ตามรอยพระพุทธบาท

"ตายแล้วฟื้น" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ (เรื่องที่ 12) โกเดี้ยนไปเมืองผี
webmaster - 26/6/08 at 05:21

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 12

โกเดี้ยน..ผู้ตายแล้วฟื้น



(บันทึกจากหนังสือพิมพ์เหนือจักรวาล ฉบับที่ 17 ปี 2527 มีข้อความตามที่ "แดง ณ ชุมแสง" เล่ามาตามนี้)

สภาพเมืองผี

เย็นวันหนึ่ง..เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้ทราบว่า "โกเดี้ยน" ผัวแม่คำ เจ้าของโรงเลื่อยเมืองเหนือตลาดชุมแสงได้ตายเสียแล้ว ด้วยโรคลมปัจจุบัน เมื่อตอนบ่าย กว่าข้าพเจ้าจะไปถึงบ้านของโกเดี้ยนก็พลบค่ำ และได้แสดงความเสียใจกับ "แม่คำ" ภรรยาผู้ตาย... (เนื่องจากเรื่องยาวมาก ผู้จัดทำเว็บฯ ขอนำมาโดยย่อดังต่อไปนี้)

"...โกเดี้ยน...มีอาชีพรับเหมาปลูกสร้างบ้าน วันนั้นโกเดี้ยนไปดูการปลูกสร้างบ้านที่รับเหมาไว้ข้างตลาด จนได้เวลาบ่าย รู้สึกปวดศีรษะ ได้กลับมาบ้าน และกินยาแอสไพรินไปสองเม็ด แล้วนอนพักไปครู่หนึ่ง เกิดปวดปัสสาวะ จึงลุกไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่ธุระจวนจะเสร็จรู้สึกหน้ามืด รีบใช้เท้ายันโอ่งน้ำข้างๆ จากนั้นก็หมดความรู้สึก จะนานสักเท่าใดไม่ทราบ มารู้สึกตัวอีกทีจึงลุกขึ้นยืน รู้สึกตัวเบาหวิวและมึน ๆ

ขณะนั้น พอดีมีคนสามคน เดินตรงเข้ามาเป็นผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ผิวเนื้อดำแดง สองคนนุ่งดำห่มดำ อีกคนนุ่งขาวห่มขาว โพกผ้าแดงล้วน ซึ่งโกเดี้ยนไม่เคยรู้จักมาก่อน พอจะเอ่ยปากถามคนสองคนที่นุ่งดำห่มดำ ก็ตรงเข้าปล้ำจับแขนเน่น แล้วดึงตัวออกไปทันที ส่วนที่นุ่งขามห่มขาวเดินนำหน้า โกเดี้ยนสะบัดพลางดิ้นพลางจะให้หลุดพร้อมทั้งถามว่า

“เรื่องราวอะไรกัน จึงได้มาฉุดคร่าเอาตัวไป?” ไม่มีใครตอบเขายังฉุดคร่าไปท่าเดียว

เมื่อเห็นว่าดิ้นไม่หลุดแน่แล้ว จึงร้องตะโกนให้คนช่วยเพราะว่าบนเรือนมีคนเดินไปมาพลุกพล่านชุลมุน แต่ก็ไม่เห็นมีใครเอาใจใส่กับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของโกเดี้ยนเลย ถูกเขาลากมาถึงหน้าบ้านสวนทางกับคุณหมอชุบที่กำลังเดินจะเข้าบ้าน ร้องเรียกให้คุณหมอช่วยแต่ก็ไม่ได้ผล คุณหมอคงเดินเข้าบ้านอย่างรีบร้อน ไม่เอาใจใส่อะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ชักหมดอาลัยตายอยาก ไม่ดิ้นอีกต่อไป ปล่อยให้เขาพาตัวไปตามสบาย

โกเดี้ยนคิดต่อไปว่า ทำไมหนอคนเหล่านั้น จึงไม่ได้เอาใจใส่กับเสียงร้องขอความช่วยเหลือคล้าย ๆ กับจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทางที่เขาพาแกไปนั้นก็เป็นหนทางที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่มีในเขตชุมแสงนี้เลย เป็นทางใหญ่เตียนเรียบแลดูเปลี่ยวเงียบเหงาวังเวง ข้างหน้าไกลลิบ ๆ แลเห็นคนถูกคุมตัวเช่นกับโกเดียนไปเป็นหมู่ ๆ ทุกคนเดินก้มหน้า ท่าทางโศกเศร้า

“หรือเราตายแล้ว”

โกเดี้ยนรำพึง คิดวนเวียนไปมาจนถึงทางแยก เขาพาเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ทางนี้ดูค่อยมีผู้คนมากหน่อย ทั้งมีบ้านเรือนคับคั่งพบคนที่รู้จักกันเดินสวนทางมาก็ตกใจร้องออกมาว่า

“เอ๊ะ! นั่นทิดชุ่มที่ตายไปเมื่อ 6-7 ปีนี่เองนี่หว่า” ยิ่งตกใจหนักมากชึ้น ทำไมตัวเราจึงมาอยู่ที่นี่จำได้ว่า ทิดชุ่มไปซื้อโลงศพที่แก และยังไม่ได้เผาเลย ถ้ายังงั้ย ที่นี่ก็เป็นเมืองผีอย่างแน่นอน พอคิดเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ เราตายแน่แล้ว

ครู่ต่อมา เขาก็พามาถึงสนามหญ้าที่หน้าตึกใหญ่ เห็นมีคนนั่งอยู่เป็นหมู่ ๆ เต็มไปหมด ล้วยแต่หน้าตาซูบซีด หงอยเหงาเป็นส่วนมาก แล้วเขาก็ผลักโกเดี้ยนเข้าไปในสนามหญ้าข้างคนหมู่หนึ่งส่วนเขาทั้งสามก็เดินเลยเข้าไปในตึกใหญ่ อย่างไม่สนใจใยดี

โกเดี้ยนทรุดตัวลงนั่งพักเหนื่อยสักครู่ พอหายเหนื่อยรู้สึกหิว และกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงคิดหาทางแก้ไขโดยการลุกขึ้นเดินไปตามหมู่คนต่าง ๆ บางหมู่ก็มีคนมาก บางหมู่ก็มีคนน้อย คนหมู่ใดถ้ามีอาหารวางอยู่ข้าง ๆ ตัว ก็มีหน้าตาผ่องใสบางหมู่มีแตดกองกระดาษเผา คล้าย ๆ กระดาษเงินกระดาษทองที่เผาไหว้เจ้า หมู่ที่โกเดี้ยนเข้าไปนั่ง ไม่มีข้าวและน้ำเลยนอกจากกองกระดาษที่เผาไฟ จะเข้าไปขอน้ำหรือก็กลุ่มคนที่ผ่านมาไม่มีคนรู้จักกันเสียเลย จึงไม่กล้าขอ ได้แต่เดินดูต่อไป

เมื่อผ่านมาถึงอีกครู่หนึ่ง แลเห็นมีข้าวน้ำบริบูรณ์ ตั้งอยู่เต็มสำรับเพียบแปล้ จึงเดินเข้าไปด้วยความดีใจ เพราะตำได้ว่าคนที่นั้งอยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นคนชอบพอกันดี เพิ่งจะตายมาใหม่ ๆ ยังไม่ได้ไปเผาเลย คนผู้นั้น คือ "ลุงเอี่ยม" มัคทายก "วัดคลองระนงค์" นั่นเอง เมื่อเดินเข้าไปหา ลุงเอี่ยมก็ยิ้มแย้มอิ่มเอิบเป็นอย่างดี พร้อมทั้งรัองทักว่า
“มาเหมือนกันหรือ?”
“มาถึงเมื่อกี้เอง” แล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พลางบอกลุงเอี่ยมว่า
“แหม! เหนื่อยจัง หิวเสียด้วย ของอั๊วไม่มีกินเลย” พลางมองไปที่สำรับและคิดว่าต้องขอกินบ้าง ลุงเอี่ยมพยักหน้ารับรู้ พลางถามว่า
“นั่นของลื๊อหรือ?” แล้วชี้มือไปที่สำรับ
ลุงเอี่ยม ตอบว่า “ของอั๊วเอง”
“ขอกินบ้างได้ไหม? หิวจัง”
“ลื้อกินไม่ได้ดอก มันเป็นของใครของมัน ให้กินกันไม่ได้ ของ ๆ ลื๊ออยู่ที่โน่นไงละ” พรางชี้มือไปที่กองกระดาษเผาไฟอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง
“กินเข้าไปได้อย่างไร” โกเดี้ยนอุทานอย่างตกใจ แต่ลุงเอี่ยมไม่ตอบได้แต่หัวเราะหึๆ คิดว่าลุงเอี่ยมอาจจะล้อเล่นก็ได้ คนชอบพอกันหากจะหยิบกินเอาดื้อๆ จะเป็นไรไป ผสมกับความหิวเป็นอันมาก

โกเดี้ยนจึงเอื้อมมือไปหยิบขันน้ำ แต่ต้องหดมือมาเป่าทันทีเพราะร้อนเหมือนหยิบเอาไฟมาทั้งดุ้น หันไปมองหน้าลุงเอี่ยมที่นั่งยิ้มไม่พูดจาว่ากระไร ทั้งๆ ที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงถามไปว่า
“ร้อนอย่างนี้ ลื๊อกินได้หรือ”
“กินได้ซี” พูดขาดคำลุงเอี่ยมก็หยิบขันน้ำขึ้นมาดื่มต่อหน้าอย่างปกติ พอวางขันลงเล้วจึงกล่าวว่า
“ไม่ใช่อั๊วหวงลื๊อดอก ของใครก็ของมัน ใครทำบุญมาอย่างไรก็ได้อย่างนั้น”
โกเดี้ยนได้เห็นได้ฟังแล้ว รู้สึกสงสัยยิ่งนักและนึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนนี้ลุงเอี่ยมเคยแนะนำให้แกเลียงพระตามอย่างคนอื่น ๆ เขา โกเดี้ยนไม่เลื่อมใส ซ้ำยังพูดกับลุงเอี่ยมว่า
“เอาไปให้พระกินทำไม กินเองมิดีกว่าหรือ” ลุงเอี่ยมยังบอกว่า
“ทำบุญเอาไว้กินเมื่อตายอย่างไรเล่า” โกเดี้ยนฟังแล้วหัวเราะ ยังย้อนถามไปอีกว่า
"ลื๊อถ้าจะเป็นพระคลังหรือไปรษณีย์ละซิ"
“ตามใจลื๊อ เมื่อไม่เชื่อก็แล้วไป” ลุงเอี่ยมตอบแบบฉุนๆ และโกเดี้ยนก็ไหว้เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองต่อไปตามความเชื่อ

ครั้นมาบัดนี้โกเดี้ยนเสียใจอย่างที่สุดที่ไม่เชื่อคำแนะนำของลุงเอี่ยม จึงต้องประสบกับความอดอยากยากแค้นถึงเพียงนี้ ถ้าจะต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนาน ก็คงเป็นการทรมานอย่างแสนสาหัส กระดาษเผาไฟจะกินเข้าไปได้อย่างไร ถ้าหากขืนกินเข้าไปก็เหลือจะฝืนแล้ว

พอดีมีคนมาตามลุงเอี่ยม ลุงเอี่ยมถามว่าจะพาไปไหน แล้วก็เดินตามเข้าไปในตึกหลังใหญ่ที่มีคนเดินเข้าออกกันอยู่เสมอ โกเดียนได้แต่นั่งนึกเรื่องอาหาร เมื่อผจญกับความหิวไปได้ครู่หนึ่ง ก็มีคนมาตามตัวไปเช่นเดียวกับลุงเอี่ยม ภายในตึกที่เดินเข้าไปนั้น แลเห็นคนนั่งอยุ่มากมายเขาพาเลี้ยวไปทางข้างขวา ตรงไปที่โต๊ะใหญ่กลางห้อง บนโต๊ะมีสมุดวางซ้อนทับกันอยู่ด้านหนึ่ง สองคนมีสมุดเปิดตรงหน้า อีกคนหนึ่งนั่งอยู่เฉย ๆ แล้วกดให้โกเดี้ยนนั่งลงกับพื้น พอนั่งลงเรียบร้อย คนที่นั่งตรงกลางก็เอ่ยปากถามว่า

“แกชื่ออะไร”
“ชื่อโกเดียนครับ”
“อายุเท่าไร?”
“42 ปีครับ”
“เมียชื่ออะไร”
“ชื่อดำครับ”

ถามเพียงแค่นี้แล้วก็หยุดซักไซร้ หันไปถามคนข้างขวามือว่า ถูกไหม? คนถูกถามตอบว่า
“ไม่ถูก ต้องชื่อเคียน อายุ 39 ปี เมียชื่อ ใบ”
“อ้าว! ก็ผิดตัวละซี”
แล้วคนที่นั่งกลาง ก็หันไปสั่งคนที่อยู่ทางซ้ายมือว่า ให้พาตัวไปส่งเสียโดยเร็ว พอสั่งขาดคำ ชายคนหนึ่งที่นั่งซ้ายมือก็ลุกขึ้นเดินมาฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินไปจนถึงตัวตึก เรียกให้อีกคนที่นุ่งผ้าดำเหมือนกัน แต่เป็นคนละคนกับที่ฉุดโกเดี้ยนมาจากบ้าน พลางบอกคนนั้นว่าให้พาส่งโดยเร็ว

เมื่อบอกแล้ว เขาก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ชายคนใหม่ก็พูดว่า “เดินตามมาซี” โกเดี้ยนเนินตามหลังไปแต่รู้สึกว่าทางนี้ไม่ใช่ทางเดิมขามา เพราะทางรกและเปล่าเปลี่ยวมากไม่พบผู้คนเลยตลอดทาง เดินมาได้สักครูก็พบโครงกระดูกควาย ดูขาวโพลนไปหมด ทั้งดูจะเก่าแก่มากด้วยที่ชายโครงมีน้ำขังอยู่ด้วยคววามหิวกระหายน้ำจัด

โกเดี้ยนไม่คิดอะไรทั้งสิ้นหยุดทรุดตัวลง ตั้งใจจะวักน้ำกินเท่านั้น เอื้อมมือไปใกล้ ๆ จะถึงน้ำอยู่แล้วรู้สึกคล้ายๆ กับจะถูกผลักหัวคะมำลงไป มืดหน้าวูบแล้วหมดความรู้สึก สะดุ้งตื่น ตกใจ รู้สึกจะถูกมัดจนขยับตัวไม่ได้ลืมตาขึ้นดู ก็รู้ว่าตัวมานอนอยู่ในโลงผี และได้ยินเสียงคนพูดข้าง ๆ ขณะนั้นรู้สึกอ่อนเพลีย และหิวกระหายมาก ครั้นจะอ้าปากร้องตะโกนก็ไม่มีเสียง

ครั้นจะลุกนั่งก็ไม่มีแรง ซ้ำยังถูกมัดเสียเน่นหนาจึงไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ลองขยับตัวก็รู้ว่าแขนพอเคลื่อนไหวได้บ้างแล้วก็ขยับข้อศอกไปกระทบฝาโลงดังกุก รู้สึกดีใจจึงพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดดิ้นอยู่หลายครั้ง จนแทบจะหมดแรงใจสั่นระริก จึงมีคนมาเปิดฝาโลงแล้วช่วยยกเอาตัวออกมาและบอกกับคนทั้งหลายว่า ต่อไปเลิกไหว้เจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นแน่แท้

นี้เป็นคำบอกเล่าของโกเดี้ยนผู้ตายไปแล้ว 18 ชั่วโมงแล้วฟื้นขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตลอดเวลาที่ฟื้นขึ้นมาใหม่โกเดี้ยนไม่เคยขาดจากการตักบาตรพระทุกเช้าเลย..."