ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 31/5/08 at 14:28 Reply With Quote

อ่าน...นิทานอีสป พร้อมภาพ และ คลิปการ์ตูน




ความเป็นมา "นิทานอีสิป"


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นผู้ทรงแนะนำให้ พระจรัสชวนะพันธ์ เรียบเรียงหนังสือนิทานอีสปขึ้น เพื่อใช้เป็นหนังสือแบบสอนอ่านสำหรับเด็กชั้นมูลหรือชั้นประถม เมื่อปี ร.ศ.130 (พ.ศ.2455) โดยแปลและเรียบเรียงมาจากนิทานของอีสป นักเล่านิทานผู้มีชื่อเสียงก้องโลก

แต่ด้วยความเป็นปราชญ์ของผู้เรียบเรียง ทำให้หนังสือ "นิทานอีสป" เล่มนี้ กลายเป็นหนังสือนิทานคลาสสิกที่สร้างความประทับใจให้คนไทยมาหลายยุคหลายสมัย เพราะผู้เขียนใช้ภาษาง่าย ๆ งดงาม จับใจ จนผู้อ่านไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปล ได้รับการคัดเลือกจากคณะผู้วิจัยของ สกว. ให้เป็นหนึ่งใน 100 เล่มหนังสือดีที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

กวางป่ากับพวงองุ่น


กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ



กาหลงฝูง


เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็บ ขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักเเซมใส่ขนของตน จนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่าง นกยูงบ้าง
" ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับ พวกเจ้าดีกว่า"
การังเกียจพวกพ้องของตนเเล้วออกจากกลุ่มเข้าไป ปะปนอยู่กับฝูงนกยูง
พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูง ที่เเซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือเเต่ขนจริงสีดำสนิท
กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้นกลับไปหาพวก ของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่น รังเกียจด้วย



คนกับเงาของลา


เจ้าของลาเดินจูงลาออกจากนครเอเธนส์ ชายหนุ่มคนหนึ่ง จึง เข้าไปหาพลางถามว่า
"ข้าขอเช่าลาของท่านได้หรือไม่"
เจ้าของลายอมให้ชายหนุ่มเช่าลาขี่จากเอเธนส์มุ่งสู่อีกเมือง หนึ่งอากาศกลางฤดูร้อนนั้นยิ่งร้อนจัดในยามเที่ยง
ชายหนุ่มจึงลงจากหลังลามานั่งพักในร่มเงาของลา เเต่ทว่า เจ้าของลาไม่ยอมเพราะอ้างว่า เขาขอเช่าเเต่ลา มิได้เช่าเงา ของลาด้วย
ชายหนุ่มผู้ชายก็ไม่ยอม สองคนเเย่งกันจะนั่งในร่มเงาของลา จนถึงกับทะเลาะวิวาทเเละต่อยตีกันเป็นการใหญ่
ลาจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปเป็นอิสระในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อไม่ใช้สติเเละความรอมชอมต่อกันย่อมเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย



กบกับหนู


หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย



กากับนกนางเเอ่น


นกนางเเอ่นถามกาว่า
" เจ้าว่าขนของข้ากับขนของเจ้า ใครจะงามกว่ากัน "
กามองขนของตนเเล้วตอบว่า
" ข้าว่าขนของข้าก็สวยดีนะ "
นกนางเเอ่นขยับปีกพลางว่า
" เเต่เจ้าดูสิ ขอนของข้าดูสวยเป็นพิเศษในฤดูร้อน อย่างนี้ "
กาจึงกล่าวว่า
" ก็จริงนะ เเต่ขนของข้างามทุกฤดู ไม่ว่าฤดูใดมันก็ จะดำเช่นนี้"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความงามที่คงทนยั่งยืน ย่อมเป็นความงามที่เเท้จริง


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 6/7/08 at 21:45 Reply With Quote


(Update 6 ก.ค. 51)

กาอยากเป็นหงส์


กานั้นมีขนที่ดำสนิทเเละเป็นเงางาม เเต่ทว่าพวกกา กลับมิได้พึงพอใจในความเป็นตัวเอง
พวกกาเห็นว่าหงส์นั้นมีขนสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ก็พากันนึกอิจฉา เเละ ยากที่จะมีขนสีขาวเช่นนั้นบ้าง
"สงสัยว่า คงเป็นเพราะหงส์ ชอบลงอาบน้ำอยู่เสมอ เเละ ก็ยังพำนักพักอาศัยอยู่ใกล้ สระน้ำด้วย"
กาตัวหนึ่งคาดคะเน กาอีกตัวหนึ่งจึงสนับสนุนว่า
"นั่นน่ะสิ ถ้าพวกเราว่ายน้ำบ่อยๆ เเละพักอยู่ใกล้สระน้ำ เราก็คงจะขาวเหมือนหงส์นะ"
เมื่อเห็นดีเห็นงามด้วยกันเช่นนั้น พวกกาก็พากันละทิ้ง เทวสถานอันเป็นที่พำนักพักอาศัยมาตั้งเเต่เดิม เเล้วพากันอพยพไปอยู่ที่ริมสระน้ำ
พวกกาชวนกันลงเล่นน้ำทุกวันเเละไซ้ขนเป็นประจำ อย่างหงส์เเต่พวกมันก็มิได้มีขนที่ขาวขึ้นเเต่อย่างใด
กายังคงมีขนสีดำสนิทเช่นเดิน เเต่ทว่ามันไม่อาจมี ความสุขดังเดิมเพราะสถานที่ใหม่นั้นมิได้มีอาหาร การกินอุดมบรูณ์เหมือนที่เคยอยู่ ดังนั้นพวกกาจึง อดตายกันหมดในเวลาต่อมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การหลงลืมธรรมชาติของตนนั้น เเม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสังคม เเต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน ธรรมชาติดั้งเดิม ของตนได้



กาบ้ายอ


สุนัขจิ้งจอกเห็นกามีเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก จึงเอ่ยว่า
" เพื่อนกาเอ๋ย ตาของเพื่อนช่างงามราวกับตาเหยี่ยว ปีกก็เป็นเงางามดั่งปีกนกอินทรี ข้าอยากรู้นักว่าถ้า เพื่อนร้องเพลง เสียงของเพื่อนจะไพเราะเพราะ พริ้งเพียงใด "
กาได้ฟังคำป้อยอก็ชอบใจ รีบอ้าปากร้องเพลงอวด สุนัขจิ้งจอกทันใด
เมื่อกาอ้าปาก ชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่พื้น สุนัขจิ้งจอก ก็เข้าไปคาบ เนื้อเเล้ววิ่งจากไปทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนที่มาเฝ้ายกยอปอปั้น ย่อมหวังได้ประโยชน์จากเรา



ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์


สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นไก่ฟ้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงข้างทาง
มันอยากจะกินไก่ฟ้าเป็นยิ่งนักจึงคิดหาอุบายเเล้วเอ่ยขึ้นว่า
"ไก่ฟ้าเอ๋ย ท่านช่างเป็นสัตว์ที่งดงามนัก ปีกของท่านมีสีสัน สดใสหลายสี ปากก็งดงามไม่เหมือนใคร อยากรู้จังว่าถ้าท่าน หลับตา เเล้วยังจะงามอยู่หรือไม่"
ไก่ฟ้าได้ฟังคำยกยอก็หลงเคลิบเคลิ้ม รีบหลับตาอวดทันที
สุนัขจิ้งจอกก็รีบฉวยโอกาสนั้นกระโดดงับตัวไก่ฟ้าไว้ได้
เมื่อไก่ฟ้าพลาดท่า เเต่ก็ยังมีสติ จึงเอ่ยขึ้นว่า
"จิ้งจอกเอ๋ย ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงอันไพเราะของท่าน อีกครั้งได้ไหม"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำป้อยอก็หลงกล รีบอ้าปากเห่าคำราม ไก่ฟ้าจึงรีบบินหนีจากไปทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คำยกยอปอปั้นทำให้คนหลงเคลิบเคลิ้มจนไม่ระวังตนได้เสมอ




เเกะกับหมาป่า


หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า
"การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ก็เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ"
หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย
โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้าฝูงเเกะไปเสียหมด
หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จับเเกะกินเป็นอาหารได้อย่าง สะดวกสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย



คนเลี้ยงเเพะ


ขณะที่พาฝูงเเพะของตนไปหลบพายุในถ้ำ คนเลี้ยงเเพะก็พบ ฝูงเเพะป่าหลบอยู่ในถ้ำด้วยเช่นกัน
"ฝูงเเพะป่านี้เป็นฝูงใหญ่ มีเเพะมากกว่าฝูงเเพะของเราหลาย เท่านัก เราน่าจะเอาเเพะป่าฝูงใหญ่ไปเลี้ยงเเทนฝูงเดิมดีกว่า"
เมื่อคนเลี้ยงเเพะคิดได้ดังนั้นเเล้วก็นำเอาใบไม้ที่เตรียมมาไว้ให้ ฝูงเเพะเดิม ของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมก็ตายกันหมดเพราะอดอาหาร
คนเลี้ยงเเพะจึงได้เเต่นั่งร้องไห้ให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เห็นเเก่มิตรใหม่จนทอดทิ้งมิตรเก่า ก็จะไม่ได้ใครเลย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 13/7/08 at 17:04 Reply With Quote


(Update 13 ก.ค. 51)

คนขี้เหนียวกับทองคำ


ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดิน ไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทอง ไว้หลาย เเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่ง มาฝังไว้ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวัน
คนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วก็ขุด เอาทองเเท่งไปเสีย
ชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง
เพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า
"ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ของมีค่า ถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า




คนตัดไม้กับเทพารักษ์


คนตัดไม้นั่งร้องไห้อยู่ริมลำธารเพราะทำขวานตกลงไป
เทพารักษ์สงสารจึงลงไปงมเอาขวานทองคำมาให้
คนตัดไม้เป็นคนซื่อจึงตอบว่าขวานทองนั้นไม่ใช่ของตน ครั้นเทพารักษ์งมเอาขวานเงินมาให้ เขาก็ไม่รับ
เทพารักษ์จึงงมเอาขวานเหล็กธรรมดาๆ มาให้ คนตัดไม้จึงดีใจ บอกว่าเป็นขวานของตน
เทพารักษ์ชื่นชมในความซื่อตรงของคนตัดไม้ จึงมอบ ขวานทองเเละขวานเงินให้เป็นของขวัญ
คนตัดไม้ดีใจ กลับบ้านไปเล่าให้เพื่อนฟัง
เพื่อนคนนั้นเป็นคนโลภ จึงรีบเข้าป่าไปตัดไม้เเล้วเเกล้ง ทำขวานตกลงไปในลำธารเพื่อให้เทพารักษ์มาช่วยบ้าง
เมื่อเทพารักษ์ปรากฏกายมาช่วยงมเอาขวานทองคำมาให้ ชายโลภก็รีบตอบรับว่านั่นคือขวานของเขา
เทพารักษ์กริ้วที่ชายผู้นั้นพูดเท็จเพราะโลภมากจึงไม่ยอมให้ ขวานทองคำเเก่เขา ปล่อยให้เขานั่งร้องไห้เลียดายขวานเหล็ก ตามลำพัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความซื่อย่อมนำความเจริญให้ได้ดีกว่าความโลภ



คนตัดไม้กับสุนัขจิ้งจอก


คนตัดไม้พาสุนัขจิ้งจอกเข้าไปซ่อนที่ข้างกระท่อม เมื่อถูกขอความช่วยเหลือ พวกล่าสัตว์จูงหมาล่าเนื้อมาถึงก็ถามคนตัดไม้ว่าเห็น สุนัขจิ้งจอกหรือไม่
"ไม่เห็นเลยเพื่อนเอ๋ย"
คนตัดไม้ปฏิเสธเเต่ก็ชี้นิ้วไปทางข้างกระท่อม
พวกล่าสัตว์ไม่เข้าใจสัญญาณบอกใบ้นั้นจึงพากัน กลับไป
สุนัขจิ้งจอกรออยู่อีกสักครู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนเเล้ววิ่ง ผ่านหน้าคนตัดไม้ไป คนตัดไม้จึงร้องขึ้นว่า
"ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าไม่ขอบคุณเข้าเลยหรือ"
"ลิ้นของเจ้าไม่ตรงเหมือนนิ้วของเจ้าเลยนะจะให ้ขอบใจได้อย่างไร"
สุนัขจิ้งจอกกล่าวเเล้วก็วิ่งเข้าป่าไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนไม่เชื่อ ย่อมไม่มีผู้ใดนับถือ



คนหาปลา


ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเป่าขลุ่ยอย่างไพเราะอยู่ที่ริมเเม่น้ำเพื่อหวัง จะเรียกปลาขึ้นมาจากน้ำ เเล้วตนจะได้จับเอาไปเป็นอาหาร
เพลงเเล้วเพลงเล่าผ่านไป ชายหนุ่มก็ต้องโมโหที่ไม่เห็นปลา สักตัวผุดจากน้ำขึ้นมาตามเสียงขลุ่ยอันไพเราะของเขา
ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านไปเอาเหมาเหวี่ยงลงน้ำไม่ช้าก็ได้ปลาเล็ก ปลาน้อยติดร่างเเหหลายสิบตัว
ชายหนุ่มคนหาปลาขัดเคืองใจนักจึงบ่นตำหนิปลาว่า
"ทีอย่างนี้กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ ที่เป่าขลุ่ยให้ฟังกลับทำ เงียบเฉย"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คิดทำการใด ควรหาวิธีการหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม กิจการนั้น จึงจะสำเร็จผลได้



คนหาปลากับพราน


วันหนึ่งคนหาปลาเดินสวนกับนายพรานเเละเห็นว่านายพราน มีเนื้อสัตว์มากมายจึงถามว่า
"ท่านพรานป่า ข้าขอเอาปลาเเลกกับเนื้อสัตว์บ้างได้หรือไม่"
นายพรานเห็นคนหาปลามีปลาหลายตัวก็นึกอยากจะลองกิน เนื้อปลา
วันต่อๆ มาคนหาปลากับพรานก็นัดพบเพื่อเเลกเปลี่ยนอาหารกัน ทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งคนหาปลาก็เอ่ยขึ้นว่า
"ท่านยังอยากจะเเลกเนื้อกับปลาอยู่หรือไม่"
นายพรานก็ตอบว่าตนเริ่มเบื่อปลาเเละอยากกินเนื้อดังเดิมเเล้ว ทั้งสองจึงตกลงเลิกเเลกเปลี่ยนอาหารกันอีกต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนเรามักอยากลิ้มลองของใหม่ เเต่ไม่นานก็ต้องเห็นค่าของ ของเก่า


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 29/7/08 at 12:07 Reply With Quote


(Update 29 ก.ค. 51)

ราชสีห์กับลาและหมาจิ้งจอก


ราชสีห์กับลาและหมาจิ้งจอกได้ร่วมกันออกล่าเหยื่อโดยมีข้อตกลกว่าจะแบ่งเหยื่อกันอย่างยุติธรรม ครั้นล่ากวางได้ ตัวหนึ่ง ราชสีห์มอบหน้าที่ให้ลาเป็นผู้แบ่ง ลาแบ่งเหยื่อออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน แล้วเชิญให้ราชสีห์เป็นผู้เลือกก่อนในฐานะที่เป็นเจ้าป่า และหัวหน้าทีม แต่ราชสีห์รู้สึกไม่พอใจวิธีการของลาจึง ตะปบ ด้วยอุ้งเท้าเต็มแรง ลาถึงแก่ความตายทันที

“เจ้าคงจะรู้จักความยุติธรรมดีกว่าเจ้าลาโง่ตัวนี้กระมัง” ราชสีห์กล่าวกับหมาจิ้งจอก

หมาจิ้งจอกผงกหัวรับคำ มันจัดแจงแบ่งเหยื่อออกเป็นสองส่วน เหยื่อชิ้นใหญ่สำหรับราชสีห์ และเหยื่อชิ้นเล็กๆสำหรับตัวมันเอง

“โอ...สหายของข้า” ราชสีห์กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ใครเป็นผู้สอนให้เจ้ามีความยุติธรรมถึงเพียงนี้”

“ไม่มีใครสอนข้าหรอกท่านเจ้าป่า” หมาจิ้งจอกตอบเสียงแผ่นเบา “แต่ชะตากรรมของเจ้าลาโง่ตัวนี้ ทำให้ข้ารู้วิธีแบ่งเหยื่อที่ถูกต้องเคราะห์กรรมของผู้อื่นย่อม เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับตัวเรา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ไหวพริบและสติปัญญา สามารถช่วยให้รอดพ้นจากภัยอันตรายได้เสมอ



กากับเหยือกน้ำ


กาตัวหนึ่งกระหายน้ำเจียนตาย ครั้นมองเห็นเหยือกใบหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นจึงรีบบินลงมาหมายจะดื่มกินให้ชื่นใจแต่ปรากฏว่ามีน้ำเหลือติดก้นเหยือกไม่มากนัก

กาพยายามยืดคอลงไปแต่ไม่ถึงน้ำ ครั้นจะคว่ำเหยือกก็ไม่มีแรง แต่ด้วยสติปัญญาอัน เฉียบแหลมมันจึงใช้ปากคาบก้อนกรวดใส่ลงไปทีละก้อนๆอย่างไม่ย่อท้อ ระดับน้ำในเหยือกค่อยๆสูงขึ้น จนมันสามารถดื่มกินได้สมดังความตั้งใจ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การใช้ไหวพริบสติปัญญาและความเพียรยาม ย่อมนำพาไปสู่ความสำเร็จ



ราชสีห์กับที่ปรึกษาทั้งสาม


ราชสีห์ตัวหนึ่งอยากรู้ว่าลมหายใจของตนมีกลิ่นอย่างไร วันหนึ่งจึงเรียกที่ปรึกษาทั้งสามของตนอันได้แก่ แกะ หมาป่า และหมาจิ้งจอกให้มาช่วยพิสูจน์ สัตว์ทั้งสามจำต้องตอบคำถามด้วยความเกรงกลัวในอำนาจของเจ้าป่า

“ลมหายใจของท่านมีกลิ่นเหม็นรุนแรงมาก” แกะตอบตามความเป็นจริง

“เจ้าบังอาจพูดโกหก แสดงวาจาสามหาวใส่ข้า สมควรต้องถูกลงโทษ” ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะปบใส่แกะจนมันถึงแก่ความตาย แล้วหันมาถามหมาป่า “แล้วเจ้าล่ะว่ายังไง” หมาป่าเห็นชะตากรรมของแกะจึงรีบตอบเสียงละล่ำละลัก “ท่านเจ้าป่า ลมหายใจของท่านมีกลิ่นหอมยิ่งนัก”

“เจ้าบังอาจพูดจาประจบสอพลอตลบตะแลง สมควรต้องถูกลงโทษ” เมื่อสิงโตสังหารหมาป่าแล้วจึงหันมาถามหมาจิ้งจอกบ้าง “ไหนเจ้าลองบอกซิ ว่าลมหายใจของข้ามีกลิ่นอย่างไร

“ขอโทษทีท่านเจ้าป่า วันนี้บังเอิญข้าเป็นหวัด จมูกใช้ดมกลิ่นอะไรไม่ได้เลย” คำตอบอย่างชาญฉลาด ทำให้หมาจิ้งจอกรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีไหวพริบสติปัญญาย่อมมีหนทางเอาตัวรอดได้ แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายล่อแหลมต่อชีวิต



คนเรือแตกกับกวี


ซีโมนิดเป็นกวีผู้มีชื่อเสียงของนครเอเธนส์ ครั้นหนึ่งเขาได้ร่วมคณะกับผู้ที่เดินทางไปยังนครแห่งหนึ่งในทวีปเอเซียเพื่อชมความรุ่งเรือง

ซีโมนิดได้แต่งบกกวีสดุดีวีรชนของนครแห่งนั้นจนเป็นที่โปรดปรานของเจ้านคร จึงได้รับรางวัลทรัพย์สินเงินทองเป็นอันมาก อยู่ต่อมาไม่นานซีโมนิดเกิดคิดถึงบ้านที่เกาะซีออส ซึ่งอยู่ในประเทศกรีก

เขาได้รวบรวมทรัพย์สมบัติเท่าที่มีอยู่แล้วโดยสารเรือเดินทะเลมุ่งหน้าสู่บ้านเกิด แต่ระหว่างทางขณะเรือแล่นอยู่ใกล้ฝั่งทะเลเมืองคลาซอมมีนา ได้เกิดพายุอย่างรุนแรงจนเรือ ซึ่งมีสภาพเก่าไม่อาจทนแรงกระแทกของคลื่นขนาดใหญ่ได้ ทำท่าจะอับปาง ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างเตรียมเก็บทรัพย์สินของตน ยกเว้นแต่ซีโมนิดเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ท่านจะปล่อยให้ทรัพย์สินเงินทองจมน้ำไปพร้อมกับเรืออย่างนั้นหรือ” ผู้โดยสารคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“ใช่...” ซีโมนิดพยักหน้า “เพราะขืนนำไปด้วยก็จะเป็นภาระ ทรัพย์สินอันมีค่าที่สุดของข้าพเจ้ามีอยู่ในตัวแล้ว ตอนนี้ขอเพียงหาแผ่นไม้ให้ได้สักแผ่นเพื่อพยุงตัวว่ายเข้าฝั่งให้ได้เท่านั้น”

เมื่อเรื่องแตก ผู้โดยสารหลายคนจมน้ำตายเพราะไม่ยอมทิ้งสมบัติ ส่วนผู้ที่เข้าถึงฝั่งได้ก็ถูกพวกโจรแย่งชิงทรัพย์สินไปหมดสิ้น เมื่อชาวเมืองคลาซอมมีนามาให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิต และรู้ว่าซีโมนิด คือ กวีเอกของกรุงเอเธนส์ ซึ่งพวกเขาเคยอ่านและชื่นชมในผลงาน ต่างก็ให้การต้อนรับและจัดหาบ้านพักให้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต้องอดอยากหิวโหย ได้แต่ขออาหารชาวบ้านกินเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สมบัติภายในคือวิชาความรู้ความสามารถ ย่อมมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งเป็นสมบัติภายนอก เพราะเราสามารถนำติดตัวไปทุกหนทุกแห่งและไม่มีใครแย่งชิงไปได้



หมาป่า หมาจิ้งจอก และม้า


หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งอายุยังน้อย แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่มากนัก เมื่อได้พบม้าเป็นครั้งแรกมันจึงไม่รู้จัก “ข้าพบสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ตัวมันสูงใหญ่สง่างามแต่กินหญ้าเป็นอาหาร”

หมาจิ้งจอกวิ่งมาบอก กับหมาป่าเพื่อนของมันซึ่งอยู่ในวัยไล่ๆ กัน “รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไรล่ะ” หมาป่าซัก

“บอกไม่ถูกหรอก เจ้าตามข้าไปดูเอาเองดีกว่า” เมื่อหมาจิ้งจอกพาเพื่อนของมันมาพบกับม้า ตอนแรกม้าตกใจจะวิ่งหนี แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงหยุดยืนรั้งรออยู่เพื่อดูท่าที

“ท่านมีชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ว่าอย่างไร” หมาจิ้งจอกเอ่ยถาม “ช่วยบอกให้เรารู้หน่อยเถอะ” ม้าแสยะยิ้มเพราะเมื่อได้ยินคำถาม ก็รู้ว่าทั้งสองยังไม่ค่อยเดียงสานัก “ชื่อของข้าน่ะรึ มาดูใกล้ๆ เท้านี่ซิ ช่างทำเกือกม้าได้สลักชื่อของข้าไว้ตรงนี้ไง” เมื่อเห็นม้ายกเท้าขึ้น หมาจิ้งจอกเกรงอันตราย จึงหันไปกล่าวกับหมาป่าผู้เป็นสหายว่า

“ฉันยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย เธออ่านหนังสือเก่งไม่ใช่หรือ ลองเข้าไปอ่านหน่อยซิ” “ อ้อ ได้เลย ฉันนะสอบได้ที่ 1 เป็นประจำเชียวน่ะ” หมาป่ากล่าวอย่างภาคภูมิ เดินยืดไหล่ชูคอเข้าไปอย่างสง่างาม แต่ทันใดนั้นมันก็ถูกม้าใช้เท้าถีบเข้าใส่อย่างแรงแล้ววิ่งหนีไป

“เพื่อนเอ๋ย หมาจิ้งจอกเข้ามาดูอาการหมาป่าผู้โชคร้าย “คราวหลังก็ระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยนะ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนฉลาดอาจยอมทำตัวเป็น ผู้โง่เขลาในบางสถานการณ์ แต่คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาดทุกเวลา


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 14/8/08 at 21:41 Reply With Quote


(Update 14 ส.ค. 51)

แมวกับหนู


แมวชราตัวหนึ่งไร้เรี่ยวแรงที่จะนับหนู มันพยายามหาอุบายล่อให้หนูเข้ามาใกล้ๆจะได้จับกินโดยง่าย ด้วยการเก็บอุ้งเล็บที่เท้าทั้งสี่เอาไว้อย่างมิดชิด นอนแนบตัวอยู่กับพื้นเหมือนกับซากกระต่ายที่ตายแล้ว

“มาดูกระต่ายตัวนี้ซิ” หนูตัวหนึ่งแกล้งกล่าวกับเพื่อนๆของมันด้วยเสียงอันดัง “ทายได้เลยว่าเมื่อเราเข้าไปใกล้ มันจะไม่ยอมนอนเฉยเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีสติปัญญาและความรอบคอบย่อมไม่หลงในอุบายของศัตรู




ลากับจักจั่น


ลาตัวหนึ่งได้ยินจักจั่นร้องเสียงไพเราะจับใจ จึงคิดอยากจะเสียงดีอย่างนั้นบ้าง มันพยายามตีสนิทและสอบถามว่าจักจั่นกินอะไรจึงเสียงดี “พวกเรากินน้ำค้างยังไงล่ะ” จักจั่นบอกกับลานับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาลาก็ไม่ยอมกินอาหารอื่นๆ นอกจากคอยเลียแต่น้ำค้างบนยอดหญ้าเท่านั้น ร่างกายจึงผ่ายผอมและในที่สุดก็หิวจนเป็นลมตาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สิ่งที่มีคุณประโยชน์สำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นโทษสำหรับอีกคนหนึ่ง ผู้มีสติปัญญาควรรู้จักการเลือกสรรแยกยะ



ลากับไก่และราชสีห์


ลากับไก่อาศัยอยู่ที่ไร่แห่งหนึ่ง ขณะกำลังหาอาหารกินกันอย่างเพลิดเพลิน บังเอิญราชสีห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมา และคิดจะจับลากินเป็นอาหาร จึงย่องเข้าไปด้านหลัง ไก่รีบส่งเสียงขันบอกให้ลารู้ตัว ราชสีห์ตกใจเสียงไก่ขัน จึงหันหลังวิ่งหนีไป ลาเข้าใจว่า แม้ราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่ายังเกรงกลัวตน มันเลยไล่กวดตามไปอย่างคึกคะนอง ราสีห์จึงหันหลังกับมากระโดดเข้าขย้ำคอลาแล้วลากหายเข้าป่าไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้โง่เขลามักหลงทะนงตนเมื่อมีชัยเหนือศัตรู ครั้นหลงกลติดกับดักจึงสำนึกตัวได้แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว



นายพรานผู้ขมังธนูกับราชสีห์


กาลครั้นหนึ่ง ในป่าอันเป็นที่อยู่ของบรรดาสรรสัตว์ ได้มีพรานป่าผู้ขมังธนูคนหนึ่งเข้ามาล่าสัตว์ ทำให้สัตว์ทั้งหลายพากันเตลิดหนีด้วยความตกใจกลัว ยกเว้นพญาราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่าเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่ใจกล้าไม่ยอมหนี ทำท่าจะกระโจนเข้าต่อสู้กับนายพราน “ช้าก่อน” นายพรานร้องห้าม “ข้าจะส่งทูตไปเจรจากับเจ้า”

นายพรานยิงลูกศรไปถูกชายโครงของราชสีห์ ผู้เป็นเจ้าป่ารู้สึกเจ็บปวด ส่งเสียงร้องโหยหวนแล้ววิ่งเตลิดเข้าไปในดงไม้ทึบ เมื่อหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเห็นเจ้าป่าวิ่งเตลิดหนีมาจึงรีบเข้าไปสอบถาม “ข้าเห็นท่านกำลังจะต่อสู้กับนายพรานไม่ใช่หรือ แล้วเหตุไฉนจึงหนีมา ทำไมไม่ขับไล่ศัตรูของพวกเราออกไปจากป่า”

เจ้าอย่ามายุซะให้ยากเลย ราชสีห์ตอบด้วยความครั่นคร้าม “แต่ทูตของมันยังทำให้ข้าต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ แล้วผู้เป็นเจ้านายของทูตจะมีฤทธิ์ขนาดไหน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้โง่เขลา ย่อมไม่สามารถพิจารณาแยกแยะได้ว่า สิ่งใดคือเรื่องจริง และสิ่งใด คือ กลลวง



หมาป่ากับแกะโง่


ครั้นหนึ่งนานมาแล้ว พวกหมาป่าได้ส่งทูตมาผูกสัมพันธ์ไมตรีกับแกะ โดยทูตได้กล่าวกับพวกแกะว่า “นับตั้งแต่คนเลี้ยงแกะใช้ให้หมาของเขามาคอยดูแลและควบคุมพวกเจ้า นอกจากแกะทุกตัวจะไม่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกตามใจต้องการแล้ว พวกหมาเลี้ยงแกะยังยุยงให้เราเข้าใจผิดกัน โดยใส่ร้ายหาว่าพวกเราชาวหมาป่าทั้งหลาย คอยจ้องจะทำอันตรายฝูงแกะ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย”

เมื่อเห็นว่าแกะทุกตัวในฝูงเริ่มคล้อยตามหมาป่า ซึ่งทำหน้าที่ทูต รีบเสนอวิธีการซึ่งตนได้คิดไว้ดังนี้ “หากพวกเจ้าช่วยกันไล่หมาเลี้ยงแกะไป ไม่มาคอยยุยงและควบคุม ต่อไป แกะทุกตัวจะเป็นอิสระ สามารถไปไหนๆ ได้อย่างเสรี”

พวกแกะหลงเชื่อ จึงขับไล่ไม่ให้หมาคอยดูแลตน ด้วยเหตุนี้หมาป่าจึงสามารถสังหารแกะได้โดยง่าย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การหลงเชื่อคำลวงของศัตรูย่อมเป็นหนทางไปสู่ความพินาศ


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 21/8/08 at 14:50 Reply With Quote


(Update 21 ส.ค. 51)

หนูกับหอยมุก


หนูโง่ตัวหนึ่ง มีความคิดว่ามันควรจะออกท่องเที่ยวไปในโลกกว้างเพื่อหาประสบการณ์ชีวิต ตอนแรกอยากชวนหนูตัวอื่นๆ ไปด้วย แต่เกรงว่าจะเป็นภาระยุ่งยาก จึงตัดสินใจที่จะเดินทางตามลำพัง

หลังจากกล่าวคำอำลาท้องทุ่งอันเป็นถิ่นเกิดแล้ว มันได้เริ่มออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่นานนัก ก็พบกับจอมปลวกขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางท้องทุ่ง

“โอ...ภูเขา มันคือภูเขานั่นเอง” หนูอุทานอย่างตื่นเต้น “เชื่อเถิดว่ายกเว้นข้าแล้ว ยังไม่มีหนูตัวใดได้เห็นภูเขาจริงๆ นอกจากได้ยินคำบอกเล่าเท่านั้น” หนูผู้โง่เขลาเดินต่อไปได้ไม่นาน ก็พบกับบึงน้ำกว้างใหญ่ “ทะเล โอ...นี่นะหรือท้องทะเลอันน่ารื่นรมย์ พนันได้เลยว่ายกเว้นข้าแล้ว ยังไม่มีหนูตัวใดเดินทางมาถึงทะเล นอกจากได้ยินคำบอกเล่าเท่านั้น”

เดินเลาะชายฝั่งไปอีกไม่ไกล หนูผู้โง่เขลาก็มาถึงชายทะเล “มหาสมุทร โอ...คือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล รับรองได้เลยว่ายกเว้นข้าแล้ว ยังไม่มีหนูตัวใดเดินทางมาถึงมหาสมุทร นอกจากได้ยินคำบอกเล่าเท่านั้น”

ขณะเดินอยู่บนชายหาด หนูผู้โง่เขลาเห็นหอยมุกจำนวนมาก อ้าเปลือกออกนอนตากแดดอยู่ “ในนั้นต้องมีอาหารรสเลิศ นอกจากข้าแล้วคงไม่มีหนูตัวใดเคยได้กินแน่” หนูผู้โง่เขลาวิ่งมาหยุดยืนชะเง้อคอเข้าไปในเปลือกหอย หอยมุกหุบเปลือกลง งับเอาหนูเข้าไปขังไว้ภายในทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนโง่เขลามักเข้าใจว่าตนเองฉลาด แต่กลับไม่รู้ตัว แม้ว่ากำลังอยู่ในอันตราย



เต่ากับเป็ดป่า


เต่าตัวหนึ่ง คิดว่าหากมันสามารถเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ คงจะมองเห็นโลกเบื้องล่างสวยงามแปลกตากว่าที่เคยเห็นอยู่ในปัจจุบัน และสัตว์ต่างๆ ก็จะต้องพากันนับถือยกย่องตน

ด้วยเหตุนี้ มันได้พยายามผูกไมตรีกับเป็ดป่าสองตัว เมื่อสนิทสนมกันดีแล้ว จึงบอกความประสงค์ของตน โดยขอร้องให้เป็ดป่าทั้งสองคาบกิ่งไม้ไว้ตัวละด้าน ส่วนเต่าจะคาบตรงกลางไม้ เมื่อเป็ดป่าทั้งสองคาบกิ่งไม้บินขึ้นสู่ท้องฟ้า เต่าก็จะถูกพาบินขึ้นไปด้วย เป็ดป่าทั้งสองเห็นแก่ความเป็นเพื่อน จึงตกลงทำตามคำขอร้องของเต่า

“ดูนั่นซิพวกเรา เต่าเห่าได้” บรรดาสัตว์ต่างๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ต่างส่งเสียงร้องบอกต่อๆ กันด้วยความตื่นเต้น เต่ารู้สึกภาคภูมิใจอยากคุยอวดเพื่อนๆ จึงอ้าปากจะพูด แต่ทันใดนั้นร่างของมันก็ร่วงหล่นลงกระแทกโขดหินแหลกเหลวอยู่บนพื้นดินนั่นเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนโง่แม้จะประสบความสำเร็จแต่ในไม่ช้าก็หนีไม่พ้นความวิบัติ



กระต่ายกับเต่า


กระต่ายตัวหนึ่งหลงทะนงในฝีเท้าของตนว่า สามารถวิ่งได้รวดเร็วดุจสายสม ในป่าที่อาศัยอยู่ ไม่มีสัตว์ตัวใด สามารถเอาชนะมันได้ วันหนึ่งพบเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงกล่าววาจาเยาะเย้ยด้วยความคึกคะนอง

“มัวแต่คลานเชื่องช้าอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่จะไปถึงจุดหมายปลายทางเล่าเพื่อน อย่างเจ้านี้ ข้าต่อให้คลานล่วงหน้าไปก่อนสักครึ่งวัน ก็คงวิ่งตามทัน” ไม่ต้องต่อให้ข้าหรอก” เต่ารู้สึกไม่พอใจ “กระต่ายขี้โม้อย่างเจ้าไม่เห็นว่าจะเก่งกาจตรงไหน ไม่เชื่อเรามาลองวิ่งแข่งกันก็ได้”

“ว่าไงนะ” กระต่ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เจ้านะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ฮะ...ฮะ...ฮะ..” กระต่ายยืนหัวเราะจนท้องแข็ง พอดีหมาจิ้งจอกเดินผ่านมาทั้งสองจึงเชิญให้เป็นกรรมการตัดสิน

เมื่อเริ่มการแข่งขัน กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้า ครั้นถึงกลางทางลองเหลียวกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของคู่แข่ง เจ้ากระต่ายจึงละล่าใจ แวะเข้าไปนอนกระดิกขาเล่นที่ใต้ร่มไม้ใหญ่

“หลับเอาแรงสักงีบดีกว่า” กระต่ายทำท่าบิดขี้เกียจ “เอาไว้พอเจ้าหลังตุงมาถึงแถวนี้ ค่อยตื่นขึ้นมาเต้นระบำไปรอบๆ ตัวมันจนกว่าจะถึงเส้นชัย”

สายลมเย็นพัดโชยเฉื่อยฉิว ไม่นานนักเจ้ากระต่ายผู้ประมาทก็เผลอหลับไปจริงๆ ฝ่ายเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยมๆ อย่างไม่ย่อท้อ โดยมีเพื่อนสัตว์ป่าเดินทางส่งเสียงเชียร์เพื่อให้กำลังใจ เนื่องจากทุกตัวต่างชังน้ำหน้าเจ้ากระต่ายขี้คุย ยกเว้นแต่ตอนผ่านต้นไม้ ซึ่งเจ้ากระต่ายกำลังหลับฝันหวานอยู่เท่านั้นที่สัตว์ทุกตัวต่างพากันเงียบเสียง

เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง เห็นรอยเท้าสัตว์ต่างๆมากมายบนทางที่ใช้แข่งขันรู้สึกผิดสังเกต มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมา จึงเห็นคู่แข่งของมันกำลังจะคลานเข้าสู่เส้นชัย เจ้ากระต่ายออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าแต่ก็สายไปแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความประมาทย่อมนำมา ซึ่งความผิดหวังและพ่ายแพ้ ผู้เพียรพยายามย่อมประสบผลสำเร็จ



มดกับตั๊กแตน


ตั้กแตนเจ้าสำราญตัวหนึ่ง นิสัยเกียจคร้าน ชอบความสะดวกสบาย ตลอดช่วงฤดูร้อนที่สัตว์อื่นๆ พากันหาอาหารไปเก็บสะสมไว้ในรัง มันมัวแต่ร้องทำเพลงสนุกสนานไปวันๆ ครั้งถึงฤดูหนาวหิมะตกหนัก ตั้กแตนไม่สามารถหาอาหารกินได้ อดอยู่หลายวัน

จนในที่สุดต้องซมซานมาเคาะประตูรังของมดที่เคยรู้จัก “ได้โปรดเถิดเพื่อน ขออาหารให้ฉันประทังชีวิตสักหน่อย เมื่อพ้นฤดูหนาวอันแสนทารุณนี้แล้ว ฉันสัญญาว่าจะหามาใช้คืนให้เป็นเท่าตัว” ตั๊กแตนพยายามวิงวอน

“อ้าว... ก็เมื่อตอนฤดูร้อนที่ใครๆ เขาพากันทำมาหากินตัวเป็นเกลียว เจ้ามัวทำอะไรอยู่” มดย้อนถาม “ฉันไม่ได้อยู่เปล่าๆ หรอกนะ แต่ได้ร้องรำทำเพลงตลอดเวลาเมื่อตอนที่เธอ และเพื่อนๆ ขนอาหารผ่านมาก็ได้ยินมิใช่หรือ”

“ได้ยินซิ..ในเมื่อเจ้ามัวแต่ร้องเพลงตลอดฤดูร้อน เมื่อถึงฤดูหนาวก็จงเต้นรำให้สนุกเถิด” กล่าวจบมดก็ปิดประตูทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ปล่อยวันเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างไร้ค่า ชีวิตย่อมพบเพียงความว่างเปล่า



ลูกแกะหลงฝูงกับหมาป่า


ลูกแกะตัวหนึ่ง หลงฝูงวิ่งเตลิดไปพบกับหมาป่า ขณะกำลังจะถูกจับกิน ลูกแกะเห็นจวนตัว ไม่มีทางหนีพ้น จึงแข็งใจยืนเผชิญหน้าพร้อมออกอุบายว่า “ไหนๆ ข้าก็จะต้องกลายเป็นอาหารของท่าน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แล้ว ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงปี่และเต้นรำเป็นครั้งสุดท้าย ขอท่านช่วยอนุเคราะห์ด้วยเถิด”

หมาป่านึกสนุก จึงเป่าปี่ด้วยทำนองเร้าใจ หมาเฝ้าฝูงแกะตัวหนึ่งวิ่งมาตามเสียง ครั้นเห็นลูกแกะกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเห่าเรียกพรรคพวกของมัน ด้วยเหตุนี้หมาป่าต้องรีบทิ้งปี่วิ่งหนีไปด้วยความเสียดาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อพบลาภหรือมีโอกาสได้แสดงความสามารถ หากมัวหลงระเริงมัวแต่เห็นแก่ความสนุกสนานลาภและโอกาสนั้นก็จะหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 28/8/08 at 12:30 Reply With Quote


(Update 28 ส.ค. 51)

นกนางนวลกับเหยี่ยวนกเขา


นกนางนวลตัวหนึ่ง โฉบได้ปลาทะเลตัวเขื่อง มันรีบขยอกกลืนลงไปทั้งตัว ปลาเกิดติดค้างอยู่ที่ลำคอ ทำให้ได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน ในที่สุดก็หมดแรงบินตกลงไปนอนหายใจพะงาบๆ อยู่บนดาดฟ้าเรือ

“สมน้ำหน้าเจ้าแล้วล่ะ” เหยี่ยวนกเขาตัวหนึ่งบินผ่านมา เห็นจึงกล่าววาจาซ้ำเติม “ คราวหลังจะทำอะไรควรระมัดระวังให้มากกว่านี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ประมาทย่อมได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยากเป็นสิ่งตอบแทน



โหรคนหนึ่ง


โหรคนหนึ่ง หมกมุ่นในเรื่องการดูดวงดาว จนไม่เป็นอันทำอะไร วันๆ เอาแต่ศึกษาความเป็นไปของดวงดาวบนท้องฟ้า จนรู้ว่าดาวดวงใด โคจรไปทางไหน ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่โหรเดินแหงนหน้ามองดูดาวไปตามถนนนอกเมือง จนเผลอพลัดตกไปในบ่อข้างทาง

เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถปีนขึ้นมาได้เอง ต้องนอนร้องครวญครางอยู่ตามลำพัง จนมีผู้มาพบและให้ความช่วยเหลือ พร้อมสอบถามถึงเรื่องราวความเป็นมา

“เออหนอพ่อโหรผู้รอบรู้” ผู้ให้ความช่วยเหลือรำพึงออกมาดัง “ท่านศึกษา จนรู้ว่าดวงดาวไหนบนท้องฟ้าโคจรไปทางใด แต่ตัวเองจะเดินตกบ่อหารู้ไม่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมา แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมพลาดพลั้งในสิ่งอื่นๆ



หมูป่ากับหมาจิ้งจอก


หมูป่าตัวหนึ่งรูปร่างล่ำสัน มีเขี้ยวยาวโง้งเป็นที่น่าเกรงขามของสัตว์ทั้งหลาย วันหนึ่งหมาจิ้งจอกเห็นหมูป่ากำลังลับเขี้ยวของตนอยู่กับต้นไม้ จึงแวะเข้าไปถามไถ่ “จะต้องลับเขี้ยวเล็บให้เสียเวลาทำไมกัน ในป่าแห่งนี้ไม่มีใครปราดเปรียวว่องไวไปกว่าท่าน อีกทั้ง หมาล่าเนื้อ หรือนายพราน ก็ไม่เห็นเข้ามาหาเหยื่อแถวนี้เลย” “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีภัยอันตรามาถึงตัว” หมูป่ากล่าวตอบ “และเมื่อถึงเวลานั้นค่อยคิดลับเขี้ยวเล็บของเจ้าย่อมไม่ทันการอย่างแน่นอน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความไม่ประมาทและการเตรียมพร้อม ย่อมสร้างหลักประกันให้แก่ตนเอง



ชาวนากับสัตว์เลี้ยง


ชาวนาคนหนึ่งติดพายุหิมะอยู่ในบ้านเป็นเวลาหลายวัน จนอาหารที่ตุนไว้หมด จึงจำเป็นต้องนำแกะที่เลี้ยงไว้มาฆ่า เพื่อใช้ประทังชีวิต เมื่อเนื้อแกะหมดก็นำแพะที่เลี้ยงไว้มาฆ่ากิน แต่หิมะก็ยังตกหนักทำให้ต้องฆ่าวัวกิน ด้วยความจำเป็น สุนัขสองตัวที่ชาวนาเลี้ยงเอาไว้เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ต่างปรึกษากันว่า “พวกเราเห็นทีจะไม่ปลอดภัยแล้วล่ะเพื่อนเอ๋ย แม้แต่วัวที่เลี้ยงเอาไว้ไถนาและใช้แรงงาน เจ้านายยังนำมาฆ่ากิน อีกหน่อยอาจถึงคราวพวกเรา รีบหนีเอาตัวรอดกันดีกว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อรู้ว่ากำลังจะมีภัยเกิดขึ้นกับตน ควรรีบหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีก่อนที่สายเกินไป



กระเป๋าสองใบ


อีสปกล่าวไว้ว่า มนุษย์ทุกคนมีกระเป๋าประจำตัวอยู่สองใบ ซึ่งบรรจุความชั่วเอาไว้เต็ม ใบที่อยู่ด้านหน้าบรรจุความชั่วของผู้อื่น ส่วนใบที่อยู่ด้านหลังบรรจุความชั่วของตัวเราเอง ดังนั้น เราจึงมักจะเห็นความผิด ความเลว ความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ค่อยเห็นของตนเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความผิดของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ความผิดของเราเห็นได้ยาก


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 3/9/08 at 13:50 Reply With Quote


(Update 3 ก.ย. 51)

หญิงชรากับสาวใช้


หญิงชราจอมเฮี้ยบผู้หนึ่ง จ้างสาวใช้สองคนไว้ทำงานในบ้าน ทุกเช้าตรู่ ในขณะที่สาวใช้หลับอย่างเป็นสุข เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย ไก่ที่หญิงชราเลี้ยงไว้ก็ส่งเสียงขันรบกวน ยิ่งกว่านั้นหญิงชรายังมาปลุกให้สาวใช้ลุกขึ้นทำงานทันที เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน ด้วยเหตุนี้สาวใช้ทั้งสอง จึงแอบจับไก่ไปฆ่า เพื่อไม่ส่งเสียงปลุกหญิงชราและรบกวนพวกตน

โดยเข้าใจว่า นับแต่นี้ไปจะได้นอนตื่นสายกันได้ตามสบาย แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เมื่อไม่มีเสียงไก่คอยบอกเวลา หญิงชราเกรงว่าตนเองอาจนอนเพลิน เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกตามประสาคนแก่ ก็รีบมาปลุกสาวใช้ให้ลุกขึ้นทำงาน ทำให้สาวใช้ทั้งสองลำบากยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ค่อยได้หลับได้นอน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดคิดร้ายหรือคดโกง ย่อมได้รับผลกรรมตอบแทน



ปูกับงู


ปูกับงู เป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน ปูนั้นซื่อตรงต่องู ไม่เคยทรยศหักหลัง ตรงกันข้ามกับงู ซึ่งมักไม่ซื่อตรง ทำให้ปูได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ แม้จะพยายามตักเตือนอย่างไร แต่งูก็ไม่ยอมกลับตัว จนในที่สุดปูหมดความอดทน จึงใช้ก้ามหนีบงูจนตาย “ถ้าจิตใจของเจ้าซื่อตรงเหมือนร่างของที่นอนยาวเหยียดอยู่เช่นนี้ เจ้าก็คงไม่ต้องพบจุดจบในวันนี้” ปูกล่าวกับงูก่อนที่จะกลับลงรูของมันไปตามลำพัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนเลวไร้ความซื่อสัตย์ ยากที่จะสำนึกตัวได้แม้เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว



เทพารักษ์กับคนตัดไม้


ชาวป่าผู้หนึ่ง ขณะเข้าไปตัดต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่ริมแม่น้ำ เกิดทำขวานหลุดมือตกจมหายลงไปในน้ำ เนื่องจากเขาว่ายน้ำไม่เป็น และนึกเสียดายขวานคู่ชีวิต เลยนั่งลงร้องไห้ เทพารักษ์มีความเมตตาสงสาร ได้ปรากฏกายขึ้น กล่าวปลอบโยน และลงไปงมขวานมาคืนให้ แต่คิดอยากจะลองใจชายผู้นี้

ครั้งแรกจึงนำขวางทองขึ้นมาจากแม่น้ำแล้วถามว่า “ขวานด้านนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่” “ไม่ใช่หรอกขอรับ ขวานของข้าพเจ้าเป็นขวานเหล็กธรรมดา” เทพารักษ์นึกพอใจ แต่ยังคิดอยากจะทดสอบอีกครั้ง แสร้งดำลงไปค้นหาในแม่น้ำแล้วโผล่ขึ้นมาพร้อมกับขวานเงินในมือ “ขวานด้านนี้ใช่ของเจ้าหรือไม่” “ไม่ใช่หรอกท่าน ขวานของข้าพเจ้าเป็นขวานเหล็กธรรมดา”

เมื่อเทพารักษ์นำขวานเหล็กมาคืนให้ กับชาวตัดฝืน ท่านได้ยกขวานเงินและขวานทองให้ด้วย เพื่อเป็นรางวัลในความซื่อสัตย์ ครั้นเพื่อนของชายตัดฟืนทราบเรื่อง จึงทำทีออกไปตัดฟืนแล้วนั่งร้องไห้คร่ำครวญหลังจากแกล้งทำขวานหล่นในแม่น้ำ เมื่อเทพารักษ์ปรากฏตัวขึ้นปลอบโยนและลองใจโดยงมขวานทองมาส่งให้ ชายผู้นั้นเกิดความโลภรีบบอกว่าเป็นขวานของตนเทพารักษ์เห็นว่าชายผู้นี้กล่าวเท็จ จึงแสดงฤทธิ์หายตัวไปทันที ชายผู้ไร้ความซื่อสัตย์ นอกจากไม่ได้ขวานเงินและขวานทองเป็นรางวัล แม้แต่ขวานเหล็กของตนก็จมอยู่ในแม่น้ำนั้นเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ย่อมได้รับผลดีตอบแทน ผู้ทุจิตย่อมได้รับผลร้ายตอบสนอง



แพะกับคนเลี้ยง


แพะตัวหนึ่งวิ่งเตลิดออกนอกฝูง คนเลี้ยงพยายามไล่จับ มาได้ด้วยความเหนื่อยยาก แต่ในไม่ช้ามันก็หนีออกจากฝูงเหมือนเช่นเดิม ด้วยความโมโห คนเลี้ยงจึงเอาก้อนหินขว้างไปถูกแพะตัวนั้น ขาหักข้างหนึ่ง ครั้นนึกได้ว่าตนเองจะต้องถูกนายจ้างเล่นงาน

จึงรีบเข้าไปทำแผลให้แพะ พร้อมกับกล่าวอ้อนวอนไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่นายจ้าง “ท่านอย่าโง่ไปหน่อยเลย” แพะกล่าวด้วยความโกรธ “นายจ้างของท่านไม่ใช่คนตาบอด ฉะนั้น แม้ข้าจะไม่พูดอะไรสักคำเดียว เขาก็สามารถมองเห็นขาข้างที่หักของข้าได้เอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

หลักฐานหรือพยานใดๆ ก็ไม่สำคัญไปกว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้น



สุนัขกับเนื้อ


สุนัขเป็นสัตว์ที่ชอบกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ แต่ยังมีสุนัขตัวหนึ่งได้รักการฝึกฝนให้รู้จักการรอดกลั้น หักห้ามใจ ไม่ให้กินเนื้อ และอาหาร ที่ผู้เป็นนายหญิงใช้ให้มันนำไปส่งสามีของเธอ ซึ่งทำงานอยู่ในไร่ มันพยายามทำหน้าที่สุนัขส่งอาหารด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา แม้จะฝืนกับความรู้สึกของตนเองอย่างไรก็ตาม

อยู่มาวันหนึ่ง สุนัขส่งอาหารพบกับสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ซึ่งลำตัวของมันใหญ่และแข็งแรง เจ้าสุนัขจรจัด พยายามเข้ายื้อแย่งอาหารและเนื้อ สุนัขส่งอาหารต่อสู้จนสุดความสามารถ ขณะนั้นมีสุนัขอีกตัวหนึ่งมาเห็นเหตุการณ์ มันได้เข้าแย่งชิงเนื้อและอาหารเช่นเดียวกัน เกิดการต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย ในที่สุดเนื้อก็ถูกชิงไปได้“ขอเนื้อให้เข้าสักหน่อยเถิด” สุนัขผู้มีหน้าที่ส่งอาหารกล่าวกับสุนัขอีกสองตัวนั้น “เพราะไหนๆ มันก็คงต้องถูกพวกเจ้ากินอย่างแน่นอนอยู่แล้ว” ด้วยเหตุนี้สุนัขทั้งสามจึงแบ่งเนื้อกันกินตามจำนวนที่แย่งชิงได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เป็นการยากที่จะให้ผู้อื่นรักษาผลประโยชน์ของเราด้วยความซื่อสัตย์


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 15/9/08 at 14:04 Reply With Quote


(Update 15 ก.ย. 51)

เด็กเลี้ยงแกะ


เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง มีนิสัยเกเร ชอบกล่าวคำโกหกพูดจาตลบตะแลงอยู่เสมอ วันหนึ่ง หลังจากต้อนฝูงแกะของตนออกไปกินหญ้าบริเวณเชิงเขาแล้ว เกิดนึกสนุกอยากหาเรื่องแกล้งชาวบ้านเล่น เด็กเลี้ยงแกะจึงเดินกลับมาที่หมูบ้าน เมื่อใกล้จะถึง จึงแกล้งวิ่งหน้าตื่นกระหือกระหอบร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ช่วยด้วย..ช่วยด้วย ฝูงหมาป่าจะมาจับแกะไปกินหมดแล้ว”

เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้น ต่างพากันฉวยอาวุธตามแต่จะหาได้ แล้วรีบตรงไปที่เชิงเขา เด็กเลี้ยงแกะเห็นชาวบ้านวิ่งกันมาหน้าเก้อ จึงส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน ชาวบ้านรู้สึกไม่พอใจ แต่เห็นว่าเป็นเด็กจึงให้อภัย แทนที่จะสำนักตัวเด็กเลี้ยงแกะกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก เลยปั้นน้ำเป็นตัว แต่งเรื่องหมาป่าจะมากินลูกหลอกอีกหลายครั้ง ทำให้ทุกคนพากันโกรธ หลังจากนั้นไม่นาน มีฝูงหมาป่ามาจับแกะไปกินจริงๆ เด็กเลี้ยงแกะวิ่งมาเรียกชาวบ้าน แต่ไม่ใครให้ความช่วยเหลือเพราะคำพูดของเขา ไม่มีใครเชื่อถือเลยแม้แต่คนเดียว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ปราศจากคำสัตย์ ย่อมปราศจากคนเชื่อถือ



ปลาโลมากับลิงขี้คุย


ในสมัยโบราณเมื่อจะนำเรืออกเดินทางไปในทะเลหรือมหาสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างไกล กะลาสีมักนำสุนัขตัวเล็กๆ หรือลิงไปเป็นเพื่อนด้วย เพื่อจะได้คลายเหงา วันหนึ่งขณะเรือแล่นผ่านแหลมใหญ่ ของประเทศกรีก ได้ถูกพายุพัดกระหน่ำจนล่ม บรรดากะลาสีต่างตะเกียกตะกายว่ายน้ำเข้าฝั่ง ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ แม้ตัวเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงไม่อาจช่วยชีวิตสัตว์เลี้ยงของตนได้

เมื่อเรือจม ลิงตัวหนึ่งพยายามว่ายน้ำฝ่าคลื่นไปตามลำพัง ปลาโลมาตัวหนึ่งมาพบ เข้าใจว่าเป็นคน จึงให้ขี่หลังพามุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่ง ขณะว่ายผ่านนครเอเธนส์ มองเห็นท่าเรือพีรุสอยู่อีกไม่ไกลนัก ปลาโลมาเห็นลิง นั่งยุกยิกผิดสังเกต จึงเอ่ยถามว่า “ท่านเป็นชาวเอเธนส์หรือ” “ใช่..ข้าเป็นคนในตระกูลเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนครเอเธนส์แห่งนี้ทีเดียว” เจ้าลิงเริ่มคุยอวดตัว “ถ้าเช่นนั้นท่านคงรู้จักพีรุสดีนะซิ” ปลาโลมาถามต่อ “แน่นอน..เขากับข้าเป็นเพื่อนรักกันมาทีเดียว” เมื่อได้ฟังคำตอบ ปลาโลมา นึกหมั่นไล้ที่ลิงมีนิสัยชอบคุยโตโอ้อวด จึงดำหนีไป ปล่อยให้ลิงเผชิญชะตากรรมของมันตามพังนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การพูดเท็จ การคุยโตโอ้อวด ย่อมเป็นภัยแก่ตนเอง



จำอวดกับชาวเมือง


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เศรษฐีผู้มั่งคั่งแห่งกรุงโรม ต้องการให้นักแสดงตลกมาแสดงในงานเฉลิมฉลองที่ตนจัดขึ้น เพื่อให้ชาวเมืองได้พักผ่อนหย่อนใจ โดยประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงาม แก่ผู้ที่แสดงตลกมุขใหม่ๆ ไม่ซ้ำกับคนอื่น นักแสดงตลก จากทั่วทุกสารทิศ เมื่อทราบข่าวจึงเดินทางมาเปิดการแสดงที่กรุงโรมเป็นอันมาก มีนักแสดงตลกผู้หนึ่งอวดอ้างตัวว่าสามารถแสดงมุขตลกได้ไม่เหมือนใคร

ดังนั้น เมื่อถึงคิวที่เขาทำการแสดง จึงมีประชาชนเข้ามารอชมกันอย่างเนืองแน่น ครั้นถึงเวลาแสดง นักแสดงตลกผู้อวดอ้างตัว ได้ออกมาหน้าเวทีตามลำพัง โดยไม่มีผู้ช่วยหรือลูกทีมเหมือนคนอื่นๆ เขาทำทีเป็นซ่อนลูกหมูไว้ในอกเสื้อ แล้วก้มหน้าทำเสียงร้องเลียนเสียงของลูกหมูได้เหมือนจริงมาก ทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนาน แต่มีหลายคนสงสัยว่า นักแสดงตลก คงจะซ่อนลูกหมูไว้ในอกเสื้อ จึงขอให้ถอดออกพิสูจน์ เมื่อเห็นว่านักแสดงตลก ไม่ได้ซุกซ่อนลูกหมูไว้อย่างที่ทุกคนเข้าใจ คนดูจึงปรบมือให้ในความแก่กล้าสามารถของเขา

ขณะที่เศรษฐี ผู้มั่งคั่งแห่งกรุงโรมจะมอบรางวัลพิเศษแก่นักแสดงตลก ชาวเมืองผู้หนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่ด้วยได้ผุดลุกขึ้นประกาศว่า “รางวัลพิเศษควรจะเป็นของข้า เพราะข้าสามารถทำเสียงลูกหมูได้เหมือนและแนบเนียนกว่านักแสดงตลกผู้นี้ ถ้าไม่เชื่อขอเชิญทุกคนมาพิสูจน์ในวันรุ่งขึ้น”

เมื่อถึงเวลาทำการแสดง นักแสดงตลกกับชาวผู้ท้าทายต่างขึ้นเวทีพร้อมกัน ชาวเมืองต่างตบมือเสียงดังสนั่นเพระมีผู้ชมมากกว่าวันก่อน นักแสดงตลกคนเดิมทำเสียงเลียงเสียงลูกหมูเหมือนครั้งแรก

ครั้งถึงคิวของนักแสดงตลกคนใหม่ เขาทำทีเหมือนซ่อนลูกหมูเอาไว้ในอกเสื้อ และแสดงการบิดหูลูกหมูเต็มแรง ได้ยินเสียงลูกหมูร้องสั่นเวที แต่คนดูต่างส่งเสียงโห่หาว่าเขาแสดงได้ไม่เท่านักแสดงตลอกคนแรก พร้อมส่งเสียงขับไล่เขาลงจากเวที “พวกท่านเป็นผู้ชมประเภทไหนกัน จึงแยกไม่ออกระหว่างของจริงกับของปลอม” นักแสดงตลกคนใหม่แกะกระดุมเสื้อของเขาออก ปรากฏว่าเขาซ่อนลูกหมูจริงๆ เอาไว้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เรามักหลงเชื่อในสิ่งที่หลอกลวงยิ่งกว่าสิ่งที่เป็นจริง



อีกากบหอยกาบ


อีกาตัวหนึ่งบินหาอาหารอยู่ชายฝั่ง เมื่อเห็นหอยกาบตัวหนึ่งอยู่บนพื้น จึงบินลงมาหมายจะจิกกินเป็นอาหาร แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามสักเท่าใดก็ไม่สามารถเปิดเปลือกหอยออก เพื่อกินเนื้อได้ อีกาอีกตัวหนึ่งผ่านมาพบ จึงบินลงมาเกาะใกล้ๆเพื่อให้คำแนะนำ ทำไมเพื่อนไม่ใช้ปากคาบหอยกาบตัวนี้ไว้ แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้น ก็ทิ้งมันให้ตกลงมากระแทกพื้น เมื่อเปลือกแตก เพื่อนย่อมได้กินเนื้อหอยที่แสนอร่อยอย่างง่ายดาย”

อีกาตัวแรกล่าวขอบอกขอบใจ และรีบปฏิบัติตามคำแนะนำทันที ฝาของเปลือกหอยที่ถูกทิ้งลงมากระทบกับโขดหิน แตกออก เผยให้เห็นเนื้อหอยที่น่ากินยิ่งนัก แต่เมื่อมันบินลงมาถึงพื้น ปราฏกว่าอีกาตัวที่ให้คำแนะนำซึ่งคอยทีอยู่แล้ว ได้แย่งกินเนื้อหอยจนหมดและรีบบินหายลับไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้คำแนะนำ บางครั้งเขาก็อาจจะหวังอะไรบางอย่างจากเรา หากหลงเชื่อโดยไม่พิจารณาไตร่ตรอง อาจตกเป็นเครื่องมือสูญเสียผลประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย



หมาจิ้งจอกกับจระเข้


จระเข้ตัวหนึ่งได้คุยอวดตัวกับหมาจิ้งจอกด้วยความภาคภูมิใจว่า “ข้านะไม่ใช่สัตว์ธรรมดาสามัญเหมือนพวกเจ้าหรอกรู้ไว้ซะด้วย เพราะบรรพบุรุษของข้าสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองขึ้นไปถามเทพเจ้าบนสวรรค์ได้เลย” “ข้าไม่ต้องไปให้เสียเวลาหรอก” หมาจิ้งจอกกล่าวอย่างเย้ยหยัน “แค่ดูสารรูปของเจ้า ใครๆ ก็รู้ว่าชาติกำเนิดเดิมของจระเข้นั้น ไม่ใช่สูงส่งหรือยิ่งใหญ่อะไรเลย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สภาพความเป็นจริงย่อมไม่สนับสนุนคำลวงโป้ปดมดเท็จใดๆ


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 2/10/08 at 15:13 Reply With Quote


(Update 2 ต.ค. 51)

กวางป่ากับพุ่มไม้


กวางป่าตัวหนึ่ง หนีการตามล่าของนายพรานเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้หนา ซึ่งกำลังแตกใบอ่อนเขียนครึ้ม ใช้เป็นที่กำบังได้อย่างมิดชิด ครั้นเห็นนายพรานเดินผ่านเลยไป กวางคิดว่าปลอดภัยแล้ว จึงเล็มกินใบอ่อนของพุ่มไม้นั้น ทำให้นายพรานซึ่งเดินย้อนกลับมา สามารถมองเห็นกวางได้ เลยยกหน้าไม้ขึ้น ยิ่งขณะที่กวางล้มลงก่อนจะขาดใจ ได้รำพึงขึ้นว่า “นี่แหละผลแห่งการเนรคุณ ทั้งที่พุ่มไม้นี้ช่วยชีวิตเราไว้แต่เรากลับคิดทำลาย กัดกินจนไม่อาจให้ความคุ้มครองเราได้ต่อไป”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดไร้ซึ่งความกตัญญู ผู้นั้นย่อมนำภัยมาสู่ผู้ให้ความอุปการะและตัวของผู้นั้นเอง



คนเดินทางกับต้นไม้ใหญ่


คนกลุ่มหนึ่งร่วมกันเดินทางไปยังต่างถิ่นในช่วงฤดูร้อน ครั้นถึงเวลาเที่ยงแดดร้อนจัดอากาศอบอ้าว คนเดินทางจึงชวนกันแวะเข้าไปอาศัยนอนพักที่โคนต้นไม้ใหญ่ คนหนึ่งนอนแหงนหน้ามองสำรวจตามกิ่งไม้ แล้วหันมากล่าวกับเพื่อนของตนว่า
“ไม้ต้นนี้สูงใหญ่ซะเปล่า แต่หามีลูกสักผลเดียว ช่างหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย” “เจ้าคนอกตัญญู” ต้นไม้ใหญ่กล่าวตำหนิ “เจ้าเข้ามาพักหลบร้อนภายใต้ร่มเงาของเรา แต่กลับตำหนิว่าเราไร้ประโยชน์ช่างไม่มีความคิดบ้างเลย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนอกตัญญูย่อมไม่สำนึกในบุญคุณของผู้ใด



แพะกับลูกแกะและหมาป่า


เมื่อหมาป่าเห็นลูกแกะยืนอยู่ข้างแม่แพะ มันจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “นี่เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกแกะ เหตุใดถึงมาอยู่ในฝูงแพะ ดูเหมือนฝูงแกะกำลังหากินอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ทำไมจึงไม่ไปหาแม่ที่แท้จริงของเจ้า” “ข้าไม่ไปหรอก” ลูกแกะตอบปฏิเสธ “ถึงแม้นว่าแกะจะเป็นผู้ให้กำเนิดข้ามาก็จริง แต่แม่แพะตัวนี้เป็นผู้เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ท่านจึงน่าจะเป็นแม่ที่แท้จริงของข้ามากกว่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความกตัญญูย่อมเกิดขึ้น เพราะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ทะนุถนอม อย่างแท้จริง



ม้ากับลา


พ่อค้าคนหนึ่งเดินทางค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ได้นำสินค้าที่เตรียมไปจำหน่ายซึ่งมีจำนวนมากให้ลาบรรทุกจนหลังแอ่น ส่วนม้านั้นพ่อค้าให้เดินตัวเปล่าเพราะต้องการจะถนอมไว้เนื่องจากเกรงจะขายไม่ได้ ราคาหากม้าของตนบอบช้ำจากการเดินทาง ลารู้สึกว่าการบรรทุกครั้งนี้หนักเกินกำลัง มันพยายามอ้อนวอนม้าผู้เป็นสหายขอให้ช่วยแบ่งเบาสัมภาระ

“เพื่อนเอ๋ย..ข้ารู้สึกตาลายแข้งขาสั่นไปหมดแล้ว ช่วยแบ่งสัมภาระไปบรรทุกบ้างเถิด เมื่อพักค่อยยังชั่วกลับมีแรงขึ้นมาสักหน่อย ข้าจะรีบนำของเหล่านั้นมาบรรทุกตามเดิม หากเพื่อไม่ช่วยคราวนี้ข้าคงต้องขาดใจตายอยู่กลางทางแน่ๆ” ม้าไม่สนใจคำขอร้องของลา มันยังคงเดินอย่างสง่าต่อไปในขณะที่ลาเริ่มหมดแรงทำท่าจะล้มลง “ข้าไม่ได้สำออยหรอกนะแต่คราวนี้ไม่ไหวจริงๆ เจ้านั้นทั้งสูงใหญ่และแข็งแรงกว่าข้ามากนัก โปรดอย่างนิ่งดูดายอยู่เลย หากเพื่อไม่เมตตาข้าคงไม่มีโอกาสได้กล่าวคำวิงวอนอีกแล้ว”

“หุบปากของเจ้าซะที” ม้าทำทีขัดเคือง มันธุระกงการอะไรของข้าที่จะต้องไปช่วยคนอื่น เจ้ามีหน้าที่บรรทุกก็ก้มหน้าก้มตาทำไปซิ” ลาผู้น่าสงสาร กัดฟันเดินต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ล้มลงขาดใจตาย พ่อค้าจึงนำสินค้าทั้งหมดให้ม้าบรรทุกแทน และเมื่อเดินทางจนเหน็ดเหนื่อยพ่อค้าก็ขึ้นไปขี่บนหลังอีกด้วย ในเวลานี้ม้าได้แต่สำนึกเสียใจในความเห็นแก่ตัวของมัน แต่ก็สายไปแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การไม่รู้จักเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่สมควรเมื่อคราวที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ทุกข์นั้นอาจจะมาถึงตัวเราได้เช่นกัน



ราชสีห์กับหนู


ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตามลำตัวโดยไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะครุบเอาไว้ด้วยความโกรธ ขณะจะลงมือสังหารก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคำวิงวอน

“ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะข้าทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย” “ฮึ..ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้วอย่ามากวนใจอีกล่ะ” ราชสีห์ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าจึงยอมเลิกรา

“บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวันหน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรดส่งเสียงคำราม ข้าจะรีบมาทันที” “ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทำอะไรให้ข้าได้ ไป..รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ”

หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาดท่าไปติดบ่วงของนายพราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่นป่า หนูจำเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การให้อภัยแก่ผู้อื่นย่อมส่งผลดีกับตนเอง อย่าดูหมิ่นผู้ที่ต้อยต่ำกว่า เพราะสักวันหนึ่งเราอาจต้องพึ่งพาอาศัยเขาทุกชีวิตในโลกล้วนต่างต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 20/10/08 at 14:33 Reply With Quote


(Update 20 ต.ค. 51)

มดกับนกเขา


มดตัวหนึ่งกระหายน้ำ พยายามไต่ไปกินน้ำที่นำพุแต่พลาดตกและไหลไปตามลำธาร นกเขาตัวหนึ่งเห็นมดตะเกียกตะกายพยายามว่ายเข้าฝั่งจึงจิกใบไม้ทิ้งลงไปให้เกาะ เมื่อขึ้นฝั่งได้แล้วมดเห็นนายพรานคนหนึ่งกำลังจะใช้ตาข่ายเหวี่ยงจับนกเขา มดจึงรีบวิ่งเข้าไปกัดที่เท้า ทำให้นายพรานต้องทิ้งตาข่ายปัดมด ด้วยเหตุนี้นกเขาจึงรู้ตัวบินหนีไปได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นย่อมได้รับความดีตอบแทน



หมาจิ้งจอกกับคนตัดไม้


หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งหนีการตามล่าของเหล่านายพรานและหมาไล่เนื้อมาพบกับคนตัดไม้จึงตรงเข้าไปหา “ได้โปรดหาที่หลบซ่อนให้ข้าด้วยเถิด” หมาจิ้งจอกวิงวอน “หากรอดชีวิตไปได้คราวนี้ ข้าจะตอบแทนท่านอย่างถึงที่สุด”

คนตัดไม้จึงพาหมาจิ้งจอกไปหลบซ่อนตัว ในบ้านของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนักเมื่อพวกนายพรานมาถึงและถามหาหมาจิ้งจอกคนตัดไม้ตอบว่าไม่เห็นแต่แอบชี้นิ้วไปที่ซอกบ้านอันเป็นที่ซ่อนตัวของหมาจิ้งจอก พวกนายพรานไม่ทันสังเกตจึงพากันกลับไปเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว หมาจิ้งจอกจึงรีบออกจากที่ซ่อนวิ่งเข้าป่าไปโดยไม่ยอมกล่าวคำลา

“หมาจิ้งจอกเนรคุณ นี่คิดจะจากไปโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณกับเราทีเดียวหรือ” ชายตัดไม้ตะโกนไล่หลัง “ท่านผู้กรุณาให้ที่หลบซ่อน หากลิ้นของท่านตรงอย่างนิ้วที่แอบชี้บอกนายพราน ข้าอาจจะกล่าวคำขอบคุณท่านได้อย่างสนิทใจ” หมาจิ้งจอกหันมากล่าวตอบก่อนที่จะวิ่งหายเข้าไปในป่าลึก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ไม่มีความซื่อตรงและขาดความเมตตากรุณา ต่อหน้าเราเขาอาจแสดงความเห็นอกเห็นใจให้การช่วยเหลือ แต่แท้ที่จริงแล้วภายในจิตใจย่อมคิดซ้ำเติม



เทพารักษ์กับคนขับเกวียน


ชายผู้หนึ่งขับเกวียนไปติดหล่มอยู่ในป่าขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำเขาเกรงว่าจะต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ร้ายที่ออกหากินในเวลากลางคืน จึงรีบลงจากเกวียนคุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอน เทพารักษ์ได้ปรากฏกายขึ้น พร้อมบอกวิธีเอาเกวียนขึ้นจากหล่ม

“อย่ามัวสวดอ้อนวอนให้ผู้อื่นช่วยอยู่เลย จงโกยโคลนออกจากหล่ม เอาไม้แข็งๆมารอง และใช้บ่าของเจ้าสอดเข้าไปใต้คานแล้วออกแรงยก”เมื่อชายผู้นั้นกระทำตามที่เทพารักษ์แนะนำ พร้อมสั่งให้โคออกแรงฉุดลากก็สามารถนำเกวียนขึ้นจากหล่มได้ในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

จงช่วยเหลือตัวเองก่อน แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงจะช่วยท่าน



นกกระจาบกับชาวนา


นางนกกระจาบตัวหนึ่งฟักไข่อยู่ในรังซึ่งเป็นเขตนาข้าวของชาวนา เมื่อลูกๆของนางฟักออกเป็นตัวรวงข้าวในนาก็เริ่มสุก ก่อนออกไปหาอาหารในเวลาเช้านางนกกระจาบสั่งลูกๆไว้ว่า หากได้ยินชาวนาพูดอะไรให้จำไว้แล้วบอกกับแม่

“แม่จ๋า..วันนี้หนูได้ยินชาวนาพูดกับลูกชายของเขาว่าข้าวในนาเริ่มสุกแล้วจะไปขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยเกี่ยวในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่” ลูกนกรีบบอกเมื่อแม่นกกลับมาที่รัง

“รอไปก่อนเถอะลูก ถ้ามนุษย์คิดขอแรงให้คนอื่นมาช่วยเขาก็ยังไม่ได้ลงมือเกี่ยวข้าวหรอก” แม่นกตอบพร้อมกับสั่งว่าหากได้ยินชาวนาพูดอะไรอีกก็ให้จำไว้ วันต่อมาเมื่อแม่นกกลับจากหาอาหารลูกนกก็เล่าให้ฟังว่า

“แม่จ๋า..วันนี้หนูได้ยินชาวนาพูดกับลูกชายของเขาว่าข้าวในนาสุกได้ที่แล้วรอช้าต่อไปไม่ได้ เขาจึงสั่งลูกชายให้ไปขอแรงญาติๆมาช่วยเกี่ยวในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่” รอไปก่อนเถอะลูก”แม่นกตอบลูกเหมือนวันก่อน

“ถ้ามนุษย์คิดขอแรงให้ญาติๆมาช่วย เขายังคงไม่ได้ลงมือเกี่ยวข้าวหรอก เพราะคนอื่นๆเขาก็มีงานต้องทำเหมือนกัน” เช้าวันที่สามเมื่อแม่นกกลับจากหาอาหาร ลูกนกก็รีบเล่าให้ฟังว่า “แม่จ๋า..วันนี้ได้ยินชาวนาพูดว่าข้าวสุกเต็มที่แล้วรอเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องต่อไปไม่ได้ จะต้องลงมือเก็บเกี่ยวด้วยตัวเอง ให้ลูกชายของเขาไปจ้างคนมาช่วยในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่”

“ตกลงจ๊ะลูก” แม่นกรับคำ “เพราะเมื่อใดทีมนุษย์เลิกหวังพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เขาก็จะเริ่มลงมือทำด้วยตนเองทันที”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

หากต้องการประสบความสำเร็จ จงเริ่มลงมือทำงานเดี๋ยวนี้และทันที อย่าหวังพึ่งพิงผู้อื่นหรือผัดวันประกันพรุ่ง



กระต่ายกับเพื่อน


กระต่ายตัวหนึ่งภาคภูมิใจนักหนาที่สัตว์ทุกตัวในป่าต่างก็เป็นเพื่อนรักของมันทั้งสิ้น วันหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงหมาป่าดังมาจากชายทุ่งกระต่ายจึงไปหาม้าเพื่อขอให้ม้าพามันขี่หลังหนีจากอันตราย

“วันนี้ข้าไม่ว่างจริงๆเพื่อนเอ๋ย” ปฏิเสธ “เจ้าลองไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าวัวดูเถอะ” กระต่ายขอให้วัวช่วยไล่ขวิดขับไล่พวกหมาป่า แต่วัวก็อ้างว่าติดธุระสำคัญ เพราะนางวัวสาวนัดให้มันไปพบ “ลองไปหาเจ้าแพะดูซิ มันคงช่วยพาเจ้าหนีได้แน่” วัวแนะนำ

“แต่ขนของข้าแข็งและหยาบ อาจจะตำก้นของเจ้าให้ได้รับบาดเจ็บ” แพะบ่ายเบี่ยง “ไปขอให้เจ้าแกะช่วยดีกว่า เพราะขนของมันทั้งยาวและนิ่ม” “ข้าก็อยากจะช่วยเจ้าเหมือนกัน” แกะพูดเอาใจ

“แต่เจ้าก็รู้นี่ว่าหมาป่ามันก็ชอบกินแกะเช่นเดียวกับกระต่ายน่ะแหละ เอาไว้ขอความช่วยเหลืออย่างอื่นดีกว่านะ” ขณะนั้นหมาป่าฝูงใหญ่ได้วิ่งพ้นชายเข้าใกล้มากแล้ว กระต่ายจึงตัดสินแผ่นหนีด้วยขาของตน และโชคดีที่หนีพ้นอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิดนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงแม้จะมีเพื่อนมากมาย แต่การทำสิ่งใดก็ตามควรหวังพึ่งตนดีที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ถึงแม้จะมีเพื่อนมากมาย แต่การทำสิ่งใดก็ตามควรหวังพึ่งตนดีที่สุด


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 28/10/08 at 10:48 Reply With Quote


(Update 28 ต.ค. 51)

วัวกับคนฆ่าวัว


ครั้งหนึ่งบรรดาวัวทั้งหลายได้มาประชุมกันด้วยความแค้นใจเนื่องจากพวกตนถูกมนุษย์นำมาใช้งานอย่างหนักและบางตัวก็ถูกนำไปฆ่าเป็นอาหาร ต่างลงความเห็นว่าหากช่วยกันฆ่ามนุษย์ให้หมดไปจากโลก วัวและสัตว์ทั้งหลายก็จะอยู่กันอย่างปลอดภัย เมื่อมีความเห็นเป็นที่ตกลงดังนี้

จึงต่างเตรียมลับเขาของตนให้แหลมคม แต่ยังมีวัวชราตัวหนึ่งทำงานลากไถรับใช้มนุษย์มาเป็นเวลานานได้กล่าวเตือนสติขึ้นว่า “พวกเจ้าคงถูกมนุษย์ฆ่าตายหมดก่อนที่ทำการได้สำเร็จ และนอกจากมนุษย์แล้วสัตว์ร้ายอื่นๆ ก็ยังต้องการที่จะกินเนื้อของเจ้า เจ้าจะทำงานรับใช้มนุษย์ต่อไปหรือไม่ก็ตามแต่ใจของเจ้าเถอะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ควรอดทนต่อความทุกข์ยากที่มีอยู่ดีกว่าดิ้นรนไปหาความทุกข์อื่นที่อาจจะร้ายแรงยิ่งกว่า



แขกอาหรับกับอูฐ


แขกอาหรับคนหนึ่งเอ่ยถามอูฐของตนซึ่งใช้บรรทุกสัมภาระว่า “เจ้าชอบเดินขึ้นเขาหรือลงเขา” อูฐทำตาปริบๆแล้วย้อนถามว่า “ไอ้ที่ทางเดินสบายๆราบๆน่ะไม่มีแล้วหรือนายจ๋า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ทุกคนย่อมชอบความสะดวกสบายและความสุข แต่ในชีวิตจริงนั้นย่อมต้องเผชิญกับความยากลำบากและความทุกข์ด้วยเสมอ



สุนัขกับเงา


สุนัขตัวหนึ่งลักเนื้อจากตลาดคาบวิ่งข้ามสะพานมา ขณะอยู่บนสะพานมันเหลือบเห็นเงาของตัวเองในน้ำ แต่เข้าใจว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่ง ซึ่งคาบเนื้อชิ้นใหญ่กว่า มันอ้าปากหมายจะงับแย่งชิ้นเนื้อจากสุนัขที่มองเห็นในน้ำ เนื้อในปากของมันจึงตกน้ำจมหายไปสุนัขโง่ตัวนี้ต้องสูญเสียทั้งเนื้อของตนและเนื้อที่ตนคิดอยากจะได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีความโลภและโง่เขลา นอกจากจะพลาดหวังในสิ่งที่ตนต้องการ ยังอาจสูญเสียสิ่งที่ตนมีอยู่แล้วอีกด้วย



ห่านออกไข่เป็นทอง


เช้าวันหนึ่งเมื่อชาวนาเดินเข้าไปในเล้าเห็นห่านที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่งออกเป็นทองคำก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้นรีบนำไข่ไปให้ภรรยาดู เมื่อทั้งสองนำไข่ทองคำไปขายก็ได้เงินมาจำนวนหนึ่งเพียงพอที่จะใช้จ่ายในครอบครัวและซื้อสิ่งของที่ต้องการ

วันต่อมาแม่ห่านตัวเดิมก็ออกไข่เป็นทองคำอีก สองสามีภรรยาต่างดีอกดีใจที่มีห่านวิเศษไว้ในครอบครองทุกเช้าจึงเก็บไข่ห่านทองคำไปขายจนมีฐานะร่ำรวยขึ้น
“เราจะมัวเก็บไข่ห่านทองคำไปขายวันละฟองอยู่ทำไม สู้จับห่านมาฆ่านำทองทั้งหมดที่มีอยู่ในท้องของมันไปขายทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ”

เมื่อปรึกษากับภรรยาของตนและมีความเห็นตรงกัน ชาวนาจงนำห่านมาฆ่า แต่เมื่อผ่านออกดูปรากฏว่าภายในท้องห่านมีแต่ความว่างเปล่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

โลภมากมักลาภหาย



แม่ไก่กับหญิงม่าย


แม่ไก่ตัวหนึ่งออกไข่ให้หญิงแม่มายผู้เลี้ยงมันไว้วันละหนึ่งฟองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน แต่ด้วยความโลภ อยู่มาวันหนึ่งหญิงแม่มายจึงคิดเอาเองว่า “หากเราให้อาหารแม่ไก่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว แม่ไก่คงจะออกไข่ให้เป็นวันละสองฟอง”

แต่เมื่อแม่ไก่ได้อาหารมากขึ้นร่างกายจึงอวบอ้วน ขนเป็นมัน มีเนื้อมาก และไม่ได้ออกไข่ให้หญิงแม่ม่ายเลยสักใบเดียว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

โลภมากมักลาภหาย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 18/11/08 at 13:21 Reply With Quote


(Update 18 พ.ย. 51)

เด็กกับลูกเกาลัด


เด็กคนหนึ่งต้องการลูกเกาลัดที่อยู่ในโถจึงล้วงมือลงไปหมายหยิบขึ้นมามากๆให้เต็มกำ ด้วยเหตุนี้กำมือของเด็กจึงติดปากโถดึงออกมาไม่ได้ จะปล่อยลูกเกาลัดทิ้งชักมือเปล่าออกมาก็เสียดาย พยายามกระชากมือที่กำลูกเกาลัดออกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จจึงนั่งร้องไห้

เพื่อนคนหนึ่งผ่านมาเห็นได้ให้คำแนะนำแก่เขาว่า “ทำไมเจ้าไม่หยิบลูกเกาลัดออกมาเพียงครึ่งกำ ก็จะสามารถดึงมือออกได้ หากอยากได้มากๆค่อยล้วงลงไปหยิบ ใหม่อีกสักกี่ครั้งก็ตามใจเจ้า”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความโลภย่อมเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จการค่อยๆสะสมทีละเล็กละน้อยไมช้าก็จะมีมากขึ้นไปเอง



กระต่ายกับหนู


กระต่ายหิวโซตัวหนึ่งเที่ยวเดินหาอาหารด้วยความกะปลกกะเปลี้ยเพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน เนื่องจากในฤดูแล้งหญ้าและอาหารในป่าหาได้ยาก ครั้นมาถึงยุ้งของชาวไร่และหาจนพบรูที่พวกหนูเจาะเอาไว้

เนื่องจากตัวมันผอมมากจึงสามารถมุดเข้าไปกินข้าวโพดในยุ้งได้นับแต่นั้นมาเจ้ากระต่ายก็สุขสำราญจนหาใดเปรียบมิได้ กิน นอน ร้องรำทำเพลงอย่างเพลิดเพลินอยู่แต่ในยุ้งหลายวันผ่านไป ร่างกายของมันก็เริ่มอ้วนขึ้นๆ

ครั้นเมื่อได้ยินเสียงพวกชาวไร่พากันเข้ามาในยุ้งเพื่อนำข้าวโพดไปขาย เจ้ากระต่ายตกใจพยายามวิ่งหาทางออก “ให้ตายซิ..” เจ้ากระต่ายตกใจวิ่งพล่าน “ช่องที่เราเข้ามาเคยอยู่แถวๆนี้นี่น่า แล้วนี่มันหายไปไหน มีแต่รูเล็กๆทั้งนั้นเลย”

หนูตัวหนึ่งส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขันก่อนที่จะให้คำแนะนำ “เพื่อนเอ๋ย รูเล็กๆที่เห็นก็คือ ช่องทางเดียวกับที่เจ้าเข้ามานั่นแหละคงต้องรอให้ต้องเจ้าผอมและเล็กลงเท่าเดิมจึงจะออกไปได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความโลภโมโทสันจนเกินเหตุ นำมาซึ่งอุปสรรคและความทุกข์ยาก



ความโลภและความริษยา


ชายสองคนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน วันหนึ่งได้ชวนกันไปเฝ้าเทพจูปีเตอร์หรือซีอุสผู้เป็นราชาแห่งเทพเจ้าทั้งปวง เทพจูปีเตอร์รู้ว่าชายคนแรกนั้นเป็นคนที่มีแต่ความโลภ ส่วนชายอีกคนหนึ่งในใจของเขามีแต่ความริษยา เพื่อเป็นการสั่งสอนและลงโทษ เทพจูปีเตอร์

จึงอนุญาตให้ทั้งชายสองนึกขอพรในใจได้ตามปรารถนา แต่มีข้อแม้ว่าท่านจะบันดาลให้อีกคนหนึ่งได้รับพรเป็นสองเท่าของผู้ที่ขอ “ข้าต้องการเพชรนิลจินดาและทองคำเต็มห้อง” ชายผู้มีความโลภนึกขอพรเป็นคนแรก แต่แล้วเขาก็ต้องเสียใจเพราะเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนของตนจะต้องได้เพชรนิลจินดาถึงสองห้อง แม้จะสมปรารถนาชายผู้มีความโลภก็หาความสุขใจมิได้แม้แต่น้อย

ส่วนชายอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าบัดนี้ตนเองกลายเป็นมหาเศรษฐีไปโดยบังเอิญเพราะความโลภของเพื่อนบ้านเขาคิดแต่ว่าไม่อยากให้เพื่อนของตนเสวยสุขกับพรที่ได้รับจากเทพเจ้า จึงขอพรให้ตัวเองตาบอดข้างหนึ่ง เพื่อให้ชายผู้มีความโลภตาบอดสองข้าง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความโลภและความริษยา เป็นหนทางไปสู่ความวิบัติ



ชาวสวนกับลูกชาย


ชาวสวนคนหนึ่งเมื่อใกล้จะสิ้นใจ ได้เรียกลูกชายทั้งสองคนเข้ามาสั่งเสียว่า “ลูกเอ๋ย มรดกอันล้ำค่าบัดนี้ถูกฝังอยู่ในสวนองุ่นของพ่อ เจ้าจงช่วยกันค้นหาเอาเถิด” หลังจากจัดการเผาศพพ่อแล้ว

ลูกชายทั้งสองของชาวสวนจึงนำจอบเสียมและไถเที่ยวขุดค้นไปทั่วทั้งสวนด้วยความตั้งอกตั้งใจไม่ย่อท้อวนเวียนขุดค้นอยู่หลายตลบ จนดินถูกพลิกไถพรวนเป็นอันดีจึงส่งผลให้องุ่นในสวนผลดกงามและมีรสดีขายได้ราคาทำให้ทั้งสองมีเงินทองใช้จ่ายและมีความอยู่เป็นสุขสบายนับแต่นั้นมานิทานเรื่องน ี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีความขยันหมั่นเพียร อุตสาหะย่อมพบกับผลสำเร็จ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีความขยันหมั่นเพียร อุตสาหะย่อมพบกับผลสำเร็จ



ช่างทำโลหะกับสุนัข


ช่างทำโลหะคนหนึ่งตีทองเหลืองเสียงดังโปกเปกอยู่ในห้องทำงานของตน โดยมีสุนัขที่เลี้ยงไว้นอนหลับปุ๋ยในบริเวณใกล้ๆกันนั้น

ครั้นถึงเวลาเที่ยงช่างทำโลหะหยุดงานเพื่อรับประทานอาหาร สุนัขของเขาก็ตื่นขึ้นมายืนเคล้าเคลียและกระดิกหางอย่างประจบ ช่างทำโลหะโยนเศษกระดูกให้พร้อมกับกล่าวว่า “เสียงเคี้ยวอาหารของข้า คงดังกว่าเสียงตีทองเหลืองซินะ เจ้าจึงต้องตื่นขึ้นมาในเวลานี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

แม้คนเกียจคร้านที่สุดในโลก ก็ยังขยันเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของตน


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 27/11/08 at 11:01 Reply With Quote


(Update 27 พ.ย. 51)

มัดแขนงไม้


ชาวนาคนหนึ่งเห็นลูกๆทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ อบรมสั่งสอนเท่าใดก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ยังคงทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนเดิม จึงคิดหาอุบายสอนตัวอย่างของการขาดความสามัคคีให้ลูกๆเข้าใจ วันหนึ่งจึงสั่งให้ลูกทุกคนไปหาแขนงไม้มาคนละอัน ชาวนามัดแขนงไม้รวมเข้าด้วยกัน

จากนั้นจึงส่งให้ลูกๆทุกคนลองหักดู เมื่อไม่มีใครสามารถหักได้จึงแก้มัดออก ส่งแขนงไม้ให้ลูกทุกคนช่วยกันหักก็สามารถหักได้อย่างง่ายดาย “เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม” ชาวนากล่าวกับลูกๆทุกคน

“ตราบใดที่พวกเจ้าสามัคคีกลมเกลียวกันเหมือนแขนงไม้ในมัดจะไม่มีผู้ใดมาทำอันตรายได้ แต่เมื่อใดที่พวกเจ้าแตกแยกกัน เหมือนแขนงไม้แต่ละอันย่อมถูกศัตรูทำลายได้โดยง่าย” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สามัคคีคือพลัง ความกลมเกลียวย่อมนำมาซึ่งความมั่นคง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สามัคคีคือพลัง ความกลมเกลียวย่อมนำมาซึ่งความมั่นคง



ราชสีห์กับวัวสี่ตัว


ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายมีเพียงวัวสี่ตัว ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันเท่านั้นที่ไม่กลัวเกรงราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่า ทั้งนี้เพราะวัวทุกตัวต่างมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน เมื่อใดที่ราชสีห์หมายจะจู่โจมเข้าสังหาร วัวทั้งสี่ตัวจะรีบหันหลังชนกัน หันหัวซึ่งมีเขาอันแหลมคมออกเผชิญหน้ากับเจ้าป่า ไม่เปิดช่องว่างให้ราชสีห์กระโจนเข้าเล่นงานได้ไม่ว่าจะมาจากทิศทางใด

“เป็นเพราะเขาอันแข็งแกร่งของข้าต่างหาก” วัวอีกตัวหนึ่งแย้งขึ้นด้วยต่างคิดว่าตนเองมีความสำคัญเหนือผู้อื่น ในที่สุดวัวทุกตัวต่างก็เกิดหมางใจแตกสามัคคีจึงแยกกันออกหากินไม่รวมกลุ่มเหมือนก่อน เป็นเหตุให้ถูกราชสีห์จับกินเป็นอาหารจนหมดทั้งสี่ตัว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อความขาดสามัคคีเกิดขึ้นในหมู่คณะใด หมู่คณะนั้นย่อมพบกับภัยพิบัติ



หมีกับผึ้ง


หมีตัวหนึ่งซึ่งกำลังหิวโซเดินเข้าไปในสวนและได้พบกับรังผึ้งมันจึงจับมาฉีกกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะน้ำผึ้งเป็นสิ่งที่หมีโปรดปรานที่สุด

พวกผึ้งพยายามช่วยกันต่อสู้โดยใช้เหล็กในเป็นอาวุธ แต่ไม่สามารถเจาะทะลุขนอันหนาและปกปุยของหมีได้ แต่ในเวลาไม่นานก็คิดหาหนทางใหม่ด้วยการพร้อมใจกันบินเข้าไปต่อยตรงบริเวณหน้าและตาของหมี เมื่อหมีได้รับความเจ็บปวดไม่สามารถทนอยู่ได้จึงวิ่งหนีเข้าป่าไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ทำร้ายผู้อื่นย่อมได้รับการลงโทษและความสามัคคีย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ



เด็กกับหมาป่า


เด็กคนหนึ่งปืนขึ้นไปเล่นอยู่บนหลังคาบ้าน เห็นหมาป่าเดินอยู่ข้างล่างจึงกล่าววาจาล้อเลียนต่างๆ นานา

“เจ้าหมาป่าขี้ขลาด ถ้าไม่รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเดี๋ยวนี้” “เจ้าเด็กน้อยผู้กล้าหาญ” หมาป่ากล่าวด้วยเสียงเยาะ “เจ้าอาจจะเก่งกาจน้อยกว่านี้มากนัก หากไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนหลังคาสูงอย่างนั้น”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยใครๆก็สามารถแสดงตัวเป็นเก่งและกล้าหาญได้



พรานใหม่กับคนตัดไม้


พรานใหม่คนหนึ่งเพิ่งจะหัดเข้าป่าล่าสัตว์เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกลำพองใจยิ่งนัก คิดอยากจะยิงหมี เสือ หรือสิงโตตัวหนึ่งเป็นประเดิมในระหว่างทางได้พบคนตัดไม้จึงเอ่ยถามด้วยเสียงอันดังว่า

“ท่านตัดไม้อยู่แถวนี้เป็นประจำหรือ มีสัตว์อะไรคอยรบกวนบ้างล่ะ ข้าจะช่วยจัดการให้” “ดีทีเดียว” คนตัดไม้รู้สึกยินดี “ในป่าแห่งนี้มีสิงโตร้ายกาจอยู่ตัวหนึ่งมันจับคนไปจนนับไม่ถ้วนแล้วละท่าน” พรานได้ยินดังนั้นจึงทำท่าฮึดฮัดหยิบธนูมาขึ้นสาย “แล้วรู้ไหมว่าเวลานี้มันอยู่ที่ไหน เห็นรอยเท้าของมันบ้างหรือเปล่า” คนตัดไม้ชี้มือไปทางทิศเหนือ

“เห็นซิ..นี่ไงล่ะ รอยยังใหม่ๆอยู่เลย หากท่านรีบตามไปต้องทันแน่ๆ อ้าว..แล้วนั่นท่านเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ทำไมกัน” พรานใหม่หันมายิ้มเจื่อนๆ กล่าวตอบเสียงสั่นๆเพราะฟันกระทบกันว่า “ข้าเพียงแต่อยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น ไม่ได้ต้องการเห็นตัวของมันนี่นา”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อยังไม่ได้เผชิญกับภัยอันตราย ใครๆก็สามารถแสดงความกล้าหาญได้


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 9/12/08 at 22:42 Reply With Quote


(Update 9 ธ.ค. 51)

ราชสีห์กับหมาจิ้งจอก


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินทางผ่านถิ่นอันเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่า เมื่อพบราชสีห์ตัวแรกหมาจิ้งจอกตกใจรีบฟุบตัวหมอบลงกับพื้นด้วยความกลัว แต่ราชสีห์ตัวนั้นกลับเดินผ่านเลยไปโดยไม่ได้ทำอันตราย เจ้าหมาจิ้งจอกจึงผงกหัวขึ้นแล้วลุกเดินต่อไป
ครั้นพบราชสีห์ตัวที่สองเจ้าหมาจิ้งจอกเพียงแต่หยุดยืนไม่ได้หมอบลงเหมือนคราวแรก และเมื่อพบราชสีห์ตัวที่สามมันก็กล้าถึงขนาดเข้าไปทักทายพูดคุยด้วยโดยไม่แสดงอาการหวาดกลัวหรือกริ่งเกรงแต่อย่างใด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
ไม่ควรหวาดกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อกล้าเผชิญกับอันตราย ความกลัวในจิตใจย่อมจางหายไป หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อเกิดความคุ้นเคยใกล้ชิดย่อมนำไปสู่การสิ้นความกลัวและยำเกรง



ไก่ชนกับหมาจิ้งจอก


เมื่อหมาจิ้งจอกมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวเล้าไก่ ไก่ทุกตัวต่างพากันหวาดผวา แต่เห็นว่ามีประตูรั้วกั้นอยู่หมาจิ้งจอกคงเข้ามาทำอันตรายอะไรไม่ได้จึงต่างค่อยเบาใจไก่ชนตัวหนึ่งบินขึ้นไปเกาะบนรั้ว
ครั้นเห็นสุนัขจิ้งจอกทำท่ากระโจนใส่มันก็บินถลาลงมาด้วยความตกใจ พวกไก่ในเล้าต่างพากันหัวเราะเยาะ “หมาจิ้งจอกยังอยู่นอกรั้วเท่านั้น ทำไมเจ้าจึงขี้ขลาดตาขาวนักล่ะ ระวังจะหัวใจวายตาย” ไก่ตัวหนึ่งกล่าวเย้ยหยัน“เจ้าจะพูดอย่างไรก็ตามใจเถอะ”
ไก่ชนกล่าวตอบ “แต่ข้าน่ะเคยหนีรอดคมเขี้ยวของมันมาได้อย่างหวุดหวิด รู้พิษสงครามร้ายกาจของพวกหมาจิ้งจอกได้ดี หากพวกเจ้าเคยผ่านสถานการณ์เช่นข้าในครั้นนั้น เมื่อได้เผชิญหน้ากับมันในเวลานี้ คงมีสภาพไม่ผิดอะไรกับข้านักหรอก”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การยอมรับว่าเป็นคนขลาด แต่คอยระมัดระวัง ดีกว่าแสร้งเป็นคนกล้าหาญแต่ประมาท
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
การยอมรับว่าเป็นคนขลาด แต่คอยระมัดระวัง ดีกว่าแสร้งเป็นคนกล้าหาญแต่ประมาท



ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ


ครั้นหนึ่งเมื่อมีลมพายุพัดมา ต้นโอ๊กพยายามยืนต้านกระแสลมอย่างเต็มกำลัง ส่วนต้นอ้อที่ขึ้นอยู่ข้างๆนั้นกลับเอนลู่ไปกับพื้น “เจ้าช่างไม่กล้าหาญเอาซะเลย เพราะเหตุใดจงต้องเกรงกลัวต่อพายุ”
ต้นโอ๊กเอ่ยถามต้นอ้อเมื่อลมเริ่มสงบ “เนื่องจากข้าอ่อนแอไม่มีกำลังมากเช่นท่าน” ต้นโอ๊กได้ฟังดังนั้นยิ่งทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง อยู่ต่อมาไม่นานเกิดลมพายุรุนแรงกว่าครั้งแรก ต้นโอ๊กพยายามยืนต้านขึดขืดไม่ยอมเอนลู่เหมือนต้นอ้อ ในที่สุดก็ถูกพัดจนโค่น แต่ต้นอ้อนั้นเมื่อลมสงบก็สามารถทรงตัวขึ้นไปเหมือนเช่นเดิม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
ผู้กล้าหาญบ้าบิ่น ย่อมพบกับภัยพิบัติ ผู้รู้จักโอนอ่อนผ่อนปรนตามสถานการณ์ย่อมได้รับความปลอดภัย



ชาวนากับงูเห่า


วันหนึ่งในฤดูหนาว ชาวนาพบงูเห่านอนตัวแข็งใกล้ตายอยู่บนคันนาอันเนื่องมาจากอากาศที่หนาวจัด ด้วยความสงสารชาวนาจึงนำงูตัวนั้นใส่ไว้ อกเสื้อของตน ครั้นงูได้รับไออุ่นจากร่างของชาวนาจนสามารถขยับตัวได้ มันกลับเนรคุณกัดชาวนาถึงแก่ความตาย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
คนชั่วและคนพาล ย่อมไม่มีความกัตญญู



ชาวนากับสิงโต


ชาวนาผู้หนึ่งเห็นสิงโตพลัดหลงเข้ามาในเขตบ้าน จึงรีบปิดประตูรั้วที่ทำเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกักขังไว้ สิงโตจึงจับแพะและแกะที่ชาวนาเลี้ยงไว้กินเป็นอาหารไปหลายตัว
ชาวนาตกใจรีบเปิดประตูรั้วปล่อยให้สิงโตเข้าป่าไปแล้ว นั่งบ่นเสียดายสัตว์เลี้ยงของตน “สมน้ำหน้าเจ้านัก” เมียของชาวนากล่าวซ้ำเติม “ใครใช้ให้กักขังสัตว์ดุร้ายเอาไว้ในบ้าน คนอื่นๆแค่เห็นมันแต่ไกลเขาก็พากันเปิดหนีไปแล้ว”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
การคบคนชั่วและคนพาลก็เหมือนกับการเลี้ยงโจรเอาไว้ในบ้านเพราะมีแต่อันตรายและความสูญเสีย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 23/12/08 at 10:59 Reply With Quote


(Update 23 ธ.ค. 51)

แมวกับไก่


แมวตัวหนึ่งจับพ่อไก่ตัวอ้วนมาได้ ครั้นจะขย้ำกินให้หายหิวก็ยังเกรงจะถูกผู้อื่นกล่าวหาว่าตนเป็นอันธพาล จึงคิดหาข้อกล่าวโทษต่อเชลยของตนในที่สุดก็สามารถหาเหตุผลได้ข้อหนึ่ง“ที่ข้าต้องสังหารเจ้า เพราะเจ้าทำความผิด โดยเที่ยวส่งเสียงขันหนวกหูคนอื่นไม่เว้นแต่ละวัน”

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ไก่พยายามขี้แจงเหตุผล“ข้ามีหน้าที่ส่งเสียงขัน ทุกๆเช้าเพื่อปลุกให้ผู้อื่นตื่นขึ้นมาประกอบการงานตามภาระหน้าที่ของแต่ละคน”“แต่ถ้าไม่ได้กินอาหารใครจะมีแรงทำ

การงานเจ้าว่าจริงไหมล่ะส่วนหน้าที่ส่งเสริมปลุกผู้อื่นตามที่เจ้าว่านั้นต่อแต่นไปไก่ตัวอื่นๆคงจะทำแทนได้ดีไม่แพ้เจ้า” กล่าวจบแมวก็สังหารไก่เพื่อเป็นอาหารเช้าของมันดังที่ตั้งใจไว้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เหตุผลหรือคำชี้แจงใดๆ ก็ใช้ไม่ได้สำหรับคนพาล ทางที่ดีควรหลีกหนีให้ไกลจะปลอดภัยกว่า



หมาจิ้งจอกกับแกะและผู้ตัดสิน


แกะตัวหนึ่งถูกหมาจิ้งจอกทวงหนี้ โดยตู่ว่าแกะได้ติดค้างไว้นานแล้ว แกะไม่รู้อีโหน่อีเหน่จึงไม่ยอมชดใช้ให้ หมาจิ้งจอกได้ชวนให้ไปพบกับหมาป่าและเหยี่ยวดงเพื่อให้ช่วยตัดสิน แต่แทนที่จะพิจารณาเรื่องราวของคู่กรณี หมาป่ากับเหยี่ยวดงกลับช่วยหมาจิ้งจอกสังหารแกะแล้วแบ่งกันกินอย่างอิ่มหนำสำราญ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่ออยู่ในหมู่คนพาลหรือผู้มีอำนาจ ผู้อ่อนแอกว่าย่อมพบกับภัยพิบัติ



เม่นกับงู


เม่นตัวหนึ่งไม่มีที่อยู่อาศัยมันไปขออยู่กับสัตว์อื่นๆก็ได้รับการปฏิเสธ ครั้นเมื่อได้พบกับฝูงงูมันพยายามกล่าวอ้อนวอนจนพวกงูเกิดใจอ่อนยอมให้เม่นไปอาศัยอยู่ในรูด้วย แต่ไม่นานเท่าใดงูก็รู้ว่าพวกตนคิดผิดเพราะต่างก็โดนขนที่แข็งและแหลมของเม่นทิ่มแทงตามร่างกายได้รับความเจ็บปวดไปตามๆกัน

“เพื่อนเอ๋ย เพื่อเห็นแก่ส่วนรวมเจ้าจงไปหาที่อยู่ใหม่เถอะ” ผู้เป็นหัวหน้างูพยายามวิงวอน “เพราะพวกเราลำบากกันเหลือเกิน” แต่เม่นกลับนอนเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อรำคาญหนักเข้าเนื่องจากพวกงูเซ้าซี้จะให้ย้ายออกไปจากรัง มันจึงตวาดกลับไปว่า “ข้าอยู่ที่นี่ก็สบายดีแล้ว หากพวกเจ้าคิดว่าลำบากจนทนไม่ไหวล่ะ ทำไมไม่อพยพไปที่อยู่ใหม่ซะล่ะ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนพาลเห็นแก่ตัว มักไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณและไม่เคยคิดคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นๆ



ลากับรูปเคารพ


ลาตัวหนึ่งมีหน้าที่บรรทุกเทวรูปเข้าร่วมขบวนแห่ทางศาสนาระหว่างทางมันเห็นผู้คนที่ยืนอยู่สองฟากถนนยกมือไหว้ทำความเคารพลาเข้าใจว่าใครๆต่างนับถือยกย่อง ตัวมัน จึงหยุดยืนทำท่ายืดตัวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าโง่” ผู้เป็นนายเอาไม้ฟาดใส่หลังของลา “นี่หลงเข้าใจว่าใครๆยกมือไหว้เจ้างั้นหรือ เขาไหว้เทวรูปบนหลังเจ้าต่างหาก รีบเดินตามขบวนเร็วเข้า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนพาลมักเข้าใจว่าผู้คนทั่วไปต่างเกรงกลัวและเคารพนับถือตน แต่ความจริงพวกเขาเกรงในยศตำแหน่งและอำนาจ



คนตาบอดกับลูกสุนัขป่า


คนตาบอดอยากได้สุนัขไว้ใช้ในการนำทาง มีคนนำลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งมามอบให้ คนตาบอดใช้มือลูกคลำสัมผัสไปทั่วตัวแล้วจึงรำพึงว่า “เราไม่แน่ใจหรอกว่ามันเป็นลูกสุนัขบ้านหรือลูกสุนัขป่า แต่มั่นใจได้เลยว่า..ไม่อาจไว้ใจมันได้ หากปล่อยให้เข้าไปอยู่ในฝูงแกะ” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนพาลและคนชั่วย่อมแสดงลักษณะของคนให้ผู้อื่นรู้ได้ในไม่ช้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คนพาลและคนชั่วย่อมแสดงลักษณะของคนให้ผู้อื่นรู้ได้ในไม่ช้า


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 1/1/09 at 08:26 Reply With Quote


(Update 1 ม.ค. 52)

แม่หมูและหมาป่า


หมาป่าตัวหนึ่งได้ข่าวว่าแม่หมูป่าให้กำเนิดลูกจึงแวะไปเยี่ยมเยียน ครั้นเห็นลูกหมูป่าอวบอ้วนน่ากินมันจึงออกอุบายเพื่อลวงให้แม่หมูออกไปจากที่อยู่เพื่อมันจะได้จับลูกๆของนางกินได้สะดวก “เจ้าเพิ่งออกลูกใหม่ๆควรออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์และหาอาหารดีๆกินให้อิ่มหนำสำราญเพื่อจะได้มีน้ำนมให้ลูกของเจ้าอย่างเพียงพอ” หมาป่าสาธยายอย่างยืดยาว

“ส่วนลูกๆที่น่ารักของเจ้าทั้งหมดไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าจะช่วยดูแลให้เอง”“ขอบใจมาก แต่เจ้าคงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมากขนาดนั้นหรอก” แม่หมูป่ากล่าวอย่างรู้ทัน “เพียงแต่ขอให้ออกไปพ้นจากที่อยู่ของข้าเท่านั้น ก็นับว่าเป็นการช่วยเหลืออย่างดีที่สุด และข้าก็คงจะอดขอบใจเจ้าไม่ได้แน่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อใดที่ท่านไม่ไว้ใจไม่ลุ่มหลงในคำลวงของศัตรู เมื่อนั้นท่านย่อมได้รับความปลอดภัย



ชาวนากับงูพิษ


ครั้นหนึ่งนานมาแล้ว ลูกชายชาวนาเดินไปเหยียบหางงูพิษตัวหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความเจ็บและตกใจงูตัวนั้นจึงแว้งกัดลูกชายชาวนาจนถึงแก่ความตายชาวนาผู้เป็นพ่อได้ใช้มีดฟันถูกหางของงูพิษขาด นับแต่นั้นมางูพิษก็คอยหาโอกาสแก้แค้นโดยการลอบเข้าไปกัดสัตว์เลี้ยงของชาวนาตายไปทีละตัวสองตัว

ชาวนาเกรงว่าสัตว์เลี้ยงของตนจะตายหมดคอกจึงคิดว่าควรจะผูกมิตรกับงูไว้ด้วยการนำอาหารอันมีรสเลิศพร้อมด้วยน้ำผึ้งไปให้กับงู“นับต่อแต่นี้ไปเราควรเลิกเป็นศั ตรูกัน” ชาวนากล่าวกับงูพิษ “ลูกชายของข้าเดินซุ่มซ่ามไปเหยียบเจ้า จึงสมควรแล้วที่เขาจะได้รับการลงโทษ และการที่เจ้ากัดเขาตายก็เป็นไปเพราะความตกใจมิได้มีเจตนา

ฉะนั้นเราควรหันมาเป็นมิตรกัน ส่วนวัวควายของข้าต่อไปเจ้าก็อย่าได้รบกวนทำอันตรายอีกเลย”“อย่าเลย เราคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันไม่ได้หรอก” งูกล่าวปฏิเสธ ท่านจะลืมได้หรือว่าข้าเป็นผู้กัดลูกชายของท่านจนถึงแก่ความตาย และข้าก็ไม่อาจลืมได้ว่าท่านเป็นผู้ตัดหางจนขาดด้วนอยู่จนทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

แม้จะสามารถให้อภัยแก่กันได้ แต่เรื่องที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและสูญเสียในอดีตนั้นเป็นการยากที่จะลืมเลือนได้ ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรควรพิจารณาให้รอบคอบ



เต่ากับอินทรี


เต่าตัวหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายในถิ่นที่อยู่เดิมของตน มันประกาศแก่สัตว์ปีกทั้งหลายว่าหากผู้ใดสามารถพาไปอยู่ในสถานที่อุดมสมบูรณ์จะมอบทองคำที่เก็บสะสมไว้ให้เป็นรางวัล นกอินทรีตัวหนึ่งเห็นช่องทางที่จะได้กินเนื้อเต่าจึงรับอาสาโดยใช้กรงเล็บจับขอบกระดองพาบินขึ้นไปบนเวหา แล้วปล่อยให้เต่าตกลงมากระแทกหินจนกระดองแตก นกอินทรีจึงบินลงมากินเนื้อเต่าอย่างเอร็ดอร่อย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดไว้วางใจเปิดโอกาสให้ศัตรูผู้นั้นย่อมพบกับความพินาศ



คนตัดไม้กับต้นไม้


วันหนึ่ง ชายคนหนึ่งถือหัวขวานเข้าไปในป่าและได้อ้อนวอนแก่ต้นไม้ทั้งหลายในป่าแห่งนั้นว่า“ได้โปรดมอบกิ่งไม้เล็กๆให้ข้าสักกิ่งหนึ่งเถิด ท่านผู้สูงใหญ่และร่มรื่น”บรรดาต้นไม้ทั้งหลายได้ยินคำอ้อนวอนที่สุภาพและเยินยอ จึงสละกิ่งเล็กๆทิ้งลงมาให้กิ่งหนึ่ง ชายผู้นั้นหลังจากนำมาเสียบทำเป็นด้ามขวานแล้วจึงใช้ขวานของตนโค่นต้นไม้ในป่าแห่งนั้นลงต้นแล้วต้นเล่าบรรดาต้นไม้ทั้งหลายได้แต่เศร้าเสียใจที่ให้อาวุธแก่ศั ตรูโดยไม่พิจารณาไตร่ตรอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

อย่างหลงใหลในคำสรรเสริญเยินยออย่างวางใจในคำพูดของศัตรู และสิ่งสำคัญอย่าให้อาวุธแก่ศัตรูเพราะมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ในที่สุด



คนถูกหมากัด


ชายคนหนึ่งถูกหมากัดเลือดไหลอาบ พยายามเดินหาหมอรักษาชายอีกคนหนึ่งมาพบจึงให้คำแนะนำเป็นเคล็ดลับให้ว่า“จงนำขนมปังมาชุบเลือดที่แผลให้ชุ่มแล้วเอาไปให้หมาตัวที่กัดท่านกิน แผลของท่านก็จะหายโดยเร็ว”“หากรักษาด้วยวิธีที่ท่านบอก ข้าพเจ้าคงถูกหมาทุกตัวในเมืองนี้รุมกัดเป็นแน่ “ชายผู้ที่ถูกหมากัดกล่าวตอบด้วยความฉุนเฉียว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดูศัตรูของตนเอง เท่ากับเป็นการสร้างจำนวนศัตรูให้เพิ่มมากขึ้น


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 25/1/09 at 19:05 Reply With Quote


(Update 25 ม.ค. 52)

สิงโตเบาปัญญา


......ในเช้าของวันที่มีอากาศแจ่มใสของวันหนึ่ง มีสิงโตตัวหนึ่งเดินทอดน่องมายัง ลำธารน้ำเพื่อหาน้ำดื่ม และ ณ ที่ลำธารแห่งนั้น...มันได้พบกับสาวน้อยหน้าตา สวยงามมากนางหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของคนตัดฟืนเข้า สาวน้อยนางนั้นกำลัง นั่งซักผ้าอยู่ที่ชายน้ำอย่างเพลิดเพลิน
.....เจ้าสิงโตทันทีที่มันได้เห็นสาวน้อยนางนั้น เข้ามันก็เกิดนึกรักนางขึ้นมาทันทีทันใดเลยทีเดียว " โอ๊ด..โต๊ด...โต๋...ทำไมสวยงาม น่ารักอย่างนี้นะ " มันรำพึงและคิดที่จะได้นางมาไว้เป็นภรรยาของมัน มันจึงจ้องมอง ดูนางอย่างไม่ยอมวางตาเลยทีเดียว...



......ในเมื่อสาวน้อยนางนั้นเหลือบไปเห็นสิงโตซึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่อ ย่างไม่วางตาอย่างนั้นเข้า นางจึงตกใจกลัว นางรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในบ้านทันที ส่วนเจ้าสิงโตนั้นความที่มัน นึกรักสาวน้อยนางนั้นขึ้นมาจริง ๆ มันจึงวิ่งตามเธอไปติด ๆ...สาวน้อยเมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว นางจึงรีบบอกกับพ่อของนางอย่างร้อนรนว่า " พ่อจ๋า มีสิงโตตัวหนึ่งวิ่งตามลูกมา มันมานั่งอยู่ ตรงหน้าบ้านเรานี่แล้วแหละพ่อ "



.....คนตัดฟืนผู้พ่อจึงออกไปเปิดประตูดู เจ้าสิงโตรีบพูดขึ้นโดยเร็วปรื๋อกับคนตัดฟืนว่า " ลูกสาว ของท่านช่างสวยงามเสียจริง ๆ ข้าเห็นแล้วก็นึกรักอยากที่จะได้เธอมาเป็นภรรยา " สิงโตบอก หญิงสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก นางยืนแอบและร้องให้ออกมาด้วยความกลัว

.......แต่คนตัดฟืนผู้พ่อทำเป็นใจกล้าและพูดกับสิงโตว่า " ถ้าอยากได้ลูกสาวข้าเราไปเป็นภรรยาแล้ว ละก็...ก่อนอื่นใดเจ้าต้องไปถอนเคี้ยวและตัดอุ้งเล็บที่แหลมคมอ อกจากอุ้งมือและอุ้งเท้าของเจ้าออกให้ หมดเสียก่อน เมื่อนั้นแหละลูกสาวของข้าจึงจะยอมไปเป็นภรรยาของเจ้า "


......เจ้าสิงโตเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ถึงบางอ้อเลยทีเดียว " อ้อ นี่คงเป็นเพราะกลัวเขี้ยวและเล็บที่แหลมคม ของข้าน่ะน้า..จึงวิ่งหนี ฮ่า ๆๆๆ"มันจึงด้วยความดีใจรีบไปทำตามคำบอกของคนตัดฟืนทันที มันวิ่งไปขอให้หมอฟันช่วยถอนเคี้ยวออกจากปากของมันจนหมดทุกซี่ แล้วจึงไปหาช่างตีเหล็ก ขอให้ช่วยตัดอุ้งเล็บที่แหลมคมของมันออกทิ้งจนหมดสิ้น...

......จากนั้นมันก็กลับมาหาคนตัดฟืน เพื่อให้ดูว่ามันไม่มีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคมเหลืออยู่อีกต่อไปแล ้ว...เมื่อคนตัดฟืนเห็นดังนั้นแล้ว จึงกล่าวกับสิงโตว่า " ตอนนี้เจ้าก็เป็นสิงโตที่ไม่น่ากลัวอะไรอีกต่อไปแล้วหละ " พูดจบเขาก็หันไปคว้าไม้ ท่อนใหญ่มาไล่ตีสิงโตที่ไร้เคี้ยวเล็บตัวนั้นจนสะบักสะบอม..งอม ...ไปหมดทันที สิงโตทำอะไรและต่อสู้ป้อง กันตัวไม่ได้จึงวิ่งตะเลิดหนีไปจากตรงนั้นทันที....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ไม่รู้จักระวังตัว ไม่ประมาณตนเองย่อมได้รับผลอันเลวร้ายแก่ตน


แปลและเรียบเรียง - สุขุมาลย์

((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))))))


:s




webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2033
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 1/2/09 at 23:39 Reply With Quote


คลิปการ์ตูน นิทานอีสป

1. กบเลือกนาย



2. มด กับ ตั๊กแตน



3. สุนัขจิ้งจอกหางด้วน



4. กวาง กับ สิงโต



5. กระต่าย กับ เต่า



6. ลมเหนือกับพระอาทิตย์



By..www.clipmass.com

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2033
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 14/3/09 at 13:35 Reply With Quote


(Update 14/04/54)

คลิปการ์ตูน นิทานอีสป (ต่อจากตอนที่แล้ว)

7. เรื่องแม่ไก่ ไข่ทองคำ



8. ชาวนากับนกกระเรียน



9. สิงห์โตเจ้าเล่ห์กับหมาจิ้งจอก



10. หมู แพะ ลิง เพิ่มความฉลาด ไหวพริบทันคน



By..www.clipmass.com



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2033
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 18/3/09 at 13:45 Reply With Quote


คลิปวีดีโอการ์ตูนจาก YouTube


ป่วนตำนานนิทานอีสป ๑


ป่วนตำนานนิทานอีสป ๒


เพลงนิทานอีสป หมู แพะ ลิง สำหรับเด็ก เพิ่มความฉลาด



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2033
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 25/3/09 at 16:24 Reply With Quote


(Update 25 มี.ค. 52)

ชาวไร่กับนกกระเรียน


ชาวไร่ผู้หนึ่งนำข่ายไปวางดักนกยางที่ลงมาจิกกินข้าวโพดในไร่ของตน ครั้นตกบ่ายจึงออกมาดูพบว่านอกจากนกยางหลายตัวแล้ว ยังมีนกกระเรียนตัวหนึ่งติดข่ายอยู่ด้วยและมันพยายามอ้อนวอนขอชีวิต “โปรดปล่อยข้าไปเถิด ท่านก็รู้นี่ว่านกกระเรียนอย่างเข้าไม่ได้กินข้าวโพดในไร่ของท่านเป็นอาหารเลยแม้แต่เมล็ดเดียว แล้วอย่างนี้ท่านมีเหตุผลใดที่จะต้องสังหารข้าด้วย” แต่ชาวไร่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเมื่อข้าจับเจ้าได้พร้อมกับพวกนกยางที่ลงมากินข้าวโพดในไร่ของข้าเจ้าก็ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดเข้าไปอยู่ร่วมกลุ่มปะปนกับคนชั่ว ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขามิใช่คนชั่ว



นกมีหูหนูมีปีก


ในสมัยโบราณค้างคาวก็เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่นๆที่ส่วนใหญ่มักจะออกหากินในเวลากลางวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกนกกับสัตว์ป่าได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นจนถึงขั้นยกพลเข้าตะลุมบอน ในตอนแรกค้างคาวนั้นคุมเชิงดูท่าทีของทั้งสองฝ่ายโดยตั้งใจว่าหากฝ่ายใดมีทีท่าจะเป็นผู้ชนะค่อยเข้าไปเป็นพวกด้วยเพื่อผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ

“พวกนกไม่มีหู ฉันมีหู ฉันไม่ใช่นก ฉันเป็นพวกท่าน” ค้างคาวเข้าไปผูกมิตรกับบรรดาสัตว์ป่าซึ่งเริ่มเป็นฝ่ายมีชัยแต่ต่อมาไม่นาน สถานการณ์เกิดพลิกผัน พวกนกรวบรวมพลกลับมาสู้ใหม่และคราวนี้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้บ้าง“พวกสัตว์ป่าไม่มีปีก ฉันมีปีกฉันไม่ใช่สัตว์ป่า ฉันเป็นพวกท่าน”

ค้างคาวเปลี่ยนไปผูกมิตรกับพวกนก การต่อสู้ดำเนินไปอีกไม่นานนัก ทั้งนกและสัตว์ป่าต่างบาดเจ็บล้มตาย เห็นพ้องต้องกันว่ารบราฆ่าฟันกันอย่างนี้ต่อไปไม่มีประโยชน์อะไร จึงตกลงยุติศึกจับมือเป็นพันธมิตร และเมื่อทั้งสองฝ่ายทราบพฤติกรรม ของค้างคาว ต่างพากันรังเกียจไม่มีใครยอมให้เข้าเป็นพวกด้วยนับแต่นั้นมาค้างคาวจึงต้องไปรวมกลุ่มอยู่ในถ้ำที่มืดมิดกันตามลำพังและออกหากินได้เฉพาะตอนกลางคืน เนื่องจากไม่อาจสู้หน้าใครๆได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจต่อมิตร ผู้นั้นเสมือนไร้ญาติขาดมิตร



หมาไล่เนื้อกับกระต่าย


หมาไล่เนื้อตัวหนึ่งเจอกระต่ายป่าตัวหนึ่งจึงวิ่งไล่กวดและในที่สุดก็สามารถกระโดดกัดกระต่ายตัวนั้นจนล้มลงบาดเจ็บหนีต่อไปไม่ได้ มันจึงใช้ลิ้นเลียไปทั่วตัวกระต่าย“นี่ท่านเป็นมิตรหรือศัตรูขอข้ากันแน่” กระต่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัย“หากเป็นมิตรเพราะเหตุใด จึงกัดข้า และถ้าเป็นศัตรูทำไมถึงเลียตัวเขา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ทำให้เราไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ น่ากลัวยิ่งกว่าผู้ที่แสดงตนว่าเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย



หมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ


คนเลี้ยงแกะเห็นหมาป่าตัวหนึ่งมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆทุ่งหญ้าที่ตนนำแกะเลี้ยงจึงคอยระวังเพราะเกรงหมาป่าจะแอบมาขโมยจับแกะไปกิน แต่หมาป่ากลับมีท่าทีเป็นมิตรหมอบนอนดูฝูงแกะอย่างสงบ ไม่ได้แสดงอากัปกิริยาว่ามีความประสงค์ร้ายต่อแกะในฝูงแต่อย่างใด

เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน คนเลี้ยงแกะเข้าใจว่ามันเป็นหมาป่าเชื่องๆไม่มีอันตรายอะไรทำให้คลายความระแวดระวัง จนวันหนึ่งเกิดมีความจำเป็นต้องเข้าไปธุระในเมืองจึงฝากหมาป่าให้ช่วยดูแลแกะของตนครั้นกลับมาเห็นแกะหลายตัวถูกหมาป่ากัดตาย คนเลี้ยงแกะได้แต่รำพึงกับตัวเอง “เรานี่โง่แท้ๆ ที่วางใจให้หมาป่าเฝ้าแกะ ให้แมวคอยดูปลาย่าง สมน้ำหน้านักเชียว”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดไว้ใจหรือคบหากับศัตรูหมู่คนพาลในไม่ช้าย่อมพบกับความพินาศ



ชายสองคนกับขวาน


ชายสองคนเป็นเพื่อนคบหากันมานาน วันหนึ่งขณะที่ทั้งสองเดินไปตามถนนบังเอิญพบขวานเล่มหนึ่งตกอยู่ ชายคนหนึ่งรีบหยิบขึ้นมาถือไว้ “ข้าเจอขวานเห็นไหม โชคดีอะไรอย่างนี้ มันต้องเป็นของข้า” “เราเดินมาด้วยกัน เจอของก็ต้องแบ่งกันซิ ข้าก็เห็นพร้อมกับเจ้านั่นแหละ”

ชายอีกคนหนึ่งท้วง ขณะนั้นเจ้าของขวานเดินตามหาขวานของตนที่หายไป เห็นคนแปลกหน้าถือขวานไว้ในมือเข้าใจว่าเป็นขโมยจึงร้องเรียกให้ชาวบ้านช่วยกันจับตัว “แย่แล้วซิเรา อยู่ดีๆกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย” ชายคนที่ถือขวานกล่าวด้วยความตกใจ แต่ชายอีกคนหนึ่งท้วงขึ้นว่า “อย่าพูดว่าเราซิ ขวานอยู่ในมือเจ้า เจ้าเจอของหล่นตามทางแล้วเก็บขึ้นมาถือไว้ส่งเดช ได้ลาภแล้วไม่คิดจะแบ่งข้า พอมีเรื่องเดือดร้อนทำไมถึงจะให้ข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

อันเพื่อนกินนั้นหาง่าย แต่เพื่อนตายซิหายาก เมื่อยามได้รับผลประโยชน์ทุกคนพร้อมที่จะเป็นพวกเดียวกับเรา แต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนใครๆก็มักจะอยู่ฝ่ายตรงข้าม


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 2/4/09 at 10:15 Reply With Quote


(Update 2 เม.ย. 52)

ชายชรากับหมี


ในป่าแห่งหนึ่ง มีหมีตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำของตนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย มันรู้สึกเงาและว้าเหว่เพราะไม่มีเพื่อน วันหนึ่งหมีจึงเดินออกจากถ้ำเพื่อจะหาเพื่อนคุยแก้เหงา ในป่าแห่งนั้นมีชายชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ตามลำพังเช่นกัน

วันๆได้แต่พูดคุยกับต้นไม้ดอกไม้ไปตามประสา เมื่อรู้สึกเบื่อหนายที่ต้องอยู่คนเดีวจังเดินเที่ยวชมต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อยครั้นได้พบหมีเข้าโดยบังเอิญ ชายชรารู้สึกตกใจแต่เห็นว่าจะวิ่งหนีก็คงไม่ทัน จึงทำใจกล้ากล่าวทักทายหมีรู้สึกดีใจที่ได้เพื่อนพูดคุย แก้เหงา

ในที่สุดทั้งสองก็สนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว หมีจึงชวนให้ชราชราไปเที่ยวที่ถ้ำของตน แต่ชายชราปฏิเสธและชวนให้หมีเป็นฝ่ายไปเที่ยวที่บ้านของตนแทน “ระยะทางไปบ้านของข้าใกล้กว่าถ้ำของเจ้ามาก ไปเป็นแขกของข้าดีกว่า” ชายชราให้เหตุผล หมีเห็นด้วยจึงตกลงมาเที่ยวที่บ้านของชายชรา และในที่สุดก็ย้ายมาอยู่กับชายชราตามคำเชิญ

นับแต่นั้นมาชีวิตของทั้งสองก็มีความสุขมากขึ้น เพราะมีเพื่อนคอยให้คำปรึกษาให้คำพูดจากันไม่เงียบเหงาเหมือนเมื่อก่อน อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองนอนพักกลางวันอยู่ใต้ร่มไม้ หมีเห็นแมลงตัวหนึ่งบินมาแกะที่จมูกของชายชรา ด้วยความปรารถนาดี อยากให้เพื่อนของตนนอนหลับอย่างมีความสุข มันจึงตะปบอุ้งเท้าใส่แมลงเต็มแรง แมลงบินหนีไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ศรีษะของชายชรากลับเป็นแผลเหวอะหวะเพราะกรงเล็บอันแหลมคมและทรงพลังของหมี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความปรารถนาดีของเพื่อนที่โง่เขลามักเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี



นกอินทรีกับกา


นกอินทรีตัวหนึ่งเกาะอยู่บนหน้าผาครั้นเห็นลูกเกาะตัวหนึ่งเดินห่างจากฝูงจึงบินลงมาโฉบเอาลูกแกะติดกรงเล็บไปได้อย่างง่ายดายด้วยอุ้งเล็บอันแข็งแกร่งของ มัน กาตัวหนึ่งเห็นดังนั้นจึงคิดว่าตัวมันก็สามารถทำอย่างนกอินทรีได้ ครั้นเห็นพ่อแกะตัวหนึ่งเดินเข้าใกล้ต้นไม้ที่มันเกาะอยู่ กาจึงโฉบลงไปใช้เล็บจิกหลังแกะเอาไว้ ทำให้ขาของมันติดกับขนแกะพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด

คนเลี้ยงแกะจึงรีบมาจับมันไว้ เมื่อขริบปีกออกจนกาไม่สามารถบินหนีได้แล้วจึงนำไปให้ลูกของตนเล่น“พ่อจ๋า นี่เอานกอะไรมาให้หนู” ลูกคนเลี้ยงแกะเอ่ยถาม ด้วยความสงสัยผู้เป็นพ่อยิ้มหยันที่มุมปากก่อนจะตอบคำถาม “มันคงเข้าใจว่าตัวเองคือนกอินทรี แต่ลูกก็เห็นนี่ว่ามันเป็นเพียงอีกาตัวหนึ่งเท่านั้น”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ไม่รู้จักประมาณตน ย่อมพบกับความวิบัติ



งูพิษกับตะไบ


งูพิษตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปในบ้านช่างไม้ เมื่อเลื้อยผ่านตะไบเหล็กที่หล่นอยู่บนพื้น ผิวหนังของมันได้รับความระคายเคืองจากหนามของตะไบงูพิษจึงฉกกัดตะไบเป็นพัลวันด้วยความเดือดดาล แต่นอกจากจะเหนื่อยเปล่าเพราะพิษของมันทำอะไรตะไบเหล็กไม่ได้แล้วปากของมันยังบาดเจ็บเต็มไปด้วยเลือด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การไม่รู้จักประมาณตนคิดต่อสู้กับผู้ที่เข้มแข็งกว่า มีแต่จะนำความพ่ายแพ้และเจ็บปวดมาสู่ตัวเราเอง



สุนัขกับหนังวัว


สุนัขหิวโซฝูงหนึ่งเห็นคนฆ่าวัวนำหนังวัวทิ้งลงไปในสระที่มีน้ำอยู่เต็มพวกมันไม่สามารถนำหนังวัวขึ้นมากินได้

จึงปรึกษาหาหนทางว่าจะทำอย่างไรดีในที่สุดก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรกินน้ำในสระให้แห้งก็จะสามารถลงไปเอาหนังวัวขึ้นมาได้แต่สุนัขทั้งฝูงช่วยกันกินน้ำจนท้องแต กตายน้ำก็ยังไม่หมดสระ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การกระทำในสิ่งที่เกินกำลังความสามารถของตน ย่อมเกิดโทษและพบกับความพินาศ



ลูกเขยของราชสีห์


ราชสีห์ตัวหนึ่งพลาดติดบ่วงบาศของนายพราน หนูหนุ่มตัวหนึ่งได้ยินเสียงร้องจึงวิ่งมาดูเหตุการณ์ ราชสีห์อ้อนวอนขอให้ช่วยโดยสัญญาว่าจะให้ทุกสิ่งที่หนูต้องการ “ขอบใจเจ้ามาก” ราชสีห์กล่าวเมื่อหนูช่วยกัดบ่วงบาศให้จนเป็นอิสระ “เอาละคราวนี้ไหนลองบอกมาซิว่าอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน”

“ข้าแต่ท่านเจ้าป่า” หนูกล่าวด้วยความมั่นใจ “ข้าใฝ่ฝันมานานแล้ว ว่าจะได้แต่งงานกับลูกสาวของท่าน” ราชสีห์รู้สึกโกรธมาก แต่เพื่อไม่ให้เสียสัจจะจึงจำต้องยอมให้หนูแต่งงานกับลูกสาวของตน เมื่อหนูย้ายมาอยู่ในถ้ำร่วมกับครอบครัวของราชสีห์ได้ไม่นาน ชะตาของมันก็ฆาต ทั้งนี้เพราะลูกสาวของราชสีห์เผลอเหยียบไปบนร่างของหนูผู้เป็นสามีโดยมิได้เจตนา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ไม่รู้จักการควร คิดหวังในสิ่งที่เกินกำลังความสามารถของตน นอกจากไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว สิ่งนั้นยังเป็นผลร้ายกับตนอีกด้วย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 11/4/09 at 14:37 Reply With Quote


(Update 11 เม.ย. 52)

กากับนกยูง


กาตัวหนึ่งรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองเกิดมามีขนสีดำทำให้ร่างของมันไร้ความงดงาม เมื่อรู้ว่าทุกวันนกยูงจะไซ้ขนออกทิ้งมันจึงไปเก็บมาแซมขนของตน เพื่อนๆของการู้สึกแปลกใจจึงพากันสอบถามด้วยความสงสัย“เจ้าจะเลิกเป็นกาแล้วหรือ”

เพื่อนที่สนิทที่สุดของมันเอ่ยถาม“ใช่..ใครจะอยากเป็นนก ที่ต้อยต่ำไร้ขนอันสวยงามอย่างพวกเจ้า” คำตอบของกาทำให้เพื่อนๆของมันไม่พอใจ ขับไล่ออกจากฝูงแทนที่จะสำนึกตัวเจ้ากากลับทะนงตนคิดว่าเวลานี้ขนสองมันสวยงามเทียมเท่ากับพวก

นกยูงจึงไปปะปนอยู่ในฝูง นกยูงเห็นความไม่เจียมตัวของกา จึงต่างก็พาหัวเราะเยาะและรุมจิกตีด้วยความหมั่นไส้ที่กาคิดจะเทียบชั้นกับพวกตน“ไปให้พ้นนะเจ้านกอัปลักษณ์” นกยุงพากันขับไล่ กาพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปที่ฝูงของตนแต่ก็ไม่มีใครยอมคบหาสมาคมด้วย มันอยู่ในฝูงกาก็ไม่ได้ ไปอยู่ในฝูงนกยุงก็ถูกรังเกียจ สุดท้ายจึงต้องไปอยู่ตามลำพังตัวเดียว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่และการไปฉกฉวยเอาผลงานความดีงามของผู้อื่นมาเป็นตนนั้น สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฎออกมาย่อมไม่มีใครเชื่อถือหรือยอมคบหาสมาคมด้วย



กากับหงส์


กาตัวหนึ่งอยากจะให้ขนตัวเองขาวสวยเหมือนกับหงส์มันเข้าใจว่าคงเพราะหงส์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้น้ำได้อาบน้ำบ่อยๆจึงทำให้ขนขาวสะอาด ด้วยเหตุนี้กาจึงทิ้งเทวสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารที่แสนอุดม ย้ายไปอยู่ริมสระ พยายามลงอาบและไซ้ขนอยู่เป็นนิตย์ แต่ขนของกาก็มิได้ขาวสะอาดขึ้น ยังคงดำสนิทอยู่เช่นเดิม

อีกทั้งมันต้องอดอาหารที่เคยได้กินอย่างสมบูรณ์ ในไม่ช้ากาก็ถึงแก่ความตายนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงวิสัยของตนเป็นสิ่งที่เหลือจะทำได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงวิสัยของตนเป็นสิ่งที่เหลือจะทำได้



กบเลือกนาย


กบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในหนองน้ำใหญ่อย่างอิสระเสรีไม่มีใครคอยบังคับเคี่ยวเข็ญ ทำให้รู้สึกว่าพวกตนช่างมีความสุขสบายเหลือคณาอยู่ต่อมาพวกกบต่างปรึกษากันว่าการอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ควรจะมีหัวหน้าหรือพระราชาปกครอง ซึ่งนอกจากจะเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้กับพวกตนได้อีกด้วย

ครั้นมีความคิดเห็นตรงกันบรรดากบทั้งหลายจึงทำฏีกาถวายเทพเจ้าขอให้ช่วยส่งหัวหน้าหรือพระราชาที่มีความสามารถลงมาปกครองพวกตนเทพเจ้ารู้ว่าพวกกบมีความเป็นอยู ่สุขสบายกันจนเคยตัว ก็เลยนึกอยากมีหัวหน้าไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จึงประทานท่อนซุงให้หล่นจากฟาดฟ้าตกลงสู่หนองน้ำเสียงดังโครมใหญ่ เกิดคลื่นขนาดมหึมา พวกกบพากันตกใจกลัวรีบดำหนีไปหลบก้นสระ

เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยแล้วจึงพากันโผล่ขึ้นมา ครั้นเห็นซุงท่อนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นพระราชาที่เทพเจ้าประทานมาให้ ต่างพากันดีอกดีใจและให้ความเคารพนอบน้อมท่อนซุงนั้น อยู่ต่อมาไม่นานมีกบตนหนึ่งเกิดใจกล้ากระโดดขึ้นไปเกาะบนท่อนซุงใหญ่ กับตัวอื่นๆ เห็นว่าพระราชาของตนมิได้ว่ากล่าวอันใด ก็พากันกระโดดตามขึ้นไปบ้าง

“พระราชาของเราองค์นี้ท่านก็ใจดีอยู่หรอก แต่ช่างอ่อนแอไม่เอาไหนเลย วันๆได้แต่ลอยไปลอยมาแสนจะน่าเบื่อ” กบตัวหนึ่งกล่าวอย่างหมดความยำเกรง “น่าจะไปร้องขอพระราชาองค์ใหม่ที่เข้มแข็งกว่านี้มาปกครองพวกเราดีกว่า”เมื่อพวกกบทำฎีกาถวายเพื่อขอพระราชาองค์ใหม่ เทพเจ้าทรงพิโรธเห็นว่าพวกกบไม่รู้จักพอใจในความเป็นอยู่ที่แสนสุขสบายของตน

คราวนี้เลยส่งนกกระสาไปแทนท่อนซุง พวกกบในสระต่างถูกจับกินเป็นอาหารไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อได้รับความเดือดร้อนจึงพากันทูลขอพระราชาองค์ใหม่จากเทพเจ้าอีกครั้ง“เมื่อเจ้าไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่เดิมของตน” เทพเจ้าตวาดเสียงดังลงมาจากฟากฟ้า” ก็จงทนอยู่กับสภาพที่พวกเจ้าร้องขอไปเถอะ..”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเป็นที่ตนมีอยู่ เที่ยวร้องขอในสิ่งที่ต้องการไม่รู้จบสิ้น ย่อมเกิดผลร้ายติดตามมาในที่สุด



อูฐกับเทพเจ้า


กาลดึกดำบรรพ์ในสมัยเมื่อสัตว์ทั้งหลายยังสามารถพูดจาติดต่อกับเทพเจ้าได้ยังมีอูฐตัวหนึ่งได้ร้องเรียนต่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ว่า“ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมท่านจึงสร้างตัวข้าขึ้นมาไม่เหมือนกับสัตว์อื่นๆ ข้าไม่มีแม้แต่เขาไว้ป้องกันตัว ไร้เขี้ยวอันแหลมคม อุ้งเล็บที่ทรงพลังหรือสิ่งอันใดพอที่จะปกป้องตัวเองจากศัตรูก็ไม่มีขอให้ท่านโปรดมอบสิ่งเหล่านี้แก่ข้าด้วยเถิด”

เทพเจ้าได้ยินดังนั้นพิโรธ ด้วยเห็นอูฐมีอวัยวะหลายอย่างที่ดีกว่าสัตว์อื่นอยู่แล้ว เช่น ขายาว มีจมูกที่สามารถเปิดปิดป้องกันทรายได้ส่วนตานั้นก็มีสองชั้นเมื่อปิดเปลือกตาชั้นแรกป้องกันฝุ่นทรายก็ยังมองเห็นทางนอกจากนั้นกระเพาะยังจุน้ำได้มากทำให้สามา รถเดินทางในทะเลทรายโดยไม่ต้องกินน้ำได้เป็นเวลานานหลายๆวัน แต่อูฐยังไม่พอใจในตนเอง ด้วยเหตุนี้เทพเจ้าจึงสาปให้หูของมันเล็กลงไปกว่าเดิมเพื่อเป็นการลงโทษ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

จงพอใจในสิ่งที่ตนมีที่ตนเป็นอยู่ การร้องขอมากเกินควรอาจต้องสูญเสียสิ่งที่มีอยู่เดิม



ลากับนาย


ลาตัวหนึ่งมีนายเป็นชาวสวน มันจึงต้องตรากตรำทำงานหนักแต่ได้อาหารการกินไม่ค่อยจะพอ จึงไปฟ้องเทพเจ้าเพื่อขอให้ส่งไปอยู่กับนายคนใหม่ เทพเจ้าได้ส่งให้ไปอยู่กับช่างปั้นหม้อ มันกลับยิ่งต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพราะนายใหม่ใช้ให้มันบรรทุกดินไปส่งที่โรงปั้นหม้อแทบไม่มีเวลาหยุดพักลาหนีไปฟ้องเทพเจ้าอีกครั้ง

โดยขอให้ส่งไปอยู่กับนายคนอื่น เทพเจ้าจึงส่งให้ไปอยู่กับช่างฟอกหนังนายคนที่สามใช้งานมันหนักมากยิ่งกว่านายสองคนแรกลาอยากจะไปขอให้เทพเจ้าส่งไปอยู่กับนายคนอื่นแต่เกรงว่าเจ้านายคนใหม่ขอ งมันจะยิ่งใช้ให้ทำงานหนักกว่านายทั้งสามคนที่ผ่านมา“โธ่เอ๊ย เราไม่น่าหาความลำบากใส่ตัวเลย” ลารำพึงรำพันกับตัวเอง “อยู่กับนายคนแรกสบายกว่านี้มากมัก นี่ถ้าเราถูกใช้แรงงานจนตาย นายคนที่สามคงถลกหนังเราไปฟอกขายแน่ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อได้พบกับเรื่องทุกข์ยากหรือความลำบากควรที่จะอดทนต่อสู้ฝ่าฟัน หากไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่ดิ้นรนไปไม่ถูกที่จะยิ่งทุกข์ยากลำบากกายใจมากกว่าเดิม


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 22/5/09 at 16:32 Reply With Quote


(Update 22 พ.ค. 52)

แพะกับหมาป่า


แพะตัวหนึ่งหนีการตามล่าของหมาป่าขึ้นไปอยู่บนชะง่อนหิน หมาป่าตามขึ้นไปไม่ได้จึงนั่งเฝ้าอยู่เป็นเวลาถึงสามวันจนรู้สึกหิวโหย ไม่อาจทนต่อไปได้หมาป่าจำต้องผละไปหาอาหารที่อื่น แพะเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงกระโดดลงจากชะง่อนหินเดินไปกินน้ำในลำธาร

ครั้นเห็น เงาของตัวเองในน้ำ มันก็เกิดความฮึกเหิม “ทำไมเราจะต้องกลัวหมาป่า ด้วยขาอันเพรียวงามหนวดเคราที่ทำให้ดูสง่างามและเขาทั้งคู่ อันแหลมคม ย่อมสามารถสยบเจ้าหมาป่าได้โดยง่าย”เมื่อคิดดังนี้แพะเลยยืนอยู่ ณ ที่นั้นอย่างทระนงไม่ยอมหนีไปไหนครั้นหมาป่าซึ่งได้กินอาหารจนอิ่มหนำสำราญมีกำลัง ได้ย้อนกลับมามันจึงกระโดดเข้างับขาแพะไว้แล้วขย้ำด้วยเขี้ยวจนแพะถึงแก่ความตาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เป็นความเขลาอย่างยิ่ง หากผู้อ่อนแอคิดจะต่อกรกับผู้ที่กล้าแข็งกว่า



ลมกับพระอาทิตย์


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลมกับพระอาทิตย์ได้ถกเถียงว่าใครจะมีอำนาจเหนือกว่ากัน ในที่สุดได้ตกลงกันว่าใครสามารถทำให้คนเดินทางถอดเสื้อคลุมออกจากร่างได้จะเป็นผู้ชนะลมขอทดลองก่อนโดยการพัดด้วยความเร็วอ่อนๆจนค่อยๆหนักขึ้นทุกทีๆ แต่ตนเดินทางกลับยิ่งกระชับเสื้อคลุมของตนไว้แน่น ส่วนพระอาทิตย์นั้นใช้วิธีฉายแสงอ่อนๆขับไล่ความหนาวเย็น เมื่อแสงเริ่มทวีความร้อนแรงมากขึ้นๆคนเดินทางจึงถอดเสื้อคลุมของตนออก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

แม้จะต่างมีอำนาจ แต่ผู้ที่รู้จักวิธีการชักชวนโน้มน้าวจิตใจผู้อื่น ย่อมประสบความสำเร็จมากการบังคับข่มขู่



หนูนากับพังพอน


ในท้องทุ่งอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง หนูนากับพังพอนเป็นคู่ต่อสู้ที่ได้ทำศึกกันมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ยังไม่สามารถตัดสินเด็ดขาดลงไปได้ว่าฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะ แต่พวกหนูมักจะเพลี่ยงพล้ำต้องล่าถอยอยู่เสมอ เมื่อประชุมปรึกษาหารือกันจนในที่สุดได้ข้อสรุปว่า

เหตุที่ไม่อาจมีชัยต่อพวกพังพอนได้เนื่องจากขาดผู้นำ จึงทำการคัดเลือกบรรดาแม่ทัพนายกองขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อให้คอยบัญชาการรบก่อนออกรบครั้งใหม่พวกหนูที่ได้รับการแต่งตั้งเกิดความฮึกเหิม คิดว่าจะต้องหาเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่างมาเป็นเครื่องประดับเพื่อให้สมกับเกียรติกับตำแหน่งของตน

“เราควรนำเขาวัวมาสวมไว้ที่หน้าผาก ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน” หนูในระดับผู้นำตัวหนึ่งเสนอความเห็นซึ่งตัวอื่นๆต่างเห็นด้วยครั้นถึงเวลาออกรบพวกหนู มีจำนวนพลมากกว่าแต่ด้อยในเรื่องพละกำลังและรูปร่างก็เป็นฝ่ายต้องล่าถอยอีกตามเคย เหล่าหนูพลทหารสามารถวิ่งหนีลงรูของพวกตนได้อย่างแคล่วคล่อง แต่เขาวัวที่บรรดาหนูแม่ทัพนายกองใส่ไว้เป็นเครื่องประดับยศนั้นติดขวางทำให้ไม่สามารถหนีลงรูได้ จึงถูกพวกพังพอสังหารจนหมดสิ้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้โง่เขลามัวหลงใหลในอำนาจยศศักดิ์ ยึดติดอยู่กับหัวโขนที่ตนสวมใส่อยู่ และนั่นเป็นหนทางนำไปสู่ความวิบัติ



ปลาใหญ่กับปลาเล็ก


“ชาวประมงคนหนึ่งทอดแหได้ปลามากมายหลายตัว ปลาตัวเล็กๆหลุดออกจากช่องแหไปหมด ส่วนปลาใหญ่ติดร่างแหไม่อาจหลบหนีได้ แม้พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ชาวประมงจึงจับใส่ข้องได้ทุกตัว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ความไร้อำนาจยศศักดิ์ แม้ไม่โดดเด่นแต่กลับช่วยให้เรารอดปลอดภัย



พ่อกับลูกสาวและคำอธิษฐาน


ชายผู้หนึ่งมีลูกสาวสองคน ลูกสาวคนโตแต่งงานกับชาวสวน ส่วนลูกสาวคนเล็กแต่งงานกับช่างปั้นหม้อ เมื่อผู้เป็นพ่อแวะไปเยี่ยมลูกสาวตนโต เอ่ยถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ก็ได้รับคำตอบว่า“ทุกวันนี้ฉัน กับสามีมีความสุขดี

สิ่งที่ต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คืออยากให้ฝนตกลงมามากๆ เพื่อให้ต้นไม้ในสวนเจริญงอกงามดี”ครั้นผู้เป็นพ่อแวะไปเยี่ยมลูกสาวคน คนเล็ก และเอ่ยถามชีวิตความเป็นอยู่ก็ได้รับคำตอบว่า

“ทุกวันนี้ฉันกับสามมีมีความสุขดี สิ่งที่ต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คืออยากให้แดดออกจ้าทุกวัน เพื่อให้หม้อที่ตากเอาไว้แห้งโดยเร็ว”ชายผู้เป็นพ่อได้ ยินดังนั้นก็ได้แต่รำพึงว่า “ในเมื่อพี่สาวของเจ้าต้องการฝน ส่วนเจ้านั้นต้องการแดด แล้วนี่พ่อควรจะอธิษฐานขอต่อพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้ฝนตกหนักหรือแดดร้อนจ้าดี”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ทุกคนย่อมต้องการสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับตนและไม่มีใครสามารถทำให้ถูกใจมนุษย์ทั้งโลกได้


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 6/6/09 at 10:37 Reply With Quote


(Update 6 มิ.ย. 52)

ท้องกับอวัยวะอื่นๆ


วันหนึ่งบรรดาอวัยวะต่างๆของร่างกายอันได้แก่ มือ ขา ปาก และฟันเป็นต้น เห็นว่าพวกตนทำงานกันด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ท้องนั้นอยู่เฉยๆ ก็ได้รับอาหารโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น อวัยวะทั้งหลายจึงพากันประท้วง โดยขาไม่ยอมเดินไปหาอาหาร มือไม่ยอมหยิบอาหาร ปากไม่ยอมอ้าและฟันไม่ยอมเคี้ยวอาหาร

ด้วยเหตุนี้ในเวลาไม่นานมัก ท้องจึงรู้สึกหิวโหย แต่เมื่อไม่มีอาหารจึงไม่อาจย่อยและส่งไปเลี้ยงอวัยวะอื่นๆได้ มือ ขา ปากและฟัน ต่างก็รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง และเริ่มเข้าใจว่าแท้ที่จริงท้องนั้นก็ทำหน้าที่ของตนเช่นกัน ไม่ได้อยู่เฉยๆ อย่างที่พวกตนคิดแต่แรก หลังจากที่อวัยวะทุกส่วนของร่างกายร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอีกครั้งร่างกายก็กลับแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ทุกคนต้องทำงานไปตามหน้าที่ของตนเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ซึ่งต่างก็มีบทบาท และความสำคัญเช่นเดียว



เด็กซุกซนกับแมลงป่อง


เด็กซุกซนคนหนึ่งเดินเที่ยวหาจับตั๊กแตนตามรั้วเมื่อได้ตั๊กแตนหลายตัวโดยกำไว้ในมือและเดินมาพบแมงป่องตัวหนึ่งบนกิ่งไม้ เด็กซุกซนนึกว่าเป็นตั๊กแตนจึงเอื้อมมือไปหมายจะจับ“ช้าก่อนเจ้าเด็กน้อย”

แมงป่องส่งเสียงห้ามพร้อมยกหางขึ้นขู่ “ถ้าเจ้าจับข้า ข้าจะต่อยเจ้าด้วยเหล็กไน ซึ่งสามารถทำให้เจ้าเจ็บปวดจนต้องทิ้งตั๊กแตนที่จับมาได้ทั้งหมด”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การกระทำสิ่งใด หากไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี หรือคิดระรานผู้อื่นเรื่อยไปอาจได้รับโทษ และเสียผลประโยชน์ของตนได้



ไก่กับพลอย


ไก่อูตัวหนึ่งพร้อมด้วยบรรดาไก่ในฝูงออกมาคุ้ยเขี่ยหากินกันที่ลานข้างโรงนาครั้นเมื่อไก่อูเห็นพลอยเม็ดหนึ่งส่งประกายแวววับมันกลับรีบใช้เท้าเขี่ยทิ้งไ ป“เจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับมนุษย์อย่างแน่แท้ แต่สำหรับข้าข้าวเปลือกสักเมล็ดคงจะน่ายินดียิ่งกว่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้รู้จักคุณค่าของสิ่งใด จึงจะสามารถนำสิ่งนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนได้



ชาวประมงกับปลา


ชาวประมงคนหนึ่งออกไปหาปลาที่แม่น้ำแห่งหนึ่งในตอนแรกเขานำขลุ่ยขึ้นมาเป่าโดยคิดว่าจะหลอกให้ปลาผุดขึ้นมาเต้นรำฟังเสียงขลุ่ยจนเผลอตัวแล้วจึงค่อยจับเอา มาเป็นอาหาร แต่กลับไม่มีปลาสักตัวเดียว ผุดขึ้นให้เห็น ดังนั้นชาวประมงจึงทอดแหเหวี่ยงลงไปในน้ำ

ปรากฏว่ามีปลาติดมาเป็นจำนวนมาก พวกปลาพากันกระโดดไปมาอยู่ในร่างแห“พวกเจ้านี่แปลกจริง” ชาวประมงกล่าว “เมื่อข้าเป่าขลุ่ยให้ฟังกลับพากันสงบนิ่ง ครั้นติดอยู่ในร่างแหจึงชวนกันเต้นรำเป็นที่สนุกสนาน คราวต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องนำขลุ่ยติดมาด้วยอีกแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเมื่อนำมาใช้อย่างสมคุณค่าจะบังเกิดผล



คนตระหนี่กับทองคำ


ชายคนหนึ่งมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้านเมื่อทำงานได้เงินทองมาเท่าใดก็ไม่ยอมใช้จ่ายเพื่อหาความสุขสบายให้แก่ตนเอง สู้ยอมอดอยากปากแห้งจนสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ได้มากมากมีทั้งเรือกสวนไร่นา และที่ดินว่างเปล่าอีกหลายผืน

ต่อมาไม่นานชายตระหนี่คิดว่าสมบัติของตนกระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่จึงนำออกขายได้เงินมาเท่าไหร่ก็เอาไปซื้อทองแท่งไว้ทั้งหมดแล้วนำไปฝังซุกซ่อนไว้ที่ใต้ต้น ไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทุกวันชายตระหนี่จะต้องแอบไปขุดขึ้นมาดูว่าทองของตนยังอยู่ครบถ้วนหรือไม่ วันหนึ่งขโมยผ่านมาพบเห็นเข้าโดยบังเอิญ

เมื่อชายตระหนี่ชื่นชมทองของตนเป็นที่พอใจและฝังไว้อย่างเดิมเรียบร้อยจึงกลับบ้าน ขโมยที่แอบซุ่มอยู่ได้ขุดเอาทองไปทั้งหมดวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าทองของตนหายไปหมดสิ้นชายตระหนี่ จึงนั่งร้องไห้เสียใอยู่ลำพังเพื่อนบ้านคนหนึ่งผ่านมาพบและสอบถามเรื่องราว ในที่สุดได้ให้คำแนะนำว่า

“อย่าโศกเศร้าเสียใจไปเลย เพียงเอาก้อนหินใส่หลุมฝังกลบไว้ก็จะมีค่าเท่ากัน เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่ได้นำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองอยู่แล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ทุกสิ่งย่อมไร้ค่า หากไม่รู้จักการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 16/6/09 at 13:37 Reply With Quote


(Update 16 มิ.ย. 52)

สุนัขล่าเนื้อแก่ชรา


สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งเมื่อยามหนุ่มฉกรรจ์มันสามารถทำหน้าที่ไล่ต้อนฝูงสัตว์ให้นายพรานได้อย่างยอดเยี่ยม นายพรานจึงนำมันไปด้วยทุกครั้งที่ออกล่าสัตว์จนเมื่อมันแก่ชราเรี่ยวแรงถดถอยและเขี้ยวที่เคยแข็งแรงก็โยกคลอน แต่นายพรานก็ยังให้มันทำหน้าที่เหมือนเดิม

วันหนึ่งเมื่อพบกับฝูงหมูป่า สุนัขล่าเนื้อพยายามกระโดดเข้างับใบหูของหมูป่าตัวหนึ่งเอาไว้แต่ฟันที่โยกคลอนของมันเกิดหักทำให้หมูป่าสะบัดหลุดวิ่งหนีไปได้ นายพรานเสียดายหมูป่าจึงด่าว่าสุนัขของตนอย่างรุนแรง “ท่านอย่าตำหนิด่าว่าข้าเลย” สุนัขกล่าวกับนายพราน

“ข้าจะตั้งใจปล่อยให้หมูป่าหลุดไปก็หาไม่ แต่ด้วยสังขารอันแก่ชราทำให้ไม่อาจทำหน้าที่ได้ดีเหมือนก่อน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าก็ได้พิศสูจน์ตัวเองแล้วมิใช่หรือว่า ข้าเป็นสุนัขล่าเนื้อที่ท่านพึงพอใจ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

อย่าดูหมิ่นผู้ชราว่าไร้ค่า เพราะในอดีตเขาเคยทำคุณประโยชน์เอาไว้มากมาย



หญิงชรากับโถเหล้าองุ่น


หญิงชราคนหนึ่งเดินมาพบโถเหล้าองุ่นที่วางเปล่าโถหนึ่งถูกทิ้งวางอยู่ข้างถนนกลิ่นเหล้าองุ่นที่ยังหลงเหลือติดอยู่เล็กน้อยโชยกระทบเข้าจมูก หญิงชราจึงเดินเข้าไปหยิบโถเหล้าองุ่นขึ้นสูดดมอย่างเต็มกำลังพร้อมหายใจเข้าปอด

ด้วยความสดชื่น“เออหนอ..”หญิงชรารำพังกับตนเอง“แม่แต่โถเปล่ายังให้ความหอมถึงเพียงนี้ถ้ามีเหล้าองุ่นบรรจุอยู่จะหอมหวานสักเพียงใดนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ าผู้ที่สร้างคุณงามความดีเอาไว้แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็ยังมีคุณค่าที่ใครๆต่างระลึกถึงเหมือนดังเหล้าองุ่นที่ทิ้งกลิ่นอันหอมหวานไว้ในโถ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่สร้างคุณงามความดีเอาไว้แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็ยังมีคุณค่าที่ใครๆต่างระลึกถึงเหมือนดังเหล้าองุ่นที่ทิ้งกลิ่นอันหอมหวานไว้ในโถ



นายแพทย์คางคก


คางคกตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากโคลนมันมุดตัวอยู่พร้อมประกาศให้สัตว์อื่นๆทราบว่า“บัดนี้ข้าได้ค้นพบตัวยาวิเศษ สามารถรักษาโรคทุกชนิดให้กายได้” หมาจิ้งจอกได้ยินดังนั้นจึงย้อนถามว่า “หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าอวดอ้าล่ะก็ ควรรักษาปมตะปุ่มตะป่ำทั่วตัวของเจ้าให้หายก่อนเถิดเพื่อนเอ๋ย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผลงานย่อมพิสูจน์คุณค่า มิใช่คำคุยโตโอ้อวด



ลูกแกะกับหมาป่า


ลูกแกะตัวหนึ่งหนีการตามล่าของหมาป่าเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์หมาป่าไม่สามารถตามเข้าไปจับตัวได้จึงหาวิธีล่อหลอกโดยการข่มขู่รีบออกมาเร็วๆเข้า”หมาป่าตะโกน< br />
“หากพวกพระพบเจ้าละก็จะต้องช่วยกันจับเจ้าสังหารเพื่อบูชายัญต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน”“เรายินดีจะสละชีวิตเพื่อพระเจ้า” ลูกแกะตะโกนตอบ “แต่ไม่ยอมออกไปเป็นอาหารของปีศาจซาตานอย่างเจ้าในเวลานี้แน่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คำลวงของศัตรู หากผู้ใดหลงเชื่อโดยไม่พิจารณาย่อมเป็นภัยแก่ตนเอง



คนกับพังพอน


พังพอนตัวหนึ่งเข้าไปขโมยไก่กินเมื่อถูกเจ้าของบ้านจับได้มันเกรงว่าจะต้องถูกฆ่าจึงกล่าวอ้อนวอนขอชีวิต พร้อมทั้งยกเหตุผลเท่าที่จะนึกได้ขึ้นมาอ้าง “ท่านอย่าฆ่าหรือทำอันตรายข้าเลย เพราะข้านี่แหละที่ทำให้บ้านของท่านปราศจากหนูมา รบกวน เจ้าของบ้านจึงตอบว่า “และเพราะเจ้านี่แหละ ที่ทำให้ไก่ในเล้าของข้าหายไปหลายตัวจริงหรือไม่”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ ทุกคนมักยกเอาคุณความดีของตนขึ้นมาเป็นข้ออ้าง โดยปิดบังความชั่วเอาไว้


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 26/6/09 at 13:20 Reply With Quote


(Update 26 มิ.ย. 52)

ชายชรากับพญามัจจุราช


ชายชราคนหนึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่วันหนึ่งเข้าไปตัดฟืนในป่าเพื่อนำไปขายในเมืองเป็นการยังชีพระหว่างทางรู้สึกหนักและเหน็ดเหนื ่อยเหลือกำลัง เกิดความน้อยใจในโชคชะตาตนเองที่ต้องต่อสู้กับความยากจนมาเป็นเนิ่นนาน ชายชราจึงโยนมัดฟืนลงจากบ่าของตนพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง

“ข้าแต่พญามัจจุราช โปรดมาเอาชีวิตอันไร้ค่านี้ไปเสียที ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว” เมื่อตะกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” พญามัจจุราชปรากฎกายขึ้นแล้วย้อนถามชายชรา “อ้อ..ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่อยากหาคนช่วยยกมัดฟืนใส่บ่าให้หน่อยเท่านั้น” กล่าวจบชายชราก็รีบแบกมัดฟื้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คำพูดกับความจริงที่มนุษย์ต้องการนั้น อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคำว่าอยากตายกับความอยากจะตายจริงๆ นั้น ยิ่งเป็นละเรื่องกันเลยทีเดียว



เทพเจ้ากับคนช่างติ


เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สามองค์ต่างประกวดฤทธิ์กันว่าใครสามารถสร้างสิ่งที่ดีสมบูรณ์ที่สุดในโลก โดยพระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์ พระอิศวรสร้างวัว ส่วนพระวิศวกรรมสร้างบ้าน ต่างถกเถียงกันหาข้อยุติไม่ได้ จึงเรียกเจ้ายักษ์นนทกมาช่วยตัดสิน ว่าสิ่งที่เทพเจ้าทั้งสามสร้างขึ้นมานั้นอะไรดีที่สุด

“ไม่มีอะไรดีอย่างแท้จริงเลยสักอย่างเดียว”เจ้ายักษ์นนทกสรุป “ทำไมพระพรหมไม่สร้างมนุษย์ให้มีหน้าต่างอยู่ที่ทรวงอกจะได้เปิดให้ผู้อื่นเห็นความคิดความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจ ทำไมพระอิศวรจึงไม่สร้างเขาวัวให้อยู่ต่ำกว่าตา เพื่อมันจะได้ใช้เขาขวิดได้ถูกที่หมาย ทำไมพระวิศวกรรมไม่สร้างบ้านให้มีลูกล้อ เพื่อมนุษย์จะได้เคลื่อนย้ายนำติดตัวไปได้ทุกหนทุกแห่งตามต้องการ” พระอิศวรทรงพิโรธเจ้ายักษ์ช่างติ จึงขับไล่จากสรวงสรรค์นับแต่นั้นมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

วิสัยคนช่างติยอมหาข้อบกพร่องของผู้อื่นได้เสมอ



นกยางกับชาวนา


ชาวคนหนึ่งทำการหว่านเมล็ดข้าวลงในนา นกยางฝูงหนึ่งบินมา จะจิกกินชาวนาจึงเงื้อง่าคันธนูในมือ ทำท่าขู่ หวังจะให้นกยางเกรงกลัวบินหนีไป แต่นกยางฝูงนั้น กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ยังคงยืน จิกกินเมล็ดข้าวกันตามปกติ ชาวนาจึงนำศรมาใส่คันธนูพร้อมกับน้าวสายยิงนกยางตายไปตัวหนึ่ง

“คราวนี้ ชาวนาเอาจริงๆ แล้วละ รีบหนีเร็วพวกเรา” นกยางหัวหน้าฝูงตะโกนบอกบริวารของมัน แล้วบินนำไปเป็นตัวแรกนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โดยปกติคนทั่วไปไม่ค่อยกลัวคำขู่ต้องลงมือ ให้เห็นกันจริงๆนั่นแหละจึงจะยอมเกรงกลัว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

โดยปกติคนทั่วไปไม่ค่อยกลัวคำขู่ ต้องลงมือให้เห็นกันจริงๆนั่นแหละจึงจะยอมเกรงกลัว



แม่น้ำกับทะเล


ครั้นหนึ่งนานมาแล้ว แม่น้ำหลายสายต่างเข้าร่วมประชุมกันเพื่อจะไม่ยอมไหลลงสู่ทะเล“ทั้งนี้ก็เพราะ เมื่อพวกข้าซึ่งเป็นน้ำใสสะอาดและจืดไหลไปสู่เจ้าแล้วก็กลับเป็นน้ำเค็มจนมนุษย์ใช้บริโภคไม่ได้”

แม่น้ำสายหนึ่งให้เหตุผลแก่ทะเล ทะเลรู้อัธยาศัยของพวกแม่น้ำดีจึงตอบไปว่า “ถ้าเช่นนั้นต่อไปนี้พวกเจ้าจงล้นฝั่งเอ่อท้นขึ้นไปท่วมไร่นาให้มนุษย์เขาเดือดร้อนและด่าว่าเอาเถิด อย่างไหลลงมารวมกับข้าเลย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดมักร้องทุกข์หรือโวยวายเสียงดังที่สุด



แม่ปูกับลูกปู


วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาน้ำลงงวด ปูสองตัวแม่ลูกพากันขึ้นจากรูไต่ลงไปหาอาหารตามชายเลน ลูกปูเดินนำหน้าแม่ปูเดินตามหลังครั้นสังเกตเห็นว่าลูกของตนเดินคดเคียวไม่ตรงทางแม่ปูจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงเดินคดไปคดมาไม่เป็นระเบียบอย่างนั้นเล่า เดินให้ตรงๆซิ จะได้ไปหากินเร็วๆมัว แต่เดินซัดเซมาอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวน้ำขึ้นก็จะไม่ทันการ” ลูกปูได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับมาว่า “แม่จ๋า แม่ช่วยเดินให้หนูดูเป็นตัวอย่างก่อนซิ หนูจะได้เดินตาม” แม่ปูไม่สามารถเดินตรงอย่างที่พูดได้ ด้วยวิสัยปูย่อมเดินคดไปคดมาเป็นธรรมชาติ แต่แม่ปูนั้นมิได้รู้สึกตัวเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ตัวอย่างย่อมเป็นครูที่ดี การจะสั่งสอนผู้อื่นในเรื่องใดเราต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 4/8/09 at 08:41 Reply With Quote


(Update 4 ส.ค. 52)

นักโทษประหารกับมารดา


เด็กคนหนึ่งขโมยหนังสือของเพื่อนกลับมาบ้านแม่ของเขาเห็นแทนที่จะห้ามปรามและสั่งให้นำไปคืนกลับกล่าวชมเชยว่าลูกของตนนั้นเก่ง ทำให้เด็กคนนั้นได้ใจลักเล็กขโมยน้อยของผู้อื่นนำมาให้แม่อยู่เรื่อยๆ แม่ของเขาก็แสดงความพอใจทุกครั้ง

ครั้นโตเป็นหนุ่มเขาได้เข้าไป ขโมยของที่บ้านหลังหนึ่งและฆ่าผู้เป็นเจ้าของบ้านตาย เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับตัวได้จึงถูกตัดสินให้ประหารชีวิตขณะที่กำลังถูกใส่ขื่อคาพาแหประจานไปยังลานประหาร ผู้เป็นแม่ทราบข่าวก็ร้องไห้ฟูมฟายตีอกชนตัววิ่งตามลูกของตนพร้อมกับคร่ำครวญว่า

“โธ่ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงทำผิดคิดร้ายถึงเพียงนี้”“แม่อย่าร้องไห้เลย” นักโทษผู้เป็นลูกชายกล่าวเสียงเย็นชา“ตอนที่ผมเป็นเด็กเที่ยว ลักขโมยของผู้อื่น มาให้ ถ้าแม่ดุด่าสั่งสอนแทนที่จะชมเชยให้ท้าย วันนี้ผมจะต้องถูกประหารหรือ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สอนให้รู้ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีอยากให้ลูกให้ดีต้องอบรมสั่งสอน



สุนัขกับเจ้าของ


ชายคนหนึ่งเตรียมตัวจะเดินทางไกลเมื่อถึงเวลาออกเดินทางเห็นสุนัขที่ตนเลี้ยงไว้และจะนำไปด้วยยืนรออยู่ที่ประตูจึงดุว่า“เจ้ามัวยืนเฉยอยู่ทำไม เตรียมตัวไปกับข้าได้แล้ว”

นาย..ข้าเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว เพราะไปไหนก็เฉพาะลำพังตัวเอง ไม่มีข้าวของอะไรเป็นสัมภาระ ว่าแต่ท่านเถอะเก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าจงสำรวจข้อบกพร่อง ของตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยตำหนิผู้อื่น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

จงสำรวจข้อบกพร่องของตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยตำหนิผู้อื่น



หญิงม่ายตัดขนแกะ


หญิงม่ายคนหนึ่งเหลือแกะเพียงตัวเดียวเป็นสมบัติ นางคิดว่าหากตัดขนแกะให้ชิดหนังมากเท่าใดก็จะได้ขนของมัน ไปขายมากขึ้นเท่านั้นแต่เมื่อแกะถูกตัดขนจนเลือดไหลและเจ็บปวดจึงกล่าวกับหญิงม่ายว่า

“ถ้าท่านต้องการเนื้อของข้าก็จงให้คนฆ่าสัตว์มาจับข้าไปเชือดเสียดีกว่า หรือหากอยากได้เงินค่าขนแกะก็ควรจ้างช่างมาตัดของข้า เพราะเลือดของข้าคงไม่ทำให้เข็มกิโลกระดิกเพิ่มขึ้นได้หรอก”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การทำอะไรควรทำแต่พอดีตามสมควร



ลากลากรถ


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะที่ลากำลังลากรถบรรทุกของไปตามถนนเลียบภูเขาแห่งหนึ่ง เจ้าของเห็นว่าทางเป็นเส้นตรงไม่วกวนไปมา จึงไว้ใจปล่อยให้ลาลากรถขึ้นเนินไปตามลำพัง ส่วนตนเองเดินตามไปข้างหลัง

ครั้นถึงทางลงเนินลาได้ลากรถออกวิ่งเต็มฝีเท้าจนพลัดออกนอกเส้นทางมุ่งตรงไปยังหน้าผา เจ้าของรีบวิ่งตามจนทันและยึดหางลาเอาไว้แต่ลากลับไม่ยอมหยุดมันสะบัดจนหลุดจากมือผู้เป็นเจ้าของแล้ววิ่งต่อไปนจนตกหน้าผาตาย เจ้าของได้รำพึงว่า “เพราะไม่ฟังข้าห้ามเจ้าถึงต้องตายในสภาพเช่นนี้ สมน้ำหน้านักไอ้ลาจอมรั้น”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อไม่อาจทักท้วงคนดื้อรั้นได้ ก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรมของเขาเอง



นกยางผู้เย่อหยิ่ง


นกยางตัวหนึ่งมีนิสัยเย่อหยิ่งและหลงตน ทุกวันมันจะเดินท่อมๆ หาอาหารอยู่ริมฝั่งน้ำ มองเห็นเงาจะงอยปากคอและขาอันเรียวงาม อีกทั้งรูปร่างระหงสะโอดสะองของตัวเองที่ปรากฏอยู่ในน้ำ นกยางอดที่จะนึกกระหยิ่มอิ่มเอมใจไม่ได้ทุกครั้งไป

ครั้นเหลือบเห็นปลาช่อนกับปลาชะโดว่ายอยู่เคียงคู่กันมันเกือบถลาเข้าจิกกินตามสัญชาตญาณ แต่พลันนึกได้ว่ายังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน “อย่างเพิ่งเลยดีกว่า “ นกยางบอกกับตัว “แม้เจ้าปลาสองตัวนี้จะกำลังโตได้ขนาดน่ากิน แต่การกินอาหารก่อนเวลาอันสมควรเช่นนี้ ไม่ใช่กิริยาของนกผู้ดีมีตระกูลอย่างเราเลยสักนิด”

เมื่อปล่อยให้ปลาช่อน และปลาชะโดว่ายผ่านหน้าไปอย่างไม่ไยดีแล้ว นกยางก็เดินเล่นต่อไปอย่างสำราญใจอีกพักใหญ่จนถึงเวลาเที่ยง มันเริ่มรู้สึกหิว มองลงไปในลำธารเห็นเพียงปลาเข็มตัวเล็กๆว่ายอยู่กลุ่มใหญ่ “รออีกสักนิดดีกว่านกผู้ดีมีตระกูลอย่างเราจะกิน ปลาเข็มแบบนั้นเป็นอาหารได้อย่างไรกัน”

นกยางบอกกับตัวเองและพยายามเดินต่อไป มันรู้สึกหิวจนแสบท้อง แต่เมื่อเห็นเพียงปลาซิวจึงกัดฟันเดินไปได้อีกไม่ไกลนักก็ชักจะรู้สึกหน้ามืด สอดส่ายสายตามองหาอาหาร เห็นหอยทากเปลือกแข็งตัวอยู่ในเลน มันถลาเข้าจิกกินอย่างไม่สนใจต่อสายตาของนกทั้งหลายที่เกาะอยู่บริเวณนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เมื่อโชคลาภและโอกาสมารออยู่ตรงหน้า อย่างทำเพิกเฉยหยิ่งยโส เพราะเมื่อมันหลุดลอยผ่านเลยไปแล้ว อาจจะต้องมานั่งเสียใจภายหลัง


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 11/8/09 at 09:18 Reply With Quote


(Update 11 ส.ค. 52)

หมาจิ้งจอกกับหน้ากาก


หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งลอบเข้าไปหาอาหารในบ้านของนักเล่นละครเห็นหน้ากากอันหนึ่งวางอยู่ในที่สูง หากไม่พิจารณาจะดูเหมือนมีคนกำลังจ้องมองลงมา ตอนแรกหมาจิ้งจอกตกใจเกือบจะโจนหนี แต่รั้งสติไว้ได้ มันปีนขึ้นไปดูใกล้ๆ จึงรู้ว่าเป็นเพียงหน้ากากที่มนุษย์ใช้สวดใส่ตอนเล่นละคร

“หน้ากากอันนี้มองดูภายนอกช่วงสวยสง่างามน่าเกรงขามเหลือเกิน” หมาจิ้งจอกรำพึงกับตนเอง “น่าเสียดายที่ภายในนั้นกลวงและว่างเปล่า” นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราจะดูคนแต่เพียงเปลือกนอกไม่ได้ ควรพิจารณาถึงเนื้อในหรือส่วนประกอบอื่นๆด้วย บางคนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง แต่จิตใจกลับสกปรกเลวทราม บางคนต่อหน้าแสดงท่าทีรักใคร่ชื่นชม แต่ลับหลังกับนินทาว่าร้าย บางคนดูท่าทางเป็นผู้รอบรู้แต่ความจริงไร้สมอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เราจะดูคนแต่เพียงเปลือกนอกไม่ได้ ควรพิจารณาถึงเนื้อในหรือส่วนประกอบอื่นๆด้วย บางคนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง แต่จิตใจกลับสกปรกเลวทราม บางคนต่อหน้าแสดงท่าทีรักใคร่ชื่นชม แต่ลับหลังกับนินทาว่าร้าย บางคนดูท่าทางเป็นผู้รอบรู้แต่ความจริงไร้สมอง



ภูเขาจะออกลูก


กาลครั้งหนึ่งในยุคดึกดำบรรพ์ ภูเขาลูกหนึ่งได้พ่นควันออกทางรอยแยกซึ่งอยู่บนยอด เมื่อชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสังเกต เห็นได้พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาน อยู่ต่อมาไม่นาน พื้นแผ่นได้เกิดสั่นสะเทือน ผู้คนในหมู่บ้าน จึงพากันเดินทาง ไปที่ภูเขาเพื่อต้องการดูให้เห็นกับตาว่า กำลังจะเกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรขึ้น

ครั้นเมื่อเห็นด้านหนึ่งของภูเขาเกิดรอยแยกเป็นทางยาว ชายผู้หนึ่งจึงคาดเดาว่าเป็นเช่นนี้เพราะภูเขากำลังจะออกลูกตามบัญชาของเทพเจ้าคนอื่นๆมีความเห็นคล้อยตามต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง และรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนักก็มีหนูตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรอยแยกนั้น

ครั้นเห็นผู้คนมาชุมนุมกันอยู่เป็นจำนวนมาก หนูจึงตกใจวิ่งหนีหายไปท่ามกลางดงไม้และแนวก้อนหิน “เสียเวลาเปล่าๆเลยทีเดียว” ชายคนหนึ่งกล่าว “เห็นส่งเสียงคำราม แผ่นดินไหวสะเทือนเลื่อนลั่น แต่สุดท้ายหาได้มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่มักคุยโวโอ้อวดชอบแสดงตนว่ามีความเก่กล้า สามารถ มักจะมีผลงานออกมาเล็กนิดเดียวเหมือนภูเขาลูกนี้



แม่ไก่กับแมว


แม่ไก่ตัวหนึ่งนอนเจ็บอยู่ในรัง เมื่อแมวรู้ข่าวจึงเดินทางมาเยี่ยมนี้ ข้ารู้สึกเป็นห่วงเป็นใยยิ่งนัก หากต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใดโปรดบอกมาได้เลยอย่างเกรงใจ” “ขอบใจ ขอบใจเจ้ามาก” แม่ไก่กล่าวตอบ “หากเพื่อนมีความปรารถนาดีต่อข้าอย่างจริงใจแล้วล่ะก็ ช่วยกลับไปก่อนเถิด เมื่อข้าหายตกใจและเห็นว่าปลอดภัยแล้ว คงจะหายป่วยได้ในไม่ช้านี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

คำพูดที่อ่อนหวานอาจแฝงไว้ด้วยจิตใจที่ชั่วร้าย เจ้าบ้านคงจะโล่งใจหากแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลับไปแล้ว



หญิงชรากับหมอรักษาดวงตา


หญิงคนหนึ่งเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย แต่เมื่อเข้าสู่วัยชราดวงตากลับมืดมัวจนมองอะไรไม่เห็น นางจึงจ้างหมอมารักษาโดยทำสัญญาไว้ว่า ถ้าหมอรักษาให้นาง สามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม จะจ่ายค่ารักษาเป็นก้อนใหญ่ แต่หากรักษาไม่หายหมอจะไม่ได้รับค่าตอบแทน ทุกวันหมอจะนำยาหยอดตา มาให้แก่หญิงชราที่บ้าน แต่ขากลับหมอได้ขโมยทรัพย์สินมีค่าติดมือกลับไปด้วยเสมอ โดยที่หญิงชราไม่รู้

เมื่อขโมยของต่างๆไปจนหมดแล้ว หมอก็รักษาตาของหญิงชราหายพอดี แต่เมื่อเอ่ยปากทวงค่ารักษา หญิงชรากับไม่ยอมจ่ายให้ หมอจึงนำเรื่องไปฟ้องศาล “หมอทำผิดสัญญา” หญิงชราให้การต่อศาล เมื่อถูกเชิญตัวมาสอบปากคำ “เพราะเมื่อก่อนข้าพเจ้ามองเห็นทรัพย์สินทุกชิ้นในบ้าน แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามองไม่เห็นมันเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”

ด้วยเหตุนี้ หญิงชราจึงได้รับการตัดสินให้พ้นผิด เมื่อผู้พิพากษาสั่งให้สอบสวนอย่างถี่ถ้วน หมอจอมขโมยได้รับสารภาพ ยอมคืนทรัพย์สินให้แก่หญิงชราและได้รับการลงโทษอย่างสาสม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่คดโกงคนอื่น ย่อมต้องได้รับผลกรรมที่กระทำเอาไว้



พ่อค้าเกลือกับลา


เมื่อพ่อค้าเกลือทราบข่าวว่า ที่หมู่บ้านชายทะเลแห่งหนึ่งมีเกลือราคาถูก จึงรีบไปเหมาซื้อ โดยให้ลาของตนบรรทุกเพื่อจะนำไปขายต่างเมือง ขณะเดินผ่านลำธารสายหนึ่ง ลาเดินพลาดล้มลง เกลือจึงละลายไปกับน้ำเสียหายเป็นจำนวนมาก ลารู้สึกยินดีที่น้ำหนักในการบรรทุกเบาลงใน

คราวต่อมา เมื่อพ่อค้าให้ลาบรรทุกเกลือไปขาย หากเดินผ่านลำธาร มันจะแกล้งล้มลงทุกครั้ง พ่อค้ารู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของลา คิดดัดนิสัยคดโกงของมัน โดยการนำนุ่นมาให้ลาบรรทุก ครั้นเดินผ่านลำธารลาแกล้งล้มลงเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับต้องบรรทุก ทั้งน้ำหนักของนุ่นและน้ำหนักของน้ำที่นุ่นอุ้มไว้ จนหลังแอ่น นับแต่นั้นมาลา จึงเข็ดไม่กล้าทำเจ้าเล่ห์เพทุบายกับผู้เป็นนายของตนอีกเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ทำอะไรคดโกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เมื่อเขารู้ทันย่อมถูกดัดหลังลงโทษอย่างสาสม และวิธีการเดียวกันไม่สามารถนำมาใช้ได้ในทุกกรณี


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 21/8/09 at 10:48 Reply With Quote


(Update 21 ส.ค. 52)

หมาไล่เนื้อ ไก่ กับหมาจิ้งจอก


หมาไล่เนื้อและไก่รู้สึกถูกชะตากัน จึงตกลงเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน เมื่อถึงเวลาค่ำ ไก่บินขึ้นไปนอนบนกิ่งไม้ ส่วนหมาไล่เนื้อม่อยหลับอบยู่โคนต้น

ครั้นรุ่งสาง ไก่ตื่นโก่งคอขันเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ยินเสียงขัน คิดว่าเช้าวันนี้จะได้กินเนื้อไก่ จึงวิ่งตามเสียมา เห็นไก่แกะอยู่บนกิ่งไม้เลยแกล้งเข้าไปทักทาย

“เจ้านกน้อยเสียงทอง เช้าวันนี้เชิญมาร่วมสวดมนต์กับข้าเพื่อความสุขสวัสดีเถิด” หมาจิ้งจอกพยายามพูดจาชักชวน “อ้อได้ซิ..” ไก่รู้ทันเล่ห์ของหมาจิ้งจอก “แต่เจ้าช่วยไปปลุกภารโรงผู้ดูแลโบสถ์ที่นอนอยู่โคนต้นไม้ ให้ช่วยตีระฆังก่อนได้ไหม” หมาจิ้งจอกไม่รู้ว่าไก่หมายถึงหมาไล่เนื้อ มันจึงรับปากและเดินเข้าไปที่โคนต้นไม้ เลยถูกหมาไล่เนื้อไล่กัดจนต้องวิ่งเตลิดหนีไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้คิดร้ายวางแผนการล่อลวงผู้อื่น เมื่อเขารู้ทันย่อมได้รับการสั่งสอนหรือลงโทษอย่างสาสม



ชายศรีษะล้านกับแมลงวัน


ชายศรีษะล้านผู้หนึ่งรู้สึกรำคาญพวกแมลงวันที่ชอบมาตอมศีรษะของตนโดยเฉพาะบริเวณที่ล้านเลี่ยนเตียนโล่งเป็นมันเพราะไม่มีผมขึ้นด้วยความเดือดดาลจึงเอา ฝ่ามือตบฉาดลงไปเต็มแรงหลายครั้งหลายคราแต่แมลงวัน สามารถ บินหนี uีไปได้ทุกครั้ง ครั้นรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวชายศรีษะจึงกล่าวให้สติกับตนเองว่า“หากเรามัวคิดยุ่งเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายก็มีแต่จะเป็นการทำร้ายตนเองอยู่เช่นนี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การคิดร้ายต่อผู้อื่นย่อมไม่ต่างกับการทำร้ายตนเอง การยุ่งเกี่ยวกับศัตรูตัวเราย่อมไม่ปลอดภัย



ผึ้งเทพเจ้า


ในสมัยที่เทพเจ้าได้สร้างโลกรวมทั้งมนุษย์และสัตว์ขึ้นมาใหม่ๆ ผึ้งได้เก็บน้ำหวานจากดอกไม้มาสะสมไว้จนเต็มรวง แล้วจึงนำไปถวายเทพเจ้า เทพเจ้าพอพระทัย จึงออกปากให้ผึ้งขอพรสิ่งใดก็ได้ตามความต้องการ

“ข้าแต่ท่านเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” ผึ้งกล่าวคำยกย่อง “ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งท่าน ขอจงดลบันดาลให้เหล็กในของข้าพเจ้ามีพิษร้าย หากมนุษย์ผู้ใดโดนต่อย จะต้องถึงแก่ความตายในทันที”

เทพเจ้าทรงพิโรธที่ผึ้งมีจิตคิดร้าย ต่อผู้อื่นแทนที่จะให้พรกลับสาปแช่งว่า “ต่อแต่นี้ไปขอให้เหล็กในของเจ้าไม่อาจทำอันตรายใครถึงตายได้ แต่เมื่อเจ้าต่อยผู้ใดขอให้เจ้าจงสิ้นชีพ ไปพร้อมกับเหล็กในของเจ้า” นับแต่นั้นมาเมื่อผึ้งต่อยใครแล้ว ตัวมันเองก็ต้องตายด้วยประการฉะนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ใดคิดร้ายต่อผู้อื่น ตนเองย่อมได้รับผลร้ายนั้นยิ่งกว่า



ปลาทูนากับปลาโลมา


ปลาทูนากับปลาโลมาต่างคุยโอ้อวดกันว่า ตนเองมีความสามารถเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองจึงท้ากันแข่งขันว่ายน้ำ ขณะว่ายคู่กันไปอย่างรวดเร็วปลาทูนาเห็นสบโอกาส จึงว่ายเข้าไปเอาตัวเบียดกระแทกปลาโลมาให้เสียหลัก ถลาเข้าไปเกยตื้นชายฝั่ง

แต่ปลาทูนาเอง ซึ่งว่ายมาด้วยความเร็วสูงก็ไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมเดียวกัน ทั้งสองถูกแสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผา ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ใกล้ๆ กันนั้นเอง “ก็ไม่เลวนักหรอก” ปลาโลมากล่าวก่อนที่จะสิ้นใจ “เพราะศัตรูของข้าก็คงไม่พ้นจากความตายไปได้เช่นกัน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การคิดร้ายต่อผู้อื่น ย่อมประสบผลร้ายเช่นเดียวกัน มนุษย์บางคนยินยอมที่จะประสบชะตากรรม เมื่อรู้ศัตรูของเขาก็ได้ผลเช่นเดียวกันกับตน ช่างน่าอนาถแท้



ลูกโอ๊กกับฟักทอง


ชายคนหนึ่ง นอนพักผ่อนยามบ่าย อยู่ใต้ต้นโอ๊ก ซึ่งกำลังมีลูกดกเต็มต้น จึงคิดอะไรเรื่อยเปื่อย “ธรรมชาตินี่ช่างทำอะไรไม่เข้าท่าเอาซะเลย สร้างต้นโอ๊กให้สูงใหญ่แต่มีลูกเล็กนิดเดียว ทีต้องฟักทองเถาของมันเล็กนิดเดียวกลับมีผลใหญ่เบ้อเริ่ม

ถ้าเรามีอิทธิฤทธิ์ จะเสกให้ฟักทองมีผลเล็กๆ สักเท่าลูกโอ๊กก็พอ ส่วนต้นโอ๊กนั้นต้องให้มีลูกใหญ่ขนาดฟักทอง ถึงจะเหมาะสม แหมความคิดของเรานี่ช่างแยบยลซะเหลือเกิน”

ทันใดนั้น ลูกโอ๊กลูกหนึ่งได้หล่นลงมากระทบหน้าผากของเขาอย่างแรง แม้จะมีผลแค่ทำให้เจ็บปวดเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไปทันที “อืม..ความจริงลูกโอ๊กมีขนาดเท่าเดิมของมันนี่ก็ไม่เลวนักหรอก ถ้ามันใหญ่เท่าลูกฟักทองเราคงตายไปแล้วซิแน่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

อย่างเพิ่งตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เราไม่รู้จริง แต่ควรศึกษาทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้ถ่องแท้ก่อนจะดีกว่า


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 4/9/09 at 09:32 Reply With Quote


(Update 4 ก.ย. 52)

พิราบกับกา


นกพิราบผัวเมียคู่หนึ่งถูกจับมาเลี้ยงไว้ในกรง อยู่ต่อมาไม่นานก็ตกไข่มีลูกหลายตัว มันรู้สึกชื่นชมลูกๆของมันเป็นอันมาก แต่กาตัวหนึ่งได้กล่าวเตือนว่า “อย่าดีใจนักเลย เพราะบัดนี้ภาระเจ้าได้เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

สิ่งที่ให้ความสุขสำราญยินดีแก่เราเราจะกลับเป็นทาสของสิ่งนั้น



คนเลี้ยงวัวกับวัวที่หายไป


เมื่อเห็นว่าวัวตัวหนึ่งหายไปจากฝูง คนเลี้ยงวัวจึงออกติดตามหาทั้งในละแวกบ้านและในป่าแต่ก็ไม่พบ จึงบนบานเทพารักษ์เจ้าป่าเจ้าเขาว่าหากได้พบขโมยที่ลักวัวไปจะถวายลูกแกะให้ตัวหนึ่ง

เมื่อกล่าวคำบนบานเสร็จแล้วคนเลี้ยงวัวจึงขึ้นไปยืนมองหาวัวของตนบนก้อนหินทันใดนั้นเขาก็เห็นสิงโตตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้ขโมยวัวมากำลังแทะเนื้อวัวของเขาอย ่างเอร็ดอร่อย คนเลี้ยงวัวตกใจแทบสิ้นสติรีบยกมือขึ้นบนบานใหม่อีกครั้ง “ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน แต่ตอนนี้ลูกไม่อยากพบหัวขโมยแล้วละ ขอเพียงช่วยให้รอดพ้นจากคมเขี้ยวของสิงโตไปได้เท่านั้น ข้าพยินดีจะถวายวัวตัวใหญ่ๆให้เลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

หากเทพเจ้าดลบันดาลสิ่งใดให้กับมนุษย์ตามที่ต้องการ มนุษย์ย่อมจะขอต่อไปอย่างไม่จบสิ้น



นายพรานกับชาวประมง


วันหนึ่งนายพรานกลับจากการเข้าไปล่าสัตว์ในป่า เดินสวนทางกับชาวประมงซึ่งกลับจากการลากอวน นายพรานคิดว่าเปลี่ยนจากกินเนื้อสัตว์มาเป็นปลาบ้างคงจะดี

ฝ่ายชาวประมงก็อยากกินเนื้อสัตว์ป่าแทนปลาที่เคยกินอยู่ทุกวันๆ ทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ชายผู้หนึ่งเห็นนายพรานกับชาวประมงแลกเปลี่ยนเนื้อสัตว์ป่าและปลากันทุกวันๆ ก็ทำนายว่าในไม่ช้าทั้งสองฝ่ายก็จะเริ่มเบื่อหน่ายและหันกลับไปกินอาหารของตนตามเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

การเปลี่ยนแปลงจากชีวิตความเป็นอยู่เดิมในบางครั้งเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่สุดท้ายก็คงต้องกลับมาเป็นเหมือนเช่นเดิมที่เคยปฏิบัติจนเคยชิน



ต้นสนกับต้นฉำฉา


ณ ป่าแห่งหนึ่งต้นสนได้กล่าวอวดตัวกับต้นฉำฉาเพื่อนของมันว่า “ ในป่าแห่งนี้เราเป็นไม้ที่มีค่าที่สุด ส่วนเจ้านั้นหาค่าอะไรไม่ได้เลย เมื่อใดที่มนุษย์ถือขวานเข้ามาในป่าเพื่อหาไม้ไปสร้างบ้าน เขาย่อมต้องการต้นสนอย่างข้า ไม่มีใครต้องการต้นฉำฉาที่ไร้ค่าอย่างเจ้า”ต้นฉำฉารู้สึกหมั่นไส้ จึงย้อนไปทันทีว่า “คงจริงอย่างเจ้าพูดนั่นแหละ แต่ทุกครั้งที่มนุษย์ถือขวานเข้ามาในป่าดูเหมือนว่าเจ้าอยากเป็นต้นฉำฉาอย่างข้ามากกว่าต้นสนใช่หรือไม่

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่อยู่ในฐานะร่ำรวยหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงส่ง มักจะเต็มไปด้วยอันตรายและศัตรู สวนผู้ต่ำต้อยแม้จะไม่เป็นที่รู้จักหรือได้รับเกียรติอันใด แต่ก็มีความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยกว่า



ลูกหมูกับฝูงเกาะ


ลูกหมูตัวหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ในฝูงแกะและหลบซ่อนอยู่ที่นั่นเรื่อยมา วันหนึ่งเมื่อคนเลี้ยงแกะมาพบเข้าจึงพยายาม ไล่จับลูกหมูร้องเสียงหลงวิ่งหนีไปรอบๆคอก “เจ้าจะวิ่งให้เหนื่อยและส่งเสียงร้องให้หนวกหูทำไม” แกะตัวหนึ่งกล่าวตำหนิ “ทุกครั้งพวกข้าก็ยืนให้มนุษย์จับแต่โดยดี “มันต่างสถานการณ์กันนี่เพื่อนมนุษย์จับพวกเจ้า ไปตัดขนส่วนข้าถูกจับไปเชือด” ลูกหมูตอบพร้อมกับส่งเสียงร้องและพยายามวิ่งหนีสุดฝีเท้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

เราไม่ควรใช้ความคิดเห็นของตนเองเป็นเครื่องตัดสินหรือประเมินผู้อื่น


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 10/9/09 at 08:41 Reply With Quote


(Update 10 ก.ย. 52)

หมูป่ากับลาโง่


ลาตัวหนึ่งได้พบหมูป่าบนเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่งด้วยอารมณ์คึกคะนองมันจึงวิ่งเข้าไปต้อนหน้าตอนหลังหมูป่าพร้อมกล่าว ทักทายแบบตีสนิท “เป็นไงเพื่อน สบายดีหรือเปล่า ไปเที่ยวไหนมาล่ะ เล่าให้ข้าฟังบ้างซิ”

หมูป่ารู้สึกรำคาญจึงออกปากขับไล่ “ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ ข้าไม่มีเพื่อนที่ชอบทำอะไรวุ่นวายอย่างเจ้าหรอก” แทนที่จะสำนึก ลากลับวิ่งต้อนหน้าต้อนหลังหมูป่า เหมือนเช่นเดิม หมูป่าชักไม่พอใจขยับจะเข้าไปทำร้าย แต่นึกได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะตอแยกับลา มันจึงเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้ที่ทำอะไรไม่รู้กาลเทศะ ย่อมเป็นที่ขัดเคืองของผู้อื่น



คนตกเบ็ดกับลูกปลา


คนตกเบ็ดคนหนึ่งตกปลาอยู่ตั้งแต่เช้ายันค่ำแต่ไม่ได้ปลาสักตัวเดียวก่อนที่จะกลับบ้านเมื่อวิดคันเบ็ดขึ้น ปรากฏว่ามีลูกปลาตัวหนึ่งติดเบ็ดอยู่ ลูกปลาพยายามวิงวอนให้คนตกเบ็ดปล่อยตนไป

“ข้าเป็นปลาตัวเล็กแค่นี้ ท่านนำไปกินก็ไม่อิ่มหรอก ไว้รอให้ข้าโตและอ้วนกว่านี้ จะรีบมาให้ท่านจับไปเป็นอาหารทันที” “คงไม่มีวันนั้นหรอก หากปล่อยเจ้าลงน้ำเจ้าคงจะหัวเราะเยาะ แล้วท้าทายว่าเก่งจริงก็จับเจ้า ให้ได้มากกว่า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

อย่าหมายน้ำบ่อหน้าปลาตัวเดียวในมือดีกว่าปลาทั้งฝูงในน้ำ



ความรักของนางแมว


นางแมวตัวหนึ่งได้ตกหลุมรักชายคนหนึ่ง จึงขึ้นไปเฝ้าเทพเจ้าบนสวรรค์เพื่อขอพรให้ตนเองกลายเป็นหญิงสาวสวย อยู่ต่อมาไม่นาน เทพเจ้าสงสัยว่านางแมวจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตนได้หรือไม่

จึงส่องทิพยเนตรลงมาสำรวจ เห็นนางแมวในร่างของหญิงสาวกำลังพลอดรักกับชาวหนุ่ม ทันใดนั้นมีหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไป นางแมวเผลอกระโดดตะครุบตามสัญชาตญาณ เทพเจ้าจึงต้องบันดาลให้หญิงสาวคืนร่างเป็นนางแมวเช่นเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

แม้จะปิดบังอำพรางอย่างไรก็ไม่อาจฝืน ธรรมชาติอันเป็นวิสัยเดิมของตนได้



สามช่างซ่อมกำแพง


ณ นครแห่งหนึ่ง เมื่อได้ข่าวข้าศึกกำลังจะยกทัพมาตีเมืองเหล่าอำมาตย์ราชมนตรีต่างร่วมประชุมปรึกษาหารือ เพื่อหาทางป้องกันและซ่อมกำแพงเมืองให้แข็งแรง มนตรีที่มาจากช่างก่ออิฐแนะนำให้ใช้อิฐก่อกำแพงมนตรีที่มาจาก ช่างไม้แนะนำให้ใช้ไม้ซุงเพราะเชื่อว่าน่าจะแข็งแรงกว่าอิฐ ส่วนมนตรีที่มาจากช่างทำหนังแนะนำใช้หนังสัตว์สร้าง
กำแพงเพราะหนังมีความเหนียวแน่น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...

ผู้มีความถนัดรอบรู้เชี่ยวชาญในด้านใดก็มักจะมีความคิดเห็นไปทางนั้น


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved