ตามรอยพระพุทธบาท

ภาพข่าว ...การเดินทางไปที่ เกาะง่ามใหญ่ จังหวัดชุมพร
praew - 3/4/09 at 15:38

ภาพข่าว ... การเดินทางไปชุมพร - พังงา - หาดใหญ่ วันที่ 25 - 28 มิ.ย. 2550

รอยฝ่าพระหัตถ์ ณ เกาะง่ามใหญ่ จังหวัดชุมพร


ตามที่มีภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 เรื่องการพบก้อนหินบนเกาะแห่งนี้คล้ายกับฝ่ามือ เดิมชาวบ้านเรียกว่า "เกาะรองเท้า" เพราะมีรูปร่างคล้ายรองเท้าบูท แต่ส่วนใหญ่เรียกกันว่า "เกาะง่ามใหญ่" มีการทำสัมปทานรังนกนางแอ่น จึงยากที่จะขึ้นไปเกาะแห่งนี้ได้

เมื่อมีข่าวฮือฮาเกิดขึ้นเช่นนี้ จึงขอนำเรื่องที่ พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต เล่าไว้ในหนังสือตามรอยพระพุทธบาท เล่มที่ 4 ตามที่ได้เดินทางไปชุมพรพร้อมกับ คณะคุณศราวุธ ราชบุรี และ คณะคุณธนวิสุทธิ์ สุวรรณาพรหม เมื่อปี 2550 รวมทั้งสิ้นประมาณ 10 กว่าคน ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้...

(ภาพหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับลงวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2552)



อุทัยธานี - ชุมพร - พังงา

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2550 ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ยังมีงานค้างที่จะต้องเดินทางไปที่ เกาะง่ามใหญ่ (เกาะรองเท้า) อ.ปะทิว จ.ชุมพร จึงได้นัดกับ คณะคุณศราวุธ ราชบุรี และ คณะคุณธนวิสุทธิ์ สุวรรณาพรหม (เว็บแดนพระนิพพาน) ไปพบ กันที่วัดเกตุมฯ หลังจากถวายผ้าห่มพระธาตุแล้ว จึงเดินทางไปที่ วัดเพชรพลี จ.เพชรบุรี





ในขณะที่ไปถึงนั้น ทางวัดกำลังบูรณะ วชิระประสาท พอดี จึงฝากเงินทำบุญกับเจ้า อาวาสไว้ แล้วออกเดินทางไปที่ท่าเรือชุมพร คาบาน่า อ.ปะทิว จ.ชุมพร แล้วเช่าเรือไปที่ เกาะง่ามใหญ่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ชั่ว โมงครึ่ง แต่ไม่สามารถจะขึ้นเกาะได้ เพราะ เป็นเขตหวงห้ามเขาทำสัมปทานรังนกนางแอ่น


จึงให้คนขับเรือตังเกที่ดัดแปลงเป็นเรือ ท่องเที่ยววิ่งวนรอบเกาะ พอที่พวกเราจะมอง เห็นได้ แต่ต้องแหงนหน้ามองขึ้นไป พอจะเห็น ได้ชัดเจนว่าเป็นรอยพระหัตถ์จริงๆ ความแตก ต่างสีผิวของหินมองเห็นได้ชัดว่า หินที่ฝ่าพระ หัตถ์จะเป็นสีอิฐ นอกนั้นก็เป็นสีของหินทั่วไป


ถ้าเชื่อว่ารอยพระหัตถ์ (ปาต๊ะ) ที่เมือง ลา สิบสองปันนา เป็นของจริง ที่นี่ก็ต้องเป็น ของจริงด้วย แล้วก็ชัดเจนสวยงามกว่ามาก ถ้า ได้มาเห็นของจริงแล้ว ในระหว่างนี้ จึงให้คน ขับเรือวิ่งวนประทักษิณ ๓ รอบ พร้อมกับ เปิดเทปหลวงพ่อบวงสรวงและสวดอิติปิโสไป ด้วย ท่ามกลางคลื่นลมและสายฝนตลอดเวลา


แต่พวกเราก็ตัดสินใจยอมสละชีวิต เพื่อ บูชาพระพุทธองค์ฝ่าคลื่นลมจนครบ ๓ รอบ พอที่จะชื่นชมให้สมความตั้งใจ แม้เสื้อผ้าจะ เปียกปอนกันไปหมดทุกคน บางคนก็ทำท่าจะ เมาคลื่น แต่ก็ฝืนทนสวดอิติปิโสไปจนครบ


หลังจากนั้นก็วกเรือกลับเข้าสู่ฝั่งดังเดิม พกพาความประทับใจและความตื่นเต้นหวาด เสียวกลับมาด้วย นึกถึงเรื่องราวที่ชาวบ้านเล่า ให้ฟังว่า เกาะนี้มีอะไรแปลกๆ ทั้งที่เขาก็ไม่ เคยรู้เลยว่าเป็นรอยพระพุทธหัตถ์ แต่จะมีสิ่ง บอกเหตุอย่างหนึ่งว่า

ผู้หญิงจะขึ้นเกาะนี้ไม่ได้เลย เคยมีคน งานทำรังนก คงจะเหงานะ อยู่แต่บนเกาะ จึง นำผู้หญิงขึ้นมานอนด้วย ปรากฏว่าอยู่ไม่ได้ ต้องรีบนำส่งกลับขึ้นฝั่งทันที นี่เป็นแค่ข้อมูล ที่ได้รับ ต่อจากนั้นก็เดินทางไปสุราษฎร์ธานี กับคณะคุณธนวิสุทธิ์ ส่วนคณะคุณศราวุธขอ กลับกรุงเทพฯ ก่อน

พวกเราได้นัดพบกับ คณะสุราษฎร์ ที่ รอยพระพุทธบาทศรีสุราษฎร์ อ.กาญจนดิษฐ์ เวลานี้มีพระสงฆ์มาปลูกกุฏิวิหารตั้งเป็นวัดแล้ว ทราบว่าท่านกำลังจะก่อสร้างมณฑปครอบพระพุทธบาท จึงได้ร่วมกันทำบุญด้วย จากนั้นก็ขึ้นไปไหว้พระพุทธบาท แล้วย้อนกับมาที่ วัดถ้ำน้ำทิพย์ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่มากนัก





ตามที่คุณศราวุธเล่าว่า ภายในถ้ำมีบ่อน้ำทิพย์ที่ผู้เขียนเคยมาหลายปีแล้ว แต่เวลานี้ น้ำแห้ง มองเห็นรอยพระพุทธบาทอยู่ภายใน ด้วย จึงเข้าไปดูปรากฏว่าเป็นความจริง จากนั้น ก็กลับไปค้างคืนที่บ้าน เจ๊เตี้ยน ในตอนเช้า คณะสุราษฎร์ธานี ถวายอาหารเช้าแล้ว จึงออก เดินทางต่อไปสืบหารอยพระพุทธบาทบนเขาที่ ต.ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่


ในระหว่างทางได้แวะทำบุญสร้างพระเจดีย์ที่ วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ แล้วจึงออกเดินทาง ต่อไป แต่กว่าจะสืบหารอยพระพุทธบาท ตาม ข้อมูลที่พี่สาวของ คุณบัวสอน จันทะพรม แจ้ง ไว้นั้น ต้องแวะถามชาวบ้านหลายครั้ง จนกระ ทั่งผู้ใหญ่บ้านต้องขับรถเครื่องนำไปเอง

รถวิ่งเข้ามาในป่าสวนยางพาราลึกมาก จนถึงเชิงเขาจึงพบบ้านของคุณบัวสอน ซึ่งมีอยู่ หลังเดียวในบริเวณนั้น แล้วสามีของคุณบัวสอน ก็ได้นำขึ้นไปบนเขาใกล้ๆ บ้าน เขาไม่สูงนัก ปลูกยางเต็มไปหมด แต่บริเวณนั้นกลับมีก้อน หินเล็กอยู่ก้อนหนึ่ง มีเป็นรอยเท้าเล็กๆ ปรากฏ อยู่ ๒ รอย





แต่ผู้ใหญ่บ้านที่มาส่ง ก่อนจะกลับได้ บอกว่า บนยอดเขาอีกลูกหนึ่งชื่อ “เขาหลัก” ก็ยังมีรอยพระพุทธบาทอีกด้วย แต่ตอนนี้ฝน ตกขึ้นไม่ได้ เพราะอยู่สูงกว่านี้มาก ผู้เขียนก็ เพียงแต่รับฟัง หลังจากนั้นก็เดินทางไปเทองค์ พระใหญ่ที่ วัดหัวถนน อ.สะเดา จ.สงขลา




ตามที่เล่าผ่านไปแล้วว่า ผู้เขียนได้ถวาย เงินที่เหลือจากการสร้างพระ ๑๕ ศอก ทั้ง ๔ ทิศ เพื่อให้พระสายอีสานสร้างแบบพระ ๓๐ ศอก แล้วนำแบบพิมพ์นี้ไปสร้างที่วัดหัวถนน เป็นองค์แรก ผู้เขียนจึงได้ไปร่วมเทองค์พระ โดยที่มิได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า




จากนั้นก็ได้ถวายปัจจัยแก่เจ้าอาวาสวัดหัวถนน ๑๐,๐๐๐ บาท ถวายพระสายอีสานที่มาก่อสร้างมี อาจารย์แก้ว และ อาจารย์ปาน เป็นต้น เป็นเงินหลายพันบาท จากนั้นก็เดินทางกลับวัด ต่อมาได้ข่าวว่าทางพระสงฆ์ทางเมืองกาญจนบุรี มีการสร้างแบบพิมพ์พระใหญ่ หน้าตัก ๓๖ ศอก จึงได้ฝากเงินไปทำบุญด้วยอีกหลายครั้ง ภายหลังก็ได้เดินทางไปร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์อีกด้วย










webmaster - 8/4/09 at 08:43



(Update 08/04/52)

เดลินิวส์พาดหัวข่าว วันที่ 31 มีนาคม 2552


ทึ่ง 'รอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้า' เมืองไทยมีทั้งภาค 'เหนือ-ใต้'


หากพูดถึงเรื่องความเชื่อ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์ทุกคนย่อมต้องมีความรู้สึก ทั้งเชื่อและไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งนี้ความเชื่อก็คือ ความมั่นใจต่อสิ่งนั้น ๆ ว่าเป็นความจริง ความเชื่อบางอย่างอาจสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานาน ที่สำคัญความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ ตอนที่ยังไม่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่มีการพิสูจน์ถึงความจริงของเรื่องนั้น ๆ ทั้งนี้ความเชื่อบางอย่าง ก็มีการปลูกฝังกันมาตั้งแต่อดีตว่า หากไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่โดยเด็ดขาด

คงจะจำกันได้ดีเกี่ยวกับการค้นพบหลักฐานสำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา มีข่าวแพร่สะพัดพบรอยพระหัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ และรอยพระบาทเกือกแก้ว พระอรหันต์ 7 ขวบ ผู้ติดตามพระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล นอกจากนี้ยังพบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดเมืองกื้ด หมู่ 1 อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่ง พระอธิการถา รัตนวัณฺโณ เจ้าอาวาสวัดเมืองกื้ด เปิดเผยว่า

เรื่องราวความเป็นมาการค้นพบรอยพระหัตถ์ รอยพระบาท และบ่อน้ำทิพย์ เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 พ.ย. 51 ขณะสามเณรกวาดทางขึ้นวัดอยู่ จู่ ๆ ไปพบหินก้อนหนึ่งอยู่ริมทางเดิน ลักษณะคล้ายรอยเท้าเด็ก แต่ไม่มีนิ้ว จึงคิดว่าน่าจะใช่รอยพระบาท จึงเขียนวันที่พบก้อนหินนั้นไว้ จากนั้นนำดอกไม้ธูปเทียนมาสักการบูชาแล้วไปค้นคว้าสอบถามผู้รู้หลายคน ซึ่งทุกคนบอกว่า เป็นรอยพระบาทของพระอรหันต์ 7 ขวบ ที่ติดตามพระพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล ประทับรอยพระบาทเอาไว้เป็นที่ระลึก จึงตั้งชื่อว่า “พระบาทเกือกแก้วร่มโพธิ์นเรศวร”

จากนั้นวันที่ 8 ธ.ค. 51 มีการประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดงานสมโภช พระธาตุก้าวหน้ามหามงคลคีรี ศรีเมืองกื้ดขึ้น โดยที่ประชุมมีมติเอาวงแห่พื้นเมืองมาตั้งบริเวณทางขึ้นหน้าวัด จึงให้สามเณรไปทำความสะอาดบริเวณดังกล่าว ปรากฏว่าพบรอยพระหัตถ์ สร้างความปลื้มยินดีแก่พระ-เณร และชาวบ้านเป็นอย่างมาก จึงตั้งชื่อว่า “พระหัตถบาทก๊อแก้วเมืองกื้ด” เนื่องจากเจอระหว่างต้นก๊อกับต้นแก้ว โดยพระหัตถ์มีความกว้าง 23 นิ้ว ความยาว 29 นิ้ว แต่ละนิ้วกว้าง 3 นิ้ว หลังข่าวแพร่ออกไปก็มีประชาชนทั่วทุกสารทิศพากันมากราบไหว้ เพื่อเยี่ยมชมสักการะกันอย่างไม่ขาดสาย

ต่อมาคืนวันที่ 8 ธ.ค. 51 ขณะนอนหลับได้นิมิตฝันเห็นชีปะขาวมาอวยพร พร้อมกับบอกแหล่งบ่อน้ำทิพย์ มีกบตัวใหญ่หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมเฝ้าอยู่ จึงลงไปค้นหาก็เจอบ่อน้ำทิพย์ในวันที่ 10 ธ.ค. 51 จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ พอรุ่งเช้ากบตัวดังกล่าวก็หายไป ทุกวันชาวบ้านจะมาอธิษฐานเพื่อขอน้ำจากบ่อน้ำทิพย์ไปดื่ม บางคนก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

อย่างไรก็ตามช่วงแรกชาวบ้านบางคนไม่เชื่อ แต่หลังข่าวแพร่ออกไป หลวงพ่อไชยวัฒน์ อชิโต จากวัดท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับตำรารอยพระพุทธ บาท-รอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้า เดินทางมานั่งสมาธิกรรมฐาน เกิดอาการปวดหัวอย่างแรง จึงสวดพระพุทธมนต์ ก่อนจะนำน้ำจากบ่อน้ำทิพย์มาดื่ม ปรากฏว่าอาการ หายไปอย่างเฉียบพลัน จึงเกิดความเชื่อว่าเป็นรอยพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าที่เดินทางมาจารึกไว้

ทั้งนี้สิ่งที่ค้นพบโดยบังเอิญสร้างความอิ่มเอิบใจให้กับพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก ต่างหลั่งไหลไปกราบไหว้กันอย่างเนืองแน่นเต็มไปหมด ล่าสุดมีข้อมูลเปิดเผยว่าพบสิ่งมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกครั้ง โดยเกิดขึ้นทางภาคใต้ เป็น “รอยพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า” ประทับอยู่บนก้อนหินขนาดมหึมาบนยอด เกาะกลางทะเลลึก ห่างจากชายฝั่ง จ.ชุมพร ประมาณ 10 ไมล์ทะเล


นายอำนวย บัวเขียว นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ชุมพร เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากนายบรรจบ สงัดดี อายุ 40 ปี ชาวประมงว่าพบปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสนประหลาด เชื่อว่าคือ “รอยพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า” ประทับอยู่บนก้อนหินขนาดมหึมาบนยอดเกาะกลางทะเลลึก ชาวประมงทะเลชุมพรขนานนามว่า “รอยฝ่าพระหัตถ์พระพุทธเจ้า” ต่างให้ความนับถือเป็นอย่างมาก โดยเชื่อว่าคุ้มครองให้ชาวประมงรอดพ้นจากภัยธรรมชาติทางทะเล

ทั้งตอนพายุเกย์ พายุซีตาร์ และพายุลินดา พัดขึ้นฝั่งถล่มพื้นที่ใน จ.ชุมพร เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเมื่อพายุพัดผ่านมาถึงจุดรอยฝ่าพระหัตถ์ฯก็จะสลายตัวลดกำลังลงกลายเป็นพายุขนาดเล็ก ซึ่งชาวประมงจำนวนมากเห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง กระทั่งจุดดังกล่าวกลายเป็นที่หลบพายุกลางทะเล รับรู้ในหมู่ชาวประมงเท่านั้น และเป็นพื้นที่กลางทะเลลึก ที่แทบไม่พบผู้คนผ่านไปมามากนัก

จากการตรวจสอบพบว่าจุดดังกล่าวเป็นเกาะหินขนาดใหญ่ ด้านหลังเกาะหันหลังให้เมืองชุมพร ที่ปลายยอดของเกาะมีหินก้อนมหึมาสูงประมาณตึก 20 ชั้น หรือร่วม 100 เมตร กว้างประมาณ 60 เมตร มีสีเหลืองอร่ามทั้งก้อน ปลายของหินขนาดใหญ่มีรอยแยกคล้ายนิ้วมือ มีสีดำคั่นระหว่างนิ้วจำนวน 4 นิ้ว ส่วนด้านล่างมีหินงอกออกมาคล้าย นิ้วโป้งเป็นที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งหินก้อนดังกล่าวคล้ายหินแผ่นเรียบมีรอยฝ่ามือประทับลงไปทำให้เกิดรอยฝ่ามือขึ้นมา ลักษณะเดียวกับฝ่าพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ

“ถ้าไม่นับความเชื่อของชาวประมงที่ว่าเป็นพระหัตถ์พระพุทธเจ้า ก้อนหินดังกล่าวถือเป็นประติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้งดงามมาก ปกติชาวประมงที่รับรู้จะไม่ยอมเปิดเผย หรือให้เรือนักท่องเที่ยวผ่านไปมาบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก หวงแหนและเป็นจุดงอกของปะการังน้ำตื้นที่สวยงามมากจุดหนึ่ง ถ้ามีเรือท่องเที่ยวผ่านไปมามากเกินไปอาจทำให้ธรรมชาติเสียหายได้

แต่ที่ชาวประมงยอมให้รายละเอียด เพราะเห็นว่า อบจ.ชุมพร ร่วมกับจังหวัดฯ และการท่องเที่ยวฯ กำลังจัดงานเทศกาล “โลกทะเลชุมพร 52” ระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-13 เม.ย. จึงอยากให้นักท่องเที่ยวได้มาชมเป็นขวัญตา หากนักท่องเที่ยวสนใจสามารถติดต่อทางราชการ หรือสมาคมท่องเที่ยวของจังหวัดฯจะดีที่สุด เพราะมีความชำนาญในการเดินเรือในเส้นทางดังกล่าวที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติ”.

สาธิต ศรีหฤทัย-ข้อมูล/ศุภฤกษ์ วิเชียรปัญญา-รายงาน
http://www.dailynews.co.th



ขอแก้ข่าว


เรื่องการนำเสนอข่าวนี้ หลวงพี่ชัยวัฒน์ขอแก้ตรงคำที่ว่า

"...อย่างไรก็ตามช่วงแรกชาวบ้านบางคนไม่เชื่อ แต่หลังข่าวแพร่ออกไป หลวงพ่อไชยวัฒน์ อชิโต จากวัดท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับตำรารอยพระพุทธ บาท-รอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้า เดินทางมานั่งสมาธิกรรมฐาน เกิดอาการปวดหัวอย่างแรง จึงสวดพระพุทธมนต์ ก่อนจะนำน้ำจากบ่อน้ำทิพย์มาดื่ม ปรากฏว่าอาการ หายไปอย่างเฉียบพลัน จึงเกิดความเชื่อว่าเป็นรอยพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าที่เดินทางมาจารึกไว้..."

ความจริงในวันที่ไปนั้นตรงกับวันที่ 6 มกราคม 2552 ได้ไปเห็นแล้ว ท่านก็เชื่อว่าเป็นรอยจริง เพราะได้สำรวจมาแล้วหลายแห่ง จากนั้นท่านได้ทำพิธีบวงสรวงและได้อธิษฐานวัดไม้ว่า ปรากฏว่าเป็นไปตามนั้นจริง ส่วนเรื่องอาการปวดหัว ไม่ได้ปวดหัวรุนแรงแต่อย่างใด ปวดนิดหน่อยเนื่องจากเดินทางมาไกล ถนนไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง จึงขอชี้แจงไว้เพียงแค่นี้ครับ

อ้างอิง - การเดินทางตามรอยพระพุทธบาทภาคเหนือ วันที่ 6 - 11 ม.ค. 2552 คลิกที่นี่