เล่าเรื่องการเดินทางไป "ภาคอีสาน" วันที่ 10-17 กุมภาพันธ์ 2557 (ตอนที่ 1)
webmaster - 3/3/14 at 16:18
(โปรดติดตาม ตอนที่ 2 กรุณา..
คลิกที่นี่ )
เล่าเรื่องการเดินทางไป "ภาคอีสาน" (ตอนที่ 1)
วันที่ ๑๐ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (อุทัยธานี - ขอนแก่น)
๑. สำนักปฏิบัติธรรมพุทธอนันตโชติ บ.ดอนดู่ หมู่ ๔ ต.หนองบัว อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
สำหรับการเดินทางไปครั้งนี้ หลวงพี่บอกว่ามีกำหนดการที่จะไปพบกับ "คณะหมูยอ" อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีษะเกษ โดยมี คณะกรุงเทพฯ และ คณะระยอง
จะเดินทางมาร่วมสมทบด้วย ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เนื่องจาก คุณพงศ์พร และ อาจารย์ณรงค์ (คณะหมูยอ ขอโทษที่ลืมนามสกุลค่ะ)
มาที่วัดท่าซุงเมื่อปลายปีที่แล้ว แจ้งว่าพบรอยพระพุทธบาทใหม่ที่อุบลราชธานี
ก่อนการเดินทาง คุณสำราญ ได้แจ้งว่ามีรอยพระพุทธบาทที่ วัดถ้ำงูเหลือม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น และมีการสร้างพระใหญ่ (พุทธแบบที่ทำด้วยแผ่นเหล็ก)
กำลังสร้างอยู่ด้วยที่ สำนักปฏิบัติธรรมพุทธอนันตโชติ (อยู่ด้านหน้า วัดถ้ำงูเหลือม นี่เอง)
เมื่อคุณวัชรพล (บุ๋ม) ตากล้องของทีมงานได้ขับรถเข้าไปในวัด จึงได้เลี้ยวขวาไปทำบุญร่วมสร้างพระใหญ่กันก่อน เพราะมองเห็นพระหน้าตัก ๔
ศอกเป็นแถวเต็มไปหมด
พระใหญ่องค์นี้มีขนาดหน้าตัก ๒๓ เมตร สูง ๓๒ เมตร ขณะเข้าไปถึงเจ้าสำนักไม่อยู่ จึงได้ฝากเงินทำบุญกับพี่สาวของท่านอาจารย์
พร้อมกับถวายให้พระใช้เป็นการส่วนองค์ และแจกเงินให้คนงานก่อสร้างทุกคน รวมเงินทำบุญทั้งหมด ๑๒,๐๐๐ บาท
จากนั้นเดินมาที่เต้นท์เห็นช่างกำลังทำแบบเทพระเมาลี (มวยผม) จึงขอให้ช่างช่วยให้พวกเราได้มีโอกาสเทปูนหล่อพระเมาลีนี้ด้วย
คนงานเหล่านี้จึงช่วยเหลือให้ความสะดวก เสร็จแล้วเดินชมบริเวณโดยรอบ เห็นมีการสร้างพระพุทธรูปนับเป็นสิบๆ องค์ไว้เต็มไปหมด
การเดินทางครั้งนี้เป็นวันแรก พวกเราโชคดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้าง "พุทธแบบ" ที่ทำด้วยเหล็กในครั้งนี้ อีกได้มีโอกาสหล่อส่วนพระเศียรขององค์พระอีกด้วย
หัวหน้าคนงานที่นี่บอกว่า ต่อไปการสร้างอาจจะขยายหน้าตักองค์พระออกไปถึง ๒๕ เมตร หลังจากมอบเงินให้แล้ว
จึงได้ถ่ายรูปเปรียบเทียบเพื่อให้รู้ว่าองค์พระใหญ่ขนาดไหน
๒. รอยพระพุทธบาท วัดถ้ำงูเหลือม (วัดป่าสังเวชธรรมาราม) บ.ดอนดู่ หมู่ ๔ ต.หนองบัว อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
เมื่อทำบุญใหญ่เป็นปฐมฤกษ์ของการเดินทางแล้ว จึงได้ขับรถกลับออกมาได้ประมาณไม่กี่่ร้อยเมตร แล้วเลี้ยวขวาต่อไปที่ วัดถ้ำงูเหลือม
รถได้เข้าไปจอดข้างศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งภายในวัดมีพระพุทธรูปใหญ่ขนาดหน้าตักประมาณ ๘ เมตร และพระพุทธรูปองค์เล็กประดิษฐานอยู่ด้วย
ภาพบนที่เห็นเป็นพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว ช่างกำลังก่อสร้างศาลาครอบอยู่ ซึ่งอยู่ริมถนนใหญ่ก่อนทางเข้าวัด
ส่วนภาพบนด้านขวามือของเราเป็นมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ภาพล่างหลวงพี่กำลังสนทนากับหลวงพ่อสุภาพ (เจ้าอาวาส)
ท่านยังมีความจำดีมาก ท่านบอกว่าเห็นหลวงพี่เดินลงมาจากรถ ท่านก็จำได้ว่าหลวงพี่เคยมาที่นี่เมื่อ ๔ ก่อน (พฤษภาคม ปี ๒๕๕๓)
ครั้งนั้นหลวงพี่ก็ได้ถวายเงินจำนวน ๔,๘๐๐ บาท เพื่อให้ท่านไว้สร้างมณฑป ซึ่งขณะนี้ท่านได้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทเสร็จตั้งแตปีที่แล้ว
บริเวณนี้เป็นรอยพระพุทธบาทปลายแหลม ที่เรียกว่า "รอยเกือกแก้ว" นั่นเอง มีรอยเดียวเท่านั้น ด้านข้างมีสระน้ำที่เคยไหลผ่านรอยพระพุทธบาท
อีกด้านหนึ่งมีร่องหลุมภายในเป็นถ้ำงูเหลือม พอดีไปเจอคลิปในยูทูปขอนำมาให้ชมกันดังนี้ค่ะ
ตามประวัติเล่าว่า วัดนี้ได้ก่อตั้งมาแล้วประมาณ ๙๓ ปี โดยก่อนที่จะก่อตั้งเป็นวัดบริเวณนั้นเป็นป่าดอนป่าเต็งรัง
เป็นโขดหินบริเวณกว้างมีถ้ำเล็กๆ คนเข้าไปได้ ภายในจะมีงูเหลือมอาศัยด้วย
ที่มา - http://www.kaentong.com/index.php?topic=1601.0
ขณะนั้นหลวงพี่เห็นว่าบนฐานข้างรอยพระพุทธบาทยังว่างอยู่ จึงรับปากกับเจ้าอาวาสไว้ว่า จะถวายพระพุทธรูปปูนปั้น หน้าตัก ๓๐ นิ้วไว้ที่นี้
จากนั้นได้ร่วมทำบุญจำนวนเงิน ๒,๒๐๐ บาท พร้อมกับถวายหนังสือ "ตามรอยเล่มเล็ก" อีกทั้งได้ช่วยกันนำผ้าสีทองผูกประดับที่เสามณฑป
เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทไว้อีกด้วย
ท่านเจ้าอาวาสอายุประมาณ ๙๐ ปีแล้ว ท่านยังมีความจำดีมาก หลังจากกลับมาแล้วหลวงพี่ก็ได้ถวายพระพุทธรูป หน้าตัก ๓๐ นิ้ว โดยมอบหมายให้
"คุณอู่วารีพร้อมคณะ" นำไปถวายเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมอนุโมทนาด้วยกันนะค่ะ
วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (ขอนแก่น - กาฬสินธุ์)
๓. รอยพระพุทธบาท สำนักสงฆ์ด่านสามแยก (วัดภูคานวิปัสนาราม) บ.ร่องแก่งคูณ ต.นิคมห้วยผึ้ง อ.ห้วยผึ้ง จ.กาฬสินธุ์
(พบใหม่)
วันนี้มีเป้าหมายอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งยังเป็นข้อมูลจากคุณสำราญ โชเฟอร์ของเราคู่กับคุณวัชรพล (บุ๋ม) ซึ่งจะต้องขับเข้าทางข้างโรงพยาบาลห้วยผึ้ง
เข้าไปลึกพอสมควร ผ่านหมู่บ้าน เข้าสู่ถนนที่เป็นลูกรัง ตรงเข้าไปถึงบริเวณพลาญหิน เห็นป้ายวัดตกหล่นอยู่ หลวงพี่สังเกตเห็นเงียบๆ
ท่านจึงพูดว่าสงสัยไม่มีพระอยู่แล้ว
ก่อนจะเดินเข้าไปบนเนินเขา ต้องจอดรถไว้ตรงทางเข้า แล้วเดินหิ้วของเครื่องบูชากันไป หลวงพี่เดินล่วงหน้าไปก่อน ท่านบอกว่าพบรอยพระพุทธบาทบริเวณนี้มีหลายรอย
เป็นรอยใหญ่ๆ ทั้งนั้น
สถานที่นี้เป็นสำนักสงฆ์ เมื่อเดินขึ้นไปอีกพบศาลาและกุฏิหลายหลัง แต่เดินเข้าไปไม่มีพระอยู่เลย ค่อนข้างแห้งแล้งลักษณะเป็นลานหินและโขดหิน
บนสำนักสงฆ์ยังพบอีก ๓ รอย
แต่เมื่อลงมาสอบถามกับวัดข้างล่างและชาวบ้านบอกว่า รอยข้างบนมีการแกะสลักจากรอยเดิม ส่วนข้างล่างทางเข้าพบ ๔ รอย เป็นรอยตามธรรมชาติ
ภาพนี้กำลังเปลี่ยนผ้าธงสีทองใหม่ เพราะของเดิมป้ายก็ล้มลงไปแล้ว ผ้าธงที่แขวนไว้กับไม้ไผ่ก็เก่ามากแล้ว หลวงพี่จึงบอกให้ยกป้ายขึ้นมาใหม่
แล้วทำการยกธงผ้าสีทองใหม่่ เพื่อความเป็นสิริมงคลกลับมาอีก
คิดว่าท่านอาจจะนำพวกเรามาภายหลังอีกครั้งก็ได้ ผู้ที่จะร่วมเดินทางควรจะอธิษฐานไว้ทุกคืนก่อนนอนนะค่ะ เพื่อขอพรท่านให้ความสะดวกแล้วจะสมหวังทุกอย่างค่ะ
ก่อนจะพบรอยพระพุทธบาท พวกเราต่างก็แยกย้ายช่วยกันค้นหา เพราะไม่มีใครนำทาง ส่วนใหญ่พบที่ด้านล่างทางเข้าสิบกว่ารอย
ส่วนข้างบนสำนักสงฆ์ร้างแห่งนี้ต้องย้อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เนื่องจากตอนแรกเดินหากันตั้งหลายคนทำไมไม่เห็น ต่อมาคุณสำราญได้พบรอยที่เป็นนิ้วเท้าก่อน จากนั้นก็พบรอยนิ้วเท้าอีกสองรอย รวมกันเป็น ๓ รอย
ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยเดิมอยู่มาก โดยมีเส้นขอบพระบาทให้เห็นเด่นชัด เพืยงแต่รอยนิ้วชัดเกินไป เหมือนกับมีการแต่งเติมภายหลัง
คุณสำราญบอกว่ามีเจ้าหน้าที่จากกรมๆ หนึ่งมาตัดนำไปหนึ่งรอยด้วย จึงมองดูแล้วเห็นเป็นรอยตัดออกไปจริงๆ
หลวงพี่ได้วิเคราะห์ไว้ว่า น่าจะมีการตกแต่งจากของเดิม ควรที่จะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อสอบถามให้หายสงสัย จากนั้นท่านได้บวงสรวงด้วยเทปหลวงพ่อ
แล้วเดินสรงน้ำ โปรยดอกไม้และปิดทองทุกรอย
แล้วหลวงพี่ได้กลับเข้าไปในหมู่บ้านทันที จากนั้นก็ได้สนทนาหาความรู้จากชาวบ้านบอกว่า ความจริงสำนักสงฆ์นี้ยังมีเจ้าอาวาสอยู่
แต่ท่านไปป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่ปีที่แล้ว รอยพระพุทธบาทนี้พบเห็นกันมานานแล้ว สมัยก่อนก็มีการกราบไหว้กันอยู่เสมอ แต่ปัจจุบันนี้ต้องทำมาหากิน
จึงไม่มีเวลาไปกราบไหว้กันตามประเพณีเดิม
หลวงพี่บอกว่าถ้าอย่างนั้น หมู่บ้านก็จะมีแต่ความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ควรที่จะจัดประเพณีสรงน้ำบูชาพระพุทธบาทตามเดิม
เพื่อความสุขสมบูรณ์ของหมู่บ้าน ขณะที่เดินออกมาจากบ้านหลังนั้น เห็นเด็กน่ารักจึงให้เงินเด็กแล้วเดินทางมาที่ วัดมงคลชัยพฤกษ์ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ
กัน
หลวงพี่ได้สอบถามกับ พระเสถียร อุปกาโร เจ้าอาวาส และถวายปัจจัย ถวายเครื่องไทยทาน ๑ ชุด พร้อมหนังสือ "ตามรอยเล่มเล็ก"
หลวงพี่ฝากให้ช่วยดูแลรอยพระพุทธบาทด้วย ท่านบอกว่ามีหน้าที่ดูแลรอยพระพุทธบาทอยู่แล้ว ช่วงนี้เตรียมจะไปทำความสะอาดพอดี หลวงพี่จึงถวายปัจจัยรวม ๒,๒๖๐
บาท จากนั้นเดินทางต่อไป ซึ่งจะนำไปเล่าในตอนไป "พระธาตุพนม" กันต่อไป..สวัสดีค่ะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
webmaster - 3/3/14 at 18:14
(Update 10 เมษายน 2557 )
๔. วัดพระธาตุพนม ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
รถตู้ฮุนไดได้นำพวกเราจากกาฬสินธุ์มุ่งทะยานขึ้นสู่เป้าหมายต่อไป คือวัดพระธาตุพนม แต่ได้แวะที่อำเภอนาแกก่อน เพื่อไปพบท่านพระอาจารย์อารีย์
วัดป่าเทพนิมิต แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่ สอบถามพระที่วัดบอกว่าท่านอาจารย์ไปที่พระธาตุพนม หลวงพี่บอกว่างั้นก็เหมาะพอดี
เพราะต้องการชวนท่านให้ไปด้วยกันอยู่แล้ว จึงได้นัดแนะทางโทรศัพท์กันทันที
เมื่อได้พบกับพระอาจารย์อารีย์ที่ประตูวัดพระธาตุพนม ซึ่งทางวัดกำลังจัดงานประจำปีพอดี มีร้านค้าขายของต่างๆ กันมากมาย แม้แต่ที่จอดรถก็ลำบาก
เพราะต้องเสียเงินค่าจอดรถด้วย จากนั้นก็เดินผ่านร้านค้าเข้าไปถึงองค์พระธาตุ ได้ถ่ายภาพกับเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัด ซึ่งได้มาเตรียมพิธีทอดผ้า
โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธาน
แต่ก่อนที่ท่านผู้ว่าฯ จะทอดผ้าป่า พระอาจารย์อารีย์ได้นิมนต์หลวงพี่เข้านมัสการเจ้าอาวาสพระธาตุพนม ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครพนมด้วย
เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์การจัดงาน "ทำบุญอายุหลวงพี่่และทอดผ้าป่าที่นี่" ในวันที่ ๒๘ - ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ซึ่งท่านเจ้าคณะจังหวัดก็รับทราบแล้ว
หลังจากหลวงพี่สนทนากับเจ้าอาวาสพระธาตุพนม เสร็จแล้วหลวงพี่ก็ได้ทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท แล้วกราบลาท่านเพื่อไหว้องค์พระธาตุต่อไป
พระธาตุพนมบรรจุพระบรมธาตุ "ส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้า" ถึง ๘ องค์ พระมหากัสสปท่านนำมาบรรจุไว้เมื่อ พ.ศ. ๘
เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งทางภาคอิสาน นับเป็นเรื่องแปลกที่ก่อนการเดินทางอากาศร้อนอบอ้าวมาก แต่เมื่อมาถึงพระธาตุพนมวันนี้ อากาศปิด
ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศเย็นสบายไม่มีแดดเลย นับเป็นที่อัศจรรย์มาก
ทำไมหลวงพี่จะต้องมาจัดงานทำบุญอายุครบรอบ ๖๖ ปีที่วัดพระธาตุพนมแห่งนี้ เป็นเพราะว่าท่านได้พบกับความอัศจรรย์มาแล้ว ๒ ครั้ง
คือครั้งแรกได้มีโอกาสบูรณะองค์พระธาตุเมื่อปี ๒๕๓๘ และครั้งที่ ๒ เมื่อปี ๒๕๔๘ เป็นการบังเอิญทุกครั้ง คือไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน
ฉะนั้น ในปีหน้าท่านจึงตั้งใจที่จะได้ร่วมบูรณะอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในขีวิตของท่าน คือไปจัดงานทอดผ้าป่าและทำบุญอายุ วันที่ ๒๘ - ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ด้วยเหตุที่ว่าพระธาตุพนมเกี่ยวพันกับเลข ๘ มาตลอด ดังนี้
คือพระมหากัสสปเดินทางมาเมื่อปี พ.ศ.๘ อัญเชิญพระอุรังคธาตุ ๘ องค์ บรรจุด้วยผอบ ๘ ชั้น แล้วสร้างพระสถูปเป็นที่บรรจุ มีสัดส่วนลงเลข ๘ ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งล้มลงไปก็ปี ๒๕๑๘ ซึ่งงานตามรอยพระพุทธบาทเมื่อปี ๒๕๓๘ และปี ๒๕๔๘ ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ดังนี้
๕. รอยพระพุทธบาท บ้านจำปาศรี บ.จำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม (พบใหม่)
สถานที่นี้เป็นข้อมูลจากพี่สำราญ โดยรับทราบจาก หลวงพี่สุพจน์ สุวโจ วัดป่าโคกกลาง อ.เต่างอย จ.สกลนคร แจ้งว่ามีการขุดพบกระดูก "คนโบราณ"
เก่าแก่มีอายุนับพันปีได้ที่นี่ ต่อมาหลวงพี่สุพจน์ก็ได้พบ "รอยพระพุทธบาท" อยู่บนก้อนหินใหญ่ใกล้กับสุสานคนโบราณนี้
ด้วยเหตุนี้หลวงพี่ชัยวัฒน์จึงได้ขอให้พระอาจารย์อารีย์นำมาที่นี่ โดยเข้ามาในป่าสวนยาง เจ้าของบ้านได้นำมาที่ศาลาหลังนี้
ที่ได้สร้างไว้เป็นที่เก็บกระดูกคนโบราณ พร้อมด้วยวัตถุสิ่งของบริเวณที่ฝังศพด้วย
ศาลาหลังนี้สร้างไว้ที่เชิงเขา หลวงพี่ชัยวัฒน์ถามว่าบริเวณหลุมฝังศพอยู่ที่ไหน เจ้าของบ้านบอกว่าอยู่บนภูเขาลูกนี้ พร้อมทั้งชี้มือไปบอกว่าเดินไปประมาณสัก
๑ กิโลเท่านั้น ช่วงนี้เป็นเวลา ๕ โมงเย็นแล้ว หลวงพี่่จึงตัดสินใจให้เขานำทางไป ปรากฏว่าเดินทางตั้งนานน่าจะเลย ๑ กิโลแล้วแต่ก็ยังไม่ถึง
จนกระทั่งบุ๋มกับเจ๊มายินตัดสินใจกลับไปก่อน โดยมีหลวงพี่ หมอขาว และพี่สำราญเดินไปจนถึง ซึ่งเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว จึงไม่มีภาพบนเขาเลยสักภาพ
หลังจากพวกเราเดินขึ้นเขาไปหารอยพระพุทธบาทที่ท่านพระอาจารย์สุพจน์บอกไว้นั้น ซึ่งมีหลวงพี่ พี่สำราญ และหมอขาว พร้อมเจ้าของบ้านนำทางที่ขึ้นไปจนถึง
นอกนั้นไปไม่ถึงต้องกลับลงมาเพราะความมืด เดินขึ้นเขาตลอดเพื่อแข่งกับเวลาเลยตามไม่ทัน เลยลงมารอที่ศาลาที่เก็บโครงกระดูก พร้อมกับถ่ายภาพไว้โดยละเอียด
ส่วนหลวงพี่พร้อมคณะก็เดินลงมาถึงช่วงค่ำ ท่านบอกว่าขากลับช่วงค่ำแล้วก็จริง แต่โชคดีที่พระจันทร์ขึ้นมาพอดี จึงทำให้มองเห็นทางลงเขาได้สะดวก
ส่วนภาพถ่ายที่เลือนลาง ๒ ภาพนั้น เป็นเหมือนกับมีการรับรู้การมาของคณะเรา จึงต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้ พร้อมกับทำบุญใส่ตู้และให้เงินคนนำทางรวม ๖๐๐ บาท
ก่อนจะกลับหลวงพี่ก็ได้ถวายพระอาจารย์อารีย์ ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะเห็นว่าท่านกำลังสร้างศาลาอยู่ที่วัดป่าเทพนิมิต
ภาพนี้เป็นอาวุธที่วางอยู่บนศพ ซึ่งอยู่บนแท่นที่สูงกว่า น่าจะเป็นเจ้าผู้ครองนคร ส่วนบริวารจะอยู่ต่ำกว่าอีกสี่ห้าศพ
ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวทางหน้าหนังสือพิมพ์ดังนี้
ฮือฮา! ขุดพบกระดูกนักรบโบราณสูงกว่า2ม.ที่นครพนม
โดย ทีมข่าวภูมิภาค (ไทยรัฐ) 22 ต.ค. 2556 10:24
ชาวนาแกแตกตื่น ขุดพบกระดูกนักรบโบราณ เร่งประสาน จนท.ตรวจสอบพบร่างสูงกว่า 2 เมตร และอาวุธดาบโบราณ ชาวบ้านนครพนมทราบข่าวแห่ขอโชคลาภตามระเบียบ...
......เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีชาวบ้านแตกตื่นแห่ไปขอโชคลาภ ภายหลังทราบข่าว มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ พร้อมเครื่องประดับ
และอุปกรณ์เครื่องใช้ ในพื้นที่ป่าภูพาน ใกล้ถ้ำภูแกลบ ในเขตบ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม ห่างจากหมู่บ้าน ประมาณ 1 กิโลเมตร
โดยหลังขุดพบ นายบุตรดา นามตะ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 บ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม ผู้ค้นพบได้นำ ชิ้นส่วนกระดูก
รวมถึงเศษโลหะเครื่องประดับ รวมถึงอาวุธดาวโบราณ มาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ทำให้ชาวบ้านทราบข่าวแห่ไปดู และขอโชคลาภตามความเชื่อ
พร้อมประสานเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบถึงที่มา เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ที่ถูกฝังไว้ใต้ดินนานหลาย 100 ปี เพราะมีร่างกายสูงกว่า 2
เมตร และเป็นอาวุธดาบทหารโบราณ ที่ไม่เคยพบเห็น
โดย นายบุตรดา นามตะ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 บ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม กล่าวถึงที่มาการค้นพบว่า ถือเป็นเรื่องบังเอิญ
หลังจากลูกชายคือ นายสนธยา นามตะ อายุ 31 ปี ลูกชายได้ฝันติดต่อเนื่องกันหลายวัน ว่าตนเองได้ไปอยู่ในป่าบริเวณดังกล่าว ที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร
และในฝันยังพบว่ามีชายคนหนึ่งมาขอความช่วยเหลือว่าอยากให้ไปขุดค้นหา เพื่อนำมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ตอนแรกก็ถือว่าเป็นความฝันธรรมดา
แต่มีการฝันบ่อยครั้งติดต่อกัน จึงแปลกใจ เชื่อว่ามีอะไรบางอย่างมาดลใจ
จึงตัดสินใจเข้าป่าไปพิสูจน์ พร้อมเดินทางเข้าไปบริเวณจุดที่ฝัน พร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า หากเป็นความจริงขอให้ดลใจและขุดพบอะไรบางอย่าง จากนั้น
ตนและลูกชายจึงสุ่มขุดลงไปในดิน เพราะคิดว่าอาจจะเป็นจุดที่มีการฝังสิ่งมีของค่าหรือวัตถุโบราณอะไรบางอย่าง จนกระทั่งพบเห็นดาบเหล็กคล้ายดาบโบราณ
ขนาดความยาว 89 เซนติเมตร มีปลายงอโค้ง และมีห่วงตรงด้าม ส่วนด้ามจับได้ผุพังหมดแล้ว จึงขุดลงไปลึกประมาณ 20 เซนติเมตร ก่อนพบโครงกระดูกมนุษย์
ลักษณะคล้ายกับเป็นที่ฝังศพ สามารถดูออกว่าเป็นลักษณะโครงกระดูกมนุษย์ ซึ่งไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์
แต่ที่ผิดปกติคือ ดูจากโครงสร้างร่างกาย วัดความสูงจากหัวจรดเท้า ประมาณ 2.50 เมตร ถือว่าเป็นคนสูงใหญ่มาก และยังพบชิ้นส่วนโลหะที่เชื่อว่า เป็นหมวกเหล็ก
และเป็นเครื่องประดับ หยกคล้ายสร้อยคอ และแหวนที่ติดตามกระดูกนิ้วมือ แต่มีสภาพผุกร่อนตามสภาพ เนื่องจากเชื่อว่าจะฝังใต้ดินมานานหลายปี
จากนั้นจึงได้ขุดเอากระดูกที่สามารถขุดได้ และโลหะที่อยู่กับโครงกระดูก รวมถึงอาวุธดาบมาไว้ที่บ้าน เพราะมีความเชื่อว่า ดวงวิญญาณผู้ตาย
ต้องการจะให้นำออกมาทำบุญ และจะมาให้โชคลาภแก่คนในครอบครัว เพราะดูจากลักษณะแล้วเชื่อว่าไม่ใช่ศพคนทั่วไปหรือในยุคปัจจุบัน แต่น่าจะเป็นมนุษย์โบราณ
และเป็นนักรบ ที่มีการฝังศพไว้มานานหลาย 100 ปี แล้ว
ส่วนดูจากลักษณะของอาวุธดาบ ไม่ใช่อาวุธมีดดาบของคนในยุคปัจจุบัน แต่เป็นอาวุธดาบของทหารนักรบโบราณมากกว่า เชื่อว่าจะเป็นศพนักรบโบราณที่นำมาฝังไว้
แต่พื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นที่ตั้งของอะไรมาก่อน อย่างไรก็ตามจะได้ประสานเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ
เพราะเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวจะมีหลักฐาน และสิ่งของอีกหลายอย่าง ส่วนกระดูก และสิ่งของที่ขุดได้ จะนำมาเก็บไว้ที่บ้าน ให้คนมาดูและกราบไหว้ขอโชค
ทำบุญเพื่อนำเงินไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ตามความฝัน.
'กรมศิลป์' ยันกระดูกนักรบโบราณนครพนมอายุ 2 พันปี
โดย ทีมข่าวภูมิภาค (ไทยรัฐ) 31 ต.ค. 2556 13:02
"กรมศิลปากร" ยืนยันกระดูกนักรบโบราณ มีอายุราว 2,000 ปี ลงพื้นที่นครพนม เร่งสำรวจเก็บหลักฐานเพิ่ม พร้อมประกาศเป็นจุดหวงห้าม...
.......เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 56 น.ส.พิมพ์นารา กิจโชติประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 จ.ร้อยเอ็ด นำ น.ส.กนกวลี สุริยะธรรม
เจ้าหน้าที่ชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 10 จ.ร้อยเอ็ด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าสำรวจเก็บหลักฐานเพิ่มเติม หลังมีชาวบ้านการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ
พร้อมเครื่องประดับและอุปกรณ์เครื่องใช้ในพื้นที่ป่าภูพาน ใกล้ถ้ำภูแกลบ ในเขตบ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร
โดยหลังขุดพบ นายบุตรดา นามตะ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 บ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก ผู้ค้นพบ ได้นำชิ้นส่วนกระดูก รวมถึงเศษโลหะเครื่องประดับ
พร้อมทั้งอาวุธดาวโบราณ มาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ทำให้ชาวบ้านทราบข่าวแห่กันไปดู และขอโชคลาภตามความเชื่อ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรที่ 10
ได้เข้าทำการสำรวจรวบรวมหลักฐานหาที่มา และวางแผนพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวศึกษาแหล่งโบราณสถานประวัติศาสตร์ต่อไป
ซึ่งสามารถเก็บรวบรวมหลักฐานกระดูกมนุษย์โบราณได้อีกบางส่วน เชื่อว่าจะเป็นที่ฝังศพในอดีต
ส่วนอายุคาดว่าเป็นก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ราว 2,000 ปี และยังไม่สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ เนื่องจากยังสามารถขุดพบหลักฐานได้ไม่มากพอ
แต่เชื่อจะมีมากกว่า 1 ศพ พร้อมประกาศให้พื้นที่โบราณสถาน และเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไปขุด โดยไม่ได้รับอนุญาต
รวมทั้งเตรียมวางแผนพัฒนาเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคต และในส่วนที่ชาวบ้านขุดพบจะเก็บรักษาไว้ เพื่อให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้มาเยี่ยมชม
และขอโชคลาภตามความเชื่อ
น.ส.พิมพ์นารา กล่าวว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแหล่งที่ชาวบ้านมีการขุดค้นพบกระดูกมนุษย์โบราณ พร้อมอาวุธดาบ และเครื่องประดับบางส่วน
ในพื้นที่บ้านจำปาศรี ต.ก้านเหลือง อ.นาแก นั้น เบื้องต้นจากการตรวจสอบจากหลักฐาน เชื่อว่าจะเป็นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,000 ปี
และคาดว่าจะเคยเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัย เนื่องจากการตรวจสอบและเปรียบเทียบกับแหล่งที่เคยขุดค้นพบ
ทราบว่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์จะมีการฝังศพในหมู่บ้านที่พักอาศัย ส่วนรายละเอียดเชิงลึกยังไม่สามารถระบุได้มากกว่านี้
เนื่องจากสามารถขุดค้นพบหลักฐานได้ไม่เพียงพอ มีเพียงเครื่องประดับบางส่วนและอาวุธดาบ ที่จะนำไปตรวจสอบหาความชัดเจนอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในส่วนขั้นตอนการปฏิบัติจะได้ประกาศเป็นพื้นที่โบราณสถาน ห้ามมีการเข้าไปขุดค้น ป้องกันไม่ให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ถูกทำลาย
พร้อมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น เพื่อวางแผนพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ศึกษาทางประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคต
ซึ่งในส่วนของกระดูกมนุษย์โบราณ หรือสิ่งที่ขุดค้นพบ ชาวบ้านสามารถเก็บรักษาไว้ได้ เพื่อเป็นมรดกของท้องถิ่นต่อไป.
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (นครพนม - อุบลราชธานี)
๖. วัดศรีสุวรรณมงคล ชุมชนโคกสุวรรณ อ.เมือง จ.มุกดาหาร
เช้าวันนี้เดินทางล่องลงมาจากธาตุพนมสู่มุกดาหาร เพื่อไปทำบุญร่วมสร้างพระใหญ่ที่ วัดภูมโนรมย์ ระหว่างทางเห็นนั่งร้านกำลังสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๑๐ ศอก
(๕ เมตร) จึงรีบเข้าไปทำบุญ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนการเดินทาง ร่วมทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท
๗. วัดภูมโนรมย์ อ.เมือง จ.มุกดาหาร
ถ่ายภาพจากระยะไกล จะมองเห็นฐานพระใหญ่อยู่บนภูมโนรมย์ หลวงพี่แวะมาดูความคืบหน้าและร่วมสร้างพระใหญ่หน้าตัก ๔๐ เมตร
ปรากฎว่าได้มีการเปลี่ยนผู้รับเหมาจากปี ๒๕๕๓ ที่เคยมาครั้งแรกมาเป็นบริษัทใหม่ จากนายช่างสมชัย มาเป็นช่างพิภพ ชัยสาคร เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง
นายช่างเล่าว่า วันลอยกระทง เห็นดวงแก้วเสด็จเป็นแสงสีเหลือง ลอยลงมาที่บริเวณก่อสร้าง พวกเราไปช่วงนี้เป็นการสร้างฐานบัวก่อนจะขึ้นองค์พระ
จึงได้ร่วมทำบุญโดยแจกเงินให้คนงานก่อสร้างคนละ ๑๐๐ บาท โดยผ่านนายช่างรวม ๓,๕๐๐ บาท
๘. รอยพระพุทธบาท แสงอรุณ บ.ร่องคันแยงน้อย ต.สำโรง อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี (พบใหม่)
ในระหว่างเดินทาง หลวงพี่ได้โทรศัพท์นัดหมายกับ อ.ณรงค์ จาก อ.กัณทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อที่จะให้นำทางไปที่วัดป่าแสงอรุณแห่งนี้
ซึ่งอาจารย์ณรงค์พร้อมด้วยคุณพงศ์พรได้มาบอกหลวงพี่ไว้เมื่องานธุดงค์ ปี ๒๕๕๖ ที่วัดท่าซุง
เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณวัด จะเห็นมีการสร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทไว้แล้ว โดยคณะชาวกัณทรลักษ์ ขนาดรอยพระบาทกว้าง ๓๖ เซนติเมตร ยาว ๘๐ เซนติเมตร
พบครั้งแรกวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ สภาพเดิมมีทั้งดินและใบไม้ทับถมจนไม่เห็นสภาพของก้อนหินเหมือนในปัจจุบัน
พอเริ่มทำความสะอาดบริเวณนี้จึงพบรอยพระพุทธบาท
สำหรับมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ อาจารย์ณรงค์บอกว่าหลวงพี่เคยให้ทุนไว้สำหรับสร้างมณฑปครอบจำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
และอาจารย์ได้รวบรวมเงินจากชาวบ้านเพิ่มเติมอีก จนสร้างเกือบแล้วเสร็จ นับว่าเป็นรอยที่สวยงามตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
เจ้าอาวาสได้มาต้อนรับ และหลวงพี่ได้เสี่ยงทายอธิษฐานด้วยการวัดไม้วา จากนั้นได้นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เป็นการสมโภชน์รวม ๗ รูป นับหลวงพี่ด้วยเป็น
๘ รูป เท่ากับมณฑปที่ทำเป็นรูปทรง ๘ เหลี่ยมพอดี
จากนั้นได้เปิดเทปบวงสรวงของหลวงพ่อ สรงน้ำหอม ปิดทองและโปรยดอกไม้ เสร็จแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนจะกลับหลวงพี่บอกว่าจะเป็นเจ้าภาพถวายพระพุทธรูป
หน้าตัก ๓๐ นิ้ว พร้อมด้วยฉัตร และกระถางธูป-ราวเทียนด้วย แล้วพวกเราก็ร่วมกันถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ รวมทำบุญทั้งหมด ๓,๕๐๐ บาท
๙. แก่งสามพันโบก ต.สำโรง อ. โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
ต่อจากนั้นก็เดินทางย้อนกลับมาที่ "แก่งสามพันโบก" ซึ่งอยู่ห่างจากรอยพระพุทธบาทประมาณ ๕ กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หลังจากที่น้ำในแม่น้ำโขงลดลง
จะเห็นเนินที่มีลักษณะคล้ายรอยเท้าเยอะมาก
คำว่า "โบก" ทางอิสานแปลว่า "หลุม" รวมว่า "สามพันหลุม" จึงเห็นเป็นหลุมเต็มไปหมด หลวงพี่ได้เหมารถสองแถวลงไปชมแก่งหินด้านล่าง
จอดรถแล้วเดินลงไปริมน้ำโขงที่เริ่มแห้ง แล้วได้ทำพิธีไหว้ตรงสระมรกต
(โปรดติดตาม ตอนที่ 2 กรุณา..
คลิกที่นี่ )
<< กลับสู่สารบัญ
webmaster - 10/4/14 at 10:01
.