ตามรอยพระพุทธบาท

ย้อนภาพเหตุการณ์ "มหันตภัย" แผ่นดินไหว ณ ประเทศจีน
webmaster - 20/8/08 at 15:31

สารบัญ

(เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


01.
อุระคะชาดก
02. คลิปวีดีโอ "หลวงพ่อสอนที่บ้านสายลม" นวสี (ป่าช้า 9)
03. "คลิปภาพวิดีโอ" ขณะเกิดแผ่นดินไหว
04. "จงจำไว้...แม่รักลูกเสมอชั่วนิรันดร์" ข้อความสุดท้ายใต้ซากแผ่นดินไหว



มรณัสสติสูตร

ตามที่ทราบข่าวกันไปทั่วโลกแล้วว่า หลังจากพายุไซโคลน "นาร์กิส" เข้าถล่มประเทศพม่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ทุกประเทศต่างก็ให้ความช่วยเหลือ พร้อมกับแสดงความเศร้าสลดไปด้วย แต่หลังจากภัยธรรมชาตินี้เพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ประเทศจีนก็ต้องประสบชะตากรรมอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน นับว่ามวลมนุษยโลกที่อาศัยโลกใบนี้ นับวันยิ่งพบกับมหันตภัยอย่างร้ายแรง ชนิดที่ว่าสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมายมหาศาล ยังความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นอย่างมาก

เรื่องนี้สมจริงตามพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
(พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔) ในเรื่อง "มรณัสสติสูตร" (คำว่า มรณัสสติ หรือ มรณานุสสติ มีความหมายอันเดียวกัน
นั่นก็คือ การระลึกถึงความตาย) ณ โอกาสนี้ จะขอนำ "มรณัสสติสูตรที่ ๒" ที่ทรงสั่งสอนภิกษุทั้งหลายว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
ก็มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ? ทำให้มากแล้วอย่างไร ? ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันผ่านไปกลางคืนย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เหตุแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเรา แมลงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เราพึงตายเหตุนั้น อันตรายพึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลง อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อย ดีของเราพึงกำเริบ เสมหะของเราพึงกำเริบ หรือลมที่มีพิษเพียงดังศัสตรา ของเราพึงกำเริบ เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา ผู้กระทำกาละในกลางคืน มีอยู่หรือหนอ ?
ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังไม่ได้ละ อันจะพึงเป็นอันตราย แก่เราผู้กระทำกาละในกลางคืนยังมีอยู่

ภิกษุนั้น พึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียรความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
เปรียบเสมือนบุคคล ผู้มีผ้าโพกศีรษะถูกไฟไหม หรือมีศีรษะถูกไฟไหม้ พึงทำฉันทะ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟที่ผ้าโพกศีรษะหรือที่ศีรษะนั้น ฉะนั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล ที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้กระทำกาละในกลางคืนไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่เถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด"

จาก..มรณัสสติสูตร ๒๒/๓๑๘ เว็บพระไตรปิฎก 84000

ll กลับสู่ด้านบน




อุระคะชาดก

เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน มหาวิหาร ทรงปรารภ "กุฏมพี" มีบุตรอันตายแล้วคนหนึ่ง จึงได้ตรัสพระชาดกเทศนานี้มีความว่า

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่เรือนกุฏมพี จึงมีพระพุทธฎีกาถามกุฏมพีผู้มานั่งถวายอภิวาทอยู่นั้นว่า “ ท่านเศร้าโศกอยู่หรือ..? ” ครั้งกุฏมพีนั้นทูลรับว่า
“พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์มีความเศร้าโศกจำเดิมแต่เวลาบุตรข้าพระองค์ทำกาลกิริยาฯ”

พระองค์จึงตรัสสอนว่า ขึ้นชื่อว่าสภาพธรรมที่มีความแตกและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ก็ต้องย่อมแตกย่อมเสื่อมไป ธรรมที่มีความแตกความเสื่อมไปนั้น จะได้มีแก่บุคคลหนึ่ง หรือเฉพาะในบ้าน ตำบลหนึ่งก็หามิได้

อนึ่ง สภาพธรรมที่ไม่รู้จักตาย บุคคลย่อมแสวงหาไม่ได้ในสามภพจบจักรวาล บุคคลผู้สามารถอาจหาญจะให้สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดานั้นดำรงชีพอยู่ได้มิได้มีเลย สังขารธรรมแม้สิ่งหนึ่งชื่อว่าเป็นของเที่ยงก็ย่อมไม่มี สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นธรรมดา สังขารธรรมทั้งหลายมีความแตกทำลายไปเป็นธรรมดา ส่วนโบราณกบัณฑิตทั้งหลายเมื่อวายชนม์ไปปรโลกก็มิได้เศร้าโศกอาลัย เพราะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุด

ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว กุฏมพีนั้นจึงทูลวิงวอนให้ทรงแสดงชาดกเทศนา พระองค์ได้ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ ฯ
ในกาลล่วงนานแล้ว เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยสมบัติในเมืองพาราณาสีกาสีรัฐ พระบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์บ้านใกล้ประตูเมืองพาราณาสี สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้เลี้ยงชีพให้เป็นไปด้วยกสิกรรมฯ

พระบรมโพธิสัตว์นั้นมีบุตรสองคน เป็นชายคนหนึ่ง เป็นหญิงคนหนึ่งฯ เมื่อบุตรเจริญวัยขึ้นมา พราหมณ์ผู้บิดาจึงไปนำนางกุมาริกาผู้มีชาติตระกูลเสมอกันมาคนหนึ่งเพื่อเป็นภรรยาบุตรฯ ในเรือนนั้นมีอยู่หกคนด้วยกัน คือ พระโพธิสัตว์ ๑ , ภรรยา ๑, บุตร ๑ , ธิดา ๑ , สะใภ้ ๑ , ทาสี ๑ คนทั้งหกนั้นมีความพร้อมเพรียงยินดีรักใคร่กันฯ

พระบรมโพธิสัตว์ตรัสสั่งสอนคนทั้งห้านั้นให้ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานตามสมควรแก่ทรัพย์ของตนที่หามาได้ จงรักษาศีลห้าและอุโบสถศีล จงเจริญ "มรณสติ" กำหนดความที่ท่านทั้งหลายมีความตายเป็นสภาพธรรมดา เพราะว่าความตายของสัตว์ทั้งหลายเป็นของเที่ยง ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงสรรพสังขารทั้งหลายเป็นสภาพไม่เที่ยงแท้ถาวร มีความสิ้นไปและเสื่อมไปเป็นธรรมดาทีเดียว ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท ทั้งกลางวันและกลางคืนเถิดฯ

ครั้นชนทั้งหลายรับโอวาทพระโพธิสัตว์แล้ว ก็เป็นผู้ไม่ประมาทเจริญมรณสติฯ ครั้นภายหลังวันหนึ่งพระบรมโพธิสัตว์ไปสู่นากับบุตรแล้วไถนาอยู่ฯ ส่วนบุตรโกยหยากเหยื่อมาเผาฯ อสรพิษตัวหนึ่งอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกลบุตรพระโพธิสัตว์ยืนอยู่นั้นฯ ควันไฟรมนัยน์ตางู งูโกธรคิดว่าภัยเกิดขึ้นแก่ตัวเราเพราะอาศัยมานพนี้ จึงได้ออกจากจอมปลวกฉกกัดบุตรพระบรมโพธิสัตว์นั้นจมทั้ง ๔ เขี้ยว บุตรพระบรมโพธิสัตว์ล้มลงตายอยู่ในที่นั้นฯ

ครั้นพระบรมโพธิสัตว์เหลียวมาดูได้เห็นบุตรล้มลง จึงปล่อยโคเสียแล้ว ไปสู่ที่นั้นได้ทราบความที่บุตรนั้นตายแล้วก็มิได้คร่ำครวญ จึงยกบุตรนั้นขึ้นให้นอนคลุมผ้าไว้ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วมากำหนดเห็นความที่สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงว่า สิ่งที่มีความแตกเป็นธรรมดาแตกไปแล้ว สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดามาตายไปแล้ว สรรพสังขารทั้งหลายเป็นสภาพไม่เที่ยงจบลงด้วยความตายฯ

ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เห็นบุรุษคุ้นเคยผู้หนึ่งไปที่ใกล้นาจึงถามว่า พ่อท่านจะไปเรือนหรือ ครั้นบุรุษนั้นรับตอบว่าจะไป จึงสั่งว่าถ้ากระนั้นท่านพึงไปเรือนเราแล้วบอกกะนางพราหมณีว่า วันนี้ไม่พึงนำอาหารมาเพื่อคนสองคนดังแต่ก่อน พึงนำอาหารมาเพื่อเราผู้เดียว อนึ่งแต่ก่อนทาสีเป็นผู้นำอาหารมาคนเดียวก็วันนี้ชนทั้งสี่นุ่งห่มผ้าที่บริสุทธิ์มือถือของหอมและดอกไม้มาฯ

บุรุษนั้นรับว่าดีแล้ว จึงบอกนางพราหมณีตามคำที่พระบรมโพธิสัตว์สั่งมาทุกประการฯ นางพราหมณีถามว่าพ่อข่าวนี้ใครให้มาฯ บุรุษนั้นบอกว่า พราหมณ์ให้มาฯน างพราหมณีนั้นก็รู้ชัดว่าบุตรของเราตายเสียแล้วฯ

เมื่อนางพราหมณีทราบเหตุดังนี้ก็มิได้มีอาการหวั่นไหวฯ ส่วนนางพราหมณีมีจิตอบรมด้วยดีอย่างนี้ แล้วนุ่งห่มผ้าบริสุทธิ์มือถือของหอมและดอกไม้ให้ทาสีถืออาหารแล้วนำไปสู่นาด้วยธิดาและสะใภ้ เมื่อชนทั้งสี่ไปถึงที่นาแล้ว บุคคลผู้หนึ่งมิได้ร้องไห้ร่ำไรเลยฯ

พระบรมโพธิสัตว์นั่งบริโภคอย ณ ร่มไม้ที่บุตรนอนฯ เมื่อบริโภคเสร็จแล้วชนทั้งสี่ก็ไปรื้อฟืนยกซากศพนั้นขึ้นสู่เชิงตะกอน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้แล้วจึงเผาศพฯ เมื่อเผาศพอยู่นั้นผู้ใดผู้หนึ่งจะได้มีน้ำตาสักหยดหนึ่งก็ไม่มีชนทั้งสิ้นพากันเจริญ "มรณัสติกรรมฐาน" เป็นอารมณ์ฯ

ด้วยเดชศีลาธิคุณของชนเหล่านั้น บันดาลให้ร้อนถึงพิภพท้าวสักกรินทร
เทวราช ท้าวเธอจึงทรงพระดำริว่าใครหนอจะทำให้เราเคลื่อนจากที่ ครั้นทรงใคร่ครวญดูก็ทราบว่าเป็นเพราะเดชคุณของชนเหล่านั้นท้าวเธอก็มีใจเลื่อมใส จึงเสด็จไปในสถานที่นั้นแล้วยังชนเหล่านั้น ให้บันลือสีหนาทแล้วควรทำนิวาสถานของชนเหล่านั้นให้เต็มด้วยแก้ว ๗ ประการ

ครั้นทรงรำพึงฉะนี้แล้วจึงเสด็จไปประทับยืนอยู่ข้างศพแล้วตรัสถามว่า พ่อท่านทั้งหลายทำอะไรกันฯ พระบรมโพธิสัตว์นั้นตรัสว่า ข้าแต่นาย..ข้าพเจ้าเผามนุษย์คนหนึ่งฯ

ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจักไม่ได้เผามนุษย์ชะรอยจักฆ่าเนื้อตัวหนึ่งแล้วเผาเสียฯ พระบรมโพธิสัตว์ตรัสตอบว่าข้อนั้นหามิได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายเผามนุษย์แท้จริงฯ

ท้าวสักกะตรัสว่าถ้าเช่นนั้นจะเป็นมนุษย์ผู้มีเวรแก่ท่านทั้งหลายฯ พระบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบท้าวสักกะว่า ข้าแต่นาย..ไม่ใช่มนุษยผู้มีเวรแก่ข้าพเจ้า เขาเป็นบุตรเกิดจากแต่อกข้าพเจ้าฯ

ท้าวสักกะตรัสถามว่า ถ้ากระนั้นก็ไม่ใช่บุตรเป็นที่รักของท่านฯ

พระบรมโพธิสัตว์ตรัสตอบว่า ข้าแต่นายเป็นบุตรที่รักของข้าพเจ้าอย่างยิ่งฯ

ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุไรท่านจึงไม่ร้องไห้เล่าฯ

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจะตรัสเหตุแห่งความที่ตนไม่ร้องไห้ จึงตรัสพระคาถาแรกว่า

อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ หิตฺวา คจฺติ สนฺตนํ
เอวํ สรีเร นิพฺโภเค เปเต กาลกเต สติ ฯ
ทยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ
ตสฺมา เอตํ น โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คติฯ


(เพื่อความสะดวกในการอ่านคำบาลี จึงรอนำมาเรียบเรียงใหม่เฉพาะบทนี้ว่า อุระโคะ ตะจัง ชิณณัง หิตวา คัจติ สันตะนัง เอวัง สะรีเร นิพโภเค เปเต กาละกะเต สะติ ฯ ทัยหะมาโน นะ ชานาติ ญาตินัง ปะริเทวิตัง ตัสมา เอตัง นะ โสจามิ คะโต โส ตัสสะ ยา คะติ ฯ)

งูลอกคราบเก่าออกไม่มีความอาลัยทิ้งไปเสีย ฉันใด บุตรของข้าพเจ้าทิ้งสรีระของตนไปเสียที ฉันนั้น เมื่อสรีรบุตรแห่งข้าพเจ้านั้นปราศจากชีวิตตินทรีย์ไปสู่ปรโลก กระทำกาลแล้วอย่างนี้ จะต้องการอะไรด้วยความร้องไห้ เพราะความกรุณาเล่า บุตรข้าพเจ้านี้

อันบุคคลแทงด้วยหลาวทั้งหลายแล้วให้ไหม้อยู่ย่อมย่อมไม่รู้จักสุขและทุกข์ฉันใด บุตรข้าพเจ้าก็ไม่รู้ความที่ญาติทั้งหลายร่ำไรอยู่ ฉันนั้น เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้า จึงไม่เศร้าโศกถึงบุตรนั้นฯ คติของเขานั้นอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้นๆ

ครั้นท้าวสักกะเทวราชได้สดับคำพระบรมโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ดังนี้แล้วจึงตรัสถามนางพราหมณีว่า แม่ผู้นั้นเป็นอะไรกับท่านฯ นางพราหมณีตอบว่าเขาเป็นบุตรที่ข้าพเจ้ารักษามาด้วยครรภ์สิ้น ๑๐ เดือน แล้วให้ดื่มถันและบำรุงเลี้ยงให้เจริญฯ

ท้าวสักกะตรัสถามว่า แม่..บิดาไม่ร้องไห้ด้วยความที่ตนเป็นบุรุษนั้นยกไว้ ก็แต่ว่าใจมารดานั้นอ่อนไหวเพราะเหตุใท่านจึงไม่ร้องไห้เล่า

เมื่อนางพราหมณีจะกล่าวเหตุที่ตนไม่ร้องไห้ จึงกล่าวคาถาว่า

อนพฺภิโต ตโต อาคา นานุญาโต อิโต คโต
ยถา คโต ตถา คโต ตตฺถ กา ปริเทวนาฯ
ทยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ
ตสฺมา เอตํ น โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คติ ฯ


บุตรของข้าพเจ้านี้ข้าพเจ้ามิได้เชื้อเชิญให้เขามาแต่ปรโลกนั้นเขามาสู่เรือน ข้าพเจ้าเองถึงเมื่อเขาจะไปจากมนุษย์โลกนี้ข้าพเจ้าไม่ได้อนุญาติเขาก็ไปแล้ว เมื่อเขามาได้มาตามความชอบใจของตนอย่างใดถึงเมื่อเขาจะไปก็ไปอย่างนั้นนั่นแหละ

การที่มาร้องไห้คร่ำครวญในการที่บุตรของข้าพเจ้าไปจากโลกมนุษย์นี้นั้นจะมีประโยชน์อะไรฯ บุตรข้าพเจ้านี้เมื่อไหม้อยู่ก็ย่อมไม่รู้สุขและทุกข์ฉันใด เขาก็จะไมรู้ความแห่งญาติทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญอยู่ฉันนั้น เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงบุตรนั้น คติของเขาอย่างใด เขาก็ไปสู่คติอย่างนั้นฯ

ครั้นท้าวสักกะได้สดับคำนางพราหมณีแล้ว จึงตรัสถามน้องสาวว่า แม่ผู้นั้นเป็นอะไรกับท่านฯ นางนั้นกล่าวตอบว่า ข้าแต่นาย..เขาเป็นพี่ชายข้าพเจ้าฯ

ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า แม่ ธรรมดาน้องหญิงต้องมีความเสน่หาในพี่ชายทั้งหลาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงไม่ร้องไห้เล่า

เมื่อนางนั้นจะกล่าวเหตุแห่งความไม่ร้องไห้แก่ท้าวสักกะ จึงได้กล่าวคาถาว่า

สเจ โรเท กีสา อสฺสํ ตสฺสา เม กึ ผลํ สิยา
ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ ภิยฺโย โนอรตี สิยาฯ
ทยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ
ตสฺมา เอตํ น โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คติฯ


เมื่อพี่ชายตายแล้ว ข้าพเจ้าจะพึงร้องไห้ไซร้ ข้าพเจ้าก็จะเป็นผู้มีสรีระผอม ความเจริญก็มิไดมีแก่พี่ชายข้าพเจ้าเพราะเหตุปัจจัย คือ การร้องไห้ เมื่อข้าพเจ้านั้นร้องไห้อยู่ผลอะไรอานิสงส์อะไรจะพึงมีแก่ข้าพเจ้าฯ ญาติมิตรสหายของข้าพเจ้าเหล่าใดความไม่ยินดีจะพึงมีแก่ญาติมิตรสหายของข้าพเจ้าเหล่านั้น

พี่ชายของข้าพเจ้านี้เผาอยู่ย่อมไม่รู้ความสุขทุกข์ ฉันใด เขาก็จะไม่รู้ความที่แห่งญาติทั้งหลายร้องไห้ร่ำไรอยู่ ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงพี่ชายนั้น คติของตนนั้นเป็นอย่างไร เขาก็ไปคติของตนอย่างนั้นฯ

ครั้นท้าวสักกะได้สดับคำน้องสาวอย่างนั้นแล้ว จึงได้ถามภรรยาบุรุษนั้นว่าแม่ผู้นั้นเป็นอะไรกับท่านฯ

ภรรยานั้นตอบว่าข้าแต่นายเขาเป็นสามีข้าพเจ้า

ท้าวภูตบดีจึงตรัสถามว่า ธรรมดาหญิงเมื่อสามีตายแล้วก็เป็นหม้ายไม่มีที่พึ่ง เพราะเหตุไรท่านจึงไม่ร้องไห้เล่าฯ

ส่วนภรรยาเมื่อจะกล่าวเหตุคือความไม่ร้องไห้แก่ท้าวสักกะ จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า

ยถาปิ ทารโก จนฺทํ คจฺฉนฺตํ อนุโรทติ
เอวํสมฺปทเมเวตํ โย เปตมนุโสจติฯ
ทยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ
ตสฺมา เอตํ น โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คติฯ


ทารกผู้ไม่รู้จักสิ่งที่ควรได้และไม่ควรได้ในที่ไรๆครั้นเห็นพระจันทร์อยู่ในอากาศย่อมตามร้องไห้ขอพระจันทร์ ฉันใด บุคคลผู้ใดมาตามเศร้าโศกถึงบุคคลผู้ไปปรโลกแล้ว ข้อนี้ก็สำเร็จความอุปไมยได้ ฉันนั้นฯ สามีข้าพเจ้านั้นเมื่อบุคคลให้ไหม้อยู่ก็ไม่รู้สุขและทุกข์ ฉันใด เขาก็ไม่รู้ความที่แห่งญาติทั้งหลายร่ำไห้ร่ำไรแล้ว ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงสามีข้าพเจ้า คติของชนเช่นใด เขาก็ไปสู่คติเช่นนั้นฯ

ครั้นท้าวสักกะเทวราชได้ฟังคำภรรยาดังนี้แล้ว จึงตรัสถามทาสีว่า แม่ผู้นั้นเป็นอะไรกับเจ้าฯ

ทาสีตอบว่า ข้าแต่นาย ท่านเป็นนายข้าพเจ้าฯ

ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า เจ้าจักเป็นผู้ที่บุรุษนี้เบียดเบียนตีใช้สอยหรือ เพราะเหตุนั้นเจ้าจึงไม่ร้องไห้ ด้วยคิดเห็นว่า บุรุษนี้พ้นไปเสียดีแล้ว ทาสีกล่าวว่า

ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย การกล่าวเช่นนี้ไม่สมควรแก่นายข้าพเจ้า นายของข้าพเจ้าประกอบไปด้วยความอดกลั้น ความเมตตาและความอนุเคราะห์ ข้าพเจ้ารักเพียงบุตรข้าพเจ้าให้เจริญแล้วในอกฯ

ท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุไรเจ้าจึงไม่ร้องไห้เล่าฯ

ฝ่ายทาสีนั้น เมื่อจะกล่าวเหตุความที่ตนไม่ร้องไห้แก่ท้าวสักกะ จึงตรัสคาถานี้ว่า

ยถาปฺ อุทกกุมฺโภ ภินฺโน อปฺปฏิสนฺธิโย
เอวํ สมฺปทเมเวตํ โย เปตมนุโสจติฯ
ทยฺหมาโน น ชานาติ ญาตีนํ ปริเทวิตํ
ตสฺมา เอตํ น โสจามิ คโต โส ตสฺส ยา คติ ฯ


หม้อน้ำแตกแล้วติดให้สนิทดังเก่าไม่ได้ฉันใด บุคคลใดมาเศร้าโศกถึงบุคคลผู้ไปปรโลกแล้ว การที่มาเศร้าโศกถึงนั้นก็สำเร็จความอุปไมยได้ฉันนั้น (โดยอธิบายว่าบุคคลผู้มีฤทธิ์อาจจะทำหม้อที่แตกแล้วให้ขังน้ำได้ด้วยอานุภาพฤทธิ์ ส่วนบุคคลผู้ทำกาละแล้ว อันผู้ใดผู้หนึ่งจะมีฤทธานุภาพ ก็ไม่สามารถทำให้ชิวิตคืนปกติขึ้นได้) ฯ

นายของข้าพเจ้านั้นเขาเผาให้ไหม้อยู่ ย่อมไม่รู้ความสุขทุกข์ ฉันใด ท่านก็ไม่รู้ความที่แห่งญาติทั้งหลายร่ำไห้อยู่ฉันนั้นเพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงนายข้าพเจ้า คติของตนนั้นเช่นใด นายข้าพเจ้าก็ไปแล้วสู่คติของตนเช่นนั้นฯ

ครั้นท้าวสักกะเทวราชได้ทรงสดับธรรมกถาของชนทั้งห้านั้นก็มีพระหฤทัยปสันนาการเลื่อมใสจึงได้ประทานโอวาสเตือนสติชนเหล่านั้นว่าท่านอย่าทำการงานด้วยมือขอ งตนเลย เราเป็นท้าวสักกะเทวราช เราจักทำสัตตรัตน์ไม่มีประมาณให้เต็มในเรือนของท่าน ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทให้ทานรักษาศีลห้าและสมาทานอุโบสถศีลเถิด

ครั้นฉะนี้แล้วก็เนรมิตทรัพย์ไม่มีประมาณให้เต็มเรือนแล้ว เสด็จหลีกไปสู่เทวโลกฯ

ครั้นสมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบลงแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจทั้งสี่ กุฎมพีนั้นก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาทรงประชุมชาดกว่า

ทาสี ในกาลนั้นได้มาเป็น นางขุชชุตรา
ธิดา ได้มาเป็น นางอุบลวัณณาเถรี
บุตร ได้มาเป็น ราหุล
มารดา ได้มาเป็น นางเขมาเถรี
ส่วนพราหมณ์ได้มาเป็นเรานี้เองฯ




ฉากชีวิต

ความเอ๋ย ความตาย
สิ้นชื่อหาย เพราะไม่มี ความดีเหลือ
คือตายเน่า ตายหนอน เป็นบ่อนเบือ
น่าเหม็นเบื่อ ตายเช่นนี้ ดีอะไร
ถ้าตัวตาย ไว้ลาย ให้โลกเห็น
ก็เหมือนเป็น อยู่คู่หล้า อย่าสงสัย
ตายแต่เปลือก เยื่อในอยู่ คู่โลกไป
เป็นประโยชน์ แก่ใครใคร ไม่สิ้นเอย
เห็นกันอยู่เมื่อเช้า สายตาย
สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายรื่นชื่นรวยราย เย็นดับ ชีพแฮ
เย็นเล่นกับลูกด้วย ค่ำม้วยอาสัญ ฯ

(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5)


ll กลับสู่ด้านบน






จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ในมณฑลเสฉวน ของประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551เมื่อเวลา 14.28 น. จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจากศูนย์กลาง ณ ที่ตั้งเมืองเวิ่นชวน ซึ่งอยู่ห่างจาก เมืองเฉินตู ราว 90 ไมล์ (ประมาณ 144 กิโลเมตร) วัดได้ถึง 8.0 ริกเตอร์ นั้น


หากเทียบเท่าความร้ายแรงจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ก็ยิ่งกว่าการถล่มด้วยระเบิดปรมาณู 500 ลูก และรุนแรงมากกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2538 ถึง 30 เท่า


จนถึงวันนี้มีรายงานว่ามีผู้คนเสียชีวิตโดยประมาณ 32,000 ราย และยังสูญหายอีกกว่า 20,000 ราย และบ้านเรือนเสียหายรวมแล้วกว่า 4.7 ล้านหลังคาเรือน เมืองต่างๆ ที่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนต่างถูกกวาดจนเรียบ ภูเขาต่างๆ พากันทรุดตัวลงทั้งหมด


ผู้คนนับล้านคนต้องสูญเสียคนที่รัก บ้านเรือน ทรัพย์สินต่างๆ ไปกับเหตุการณ์น่าสะเทือนใจครั้งนี้ อย่างไรก็ดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ก็ทำให้เราได้เห็นภาพอีกด้านของชีวิต ภาพผู้รอดชีวิตที่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันประหนึ่งเป็นคนในครอบครัวของตน บรรดาเจ้าหน้าที่ที่เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุและค้นหาผู้รอดชีวิตย่างไม่เลือกหน้า


ภาพของผู้คนจำนวนมากที่ยินดีเข้าแถวบริจาคโลหิตกว่า 100 เมตร ทว่าแม้จะต้องรอเป็นชั่วโมงเพราะมีคนบริจาคมากมายเพียงใด แต่เลือดทุกหยาดหยดที่ได้มานั้นก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการที่ไหลทะลักเข้ามาจากทั่วสารทิศ เพราะเพียงไม่ทันข้ามวัน ธนาคารเลือดต่างๆ ก็ต้องร้องขอผู้บริจาคโลหิตใหม่อีกครั้งเพราะของเดิมถูกนำไปใช้หมดแล้ว


และท่ามกลางภาพความโศกเศร้าจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศจีนครั้งนี้ ได้ฉายภาพของคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความสิ้นหวัง นั่นคือภาพของผู้เป็นเสมือนฮีโร่ผู้กล้า ที่พร้อมจะต่อกรกับความหายนะเบื้องหน้า ไม่หวั่นเกรงต่อความกลัวใดๆ


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (14 พ.ค.) ว่า หน่วยกู้ภัยยังคงเดินหน้าค้นหาร่างผู้สูญหายใต้ซากปรักหักพัง จากเหตุแผ่นดินไหวความรุนแรง 7.9 ริกเตอร์ ที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ขณะที่มีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ขณะเกิดแผ่นดินไหวออกมาเพิ่มเติม


โดยผู้สื่อข่าวและช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ญี่ปุ่น บันทึกภาพขณะเกิดแผ่นดินไหวที่สนามบินเมืองเฉินตู สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้คนจำนวนมากที่ต่างแตกตื่นหนีตายอพยพออกจากพื้นที่ ขณะที่ความพยายามกู้ภัยและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทหารและตำรวจกว่า 50,000 นาย ยังคงเร่งค้นหาร่างผู้เคราะห์ร้ายจากซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน โรงงาน และโรงเรียนจำนวนมาก


ในพื้นที่ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งคาดว่ายังมีผู้สูญหายอีก 18,645 คน ติดอยู่ใต้ซากความเสียหาย มีรายงานว่า ในเมืองหยินซู น่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2,300 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมดเกือบ 10,000 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงกว่า 13,000 คนแล้ว


ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยืนยันว่า นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 31 คน ที่มีรายงานว่าสูญหายระหว่างท่องเที่ยวที่ศูนย์อนุรักษ์และเพาะพันธุ์แพนด้าว่อหลง ในเมืองเฉิงตู ปลอดภัยดี รวมถึงแพนด้าทั้งหมดในศูนย์ฯ แต่ยังไม่ทราบชะตากรรมของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน 12 คน รวมถึงชาวอเมริกันเชื้อสายจีน 2 คน และนักท่องเที่ยวชาวไทยอีก 1 คน ที่สูญหายในมณฑลเสฉวน

ll กลับสู่ด้านบน




ต่อไปนี้เป็น "คลิปภาพวิดีโอ" แผ่นดินไหวที่ถ่ายโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยในเมืองเฉินตู
ณ เวลา 14.29 น. ของวันที่ 12 พ.ค. 2551 ตามเวลาท้องถิ่น






ความเศร้า+การสูญเสียคนรัก ที่ประเทศจีน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว


ทุกสิ่งทุกอย่างมลายหายไปสิ้น ชั่วแค่พริบตาเท่านั้นเอง ยังคงทิ้งร่องรอยให้เห็นอยุ่เพียงแค่นี้เอง น่าสงสารเด็กๆ ทั้งหลาย ที่ต้องสังเวยชีวิตไปในครั้งนี้นับพันคน นี่ก็คงเหลือเพียงแค่กระเป๋านักเรียนของเธอไว้เป็นอนุสรณ์ อนาถแท้หนอ..ชีวิต..!


สภาพโบสถ์ก่อนและหลังพังถล่มลงมา ขอไว้อาลัยแด่ธรรมชาติที่เริ่มเปราะบางและปั่นป่วน จากการทำลายมันทีละน้อยของมนุษย์ และมันเป็นกฎธรรดาที่ชาวโลกจะต้องประสบ ไม่ใครรู้ไม่มีใครเห็นได้ นอกจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมองเห็นเป็น "สัจจธรรม" คือความเป็นจริง


บรรดาทหารและทีมกู้ภัยเร่งเข้าทำการช่วยเหลือผู้ที่ยังติดอยู่ในกองดินถล่มและซากตึกต่างๆ ถนนหลายสายถูกฝังอยู่ภายใต้ดินถล่ม ทำให้การขนส่งเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเคลียร์พื้นที่ทำได้ยากลำบาก พวกเขาจึงต้องช่วยกันใช้แรงกายและสองมือ เคลื่อนย้ายซากคอนกรีตที่หนักเป็นตันเหล่านี้ออกไปแทน


นี่คือการประมวลภาพเหตุการณ์ "วันงานแต่งงาน" ของเขาและเธอพังพินาศเพราะแผ่นดินไหวที่เมืองจีน เจ้าบ่าวพลัดหลงกับเจ้าสาวในม่านฝุ่น เจ้าสาวก็มองหาเจ้าบ่าวอย่างกระวนกระวายใจหน้ากองซากปรักหักพัง ส่วนแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างมองหาเพื่อนฝูงและญาติของตนอย่างกังวลใจเช่นกัน


งานรื่นเริงกลายเป็นความวุ่นวายกระเจิดกระเจิงในพริบตาด้วยฝีมือธรรมชาติ แต่ละคนต่างต้องก้าวข้ามซากไม้อิฐหิน เพื่อหาที่ปลอดภัย หากเกิดอ๊าฟเตอร์ช็อคซ้ำสอง เจ้าสาวผู้น่าสวสาร เธอคงรอคอยวันวิวาห์มาตลอดชีวิต แต่ในฝันเธอคงไม่ใช่ภาพนี้อย่างแน่นอน...

ll กลับสู่ด้านบน




"จงจำไว้...แม่รักลูกเสมอชั่วนิรันดร์"
ข้อความสุดท้ายใต้ซากแผ่นดินไหว


หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตชาวจีนในจังหวัดซื่อชวนไปกว่า 3 หมื่นชีวิต ได้มีเรื่องราวน่าสลดเกิดขึ้นมากมาย แต่ระหว่างช่วงนาทีอันสุดระทมนั้น ก็ยังมีเรื่องสุดประทับใจเกิดขึ้น

เมื่อทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่คาดว่าจะรอดชีวิตใต้ซากตึกหักพัง เขาได้เห็นแผ่นหลังของหญิงคนหนึ่ง จากท่าทางกำลังคุกเข่าอยู่ แต่ก็เชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว เมื่อเข้าไปดึงตัวเธอออกมา ก็พบสิ่งสะเทือนใจ เพราะในอ้อมกอดของเธอมีเด็กชายที่กำลังดูดนมจากอกของเธออยู่

ที่สำคัญ..เด็กน้อยคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ..!

ใช่..! เขารอดชีวิต แต่แม่ของเขาได้เสียสละชีวิตเพื่อเขาแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ทีมหน่วยกู้ภัยยังเหลือบเห็นมือของเธอ ที่กำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น
และเมื่อหยิบออกมาดู ก็พบข้อความที่พิมพ์ผ่าน SMS ที่แม่ทิ้งไว้ให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายเอาไว้ เพื่อบอกลาลูกน้อยสุดที่รัก

ข้อความนี้ เป็นข้อความสั้น ๆ ที่กลั่นออกมาจากหัวใจของแม่ที่ใกล้สิ้นลม เพื่อส่งผ่านความรักแบบไร้เงื่อนไข แม้แต่ชีวิตก็ยอมให้กับลูกของเธอได้ที่หน้าจอมือถือ มีข้อความว่า...

“ลูกรักของแม่..ถ้าลูกมีชีวิตรอด แม่อยากบอกให้ลูกรู้ว่า..แม่รักลูกมาก.."





ทาสผู้ซื่อสัตย์



ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของฮ่องกง รายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสามารถช่วยเหลือ หวัง โหย่วฉง หญิงชราวัย 60 ปี ออกจากซากตึกที่ถล่มในเมืองเผิงโจว มณฑลเสฉวน ได้สำเร็จ กระทั่งได้ยินเสียงเห่าของสุนัข จึงได้ตามเสียงร้องนั้นไป และก็พบว่า ป้าหวัง ถูกแผ่นคอนกรีต 2 ก้อนใหญ่ทับอยู่ แม้ว่าร่างกายจะดูอ่อนแอมาก แต่คุณป้ายังมีสติอยู่ และสามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังได้

ในวันเกิดเหตุ คุณป้าเดินทางมาไหว้พระที่ วัดฝูอินซื่อ หลังจากแผ่นดินไหวคุณป้าก็ถูกหินทับอยู่ครึ่งตัว แม้ว่าจะตะโกนร้องเรียกยังไง ก็ไม่มีใครได้ยิน โชคดีที่ในขณะที่ไม่มีใคร คุณป้ายังมีสุนัข 2 ตัว คอยอยู่เป็นเพื่อนคอยเลียหน้าเลียปาก
อีกทั้งยังนับเป็นความโชคดีที่ช่วงนั้นมีฝนตกลงมา ทำให้ป้าหวังได้อาศัยน้ำฝนกลั้วท้องประทังชีวิต หญิงชรายังเล่าว่า เธอมีลูกชายและหลานชายรอคอยอยู่ นี่เป็นแรงใจสำคัญที่ทำให้เธอสามารถยืนหยัดอยู่รอดมาจนกระทั่งหน่วยกู้ภัยมาพบได้

แต่ล่าสุดเว็บไซต์ เน็ตอีสต์, เทียนหยา และเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ ของจีนได้รายงานข่าวความคืบหน้าของเหตุการณ์ดังกล่าวว่า สุนัขทั้ง 2 ตัวกำลังจะชะตาขาด เพราะความไม่รู้คุณของหวัง โหย่วฉงนั่นเอง

สำนักข่าวเหวินฮุ่ยเป้ารายงานว่า เนื่องจากกังวลว่า สุนัขจรจัดไปคุ้ยเขี่ยศพ และเป็นตัวกระจายโรค รวมทั้งกัดทำร้ายคน เจ้าหน้าที่พื้นที่ประสบภัยได้ออกคำสั่งฆ่าสุนัขที่ไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของ หลังจาก หวัง โหย่วฉงได้รับการช่วยเหลือแล้ว ทุกคนที่ได้รับรู้เรื่องราวของสุนัขแสนรู้ทั้ง 2 ตัวต่างรู้สึกซาบซึ้ง และหวังให้หญิงชราพร้อมครอบครัว ยอมออกหน้าเป็นเจ้าของ เพื่อช่วยรักษา 2 ชีวิตน้อยๆ นี้ไว้

แต่หลังจากรอดตายแล้ว "หวัง" กลับไม่เห็นความดีสุนัขทั้งสองแม้แต่น้อย พร้อมปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่คิดรับเลี้ยง โดยเฉพาะลูกสาวของเธอที่ให้สัมภาษณ์ว่า “แม่ฉันแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเลี้ยงสุนัข ดังนั้นก็ไม่รู้ว่าสุนัขพวกนี้มาจากไหน...”

หลังจากมีรายงานข่าวออกไป ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ แสดงความจำนงขอเลี้ยงสุนัขรู้ความทั้งสอง พร้อมทั้งประณาม หวัง โหย่วฉง และครอบครัว ที่เป็นเหมือน “ชาวนากับงูเห่า” ด้วย....



เมื่อได้เห็นภาพการช่วยเหลือที่ผ่านมา จะเห็นบรรดาทหารและทีมกู้ภัยเร่งเข้าทำการช่วยเหลือ ผู้ที่ยังติดอยู่ในกองดินถล่มและซากตึกต่างๆ ถนนหลายสายถูกฝังอยู่ภายใต้ดินถล่ม ทำให้การขนส่งเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ใช้ในการเคลียร์พื้นที่ทำได้ยากลำบาก พวกเขาจึงต้องช่วยกันใช้แรงกายและสองมือ เคลื่อนย้ายซากคอนกรีตที่หนักเป็นตันเหล่านี้ออกไปแทน


เด็กน้อยวัย 4 เดือนคนนี้ถูกฝังนานกว่า 24 ชั่วโมง แต่น่าอัศจรรย์ที่เจ้าหนูไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย


เด็กชายวัย 5 ขวบ คนนี้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังนาน 24 ชั่วโมง แม้มือซ้ายของเขาจะหักแต่ก็ใบหน้ายังเต็มด้วยรอยยิ้ม และทักทายผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ภาพนั้นทำเอาทุกคนหลั่งน้ำตากันเลยทีเดียว


ซาง จิหวัง (Zhang Jiwang) อายุ 11 ปี ขณะกำลังแบก น้องสาว ซาง ฮาน (Zhang Han) วัย 3 ขวบขึ้นแผ่นหลังน้อย ๆ ของเขาเมื่อต้องเดินเท้าเป็นเวลากว่า 12 ชั่วโมง เพื่อหนีให้ไกลจากพื้นที่แผ่นดินไหวให้ได้


ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนก็ได้ร่วมกันบริจาคเงิน คนรวยบางคนบริจาคเงินช่วยเหลือเป็นล้าน แต่คงไม่มีใครเหมือนนาย ซู เฉา (Xu Chao) ชายเร่ร่อนวัย 60 ปี ที่เดินทางมาจากเมืองหนานจิง ห่างจากพื้นที่แผ่นดินไหวกว่า 1000 ไมล์ (1,600 กิโลเมตร) หลังจากได้ทราบข่าว และช่วยบริจาคเงินเป็นจำนวน 5 หยวน

เขาบอกว่าผู้คนที่ประสบเหตุในเสฉวนต้องตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาหลายเท่า จากนั้น นายซู เฉา ก็กลับมาบริจาคเงินอีก 100 หยวน เขาอธิบายว่า ตัวเขามีเพียงเศษเหรียญที่รวบรวมมาได้ และเพื่อไม่ให้อาสาสมัครต้องเสียเวลาในการนับ เขาจึงนำไปแลกเป็นแบงค์ที่ธนาคาร นี่คือคำพูดของชายที่ไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้ออาหารให้ตัวเอง!


เด็กสาวชั้นมัธยมรายนี้ รอดชีวิตจากตึกถล่ม มือทั้งสองข้างหัก อาจต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง กลุ่มกู้ภัยพากันร่ำไห้เมื่อเห็นเธอในสภาพนั้น เธอยิ้มให้พวกเขาและพูดว่า "จงกล้าหาญไว้"


เด็กหญิงซ่ง ซินหยิง (Song Xinying) วัย 3 ขวบ ได้รับการช่วยชีวิตหลังจากถูกฝังใต้ซากตึกนานถึง 2 วัน ตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงและต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง เธอรอดชีวิตด้วยไหล่และมือของผู้เป็นพ่อแม่ ที่ใช้เป็นโล่ป้องกันไม่ให้เธอพลัดตกจากตึกที่กำลังพังทลาย น่าเศร้าที่พ่อและแม่ของเธอกลับเสียชีวิตในระหว่างการปกป้องลูกน้อย


หยวน เวินทิง (Yuan Wentin) ครูชั้นประถมศึกษาวัยเพียง 26 ปี รีบขึ้นไปอุ้มเด็กนักเรียนของเธอที่กำลังตระหนกตกใจกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวบนชั้น 3 เธอพยายามที่จะดึงนักเรียนออกมาให้มากที่สุด แต่ทว่าตึกกลับทรุดตัวลง ในขณะที่เธอเกือบจะดึงเด็กที่ยังเหลือไม่กี่คนออกมา เธอได้ใช้ร่างตัวเองบังไม่ให้ซากคอนกรีตตกลงมานักเรียนเหล่านั้น…ในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เธอ



ต่อไปนี้เป็น "คลิปภาพวิดีโอ" แผ่นดินไหว 4 คลิป



คลิปที่ 1 - คลิปที่ 2 - คลิปที่ 3 - คลิปที่ 4


ll กลับสู่ด้านบน

*******************************