posted on 24/3/08 at 08:21 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 5/4/08 at 04:01 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 19/4/08 at 06:06 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 28/4/08 at 05:52 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 9/5/08 at 08:24 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 21/5/08 at 16:46 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 10/6/08 at 18:19 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 19/6/08 at 06:35 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 27/6/08 at 19:04 |
|
Update 27 มิ.ย. 51
จริต ๖ ประการ
กรรมฐาน ๔๐ ถ้ายังไม่เข้าใจก็ดูในคู่มือกรรมฐานที่ฉันแจกไว้ ฉันจะไม่อธิบายเพราะไม่ใช่เวลาที่จะอธิบาย ฉันจะอธิบายอย่างย่อๆ ว่ากรรมฐาน ๔๐
พระพุทธเจ้าทรงแยกอัธยาศัยบุคคลไว้ ๖ อย่าง ที่เรียกว่า จริต จริต คือ อารมณ์เป็นที่เที่ยวไปของจิต
๑. ราคะจริต คนรักสวยรักงาม คำว่าราคะจริตนี่ไม่ใช่มักมากในกามคุณ อย่าเข้าใจผิด เป็นเพียงคนรักสวยรักงาม
๒. โทสะจริต คนเจ้าโมโหโทโส
๓. โมหะจริต คนโง่ คนหลง
๔. วิตกจริต คนช่างคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด
๕. ศรัทธาจริต เป็นคนเชื่อง่าย
๖. พุทธจริต เป็นคนเฉลียวฉลาด
ใช้กรรมฐานเป็นเครื่องฆ่าจริต
อันนี้หลวงพ่อปานพูดเสมอว่า พระพุทธเจ้าท่านมีความรู้ละเอียด ท่านเป็นสัพพัญญูวิสัย แยกอารมณ์ของจิตไว้ ๖ อย่างเป็นส่วนใหญ่ ๆ แต่ส่วนย่อย ๆ
ก็มีมากกว่านี้ เอาเฉพาะส่วนใหญ่ ตอนนี้จริตอะไรถ้าเกิดกับบุคคลใดมาก ก็ให้ทำกรรมฐานเป็นเครื่องฆ่าจริตนั้น ๆ เป็นการปราบปราม ดูอารมณ์ของเราว่าเวลานี้
เรามีราคะจริตรักสวยรักงาม เห็นคนนั้นก็สวย เห็นคนนี้ก็สวย เป็นความพอใจในเพศ เห็นสีสันวรรณะ เห็นสีติดสี เห็นเสียงติดเสียง ได้ยินเสียงติดเสียง
กินอาหารติดในรส ถูกต้องหรือสัมผัสติดใจในโผฏฐัพพะ คืออารมณ์ที่กระทบกระทั่งหรือสิ่งที่มากระทบกระทั่ง พอใจในอารมณ์ที่ชอบใจ อย่างนี้เรียกว่าราคะจริต
เขาเรียกว่าติดสวย พูดง่าย ๆ อะไรก็ต้องสวย อะไรก็ต้องมีระเบียบ
อสุภกรรมฐาน
คนที่ติดสวยอย่างนี้มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องถ่วงจิตไม่ให้เข้าถึงฌาน และก็ไม่ให้เข้าถึงพระนิพพาน คือความเป็นพระอริยเจ้า
ท่านก็สอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ คือให้เจริญ อสุภกรรมฐาน พิจารณาทุกอย่างว่ามันไม่สวย ตามความเป็นจริง
ในการพิจารณาว่าไม่สวยนี่ไม่ใช่ฝืนนะ ไม่ใช่ของสวยแล้วหาว่าไม่สวย แต่ความจริงของในโลกนี้ไม่มีอะไรมันสวย ลองไปดูชายงามหญิงงามอะไรที่ว่าสวย ๆ น่ะ
ไปดูสิมันมีขี้มีเยี่ยวไหมในท้อง เอาเท่านี้แหละไม่ต้องดูมาก ยิ่งดูมากยิ่งเลอะมากเข้าไปทุกที รวมทั้งตัวนี่หาสวยไม่ได้ ถ้ามันมีขี้มีเยี่ยวมันก็ไม่สวยจริง
ไอ้ผิวพรรณที่ผุดผ่อง มันต้องขัดสีฉวีวรรณ ให้ลองทิ้งไว้สัก ๗ วันโดยไม่อาบนํ้าไม่อาบท่า ผมเผ้าไม่หวีมันจะเป็นอย่างไร
ผลที่สุดเราเห็นเข้าก็ต้องถอยหลังกรูด เพราะไอ้สิ่งที่เป็นของจริงมันปรากฏ ของภายในมันหลั่งไหลออกมาภายนอก ไอ้เหงื่อไคลมันอยู่ในกายที่เราว่ามันสกปรก
ทีนี้การสวยสดงดงามมันเป็นการแต่ง และความผ่องใสของผิวพรรณมันตลอดกาล ตลอดสมัยหรือเปล่า นานวันเท่าไรมันก็ทรุดโทรมลงมาทุกที ๆ หาของจริงอย่าไปหาของหลอก
คนเราเกิดมาสมัยนี้ชอบหลอก อะไรของจริงน่ะไม่ยอมรับนับถือ ใครพูดอะไรจริง ๆ หาว่าบ้า ๆ บอ ๆ
ไอ้ฉันก็เหมือนกัน ฉันนี่เป็นคนบ้าสำหรับชาวโลกมาเยอะ บ้าจนกระทั่งไม่รู้สึกอะไร เมื่อก่อนใครเขาว่าบ้าก็ชักสะเทือน บางทีก็ชักโมโหโทโส
แต่ตอนนี้เขาหาว่าบ้า ฉันก็รู้ว่าฉันบ้าแน่ รู้ตัวมานานแล้ว เพราะบ้าอย่างไร ก็เพราะว่าชาวบ้านเขาชอบอย่างนั้น ก็ฉันไม่ชอบ
มันก็บ้าเท่านั้นก็คนมันไม่เหมือนชาวบ้าน มันจะเป็นคนดีได้อย่างไร
คนที่มาหาพระ
ตอนนี้ฉันบ้าเข้าแล้วฉันก็สบายใจ ไม่ต้องไปรับเลี้ยงใคร ไม่ต้องไปรับภาระใคร อยู่ตามอัธยาศัยสบาย ใครมาหาฉันถูกจังหวะจะโคนฉันก็รับ
ถ้าไม่ถูกจังหวะจะโคนฉันก็นอนอ่านหนังสือส่งเดช ให้นั่งอยู่นั่นแหละ ถ้าทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ ทำอวดวิเศษอวดรู้ ให้นั่งอยู่นั่นแหละ
หากว่ามาหาแบบคนมาหาพระรัตนตรัย ฉันรับวันทั้งวัน คืนทั้งคืนฉันคุยได้ ไม่มีโมโหโทโส ฉันไม่เหนื่อยด้วย ถ้ามาแบบคนเป็นเจ้าพระรัตนตรัยอย่างนี้ฉันไม่รับหรอก
รับก็รับแบบหน้ายักษ์ พูดเฉย ๆ ไม่ยิ้มไม่เยิ้มหรอก ยิ้มก็ไม่ยิ้ม บึ้งก็ไม่บึ้งทำเฉยซะ พูดคำตอบคำ ทำเฉย ๆ ประเดี๋ยวก็เผ่นไปเอง นี่คนประเภทนี้
อ้าวพูดเลยเถิดไปอีกแล้ว นี่คนแก่มันเป็นอย่างนี้ เลอะเทอะเอาดีไม่ได้ ความแก่ไม่ดีใครอย่าแก่นะ แก่แล้วมันเป็นอย่างฉัน มันเลอะ เอาดีไม่ได้
ถ้าราคะจริตท่านให้เห็นทุกอย่างตาม ความเป็นจริงว่ามันสกปรก
โทสะจริตให้เจริญเมตตาหรือกสิณ ๔
ถ้าโทสจริตท่านให้เจริญเมตตาพรหมวิหาร หรือกสิณ ๔ คือปฐวีกสิณ ธาตุดิน วาโยกสิณ ธาตุลม อาโปกสิณ ธาตุนํ้า เตโชกสิณ ธาตุไฟ อย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวน ๑๘
อย่างนี้ หรือว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นพรหมวิหาร หรือกสิณ ๔ อย่าง อันนี้เป็นเครื่องฆ่าโทสะจริต ทำให้จิตใจสงบสงัด
อานาปานุสสติปราบวิตกและโมหะจริต
ถ้าหากว่าคนเป็นวิตกจริตกับโมหะจริต ไอ้วิตกคือความโง่ คิดตัดสินใจไม่ออก โมหะจริตก็โง่ หลงว่าไอ้นั่นก็ของกูไอ้นี่ก็ของกู ขี้ก็ของกูเยี่ยวก็ของกู
เศษไม้เศษไร่เศษผ้าเศษผ่อนก็ของกู ของกูทั้งนั้น ไม่รู้จักว่ามันจะทำลาย ไม่รู้ตามความเป็นจริง คนคิดพล่านแบบนี้ตัดสินใจไม่เด็ดขาด หวงแหนแบบนี้
ท่านให้เจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวอันนี้ตามแบบพระพุทธเจ้า
ศรัทธาจริตให้นึกถึงอนุสสติ ๖
คนมีศรัทธาจริตเชื่อง่าย เชื่อง่ายถ้าเจริญพุทธานุสสติ ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ
นึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ อย่างนี้เป็นต้น
ให้เจริญอนุสสติ ๖ คือนึกถึงความดีของท่านที่ทำความดีไว้แล้ว จะได้ปฏิบัติความดีเพราะพวกนี้เชื่อง่าย ถ้าเชื่อแล้วใครพูดอะไรก็เชื่อ
ในเมื่อเชื่อแล้วก็ให้เชื่อในทางดี จับความดีเข้ามาใช้
พุทธจริตให้เจริญอาหาเรฯ
ตอนนี้ถ้าเป็นพุทธจริตท่านก็ให้เจริญ อาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นกรรมฐานที่ละเอียดกว่า เพราะพวกนี้เป็นพวกฉลาด อันนี้ท่านสอนตามแนวของพระพุทธเจ้าจริงๆ
นี่พูดถึงตามแนว วิธีสอนท่านก็บอกไม่ให้เคร่งเครียดเกินไป ให้ใช้อิริยาบถตามสมควร พอมาดูพระไตรปิฎกทีหลังก็รู้สึกว่าท่านตามแบบคือไม่
ฝ่าฝืนพระพุทธเจ้าจริงๆ ทีนี้เมื่อสอนตามแบบตามหลักตามเกณฑ์ไปแล้ว
การขึ้นกรรมฐานกับท่าน
ทีนี้มาว่ากันตอนขึ้นกรรมฐาน ตอนขึ้นกรรมฐานก็ใช้ธูป ๕ เทียน ๕ ข้าวตอก ๕ ดอกไม้ ๕ กระทง ไปสมาทานกับท่าน ท่านก็ให้สมาทานกับพระพุทธ ท่านรับเป็นอาจารย์
แต่ท่านบอกว่ากรรมฐานเป็นของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของฉัน ฉันเอาวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาบอกอีกต่อหนึ่ง เธอจะมาสมาทานกับฉันถือฉันเป็นสรณะโดยตรงไม่ได้
ต้องพระพุทธเจ้า
เอาเข้านั่น นี่ไม่ค่อยจะเหมือนคนอื่นเขา ไอ้ที่อื่นเขาต้องมุ่งเฉพาะอาจารย์ ขึ้นกับอาจารย์นี้แล้วอาจารย์อื่นจะสอนไม่ได้ แต่ท่านไม่ห่วง
เมื่อขึ้นกับท่านแล้วคนปฏิบัติกับท่านแล้ว เมื่อท่านเห็นอาจารย์องค์ไหนดีท่านมักจะ แนะนำบอกไปหาองค์นู้นบ้างไปหาองค์นี้บ้าง ฉันก็ไปหามาได้ตั้ง ๑๐ องค์กว่า
แต่ผลที่สุดก็ลงอรรถอันเดียวกัน ท่านก็แบบเดียวกัน เมื่อไปเล่าให้ท่านฟังว่าครูบาอาจารย์สอนอย่างไร
ไม่หวงลูกศิษย์
ท่านก็เลยบอกว่าอาจารย์แกสอนถูกแล้วนี่ แกมาหาฉันทำไม มันเหลือแต่แกเท่านั้นแหละ ทำยังไม่ถึงที่อาจารย์จะพึงให้ นี่เป็นอย่างนี้ ท่านไม่ได้ปิดบัง
เห็นว่าอาจารย์องค์ไหนมีความเฉลียวฉลาดมาก และโดยเฉพาะอย่างหรือวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ที่อาจารย์องค์นั้นมีความเชี่ยวชาญกว่าท่าน
ท่านมักจะแนะนำลูกศิษย์ให้ไปหา ตอนนี้มาพูดกันถึงการขึ้นกรรมฐาน ไม่ได้ขึ้นเฉย ๆ นะ พอสมาทานเสร็จ ท่านก็แนะนำขั้นแรกให้จับลมหายใจเข้าออก
ภาวนาหายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ ก่อนเป็นอันดับแรก
หลวงพ่อปานบอกกรรมฐาน
ทีนี้เราก็นั่งหลับตา ท่านก็หลับบ้าง พอหลับสัก ๕-๑๐ นาที ท่านก็บอกให้ลืมตา พอลืมตาขึ้นท่านจี้เลย บอกองค์นี้หรือคนนี้นะ มีกิเลสอย่างนั้น
เป็นเครื่องเผาผลาญจิตมีกำลังมาก ให้ปฏิบัติกรรมฐานกองนั้น ท่านอธิบายละเอียดเลย องค์นี้มีกิเลสอย่างนั้นเป็นเครื่องเผาผลาญจิตมีกำลังใหญ่
ให้ใช้กำลังกรรมฐานอย่างนี้ ท่านใช้กรรมฐานเฉพาะเข้าไปหักล้างเลย
ทิ้งอานาปานุสสติไม่ได้
แต่ว่ากรรมฐานทั้งหมดทุกกอง ก็ต้องอาศัยอานาปานุสสติเป็นพื้นฐาน นี่ท่านอธิบาย ถ้าทิ้งอานาปานุสสติแล้วจิตจะเป็นสมาธิได้ยาก
ฉะนั้นจะทำกรรมฐานกองไหนก็ตามต้องขึ้น อานาปานุสสติก่อน คือกำหนดลมหายใจเข้าออก ทีนี้พอลืมตาขึ้นมาแล้วท่านมักจะพยากรณ์ แต่ดูเหมือนไม่ทุกครั้งนะ
เป็นบางพวก แต่พวกฉันนี่โดนเข้า พอท่านนั่งหลับตาปี๋ ฉันก็ปี๋ของฉัน ก็หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ก็ว่ากันตามอารมณ์
หลวงพ่อปานพยากรณ์
พอลืมตามาแล้วท่านบอกลืมได้ แล้วท่านก็ยิ้ม ยิ้มบอกว่าฤๅษีโพธิวัตรกับฤๅษีพนมไพร เธอหันหน้าเข้าเจริญกสิณ ๑๐ ประการนะ เพราะเป็นความรู้เก่าเอาเลย
บอกอย่างนี้ด้วย เพราะเป็นกรรมฐานเก่าที่เธอได้มาแล้ว เธอสามารถจะทำจบภายใน ๓ เดือนเป็นอย่างช้า กสิณ ๑๐ ประการนี่เธอได้มาแล้วในชาติก่อน ว่าเข้านั่น
เราก็นึกแปลกใจบอกหลวงพ่อนี่รู้ได้อย่างไร
ให้ ๒ องค์เข้าป่าเมื่อท่านตายแล้ว
แล้วก็เมื่อเธอได้กสิณ ๑๐ แล้ว ได้อภิญญาแล้ว หมั่นฝึกให้คล่องแล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณนะ เมื่อหลวงพ่อตายแล้วเธอจงเข้าป่า
อย่าอยู่ในบ้านเมืองเพราะพระที่ทรงอภิญญาจะอยู่กับพระธรรมดาไม่ได้ ต่อไปเขาจะเบียดเบียนเธอ เขาจะหาว่าพวกเธออวดอุตริมนุสสธรรม
หมายความว่าอวดว่าตัวรู้ยิ่งรู้วิเศษ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ แต่ความจริงได้ แต่ว่าเขาไม่ได้ คนพูดว่าเขาไม่ได้ เขานึกว่าตัวเขาเองไม่ได้คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้
ฉะนั้นพวกเธอจะอยู่ไม่ได้เมื่อหลวงพ่อตายแล้ว ให้เข้าป่า เขาก็รับคำ ทีนี้ฉันก็นึกในใจว่าทำไมท่านไม่พยากรณ์ฉันบ้าง ฉันก็เข้าป่าเหมือนกัน
ก็เพื่อนเขาเข้านี่ฉันก็เข้าได้ เขาเหาะเหินเดินอากาศได้ เขาแผลงฤทธิ์แผลงเดชได้ ฉันก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นได้บ้าง
สาเหตุที่ห้ามเข้าป่า
ท่านก็หันมาหาฉัน แล้วบอกคุณ คุณนี่เอาอย่างเพื่อนเขาไม่ได้นะ ( แล้วกัน ) คุณนี่ช้ากว่าเขา
ไอ้เพื่อนหันมายิ้ม
ไอ้เราที่เป็นตัวตั้งตัวตี กลับมาเสียท่าเพื่อน ก็นึกในใจมันจะเป็นอย่างไรหนอ ฟังท่านต่อไป
ท่านบอก คุณจะต้องสัมผัสอยู่กับมนุษย์อยู่ตลอดไป จะแยกตัวเข้าป่าไม่ได้เพราะชาติก่อนหลายชาติมาแล้วเธอปรารถนาพุทธภูมิมา คนที่ปรารถนาพุทธภูมิมา
เพื่อหวังในความเป็นพระพุทธเจ้า จำจะต้องบำเพ็ญบารมีทั้งหมดให้ครบถ้วน ถึงขั้นปรมัตถ์บารมีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเธอจะหลีกลี้หนีเข้าป่าหลบคนไม่ได้
เธอต้องอยู่กับคน ต้องสงเคราะห์คนไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับว่าเป็นการฝึกการสงเคราะห์ ฉะนั้นกรรมฐานใด ๆ ทั้งหมดที่เธอมีความปรารถนาอยู่ในเวลานี้ ภายในพรรษา ๒๐
ยังจะเอาดีนักไม่ได้ ก็พอจะเอาตัวรอดได้บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
เมื่อถึงพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้ว นับแต่พรรษาที่ ๒๐ ไป ทุกอย่างที่เธอปรารถนาจะสมหวัง จำคำของหลวงพ่อไว้นะ พอพรรษาที่ ๒๐
ไปแล้วทุกอย่างที่เธอปรารถนาจะสมหวัง แล้วพรรษาที่ ๒๐ เธอจงออกจากวัด อย่าอยู่วัดนี้ต่อไป ถ้าขืนอยู่ที่วัดนี้เธอจะไม่ได้ดี เธอจงออกจากวัด
และอีกประการหนึ่งภาระของเธอที่ลงมาเกิดในคราวนี้ เธอต้องรับภาระในการสงเคราะห์อนุเคราะห์บุตรหลานเก่าๆ ฉะนั้นเมื่อพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้วเธอจงหันหน้าขึ้นเหนือ
จังหวัดภาคเหนือ เธอจะพบบุตรหลานเก่า ๆ ทุกคนตามที่ให้สัญญาเขาไว้
เคยให้สัญญากับลูกหลานไว้
ตอนนี้ฉันสงสัยจึงถามว่าผมให้สัญญา กับใครครับหลวงพ่อ
ท่านบอกว่า ให้สัญญากับลูกกับหลานเก่า ๆ ไว้นะซิว่าจะตามสงเคราะห์อนุเคราะห์เขาตามสมควร แต่ว่าเวลานี้เธอยังหนุ่มนักยังไปไม่ได้ ต้องพรรษาที่ ๒๐
ไปแล้วถึงความเป็นคนแก่ คือจิตใจสงบระงับดับจากความปรารถนาจากการต้องการความดีทั้งหมดเมื่อไรนั่นแหละ เมื่อจิตถึงขั้นที่สุดคือจิตไม่ ปรารถนาความดีเมื่อไร
เมื่อนั่นแหละจะพบลูกพบหลานครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วก็ทำกิจที่เธอควรจะทำได้ครบถ้วน ฉะนั้นเธอจึงยากกว่าเขา เธอจะเข้าป่าอย่างกับเพื่อนทั้งสองคนไม่ได้
เธอจะต้องต่อสู้ไปกับโลกจนกว่าจะสิ้นชีวิต แต่ทว่าเธอก็จะสบายเมื่อแก่
แล้วท่านก็หันไปหาหลวงประทานทองวิจัย บอกพระขุนหลวงก็เหมือนกันนะ ไอ้การอยู่เป็นพระเห็นจะอยู่นานไม่ได้ เพราะขุนหลวงมีครอบครัว
แต่เพียงพรรษาเดียวขุนหลวงก็เอาดีได้ไม่แพ้เพื่อน ในกาลต่อไปเมื่อต้องสึกออกจากพระ ขุนหลวงก็อย่าทิ้งเสียนะความดีอันนี้ ขอให้ทรงเอาไว้
แล้วต่อไปเมื่อเสร็จกิจจากการรับราชการ ก็หันเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาใหม่ ตอนนี้แหละขุนหลวงจะได้ทุกอย่างตามที่ตั้งใจ
ความรู้เป็นคุณประโยชน์ต่อลูกศิษย์มาก
เอาแล้ว นี่การเจริญกรรมฐานพอขึ้นกับท่านนี่ พอลืมตาขึ้นมาแล้วท่านพูดอย่างนี้ แต่ก็บางคนนะ บางคนถ้าเป็นพวกผู้หญิงไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ท่านก็ไม่พูด
ท่านเฉย ๆ แต่ว่าเมื่อท่านอยู่กับฉันท่านก็มักจะมากระซิบกับฉันว่าคนนั้นจะเป็นอย่างนั้นนะ คนนี้จะเป็นอย่างนี้นะ แต่ว่าอย่าพูดไป
เพราะเขายังไม่รู้อะไรด้วยยังพูดไม่ได้ นี่พวกฉันได้รับพยากรณ์มาอย่างนี้ และท่านก็ทำอย่างนั้น
ก็แสดงเมื่อหลับตาแล้วพอลืมตาขึ้นมา ท่านรู้หมด ตอนที่รู้หมดของท่านนี่มันเป็นคุณเป็นประโยชน์มาก และทุกวันที่ท่านเลี้ยงอาหารในเวลา สองทุ่ม
ท่านมักจะอธิบายกรรมฐานที่เราสงสัยทุกอย่างให้เข้าใจชัดถึงวิธีการปฏิบัติและการรักษาอารมณ์ และอีกเวลาหนึ่งก็คือฉันข้าวเช้าเสร็จแล้ว
ระเบียบของที่วัดบางนมโคมีอย่างนี้ ถึงเวลาตีระฆังเป๊ง พระเข้านั่งก่อน หลวงพ่อท่านฉันรวม ไม่เหมือนหลวงพ่อเนียม ( หลวงพ่อเนียมท่านไม่ฉันรวม )
หลวงพ่อปานท่านฉันรวม ท่านนั่งหัวแถว ท่านมาทีหลัง พอพระตีระฆังเป๊ง พอเข้านั่งปุ๊บไม่มีเสียงพูด รับรองเสียงพูดคำเดียวไม่มีเลย
ถ้าจะเอาอะไรก็ต้องสะกิดกัน หยิบโน่นให้ทีหยิบนี่ให้ที เบาที่สุด เรียกว่าคนนั่งข้างๆ ใกล้ ๆ ห่างไปอีกองค์หนึ่งเกือบจะฟังไม่รู้เรื่อง
นี่เป็นระเบียบนั่งตัวตรง มีอาการสงบ แล้วหลวงพ่อเองท่านก็ไม่พูด มาถึงปั๊บท่านก็ถวายข้าวพระ
การถวายข้าวพระ
ถวายข้าวพระนี่เป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัยก่อนกินข้าว คือก่อนกินนึกถึงพระ ก่อนนอนนึกถึงพระ ก่อนทำงานนึกถึงพระ
แต่สมัยนี้ล้มถวายข้าวพระเสียหมดก็ใช้ไม่ได้ เหมือนกัน เป็นลูกอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อคุณแม่
พระพุทธเจ้าท่านมีคุณ เราบวชมาในพระศาสนาไม่อดข้าวไม่อดปลาไม่อดสถานที่อยู่ และมีผ้าห่มก็อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า อันนี้สมัยนี้ทิ้งกันเสียแล้ว
ใช้ไม่ได้ ใครเขาว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ฉันว่าใช้ไม่ได้ ไอ้ลูกไม่รู้คุณพ่อคุณแม่นี่ใช้ไม่ได้ จะเป็นใครบ้างก็ตามฉันไม่รู้ ใครทำใครก็ถูก
หรือเมื่อเสร็จจากการฉันแล้ว ท่านมักจะมองหน้าพระองค์นั้นองค์นี้ ท่านพูดองค์เดียว แล้วท่านก็บอกเลยว่า เออ! คุณ คุณองค์นั้น
เมื่อคืนนี้คุณปฏิบัติกรรมฐาน ถึงตรงนี้วางอารมณ์อย่างนั้นมันยังไม่ถูกนะ คุณต้องปฏิบัติอย่างนั้นสิ อย่างนี้สิ เรียกว่าท่านแก้อารมณ์ในตอนกลางคืนให้เสร็จ
ทั้ง ๆ ที่พวกเราอยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในกุฏิไหนต่อกุฏิไหนบ้าง บางองค์ก็ไปนั่งที่ศาลาบ้าง ไปอยู่ในโบสถ์บ้าง เพราะตอนเช้ายังไม่มีใครคุยให้ฟัง
แต่ว่าท่านจี้จุดถูกหมดถ้าเราปฏิบัติผิด
◄ll กลับสู่ด้านบน
พบโครงกระดูกลอยมา
คืนหนึ่งสำหรับฉันนะ ฉันจะเล่าให้ฟัง คนอื่นน่ะอย่าเอาเรื่องเขามาเล่าให้ฟังเลย เมื่อฉันเจริญกสิณไปแล้วประมาณ ๓ - ๔ กอง
ก็พอดีฉันพบอสุภกรรมฐานลอยขึ้นมา เป็นกระดูกคนนะ ลอยไปทีละชิ้น ๆ ฉันก็มองดูมันเรื่อย มันลอยทั้งคืน กระดูกแขนกระดูกขากระดูกซี่โครงกระดูก อะไรต่ออะไร
มันลอยผ่านหน้าเรื่อยไป ฉันก็ดูเรื่อยไป
ฉันไม่รู้ว่าทำอย่างไร เพราะไม่รู้วิธีปฏิบัติ ความจริงกระดูกเป็นอสุภกรรมฐานเป็นการตัดราคะจริต ตัดความรักในเพศ ถ้าใครปฏิบัติกรรมฐานกองนี้ได้แล้ว
ได้พระอนาคามีอย่างไม่ยาก นี่บอกให้ก็ได้ เพราะผลของกรรมฐานไม่เหมือนกันแต่ละกอง
แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้มีความหมายมาก ไม่ใช่ตรัสส่งเดช ไม่ใช่มีกรรมฐานอย่างเดียว คนที่มีกรรมฐานอย่างเดียวสอนให้คนปฏิบัติ ใคร ๆ
มาก็ปฏิบัติอย่างนั้น นั่นไม่ใช่นักกรรมฐานที่ได้มรรคได้ผลแล้ว เขาเรียกว่านักเดาสวด มีอะไรก็ให้เขาทำส่ง อึกอักอะไรก็บอกอย่างนี้สำเร็จ
ทำไปเถอะไม่ต้องเอาอะไรมากอย่างนี้ใช้ได้ ไอ้อย่างนี้มันใช้ไม่ได้เพราะอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน
ทีนี้ฉันเห็นกระดูกลอยลิ่ว ๆ ฉันก็ดูส่งเดช พอตอนเช้า พอฉันข้าวอิ่มเสร็จท่านก็มองหน้า ( พวกเราไม่รู้ว่าใคร ) ท่านบอก เออ! คุณ ไอ้ลิงดำน่ะ
เอาเข้านั่น นี่ฉันท่านเรียกไอ้ลิงดำ คำว่าไอ้ลิงดำนี่เรียก บางทีเผลอ เรียกต่อหน้าแขก ศัพท์ไอ้ลิงดำกันเลย ฉันก็ไม่ว่าอะไร
ฉันนึกชอบใจเสียอีกหลวงพ่อเรียกไอ้ลิงดำ มันตรงกับอัธยาศัย เพราะตอนเด็ก ๆ ฉันก็ไต่มะม่วง กินมะม่วงกินฝรั่ง ขึ้นยอดไม้เรื่อยคล้าย ๆ ลิงอยู่แล้ว
ถึงโตมาเป็นพระก็เกือบเผลอหลายหน จะย่องขึ้นยอดมะม่วง มันชอบไอ้มะม่วงมัน ๆ มะม่วงสุก ๆ มะม่วงหวาน ๆ มะม่วงท้องร่องไม่ชอบ ถ้ามะม่วงมันล่ะก็ชอบ
เห็นก็ไม่ได้นํ้าลายมันไหล
อัฏฐิกัง ปฏิกูลัง
ท่านบอกไอ้พระลิงดำ เมื่อคืนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ไอ้ตอนตี ๒ กระดูกมันลอยมาทำไมไม่บังคับให้มันกองอยู่ล่ะ เขาต้องบังคับให้มันกอง พอมันกองครบแล้ว
มันจะกลายเป็นกระดูกครบถ้วน คือเรียงกันเข้าเป็นตัวเลย เรียงเป็นร่างกระดูกครบถ้วน แล้วให้พิจารณา
อัฏฐิกัง ปฏิกูลัง
หมายความว่า กระดูกเป็นของปฏิกูล น่าเกลียด ร่างกายเราเมื่อสภาพกาลหมดไปแล้วก็คงมีโครงกระดูกเป็นเรือนร่าง เป็นแก่นของร่างกาย คนและสัตว์ที่เกิดมาแล้ว
ไม่มีสภาพจะคงที่ได้ ถ้ามีร่างกายบริบูรณ์สมบูรณ์ เมื่อสิ้นลมปราณแล้ว ร่างกายก็จะผุจะพัง นํ้าเหลืองจะไหล ธาตุดินไปส่วนหนึ่ง ธาตุนํ้าไปส่วนหนึ่ง
ธาตุไฟไปส่วนหนึ่ง ธาตุลมไปส่วนหนึ่ง ผลที่สุดเนื้อหนังก็ละลายไป เหลือแต่กระดูก และกระดูกก็จะเป็นโครงอย่างนี้ หาความสวยหาความงามไม่ได้ หาความคงที่ไม่ได้
อันนี้เป็นอสุภกรรมฐานในด้านสมถะ
นิจจัง สุขัง อัตตา
เมื่อจิตใจเยือกเย็นแล้วให้พิจารณาต่อไปว่า อัตภาพร่างกายอย่างนี้มันเกิดขึ้นในเบื้องต้นมันเป็น อนิจจัง
หรือเปลี่ยนแปลงมาในระหว่างกลาง แล้วต่อไปก็ผุพัง ทำลายในที่สุด อนัตตา อย่างนี้ความเกิดนี่มีสภาพคงที่
ก็ไม่ควรจะยึดถือความเกิดต่อไป เมื่อขณะใดที่เกิดมาก็จะพบกับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มี นิจจัง สุขัง อัตตา
นิจจัง มีสภาพคงที่
สุขัง ไม่มีทุกข์
อัตตา มีสภาพเป็นตัวตน ยืนตลอดกาลตลอดสมัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งไม่มีสำหรับอัตภาพที่มีขันธ์ ๕ เพราะมันต้องเป็นอนิจจัง คือเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงอยู่เรื่อยไป เพราะความไม่เที่ยงมันจึงเป็นทุกข์
เพราะเป็นทุกข์นี่แหละสภาวะอนัตตาจึงปรากฏ คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันพังมันทำลาย ร่างกายคือกระดูกที่เราเห็นอย่างนี้มาก่อน
เพราะมีเรือนร่างครบถ้วนบริบูรณ์อย่างเรา มีลมปราณเหมือนกัน มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน แต่ว่านี่เนื้อหนังมังสามันหมดไปแล้วเหลือแต่กระดูก
อันเป็นส่วนแก่นแท้ภายในร่างกาย เมื่อพิจารณาไปส่วนไหนมันก็ไม่น่ารักไม่น่าดู ไม่น่าชม มันน่าเกลียด
บังคับกระดูกให้ลงมากองรวมกัน
ท่านบอกว่า ต้องทำอย่างนี้เมื่อกระดูกมันลอยมา ต้องบังคับให้มันลงมากองอยู่ข้างหน้าเรา แล้วมันจะกลายเป็นตัวของมันขึ้นมาเอง
อันนี้พูดถึงอารมณ์ที่ท่านรู้นะ อย่างนี้ทุกองค์โดนหมด ถ้าใครจับจังหวะผิดปั๊บท่านบอกเลย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องบอก ท่านนอนอยู่ที่กุฏิของท่านแท้ ๆ
เราอยู่ในป่าช้า แล้วสภาพอย่างนั้นเมื่อเราเห็นแล้วเราก็ไม่ได้บอกกับใคร แล้วท่านรู้ได้อย่างไร
แต่อันนี้ไม่ต้องพูดกัน เพราะว่าท่านเป็นฝ่ายพุทธภูมิแล้วก็กรรมฐานครบถ้วน แล้วก็เป็นพระได้อภิญญาและทรงสมาบัติ ๘ เสียด้วย
อันนี้เรื่องการรู้ไม่ต้องห่วง รู้จริงๆ ถ้ารู้ไม่จริงท่านก็พูดให้ตรงกับที่เราเห็นไม่ได้
หลวงพ่อปานรู้อารมณ์ใจลูกศิษย์
ถ้าคืนไหนถ้าเราทำถูก ถ้าใครทำถูกทำความเหมาะสมรักษาอารมณ์ถูก ท่านก็พูด เหมือนกัน บอก เออ! คุณองค์นั้นน่ะ เมื่อคืนนี้ดี วางอารมณ์อย่างนั้นน่ะถูก (
เอาเข้านั่น ) แต่ว่าถูกมันอาจจะน้อยไปนิด ควรต่อวิปัสสนาญาณเลยสิคุณ เมื่ออารมณ์จิตเรียบร้อยคืออารมณ์จิตตั้งมั่นในสมาธิดีแล้วมีความเยือกเย็น
ต่อวิปัสสนาญาณเลยหวังมรรคผลซิ เราอย่าทำเพื่อฌานโลกีย์โดยเฉพาะต้องหวังมรรคหวังผล หวังหนีนรกมันให้ได้ ศาสนาเราไม่มีการล้างบาป
แต่ว่าศาสนาของเราก็มีการหนีบาปได้ ในการทำความดีถึงที่สุดบาปไม่สามารถจะลงโทษเราได้ ท่านผู้ฟังถ้าสมมุติว่าเป็นท่านบ้าง ท่านจะครึ้มใจไหม จะดีอกดีใจไหม
จะเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของท่านไหม ปฏิปทาที่ท่านสอนเป็นอย่างนี้
ท่านเน้นสอนธรรมมาก
แล้วก็ความรู้ทางอื่น ในเรื่องต้องการรู้อย่างอื่น เราไปหาท่านน่ะต้องเลือกเวลา แต่ว่าถ้าขัดข้องในธรรมวินัยก็ถามได้ทุกเวลานี่ ท่านอนุมัติไว้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเกิดขัดข้องอะไรขึ้นมาก็ถามได้ทุกเวลา จะเป็นกลางวันมืดคํ่าดึกดื่นไม่เป็นไร
หรือมีแขกเหรื่อมากมายอย่างไรก็ไม่เป็นไร แขกที่มานี่ท่านรับแขกคนป่วยบ้าง ไม่ป่วยบ้าง มากันเรื่อย แต่ว่าถ้าแขกคนไหนพูดเรื่องกรรมฐาน ขึ้นมาคำเดียว
ท่านจะทิ้งเรื่องอื่นทั้งหมด ท่านบอกว่าเรื่องนี้เรื่องสำคัญต้องพูดกับเขาให้จบเสียก่อน ถึงแม้ว่าคนนั้นมาทีหลังท่านก็จะให้โอกาสก่อนถ้าเป็นเรื่องกรรมฐาน
นี่ท่านสนใจจริงๆ
ปฏิปทาในการสอนกรรมฐาน
ปฏิปทาของหลวงพ่อในการสอนกรรมฐาน ท่านสอนแบบนี้คือท่านจี้จุด คือว่ารู้จิตใจท่านอธิบายให้ชัดเจนให้เข้าใจทุกจังหวะทุกวัน
แล้วถ้าลูกศิษย์องค์ไหนถ้าอยากได้อภิญญา หรือสนใจเรื่องอภิญญา พอตอนกลางคืนเวลา ๒๐.๐๐ น. ท่านก็สอนแล้ว
คุยกันถึงเรื่องอภิญญาสมาบัติ ว่าการเจริญทิพจักขุญาณต้องทำอย่างนั้นนะ เราจะเห็นสวรรค์ได้ เราจะเห็นนรกได้
ถ้าเราต้องการจะไปนรกไปสวรรค์ทั้งตัวเป็นอภิญญา ๖ เราต้องทำอย่างนี้นะ ถ้าอยากจะฟังในหนังสือก็มีแล้วนี่ อยากจะดูให้ชัดก็ดูในหนังสือซิ
แต่เมื่ออยากจะฟังก็จะพูดให้ฟังสักนิด หนึ่งเพราะมันพูดละเอียดไม่ได้ เวลาเล็กน้อย
ถ้าเราอยากจะได้ทิพจักขุญาณ ถ้าเป็นอธิกัมมิกบุคคล คือบุคคลประเภทนั้นไม่เคยได้ทิพจักขุญาณมาในชาติก่อน มาเริ่มต้นกันในชาตินี้ทีเดียว
ว่ากันอย่างนี้นะ เราก็จับกสิณ ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว คืออาโลกสิณ กสิณแสงสว่าง โอทาตกสิณ กสิณสีขาว
เตโชกสิณ กสิณไฟ ทั้ง ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเจริญกสิณตามแบบ ให้ไปเปิดดูในคู่มือกรรมฐานจะไม่อธิบายในที่นี้
เพราะเปลืองเวลาเทปมีน้อย
คือเจริญกสิณให้ถึงอุปจารสมาธิ หมายความว่าจิตหลับตาแล้วเห็นภาพที่เรากำหนดได้ตามความประสงค์ บังคับภาพให้สูงได้ให้ใหญ่ได้ หนัก ๆ
เข้าเมื่อจิตเป็นสมาธิสูงขึ้นภาพแสงสีคือสีขาว แสงสว่างก็ดี แสงไฟก็ดี จะเปลี่ยนสีเป็นประกายพฤกษ์ ระยิบระยับแพรวพราว อย่างนี้ชื่อว่าอุปจารสมาธิถึงที่สุด
พอได้อุปจารสมาธิถึงที่สุดอย่างนี้แล้ว ตอนนี้ถ้าเราอยากจะเห็นนรก พอมองดูภาพจะเห็นภาพใสสว่างขนาดไหนและเห็นชัดขนาดไหน แล้วอธิษฐานว่าขอภาพนี้จงหายไป
ขอภาพนรกจงปรากฏแทน ( เห็นทางใจนะไม่ได้ เห็นทางตา ) อย่างนี้เรียกว่าทิพจักขุญาณมีความรู้เหมือนตาทิพย์ ไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์ คราวนี้ภาพนรกก็จะปรากฏ
ต้องการดูสวรรค์ ต้องการดูนรก แต่ละขุม ๆ หรือต้องการเห็นอะไรภายในโลกนี้ก็ได้ อยากจะเห็นเมืองนอกเมืองนาว่าเวลานี้
ประธานาธิบดีอเมริกันนั่งขี้หรือนั่งเยี่ยวอยู่ หรือคุยกับใคร หรือว่ากินข้าว หรือว่านายกรัฐมนตรีเมืองอังกฤษไปเข้าซ่องที่ไหน
หรือว่าประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังคิดญาณอะไรต่ออะไร อันนี้ได้ทั้งนั้น อยากจะรู้อะไรก็ได้หมดมันเห็นชัด เห็นเหมือนกับเราเห็นภาพยนตร์
อาการอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ ถ้าอยู่ในระหว่างฌานโลกีย์แล้วมันรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ มันอยากรู้จริง ๆ ไอ้ตัวอยากมีมากเพราะตัณหามีมาก
แต่พวกที่ได้ฌานโลกุตตระเบื้องสูงแล้ว หมดอยาก ( คือสูงสุดนะ ) ถ้าสูงยังไม่สุดก็ยังมีอยาก มันยังอยากอยู่ แต่ว่าอยากในสิ่งที่เป็นบุญท่านไม่ตำหนิ
สำหรับทิพจักขุญาณนี้ถ้าบางคนที่เคย ได้มาในชาติก่อน อันนี้เจริญไม่ยาก พอทำไป ๆ พอถึงอุปจารสมาธิปั๊บ ไม่ว่ากรรมฐานกองไหน ถ้าเคยได้มาในชาติก่อนนะ
ไม่ว่ากรรมฐานกองไหน พอทำจิตเป็นสมาธิถึงอุปจารสมาธิมันมีความรู้ขึ้นมาเอง เพราะของเก่ามันเข้ามาถึง
นี่ท่านอธิบายให้ฟังชัด ท่านอธิบายละเอียดกว่านี้ นี่พูดให้ฟังย่อ ๆ ไม่ใช่อธิบายเรื่องของท่านให้ฟัง ถ้าอธิบายอย่างท่านล่ะก็หลายชั่วโมง ท่านพูดเพราะ
ท่านพูดดี จี้มุมโน้น จี้มุมนี้ แก้ไขมุมโน้น แก้ไขมุมนี้ พูดให้ฟัง พูดจนกระทั่งเราอยากได้ทิพจักขุญาณ
นี่ไอ้ฉันนี่ตะเกียกตะกายเข้ามาก็เพราะเรื่องที่ท่านพูดให้ฟัง แล้วเราก็ย่องถามท่านว่า หลวงพ่อได้ไหมครับ
ท่านบอก ไม่แน่ ข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่นรกสวรรค์ข้าเห็นทุกวัน เอาเข้านั่น อย่าไปจี้ท่านเข้านะว่าท่านได้หรือไม่ได้ ท่านไม่รับ
แต่ท่านบอกท่านเห็น เป็นอย่างนั้นด้วย
ท่านสอนอภิญญาด้วย
ทีนี้พวกที่ได้อภิญญา พวกที่ทรงอภิญญาท่านก็คุยเรื่องอภิญญาอีก ท่านบอกเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ได้รอบ ๆ มันดีอย่างนี้ เพลิน คุยกับท่านน่ะเพลิน
ท่านบอกว่าอภิญญาทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ อยากจะไปไหนลัดนิ้วมือเดียวมันก็ถึง
ถามว่า หลวงพ่อไปไหนทำไมต้องใช้เรือ
ท่านบอก ฮึ ! นั่นมันงานธรรมดานี่หว่า เหาะไปได้หรือ พระพุทธเจ้าห้ามแสดงฤทธิ์ต่อหน้าคน ไอ้ที่เขาทำให้ได้อย่างนั้น ไม่ใช่เขาทำเพื่อเหาะอวดชาวบ้าน
ไม่ใช่ดำดินดำทรายอวดชาวบ้าน ทำเพื่อรักษาอารมณ์สมาธิ เพื่อให้จิตตั้งมั่นจริง ๆ มีกำลังกล้า เพื่อเอากำลังอันนี้แหละไปส่งเสริมวิปัสสนาญาณ
เพื่อให้ได้มรรคผล อย่าไปทำเพื่อเล่นกล อย่าไปอวดชาวบ้านเขา ผิดพระพุทธบัญญัติ
พระพุทธเจ้าทรงห้ามแสดงฤทธิ์โดยไม่จำเป็น เอาเข้าแล้ว แต่เดี๋ยวท่านก็เลี้ยวมาอธิบายถึงองค์อื่นแต่ตัวท่านน่ะท่านไม่พูดหรอก อย่างหลวงพ่อโหน่ง
หลวงพ่อเนียม พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต วัดสระเกศ หลวงพ่อพริ้ง วัดมะกอก หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปั้น ท่านมีฤทธิ์ท่านมีเดช
ท่านทำไอ้นั่นท่านทำไอ้นี่ท่านทำไอ้โน่น คุยเพลิน ทีนี้พวกเราก็ชอบถามว่าหลวงพ่อทำได้ไหมครับ
ท่านบอก ถามอะไรข้า
บอก ผมอยากจะทราบครับ ถ้าหลวงพ่อทำได้ ผมก็จะได้ฝึกบ้าง ถ้าหลวงพ่อทำไม่ได้ผมก็ไม่ฝึก
ท่านบอก ฝึกไปเถอะ ข้าสอนได้ ข้าสอนให้ทำอย่างเขาได้ ขอให้แกทำกันจริง ๆ ตั้งใจ แต่ว่าไอ้ลิงดำนี่ไม่ได้ พูดไปพูดมาก็หันมาล่อไอ้ลิงดำ (
ไอ้ลิงดำนี่เป็นขี้ปากเขา เรียกกระโถนท้องพระโรง ) ไอ้ลิงดำนี่ไม่ได้ฝึกอภิญญาสมาบัติไม่ได้ แกมันยังหนีคนไม่ได้ อย่างไอ้ ๒ คนนี่ ไอ้ลิงขาวกับไอ้คุณน้อม (
เรือตรีน้อม ) หรือฤๅษีพนมไพร ทั้ง ๒ คนนี่เขาจำจะต้องฝึก
แล้วก็จี้ไปถึงพระลาว องค์นี้เห็นไหมเขามา ๒-๓ วันไม่ถึงเดือนเขาได้อภิญญา ทำอะไรก็ทำได้ อันนี้ความจริงเขามีสมาธิดีมาแล้ว ( สรรเสริญเสียด้วย )
แต่ว่าครูบาอาจารย์เขาสอนผิด สอนให้สร้างสมาธิลงนรก ไม่มีประโยชน์ แต่ก็เป็นความดี นี่เป็นบุญของเขานะ เขาถึงมาพบฉัน เป็นบุญของเขาและก็บุญของฉันด้วย
ถ้าฉันไม่มีบุญล่ะพระไม่ช่วยฉัน ฉันก็ไม่มีลูกศิษย์ดี ๆ อย่างนี้ ท่านพูดไปพูดมาก็ยอเสียอีก ไอ้พวกเราก็ยิ้ม ตัวยอมันก็ทำให้ยิ้ม
เพราะคนที่ไม่ชอบยอมันไม่มี ไอ้ตอนนั้นชอบยอ แต่ตอนนี้อย่ายอมากเดี๋ยวเกลียดขี้หน้าเอา เดี๋ยวนี้ใครมาเจ้าขาเจ้าค่ะ มาขอพึ่งบารมี ขอชมบารมีล่ะ
แหม..อยากจะดีดเป๊งให้ออกไปนอกกุฏิ เจอบ่อย
ถามว่ามาทำไม บอกว่าอยากจะมาชมบารมีเจ้าค่ะ มาอีท่านี้ อยากจะอ๊อก ๆๆ อาเจียนออกมาให้มันหมดท้อง มันคลื่นไส้ เพราะคำว่าบารมีนี่มันไม่มีสำหรับฉัน
พระนี่เขาเลิก อย่าไปชมไปเชิมไม่ต้อง ใครมาหาฉันต้องพูดตรงไปตรงมาฉันชอบ ถ้าพูดอ้อม ๆ ค้อม ๆ ฉันถือว่าเสียเวลานอน
ฉันจะทำงานบ้างหรือจะนอนขึ้นมาก็มีประโยชน์ ไอ้พูดเอาเรื่องเอาราวไม่ได้นี่ไม่ชอบ เพราะตอนนี้มันแก่แล้วมันใกล้จะตายมันใช้เวลามากไม่ได้ เพราะมันห่วง
ห่วงงาน งานอะไรรู้ไหม เตรียมตาย!
เอ..นี่พูดเรื่องอะไร พูดเรื่องกรรมฐาน นี่คนแก่มันเลอะเทอะ พูดถึงวิธีฝึกกรรมฐานของหลวงพ่อท่านใช้ญาณพิเศษ
ไอ้ญาณพิเศษของท่านโดยมากท่านจะใช้เป็นปกติทีเดียว ถ้าไม่เช่นนั้นท่านก็อาจจะรู้ไม่ได้ฉันจะเล่าให้ฟัง
พบสาวชุดสีชมพูที่เชียงใหม่
เมื่อออกพรรษาคราวหนึ่ง ท่านให้สตางค์ฉันไปเที่ยว โน่น..ที่เชียงใหม่ ฉันก็ไป ๓ เสือ ( ๓ เสือออกพร้อมกัน ) ให้สตางค์คนละ ๒๐๐ บาท ( สมัยนั้น ๒๐๐
บาทไม่ถือว่าเล็กน้อย ) เงิน ๒๐๐ บาทนี่ต้องเป็นพันตรีนะ พันตรีอันดับแรกยัง ๙๕ บาทแล้ว ๒๐๐ บาทนี่พันตรีเต็มขั้นนะ ๒๕๐ บาทนี่พันโท
เป็นอย่างนั้นเงินเดือนนายพันตรี ท่านให้คนละ ๒๐๐ บาทไปเที่ยวเชียงใหม่ ฉันก็ไปเที่ยว ไปเที่ยวไปตามอารมณ์เพราะเพื่อนฝูงก็มี ไปเจอพวกนายทหารเพื่อนเก่าๆ
ก็ไป ไปกันอีโลงโทงเทง พากันขึ้นไปดอยสุเทพ ขึ้นไปนั่งกรรมฐานกัน
แหม..อีตอนขึ้นไปอยู่ดอยสุเทพนี่สิ ไปเจออีหนูเข้า อีหนูไปเยอะ อีหนูข้างล่างชอบขึ้นไปหา เป็นงั้นเสียด้วยสำหรับพระ แต่มันมีอีหนูอยู่คนหนึ่ง
รูปร่างหน้าตาแหม..มันตรงกับอัธยาศัย เรียกว่าตรงกับอุดมคติ หน้ารูปไข่ ท้วม ๆ น้อย ๆ เนื้อเต็ม ไอ้คนเนื้อไม่เต็มนี่ฉันไม่ชอบ (
ถ้าใครเห็นแม่ศรีของฉันนะไปดูสิ เนื้อเต็มบริบูรณ์สมบูรณ์ไม่ใช่อ้วนตุ )
แต่นี่ไม่ใช่ฉันไปฝันให้ได้รูปอย่างนั้นนะ คือพูดให้ฟังถึงตอนนั้น เพราะจิตใจฉันชอบอย่างนั้นและมันคงจะเป็นมาหลายร้อย หลายพันชาติ
ไอ้แบบผอมอีโรงโคลงเคลงมันนี่ไม่เอา ไอ้อ้วนแบบตะโพนฉันก็ไม่มอง ต้องเป็นคนรูปร่างดี ไอ้ที่เจอ ๆ มาแล้วต้องรูปร่างดี ท่าทางสงบเสงี่ยม
รูปร่างดีแล้วก็ต้องมารยาทดีด้วย จริยาต้องดี วาจาต้องไพเราะ มีท่าทางนิ่มนวล อย่างนั้นด้วยเลือกคน มันถึงได้หากับเขาไม่ได้ แล้วพอเจอยายคนนั้นเข้าให้
แหม..มันเป็นอย่างนั้นเสียด้วย ไม่รู้มันเป็นอย่างไร แต่ก็นึกในใจว่า ยายนี้ถ้าเราไม่ใช่พระก็น่ากลัวจะจมปลักอยู่ที่นี่แหละ
แต่นี่เราเป็นพระเสียแล้วก็ช่างเถอะ จะมาอย่างไรก็ช่าง
ก็ไปพักอยู่บนดอยสุเทพ ๑๕ วัน แกก็ขึ้นมาได้ แต่ว่าไปพักอยู่แล้วประมาณสัก ๕ วันแกก็ขึ้นมา หลังจากแกขึ้นมาวันแรกแล้วแกก็ขึ้นมาทุกวัน
เอาอาหารการกินมาให้รู้สึกว่าจะเป็นลูกคนมีสตางค์สักหน่อย ก็สืบทราบจากพวกว่าเป็นเจ้าหน่อยๆ เป็นเจ้าเชียงใหม่ ไม่รู้เจ้าอะไร ลืมชื่อเสียแล้วแต่ชื่อเพราะ
จำไม่ค่อยได้ เพราะไม่สนใจ
ทีนี้พอคุยกันไปคุยกันมา ถามว่าความรู้สึกไปรักเขาไหม บอกว่าเปล่า ก็ขณะนั้นไม่เอาล่ะ ห่วงกรรมฐาน จะไปทำบนยอดเขาให้สบาย
แต่เมื่อแกจะมาคุยก็ไม่ขัดอัธยาศัยในฐานะที่เราไปบ้านเขา เขาเอาอาหารมาเลี้ยง เขารู้ว่าเราเป็นคนเมืองใต้กลัวจะกินอาหารชาวเหนือไม่ได้
เขาก็จัดอาหารเมืองใต้จากร้านเจ๊กไปเลี้ยง ก็ตามใจเขา เราก็โอภาปราศัยตามปกติ
ทีนี้ตอนจะกลับวัด แกก็ยกขบวนมาส่ง วันที่กลับวัดนี่ แกแต่งตัวแบบไหน ? แกปักผ้าสีชมพูเข้าให้ แหม..มันเข้ากับเนื้อเด่น ( คนขาวเหลือง ) เสื้อก็สีชมพู
ผ้านุ่งก็สีชมพู และแถมผ้าคาดผมก็สีชมพูเข้าอีก ไอ้สีชมพูนี่แปลก ฉันชอบสีอยู่ ๒ สีนะ ตอนนั้นมันบ้าสีนะจะพูดให้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่เอาถ่านแล้วนะ สีเขียวอ่อน
ๆ กับสีชมพู และสีเหลืองด้วย คือ ๓ สีนี้มันจับใจจริง ๆ ถ้าคนใช้ผ้า ๓ สีนี้มันถูกอกถูกใจ ไม่รู้ทำไมแกไปแต่งตัวสีนั้น
แต่ว่าฉันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วนี่ ฉันก็เอาอสุภกรรมฐานเข้ามาตัด มันจะมีอารมณ์หวั่นไหวอยู่บ้างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ฉันก็ไม่คิดไม่ฝัน
เมื่อนั่งมาในรถแล้วเพื่อนเขาถามว่า
เป็นไงโว๊ย นึกถึงแม่สีชมพูไหม
ก็เลยบอกว่า ถ้าอั๊วกลับไปเชียงใหม่อีก อั๊วอาจจะนึกถึงแกว่ะ เพราะแกเอาอะไรมาให้กิน ถ้าหากว่าไม่กลับไปเชียงใหม่อั๊วไม่นึก
อั๊วอยากได้อย่างเดียวฌานสมาบัติ
แต่เพื่อนเขาก็ยิ้ม ๆ บอกว่าไอ้หมอนี่น่ะโกหก
ก็บอกว่าไม่โกหกหรอก เป็นความจริง นี่เป็นเรื่องของเพื่อนกับฉัน
หลวงพ่อปานทักถูก
จะเล่าถึงเรื่องหลวงพ่อปาน พอฉันกลับมาถึงวัด ท่านก็นั่งยิ้มแปร้อยู่หน้ากุฏิ
ฉันเคยพูดมาแล้วว่าลูกศิษย์ที่ดีจะเลี้ยวเข้ากุฏิก่อนในเมื่ออาจารย์ยังอยู่ข้างนอกไม่ได้ เมื่อถึงแล้วต้องเข้าไปหาท่านก่อน ไปไหว้ก่อน
ไม่ใช่ไปนอนพักสักตื่นแล้วค่อยไปหาครูบาอาจารย์ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ไม่ใช่ระเบียบของพระ
เมื่อเห็นท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิก็วางอัฏฐบริขาร ( ไม่ใช่ธุดงค์นะ ) คือกระเป๋าเดินทาง วางแล้วก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็นั่งยกมือรับไหว้
แล้วก็ยิ้มแก้มแทบปริ พอเดินเข้าไปท่านก็ยิ้ม พอกราบ ๓ หนพอเงยหน้าขึ้นมาท่านถามเลยว่า เป็นอย่างไรคิดถึงแม่สีชมพูไหม โอ้..ไม่ไหว ดูเถอะ
ท่านอยู่วัดบางนมโค อ.เสนา โน่นนะ เลย จ.อยุธยา ไปอีก นี่เขตอยุธยาเหมือนกัน แต่ยายคนนั้นอยู่เชียงใหม่ ท่านแอบรู้ไปโน่น นี่คนแก่สายตายาว
นี่แหละท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำให้ดีนะ เล่าให้ฟังนี่เป็นนิทาน
สำหรับหลวงพ่อปานนี่ ท่านสนใจในกรรมฐานและวิธีสอน และก็รู้จักเจโตปริยญาณ ไม่ใช่ตามหนังสือบางเล่มที่ว่ารู้จักดักใจคน ทายใจคน ไม่ใช่อย่างนั้น
ไอ้เรื่องสีนี่มันทายกันไม่ได้หรอก นั่นท่านเห็นแล้วบอกสีชมพู คนแต่งตัวสีชมพู ความจริงมันสวยเด่นจริง ๆ คนนี้ ฉันนั่งอยู่ที่นี่ฉันเห็นฉันยังนึกชอบ
เอาเข้านั่น ไอ้แก้มอูม ๆ เนื้อหน้ารูปไข่ มีผิวเนื้อขาวเหลือง มันตรงกับอัธยาศัยของไอ้ลิงดำจริงฮึ แล้วก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
แล้วในที่สุดท่านก็พูดไปพูดมาท่านก็ล่อด้วยอสุภกรรมฐาน พูดไปพูดมาท่านก็บอกไม่ช้ามันก็แก่ มันก็ตาย มันก็ยานเถิกถาก ๆ
ผลที่สุดก็หลังหง่อมเป็นผีหมดทุกคน ไปลงอสุภกรรมฐาน
อันนี้เป็นเรื่องราวในปฏิปทาในการสอนกรรมฐานก็พูดให้ฟังแต่เพียงย่อ ๆ พอเท่านี้นะ สำหรับเทปต่อไป ก็จะเล่าประวัติเรื่องกรรมฐานอีกสักเล็กน้อย
ตามที่จำเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มมาได้ สำหรับเป็นนิทัศนะสำหรับท่านผู้ฟังได้รู้ว่าปฏิปทาของหลวงพ่อปานในการ
สอนกรรมฐานและผลของการปฏิบัติบางประการของลูกศิษย์เป็นประการใด
เอาละ เทปหน้านี้หมดแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้ฟังทั้งหลายทุกท่าน สวัสดี*
◄ll กลับสู่ด้านบน
***(โปรดติดตามอ่านในฉบับหน้า)***
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 14/8/08 at 21:56 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 4/9/08 at 09:30 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 14/9/08 at 19:53 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 22/9/08 at 13:14 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 29/9/08 at 11:22 |
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 28/10/08 at 14:13 |
|
Update 28 ต.ค. 51
เอามาตอนหลวงพ่อตายแล้ว คือท่านมรณภาพแล้วเหลือถึงฉัน แล้วฉันก็เป็นไอ้ลิงดำของหลวงพ่อปาน เขาเรียกว่าลิงหน้าพลับพลา จะไปไหนก็ตามมักจะเอาลิงดำไปด้วย
ไอ้เจ้าลิงดำต้องนั่งอยู่หน้าพลับพลาน่ะไปไหนไม่ได้ คอยรับแขก ไม่รู้ล่ะหลวงพ่อหลับก็ต้องอยู่ยาม หลวงพ่อตื่นก็ต้องนั่งอยู่ใกล้เพื่อคอยรับพระบัญชา
เป็นผู้รับสนองพระโอษฐ์ นี่ว่ากันอย่างกษัตริย์ แต่ความจริงพระก็สูงพอ เพราะกษัตริย์ยังต้องไหว้ จะเรียกอย่างนี้บ้างมันก็คงไม่ผิด
ฟื้นฟูวัดบางนมโค
ตอนนี้เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้ว ฉันต้องกลับไปบูรณะวัดหมายความว่า ไปฟื้นฟูวัดเพราะว่าวัดทรุดโทรม ผลรายได้ของวัดตกลงเหลือไม่ถึงปีละ ๒๐๐ บาทในงานประจำปี
แล้ววัดก็เงียบเหงา ฉันก็ต้องกลับไปฟื้นเป็นการใหญ่
ระบบใดเป็นระบบของหลวงพ่อที่เคยทำมาฉันรื้อฟื้นหมด เอาหมด ทำงานเลี้ยงคน ตั้งโรงครัวเลี้ยง ๓ โรง หลวงพ่อตั้ง ๓ โรง ฉันก็ตั้ง ๓ โรง
หลวงพ่อทำอย่างไรฉันก็ทำอย่างนั้นนะ ทำตามแบบนะ เพราะฉันทำได้ไม่เท่าหลวงพ่อหรอก ฉันทำตามแบบ ไม่รู้ว่าเลี้ยงคนอย่างไรก็ทำ
ผลงานที่ทำ
ปีแรกพอตีตื้นขึ้นมา ผลงานของวัดได้ประมาณ ๙,๐๐๐ บาทเศษ นี่คือกำไรสุทธิจาก ๒๐๐ บาทมาเป็น ๙,๐๐๐ บาทเศษ
ปีที่ ๒ เป็น ๑๓,๐๐๐ บาท
ปีที่ ๓ เป็น ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ
จากนั้นก็มาปีละ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ บาทเป็นประจำ นี่รู้สึกว่าวัดตีตื้นขึ้นมาได้
เป็นหนี้ก่อน
แล้วต่อมาฉันก็เริ่มการก่อสร้าง การก่อสร้างแบบหลวงพ่อคือลงทุนก่อนบอกทีหลัง ฎีกาก็แจกอย่างหลวงพ่อคือแจกฎีกาไปแล้วเพื่อบอกข่าวเฉยๆ
ไม่ได้ให้คนมาเรี่ยราย
ถ้าคนมาแจกฎีกาเรี่ยรายก็อย่าให้เขาเพราะฉันไม่ได้ใช้มา ใครจะทำบุญก็ต้องไปทำกับฉันที่วัด ฉันเอาตามท่านทุกอย่างก็เกิดผลเพราะว่าเวลาที่จะทำฉันก็ต้อง
บวงสรวง บอกท่านเสียก่อน คือถามท่านเสียก่อน ถ้าท่านอนุมัติอย่างไหนฉันทำอย่างนั้น
อยากรู้ต้องปฏิบัติ
ตอนนี้คงจะสงสัยละมั๊งว่าหลวงพ่อตายไปแล้วฉันพูดกับหลวงพ่อได้อย่างไร อันนี้ก็ยกประโยชน์ให้กับฉันคนเดียวก็แล้วกันนะ
ถ้านักปฏิบัติอยากจะทำให้ได้ก็ทำกรรมฐานให้ถึงฌานเสียก่อนแล้วจะรู้ ต่อไปรู้แล้วฉันจะสอนให้
เมื่อฉันตายไปแล้วหรือไม่พบฉันก็เปิดหนังสือคู่มือกรรมฐานแล้วปฏิบัติตามนั้น คือปฏิบัติตามหนังสือเพราะเขียนไว้หมดแล้ว เอาจริงๆ
ทำแบบเอาชีวิตเข้าแลก
ต่อไปจะพูดกับผี พูดกับเทวดาได้หรือปรึกษาหารือกันได้ เพราะฉันเองฉันก็ได้อย่างนี้มาจนคล่องแคล่วก็เมื่อหลวงพ่อฉันตายแล้ว
พึ่งตำรา
เมื่อหลวงพ่อตายแล้วฉันถือว่าหมดที่พึ่งฉันก็คว้าตำราที่หลวงพ่อสอนนั่นแหละ ฉันหวดกันด้วยชีวิต มันจะเป็นมันจะตายให้มันรู้ไป ทำไม่ได้ให้มันตายไปเลย
นี่ฉันเอาอย่างนี้ นี่ฉันเป็นลูกพ่อฉันนี่ พ่อฉันเป็นอย่างนี้
ทำจริงจัง
ฉะนั้นในฐานะที่ฉันเป็นคนเอาเป็นเอาตาย ทุกอย่างมันจึงสำเร็จตามความประสงค์ แต่ทั้งๆ ที่ฉันจะไม่ได้นามว่าพระอรหันต์ก็ตาม
ฉันก็ยังมีความภูมิใจว่าฉันเป็นคนหนึ่งที่เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่บุญบารมีของฉัน
ฉันตายแล้วมันจะไปไหนก็ช่างหัวมัน ฉันไม่ปรารถนาความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทวดา ความเป็นพรหมน่ะเป็นมาแล้วทุกอย่าง เป็นสัตว์นรกก็เป็น เป็นเปรตก็เป็น
อสูรกายก็เป็น สัตว์เดรัจฉานก็เป็น และเป็นมาเยอะแยะ คนก็เป็นมาเยอะแล้วมันเอาดีไม่ได้
ถ้าตายคราวนี้แล้วมันจะไปไหนก็ช่างหัวมันไม่ต้องการ ไม่ปรารถนาอะไรทั้งนั้น ไม่ประสงค์ความเป็นมนุษย์ ไม่ประสงค์เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย
เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ประสงค์เป็นเทวดา ไม่ประสงค์เป็นพรหม
ทำดีมากไปนิพพาน
อันนี้เป็นเรื่องของจิตของฉันคิดว่าไม่ประสงค์นะ แต่มันจะไปติดกับอยู่ตรงไหนบ้างก็เป็นเรื่องของมัน เมื่อทำไม่ดีก็เชิญลงนรกไป
ทำดีน้อยก็เชิญมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดาหรือเกิดเป็นพรหม
ถ้าทำดีมากที่สุดก็ไปนิพพานเหมือนกัน แต่ว่าฉันจะไปได้หรือไม่ได้เอาไว้อนาคต เป็นเรื่องของอนาคตพยากรณ์ตัวเองไม่ได้ อ้าวพูดเลอะไปอีกแล้ว
อีตาแก่นี่เลอะ
ตอนนี้มาว่ากันต่อไปในสมัยฉันเมื่อฉันทำตามหลวงพ่อทุกอย่าง ทำตามนะอาจจะไม่ค่อยเหมือนนักก็ได้ เพราะว่ามันคนละสมัยและบารมีไม่เท่ากัน
เป็นแต่เพียงว่าจำอะไรจากหลวงพ่อได้ฉันก็ทำตามนั้น ทำตามแบบตามแผน
ทำตามหลวงพ่อปาน
หลวงพ่อนั่งรับแขกตรงไหน ฉันนั่งรับแขกตรงนั้น แต่เตียงของหลวงพ่อนี่ฉันไม่นั่งหรอก ฉันเอาผ้าปูไว้ เอาพรหมปูไว้ เอาเบาะของหลวงพ่อปูไว้
เอาธูปเทียนไปตั้งข้างหน้า เอารูปของหลวงพ่อไปตั้งตรงนั้น แล้วฉันก็หาเตียงเล็กๆ ที่ตํ่ากว่ามานั่งข้างหน้าเตียงของหลวงพ่อ
เวลาฉันจะออกรับแขกตรงนั้นฉันก็กราบหลวงพ่อก่อน ใครจะว่าฉันบ้าๆ บอๆ ก็ช่างฉันทำของฉันแบบนั้น ฉันว่าฉันทำดีก็แล้วกัน
ไอ้คนอื่นมันจะว่าดีหรือไม่ดีมันเป็นเรื่องของชาวบ้าน
คนมาทำบุญมาก
ฉันกราบดะ แต่ก็ได้ผล คนทำบุญรับไม่ไหว มีงานแต่ละทีคนมาแย่งกันทำบุญ เวลายืนมืดข้างหน้า ไม่ได้มาทีละคนสองคนนะ มายืนมืดเป็นร้อยๆ
ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงนี่รับไม่ไหว คน ๗-๘ คนนี่รับเงินไม่ทัน
นี่เป็นบารมีของหลวงพ่อนะ ไม่ใช่บารมีของฉัน เพราะฉันกราบหลวงพ่อ ถ้าฉันไม่กราบล่ะก็เจ๊งทุกราย
ตัวอย่างตาแจ่ม
ต่อมาก็มีคนอยากได้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง ฉันก็ให้ คือพิมพ์แจกเป็นหมื่น แต่ก็ปรากฏว่ามีคนเอาจริงเอาจังอยู่สัก ๔-๕ คน ในระยะแรก
แต่ว่าฉันจะไม่เล่าสำหรับคนรวยๆ ฉันจะเล่าเฉพาะคนจน คือแกชื่อ ตาแจ่ม เปาเล้ง
ตาแจ่ม เปาเล้ง ชีวิตยังมีอยู่ อยู่อำเภอดำเนินสะดวก ใครอยากจะพบกับแกก็ได้จะพาไปคุยจะพาไปพูด หรือจะไปพูดกับตัวเขาก็ได้
ปลูกพริกขาย
ตาแจ่ม เปาเล้ง นี่เป็นคนจน ทำสวนบางช้าง ปลูกพริกขาย แกอาศัยความจนของแก แกเป็นหนี้เป็นสินอยู่ ปีนั้นเป็นหนี้อยู่ตั้ง ๒๐,๐๐๐ บาท
แกไม่ทำอะไรพอเรียนคาถาไปแล้ว แกก็นั่งทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้เป็นกรรมฐานทั้งกลางวันกลางคืน ลูกเมียก็แสนดีไม่ให้แกทำอะไร
ให้แกทำแต่คาถาเพราะคาถาบทนี้เขาบอกว่ารวยนี่ ทำให้มันรวยให้ได้ แกก็จะเอาตามแบบที่ฉันบอกเรื่องนายประยงค์นี่แหละ
พริกไม่สวย
ตอนนี้ถึงเวลาที่พริกออกมาจริงๆ (แกขายพริก) พริกของคนอื่นน่ะงามสะพรั่ง หนาทึบเม็ดเยอะ พริกของตาแจ่มลายหงุกหงิกๆ เม็ดบางๆ
เอาแล้ว..คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าทำยุ่งแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนพูดกันถึงผลก่อน
เห็นเม็ดโปร่งๆ ดูทีท่าแล้วจะขายไม่ได้กี่สตางค์ แต่ตอนเก็บสิ เก็บพริกคนอื่นเก็บได้ ๑๐ หาบ ตาแจ่มก็เก็บได้ ๑๐ หาบ กองเท่ากันไม่ใช่สิบหาบหรอก
พริกบางๆ ยอดหงุกหงิกๆ นั่นแหละ เขาเก็บได้เท่าไรตาแจ่มเก็บได้เท่านั้นโดยปริมาณกองโตๆ
ได้พริกมาก
ตอนนี้มาตอนที่จะชั่งขายนี่มีเรื่องแล้ว กองเท่านี้เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ ของตาแจ่มเป็น ๒ หาบ อีตอนนี้เจ๊กเอะอะโวยวาย
แล้วหาว่าตาแจ่มเอาทรายใส่เข้าไปในกองพริกเพื่อถ่วงนํ้าหนัก
ผลที่สุดก็ร่อนพริกดู จะหาเม็ดทรายเม็ดดินสักเม็ดก็ไม่มี เจ๊กก็แปลกใจ ผลที่สุดเจ๊กก็ต้องเอาไปตามนั้น ทีนี้ของคนอื่นเขาเก็บ ๒-๓ คราวหมด
แต่ของตาแจ่มต้องเก็บถึง ๖ คราว นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิกๆ เก็บ ๖ คราว คนอื่นเขาเก็บ ๒-๓ คราวก็เป็นอันหมด คือครั้งที่หนึ่งเก็บมาก ครั้งที่สองเก็บก็มาก หน่อย
ครั้งที่สามก็เก็บเล็กน้อย ก็เป็นอันว่าหมดกันต้องถอนต้นทิ้ง แต่ของตาแจ่มต้องเก็บถึง ๖ คราว ปริมาณคราวหนึ่งก็เท่ากัน คนอื่นเขาได้หนึ่ง ตาแจ่มก็ได้สอง
นี่เป็นอย่างนี้
ปลดหนี้
และผลที่สุดพริกของตาแจ่มก็เป็นของอัศจรรย์ เจ๊กตีราคาให้สูงกว่าพริกของคนอื่น บอกว่าเป็นพริกที่ส่งไปแล้วมีค่ามาก เจ๊กจึงให้ราคาสูงกว่า
แกบอกว่าปีนั้นหนี้ ๒๐,๐๐๐ บาทหมด แล้วก็ยังเหลืออีก ๒๐,๐๐๐ บาท
เอาละ..พอตาแจ่มทำได้ผล นี่เล่า เรื่องตาแจ่มคนเดียวนะ อีกหลายคนประมาณ ๓-๔ คนก็ทำคล้ายคลึงกัน ทีนี้คนอื่นก็เริ่มเอาบ้าง
คริสเตียน
นายบ้วน ลูกเขย เป็น คริสเตียน เห็นพ่อตาทำดี นายบ้วนก็เริ่มทำบ้าง จะเอาอย่างออกหน้าออกตาก็เกรงพวกคริสเตียนด้วยกันจะว่า ก็แอบๆ
บูชาเอาในบ้าน ไม่บอกให้ใครรู้ ผลที่สุดผลงานอย่างนี้มันก็เป็นอย่างตาแจ่ม คือนายบ้วนมั่นคงจนกระทั่งป่านนี้
แล้วไปโฆษณาพวกคริสเตียนด้วยกันให้ทำ เวลานี้คริสเตียนสายนั้นหลายร้อยคนทำ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ไหว้พระพุทธ มีพระพุทธรูปห้อยคอ
คือพระหลวงพ่อปานบ้าง พระวัดอื่นบ้าง มันเล่นกันจิปาถะ มันคล้องเข้าไปยันโบถส์คริสเตียน จนกระทั่งพระคริสต์กล่าวว่ามัน
ไม่รังเกียจ
มันก็บอกว่าถ้าหลวงพ่อรังเกียจ แต่วัดพุทธเขาไม่รังเกียจ พวกชาวคริสต์เขาไปวัดพุทธไปได้ พระพุทธไม่รังเกียจ
ถ้าพระคริสต์รังเกียจมันก็เลิกมาโบสถ์พระคริสต์
เอ้า..จะว่าอย่างไรกับมัน
ผลที่สุดพระคริสต์ก็จนใจไม่กล้าว่ามัน เมื่อว่าแล้วมันจะเลิกมานี่ ผลที่สุดแล้วคริสต์ก็ต้องง้อ นี่เป็นผลแห่งการปฏิบัติ
และมาอีกปีหนึ่งตาแจ่มบอกว่าปีนั้น แกก็ไม่มีทุนอีกน่ะแหละ แกจะต้องบวชลูก แล้วก็ต้องแต่งงานลูกสาวปีเดียวกัน
ชาวดำเนินสะดวก
ไอ้ชาวดำเนินสะดวกนี่มีอะไรอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าบวชลูกบวชหลานก็ลงทุนกันเป็นหมื่นทีเดียว ถ้าพอมีฐานะบ้าง ถ้าคนมีฐานะน้อยก็ต้องลงทุนถึง ๖-๘ พันบาท
ก็ไล่หมื่นเข้าไป เพราะประเพณีเขามีแปลก คือต้องฉลองไกลสักวัน แล้วก็บวชพระสักวัน ฉลองพระอีกวัน กินกันแหลก ไม่รู้ว่าใครไปสั่งไปสอนให้ทำลำบากอย่างนั้น
นี่คนระยำ
กิจการของพระศาสนาทำได้อย่าง ง่ายๆ ลงทุนน้อยๆ ไปแนะนำเขาแบบนั้น นี่อุตส่าห์ไปแก้ไว้หลายรายเต็มที ก็พอที่จะฟื้นๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ไปทำอย่างนั้นทำให้ลำบาก
แม้แต่ ถวายสังฆทาน ก็เหมือนกันต้องบังคับให้นิมนต์พระถึง ๙ องค์ ซื้อปิ่นโตให้องค์ละ ๒ เถา ซื้อกะละมังใหญ่ให้องค์ละ ๑ ลูก ใส่ข้าวไปให้เต็ม
นี่เรื่องของคนระยำทำเรื่องของพระพุทธศาสนาให้เสีย คิดว่าจะเป็นของดีแต่มันไม่ดี อย่างนั้นเป็นของชั่ว
เพราะบุญทานในพระพุทธศานาทำได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องทำลงทุนมาก การทำอย่างนั้นไปสอนอย่างนั้นให้คนเบื่อซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน
คนประเภทนี้ตายแล้วไม่ได้ไปสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะแนะนำในการทำบุญก็แนะนำผิดๆ ตายแล้วไม่ได้ไปสวรรค์หรอก ทำให้ชาวบ้านเป็นมิจฉาทิฏฐิ
แต่งงานลูก
อ้าว..เล่าเผลอไปอีกแล้ว นี่แหละคนแก่ ต่อมาตาแจ่มแกจะบวชลูกและแต่งงานลูก แกบอกว่าปีนี้จะต้องใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ถ้าหาเงิน ๔๐,๐๐๐
บาทไม่ได้แกก็ต้องเป็นหนี้เขา
แต่ลูกเขยก็แสนดีบอกพ่อ ถ้าพ่อมีไม่พอผมจะเป็นคนออกเอง ถ้าขาดทุนขาดรอนผมออก ถ้าเป็นผลกำไรคือใครๆ เขามาทำบุญร่วมกับพ่อด้วยผมจะยกให้พ่อ แต่ทุนผมเอาคืน
แต่ถ้าขาดทุนแล้วเงินที่ขาดไปเท่าไหร่น่ะผมไม่เอาคืน มันจะขาดทุนทั้งหมดผมก็ยอมรับ นี่นายบ้วนลูกเขยซึ่งเป็นคริสเตียน เวลาทำบุญเขาเต็มที่
ทำคาถาอีกครั้ง
ผลที่สุดปีนั้นตาแจ่มก็เป็น โยคี อีก ตามปกติแกก็ทำทุกคืนแต่ทำเพลาๆ ทำตามธรรมดา เมื่อถึงคราวมีความจำเป็นในการใช้งานขึ้นมาแกก็ต้องเป็นโยคี
และลูกเมียเขาก็บังคับว่าไม่ต้องไปทำมาหากิน ให้อยู่เฉยๆ นั่งภาวนาคาถาหลวงพ่อไป
แกก็นั่งภาวนา มีอยู่วันหนึ่งแกบอกเป็นเรื่องอัศจรรย์ เทียนเล่มธรรมดานี่เคยจุด ๑-๒ ชั่วโมงหมด เทียนเหลืองๆ ไม่เกิน ๑ ชั่วโมง
แต่วันนั้นแกจุดตั้งแต่เช้าตรู่ แกนั่งกรรมฐานเรื่อยไป พอถึงเวลาอาหารเมียก็นำอาหารมาให้ พอกินข้าวแล้วแกก็เข้าปฏิบัติยันเพล
เมื่อถึงเพลแล้วแกก็พักผ่อนหน่อย พอหลังจากอาหารเพลไปแล้วแกก็ทำอีก
จนกระทั่งถึงบ่ายสองโมงเทียนดอกนั้นก็ยังไม่หมด แต่ลุกฟู่เป็นไฟสีเขียว เสียงดังฟุ่บๆ คล้ายๆ กับไฟพะเนียง เป็นเรื่องอัศจรรย์ใครๆ ก็เห็นกันทั้งนั้น
เป็นอันว่าเทียนเล่มนั้นเล่มเดียวจุดได้เกือบตลอดวันนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ แกก็ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
ฝันเห็นเงิน
พอตกกลางคืนแกก็ฝัน คือนอนหลับฝัน ฝันว่ามีแบงค์ใบละ ๑๐๐ บาทเยอะหมด เป็นกองๆ เลย คือมีคนมาส่งให้เป็นกองๆ
คาถาบทนี้ถ้าเกิดว่าฝันเห็นแบงค์ใบละร้อยก็ถือว่าทำเต็มที่ ถ้าฝันเห็นแบงค์ใบละ ๒๐ ใบละ ๑๐ ใบละ ๕ ใบละบาท เขาถือว่ายังไม่เต็มที่
ถ้าฝันเห็นแบงค์ใบละบาทอย่างนี้ก็ชื่อว่าคาถาขึ้นเล็กน้อย นี่เขาถือเป็นนิมิตกัน แต่ว่าอย่าไปนึกเอาไม่ได้นะ ต้องให้ฝันเอง และเวลาจะนอนต้องอยู่ในสมาธิ
แกบอกว่าฝันเห็นธนบัติใบละร้อยกองเยอะแยะ กองใหญ่โต
ได้กำไรมาก
และปีนั้นพอถึงเวลาเก็บพริกเก็บผัก เป็นอย่างที่คิดคือตาแจ่มได้เงิน ๔๐,๐๐๐ กว่า เกินกว่าความต้องการของตาแจ่ม
ถ้าจะพูดกันถึงสวนของแกหรือของที่แกกำลังจะขายนี่คุณค่ามันไม่ถึง ๔๐,๐๐๐ บาทหรอก เอากันตามพื้นที่ธรรมดานะ คุณค่าของมันไม่ถึง ๔๐,๐๐๐ บาท ถ้าปีไหนขายได้ถึง
๒๐,๐๐๐ บาทก็บุญเต็มทีแล้วเป็นคุณค่าสูงสุด ถ้าได้ของเต็มที่บริบูรณ์
แล้วผลต้นพริกต้นผักของแกปีนั้นเป็นอย่างไร ก็ไอ้ยอดหงุกหงิกตามเดิมนั่นแหละ ปีก่อนๆ ถ้ามีความต้องการน้อย ตามธรรมดาพริกงามไสว มีใบหนา มีเม็ดมาก
แต่ปีนั้นถ้ามีความต้องการมากขึ้น มาเกินพอดี แทนที่พริกจะงาม ยอดหงุกหงิกๆ อีก ไอ้เม็ดพริกที่ออกมาก็โปร่งตา ไม่หนาทึบเหมือนปีก่อนๆ
นี่มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าผลหงุกหงิกปรากฏขึ้นในกาลใด ในกาลนั้นตาแจ่มได้เงินหลายหมื่นทุกปี
คำว่าเงิน ๔๐,๐๐๐ บาทในที่นี้อย่าลืมนะว่าไม่ได้คิดต้นทุน ต้นทุนที่ทำสวนกันน่ะเขาลงทุนเป็นหมื่นหรือสองหมื่นสามหมื่นสี่หมื่นเหมือนกัน
สมัยก่อนถ้าจะได้ถึง ๒๐,๐๐๐ ก็ต้องลงทุนถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ลงทุนมากเพราะผลมันช้า แล้วเขาถึงจะพูดถึงกำไร ๒ หมื่น ๓ หมื่น นี่พูดถึงกำไรนะที่ท่านได้
หักทุนแล้วได้กำไร
แต่ของตาแจ่มนี่ทุนหักล้างหมดแล้ว เหลือแต่กำไร ๔ หมื่นบาทกว่า แกบอกว่าเกือบจะตก ๕ หมื่นบาท ถ้าคิดเบ็ดเสร็จจริงๆ ละก็ไอ้ที่จ่ายเสียบ้าง
ให้รางวัลคนนั้นคนนี้เสียบ้าง ให้พิเศษ เพราะไม่ได้จ้างเขา อย่างนี้ก็เกือบหมื่น แกเป็นคนใจดี
ผลของคาถา
นี่เป็นผลแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐานอย่างเอาจริงเอาจัง หมายถึงว่าปฏิบัติคาถาบทนี้บทเดียวเป็นกรรมฐาน แล้วก็ใส่บาตรทุกวัน จะลงมือทำสวน
จะลงมือทำอะไรก็ตามก็ว่าคาถาบทนี้ก่อน ทำตามแบบตามแผน อันนี้เอามาเล่าให้ฟัง
ซึ่งคาถาบทนี้เป็นคาถาสำคัญมากสำหรับชาวบ้านหรือว่าชาววัดก็เถอะ พระก็ตามถ้าทำให้ตัวเป็นคนมีลาภเสียแล้ว
คนใดมาบำเพ็ญกุศลด้วยกับคนที่มีลาภเขาก็พลอยมีลาภ
พระห้ามทะเยอทะยานในลาภ
แต่ความมีลาภในที่นี้พระจะทะเยอทะยานไม่ได้ เมื่อได้ลาภมาแล้วต้องทำลาภนั้นให้เป็นบุญเป็นกุศลต่อไป ถ้าเป็นคนสะสมในลาภแล้ว พระองค์นั้นก็เป็นพระซวย
เพราะพระมีเงินมากแล้วจิตใจมันไม่ใช่พระ มันกลายเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีก็จะไปดูถูกดูหมิ่นคนจน และมีความทนงในตัว จิตใจก็ไปเกาะอยู่ในลาภ ตายแล้วเสร็จ
ถ้าไปสวรรค์ชั้นเล็กๆ คือเป็นภูมิเทวดาได้ก็ยังบุญตัวแล้ว ถ้าไม่ลงนรก
ส่วนมากพระที่มีเงินมากๆ แล้วก็คิดว่าเงินนั้นเป็นของตัว ไม่คิดว่าเงินเป็นของสงฆ์น่ะลงนรกเป็นส่วนมาก
เพราะอะไร? เพราะจิตใจหมกหมุ่นอยู่ในลาภสักการะ จิตใจเผลอ คิดว่าตัวไม่ใช่พระ คิดว่าตัวเป็นมหาเศรษฐี
เอาเงินมาทำบุญ
แต่ว่าพระองค์ใดที่ท่านมีความดี ท่านมีทรัพย์มาก แต่ท่านคิดว่าทรัพย์นี้เขาทำบุญทำกุศลเข้ามาในพระพุทธศาสนา
ถ้ามีความจำเป็นก็กินก็ใช้ตามอัตภาพที่มีความต้องการ
เมื่อเหลือเท่าไรท่านคิดว่าเงินส่วนนี้เป็นสมบัติของสงฆ์ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของท่าน มุ่งหน้าอย่างเดียวที่จะทำนุบำรุงพระศาสนาด้วยลาภสักการะ
หรือสงเคราะห์อนุเคราะห์บุคคลทั้งหลายที่มีความต้องการ มีความยากจนเข็ญใจ มีความขัดข้อง ให้ประโยชน์แก่การศึกษา
ให้สงเคราะห์แก่ชีวิตของบุคคลที่มีความปรารถนา
หมายความว่าเขาหิวมาก็ให้อาหาร เขามีความต้องการในยารักษาโรคก็ให้ เขาต้องการค่ารถค่าเรือมีความขัดข้องเล็กน้อยก็ให้
ไม่ใช่ให้ทุ่มเทไปซื้อไร่ซื้อนาตั้งตัวกัน ทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างนั้นมันเกินพอดี
สงเคราะห์ตามสมควร
สำหรับฆราวาสให้การสงเคราะห์ตามความจำเป็นเล็กน้อยได้ แต่ถ้าให้ใหญ่ไม่ได้ลงนรก ไอ้การให้อย่างนั้นเป็นการให้เพื่อหวังการตอบแทนเสียแล้ว
ไม่ใช่ให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ต้องลงทุนกันตั้งร้านค้าไม้ ตั้งห้างอะไร ไอ้อย่างนี้ไม่ใช่สงเคราะห์แล้ว เป็นการเข้าหุ้นลงทุนกับเขา
ผลที่สุดก็จะไปทวงหนี้บุญคุณกับเขาเข้า การทำอย่างนี้มันเข้าตัวอย่าไปทำ พระทำอย่างนี้ไม่ได้
ถ้าสงเคราะห์เล็กน้อยเพื่อเป็นการ ปัดเป่าความทุกข์ชั่วคราวอย่างนี้ทำได้ เป็นบุญเป็นกุศล
เอาละบรรดาท่านผู้ฟังทุกคน นี่เทปมันก็จะหมดแล้ว ขอยุติเพียงเท่านี้สำหรับคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าบทนี้
◄ll กลับสู่ด้านบน
(โปรดอ่านต่อในฉบับหน้า)
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 10/11/08 at 10:16 |
|
Update 10 พ.ย. 51
เมื่อบันทึกถึงเทปหน้านี้มองดูนาฬิกาก็ตีสามพอดี สำหรับหน้านี้เป็นหน้าสุดท้ายของเรื่องหลวงพ่อปาน
ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เล่าจบแต่ก็จะระงับไว้เพียงเท่านี้ วันหน้าก็จะตัดเรื่องฉากสุดท้ายของท่านพอดี หมายความว่าเป็นเรื่องที่ท่านถึงแก่มรณภาพ
หลวงพ่อปานได้บำเพ็ญบารมีของท่านมาถึง อายุ ๖๔ ปี เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๔ นั่นชื่อว่าเป็นวิถีชีวิตขั้นสุดท้ายของท่าน
ฉันจะขอย้อนทวนย้อนกล่าวไปถึงผลกรรมบางอย่างของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระที่ประกอบไปด้วยเมตตาและมีบารมี แต่ก็มีศัตรู
แต่ศัตรูของท่าน ท่านถือว่าเป็นกรรมเก่า ท่านบอกว่าในกาลครั้งหนึ่ง ท่านไปที่วัดประตูศาล จังหวัดสุพรรณบุรี เวลาเข้าไปห้องนํ้าท่านถอดอังสะ
อังสะของท่านมีพระ คือพระที่ท่านทำไว้อยู่ในกระเป๋า เพื่อจะอาบนํ้า แต่วันนั้นท่านถูกบังฟัน คือหมายความว่าหมอไสยศาสตร์ที่มีความโกรธแค้นท่าน
โดยที่เขาทำใครให้ตายบ้าง ทำใครให้ป่วยบ้าง ท่านก็แก้ให้หายหมด
เมื่อเขาคิดว่าท่านเป็นศัตรูตัวสำคัญ กล่าวคือไปทำลายความดีของเขา นั่นเขาเอาความดีในทางลงนรก เขาเลยคิดจะทำลายท่านท่านก็เลยถูก "บังฟัน"
หลวงพ่อปานถูกบังฟัน
ไอ้บังฟันนี่ถูกบังฟันที่หน้าอก บังฟันนี่เป็นวิชาไสยศาสตร์อันหนึ่ง คือฟันแล้วหนังไม่ขาด หนังไม่ปรากฏว่าเป็นริ้วรอยแต่ว่าเป็นแผลภายใน
ถ้าถูกส่วนที่สำคัญก็ตาย
เมื่อท่านถูกบังฟันแล้ว ท่านก็บอกบรรดาศิษยานุศิษย์ให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายนอก อำเภอบางซ้ายสมัยนั้นยังเป็นอำเภอเสนา อยู่อำเภอเดียวกัน
แต่สมัยนี้เขาแยกไปเป็นอีกอำเภอหนึ่งเป็นอำเภอบางซ้าย
และการป่วยหนักท่านก็บอกให้แวะที่วัดบางซ้าย ขึ้นที่วัดบางซ้าย พอขึ้นไปที่นั่นก็รู้สึกว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านหมดความรู้สึก
แต่ว่าพระขนาดนั้นเมื่อมีความเจ็บป่วยขึ้นมา แต่ก็จงอย่าคิดนะว่าท่านจะปล่อยจิตไปที่อื่น ท่านเร่งรัดฌานและวิปัสสนาญาณ หนักขึ้น
ผลที่สุดท่านบอกว่าเวลาที่ท่านหมดความรู้สึกลงไปนั้น ท่านกำลังเดินออกจากร่าง ไปพบสถานที่หนึ่งเป็นที่สวยสดงดงามมาก
ท่านเข้าไปในสถานที่นั้นก็คิดว่านี่มันเป็นบ้านของใคร บ้านมียอดเหมือนปราสาทของพระมหากษัตริย์ และมียอดหลายยอดระยิบระยับจับสายตา
มองไปมองมาในใจของท่านคิดว่าที่นี่เป็นชั้นดุสิต
คำว่าชั้นดุสิตเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ตามธรรมดาพระโพธิสัตว์ถ้าปฏิบัติ
บารมีถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วโดยมากมักจะไปพักอยู่ที่ชั้นดุสิต เป็นชั้นพิเศษจริงๆ สวรรค์ชั้นนี้ คนที่จะไปอยู่ได้ คือตายแล้วจะไปอยู่ได้คือ
๑. เป็นพระพุทธมารดาหรือพระพุทธบิดาของพระพุทธเจ้า
๒. ถ้าคนธรรมดาต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป
๓. เป็นที่อยู่เฉพาะของพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี คือว่าใกล้จะสำเร็จพระโพธิญาณอยู่แล้ว ถึงขั้นบารมีสูงสุด นี่สวรรค์ ๖
ชั้นนี้เป็นสถานที่อยู่ คนที่จะไปอยู่ได้ต้องเป็นเขตเป็นขั้นเป็นตอน
โดยเฉพาะพรหมก็ต้องเป็นคนที่ได้ฌานและก็ตายในระหว่างฌาน แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า ถึงแม้ว่าจะตายในระหว่างฌานก็ไม่ไปเกิดเป็นพรหม
ส่วนใหญ่เกิดในชั้นดุสิตเพราะเป็นสวรรค์ที่มีอายุไม่มากนัก ควรแก่การที่จะมาบำเพ็ญบารมีต่อไป แล้วก็เป็นชั้นที่มีความสุขสบาย
เป็นชั้นที่มีความเคารพสักการะของเทวดาทั้งหมด แม้แต่พระพรหมก็ยังให้ความเคารพสักการะในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่มีบารมีมากอย่างนี้
พบพระอินทร์
ท่านบอกว่าท่านเข้าไปนั่งในชั้นดุสิตมีความสุขมีความสบาย แต่สักครู่เดียวก็มีเทวดาองค์หนึ่ง แต่งกายมีเครื่องประดับสวยงามมาก มีแสงสว่างมาก
แต่รู้สึกว่ามีแก้วมรกตอยู่บนยอดมงกุฏแผ่ซ่านออกมาเป็นสีเขียว นั่นคือ พระอินทร์
พระอินทร์ก็เข้าไปแจ้งกับท่านว่าท่านยังอยู่ที่นี่ไม่ได้ ขอให้ท่านกลับไปบำเพ็ญบารมีต่อไป เพราะในสมัยนั้นท่านยังมีชีวิตหนุ่มอยู่
ท่านบอกว่าอายุประมาณสัก ๓๐ ปี ก็ปรากฏว่าท่านต้องกลับ
อาจารย์จาบมาช่วย
การที่ต้องกลับในที่นี้ก็บังเอิญทีเดียวมีลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับท่านองค์หนึ่งชื่อว่า อาจารย์จาบ อยู่อำเภอบางบาล
เมื่อเขาเห็นว่าคนทั้งหลายเห็นว่าหลวงพ่อปานมีอาการมากอย่างนั้นถึงกับสลบไป คนที่จะแก้ไขให้หลวงพ่อปานดียิ่งไปกว่าอาจารย์จาบนั้นไม่มี
เขาจึงได้ไปตามอาจารย์จาบมา
อาจารย์จาบก็มาเก็บยอดไม้ ๒-๓ ยอด เสกแล้วก็ต้ม พักหนึ่งท่านก็ฟื้นขึ้นมา อาการฟื้นในที่นี้ก็แสดงว่าอาการทางกายดีขึ้น เวทนาน้อย
แล้วก็พอดีท่านยังไม่ถึงกาลเวลาที่จะไปอยู่ชั้นดุสิต จะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ต้องกลับมาเกิดใหม่หมายความว่าต้องมาเข้าร่างใหม่ ก็เป็นการพอดีกัน
การที่คนสลบไปมันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ไอ้ที่เขาบอกว่าสลบไป ๒ วัน ๓ วันอะไรพวกนี้แล้วก็ฟื้นขึ้น เป็นกาลเวลาที่เขายังไม่ต้องการชีวิต
หมายความว่าชีวิตคือจิตใจที่ออกไปจากร่างกายนี่ยังไม่สามารถจะไปอยู่ในสถานที่หนึ่งที่ใดได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะไป จำเป็นจะต้องกลับจึงฟื้นขึ้น
ที่พูดอย่างนี้เป็นความเห็นของฉัน เพราะว่าฉันเองก็ตามเคยตายมาแล้ว ๔ วาระ
ไอ้ที่ยังมีเวลามาพูดอยู่อย่างนี้ก็เพราะว่าเขาให้กลับมาใหม่ ถ้าเขาไม่สั่งให้กลับมันก็ต้องตายไปเลย
คนส่วนมากก็ถือว่าหมอมีความสามารถแก้ให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่ความจริงฉันว่าไม่ใช่อย่างนั้น
ไอ้ที่ฉันประสบมาหรือที่หลวงพ่อปานประสบมาก็ตาม และมีหลายคนที่ฉันเคยพบ ไอ้ที่ประสบมา คือสลบไปแล้วฟื้นนี่โดยมากเขาให้กลับ
ถ้าเขาไม่ให้กลับแล้วจะเป็นหมอขนาดไหนก็ตาม ไม่มีทางที่จะแก้ให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้ อันนี้เป็นเรื่องราวของนักจิตวิทยานะ
ไอ้คำว่าจิตวิทยาในที่นี้ต้องเป็นฝ่ายพระพุทธศาสนา ถ้าจิตวิทยาทางโลกใช้อะไรไม่ได้เลย เพราะว่ามีวิทยาทางจิตไม่สมควร รู้กันเพียงแค่วัตถุ
วิจัยกันเพียงแค่วัตถุ เพราะเป็นการคาดคะเนมากกว่าความรู้จริง
วิทยาศาสตร์บอกไม่ได้หมด
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคือ ดอกเตอร์คลุ้ม วัชโรบล เคยให้สัมภาษณ์ทางวิทยุว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จริง
แต่ว่าเมื่อบวชเข้ามา ท่านบวชที่วัดอนงคาราม เจริญกรรมฐานกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ แล้วปรากฏว่าท่านได้อุปจารฌาน
ท่านสามารถจะเห็นผี เห็นอะไรต่ออะไร เห็นญาติของท่านที่ตายไปได้ สามารถเห็นวัตถุที่ปรากฏว่าอยู่ใต้ดินได้
ท่านบอกว่าไอ้เครื่องวิทยาศาสตร์นี่มันบอกได้แต่เพียงว่ามีของเช่นนั้นจริง ปริมาณบอกไม่แน่นอน สีสรรวรรณะบอกไม่ได้
แต่ว่าหากท่านใช้จิตที่เป็นสมาธิเข้าตรวจ ท่านสามารถบอกสีได้เลย บอกนํ้าหนักบอกปริมาณได้แน่นอนและใกล้เคียงที่สุด ท่านบอกว่าดีกว่าเครื่องวิทยาศาสตร์มากมาย
นี่สำหรับท่านนักวิทยาศาสตร์นะ
นักจิตวิทยาในทางนี้ก็ต้องใช้ให้ถึงขั้น เอาล่ะว่ากันไปใหม่เดี๋ยวเทปจะหมดซะ เทปนี้จะใช้เวลาตั้งชั่วโมงก็ตาม เรื่องราวนี้ก็ยังอยู่มากมาย
เมื่อท่านฟื้นขึ้นมาแล้วท่านก็เล่าให้ฟัง
เขาถามท่านว่าเป็นอะไร
ท่านก็บอกว่าฉันถูกบังฟัน
ถามว่าใครฟัน
ท่านบอกฉันรู้ แต่ฉันบอกตัวไม่ได้ บอกแล้วพวกแกไปยิงเขา ฉันไม่บอก
ก็เป็นอันว่าไอ้นี่ก็เป็นผลกรรมอันหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นผลกรรม ฉันก็อาจจะเคยทำความชั่วมาแล้วในอดีตชาติก็ได้ ผลกรรมอันนั้นมันจึงได้มาสนองฉัน
ทั้งๆ ที่ฉันก็ตั้งใจที่สุดที่จะสร้างความดีในชาตินี้ แต่ขึ้นชื่อว่าผลกรรมเก่านั้นไม่มีใครสามารถจะหนีได้ นี่เป็นวาระหนึ่ง
ทีนี้จะเล่าลัดตัดความไปเลยทีเดียวว่ากันถึงตอนมรณภาพ ไอ้เวลาหนึ่งชั่วโมงมันไม่มาก เดี๋ยวก็ไม่พอเทปมันก็หมดกันเท่านี้
นี่เป็นเทปสุดท้ายแล้วก็ตั้งใจว่าจะเล่าเพียงแค่ ๔ ม้วน คือ ๘ ชั่วโมงก็พอแล้ว ฟังกันไม่หวัดไม่ไหว เวลาฉันตายแล้วก็เอาไปเปิดไว้ที่หน้าศพฉันด้วยนะ
เขาจะได้ได้ยินเสียงฉันว่าฉันพูดอย่างนี้ แล้วเขาจะได้ไม่เถียงกันว่าเรื่องราวที่ฉันเล่าให้ฟังนี่มันมีอะไรบ้าง เทปนี่ฉันบันทึกไว้เยอะ
ที่ไอ้ตุ๋ยก็มากมายหลายสิบม้วน
ทีนี้มาเล่าถึงตอนที่ท่านจะมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ปีนั้นท่านป่วยหนัก และหลวงประธานถ่องวิจัยก็สึกไปแล้ว เมื่อเขารู้ข่าวว่าหลวงพ่อป่วยหนัก
คณะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายในกรุงเทพฯ ก็มากันเป็นการใหญ่
คำว่ามาเป็นการใหญ่นี่วันหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน อันนี้เฉพาะลูกศิษย์ในกรุงเทพฯ มีทั้งเจ้านาย แล้วมีทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีรัฐมนตรีอะไรต่ออะไร
อย่างพระยาศรยุทธสงคราม พระยาประเสริฐ ที่สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีมาอยู่เป็นประจำ งานบางอย่างถึงกับมีข้าราชการเอามาให้เซ็นต์ที่วัดก็มี
อย่างหม่อมเจ้าโฆษิตนี่มาอยู่ประจำตลอดกาลตลอดสมัยที่ท่านป่วย
แล้วหม่อมเจ้าโฆษิตนี่สมัยเมื่อท่านดีๆ อยู่ ท่านก็มาจอดเรือ มาจอดเรือเซ็นต์หนังสืออยู่ที่วัดบางนมโค ท่านเป็นอธิบดีกรมชลประทาน แต่ไม่ไปทำงานที่กรม
มาจอดเรืออยู่ที่หน้าวัดอยู่กับหลวงพ่อ นี่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดจริงๆ เวลานี้แกตายไปเสียแล้ว
เมื่อเขาเห็นว่าอาการของท่านไม่ดีขึ้น คณะศิษยานุศิษย์ทุกคนก็เห็นว่าควรจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เมื่อไปเรียนถามท่าน ท่านก็บอกว่า เอ้า..ตามใจ
แกจะเอาฉันไปรักษาที่ไหนฉันก็ไปทั้งนั้นแหละ เวลานี้ฉันยังไม่ตาย เพราะอีก ๓ ปีฉันถึงจะตาย ท่านบอกด้วยว่าเวลานี้ท่านไม่ตายอีก ๓ ปีท่านจะตาย
หลวงพ่อปานรู้วันตาย
เขาถามว่าจะตายเมื่อไหร่ครับหลวงพ่อ
ท่านบอกปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ฉันตาย และฉันจะตายเดือน ๘ แรม ๑๔ คํ่า เวลา ๖ โมงเย็น
บอกหมด เอาเข้านั่นเลย
ทุกคนเมื่อฟังแล้วก็ยิ้ม แต่ว่าไม่มีใครคัดค้านความเห็นของท่านหรือวาจาของท่าน เพราะท่านไม่เคยพูดอะไรผิด
แล้วผลที่สุดเขาก็นำท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ ไปพักอยู่ที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย บ้านอื่นท่านไม่พัก บ้านหลวงประธานมีอยู่ ๓ หลัง
เขายกหลังหนึ่งให้เป็นของท่าน คือว่าเป็นอิสระทีเดียว พวกพระเจ้าใครจะไปเยี่ยมก็ไปกันได้ มันอยู่เด่นๆ ออกมา อยู่ที่ถนนบ้านหม้อ เจ้านายก็ไปกันมาก
เรียกว่าวันๆ หนึ่งมีคนไปเยี่ยมท่านมากเหลือเกิน
หมอเขาก็หามาอย่างดีที่สุดที่เขาคิดกันว่าจะดี ไอ้เรื่องทุนรอนต่างๆ ก็เป็นของลูกศิษย์ลูกหา จะเอาทุนของท่านไปรักษาน่ะท่านก็แบบเดียวกับฉันนั่นแหละ
มีกินบ้างไม่มีกินบ้างอย่างนี้ ท่านมีเท่าไหร่ท่านก็เลี้ยงคนหมด ท่านก็สร้างคนหมด
ท่านบอกว่าเราทำอย่างนี้เราทำให้เจ้าของเงินเขาเป็นคนมีบุญบารมีมากขึ้น เขาให้เรามาแล้ว มันเหลือใช้เหลือกินเราก็สร้างให้มันเป็นบุญเป็นกุศล
อย่าทำเงินของชาวบ้านที่เขาให้เป็นหมัน เพียงแค่เรากินเข้าไป กินแล้วก็ขี้ ประโยชน์ของเขาน้อย ได้บุญเหมือนกันแต่ว่าได้บุญน้อยไป
นี่ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ฉันก็เล่นมาอย่างนี้แหลกลาญมาหมด ผลที่สุดเวลานี้จนกระทั่งแก่ลงไปแล้วทำมาหากินไม่ได้ก็กวนลูกกวนหลาน ลูกหลานเขาก็ดีทุกคน
เขาก็ให้ฉัน บางทีเขาก็บ่นเขาไม่ค่อยจะมีใช้ ไม่ค่อยจะพอใช้ แต่เขาเห็นฉันเข้าว่าไม่มี เขาก็อุตส่าห์ให้ อันนี้ก็เป็นความดีของเขา
เอาล่ะไอ้ความดีของเขานี่เมื่อเขาทำดี ความดีเขาก็ได้ดี แต่ฉันก็สงสารเขาเหมือนกัน ทุกคนที่เขาให้ฉันก็ต้องพยายามถามเขาว่ามันเดือดร้อนไหม
แต่ความจริงถ้าเดือดร้อนมากฉันก็ไม่อยากให้เขาสงเคราะห์เกินพอดี ไอ้ฉันกินไปๆ ในไม่ช้ามันก็ตาย นี่มันก็อยู่อีกไม่กี่ปีมันก็ตาย
ตามอายุเขาบอกให้อยู่แค่ ๖๐ ปี ๖๐ นิดๆ เขาบอกว่าตาย หรือมันจะตายเสียก่อนก็ไม่รู้
แล้วเขาบังคับไว้อย่างนั้นนี่ว่าเขาจะให้ตายก่อนหรือไม่ตายก่อนก็ไม่รู้ ฉันก็ว่าจะทนๆ ไป เวลานี้ฉันก็ทนอยู่เต็มที เบื่อ.. เบื่อโลก
แต่พอได้เห็นลูกเห็นหลานก็ยังนึกไม่อยากตาย แต่ว่าฉันก็ดีใจเพราะว่าลูกฉันทุกคนเวลานี้ดีแล้ว เอาตัวรอดทุกคน ตายแล้วไม่ตกนรก เป็นคนมั่นในพระพุทธศาสนา
อย่างน้อยสวรรค์เขาก็ไปกันได้ อย่างกลางพรหมโลกเขาก็ไปกันได้ สบายใจ
อะจะละศรัทธา
ไอ้ที่ฉันพูดอย่างนี้ไม่ใช่พยากรณ์อย่างพระพุทธเจ้า แต่ว่าฉันเห็นปฏิปทาลูกของฉัน ลูกของฉันน่ะบางคนไม่เอาถ่าน ก่อนนี้ไม่เอาถ่าน
เรื่องพระเรื่องเจ้าบุญทานไม่เอา เป็นคนหัวแข็ง แต่เดี๋ยวนี้ดีทุกคน เป็นนักบุญหมด แม้แต่ลูกในกรุงเทพฯ ลูกบ้านนอกก็เหมือนกัน เขาเป็นนักบุญด้วยกันฉันดีใจ
ดีใจที่ฉันทำให้ลูกของฉันเป็นคนมี อะจะละศรัทธา เป็นคนมั่นในพระศาสนา สมกับเจตนาที่ฉันให้ไว้ ให้สัญญาไว้กับแม่ๆ
ของเขาไว้ว่า
ฉันจะมาสงเคราะห์อนุเคราะห์ลูกของฉันให้เข้าถึงพระศาสนาจนกระทั่งมีความมั่นใจว่าลูกทุกคนจะไม่ลงนรก ตายแล้วอย่างน้อยที่สุดจะไปเกิดบนสวรรค์
ไอ้ที่ฉันให้สัญญามานี่ฉันไม่รู้เอง ตอนที่ฉันย่องไปเที่ยวดาวดึงส์เขาทวงฉันเข้าน่ะสิ ฉันเองมันลืมหมดแล้ว สัญญากับเขานี่ เกิดมาใหม่นี่มันลืมหมด
ไอ้มนุษย์มันไม่ดีอย่างนี้ อะไรเก่าๆ มันก็ลืม
อ้าว..นี่เลอะไปเสียอีกแล้ว ต่อมาเมื่อเขาพากันรักษาหลวงพ่อปานให้หายจากโรค เวลาที่ท่านป่วยอยู่อย่างนั้น ใครจะมาขอให้ท่านลงยา ใครจะมาขอให้ท่านตรวจโรค
ท่านทำทุกอย่าง ทำให้ ท่านบอกว่าท่านจะตายแล้วท่านรีบทำ ใกล้จะตายเต็มที
และต่อมาเมื่อหายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาวัด พอกลับมาวัดท่านก็มาสั่งให้ พระครูรัตนาภิรมย์ เพื่อนของท่าน
บอกว่า ผมอีก๓ ปีผมตายนะ ขอเขาไม่ได้แล้วเขาไม่ต่อให้ เขาบอกว่าร่างกายมันทุพพลภาพเต็มที
พระที่รับมรดกจากหลวงพ่อปาน
ท่านก็หันมาบอกฉันบอกว่า ไอ้ลิงดำอีก ๓ ปีพ่อตายแน่นะ แล้วในเมื่อพ่อตายแล้วไอ้งานทุกอย่างที่พ่อทำน่ะแกต้องรับภาระแทนพ่อนะ เอาเข้าแล้ว
ถามว่างานอะไรครับหลวงพ่อ
ท่านบอกไม่รู้ล่ะ งานวัดงานวา งานสร้างวัด งานบริหารวัด งานสงเคราะห์ประชาชนในด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน แกต้องทำแทนพ่อนะ นี่พ่อสั่งเขาหมดแล้ว
พ่อไปที่ไหนพ่อบอกเขาหมดว่าเมื่อพ่อตายแล้วแกจะเป็นคนแทน
ตอนนั้นฉันมันย่างเข้าพรรษาที่ ๒ มันตัวเล็กนิดเดียว ก็เลยบอกว่าหลวงพ่อครับ เวลานี้พระ ๒๐ พรรษา ๓๐ พรรษาก็มีเยอะ อย่าง หลวงพ่อเล็ก เกสโร ท่าน ๓๐ พรรษากว่าแล้ว มีกรรมฐานเก่งมาก แม้แต่หลวงพ่อปานเองก็เกรงใจ ท่านเป็นพระดีมาก ไม่ค่อยพูด
แต่ว่าถ้าใครไปพูดเรื่องกรรมฐานท่านพูดทั้งวันเหมือนกัน ถ้าพูดเรื่องอื่นท่านนิ่งเฉยท่านนั่งฟังเรื่อยตลอดวัน ใครพูดก็พูดเหอะท่านยักหน้าเรื่อย
ถ้าลองไปปรารภเรื่องกรรมฐานเข้าเถอะ สงสัยอะไรเข้าหน่อยท่านอธิบาย แจ๊ว ท่านอธิบายได้ดีมาก
ก็เลยถามว่าหลวงพ่อทำไมไม่สั่งพระผู้ใหญ่ ท่านบอกพระผู้ใหญ่นี่ฉันสั่งเขาไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ใช่เป็นคนรับมรดกฉันนี่ ไอ้แกนี่เป็นคนรับมรดก
ไอ้แกนี่เป็นลูกข้ามาหลายชาติแล้ว เอาเข้านั่น
แล้วผลที่สุดแกก็ต้องรับมรดกตกทอดจากข้าทุกครั้งและทุกชาติ พอมาชาตินี้มันเป็นชาติที่สุด แกกับข้าจะไม่ได้เป็นพ่อเป็นลูกกันอีกแล้ว
แกก็ต้องรับสิชาติสุดท้าย
เอ้า..รับ เราลิงเล็กนี่ ท่านบอก ต่อไปคนอื่นทำไม่ได้อย่างแก เพราะว่าเขาไม่มีกำลังใจอย่างแก ต้องแกคนเดียว ฉันประกาศเขาหมดแล้วและใครเขาก็รู้จัก
เอาเข้านั่น
เป็นอันว่าเมื่อท่านว่าอย่างนั้นก็ต้อง ยอมรับ แต่ว่าอีตอนนั้นน่ะคิดไม่ออกนะว่าตัวเองทำไมจะไปแทนหลวงพ่อ และรับภาระแทนหลวงพ่อมันจะทำได้หรือ คิดไม่ออก
คือตัวเองมองไม่เห็นตัวเอง แต่ก็รับท่านไปอย่างนั้น
สงเคราะห์เฉพาะคนที่เลื่อมใส
บอกท่านว่าถ้าหากว่าใครเขาต้องการ ผมก็จะปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงพ่อ แต่ว่าถ้าใครเขาไม่เลื่อมใสผมไม่เอาด้วยนะครับ
ท่านบอกว่า อืม...นั่นถูกแล้ว ใครเขาไม่เลื่อมใสแกก็อย่าพยายามสิ เอาแต่คนที่เขาเชื่อแก เขารับฟังแก เขาต้องการแกเท่านั้น
คนที่เขาไม่เชื่อเขาไม่รับฟังเขาไม่ต้องการ แกก็อย่าไปทำอะไร มันเหนื่อยเปล่าๆ ตอนนั้นดีใจยิ้มได้ คิดว่าถ้าต้องทำ
อย่างท่านทุกอย่างก็เห็นจะแย่แบกไม่ไหว
ต่อมาเมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เดือนเมษายน เอาล่ะเรื่องใหญ่มาแล้วในตอนนี้ หลังจากนั้นแล้ว หลังจากที่ท่านหายป่วยมาแล้ว ตอนนี้ท่านเปิดหมด
คาถาอาคมอะไรก็ตามใครจะเรียนอะไรก็ตามท่านให้ทั้งนั้น
หลวงพ่อปานไม่หวงวิชา
ท่านบอกฉันจะตายแล้ว ฉันจะคลายพิษแล้วคราวนี้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องปกปิด แต่ว่าคาถาส่วนใดที่เป็นโทษแก่ชาวโลกท่านไม่ให้ อย่างเช่น คาถาคงกระพันชาตรี
และ คาถาเสน่ห์เล่ลม นี่ท่านไม่ให้ คาถาเสน่ห์เล่ลมนี่ท่านไม่เล่นด้วยมานานแล้ว แต่ของเหล่านี้ท่านไม่เคยให้ใคร ท่านบอกให้ไม่ได้
แต่คาถาบทใดที่มันเป็นประโยชน์กับประชาชนท่านให้
◄ll กลับสู่ด้านบน
(โปรดอ่านต่อในฉบับหน้า)
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 19/11/08 at 10:14 |
|
Update 19 พ.ย. 51
คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านพิมพ์หนังสือเป็นการใหญ่ แจกเป็นการใหญ่ จะไปพูดที่ไหนก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะท่านต้องการจะสงเคราะห์คนให้พ้นจากความยากจน
แต่ไอ้มนุษย์นี่ท่านผู้ฟังมันก็แค่คน ไอ้มนุษย์นี่มันยังดี แต่ไอ้คนนี่รับเอาไปแล้วบางทีเอากระดาษไปเป็นกระดาษชำระก็มี ได้ไม่กี่คนหรอก
ได้ผลน่ะไม่กี่คน คนหมื่นถึงสองหมื่นคนจะได้สักคนก็ยากเต็มที
เวลาเห็นคนอื่นเขารวยน่ะอยากรวย รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นแต่ตัวทำไม่ได้บอกว่าไม่มีเวลา ก็ไอ้คนประเภทนี้มันคนจัญไร ไม่รักตัว
นี่ฉันว่าอย่างนี้ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ คนจัญไรแค่คาถาไม่กี่คำไม่มีเวลาสวด ไม่มีเวลาภาวนา ไอ้เวลาไปเล่นไพ่เล่นโป
ไปทำอีโลงโฉงเฉงไอ้ที่มันไม่ได้เรื่องได้ราว ไปคุยนํ้าท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงน่ะทำได้
แต่การจะเอาเวลานั้นมาภาวนาบ้างมันจะให้ประโยชน์ในปัจจุบัน ชาตินี้ก็ให้ประโยชน์รํ่ารวย ชาติหน้าก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไอ้อย่างนี้ไม่เอา
คนประเภทนี้เขาเรียกขั้น ปทปรมะ เรียกว่าสอนไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน คนระยำประเภทนี้ ใครคบใครก็ระยำด้วย
คบคนดีมันก็ดีตาม คบคนชั่วมันก็ชั่วตาม เรากำนํ้าหอมมือเราก็หอม กำขี้มือเหม็นใช้ไม่ได้ คบคนชั่วเหมือนกำขี้...
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เดือนเมษายนเรื่องใหญ่มาแล้ว หลวงพ่อปานท่านบอกว่า
"ลิงดำ..แกเขียนจดหมายส่งไปให้คนโน้น ส่งไปให้คนนี้ จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ว่ากันทุกจังหวัดถึงบรรดาลูกศิษย์" ให้บอกเขาไปบอกว่า "ปีนี้หลวงพ่อจะตาย
เขาต้องการอะไรให้เขามาหาพ่อ ให้เขาบอกลูกน้องเขา" ไอ้ที่ส่งน่ะส่งถึงหัวหน้า
เอาละสิ..พอจดหมายถึงแล้วเขาก็มาเป็นการใหญ่ วัดเหมือนกับมีงานวัดทุกวัน มีคนเต็มวัดตอนหลวงพ่อปานจะตาย แต่ว่าพอเขามาถึงเข้าจริงๆ
แล้วหลวงพ่อนั่งรับแขก หัวเราะก๊ากๆ ท่านหัวเราะเสียงดัง ชอบใจ ใครพูดอะไรก็หัวเราะ ทั้งวันได้ยินเสียงท่านหัวเราะ
คนที่เข้าไปหาท่านก็ชื่นใจ ไม่เหมือนฉันหรอก บางวันถ้าเข้ามาทำท่าทางไม่ถูกระเบียบจริงๆ ฉันก็ทำเฉยๆ ก็วางหน้าแต่ไม่ใช่หน้าพระพุทธ เป็นหน้าตุ๊กตา
ฉันไม่ชอบใจนี่ เข้ามาหาพระทำท่าเก้ๆ กังๆ ทำเหมือนพระเป็นเพื่อนเล่นนี่ฉันไม่เอาด้วย เพราะฉันจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากประจบคนพวกนี้
แต่ถ้าใครเข้ามาถูกจังหวะฉันก็ยิ้มฉันก็หัวเราะ แต่ว่าคนที่เข้าไปหาหลวงพ่อปานนี่ไม่มีใครเขาเก้ๆ กังๆ แบบที่มาหาฉัน เขาเรียบร้อยทุกคน
เพราะคนสมัยนั้นเป็นคนดี คนเก่าๆ นี่เขาเห็นพระเป็นพระ
โดนต่อว่า
แต่เมื่อเขามากันเต็มที่ตอนนี้ก็มีหลายคน พอเขาเห็นหลวงพ่อไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร
เขาก็ถามว่า "พระวีระนี่คนไหน" เอาแล้ว
จึงถามว่า "ถามทำไม"
เขาบอกว่า "มีจดหมายไปหาพวกเราบอกว่าหลวงพ่อจะตาย แต่นี่หลวงพ่อไม่เป็นอะไร นี่มันบ้าหรือไงนี่" เอาเข้าอีก ดูสิ มันเป็นคำสั่งของหลวงพ่อ
ฉันทำตามคำสั่งของหลวงพ่อ เขาหาว่าฉันบ้า แต่ฉันก็ไม่โกรธ
มีหลายคนมาถาม ปั้นหน้ายักษ์ใส่แล้วว่า "ท่านเป็นอะไรไปนี่ ทำไมหลวงพ่อดีอยู่ ท่านบอกว่าหลวงพ่อจะตาย"
ก็บอกว่า "ไม่รู้ หลวงพ่อบอกให้ฉันเขียนฉันก็เขียน เพราะเป็นคำสั่ง"
เขาถามว่า "หลวงพ่อจะตายหรือ"
ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามท่านสิ"
เขาก็เข้าไปถามหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็บอกว่า "จริง ข้าให้ไอ้ลิงดำ มันเขียนไป"
เขาก็ถามว่า "ใครคือลิงดำ"
ท่านก็บอกว่า "ไอ้พระวีระนี่แหละ ท่านเรียกไอ้ลิงดำ มันเป็นลูกข้า"
ถามหลวงพ่อว่า "ทำไมถึงบอกอย่างนั้น"
ท่านก็บอกว่า "ข้าจะตายจริงๆ นี่หว่า เดือนแปด แรม ๑๔ คํ่า เวลาหกโมงเย็นนี่ข้าตายแน่"
เขาก็บอกว่า "หลวงพ่อไม่เจ็บไข้ได้ป่วย"
ท่านบอก "ไม่ต้องเจ็บ แต่ข้าตายได้"
ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ เหมือนกับว่าไอ้ เรื่องตายๆ ของท่านมันเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง เหมือนการไปเที่ยวสวนสนุก
สอนวิชาทุกอย่างให้หมด
และท่านบอกว่า "ไอ้เรื่องตายๆ แกไม่ต้องสนใจ แกจะเอาอะไรก็เอาเลย แกจะเรียนอะไรก็เรียนกันซะ ไอ้พวกหมอนี่จะเรียนอะไรบ้างเรียนเสียให้หมด
ข้าเปิดหมดเพราะว่าข้าใกล้จะตาย"
เมื่อหลวงพ่อท่านรับฉากเสียบ้างแล้วเราก็สบายใจ ฉันก็สบาย ไอ้คนอยากจะติก็ชักจะมีน้อยเต็มที เหลือแต่คนใหม่ๆ บางทีก็โผล่หน้ามาเห็นหลวงพ่อยังดีอยู่
ก็เริ่มทำหน้าฉุนๆ ก็มี ก็เลยพูดกันรู้เรื่อง ฉันก็นึกหัวเราะว่าไอ้พวกนี้แปลก คำสั่งของหลวงพ่อแท้ๆ มันจะเตะเราเสียได้
หลวงพ่อปานล้มที่ตลาดบ้านแพน
ต่อมาพอถึงเดือนพฤษภาคม ท่านก็เริ่มป่วย ตอนนี้ป่วยอีกแล้ว อาการป่วยของท่านก็ไม่มีอะไรมาก ท่านเดินไปที่ตลาดบ้านแพน
ไปขึ้นบ้านของเขาแต่รู้สึกว่าทางมันลื่น ท่านก็ซวนล้มลงไป แต่ก็ล้มไม่แรงเพราะฉันไปด้วย เพราะว่าเราไม่ไว้วางใจหลวงพ่ออยู่แล้ว
ท่านไปไหนฉันก็เป่าหมู่เทวฤทธิ์คือต้องเอาพระไปอีก ๒ องค์ คือท่านฤๅษีโพธิวัตรกับฤๅษีพนมไพร
คือบอกกันว่าไม่ได้พวกเราปีนี้หลวงพ่อจะตาย ในเมื่อหลวงพ่อจะตายต้องให้หลวงพ่อตายดีหน่อย คือหมายความว่าป่วยตาย จะให้ล้มตาย รถชนตาย
เรือล่มตายอย่างนี้ไม่ยอมเด็ดขาด เรือแพก็เหมือนกัน ถ้าใครจะมารับหลวงพ่อถ้าเรือเล็กก็ไม่ยอมให้ไป
ฉันออกบัญชาเอง ถ้าเรือเล็กสั่งกลับ บอกไม่ได้ หลวงพ่อข้าปีนี้จะตาย ไม่ได้เดี๋ยวไปเรือล่มตาย ข้าไม่ชอบ
เขาบอกว่า "หลวงพ่อเคยขี่"
ก็บอกเขาว่า "หลวงพ่อเคยขี่ก็ตาม แต่ปีนี้ฉันไม่อนุญาต"
แต่ก็มีบางรายเขาโมโหแล้วพูดว่า "ท่านมีอำนาจอะไร"
ก็ตอบไปว่า "ฉันไม่ได้บังคับหลวงพ่อ ฉันบังคับแกนี่ ปีนี้ฉันไม่เอา ฉันไม่ยอม ใครจะมารับก็ให้เรือโตๆ" สมัยนั้นรถยังไม่มี
ผลที่สุดเขาก็ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ถามว่า "ไอ้ลิงดำมันว่าอย่างไร"
เขาบอกว่าพระองค์นั้นบอกว่าให้เอาเรือใหญ่ๆ เรือเล็กไม่ให้ไป
ท่านบอกว่า "ต้องเชื่อเขาเพราะปีนี้ข้าอยู่ในบังคับบัญชาเขานี่" เอาเข้านั่น
ท่านก็เห็นด้วย
ผลที่สุดคนนั้นก็ต้องยอมแพ้ ก็เอาเรือใหญ่มารับ
อาการป่วยทรุดหนัก
แต่เหตุการณ์วันนั้นเมื่อท่านขึ้นไป ท่านจวนจะล้ม ฉันก็เข้าประคองรับ ไม่ทันจะล้มเพียงแค่เซๆ
แต่อาการเพียงแค่นั้นเมื่อกลับมาวัดก็เกิดอาการป่วย เขาก็พาไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ อีก
ท่านก็บอกว่า "แกจะเอาฉันไปไหนปีนี้ ฉันก็ตายทั้งนั้น"
เอาละสิคราวนี้ แต่อาการป่วยยังไม่มาก
แต่ทุกคนก็บอก "ไม่เป็นไรครับ หมอเขามารับรอง"
ท่านถามว่า "หมอนี่มีความรู้แค่ไหน หมอให้ได้แต่เพียงระงับเวทนาเท่านั้น รักษาไม่ให้ตายรักษาไม่ได้ และปีนี้รักษาไม่ได้เพราะฉันตายแน่
ฉันตัดสินใจว่าฉันจะตายก็ต้องตาย"
เอาล่ะสิ เรื่องไปกันใหญ่
หมอทุกคนก็มาตรวจ แหม..ปริญญาประเทศไหนต่อประเทศไหนมาตรวจดูแล้วบอกว่าหลวงพ่อยังไม่เป็นไร
ท่านบอก "ใช่ ฉันยังไม่เป็นไร แต่ฉันตาย หมออย่าไปรับรองเขาน่ะว่ารักษาฉันไม่ให้ตายได้เดี๋ยวหมอจะเสียชื่อ"
แล้วท่านก็ไม่มีอะไร ท่านก็คุยโอ้ ใครไปใครมาท่านก็คุย ไอ้เรื่องตายๆ ของท่านนี่ฟุ้งขจรไปทั่วกรุงเทพฯ
สงเคราะห์คนทุกอย่าง
คนมากันใหญ่ หลวงพ่อปานจะตายแล้ว อะไรยังไม่ได้ ไอ้นู้นยังไม่ได้ ท่านป่วยอย่างนั้นท่านลุกไม่ขึ้น ลุกไม่ค่อยไหว ท่านก็นอนทำให้เขา
เอาเถอะใครจะเสกจะเป่าอะไรท่านก็นอนทำ พูดคุยหัวเราะไม่มีการเสียอกเสียใจ ความเศร้าใจไม่มี รื่นเริงตลอดเวลา น่าแปลก
จนกระทั่งตำรวจสันติบาลย่องมาดูที่บ้านหลวงประธานฯ เพราะบ้านนี้คนมามากกันจริง เขาก็รายงานไปหาพระพินิจชนคดี ซึ่งตอนนั้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ
เขาโทรศัพท์ไปรายงานว่าเวลานี้บ้านหลวงประธานถ่องวิจัยคนมากเหลือเกิน มั่วสุมประชุมคนมากเกรงว่าจะก่อการปฏิวัติ..เอาเข้านั่น..!
พระพินิจชนคดีก็บอกว่า "ไม่ใช่หรอก" มีพระมาอยู่องค์หนึ่ง มึงรู้มั้ยล่ะ เห็นไหม เขาบอกว่าเห็น ตำรวจก็บอกว่าน่ากลัวจะเอาพระเป็นเครื่องบังหน้า
พระพินิจชนคดี ก็บอกว่า "ไม่ใช่ นั่นเขาเป็นลูกศิษย์ลูกหา และพระองค์นั้นก็เป็นอาจารย์กูนี่หว่า กูรู้ มึงอยากจะไปหาท่านก็ไป"
อีตอนนี้เอง ยกกองทัพตำรวจมากันเป็นการใหญ่ มาเป่าหัว ปลุกเสก อะไรต่ออะไร ท่านทำให้เรื่อย ท่านบอกจะเอาอะไรก็เอา..ลูก พ่อจะตายแล้วพ่อให้ทุกอย่าง
ไอ้คนที่เขาฟังเขาก็แปลกใจ เมื่อถึงเวลาอีก ๓ วันท่านจะตาย ฉันก็ส่งข่าวกลับขึ้นไปวัดก่อน บอกว่าอีก ๑๕ วันจะถึงเวลา คือบอกให้ทางวัดทราบ
ท่านสั่งไว้ว่า
"ไอ้ลิงดำจดหมายไปเป่าหมู่เทวฤทธิ์ให้หมดว่าแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาหกโมงเย็นพ่อจะตาย ทุกคนให้มาหาพ่อถ้าต้องการพบพ่อ" อีก ๓ วันจะตายพ่อจะกลับวัด
ฉันก็เอาอีก เป่าหมู่เทวฤทธิ์
ลูกศิษย์ผู้หญิงร้องไห้
อีตอนนี้หมู่เทวฤทธิ์ทั้งหลายมาถึงวัดไม่ปั้นหน้ายักษ์แล้ว บางคนหลวงพ่อยังไม่ทันกลับจากกรุงเทพฯ เลย ผู้หญิงนี่สำคัญนัก
ขึ้นมาวัดได้ก็ร้องไห้พะอืดพะอม
ถามว่า "ร้องไห้ทำไม"
แกบอก "หลวงพ่อจะตาย"
ถามว่า "ตายแล้วหรือยัง"
แกบอกว่า "ยัง"
ก็ถามว่า "ถ้ายังไม่ตายแล้วแกร้องทำไม"
แกบอกว่า "ร้องกันไว้ก่อน"
แหม..มีการร้องไห้กันไว้ด้วย นี่เล่าลัดๆ นะ เทปมันจะหมดอยู่แล้วนะ เมื่อเหลือเวลาอีก ๓ วัน ท่านก็สั่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ นำกลับวัด
พอกลับวัดแล้ว ท่านบอกต้องไปบวงสรวง ฉันทำอะไรผิดไว้ต้องขอโทษเขาเสีย เดี๋ยวโทษมันจะตามฉันมา
ลูกศิษย์มากันมาก
ตอนนี้เองข้าราชบริพารทั้งหลายในกรุงเทพฯ ยกทัพกันเลย ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ กองทัพตำรวจ กองทัพประชาชน กองทัพข้าราชการพลเรือน มีหลายคนบอกว่า
"ไม่ทำแล้วงาน ใครจะไล่ออกก็เชิญมาไล่"
เอาเข้าแล้ว
บางคนหรือหลายคนมาก็ไม่ได้ลา แต่ก็พอดีบางกระทรวงรัฐมนตรีก็มาด้วย บางกรมอธิบดีก็มาด้วย อธิบดีก็บอกฉันก็ไม่ได้ลา ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกัน
เป็นอันว่ากลับไปก็ลงเวลามาครบถ้วน ไอ้พวกนี้ทุจริตเวลางาน แต่เขาก็หวังความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ของเขา เป็นอันว่าทั้งนายทั้งบ่าว
ทั้งเจ้านายและผู้บังคับบัญชาและบุคคลใต้บังคับบัญชา ต่างคนต่างขาดงานด้วยกัน คือขาดงานกันหลายวัน
หลวงพ่อก่อนจะตาย ๓ วัน แถมทำบุญอีก ๗ วัน ก็ขาดงานกันหมด แต่ไม่มีใครว่าใครหรอก เพราะเจ้านายมาด้วย แถมได้ดีเสียด้วย ไอ้พวกนี้กลับไปเงินเดือนขึ้นหมด
ทุกคนรวมใจช่วยงาน
พอมาถึงก็วิ่งกันเล้ง ข้าราชการชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นอะไรต่อชั้นอะไร คุณหลวง คุณพระ คุณพระยา ก็วิ่งกันไขว่หมด
ตอนแรกตอนต้นมาถึงก็ตั้งท่าตั้งทางเป็นขุนนางดี พอหลวงพ่อเจ็บหนักก็วิ่งกัน จะเอาอะไรก็วิ่งกัน ฉันก็นึกว่าไอ้พวกพระยานี่ก็วิ่งเป็นเหมือนกัน
พวกรัฐมนตรีก็วิ่งเป็นเหมือนกัน ไอ้ตอนนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นนาย มันเท่ากันหมด
ลูกศิษย์ของท่านไม่มีหรอกไม่มีใครจะมาวางท่าว่าฉันเป็นชั้นอะไรต่อชั้นอะไรไม่มี ตลอดจนกระทั่งพระองค์เจ้าหรือเจ้าฟ้าก็วิ่งเป็น พวกนี้วิ่งเป็นเหมือนกัน
ทีนี้เมื่อมาถึงวัด คนมากันเยอะ เอาละสิเรื่องข้าว ท่านก็มีพระบัญชาบอกว่า "ลิงดำ...อย่าให้ใครเขาอดอาหารนะลูก เรื่องอาหารให้เขาอดไม่ได้
ถ้าสตางค์ไม่มีให้จดหมายไปบอกแม่ช่วย (ตลาดบ้านแพน) กับแม่วงศ์ บอกว่าพ่อให้มาเลี้ยงคน"
เอาแล้วสิ ไอ้ลิงดำมันมีสตางค์ที่ไหน พ่อให้สตางค์ไว้ ๑,๐๐๐ บาทก็เรียบ ๓ วันน่ะเรียบไม่เหลือ หลวงพ่อก็เหลือ ๘๐ บาทในกระเป๋า สตางค์ไม่เหลือ
สำหรับพวกมาจากกรุงเทพฯ ไม่ต้องเลี้ยงเขา เขามีอาหารมาบริบูรณ์ ทีนี้คนมาจากบ้านนอกหรือต่างจังหวัด
ตามแม่ครัวมาช่วยเลี้ยง
เอาล่ะ..ลิงดำก็ต้องมีจดหมายไปถึงแม่ช่วยกับแม่วงศ์ เมื่อ ๒ คนนั่นมาก็ถามว่า "หลวงพ่อไม่มีสตางค์แล้วหรือ" ก็บอกว่า "ไม่มี" เขาบอกว่า
"ไม่เป็นไรท่าน ต่อไปนี้เรื่องการเลี้ยงคนท่านไม่ต้องเป็นภาระ ท่านไปอยู่กับหลวงพ่อ (แหม..ค่อยยังชั่วหน่อย)
ขอเป็นหน้าที่ของฉันตลอดกาลที่ยังจะต้องเลี้ยงอยู่" นั่น ๒ คนเขาแน่ นี่เป็นลูกศิษย์คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน
นายประยงค์พอรู้ข่าวก็ควักเงินมา ๑๐,๐๐๐ บาท เอานี่หนึ่งหมื่นคุณป้า ถ้ามันขาดเท่าไหร่ก็บอกผม เลี้ยงไม่ต้องอั้น หมดเท่าไรหมดกัน อีคราวนี้ไม่ต้องอั้น
เป็นไงเป็นกัน ผมขอล้มห้างเรื่องการเลี้ยงคน นี่รายใหญ่มาอีกแล้ว
เป็นอันว่าเกิดการแข่งขันเลี้ยงคนขึ้นมา มึงก็ควักกูก็ควักไอ้คนมาจากรุงเทพฯ เงินเยอะหลายหมื่น สมัยนั้นเงินหมื่นก็เยอะ เวลาเลี้ยงอาหารจริงๆ
เขาไปดูกัน
เลี้ยงอาหารอย่างดี
ถ้าอาหารไม่ชอบใจน่ะไม่ได้ เขาบอกว่าเลี้ยงคนต้องเลี้ยงให้ดี หมูเนื้อสั่งมาเท่าไรเท่ากัน นี่เลี้ยงดีเสียด้วย อันนี้เขาทำเพราะศรัทธาในหลวงพ่อ
เขามีความกตัญญูกตเวที
เฉพาะพระจริงๆ รู้สึกว่าเกิน ๓๐๐ องค์ ไอ้ที่ๆ จะนอนนี่ไม่ต้องเลือกกันแล้ว บนกุฏิ บนศาลา ที่โบสถ์ ที่ศาลาบอกไม่มีที่ว่าง ล้นหลามศาลาน้ำ
ผลที่สุดก็กลางลานวัด ผู้ชายเอาผ้าขาวม้าปู ผู้หญิงก็เอาผ้านุ่งปู นอนกลางลานวัด ส่วนเครื่องไฟฟ้านายเฉลิมเอามาจุดตลอดเวลา เพราะมันไม่มีที่แล้วนี่
เกลื่อนหมดไม่รู้เท่าไหร่ นี่ขนาดยังไม่ตายนะเพียงแต่มีคนมาเยี่ยมคนป่วย
◄ll กลับสู่ด้านบน
หลวงพ่อปานมรณภาพ
พอถึงวันจะตายจริงๆ ท่านก็มีบัญชาว่า "ลิงดำ วันนี้พ่อจะตาย อย่าห่างพ่อนะ" ท่านก็เรียกไอ้ลิงดำยันตาย
ผลที่สุดใครเขามาเขาไม่รู้จักว่าไอ้ลิงดำนี่ใคร นายประยงค์ก็บอกพระวีระ พระคนโปรดหัวแก้วหัวแหวน แล้วก็มีอีก ๒ องค์คือลิงขาวองค์หนึ่ง
และฤาษีพนมไพรองค์หนึ่ง ไอ้ ๓ องค์นี้ห่างไม่ได้ ถ้าเหลียวมาแล้วไม่เจอะท่านจะถามว่าไปไหนองค์แล้วหว่า ต้องเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ท่านคอยรับบัญชา
ไอ้ลิงดำอยู่ทางขวา ไอ้ลิงขาวอยู่ทางซ้าย ไอ้ลิงอ้วน ฤาษีโพธิวัตรท่านเรียกไอ้ลิงขาว เพราะขาวกว่า ส่วนฤาษีพนมไพรท่านไม่เรียก ท่านเรียกคุณน้อม
แต่ว่าฉันก็เลยตั้งให้เป็นลิงบ้าง มันเพื่อนกันนี่ ไม่งั้นมันจะได้เปรียบ มันอ้วน ฉันตั้งชื่อมัน เวลานี้เพิ่งตั้งเดี๋ยวนี้ ตั้งว่าไอ้ลิงอ้วน
ไอ้ลิงอ้วนอยู่ทางปลายเท้า ไอ้ที่อยู่นี่ท่านไม่ได้จัด เราจัดกันเอง คอยจับชีพจรว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะตาย
บวงสรวงเพื่อขอขมา
พอถึงเวลาตอนเช้าท่านก็สั่งว่า "ลิงดำ ไปสั่งเครื่องบวงสรวงมาให้ครบตามที่พ่อเคยทำ"
พ่อทำอะไรผิดไว้วันนี้พ่อจะต้องขมาโทษ ก็ไปสั่งหัวหมู สั่งไก่ สั่งอะไรต่ออะไรมาครบถ้วน พอครบถ้วนท่านก็ทำพิธีบวงสรวง
พอบวงสรวงเสร็จท่านประกาศเลยว่า "ใครจะพูดอะไรกับฉันก็พูดก่อนเที่ยงนะ หลังเที่ยงแล้วฉันไม่พูด ใครจะมีธุระอะไรกับฉันอีกไม่ได้หลังเที่ยงแล้ว"
ให้ไอ้ลิงดำประกาศให้เขาทราบ
อ้าวไอ้ลิงดำก็บอกประกาศเป่าหมู่เทวฤทธิ์ผ่านเครื่องขยายเสียง ที่วัดพิเรนทร์เอาไปช่วย ประกาศให้ทราบด้วยเครื่องขยายเสียง
แต่ว่าธุระของคนอื่นไม่มีแล้วเพราะหมด ทุกคนคอยฟังข่าว ต้องออกข่าวเป็นระยะๆ ว่าเวลานี้หลวงพ่อเป็นอะไร
และในตอนเพลวันนั้นก่อนเที่ยง ท่านพูด คือฉันใช้เครื่องขยายเสียงเอาไมโครโฟนตั้ง ท่านก็คุยหัวเราะก๊ากๆ นอนลุกไม่ขึ้นแล้วแต่คุยและสั่งสอนทุกอย่าง
อบรมวิปัสสนาญาณทุกอย่าง อบรมพระกรรมฐานทุกอย่าง
ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน
ท่านบอกว่า ลูกทุกคนเมื่อพ่อตายไปแล้วจงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ
ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า
ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะแล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้
เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี
แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร พูดไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พูดจริงๆ
พอจวนถึงเวลาเที่ยง ก็บอกหลวงพ่อครับ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีจะเที่ยง
ท่านถามว่างั้นเหรอ เอาล่ะเวลานี้เหลืออีก ๕ นาทีจะเที่ยง ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอะไร เพราะทุกอย่างฉันพูดมาแล้วสิ้นเวลา ๔๐ ปี เศษๆ
ต่อนี้ไปฉันจะไม่พูดอะไร เมื่อเที่ยงแล้วฉันไม่มีธุระสำหรับใครอีกแล้วนะ ให้เป็นภาระของฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันจะเตรียมตัวของฉัน เวลาหกโมงเป๋งวันนี้
นาฬิกาตีครั้งแรก ฉันขอลาทุกคน
ความตายเป็นของธรรมดา
แหม..บรรดาท่านสตรีทั้งหลายจำนวนหลายร้อยคน ร้องเพลงพร้อมกัน แต่ว่าไม่ใช่เพลงเพราะ เพลงร้องไห้ เสียงโฮเข้ามา
ท่านถามว่า "ใครร้องไห้"
ตอบท่านว่า "คนที่เขามาเยี่ยมครับ"
ท่านบอก "อย่าร้องไห้สิลูก ความตายเป็นของธรรมดา พ่อตายไปสบายนะลูก พ่อไม่ลำบาก พ่ออยู่นี่พ่อลำบากกว่าตาย แต่ที่อยู่ก็เพราะจะสงเคราะห์ลูก
พ่อสงเคราะห์ตามเวลาแล้ว"
เข้าฌานตาม
ตอนนี้ขอเล่าลัดม้วนเทปมันเหลือน้อยเต็มที เมื่อถึงเวลาใกล้เข้าไป ฉันจับชีพจรมือขวา ไอ้ลิงขาว (ฤาษีโพธิวัตร)
จับชีพจรมือซ้าย ไอ้ลิงอ้วนจับชีพจรขาขวา ผู้ใหญ่ยงจับชีพจรขาซ้าย พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า นั่งเข้าฌานตามอยู่ปลายเท้า
ตอนหลังนี่ท่านไม่พูดแล้ว ท่านเฉย มองดูคล้ายไม่หายใจ ท่านเข้าฌาน นานๆ เราก็ถามท่านพระครูอุดมสมาจารย์ทีว่า หลวงพี่ครับหลวงพ่อไปถึงไหนแล้ว
ท่านก็บอกว่า "เวลานี้อยู่ขั้นปฐมฌานบ้าง คือฌานที่ ๑ บ้าง ฌานที่ ๒ บ้าง ฌานที่ ๓ บ้าง ฌานที่ ๔ บ้าง เวลานี้เข้าอรูปฌานบ้าง
เวลานี้มาพักอยู่ที่อุปจารฌาน และกำลังพิจารณาวิปัสสนาญาณบ้าง"
ท่านก็ถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้าเข้าฌานตามลำดับฌาน ยังความเพลิดเพลินให้เกิดขึ้นแก่จิต เป็นการระงับเวทนา
ข้อควรจำเวลาป่วย
นี่เวลาจะตายก็จำไว้นะ เขาทำกันอย่างนี้ อย่าปล่อยให้ตายส่งเดช เมื่อเวลาป่วยใหม่ๆ ต้องรีบจับกรรมฐานทันที
ถ้าหากภาวนาแล้วจิตไม่เป็นสมาธิก็ใช้พิจารณาในอสุภะสัญญาบ้าง หรือว่าในมรณานุสสติกรรมฐานบ้าง หรือว่าเข้าวิปัสสนาญาณไปเลย
พิจารณาขันธ์ ๕ ว่าสภาพกายมันเป็นอย่างนี้คือมันจะดับ พอมันดับแล้วเราจะสบาย เราจะไปอยู่ที่ใหม่ของเรา
ในที่สุดเวลาเหลืออีก ๕ นาทีท่านก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า "ลิงดำ..โบสถ์วัดเสาธง จังหวัดสุพรรณบุรี พ่อยังสร้างไม่เสร็จ
เมื่อพ่อตายแล้วจงช่วยสร้างให้เสร็จนะ"
ก็กราบเรียนท่านว่า "ถ้าหากเขาไม่รังเกียจกระผม ผมจะช่วยครับเพราะผมยังเด็ก"
ท่านบอก "อืม..ถูกแล้ว"
และท่านบอกว่า "บอกพระทุกองค์ บอกคนทุกคนนะว่าพ่อลาแล้วนะ เหลือเวลาอีกเล็กน้อยพ่อจะลา" นี่ท่านรู้ด้วย ท่านไม่ได้ดูนาฬิกาแต่ท่านรู้
ก็ประกาศให้ทราบด้วยเครื่องขยายเสียงว่าเวลานี้ใกล้จะถึงเวลาหกโมงเย็น เหลืออีก ๓ นาที หลวงพ่อขอประกาศลา
บรรดาท่านทั้งหลายที่หลวงพ่อเคยประมาทพลาดพลั้งไปบ้าง ทุกคนขอให้อภัยกับหลวงพ่อ
ทุกคนก็สาธุ เสียงดังพร้อมกัน
พระสาธุ ฆราวาสก็สาธุด้วย
ท่านก็ยิ้ม แล้วก็หลับตา แล้วบอกว่า
"ลิงดำ..พ่อจะลานะลูกนะ แล้วสิ่งที่พ่อสั่งไว้ทุกอย่างลูกอย่าลืมนะ ต้องปฏิบัติตามพ่อที่พ่อสั่ง"
ก็บอกท่านว่าครับทุกอย่างผมขอปฏิบัติ ด้วยชีวิต ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ถ้าลงตั้งใจ คำใดที่หลวงพ่อสั่งผมจะรักษาไว้ด้วยชีวิต
ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า "ดีแล้วลูก ลูกพูดอย่างนี้มาหลายชาติเต็มทีแล้ว พ่อพอใจ"
ชีพจรดับพร้อมกัน
หลังจากนั้นท่านก็หลับตา พอนาฬิกาตีเป๊งแรก ๖ โมง เป๊งแรกท่านลืมตาแล้วก็หลับตาหมด.. ชีพจรดับพร้อมกัน
เพราะธรรมดาคนไม่ตายขึ้นก็ตายลง ถ้าตายขึ้นก็หมายความว่าชีพจรทางเท้าหยุดก่อน แล้วจะค่อยๆ เย็นขึ้นมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึงหัวใจ ชีพจรมือจึงหยุด
แต่นี่ไม่ใช่ คือพร้อมกัน คือตีเป๊งแรก ชีพจรหยุด พระครูอุดมสมาจารย์ก็ลืมตาแล้วบอกว่า ท่านไปแล้ว ไปดีเหลือเกิน สวยงามมาก ออกจากกายสวยมาก
ฉันตามไปถึงวิมาน วิมานก็สวยมาก เหลือแต่พวกเรา
คำสอนของพระครูอุดมสมาจารย์
แล้วท่านก็ลุกขึ้นประกาศทางเครื่องขยายเสียงว่า "เวลานี้หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว ได้ละอัตตภาพเสียแล้ว เหลือแต่พวกเราที่ยังไม่ตาย
ก่อนตายขอพวกเราควรปฏิบัติตามหลวงพ่อ คำสอนใดที่หลวงพ่อสั่งไว้ทุกคนควรปฏิบัติให้ ครบถ้วน ระหว่างนี้พ่อเราตายก็เหลือแต่ระหว่างพี่ระหว่างน้อง"
อันนี้พระครูอุดมสมาจารย์ท่านประกาศ
"พี่น้องเท่านั้นต้องสามัคคีกันไว้ สมบัติใดที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาสมบัตินั้นไว้ยิ่งด้วยชีวิต เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทุกคนจงสามัคคีกัน"
ท่านว่าอย่างนี้....
◄ll กลับสู่ด้านบน
(โปรดอ่านต่อในฉบับหน้า)
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 19/11/08 at 12:58 |
|
เหตุการณ์หลังมรณภาพ
........เมื่อหลวงพ่อตายแล้วก็ปรากฏว่าค้นเงิน ได้ ๘๐ บาท
ไม่ต้องค้นที่ไหนฉันเป็นคนเก็บ
........แต่หลวงพ่อมีหนี้อยู่ ๔,๐๐๐ บาท สมัยนั้นหนี้ ๔,๐๐๐ บาทไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าหนี้ก็มาพอดี
........พอถามเจ้าหนี้ว่าถ้าจะเอาเมื่อไหร่ก็บอก แต่ว่าอาตมาต้องขอเวลาบอกบุญมาใช้หนี้
........ทุกคนประกาศยกหนี้หมด ไม่เอาแล้ว ไม่มีใครเอาหนี้กับหลวงพ่อ
........แล้วจึงถามว่า งานศพนี่จะทำอย่างไร อาตมาน่ะไม่มีเงิน และหลวงพ่อปานก็มีเงินอยู่ ๘๐ บาทเท่านี้ ค้นที่ไหนอีกก็ไม่มีแล้ว
........เขาก็ถามว่า ท่านจะเอาอย่างไร
........ก็บอกเขาไปว่า งานนี้ขอให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทุกคนจัดกันให้พร้อมกัน อาตมามีแต่เสียงอย่างเดียว และก็ยังเป็นเด็ก เป็นพระย่างเข้าพรรษาที่ ๒
........เวลานั้นปรากฏว่ามีท่านผู้ใหญ่คือพระยาศรยุทธเศรณี เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐการ และก็อีตาพระยาอะไรนี่ จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว
อ๋อ..พระยานิติศาสตร์ไพศาล ซึ่งเป็นรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
และก็มีรัฐมนตรีอีก ๒-๓ คน แล้วก็มีนายประยงค์ มีคุณหลวงคุณพระเยอะแยะ มีใครต่อใครอีกจำไม่ได้ และอีตาหนวดโง้งก็มา (พระยาศรีสงคราม) เมื่อเป็นฆราวาสไม่ค่อยถูกกันเพราะแกดุ แต่แกก็ไม่กล้าทำเรา ไอ้เราก็แกร่งพอกัน
ศพไม่มีกลิ่นเหม็น
ผลที่สุดพวกนั้นเขาก็รวบรวมกันเข้าจัด เป็นงานทำบุญหลวงพ่อ ๗ วัน ก็สัญญากันว่าวันที่ ๓ จะนำหลวงพ่อลงหีบ
เขาก็เอาหลวงพ่อไปตั้งไว้ที่ศาลา เพราะที่กุฏิมันไม่พอ เขาเอาไปตั้งที่ศาลา คือเอาท่านวางไว้บนเตียง เอาเท้าให้เลย ออกมานิด มีคนรดน้ำทุกวัน
แต่น่าอัศจรรย์ ๗ วันนี่มีคนมาอาบน้ำท่านทุกวัน ไม่เน่า แปลก ไม่เหม็นเหมือนกับคนตาย แต่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา ไม่เหม็น กลิ่นเหม็นก็ไม่มี
เข้าไปดูถึงตัวก็ไม่มีกลิ่นเหม็น
มีดาวปรากฏให้เห็น
ในระหว่าง ๗ วันก็มีปาฏิหาริย์บางอย่างจะเล่าให้ฟัง วันที่เขามีเทศน์ มีคล้ายๆ กับใครเอาไฟมาฉาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเหมือนมีดวงดาวน้อยๆ
มาลอยอยู่ที่เพดานของศาลา วนมาวนไป วนไปวนมาจนกว่าจะเทศน์จบ
ไอ้ปี่พาทย์ลาดตะโพนนี่ไม่ต้องหาเพราะมากันเต็มวัดหมด ปี่พาทย์มาตีกัน คนก็เยอะแยะ พระก็นับเป็นร้อย รวมความว่าทำงาน ๗ วัน แต่ความจริงมันไม่ใช่ ๗
วันสิ ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เอาลงหีบวัน ๘ ค่ำเดือน ๙ นับวันแล้วได้ ๑๐ วัน
มีเต่ามาหา
ทีนี้มีเต่าตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้มาจากไหน แต่มากับกอหญ้าที่ลอยไปตามแม่น้ำ พอไปถึงหัวเขื่อนก็เดินขึ้นไปบนเขื่อน ขึ้นไปเลย เขาก็เดินดู
เต่าตัวใหญ่มากมันเดินขึ้นไป มันไปทางไหนคนก็เดินตามไปดูว่าจะไปทางไหน ไม่มีใครเขาทำร้ายมัน วันนี้ไม่มีใครทำบาปหรอก พอเดินไปๆ มันขึ้นศาลา
แล้วไปนอนอยู่ใต้ที่หลวงพ่อนอน ที่ศพของหลวงพ่อ
พอเขาไปดูที่หน้าอกเห็นมีชื่อเขียนไว้ว่า พระปาน ปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี คือเต่าตัวนี้เมื่อท่านมาที่จังหวัดสิงห์บุรีเมื่อหลายปีแล้ว เขาเอาถวายท่าน
ท่านก็เขียนชื่อไว้ที่หน้าอกว่าพระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี ให้คนเขาเขียนด้วยตะปู รอยยังปรากฏชัด
เจ้าเต่าตัวนั้นนอนอยู่ที่ใต้หลวงพ่อจนกว่าจะทำบุญเสร็จ มีคนเอาอะไรต่ออะไรไปให้ก็อิ่มหมีพลีมัน พอเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่าโยมช่วยเอาไปเลี้ยง
พอทำศพหลวงพ่อเสร็จ สำหรับปาฏิหาริย์ส่วนอื่นจะไม่กล่าว
พระมางานกันมาก
ทีนี้เมื่อถึงวันเผา ต่อจากนั้นมาก็มีคนมาทำบุญสวดพระอภิธรรมทุกคืน พระรวย ตอนนั้นพระรวย ทุกคนน่ะมีคนมาทำบุญเมื่อศพหลวงพ่อยังอยู่
พอเมื่อทำบุญเสร็จ เมื่อถึงวันเผา ถึงกำหนดวันเผา เงินไม่มี เพราะฉันไม่มีเงิน แต่ว่าไอ้เงินต่างๆ ที่เขาไม่เอาหนี้ก็คือแล้วกันไป ส่วนเงินทำศพหลวงพ่อ
เงินวันตายหลวงพ่อ เมื่อได้มาเท่าไรก็ให้นายประยงค์เขาเป็นคนเก็บเพราะเขาเป็นนายบัญชี แต่ปรากฏว่าเขาก็ทำบุญหมด พระมาเท่าไรเขาก็ถวายองค์ละ ๑๐ บาท
พระมาวันละ ๒๐๐-๓๐๐ องค์
แล้วก็เลี้ยงกันอย่างอิ่มหมีพลีมัน คนมาจากต่างจังหวัดเท่าไรก็เลี้ยงกันเต็มที่ แล้วเงินจำนวนนี้ที่เหลืออยู่เขาก็ให้ไว้ที่วัด คือตั้งกองไว้
ตั้งกรรมการไว้เพื่อสำหรับเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมศพหลวงพ่อ คนนี่ต้องมาทำบุญทุกวัน เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด
เมื่อทำบุญ ๕๐ วันผ่านไปแล้ว ทำบุญ ๑๐๐ วันผ่านไปแล้ว มาถึงวันเผา เขาก็ถามว่าจะนิมนต์พระเท่าไหร่
ฉันก็บอกว่า พระนี่ไม่นิมนต์ เอาเพียงแค่พระที่มีศรัทธามาเอง ก็ไม่จำเป็นต้องนิมนต์ พระมาติกาบังสุกุลหรือสวดอภิธรรม
เขาถามว่า พระเทศน์จะนิมนต์ใคร
บอกว่า ไม่นิมนต์
ถ้าพระที่เทศน์ได้มาในงานศพก็จะนิมนต์ขึ้นเทศน์ แต่ที่ไหนได้นึกว่าพระเทศน์จะน้อย พระเทศน์ที่มาในงานศพจริงๆ ๓๐ กว่าองค์ สมัยนั้นนักเทศน์ยังมีน้อย
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักเทศน์รุ่นใหญ่ทั้งนั้น พระผู้ใหญ่ทั้งหมดในกรุงเทพฯ ไปรวมกันหมด ไม่ได้นิมนต์ ท่านไปเอง
พระมาติกาบังสุกุลวันหนึ่งมีไม่น้อยกว่า ๔๐๐ องค์ นี่ขนาดไม่ได้นิมนต์นะไปเอง ท่านไปในงานศพเราก็นิมนต์ท่านมาติกาบังสุกุล และฉันเพล
เวลาฉันเพลเขาถวายเงินทุกวัน
นายประยงค์บอกวันนี้ ๔๐๐ วันนี้ ๔๕๐ วันนี้ ๕๐๐ มีวันเดียวคือวันต้นที่น้อยที่สุดคือ ๓๗๐ องค์ ไอ้เรื่องคนในงานไม่ต้องห่วงแล้ว
ไม่มีที่นอนก็นอนกลางลานวัดเหมือนเดิม
ปี่พาทย์มีด้วยกันทั้งหมด ๑๗ วง หาที่ตั้งไม่ได้ กลางลานวัด ตั้งกันตีกันเสียงดังไปหมด แต่ว่าลิเกไม่มี เพราะว่าหลวงพ่อไม่ชอบ พวกลิเกจะรับอาสามาเล่น
ก็บอกว่า ไม่มีที่ปลูกโรงหรอกไอ้หนู เอ็งดูคนสิไม่รู้จะไปปลูกที่ไหน หาที่ปลูกไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าจะมาช่วยกันก็ไปนั่งร้องส่ง พวกปี่พาทย์บ้าง
ไปรำข้างหน้าปี่พาทย์บ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็ช่วยกันทำงานดีกว่า มันเยอะแยะจะไปรำไหวหรือ ก็ช่วยกันทำงานวิ่งทำงานกันทั้งหมด
หุงข้าวเลี้ยง ๑๖ กระทะ
งานเผาหลวงพ่อคราวนั้นมีเงินเหลือจากงานใช้แหลก หุงข้าวเลี้ยงคนตั้งกระทะ ๑๖ กระทะ ไม่ใช่ ๘ กระทะ แต่ ๑๖ กระทะ ซึ่ง ๑๖ กระทะนี้หยุดหุงไม่ได้เลย
คนตำบลบ้านสี่ร้อยเขาเรียกบ้านสี่ร้อย อำเภอผักไห่รับอาสาหุง ตั้งกระทะพร้อมกัน ๑๖ กระทะ
แต่อย่านึกนะว่าหุงกันวันละกี่ครั้ง อย่าไปถามอย่างนั้น หุงหยุดไม่ได้ตลอดวันตลอดคืน กลางคืนก็ต้องหุง เพราะว่าคนมาไม่ขาดระยะ เห็นไหม ข้าวสุกนะหุง ๑๖
กระทะ หยุดไม่ได้ แล้วกับข้าวกินเท่าไหร่ ลองคิดดูสิว่ากับข้าวน่ะกินเข้าไปเท่าไหร่
มีของมาถวายมาก
ถ้าถามว่าเอามาจากไหน ก็ใครมาเขาก็เอามา ทั้งหมูทั้งเนื้อ ควายที่ตายถ้าเจ้าของไม่เอาก็ขอหนังกับเขาเท่านั้น ยกมาให้ทั้งตัว หมูเนื้อนับไม่ถ้วน
พวกทะเลก็ขนของมา พวกกรุงเทพฯ พวกสะพานปลาขนของเป็นลำๆ วิ่งกันทุกวัน เรือจากกรุงเทพฯ เอาของขึ้นไปส่ง พวกอาหารสดๆ คืออาหารปลา อาหารเนื้อ
พวกสมุทรสงคราม สมุทรสาคร ก็ขนอาหารทะเลขึ้นมา พวกบางช้างก็ขนผักขึ้นมา พวกชาวนาพวกจังหวัดสุพรรณบุรีขนข้าวมา ๔ ลำเรือ
ข้าวสารที่จังหวัดสุพรรณบุรีส่งมา ๔ ลำแต่ไม่รู้กี่สิบเกวียน และแถมอย่างอื่นอีก จิปาถะ ของกินไม่หมด
นี่คนขนาดนั้นแต่ของกินไม่หมด แต่ไอ้เรื่องที่เลี้ยงไม่ต้องแล้ว ใครอยากกินอย่างไรไปตักกินกันเอาเองเพราะมันหาคนเลี้ยงไม่ได้ มันเลี้ยงกันไม่หวาดไม่ไหว
หนักๆ เข้าไอ้จานไม่พอก็เอาถ้วยใส่ข้าวราดแกงกัน แล้วกินกันตามอัธยาศัย ถือว่าเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีใครเขาถือตัวถือตน
อาหารที่เลี้ยงประจำ
ขุนน้ำขุนนางเจ้าพระยาอะไรก็เหมือนกัน พระยาศรฯ นี่เป็นต้นเหตุเลย ตักข้าวได้ชามแกงผักบุ้งราดแล้วเดินกิน นั่งกินไม่ได้เพราะว่ามีธุระ
จะสั่งงานโน่นจะสั่งงานนี่ก็เดินกินไปด้วย บอกว่ามันหิว กินดะ อะไรก็กินทั้งนั้น ไอ้กับข้าวอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ
๑. แกงผักบุ้ง
๒. ต้มหัวตาล
ขนมก็คือ ลูกแมงลักละลายน้ำ เด็กๆ ชอบ และอันนี้เป็นของที่หลวงพ่อเลี้ยงเป็นประจำ ไปที่ไหนก็ตามท่านต้องมีอาหารอย่างนี้เลี้ยง
จะทำอาหารดีอย่างไหนก็ตาม แต่อาหารอย่างนี้ต้องมี
และเมื่อท่านตายก็ต้องมีไว้ แล้วก็กลายเป็นของที่ชาวบ้านโปรดไปอีก เห็นคนเขาบอกว่านี่อาหารหลวงพ่อ เมื่อสมัยที่หลวงพ่ออยู่เลี้ยงอย่างนี้
ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กินอย่างนี้กันดีกว่า รวมกันกิน ต้มหัวตาล ต้มปลาร้า แกงผักบุ้งของหลวงพ่อ และเม็ดแมงลักละลายน้ำกลายเป็นของขายดิบขายดี
ไม่ได้ขายหรอก แจกตักกินกันตามอัธยาศัย
แห่ศพหลวงพ่อปาน
ทีนี้ขอพูดถึงเมื่อเวลาแห่ศพลงไป เขาก็ลือว่าระวังคนจะแย่งกระดูกกันบ้าง อะไรกันบ้าง เขาก็ถามว่า จะทำอย่างไร
ก็บอกว่า ให้เอาพระยืน ๒ แถวจากกุฏิถึงศาลา พระยังเหลือ พระมากเหลือเกิน แล้วก็เอาศพแห่เข้าไประหว่างกลาง
แล้วก็มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่กี่คนเป็นคนแบกศพทุกคน ภายนอกให้ยืนพนมมือ เมื่อเราประกาศอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่มีใครฝ่าฝืนแม้แต่เด็กเล็ก
และเวลาจะเผาศพก็เหมือนกัน เอาพระยืนตั้งแต่ศาลาลงไป ๒ แถวแล้วก็ไปยืนล้อมเมรุเข้าไว้ แล้วก็แห่ศพขึ้นเมรุ ไอ้เมรุก็ทำกันอยู่ ๓ เดือน (ทำกันเอง) ลงทุนเยอะ
เปิดกรุหลวงพ่อปาน
เมื่อเผาเรียบร้อยไม่มีเรื่องไม่มีราว แต่ว่าในตอนนั้นพระของหลวงพ่อฉันเปิดกรุเล็ก ออกแจกไม่อั้น เขาถามว่า พระของหลวงพ่อองค์ละเท่าไหร่
ก็บอกว่า เรื่ององค์ละเท่าไหร่ไม่มี เพราะหลวงพ่อไม่เคยบอกนี่ว่าจะเอาสตางค์
เขาบอกว่า เวลานี้หลวงพ่อตายแล้วนี่
ก็บอกว่า หลวงพ่อตายไม่ได้สั่งก่อนตายนี่ว่าให้เอาสตางค์ ฉันก็ลูกหลวงพ่อ
แล้วเขาก็ไปถามคนอื่น อย่างนายประยงค์ก็ดี เจ้าคุณศรยุทธเศรณีก็ดี พระยาประเสริฐก็ดี เขาก็บอกว่าไม่ได้หรอก เรื่องภายในเป็นเรื่องของพระองค์นั้น
เพราะท่านสั่งต่อหน้าคน ทั้งหมดว่า
ในเมื่อท่านตายไปแล้ว ให้พระองค์นี้จัดแทนท่านทุกอย่าง พระผู้ใหญ่ท่านยังไม่สั่ง ก็ให้เป็นเรื่องพระองค์นั้น ถ้าพระองค์นั้นบัญชา
อย่างไรก็ใช้ได้เลยเรื่องภายใน เอาเข้านั่น
แหม..เราโตเบ้อเร่ออยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้เบ้อเร่อมาก เบ้อเร่อเรื่องแจกของกับบัญชางานทางครัว เลี้ยงไม่อั้น สตางค์ไม่ได้ออกนี่ชาวบ้านเขาออก
เมื่อเผาศพจริงกินกันแหลกลาญแบบนั้นแล้ว ทำงานศพ ๗ วัน ๗ คืน ลองคิดดูสิผอมน้ำหนักตัวลดเยอะ เหลือเงินจากการใช้จ่ายจริงๆ ๔๐,๐๐๐ บาท สมัยนั้น ๔๐,๐๐๐
บาทไม่ใช่เรื่องเล็ก กินกันแหลกใช้กันแหลก ถวายพระก็องค์ละ ๑๐ บาท สำหรับพระ และพระที่มาฉันเพลวันละตั้งหลายร้อยองค์ก็ถวายองค์ละ ๑๐ บาท ก็ลองคิดดูเถอะ ๗
วันนะ
วันสุดท้ายจริงๆ ตอนเย็นตอนสวดหน้าไฟ ถวายสตางค์ปรากฏว่ามีพระ ๗๐๐ กว่าองค์ ไม่ได้นิมนต์นะท่านมากันเอง เป็นพวกลูกศิษย์ลูกหาบ้าง
สร้างมณฑปและหล่อรูปหลวงพ่อปาน
ทีนี้เมื่อท่านตายไปแล้วก็เลยคิดว่าไอ้เงินจำนวนนี้จะเอาไปทางไหนก็ไม่ควร ก็หล่อรูปท่าน สร้างมณฑปให้ท่าน แล้วก็สร้างโรงเรียนประชาบาล
แล้วก็วัดไหนที่ท่านสร้างไว้ชำรุดทรุดโทรมก็เอาไปช่วย แล้วก็เอาเงินไปช่วยสร้างโบสถ์วัดเสาธง จ. สุพรรณบุรี เป็นอันว่างานเสร็จสิ้นไป
นี่เรื่องของหลวงพ่อปานขอเล่าย่อๆ นะ เอาแค่ตาย เพราะท่านตายดี และไอ้ความตายนี่บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงจำไว้ว่า
คนเราจะเกิดมาอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตามมันต้องตาย
ไม่กลัวความตาย
ไอ้ความตายนี่อย่าไปกลัวมันเลย ไม่ควรกลัวตาย คนเราเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ถ้าขืนไปกลัวความตายมันก็หลอกตัวเอง
คนไหนยังหลอกตัวเองคนนั้นยังเอาดีไม่ได้
ต้องพยายามรู้ตัวไว้เสมอว่าเราเกิดมาเพื่อตาย นี่เป็นอันดับแรก แล้วก่อนที่จะตายเราต้องรับผลของกรรม
กรรมมีอยู่ ๒ อย่างคือ
กรรมดีอย่างหนึ่ง
กรรมชั่วอย่างหนึ่ง
ผลของกรรม
กรรมชั่วที่เราทำไว้ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี มันให้ผลเป็นทุกข์ จำไว้นะ การป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม ความขัดข้องในทรัพย์สมบัติก็ตาม ความเดือดร้อนใดๆ
ก็ตามที่มันประสบกับเราในชาตินี้ นั่นคือผลของความชั่วในชาติที่เป็นอดีต หรือความชั่วที่เราสร้างในชาตินี้มันให้ผลเป็นความเร่าร้อน
ถ้าผลอันใดเกิดจากความสุขกายสบายใจ ความรื่นเริงหรรษานั่นมันเป็นผลของความดีที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนให้ผล หรือว่าความดีในชาตินี้ให้ผล
มีบางคนตัดพ้อ
บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่ ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย
มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วยอันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ
คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก ชาตินี้เป็นทุกข์แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่าการเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่
ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม เราก็ไปนิพพานแล้ว ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า
อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน
ต้องคิดไว้อยู่เสมอ
เมื่อเรารู้ตัวว่า
๑. เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา
๒. เราจะต้องแก่
๓. เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ
๔. เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้ว อย่างนี้ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมี
เหมือนกับคนเดินไปข้างหน้ารู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจเพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ
จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน
ถ้าบุคคลทั้งหลายรู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง
ทุกข์เพราะการป่วยไข้ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์
เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้าเราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว
แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่าทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่าเราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก
ถ้ายังเกิดตราบใดเราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น
ไม่เกิดต้องทำอย่างไร
ทีนี้คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร มันทำไม่ยาก ทำง่ายๆ คือ
๑. รักษาศีลให้บริสุทธิ์
คนรักษาศีลน่ะเป็นคนดี ไอ้คนไม่มีศีลน่ะเป็นคนระยำ จำไว้ให้ดี ถ้าเราอยากจะเป็นคนดีเราต้องเป็นคนมีศีล ถ้าเรายังปฏิบัติศีลไม่ได้
ให้รู้ตัวว่าเราระยำเต็มทีแล้ว เลวเต็มทีแล้ว ให้รู้ตัวไว้ อย่าเป็นคนเข้าข้างตัว จงเป็นคนรู้ตัวดีกว่าคนเข้าข้างตัว
๒. รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น ซึ่งเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน
๓. ปลงสังขาร ไว้ว่าโลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์ สังขารทุกสังขารเป็นดินแดนของความทุกข์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี
ก็ไม่พ้นทุกข์
ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ ประการ และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี
เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ ก็คือพระนิพพาน ภาวนาไว้ว่า สิทตะมหานิพพานัง
หรือ นิพพานัง เฉยๆ ก็ได้ นึกไว้ว่านิพพานๆ เราต้องการพระนิพพาน
เราต้องการนิพพาน
โลกนี้ทั้งหมดเราไม่ต้องการอะไร ความรัก ความเกลียดความโกรธ ความเร่าร้อน เราถือเป็นของธรรมดา อะไรจะมากระทบกระทั่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา
เราจะเปลื้องสมบัติสภาวการณ์ต่างๆ ของโลกให้สิ้นไป
เราอยู่กับโลกเราจะอาศัยโลกและสมบัติของโลกชั่วคราวเมื่ออัตตภาพมีอยู่ เมื่อความสิ้นไปแห่งอัตตภาพมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเราจะไปพระนิพพาน
ไม่อยากเกิดอีก
แล้วก็สร้างความไม่พอใจ แต่ว่าไม่เคียดแค้น คือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เห็นโลกก็ดี เห็นวัตถุก็ดี เห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี
คิดว่าสภาพทั้งหลายเหล่านี้เป็นดินแดนที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น เป็นดินแดนของความเกิด เราจะไม่ปรารถนาต่อไป
เมื่อมีก็ใช้ ไม่มีก็แล้วไป เมื่อมันทรงอยู่ได้ก็จะทรง เมื่อมันจะตายก็ตามที อัตตภาพนี้ตายเสียได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเราไม่มีความปรารถนา
เรารังเกียจมัน เพราะร่างกายทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ความเร่าร้อนก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น..ขึ้นชื่อว่าความเกิดทั้งสิ้นเราไม่ ปรารถนากันอีก
เอาละ..สำหรับเทปนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดเรื่องของหลวงพ่อปานเพียงย่อๆ เล่ามา ๔ เทปเป็นเวลา ๘ ชั่วโมง
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผลจงมีแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่านจงประสบผลดี ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระ
ชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแล้ว ขอบรรดาพุทธบริษัทซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตาม
จงถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงแล้วโดยทั่วทุกคน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ท่านทุกกาลทุกสมัยตลอดชีวิต เทอญ
(ตอนนี้หันไปดูนาฬิกาปรากฏว่าเป็นเวลาตี ๔ พอดี คือเวลา ๔.๐๐ น. ของวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เอาล่ะชื่อว่าเป็นอันสวัสดี
เรื่องราวทั้งหลายของหลวงพ่อปานก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้)
◄ll กลับสู่ด้านบน
สวัสดี
|
|
|
|
Posts: 192 |
Registered: 10/2/08 |
Member Is Offline |
|
|
|