ตามรอยพระพุทธบาท

งานทำบุญคล้ายวันเกิดหลวงพี่ชัยวัฒน์ วันที่ 29 พ.ค. 2553
praew - 9/6/10 at 14:18

...งานทำบุญอายุครบรอบ 61 ปี ของหลวงพี่ชัยวัฒน์ ปีนี้ได้จัดงานหลังจากวันวิสาขบูชา คือวันที่ 28 พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นความคิดที่จัดทำบายศรีไหว้พระคุณของบิดามารดาของท่านมาตลอดทุกปี

งานคล้ายวันเกิดของท่าน จึงเป็นวันที่ท่านตั้งใจไหว้คุณพ่อไหว้คุณแม่เป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งพวกเราและผู้ร่วมงานทุกท่าน ต่างก็มีเจตนาที่จะได้ไหว้พระคุณของพ่อแม่ นับตั้งแต่ปัจจุบันย้อนไปในชาติอดีตทุกภพทุกชาติเช่นกัน...



ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะทำพิธีบวงสรวง ณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม "คณะกองทุน" ได้รวบรวมเงินประมาณหมื่นกว่าบาท แล้วนำไปซื้อปลาในตลาดมาปล่อย หลวงพี่ได้ชักชวนคณะที่มาค้างคืนตั้งแต่วันวิสาขบูชาไปปล่อยปลาด้วยกันในป่าธุดงค์ อันมีคณะคุณศราวุธ ราชบุรี จากชลบุรี, คณะสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีเจ๊เตี้ยนเป็นผู้ประสานงานมาทำแกงเหลืองเลี้ยงด้วย

นอกจากนี้ยังมีคณะนายดาบบุญรอด จากระยอง, คณะตาพระยา มีคุณสุทัศน์ - คุณทิพยา วิลาวัลย์ คุณสุชัย - คุณหรรษา (พี่สาวและพี่เขย) พร้อมด้วยคณะจาก อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี, คณะวัดพระร่วง สุโขทัย คณะจากกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ รวมแล้วยังมีอีกหลายคณะ หากกล่าวขาดตกบกพร่องไปต้องขออภัยด้วยค่ะ


ขอย้อนกล่าวถึงตอนแรกที่นึกว่าปลาจะมีไม่มาก ประมาณสัก 1 - 2 หม้อใหญ่ แต่ปล่อยไปปล่อยปลานับได้ประมาณ 15 หม้อเห็นจะได้ ปลาถูกปล่อยลงสระน้ำอย่างอิสระเสรี เสร็จแล้วหลวงพี่กล่าวอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อเป็นสวัสดิมงคลเนื่องในวันเกิดของท่านตามธรรมเนียมต่อไป

แต่พอเล่าเรื่องนี้ไปแล้ว คุณติ๋มน้องสาวหลวงพี่ได้ฝากบอกอีกว่า ทางคณะกองทุนได้บอกบุญหาทุน เพื่อปล่อยโค-กระบือให้หลวงพี่ 2 ตัว รวมเป็นเงิน 30,000 บาท จึงขอแจ้งเพิ่มเติมมาให้โมทนาอีกด้วยค่ะ


ท่ามกลางญาติมิตรที่ร่วมเดินทางเข้าไปในป่านี้ด้วย ต่างก็ร่วมอนุโมทนาด้วยกัน ถือว่าเป็นการปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความตายด้วยอาวุธ หมายถึงปลาพวกนี้ต้องถูกทุบหัวตาย คือตายก่อนหมดอายุขัยของมัน เหมือนกับปล่อยชีวิตของเราให้ยืนยาว และมีอิสรภาพเสรีเช่นกัน


แต่การปล่อยปลาในลักษณะเช่นนี้ ถ้าเราเดินไปแล้วพบปลาเกยแห้งนอนรอความตาย นั่นก็หมายถึงปลาจะต้องถูกทรมานด้วยธรรมชาติ กว่าจะตายก็ทุกข์ทรมานเช่นกัน ถึงแม้ปลาจะตายแบบไหนก็ตาม หลวงพ่อท่านบอกว่า เราจะได้อานิสงส์ตัวละ 1 ปี แต่ถ้าปล่อยหลายพันตัวเช่นนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้นความตาย ดังนั้นเราปล่อยไปคิดเพียงแค่เมตตาสัตว์เท่านั้นเอง


หลังจากปล่อยปลานับเป็นสิบหม้อกันแล้ว หลวงพี่ได้นำคณะออกไปชื่นชมบรรยากาศผืนป่าที่ซื้อเพิ่มเติมใหม่ ประมาณ 100 กว่าไร่ ในตอนนี้ได้ทำคันคูน้ำและทำถนนยกเป็นคันดินสูงกันน้ำท่วมเสร็จแล้ว หมดงบประมาณไปหลายสิบล้านบาท


หากมองไปไกลๆ จะเห็นคลองยางไหลคดเคี้ยวไปมา โอกาสที่จะได้เข้าไปเห็นก็ยาก นับว่าโชคดีที่ได้เข้าไปเห็น ซึ่งเป็นวิวตามธรรมชาติอย่างแท้จริง พอได้เวลาประมาณ 9.30 หลวงพี่จึงชักชวนหมู่คณะเดินทางกลับเข้ามาภายในวัด เพื่อทำพิธีบวงสรวงในเวลานัดหมายคือ 10.00 น. กันต่อไป.


praew - 9/6/10 at 14:39


เมื่อเดินขึ้นไปบนพระวิหารสมเด็จองค์ปฐม ปรากฏว่ามีญาติโยมเข้ามานั่งรอเต็มไปหมดแล้ว ด้านหน้าโต๊ะหมู่บูชา มีการจัดตั้งโต๊ะบายศรีเสร็จแล้ว มีการเตรียมติดตั้งโทรทัศน์เครื่องใหญ่ เพื่อเปิดคลิปวีดีโอหลวงพ่อบวงสรวง และคุณสุพัฒน์และทีมงานเครื่องเสียงวัดท่าซุงมาเสริมไว้อีกด้วย


หลวงพี่ได้เข้ามานั่งด้านหน้าโต๊ะบายศรี เดิมทีคณะมณฑปพระอาริย์เป็นผู้ทำ แต่ปีนี้ คุณวัฒนา วงษาก้อ รับเป็นเจ้าภาพทั้งค่าใช้จ่ายและจัดทำกันเองด้วยอย่างสวยงาม และพานบายศรีที่วิหารฯ ได้มีคุณเอก จากคณะอาจารย์ใบบุญ ช่วยจัดทำให้ สำหรับบายศรีไหว้พ่อแม่ มีผู้จัดคือคุณบัวเขียวและคณะเจ้าหน้าที่มณฑปพระศรีอาริย์ อีกทั้งคุณเพชร จากวัดพระร่วงได้ทำมาถวายหลวงพี่เหมือนเช่นเคย

โดยมี คุณบุญชู - คุณมายิน เดียวสุรินทร์ และครอบครัว รับเป็นเจ้าภาพของที่ระลึกไว้สำหรับทุกคน ส่วนคุณสุภาวดี (แพรว) พรประสิทธิ์กุล พร้อมคุณพ่อคุณแม่และคุณนคร ช่วยจัดทำ "รอยพระพุทธบาท" เล็กๆ ผสมด้วยผงมงคลต่างๆ ใส่ตลับอย่างสวยงามเช่นกัน


ก่อนพิธีบวงสรวงหลวงพี่ได้กล่าวเกริ่นถึงประเพณีไหว้พ่อไหว้แม่ ที่ท่านได้ทำมานานเป็นสิบปีแล้ว นับตั้งแต่คุณแม่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งปีที่แล้วคุณพ่อก็เพิ่งจากไป พอถึงปีนี้หลวงพี่จึงได้เชิญ คุณปรีชา อารีกุล เป็นตัวแทนฝ่ายคุณพ่อ ส่วนคุณแม่ของคุณวันเพ็ญ (แต๋ง) สุโขบล เป็นตัวแทนฝ่ายคุณแม่ ซึ่งในปีนี้ คุณป้าปราโมทย์ ณ ระนอง ไม่สามารถอยู่ร่วมพิธีนี้ได้


บายศรีที่อยู่บนโต๊ะใหญ่ตรงด้านหน้า นั่นคือบายศรีไหว้พระรัตนตรัย ส่วนบายศรีด้านข้างเป็นบายศรีไหว้พ่อแม่ และยังมีบายศรีกรวยและพานพุ่มพานขอขอมา ที่พวกเราเตรียมขอขมาหลวงพี่วางเต็มไปหมด มองดูภาพรวมแล้วสวยงามยิ่ง


หลวงพี่ได้ทักทายผู้มาร่วมพิธีทั้งหลาย แล้วท่านได้เล่าความหลังให้ฟังว่า ในตอนวัยเด็กๆ ท่านเป็นคนดื้อและซุกซน ได้สร้างความลำบากใจให้พ่อแม่มากมาย มาตอนหลังท่านได้สำนึกจึงได้คิดขอขมาพ่อแม่เป็นประจำทุกปี


แต่ความจริงพ่อแม่ทุกคนไม่ได้รังเกียจบุตรธิดาของตนเอง พ่อแม่เป็นพรหมของบุตรอย่างแท้จริง การกราบไหว้คุณพ่อคุณแม่นั้น ถือว่าเป็นความกตัญญูกตเวทีที่ดีของเรา ถือเป็นความดีความงามแก่เราเอง


เดิมท่านคิดไหว้พ่อและแม่ในชาติปัจจุบัน แต่ภายหลังได้คิดว่าการเกิดผ่านมาหลายแสนชาติ อาจจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้เกิดขึ้นมาแล้ว ท่านจึงได้ขอขมากรรมย้อนหลังทั้งหมด แล้วท่านได้กล่าวอนุโมทนาผู้ที่ช่วยงานทั้งหมด ช่วยจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เมื่อวานนี้


หลังจากเปิดวิดีทัศน์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ บวงสรวงเสร็จแล้ว หลวงพี่ได้เข้าไปทำพิธีที่วัตถุมงคล ตามที่ได้จัดเตรียมมอบให้แก่ผู้ร่วมพิธีทุกๆ ท่าน


ต่อจากนั้นผู้ร่วมงานได้ทยอยเข้ามาถวายพานพุ่ม, พานขอขมาแด่หลวงพี่เป็นแถวยาวเหยียด ทุกคนต่างก็เข้ามาร่วมทำบุญกับท่านด้วย ส่วนที่สำคัญก็คือ คณะคุณสุชัย (ท้ง) ชินบุตรานนท์ หลวงพ่อสุรพงษ์ อภิวังโส วัดถ้ำรัตนบุปผา อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี พร้อมด้วยพ่อปรุง ตุงคะเศรณี, พ่อเย็นรุ้ง แซ่ซื้อ, แม่เตียง แซ่เจีย ได้ร่วมทำบุญทุกๆ อย่าง และร่วมสร้างพระ 30 ศอก เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ขออนุโมทนาด้วยค่ะ


ในตอนนี้ พี่มายินได้เป็นตัวแทนกล่าวอวยพรด้วยบทกลอน แล้วทุกท่านก็เข้ามารับกล่องกัมหยี่ (ภายในบรรจุกล่องรอยพระพุทธบาทได้พอเหมาะพอดี) ไว้เป็นที่ระลึกในปีนี้ ซึ่งมีไว้เพียงพอสำหรับทุกคน และเผื่อท่านที่กลับไปก่อน หรือที่ไม่ได้มาร่วมพิธี แต่ได้ฝากปัจจัยมาร่วมงานกันอย่างทั่วถึงกันทุกคน


praew - 9/6/10 at 14:53


...สำหรับการจัดเตรียมอาหารในปีนี้ พวกเราได้จัดเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อมเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้นำอาหารมาจากปักษ์ใต้เท่านั้นเอง คงจัดอาหารมาจากร้านอาหารแถวนี้ บางอย่างพวกเราก็เตรียมกันเอง โดยจัดเลี้ยงกันที่ด้านล่างของวิหารสมเด็จองค์ปฐมเช่นเคย


หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว มีหลายท่านต่างก็ชมชอบ "ขนมเค็ก" ของลูกสาวเจ๊มายิน และไอสครีมก็อร่อย ส่วนแกงเหลืองปักษ์ใต้ของคณะชาวสุราษฎร์ธานี ไม่ต้องห่วง หมดไปตั้งนานแล้ว พร้อมด้วยขนมจีนแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ผลไม้ก็มีมากหลาย บางรายก็นำลิ้นจี่มาถวายเช่น คุณนายจากคณะ "เชียงใหม่เจ๊า" เป็นต้น


อีกทั้งได้จัดเตรียมถวายอาหารเพลแด่หลวงพี่ด้วย ซึ่งในปีนี้ท่านไม่ได้นิมนต์พระสงฆ์ในวัดมาร่วมฉันด้วย แต่ท่านได้นำปัจจัยไปถวายพระสงฆ์ทั้งวัด ภายในโบสถ์เมื่อคืนเวียนเทียน "วันวิสาขบูชา" องค์ละ 100 บาทเรียบร้อยแล้วค่ะ


แหม..ในตอนนี้ไม่มีใครพูดคุยกันเลยนะคะ ต่างคนต่างตักกันไปทานแบบบุฟเฟ่ ปีนี้คนเยอะจริงๆ เลยคะ จนข้าวหมดต้องสั่งมาจากร้านอาหารอย่างกระทันหัน


ส่วนไข่เจียวก็มีการทอดเพิ่มเติมจากหลังโรงครัว คณะศรีสัชนาลัยได้มาถึงตั้งแต่เช้ามืด จึงต้องขอขอบคุณและอนุโมทนาในน้ำใจไมตรีที่มีต่อหลวงพี่ตลอดมา พวกเราขออนุญาตอนุโมทนาแทนหลวงพี่ด้วยทุกๆ ท่านนะคะ


ซึ่งมีการเตรียมงานกันอย่างดี จึงทำให้การจัดงานแบบเรียบง่ายผ่านไปด้วยดี มีผู้ร่วมทำบุญกับหลวงพี่ทั้งวันที่ออกมาจากการเวียนเทียนในพระอุโบสถและที่ทำบุญในวันเกิด หลวงพี่บอกว่ารวมแล้ว 1 แสน 7 หมื่นกว่าบาท ท่านก็จะได้เป็นทุนไว้ทำบุญต่อไป


ในตอนสุดท้าย หลังจากหลวงพี่ฉันเพลเสร็จแล้ว พวกเราได้นำขนมเค็กไปถวายท่าน และร่วมอวยพรวันเกิดเป็นธรรมเนียมฝรั่งอีกด้วย ท่ามกลางบรรยากาศที่ครึกครื้นและสดใส ทุกคนมีแต่รอยยิ้มให้แก่กัน ทานกันไปคุยกันไป นานๆ จะได้พบหน้าพบตากันเป็นธรรมดา.





ในตอนบ่าย หลังจากขนโต๊ะเก้าอี้ภายในวิหารเสร็จแล้ว หลวงพี่เห็นว่ายังมีเวลา จึงได้ชักชวนคณะตาพระประมาณเกือบ 20 คน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานอีกหลายท่าน เดินทางไปที่รอยพระพุทธบาทเขากะลา อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์


ตามภาพแรกที่เห็น ปรากฏว่าพวกเราไม่ได้มานานหลายปี บัดนี้รอยพระพุทธที่อยู่ติดวิหารหลังคาสีแดง ได้ถูกลูกชายเจ้าของที่เดิมได้ไถดินกลบไปมิดหมดแล้ว เห็นพระที่นี่เล่าว่า


เดิมเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็นพ่อของคนที่ไถดินกลบนี้ ได้ยกที่ดินบริเวณนี้ให้เป็นสำนักสงฆ์ไปแล้ว แต่พอมาถึงรุ่นลูกเกิดไม่มีความศรัทธา จึงได้ขอที่ดินแปลงนี้คืน แล้วไถดินกลบเพื่อทำไร่อ้อยกันต่อไป


สำหรับภาพต่อๆ มานี้ เป็นภาพที่พวกเราจอดรถไว้ แล้วเดินเข้ามาในไร่ ซึ่งยังมีรอยพระพุทธบาทที่ยังหลงเหลืออยู่อีกรอยหนึ่ง


ซึ่งพอจะมองเห็นยังเป็นธรรมชาติ เดิมหลวงพี่ได้เคยมอบทุนให้สร้างศาลาครอบเอาไว้ ต่อมาลมพายุได้พัดจนพังไปหมดสิ้น เวลานี้ก็จำเป็นต้องปล่อยไว้ในสภาพเดิม เพราะเป็นที่ดินส่วนบุคคล พระไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรได้


ท่านที่ติดตามมาทั้งหมดต่างก็ดีใจ เดิมทีนึกว่าจะผิดหวังไม่ได้กราบรอยพระพุทธบาทซะแล้ว ตอนนี้ได้สมหวังตามที่ตั้งใจ จึงช่วยกันทำความสะอาดบริเวณนั้น ซึ่งปรากฏว่าขณะไปถึง พบว่ามีน้ำขังอยู่ในรอยพอดี


มองเห็นมีกลีบดอกไว้โปรยเอาไว้ แสดงว่าคงมีคนมาไหว้ก่อนหน้าเราไปแล้ว หลวงพี่ได้กล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย แล้วโปรยดอกไม้และสรงน้ำหอม จากนั้นท่านได้นำน้ำในรอยพระพุทธบาทเกือกแก้วประพรมบนศีรษะให้แก่พวกเราเป็นสิริมงคลต่อไป


เป็นอันว่าจบรายการทำบุญในวันนี้ เพราะหลังจากกลับมาถึงวัดในตอนเย็น ท่านได้นำหมู่คณะไปทานอาหารที่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เพื่อเป็นรางวัลเป็นขวัญเป็นกำลังแก่พวกเราที่ช่วยเหลืองานของท่าน ทั้งภายในและภายนอกวัด ซึ่งมีคณะตาพระยามาร่วมทานกันด้วย

และตามที่ท่านได้เกริ่นไว้แล้วว่า เมื่อปีที่แล้วได้ไปเทองค์พระใหญ่ หน้าตัก 41 ศอก ที่วัดหนองหญ้าปล้อง จ.กาญจนบุรี ในปีนี้ท่านก็เตรียมที่จะเดินทางในวันที่ 30 พ.ค. 2553 เพื่อออกไปทำบุญฉลองอายุครบ 61 ปี ซึ่งผู้บันทึกจะได้นำไปเล่าในโอกาสต่อไปอีกค่ะ.

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


webmaster - 28/6/10 at 09:07

(Update 30-06-53)

งานพิธีหล่อพระใหญ่ หน้าตักกว้าง 41.8 ศอก (10 วาเศษ)

ณ วัดหนองหญ้าปล้อง ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553


...หลังจากงานทำบุญครบรอบวันเกิดของหลวงพี่ชัยวัฒน์ เมื่อวันเสาร์ที่ 29 พ.ค. ที่วัดท่าซุงแล้ว หลวงพี่ได้ปรารภว่า เมื่อปีที่แล้วได้ทำบุญอายุครบรอบ 60 ปี ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐมแล้ว ท่านก็ได้เดินทางมาร่วมพิธีหล่อพระใหญ่ที่วัดหนองหญ้าปล้องนี้ โดยมีคุณวัฒน์ จากบ้านโป่ง เป็นผู้ประสานงานกับคุณวัชรพล (บุ๋ม)

.....ในปีนี้ก็เช่นกัน หลวงพี่จึงได้ดำริที่จะเดินทางไปหล่อพระใหญ่ เพื่ออานิสงส์อันยิ่งใหญ่เช่นกัน ท่านเห็นว่าเป็นวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ค. ยังเป็นวันหยุด จึงมีกำหนดการเดินทางแบบกระทันหัน คือเดินทางออกจากวัดเวลาเช้ามืด 04.00 น. โดยมีผู้ร่วมเดินทางพอสมควร มีรถตามเกือบสิบคัน เช่น คณะตาพระยา เป็นต้น บางคนก็เดินมาก่อนและนัดเจอกันที่วัดหนองหญ้าปล้อง มีคณะกรุงเทพฯ บ้าง คณะนายดาบบุญรอด จ.ระยอง, และ คณะเชียงใหม่เจ๊า พร้อมทั้งคณะคุณศราวุธ จ.ชลบุรี เป็นต้น



ภาพนี้เป็นภาพที่เดินทางไปถึง จะเห็นว่าองค์พระใหญ่ได้สร้างขึ้นถึงส่วนพระเศียรแล้ว ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านข้างองค์พระสีทองนี้


หลวงพี่พร้อมคณะฯ ออกเดินทางจากวัดตั้งแต่ตี 4 มาถึงวัดหนองหญ้าปล้องเวลาประมาณ 8.30 น. เร็วกว่าที่คิด ได้แวะนั่งที่ใต้ต้นไม้หน้าองค์พระ ใกล้กับ "พระเกศ" ที่ใหญ่มาก โดยมี พระครูใบฎีกานเรศ (อ.โนรี) ปิยธมฺโม พร้อมกับพระสงฆ์ และคณะชาวบ้านหนองหญ้าปล้อง ได้ให้การต้อนรับ เป็นอย่างดี


ในขณะนั้น เสียงพี่มายินร้องดังลั่น บอกว่าพระอาทิตย์ทรงกลดๆ จึงได้ออกมาดูแล้วคุณบุ๋มได้ถ่ายภาพไว้อย่างที่เห็นนี้แหละ นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ปีที่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์อย่างนี้เช่นกัน นับเป็นที่อัศจรรย์ต่อผู้คนทั้งหลายในวันนั้น ตอนนี้คณะญาติโยมต่างก็เริ่มเดินทางมาถึง มีคณะเจ๊อัญชนา, คุณโต คุณสุนันท์ และคณะคุณศราวุธ คณะคุณรัตน์ เป็นต้น รวมแล้วนับร้อยคน


หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้ซักถามการสร้างพระที่ผ่านกับท่านอาจารย์โนรี พร้อมกับหลวงพี่อธิบายว่า ความจริงท่านจะต้องมาในวันที่ 24 ก.ค. นี้ ตามที่ทางวัดได้เตรียมงานพิธีหล่อ "พระเกศ" แต่หลวงพี่ชัยวัฒน์บอกว่า ในตอนนั้นใกล้วันเข้าพรรษา ท่านไม่แน่ใจว่าจะได้มาหรือเปล่า จึงขอลัดคิดมาเทองค์พระในตอนนี้เสียก่อน ซึ่งท่านอาจารย์โนรีต้องให้ช่างทำแบบหล่อช่วงพระเศียรอย่างกระทันหัน


หลวงพี่ได้รวบรวมเงินทำบุญมาจากวัดประมาณ 5 หมื่นกว่าบาท พอมาถึงหน้าองค์พระ เห็นว่าสวยงามได้สัดส่วน ต่างก็ล้วงควักมาทำบุญเพิ่มเติมอีก อีกทั้งหลวงพี่ได้บอกบุญเพิ่มเติมจากเดิม คือ ทำบุญเป็นค่าหล่อพระเกศด้วยโลหะ, และทำบุญเป็นค่าพระนลาฏ, ดวงตา, ทำบุญค่าฉัตร รวมทั้งหมดแล้วได้ปัจจัย 1 แสน 1 หมื่นบาทเศษ พร้อมกับท่านได้แจกเงินให้คนงานก่อสร้างทุกคน รวมเป็นเงิน 1,500 บาท


ก่อนทำพิธีบวงสรวง หลังจากพระอาทิตย์ทรงกลด อากาศก็ยังแจ่มใส จะเห็นว่าบางคนยังต้องกางร่ม แต่หลังจากนั้นจะสังเกตได้ว่า อากาศเริ่มร่มคลึ้มลงทันที จนกระทั่งขึ้นไปเทพระเศียรองค์พระ อากาศเย็นสบาย มีลมพัดผ่านตลอดเวลา


หลังจากหลวงพี่และท่านอาจารย์โนรีจุดธูปเทียนที่โต๊ะบวงสรวง ซึ่งมีคุณวารุณี และคุณรัตนา (น้องสาวอาจารย์นฤมล) เป็นผู้จัดทำบายศรี


ท่ามกลางญาติโยมพุทธบริษัทต่างมาร่วมงานกันมากมาย หลังจากนั้น หลวงพี่ได้เชิญคุณสุทัศน์ วิลาวัลย์ จากตาพระยา เป็นตัวแทนถวายปัจจัยสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม" ใหญ่ที่สุดในกาญจนบุรี


บรรยากาศในตอนสายๆ แม้จะต้องเดินทางกลับมาจากวัดท่าซุง แต่ก็มีความศรัทธาอยากจะได้ร่วมพิธีเทองค์พระนี้ด้วย จึงช่วยให้ทุกคนลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเสียเสียสิ้น


โดยที่มิได้คาดคิดว่าหลวงพี่ยังปีนขึ้นไปไหว ทุกคนต่างแหงนหน้ามองตามขึ้นไป องค์พระสูงใหญ่มองเต็มตาดีเหลือเกิน แม้งานจะยังไม่เสร็จ แต่มองเห็นพระพักตร์แล้วชื่นใจ


เสียงหลวงพี่ดังลงมาจากข้างบน ด้วยไมค์ลอยที่เจ้าหน้าที่จัดให้ หลวงพี่บอกให้จัดเรียงแถวได้ รถไถขับไปรับปูนที่โม่อยู่ด้านหลังวัด แล้วนำมาใส่กระบะ มีคนช่วยตักใส่ถังส่งต่อๆ กันมา


โดยเฉพาะถังแรกจะเป็น "ถังสีทอง" จากคุณพ่อเสรี พรประสิทธิ์กุล อึกเช่นเคย เสียงพระสงฆ์สวดชยันโตดังก้องไปทั่วบริเวณวัด


ผู้ชายเข้าแถวส่งปูนขึ้นไปข้างบน ส่วนผู้หญิงเข้าแถวข้างล่าง ต่างก็เอาแผ่นทองคำเปลวบ้าง น้ำอบไทยบ้าง ใส่ลงไปในถังปูนทุกถัง


ยังไม่เหนื่อยเลยค่ะ ส่งมาอีกได้นะ อากาศกำลังดี หลวงพี่บอกว่าข้างบนลมพัดโชยสบายๆ ช่างบอกว่าวันนี้อากาศดีมาก ไม่ร้อนเหมือนกันวันก่อนๆ เลย นับว่าเป็นเพราะพระบารมีของพระและเทวดาช่วยนั่นเอง


ถังเปล่าถูกส่งลงมาหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ใครเหนื่อยก็มีบริการน้ำดื่มตลอดเวลา ถ้าเริ่มอ่อนล้าก็ไปพักได้ คนที่มาใหม่ต่างก็เข้ามาพลัดเปลี่ยน


แถวที่หมุนเวียนขึ้นไป จะเห็นว่าต้องใช้คนช่วยเป็นจำนวนมาก โชคดีที่คุณวัฒน์พร้อมคณะผู้ชายมาช่วยหลายคน ส่วนผู้หญิงก็มีเหมือนกันค่ะ


ถังแล้วถังเล่าถูกส่งต่อขึ้นไป หลวงพี่ยังอยู่ข้างบน ตอนนี้เวลา 10 โมงกว่าแล้ว ยังคงเทองค์พระไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลา 11.30 น. ตามเสียงหลวงพี่ที่ประกาศลงมาจากข้างบน


รถไถยังคงไปรับปูนที่ผสมมาจากเครื่องโม่ หลวงพี่เทบนส่วนพระเศียรใกล้เต็มแล้ว


แถวยังยาวเหยียดเหมือนเดิม แต่ละคนไม่ยอมย่อท้อ พอใจที่จะได้เทองค์พระด้วยมือของตนเอง




ครั้นได้เวลาตามนัดหมาย ปูนที่ผสมไว้ก็ส่งขึ้นมาเทจนหมดแล้ว หลวงพี่และผู้ชายที่เข้าแถวบนนั่งร้าน ต่างก็ปีนลงมา เพื่อหยุดพักทานอาหารกลางวัน


ทั้งนี้ ทางวัดและญาติโยมได้นำอาหารมาถวายพระและเลี้ยงญาติโยมเป็นจำนวนมาก ทุกคนออกไปทานด้านหลังศาลา ส่วนหลวงพี่และพระสงฆ์ได้ฉันเพลบนศาลา หลังจากเสร็จแล้วก็ร่ำลาออกเดินทางไปวัดถ้ำมะเกลือ ต.บ้านเก่า อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี กันต่อไป

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


webmaster - 30/6/10 at 08:22

รอยพระพุทธบาท ณ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำมะเกลือ จ.กาญจนบุรี
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553


...ในเวลาบ่ายได้เดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้ ทั้งที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ต้องหลงทางอีกเช่นเคย เพราะทางเข้าลึกไปถึงเชิงเขา จอดรถแล้วเดินขึ้นไปที่เขากำลังสร้างมณฑปครอบพระพุทธบาท


ในปีนี้ได้พบท่านอาจารย์เจ้าสำนัก เนื่องจากคุณพี่วารุณีคุณพี่รัตนาเป็นผู้โทรแจ้งไว้ล่วงหน้า ท่านกำลังมีงานก่อสร้างอยู่มากมาย โดยเฉพาะมณฑปแห่งนี้ได้สร้างไว้หลายปีแล้ว ท่านอยู่เพียงรูปเดียวเท่านั้น


แต่ก็ยังสามารถมีเงินทุนสร้างไปได้เรื่อยๆ ฉะนั้นในขณะที่เดินขึ้นไปชั้น 2 จะมีไม้นั่งร้านวางอยู่ทั่วไป จึงต้องก้มบ้างเดินบ้าง แล้วก็ขึ้นมานั่งอยู่รอบรอยพระพุทธบาท


สถานที่แห่งนี้เดิมทีหลวงพี่ได้เคยสำรวจไปแล้ว ต่อมาคุณรัตนาได้แจ้งว่ามีพบใหม่ ท่านจึงได้เดินทางมาสำรวจ ปรากฏว่ามีการตบแต่งนิ้วไปบ้างแล้ว คณะตาพระยา, คณะคุณศราวุธ, คณะนายดาบบุญรอด และคณะจากกรุงเทพฯ ก็ยังติดตามมาด้วยกันค่ะ


รอยพระพุทธบาทใหญ่มาก ท่านสร้างครอบไว้ทั้งสองรอย จึงมองดูมณฑปแล้วใหญ่มาก ต้องทุบก้อนหินด้านข้างเพื่อขยายออก คงต้องใช้ทุนอีกมากมาย


ด้านล่างทำเป็นรอยนิ้วพระบาทซ้อนกัน มีไม้นั่งร้านวางเต็มไปหมด บางรอยก็มีกระทบเสียหายไปบ้าง ได้เดินชมกันแล้ว หลวงพี่จึงเดินลงมาด้านหน้า ซึ่งมีการกางเต้นท์ไว้เพื่อทำเศียรพระพุทธรูป


ตอนนี้มีพวกเราคนหนึ่งได้เข้าไปช่วยช่างเทมวยผมพระพุทธรูป คนอื่นเห็นก็เลยเข้าไปช่วยกันอีก คราวนี้หลวงพี่ก็ขอมีส่วนร่วมด้วย จึงช่วยกันเทก้นหอยมวยผมกันไปได้เยอะแยะทีเดียวค่ะ


หลังจากหลวงพี่และท่านเจ้าสำนักได้สนทนาปราศัยกันแล้ว หลวงพี่ได้ชักชวนพวกเราร่วมทำบุญสร้างพระมณฑป และสร้างพระพุทธรูปรอบบริเวณสำนัก รวมทั้งสิ้นประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาท


มองดูภาพรวมโดยรอบแล้ว จะเห็นแนวพระพุทธรูปนั่งสมาธิเป็นแถวยาวเหยียด มีทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่หลายสิบองค์ จากนั้นได้กราบลาท่านเจ้าสำนักแล้วออกเดินทางต่อไป


webmaster - 4/7/10 at 12:05

รอยพระพุทธบาท ณ สำนักสงฆ์ป่าพระมหามุนีธรรม จ.กาญจนบุรี


...คราวจริงพวกเราก็จะแยกย้านกันเดินทางกลับ ต่างก็ร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว แต่หลวงพี่เปลี่ยนใจ เพราะเห็นว่ายังมีพอมีเวลาอยู่ อีกทั้งเคยได้รับนิมนต์ไว้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจยังไม่กลับ ออกเดินทางขึ้นไปทาง อ.ไทรโยค จนกระทั่งถึงสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้


ทางสำนักกำลังปรับปรุงสถานที่ พวกเราได้เดินเข้าไปภายในศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งประดิษฐานก้อนหินรอยพระบาทมากมายหลายสิบก้อน มองแล้วอลังการจริงๆ ค่ะ ถึงแม้จะมีกฎระเบียบห้ามถ่ายรูป แต่ก็อดที่จะแอบนำมาให้ชมกันไม่ได้ ยังไงๆ ต้องขอกราบอภัยด้วยค่ะ


พระอาจารย์เจ้าสำนักดีใจมาก ท่านได้นำชมพร้อมกับอธิบายหลายแห่ง พวกเราได้เดินตามไปหลายแห่ง จนกระทั่งค่ำมืดกันเลย แต่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ ที่มีทั้งรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ ปรากฏอยู่มากมายหลายแห่ง


ด้วยเหตุนี้ ทางสำนักจึงมีกฎระเบียบมีเวลาเข้าไปเฉพาะวันพระใหญ่เท่านั้น แต่พวกเราหลายคนที่โชคดี ในวันนั้นได้เข้าไปชมเป็นกรณีพิเศษ


มีพระภิกษุรูปหนึ่งและญาติโยมภายในวัดบอกว่า วันนี้พระอาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษเหมือนกัน ทั้งที่ไม่เคยมีอาการเช่นนี้มานานแล้ว


พวกเราก็คงมีความปลื้มปีติยินดีเช่นกัน โดยเฉพาะบางคนเคยอ่านหนังสือตามรอยพระพุทธบาทมาแล้ว หรือเคยดูคลิปวีดีโอที่หลวงพี่เคยมาสำรวจครั้งแรก ในตอนนั้นก้อนหินพระบาทจะอยู่ด้านนอกตามธรรมชาติ


บริเวณนี้จึงมีนับร้อยแห่ง ท่านจะเขียนคำอธิบายไว้ด้านข้างว่าเป็นรอยของท่านผู้ใดบ้าง เป็นทั้งรอยพระพุทธเจ้า รอยพระปัจเจกพุทธเจ้า รอยเท้าพระอรหันต์ และรอยพระโพธิสัตว์ ฉะนั้น ภาพแรกจะเป็นก้อนหินต่างๆ ที่นำมาไว้ภายในศาลา ส่วนภาพอื่นจะเป็นรอยที่ยังอยู่ด้านนอก ต้องเดินกราบไหว้กัน



เป็นอันว่าได้กราบไหว้กันอย่าง (ไม่) ครบถ้วน เพราะมืดเสียก่อน แล้วมาหยุดที่โขดหินใหญ่ "ภูสิงห์โต" มีรอยพระพุทธบาทซ้อนกันมากมายหลายพระองค์ ขนาดใหญ่เป็นสิบๆ เมตร ท่านได้นำสวดมนต์เป็นภาษาสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้วอุทิศส่วนกุศล โดยหลวงพี่ติดมุขตลกว่า เป็นการอุทิศส่วนกุศลสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พอได้ยิ้มแย้มกันพอสมควร


แล้วจึงได้ทำบุญร่วมกันกับท่านเจ้าสำนัก ท่านได้แจกหนังสือและซีดีกันทุกคน แล้วแยกย้านกันเดินทางกลับ ท่ามกลางความประทับใจที่ได้ร่วมทำบุญทุกแห่ง เนื่องในโอกาสทำบุญอายุหลวงพี่ชัยวัฒน์

คงจะเล่าไว้เพียงเท่านี้ หากขาดตกบกพร่องไปบ้างต้องขออภัย พร้อมทั้งขออนุโมทนาผู้ร่วมเดินทางทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย สวัสดีค่ะ

ทีมงานฯ


webmaster - 4/11/15 at 18:11

.


webmaster - 20/5/20 at 15:12