินี แห่งอิตาลี ผลสุดท้ายก็มีจุดจบเช่นนี้


สำหรับท่านนี้ ชาวโลกรู้ดีนั่นก็คือ นายพลเกอริ่ง แห่งประเทศเยอรมนี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีประวัติความเป็นมามากมาย


ส่วนผู้ยิ่งใหญ่อีกท่านหนึ่งแห่งเยอรมนี คือ "ท่านฮิตเลอร์" ก็ได้ถูกสังหารไปเมื่อ ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) หลวงพ่อบอกว่าเป็นตัวแทนที่ตายไป ส่วนตัวจริงนั้น ได้หนีออกไปเปิดร้านขายสุราเล็กๆ อยู่นอกเมือง ต่อมาสมัยหลวงพ่อไปยุโรป ท่านก็ได้ไปช่วยเหลือให้พ้นขึ้นมาจากขุมนรกได้

ปัจจุบันทั้ง ๕ ทหารเสือเหล่านี้ ถึงแม้จะมีอดีตที่โหดเหี้ยม แต่ผลสุดท้ายก็ได้บุญกุศลจากการบวชพระ ๑ รูป บวชเณร ๒ รูป และถวายพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๕ นิ้วอีก ๑ องค์ พอท่านอนุโมทนาแล้วก็ได้ขึ้นมาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช หลวงพ่อถามว่าทำไมถึงไม่ตกนรกที่ขุมลึกกว่านี้ ท่านบอกว่า "ผมทำเพื่อ...คนเยอรมัน"

ฉะนั้นการที่สั่งฆ่าชาวยิวนับล้านคนนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าคงได้ล่วงรู้ความลับอะไรบางอย่าง จึงได้กระทำเช่นนั้นลงไป อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้โกรธแค้นอะไรกัน จะไปฆ่าฝันเพื่อประโยชน์อะไร นี่คงเห็นว่ายิวอาจจะมีแผนอะไรอยู่ เราจะสังเกตได้ว่าถึงแม้ปัจจุบันนี้ ข่าวว่ามีฝรั่งฆ่าคนตายมาก หรือในเอเซียฆ่ากันตายมากกว่ากัน บ้านเมืองของเขาแม้แต่สัตว์ เช่น กวางจะข้ามถนน เป็นต้น เขาก็ยังเขียนป้ายให้ระมัดระวัง เขาถือว่าชีวิตสำคัญที่สุด

เรื่องนี้คงจะวิเคราะห์ได้ว่า การที่ท่านทำบาป คือสั่งฆ่าคนตายมากมายเช่นนี้ คงจะต้องมีเหตุผลสำคัญแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาปมหันต์เช่นนี้ จะต้องลงนรกขุมใหญ่ แต่ปรากฏว่าเจตนาทำเพื่อคนเยอรมันส่วนใหญ่ และไม่ได้มีความแค้นกับชาวยิวเป็นส่วนตัว โทษจากหนักเป็นเบา

เหมือนกับที่หลวงพ่อบอกเรื่องทหารทุกคนที่ไปรบนั่นแหละ ถือว่าไปทำตามหน้าที่ บาปจึงไม่หนักอย่างที่คิด เพราะไม่โกรธแค้นเป็นการส่วนตัว แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขของคนภายหลัง อีกประการหนึ่ง ท่านก็ปรารถนาพุทธภูมิด้วย ต่อไปท่านก็จะกลับมาเกิดในเมืองไทยอีกด้วย แล้วก็จะช่วยเรื่องบ้านเมืองและพระพุทธศาสนาอีกด้วย รายละเอียดคงจะต้องไปหาอ่านจาก หนังสือตามรอยเล่ม ๔ นะครับ

สำหรับเรื่องเล่าเหล่านี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เล่าที่บ้านสายลม ไม่ได้เป็นเรื่องลับลมคมในแต่อย่างใด ในตอนนั้นหลวงพ่อเพิ่งกลับมาจากเยอรมัน ท่านอาจารย์ยกทรงจึงได้เป็นผู้ซักถาม คนฟังก็นั่งเต็มบ้านสายลมละครับ ส่วนใหญ่ก็รู้กันแล้วทั้งนั้น

ส่วนภาพต่อไปก็คือ "ท่านสตาลิน" ได้สิ้นลมหายใจไปหลังจากท่านฮิตเลอร์ไม่นาน คือประมาณ ปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) เป็นอันว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ รบกันไป ผลสุดท้ายก็ตายเหมือนกันทุกคน ขอแสดงความอาลัยแด่ ๕ ทหารเสือ คือ ท่านฮิตเลอร์, ท่านมุสโสลินี, ท่านสตาลิน, ท่านเกอร์ริ่ง และ ท่านเปแตงค์ ที่หลวงพ่อได้ไปช่วยไว้ในครั้งนั้น


ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ในชุดสุดท้าย ไม่ไกลจากอดีตเท่าไรใน "อิรัก" หากใครไม่รู้จัก "ซัดดัม" ก็แย่เต็มที นี่ก็พบจุดจบไปไม่นาน ซัดดัมถูกแขวนคอทีหลัง แต่ลูกชายทั้งสองถูกบอบม์ในบ้านพักห้องใต้ดินพังยับเยิน เรียบร้อยไปเสียก่อนพ่อแล้ว ส่วนแม่และน้องสาวหนีไปซีเรีย ขอเชิญชมคลิปวีดีโอได้ครับ

ซัดดัมถูกแขวนคอ


บุรุษผู้เคยยิ่งใหญ่อีกคนของโลก ที่หลงมัวเมาอำนาจจนต้องทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย เพื่อแลกกับความมั่งคั่งของตนเอง ท้ายที่สุดของชีวิตก้อมิสามารถนำเอาอะไรติดตัวไปได้ แม่กระทั่งลมหายใจ

ดูแล้วก้อหวังให้เป็นอุทธาหรณ์แก่คนที่กำลังมีอำนาจ เพื่อใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ถูกที่ควร เพื่อที่เวลาตายไปจะเหลือสิ่งดีๆที่น่าจดจำในฐานะคน มิใช่เยี่ยงเดรัจฉาน ด้วยความเคารพในฐานะมนุษย์เช่นกัน ซัดดัม ฮุสเซน

คำพูดสุดท้ายของซัดดัมในคลิปวีดีโอ
ผู้ร่วมเป็นสักขีพยานการประหารอดีตผู้นำอิรักเผยว่า "ซัดดัม ฮุสเซน" มีอาการขัดขืนเล็กน้อยและไม่ยอมสวมถุงคลุมศีรษะก่อนประหาร โดยได้ตะโกนสรรเสริญพระเป็นเจ้า พร้อมลั่นอิรักจะได้รับชัยชนะซ้ำไปซ้ำมาจนดวงวิญญาณออกจากร่าง







ภาพนักการเมืองการทหารดังหมดไปแล้ว ตอนนี้เป็นภาพดารานักร้องดังกันบ้าง ภาพนี้หาดูได้ยากมาก เพราะเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ เก่าแก่มากๆ เลย ภาพเอลวิส ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเพลงร็อคเหมือนกัน ต้องจบชีวิตอยู่ในโรงศพเช่นนี้เอง หล่อม๊ากๆๆ แต่ก็ต้องตาย


ส่วนภาพนี้ก็สวยม๊ากๆๆๆ แต่ก็ต้องตายเหมือนกัน ดูตอนมีชีวิตอยู่ จะเห็นว่าสวยหยาดเยิ้มจริงๆ


ส่วนคนนี้จะดังกว่า นั่นก็คือ ชารอน เทท หนุ่มๆ สมัยก่อนต้องรู้จักดาวยั่วคนนี้ดี ผลสุดท้ายเธอก็ต้องมาตายเช่นเดียวกัน



ภาพชุดสุดท้ายของ "ผู้ที่มาจากอดีต" ดาวยั่วที่เซ็กซี่ และก็ดังที่สุดในยุคนั้น ใครๆ ก็ต้องรู้จัก มาริลีน มอนโร ภาพทั้งสองนี้จะเปรียบเทียบได้ดีว่า ระหว่างมีชีวิตอยู่กับที่สิ้นลมปราณไปแล้ว มีสภาพอย่างไรกันแน่ ขอไปคิดให้ดูกันดีๆ นะครับทั่น..





ผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ "ซึนามิ" ปี 2547


ผู้ที่ต้องตายกับซึนามิ

ตอนเช้าของวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ใครจะไปรู้ว่าจะมีคลื่นยักษ์เข้าถาโถม ทำให้ผู้ทรัพย์สินเสียหายมากมาย และผู้คนต้องล้มตายไปนับแสน ส่วนที่เหลือก็ต้องประสบกับการไร้ที่อยู่และหิวโหย บางคนก็ต้องสูญเสียพ่อแม่และลูก บางคนก็หายไปกับท้องทะเลทั้งครอบครัวเลย ทั้งในประเทศไทย ปีนัง ลังกา อินโดนีเซีย เป็นต้น


หลังจากคลื่นลมสงบลงไปแล้ว จะเห็นสภาพศพนอนตายเกลื่อนอยู่ตามหาดทรายเป็นแถว แทบทุกหนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุ


เจ้าหน้าที่ต้องระดมช่วยเหลือกันค้นหาศพเป็นการเร่งด่วย หน่วยงานของรัฐและเอกชน ต่างก็ช่วยขนศพที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งไปเก็บไว้ตามสถานที่ต่างๆ เช่นวัด เป็นต้น



ศพทั้งหมดมีเป็นร้อยเป็นพันนี้ จะต้องนำมากองรวมไว้ในศาลา เพื่อรอญาติมารับศพกันต่อไป ระหว่างนี้นึกภาพเอาเองก็แล้วกัน ว่าส่งกลิ่นแค่ไหน เน่าพองน้ำเหลืองไหลอย่างไร ปลงกันไว้มากๆ นึกกันเอาเองนะคร๊าบบ



ผู้ที่รอดตายจากซึนามิ

หลังจากเหตุการณ์ร้ายผ่านไปแล้ว ผู้ที่หนีตายจากภัยธรรมชาติ ต่างก็ลงเรือกลับเข้าสู่ฝั่งทันที


เพื่อมนุษยชนทุกคนต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะชีวิตมีค่ายิ่ง แต่ก็มีอันตรายมาก เด็กน้อยคนนี้ จึงโชคดีที่มีผู้ช่วยเหลือไว้ได้ แต่ที่รอดตายก็กำพร้าหลายราย น่าสงสารมากครับ


ผู้ที่รอดชีวิตมาได้ ต่างก็โผกอดร่ำไห้ บัดนี้เวลาวิกฤตได้ผ่านพ้นไป ภาพเบื้องหลังยังคงฝังใจอยู่บ้าง ต่างก็เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกใจให้สู่กันฟัง


ภาพเหล่านี้เป็นผู้ที่ผ่านพ้นความตายของชีวิตมาได้ ต่างก็ถูกช่วยเหลือพยาบาลได้ทันท่วงที หลังจากนั้นก็ตามหาเพื่อนหาญาติกันต่อไป ส่วนหนังสือเดินทาง หรือทรัพย์สินต่างๆ คงไม่ต้องหาแล้วนะ เอาชีวิตให้รอดก่อนเถอะ


หลังจากเข้ารักษาพยาบาลแล้ว ต่าง ก็ร้องไห้เพราะดีใจที่รอดตายมาได้ ส่วนผู้ที่เสียใจคงมีมากมายหาประมาณมิได้ เพราะได้สูญเสียพ่อแม่และลูกๆ ทั้งหลายไป


ส่วนรายนี้น่าสงสารมาก พ่อกำลังกอดลูกร่ำไห้ หลังจากหาศพแม่ไม่เจอ ได้แต่เอารูปภาพไปประกาศแจ้งหายไว้ นับว่าแผลหัวใจของผู้สูญเสีย มีหาประมาณไม่ได้ ลองให้เจอตัวเราเองบ้างซิ จะรู้ว่าปลงได้แล้วแค่ไหนนะ มันไม่มีให้ทดสอบเสียด้วยซิ

ส่วนใหญ่จะเจอกันจริงๆ แล้วเรียบร้อยไปเลย ไม่มีโอกาสมานั่งเล่ากันตัวต่อตัวอีกนั่นแหละ แต่อย่ามาเลย เดี๋ยวจะต้องพกหลวงพ่อโกย อาจารย์เผ่น อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีคนเล่าภายหลังว่า หลังจากเหตุการณ์ซึนามิผ่านไปแล้ว คนที่เดินไปแถวบริเวณนั้น มักจะได้ยินเสียงเล่นน้ำกันบ้าง เสียงหัวเราะต่อกระซิกบ้าง บรื๊อ...ออ..อ. อย่าเล่าเลย ขนหัวลุกแล้วละ (แหม..เวลาไม่ตายก็อยู่ใกล้ได้นะ พอตายไปแล้ว..บอกให้รีบไปๆ เลยนะ)



ผู้ที่ตายแต่ก็ยังสูญหายไป

ภาพชุดนี้หายไปหมดเกือบทั้งครอบครัว ได้ประกาศลงอยู่ในภาพชายทะเล (ตามภาพมีแค่ 4 คน) ไม่รู้ว่าที่ประเทศไหนบ้าง ส่วนอีกภาพหนึ่งกำลังมีความสุขกัน (ในภาพมี 5 คน น่าจะตายหมด เหลือแต่พ่อคนเดียว ลองสังเกตดูด้วยนะ) แต่หารู้ไม่ว่าต้องมีอันเป็นไปเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ได้จริงๆ ว่าความหายนะเกิดขึ้นเมื่อไรกับชีวิต น่าอนาถจริงๆ นะในการเกิด


พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างเข้าไปตรวจดูรายชื่อผู้ที่สูญหาย




รูปภาพที่ประกาศคนหาย มีทั้งสาวไทยกับสาวจีน และยังมีต่อไปอีกเรื่อยๆ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางรายก็หายไปเกือบทั้งครอบครัว น่าสงสารจริงๆ นะครับ


ส่วนเด็กๆ มีมากมายหลายคน นี่นำมาแค่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น








ประกาศสามีภรรยาหายไปทั้งสองคน



ประกาศผู้หญิงหายไป



คุณพ่อประกาศแจ้ง "ครอบครัว Dahlin" หายไปทั้งคุณแม่ ลูกชาย และ ลูกสาว เป็นนักท่องเที่ยวชาวสวีเดน




ภาพนี้เธอชื่อ นางสาวซิมมอน ฮอลเลนสเตน อายุ 20 ปีเท่านั้น เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ หายไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 47 ก่อนเสียชีวิตพักอยู่ที่โรงแรมแถวเขาหลัก จ.พังงา


ส่วนสาวคนนี้เป็นชาวเยอรมัน พ่อแม่ประกาศแจ้งหายเช่นกัน เธอชื่อ Sophia Sturmer หายไปจากเขาหลัก จ.พังงา เช่นกัน


แจ้งประกาศคนหายชุดนี้ หายสาบสูญไปพร้อมกันทั้งครอบครัว "Mantak" คือ พ่อ แม่ และ ลูกชายทั้งสองคน


ภาพต่างๆ เหล่านี้ น่าสลดเศร้าใจมาก บุคคลที่สูญหาญ ต้องพลัดพรากจากกันอย่างไม่ทันรู้ตัว บางคนพ่อแม่หายไป บางรายลูกก็หายไป เช่นตัวอย่างนี้เป็นต้น ลูกเล็กๆ น่ารักทั้งนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ไม่มีผิดว่า "ปิยะโต ชายะ เต ภะยัง ปิยะโต ชายะ เต โสโก" ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก ภัยอันตรายเกิดจากความรัก ดังนี้



หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)

เทศน์เรื่อง "มรณานุสสติกรรมฐาน"


(การเทศน์ "มรณานุสสติ ตอนที่ 16 " นี้ จะไม่ตรงกับคำสอนข้างล่าง)







คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)


"...โอกาสนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ก็เป็นโอกาสที่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะได้รวบรวมกำลังใจเป็นสมาธิ คำว่า "สมาธิ" แปลว่า "การตั้งใจมั่น" ก็ตั้งใจไว้เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง คือระยะนี้ที่สอนกันมาเป็นพื้นฐาน คือให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พยายามกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้าหายใขออก

เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" เอาเท่านี้พอ ถ้าขณะใดที่จิตของท่านยังรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก รู้คำว่า "พุทโธ" ก็แสดงว่าจิตของท่านเป็นสมาธิ เป็นมหากุศลใหญ่ ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ก็เป็นบุญอนันต์ คือว่าจะนับประมาณอานิสงส์ไม่ได้ ถ้าทรงจิตไว้ได้ตามปกติตายแล้วก็เกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันถึงสมถภาวนาอารมณ์นี้

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงไว้ให้เป็นปกติ จะเป็นเวลานี้หรือเวลาอื่นใดก็ตามทำงานอยู่ นั่งรถนั่งเรือเดินทางไปไหนก็ตาม นึกถึงอารมณ์นี้ไว้เป็นปกติเวลาตายจะไม่หลงตาย จุดที่ไปอย่างเลวก็ต้องสวรรค์ อย่างดีก็ต้องพรหมโลก เพราะว่า "สมถภาวนา" มีผลถึงพรหมโลก และเราจะไปนิพพานได้ ถ้ามีสมถภาวนาแจ่มใสพอสมควร ปัญญาก็จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมาเอง

ในวันนี้ก็จะขอแนะนำ "อนุสติ" ข้อต่อไปเพื่อการเป็นการศึกษาไว้เวลาปฏิบัติ วันนี้จะสอนเรื่อง "มรณานุสติกรรมฐาน" สำหรับมรณานุสติกรรมฐานนี้ เป็นกรรมฐานสำหรับบุคคลที่มีจริตเป็น "พุทธจริต" คือเป็นบุคคลฉลาด บุคคลที่มีความฉลาดแล้วย่อมไม่กลัวความตาย รู้จักสภาวะปกติของ ขันธ์ ๕ คือ "ร่างกาย" ว่ามันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นมีความแปรปรวนในท่ามกลางและก็ตายไปในที่สุด

ทีนี้...การที่นึกถึงความตายไว้เป็นปกติ การนึกถึงความตาย จงอย่านับอายุว่าเวลานี้เรายังหนุ่มอยู่ เรายังสาวอยู่ ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย เวลานี้เราเป็นบุคคลวัยกลางคน มันยังไม่แก่ มันยังไม่ตาย หรือว่าเวลานี้เราแก่แล้วแต่ก็ยังคงไม่ตาย อารมณ์อย่างนี้ไม่ควรคิด เพราะว่าความตายย่อมไม่มีนิมิตเครื่องหมาย

คนที่ตายไม่ใช่ว่าแก่หง่อมแล้วถึงจะตายเสมอไป บางคนเข้าอยู่ในครรภ์มารดาไม่ทันที่จะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันก็ตาย บางรายคลอดจากครรภ์มารดาไม่ทันจะเห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไรก็ตาย บางรายเกิดมาแล้วไม่กี่วันก็ตาย หนุ่มก็ตาย เด็กก็ตายแก่ก็ตาย วัยกลางคนก็ตาย นี่ความตายหาความแน่นอนไม่ได้

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จงคิดไว้ว่าวันนี้เป็นเวลาค่ำเรายังมีชีวิตอยู่
แต่ว่าเราอาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ความตายอาจมาถึง

ทีนี้คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติดีหรือเลวเป็นประการใด อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า คนที่นึกถึงความตายเป็นปกติ เป็นคนดีไม่มีความประมาท เมื่อรู้ว่าเราจะตาย สภาวะความตายไม่ใช่สภาวะสูญ ถ้าเรายังไม่หมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นอรหันต์เมื่อไร ความเกิดก็ปรากฏ

เมื่อตายแล้วก็เกิด ไม่ใช่หมายความว่าเกิดเป็นคนเสมอไป ถ้าทำกรรมชั่วไว้ จิตใจสั่งสมอยู่ในอารมณ์ชั่วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดเป็นคนมีความอุดมสมบูรณ์มีความสุขสมบูรณ์กับใครเขาไม่ได้ นี่เป็นปัจจัยของความชั่วที่เราเรียกกันว่าบาป

ทีนี้คนที่มีความดีมีศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็เกิดเป็นมนุษย์ได้ แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ชั้นดี หรือมีฉะนั้นมีการภาวนาอยู่บ้าง มีศีลมีทานเป็นปกติเกิดเป็นเทวาก็ได้ถ้ามีกำลังใจเป็นฌานสมาบัติทรงความดีไว้เป็นปกติ คำว่า "ฌาน" แปลว่า การเพ่ง เป็นอารมณ์ที่ทรงอยู่ ทรงอยู่แต่เฉพาะในอารมณ์ที่เป็นกุศล เวลาจะตายจิตก็ทรงอยู่ตามนั้น อย่างนี้ตายแล้วเกิดเป็นพรหม ถ้าตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ เราก็ไปพระนิพพาน

เป็นอันว่าความตายมีอยู่ แต่ว่าตายแล้วก็ไม่สูญต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไรก็ช่างสุดแล้วแต่กรรมที่จะพึงกระทำ เมื่อเรารู้แล้วเราทำความดีไปเกิดใหม่ในส่วนผลดีที่มีความสุข ทำความชั่วต้องไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิ อย่างนี้เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงความชั่วไว้เป็นสำคัญ จงระลึกถึงความตายเป็นปกติ อาจจะคิดว่าวันนี้เรามีชีวิต พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้หรือว่าเวลานี้ขณะที่เรานั่งอยู่อาจจะตายไปก่อนเวลาที่เราจะนอนเสียอีกก็ได้

ถ้าเราคิดไว้อย่างนี้เสมอ จิตใจของเราก็ไม่ประมาท พยายามแสวงหาความดีไว้เป็นปกติ การแสวงหาความดีไว้เป็นปกติจะเอาความดีกันทางไหนล่ะ เรารู้ตัวอยู่ว่าเราจะตายเราก็เลือกทางเอา ถ้าเราต้องการเกิดเป็นมนุษย์ ก็พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามรักษากรรมบถ ๑๐ ให้บริสุทธิ์ เราก็พยายามคุมอารมณ์ศีลให้เป็นปกติ อย่างนี้ตายแล้วเป็นมนุษย์ได้แบบสบาย ๆ แล้วก็เป็นมนุษย์ชั้นดี

ตามพระบาลีว่า "สีเลนะ สุคติง ยันติ" เวลาตายแล้วคนมีศีลจะไปสู่สุคติ มีความสุขสมบูรณ์ "สีเลนะ โภคะสัมปะทา" เราจะมีโภคทรัพย์มากมาย "สีเลนะ นิพพุติง ยันติ" ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้โดยง่าย ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีล เรานึกถึงความตายไว้แล้ว ถ้าเราต้องการดีเราก็รักษาศีลให้เป็นปกติ

ทีนี้เราต้องการความสุขยิ่งไปกว่านั้น ต้องการไปสวรรค์หรือว่าพรหมโลกเราก็เจริญสมถกรรมฐานเป็นปกติอย่างที่แนะนำว่า เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" หายใจเข้าหายใจออกเป็น "อานาปานุสติกรรมฐาน" กันอารมณ์ฟุ้งซ่านทางจิตได้ คำว่า "พุทโธ" เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน คือ ระลึกนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นปกติ เราก็ไปพรหมโลกได้

ทีนี้การเจริญมรณานุสติกรรมฐาน เราจะไปได้แต่เฉพาะพรหมโลกหรืออย่างไรความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เราสามารถจะไปพระนิพพานได้ โดยยกสมถภาวนาขึ้นเป็นวิปัสสนาภาวนา การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นสมถภาวนา มีผลตั้งแต่กามาวจรสวรรค์ถึงพรหมโลก

ทีนี้การที่มีผลถึงสวรรค์หรือพรหมโลก เมื่อกี้ว่ายังหาความสุขให้เพียงพอไม่ได้ เราก็ต้องสรรหาความสุขให้ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขที่ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ต้องถือความตายเป็นอารมณ์ ว่าเราเกิดมานี้มันต้องตายแน่เราไม่สามารถจะทรงชีวิตอยู่ได้ ความตายเป็นของปกติ เราจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเย็น ตายเที่ยง เมื่อไรนี่เราไม่รู้ แต่ว่ามันต้องตายแน่ เมื่อกฏธรรมดาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า

ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสามอย่างด้วยกัน คือ

๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ ท่านสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่ต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัญหาที่จะควบคุมท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องการกลับมาเกิดอีก เรียกว่า "สมุจเฉทมรณะ" แปลว่า "ตายขาดตอน" ไม่กลับมาเกิดอีก

๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือความดับ หรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไป ใกล้จุดจบสุดยอด คือตายทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือตายทุกลมหายใจออก และเกิดต่อทุก ๆลมหายใจเข้า

อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราว เมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทน แต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทน ชีวิตก็ต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ไปได้ก็เพราะอาหารไหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่าท่านถือว่า ร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่ อีกวาระหนึ่ง การเกิด การตาย ต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้

ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือ ลมหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันทีที่รงอยู่ได้อย่งนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่งค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า "ขณิกมรณะ" แปลว่าตายทีละเล็กทีละน้อย หรือตายเล็ก ๆ น้อย ๆ

๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ "กาลมรณะ" แปลว่า "ตายตามกาลตามสมัย" ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า .ถึงที่ตาย. คือสิ้นอายุ อย่างชนิที่ไม่มีการแก้ไขได้ "อกาลมรณะ" แปลว่า "ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย" แต่ต้องตายเพราะ "กรรม" บางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย

การตายประเภทหลังนี้ พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามความสมควรแต่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้ว เสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็น "สัมภเวสี" แสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน

เมื่อถึงกาลแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้น ต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า "ตายโหง" นั้นเอง เช่น ถูกฆ่าตาย คลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย

รวมความว่า ตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดา เรียกว่า "อกาลมรณะ" คือตายก่อนกำหนดตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือ สามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่นที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาเคราะห็ หรือต่ออายุ การสะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุนั้นต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้ แต่ถ้าต่อแบบหมอชีวิตให้มีความสุข ส่วนผู้ต่อกลายเป็นผู้ต่อทุกข์ไป

อายุวัฒนกุมาร

เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตร ซึ่งมีอยู่ใน "พระไตรปิฎก" คือเรื่องของท่าน "อายุวัฒนสามเณร" มีเรื่องย่อดังนี้

วันหนึ่ง...บิดามารดาพาท่านเมื่อยังเกิดไม่กี่เดือนไปหาพระพุทธเจ้า (ขอเล่าลัดๆ ) เมื่อบิดาลาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอแม่เข้าลาท่านก็ว่าอย่างนั้น ตอนท้าย สองผัวเมียให้ลูกชายกราบลาท่าน ท่านไม่พูด คือท่านเฉยเสีย

สองผัวเมียแปลกใจถามว่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันสองผัวเมียกราบลาพระองค์ให้พรว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน แต่พอเกล้ากระหม่อมฉันให้ลูกชายลา พระองค์ทรงนิ่ง เหตุอะไรจะมีแก่บุตรชายเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองหรือ..พระพุทธเจ้าข้า ?

พระองค์ทรงตรัสตอบว่า เพราะบุตรชายของเธอจะตายภายใน ๗ วันนี้ ตถาคตจึงไม่กล่าวอย่างนั้น สองผัวเมียฟังแล้วตกใจ ขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์สั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้วให้เอาพระไปนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตครบ ๗ คืน ๗ วัน พอวันที่ ๗ เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์จะมาเอาชีวิตวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระองค์เสด็จ พรหมและเทวดาผู้ใหญ่มามาก ยักษ์เข้าไม่ถึง

พอครบเวลาที่ยักษ์จะเอาชีวิต หมายความว่า ถ้าเลยเวลาเขาทำไม่ได้ เขาทำตามกฎของกรรมว่าจะให้ตายเวลาเท่าใด เวลาเท่านั้นเขาจะต้อวทำให้ได้ ถ้าเลยเวลาแล้วเขาก็ไม่ทำ พอเลยเวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็พาพระกลับ เลิกพิธี ก่อนกลับพระองค์ให้พรเด็กว่า ทีฆายุโก โหตุ ต่อมาเด็กคนนั้นมาบวชเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านมีอายุครบ ๑๒๐ ปี จึงนิพพาน

พวก "อกาลมรณะ" นี้ต่อได้อย่างนี้ แต่การต่อต้องเป็นผู้รู้จริง และการทำให้ต้องไม่ปรารภสินจ้างรางวัล ทำเพื่อการสงเคราะห์จริงๆ จึงเกิดผล ว่าจะพูดเรื่องตายเป็นกรรมฐานแอบมาเป็นหมอต่ออายุเสียแล้ว ขอวกกลับไปเรื่องมรณานุสสติใหม่

อานิสงส์ของทาน ศีล ภาวนา

ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้แสวงหาความดีใส่ตัว โดยรู้ว่าชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่อยากจนอีก ก็พยายามให้ทานเสมอๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอเหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละ..จึงจะควร

ถ้ารู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายอยู่เสมอๆ ของหายบ่อยๆ รูปร่างสวยน้อยไป คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ในชาติหน้า จะได้พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีโรคภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชา อยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์

ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อยไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญ "สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน" พอมี "ฌาน"มี "ญาณ" เล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ

ถ้าเห็นว่าความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรมีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการเกิดอีกก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่าเจริญ "มรณานุสสติกรรมฐาน"

เพราะกรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์

วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง

พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละ ๗ ครั้ง พระเจ้าข้า

พระองค์ตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้ กำหนดการเกิดหมอบอกได้ แต่กำหนดเวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอน

สำหรับปุถุชนคนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้า หรือท่านที่ชำนาญใน "อานาปานุสสติกรรมฐาน" ท่านสามารถบอกเวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริยเจ้าที่จะบอกเวลาได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้ "วิชชาสาม" เป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน

ท่านเปรียบชีวิตไว้คล้ายกันคนขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้นแล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นพลันสูญไป ชีววิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกัน ความตายรออยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็สิ้นภาวะเมื่อนั้น เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย

ท่านที่เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็นปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่าความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไปก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามเต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็นเหยื่อของวัฏฏะอีก

แม้ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่งจะต้องพังทลายเรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไรในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็คือพระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ อย่างนี้มีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอดเยี่ยม คือถึง "พระนิพพาน" ในชาติปัจจุบันแน่นอน..สวัสดี.

*******************************

หมายเหตุ รูปภาพประกอบนี้ กรุณาอย่าวิพากษ์วิจารณ์ ขอให้พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น ควรจะอุทิศผลบุญนี้ให้แก่ผู้วายชนม์ หรือที่เรียกว่า "อาจารย์ใหญ่" จึงจะเป็นการดีที่สุด

รูปภาพที่มา - เว็บที่เกี่ยวกับอสุภะ