ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 15/9/08 at 10:53 Reply With Quote

ชีวประวัติ "ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์" โดยพิสดาร


อารัมภบท


ก่อนที่จะอ่านชีวประวัติของท่าน ผู้จัดทำอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่า ประวัติของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นี้ เป็นการบันทึกจากหนังสือ "ของดีจากพืชสมุนไพร - ว่านยา โดย "จันทน์ขาว" ส่วนผู้พิมพ์ลงเว็บคือ คุณ Ann_siriket ซึ่งในประวัติบั้นปลายชีวิตของท่านนี้ จะมีความเป็นมาคล้ายกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่าไว้ตรงกันทุกอย่าง

ชีวประวัติท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์

บรมครูแพทย์แผนโบราณ



"........ดอกบัวยังมีชาติกำเนิดมาจากโคลนตมธรรมดาคนจะดีจึงไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิดที่ดี หรืออยู่ที่ใด หากแต่อยู่ที่ คุณธรรม ความดี ความเสียสละเพื่อมนุษย์ชาติ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเพื่อสาธารณะชนทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังผลตอบแทน"
".........บุคคลเช่นนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้วในอดีตแม้ร่างจะล่วงลับดับขันธ์ไป แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณความดีของท่าน ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของคนในสมัยต่อมา ทั้งในด้านคุณธรรม ความสามารถ ปาฏิภาณความฉลาดเป็นเลิศในทุกด้าน จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเอกอัครอภิมหาบูรพปรมาจารย์แห่งชมพูทวีป เมื่อ 2,600 ปีก่อน
..........ท่านผู้นั้นคือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์แผนประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีชื่อเสียงก้องโลกในทางว่านยาและสมุนไพรรักษาโรค ผู้ถือกำเนิดมาจากหญิงโสเภณีไม่ปรากฏบิดา"
ท่านหมอโกมารภัจจ์ ณ วัดสิริเขตคีรี
(วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย

ในสมัยพุทธกาลเกือบ 3,000 ปีมาแล้ว ณ เมืองไพศาลี อันเป็นเมืองที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรพิสดาร พรั่งพร้อมด้วยปราสาทราชวัง สระโบกขรณีถึง 7,707 อย่าง โดยเฉพาะอุดมพร้อมพรั่งด้วยหญิงงามเมือง จนได้ชื่อว่า “นครโสเภณี” (จะมีจำนวน 7707 คน หรือเปล่านั้นมิทราบได้ เพราะในพระวินัยปิฎกไม่ได้พรรณนาอธิบายไว้)

ในสมัยนั้นใครเป็นหญิงงามเมืองถือว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ เพราะเป็นตำแหน่งที่พระราชาทรงแต่งตั้ง โดยคัดเอาสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุดมีความสามารถในทางฟ้อนรำ ขับร้องประโคมดนตรี จึงจะมีตำแหน่งเป็นหญิงงามเมืองได้ ผิดกับหญิงโสเภณีสมัยนี้ หน้าตาไม่น่าจะมีราคาแถมยังไม่มีความสามารถอะไรเลย ก็ยังซื้อขายกันได้เป็นร้อยเป็นพัน

นครโสเภณีสมัยนั้น ได้กลายเป็นแหล่งจรรโลงใจของชายหนุ่ม จากเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะพ่อค้าวาณิชที่มาติดต่อค้าจากแดนไกล ทำให้การค้าขายระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองไพศาลีเจริญรุ่งเรืองขึ้น

ต่อมาความสำคัญของหญิงโสเภณีได้ระบาดเป็นสมัยนิยมขึ้นที่เมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่สอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเห็นชอบด้วยที่จะให้มีหญิงงามเมืองไว้เพื่อดึงดูดใจ โดยเฉพาะดึงดูดเงินจากพ่อค้าวาณิชที่ติดต่อค้าขายระหว่างเมือง

พระเจ้าพิมพิสาร จึงรับสั่งให้คัดเลือกสตรีงามนางหนึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ เธอเป็นสาวงามแรกรุ่นดรุณี มีนามว่า “สาลวดี” มีอัตราค่าตัวสูงสำหรับผุ้ร่วมภิรมย์แต่ละคืนมีชายหนุ่มมาลุ่มหลงกันมากมาย

ไม่นานนักนางสาลวดีก็ตั้งครรภ์ขึ้น โดยไม่ปรากฏบิดาเด็กในครรภ์ นางจึงงดรับแขก คอยจนครรภ์แก่จึงคลอดบุตรออกมาเป็นชาย ดึกสงัดของคืนที่ทารกจะลืมตาดูโลกโดยไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ามารดาอีกเลย เพราะนางได้สั่งให้หญิงรับใช้นำทารกน้อยนั้นใส่กระด้งไปทิ้งไว้ที่กองขยะนอกเมือง

เดชะบุญที่พรหมลิขิตขีดเส้นให้เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จออกสูดอากาศในยามรุ่งอรุณของวันนั้น มุ่งพระพักตร์มายังกองขยะ เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นฝูงแร้งกาต่างบินลงมาที่กองขยะ เมื่อรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปดู ก็เห็นทารกนอนดิ้นกระแด่วไขว่คว้าหาความอบอุ่นอยู่ในกระด้ง เจ้าฟ้าอภัยเกิดความสงสารจับใจ จึงนำมาชุบเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรมทรงขนานนามว่า “ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งแปลว่า บุญยัง หมายความว่า ผู้ยังมีชีวิต”

(ในตอนนี้ "ผู้จัดทำเว็บ" ขอสอดแทรกความเห็นไว้สักเล็กน้อย เพราะได้เคยศึกษาประวัติความเป็นมาของท่านจากที่อื่นๆ มีผู้สันนิษฐานว่า เจ้าฟ้าอภัย อาจจะเป็นพระบิดาจริงๆ ของท่านหมอโกมารภัจจ์ก็เป็นได้ จะเป็นเพราะเหตุใด ขอให้ท่านผู้อ่านไปคิดเองก็แล้วกัน)

เดินทางไปศึกษา ณ เมืองตักศิลา


เจ้าหนูน้อย “บุญยัง” เติบโตท่ามกลางลูกเจ้าลูกนายในรั้วในวัง จึงมีความเฉลียวลาดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถือแววฉลาด เอาชนะเพื่อนรุ่นเดียวกันไปเสียทุกอย่าง ทำให้เกิดความอิจฉาริษยาในหมู่เพื่อนฝูง เกิดการล้อเลียนถึงชาติตระกูล และดูหมิ่นว่าเป็นเด็กข้างถนน เด็กไม่มีพ่อแม่

คำพูดนี้เองทำให้เจ้าบุญยังเกิดความมานะ พยายามที่จะหาความรู้ใส่ตัวเพื่อลบล้างปมด้อยต่าง ๆ ให้ได้ แล้ววันนั้นก็มาถึง เขาได้มีโอกาสหนีออกจากวัง เดินทางไปกับพวกพ่อค้าโดยไม้ได้ทูลลาเจ้าชาย ผู้เป็นบิดาบุญธรรม มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองตักศิลาอันเป็นแหล่งสรรพวิชาทั่วโลก เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ให้ความรู้ทุกด้านของชาวภารตะ

ณ เมืองตักศิลา เจ้าบุญยังขณะนั้นเป็นหนุ่มแล้วได้เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาแพทย์ศาสตร์ โดยช่วยทำงานรับใช้อาจารย์สารพัด ตั้งแต่ตักน้ำ ผ่าฟืน บีบนวด หุงหาอาหาร เป็นการตอบแทนค่าสอน 7 ปีให้หลังที่ชีวกหนุ่ม หรือเจ้าบุญยังที่ถูกแม่โสเภณีนำมาทิ้งกองขยะ ก็แตกฉานในสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะแพทย์แผนโบราณที่ใช้ว่านยาสมุนไพรรักษา

การเรียนในสมัยนั้นต้องมีการสอบเพื่อทดสอบความรู้ก่อนเลื่อนชั้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ จึงใช้ให้หนุ่มน้อยชีวกไปสำรวจดูต้นไม้ทุกต้นหญ้าทุกชนิด ทั่วทั้งสี่ทิศภายในรัศมี 400 เส้น ให้ดูว่าไม้ชนิดไหนใช้เป็นยาอะไรบ้าง อย่างไหนใช้ไม่ได้เลย แม้แต่ต้นหญ้าก็ให้บอกถึงชนิด และสรรพคุณให้ได้หมดทุกอย่าง

หนุ่มน้อยชีวกผู้ชาญฉลาด ได้เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยตักกะศิลาขึ้นป่าลุยดงไม้นานาชนิด สำรวจไปทั่วทั้ง 4 ทิศเป็นเวลาทั้งสิ้น 7 วัน จึงกลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ให้กับอาจารย์ว่า

“ต้นไม้ใบหญ้า และสมุนไพรใด ๆ ในชมพูทวีปนี้ที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้น ไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น ขอรับ”

อาจารย์ยิ้มพร้อมกับเอามือลูบศรีษะด้วยความดีใจ พร้อมกับกล่าวว่า

“เอาละ เป็นอันว่าเธอเรียนจบหลักสูตรแล้ว ขอให้นำวิชานี้ไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บไขได้ป่วย จะเป็นกุศลต่อเธอเอง”

ครั้งแรกแห่งการรักษาโรคของ หมอชีวกโกมารภัจจ์

“ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น และสมุนไพรใด ในชมพูทวีปที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้นไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น”

นี่คือคำพูดของหมอหนุ่ม “ชีวก โกมารภัจจ์” ที่ตอบคำถามต่อพระฤาษีโรคา พฤกษตริณณ์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแพทย์แผนโบราณให้เป็นคนแรก ภายหลังที่ได้ผ่านป่าดงพงพีข้ามถิ่นทุรกันดารคลุกคลีอยู่กับต้นไม้ทุกชนิดบนเทือกเขาสูงชันนานถึง 7 วัน 7 คืน จึงพบความจริงว่า...ต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น

จึงไม่น่าแปลกใจอันใดเลยที่การรักษาโรคของสำนักอาจารย์ (ทรง) ต่าง ๆ จึงมีแต่เปลือกมังคุดบ้าง เปลือกเงาะบ้าง เปลือกไม้ หรือแม้แต่ต้นหญ้าคาที่เราเห็นเป็นสิ่งไร้ค่า มารักษาโรคแผนปัจจุบันอย่างได้ผลด้วยโรคร้ายแรงที่สุด นั่นคือโรคฝีดาษ

ณ เมืองสาเกต แคว้นมหารัฐโกศล อยู่ระหว่างเมืองตักศิลาและเมืองราชคฤห์ หมอหนุ่มร่ำลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ด้วยปณิธานอันสูง ที่จะใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาพัฒนาและช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ผู้ประสบความทุกข์ยากทรมานด้วยโรคร้าย

คนไข้คนแรกในชีวิตของแพทย์หนุ่มที่ทดสอบความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ คือ ภรรยาเศรษฐีแห่งเมืองสาเกต ผู้ป่วยเป็นโรคศรีษะมานานถึง 8 ปี ไม่มีหมอยาคนใดรักษาให้หายได้ สิ้นเปลืองทรัพย์สินในการรักษาไปมากมาย จนภรรยาเศรษฐีท้อแท้อ่อนหนาระอาใจ นอนทุกข์ทรมานรอความตายไปให้พ้นวันหนึ่ง ๆ

หนุ่มน้อย ชีวก โกมารภัจจ์ มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเศรษฐีแห่งเมืองสาเกตตามคำเล่าลือ ด้วยพลังใจอันสูงส่งที่จะช่วยดับทุกข์โศกโรคภัยของมนุษย์เพื่อนร่วมโลกโดยเสนอตัวช่วยเหลือตามที่ได้ร่ำเรียนมา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทาง

คนรับใช้ไปรายงานภรรยาเศรษฐีที่กำลังงุ่นง่านหงุดหงิด ถึงความปรารถนาของท่านชีวกที่จะรักษาให้หายจากโรคปวดศรีษะเรื้อรังให้กับนางภรรยาเศรษฐีถามว่า “หนุ่มหรือแก่ ?”

คนรับใช้บอกว่า “หมอหนุ่ม” นางจึงร้องตะหวาดลั่นด้วยความขุ่นเคืองใจ

“ไล่มันไป...หนุ่ม ๆ จะมารักษาอะไรได้ ไม่เอาไล่มันไปไว ๆ..รำคาญจะตายแล้ว...หมอแก่มีวิชายังรักษาไม่หาย... คนหนุ่มจะมารักษาฉันได้อย่างไร”

คนรับใช้ก็ออกไปเชิญให้หมอหนุ่มกลับไป ชีวกหนุ่มน้อยผู้เต็มไปด้วยแรงปณิธานที่จะขจัดทุกข์ให้กับมนุษย์ผู้เจ็บป่วย ไม่ละความตั้งใจจึงกล่าวว่า ”การรักษาคราวนี้จะไม่เอาอะไรเลย ถ้ารักษาไม่หาย” คำตอบที่มาจากใจอันสะอาดเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหมอหนุ่ม ทำให้ภรรยาเศรษฐีสนเท่ห์ ยอมให้ชีวกเข้าพบและยอมตกลงรักษา

เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสมุฏฐานของโรคก่อน พบว่าต้องรักษาด้วยวิธีนัตถุ์ด้วยเนยใสไปเคี่ยวให้แก่ด้วยไฟ จนเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น แล้วผสมเข้ากับว่านยาฉุนชนิดหนึ่ง ให้ภรรยาเศรษฐีนัตถุ์เข้าทางจมูก เพื่อให้ไหลออกทางปาก เพียงครั้งเดียว ปรากฏว่าอาการมึนงง ปวดร้าวกะโหลกศรีษะหายเป็นปลิดทิ้ง โล่ง..ปลอดโปร่ง..เหมือนยกภูเขาออกจากอก!

เพียงครั้งเดียวในการรักษา แบบง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ได้ผลเกินความคาดหมาย ภรรยาเศรษฐีดีใจเหมือนได้แก้ว รีบมอบเงินเป็นค่าตอบแทนถึง 4,000 กหาปณะ หรือเท่ากับ 16,000 บาท ลูกสะใภ้ ลูกชายและตัวเศรษฐีให้อีกคนละ 4,000 กหาปณะ รวมทั้งหมดเป็นเงิน 16,000 กหาปณะลองคูณด้วย 4 จะเป็นเงินไทยเท่าไร

ร่ำรวยมหาศาล แทบจะกลายเป็นเศรษฐีไปในบัลดล แถมยังได้ข้าทาสชายหญิง รถม้า และอื่น ๆ อีกมากมายเป็นของกำนัล หมอหนุ่มน้อมรับมาเพื่อไม่เป็นการขัดศรัทธา มุ่งหน้าสู่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธโดยเร็วเพื่อเฝ้าขออภัยพระบิดาบุญธรรม “อภัยราชกุมาร”

ขณะเป็นแพทย์ประจำพระราชสำนัก

หมอหนุ่มรวบรวมเงินทองจากการใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากอาจารย์ได้มากเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ก็อำลาครอบครัวเศรษฐีและชาวเมืองสาเกต ออกเดินทางไปยังเมืองมาตุภูมิทันที

ไปถึงเมืองราชคฤห์ เขาได้รีบไปเฝ้าเสด็จพ่อเจ้าฟ้าอภัยราชกุมาร พระเจ้าอภัยตกพระทัยจู่ ๆ “เจ้าบุญยัง” ก็โผล่พรวดเข้ามาหลังจากหายหน้าไปตั้ง 7 ปี ครั้งแรกทรงมีพระพักตร์บึ้งตึง ที่โอรสบุญธรรมไปไหนมาไม่บอกกล่าว หมอหนุ่มกราบทูลสาเหตุที่ต้องหลบหนีออกจากพระราชวัง ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตักศิลา จนมีความชำนาญรักษาได้สารพัดโรค แล้วกราบทูลขอขมาโทษที่ทำการครั้งนี้โดยพลการ เสมือนมิรู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ทรงเมตตาอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมา แล้วนำเงินทองที่เหลือจากที่ใช้จ่ายทั้งหมดมาถวายแด่เสด็จพ่อ

“เงินจำนวนนี้หม่อมฉันได้จากการรักษาภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาเกตุ ขอทูลถวายเพื่อเป็นเครื่องบูชาพระเดชพระคุณที่ทรงเมตตาชุบเลี้ยงหม่อมฉัน”

เจ้าฟ้าอภัยราชกุมารทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงแน่พระทัยว่า ที่ “เจ้าบุญยัง” กล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง ทรงชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณของโอรสบุญธรรมจึงไม่ทรงรับเงินจำนวนนั้น หากแต่รับสั่งให้เขาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนตั้งแต่นั้นมาเขาได้เป็นนายแพทย์คนโปรดประจำพระองค์เจ้าฟ้าอภัยอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย พร้อมกับจัดสร้างบ้านเรือนประทานให้แก่ชีวกโกมารภัจจ์ โดยแยกออกเป็นสัดส่วนต่างหาก

ครั้งหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร มคธินทราธิราช ได้ทรงประชวรด้วยโรคริดสีดวงทวารหนักถึงขนาดพระภูษาเปื้อนเปรอะไปด้วยโลหิตสด ๆ เมื่อพระอภัยราชกุมารเข้าเฝ้า พระเจ้าพิมพิสารมีพระบัญชาให้เรียกแพทย์หลวงมาเยียวยารักษา พระเจ้าอภัยทูลว่า ”เกล้ากระหม่อมมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือ ชีวกโกมารภัจจ์หรือพ่อบุญยัง มีความรู้ทางแพทย์ดีมากถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าจะได้นำมารักษา”

พระเจ้าพิมพิสารทรงบัญชาอนุญาต พระอภัยราชกุมาร จึงนำบุตรบุญธรรมที่ชุบเลี้ยงมาแต่แบเบาะ เข้าเฝ้าเพื่อตรวจพระอาการ หมอชีวกตรวจดูอาการของโรค ก็วางยาด้วยว่านยาชนิดหนึ่ง เข้าเครื่องยากับสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ป้ายที่ปากแผลเพียงครั้งเดียว อาการประชวรด้วยโรคทรมานก็หายเป็นปลิดทิ้ง พระวรกายเป็นปกติ เป็นที่สบพระราชหฤทัยของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอันมาก ทรงทึ่งในคุณภาพแห่งยาและกรรมวิธีการรักษาของหมอชีวกโกมารภัจจ์พระราชนัดดาบุญธรรม เป็นอันมาก

หลังจากนั้น ได้พระราชทานรางวัลด้วยทรัพย์สินอันได้แก่ เครื่องมหัคฆภัณฑ์เพชรนิลจินดา ข้าทาส ชายหญิงอีก 500 คน พร้อมกับพระราชทานวาจาแก่ชีวกหนุ่มว่า ”ต่อไปนี้จงเป็นแพทย์ประจำราชสำนักเถิด เครื่องมหัคฆภัณฑ์กองนี้ พร้อมทั้งทาสชายหญิงเหล่านี้เรามอบให้เป็นสมบัติของเธอเป็นการตอบแทนบุญคุณของเธอที่รักษาโรคในตัวเราหาย”

แต่หมอชีวกหนุ่มปฏิเสธไม่รับพระราชทาน เพราะเห็นเกินสมควรแก่ฐานะเกินวาสนาของตน จึงทูลถวายคืนพร้อมกับทูลว่า ”ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานทรัพย์สินและคนเหล่านี้แก่ข้าพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นหาที่เปรียบมิได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าไม่เหมาะสมกับภาวะของข้าพระพุทธเจ้าใช่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันใดไม่ จึงขอน้อมเกล้าถวายทรัพย์สินและคนเหล่านี้คืนแด่ฝ่าละออง”

พระเจ้าพิมพิสาร ทรงพอพระทัยในน้ำใจของหมอหนุ่มเป็นอันมาก ทรงโปรดแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นเอกอัครมหาอำมาตย์ เรียกตามภาษามคธว่า “เอโกอัคคมหามัจโจ ชีโว โกมาภัตติโก” แพทย์ประจำพระราชสำนักกรุงราชคฤห์แต่นั้นมา พร้อมกับพระราชทานเงินเดือนประจำและมอบคฤหาสน์บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย คนรับใช้ชายหญิง พร้อมด้วยอุทยานอัมพวัน (สวนป่ามะม่วง) ซึ่งเป็นที่ดินหลวงที่มีส่วยถึงปีละ 1 แสนกหาปณะ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหมอหนุ่มขณะนั้นแผ่ขยายขจรขจายไปในหมู่ผู้คนทั่วกรุงราชคฤห์

ครั้งนั้นก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งป่วยเป็นโรคปวดศรีษะมานานถึง 7 ปีเช่นกัน ได้รับการรักษาจากหมอทุกประเภทแล้วก็ไม่หายมีแต่อาการจะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น เศรษฐีเกิดความท้อแท้ระอากับชีวิตเต็มที โดยเฉพาะยิ่งมาได้ยินหมอคนล่าสุดคาดหมายว่าจะต้องตายภายใน 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง เศรษฐีก็ยิ่งอยากจะกระโดดน้ำตาย ความเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงพระเจ้าพิมพิสาร จึงทรงมีบัญชาให้หมอชีวกไปตรวจดูอาการ

หมอชีวก ไปตามพระราชบัญชาที่บ้านเศรษฐี ตรวจดูอาการป่วยพบว่าในสมองของเศรษฐีคนนั้นมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชอนไชกินสมองในกะโหลกอยู่ต้องทำการผ่าตัดเอาสัตว์ตัวนี้ออก ดังนั้นหมอชีวกจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า ”ผมจะมารักษาโรคของท่านโดยพระบรมราชโองการตรัสใช้ หากผมรักษาโรคของท่านหายท่านจะให้อะไรกับผม อยากทราบก่อนที่จะลงมือ”

เศรษฐีตอบว่า ”ถ้าหายจริงแล้ว ผมจะยกทรัพย์สมบัติส่วนตัวของผมให้ท่าน พร้อมด้วยบุตรภริยา ข้าทาสชายหญิงก็จะยอมเป็นข้าทาสรับใช้ท่านตลอดไป”

ชีวกหนุ่มได้ฟังก็ยิ้ม ถามเศรษฐีว่า ”เอาละเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง แต่การรักษาครั้งนี้ท่านจะต้องนอนตะแคงขวาเป็นเวลา 7 เดือน แล้วก็นอนตะแคงซ้ายเป็นเวลา 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนโดยไม่เปลี่ยนท่าจะทำได้ไหม” เศรษฐีผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกับรับปาก

“ถ้าอย่างนั้นผมตกลงรักษา” หมอชีวกกล่าวพร้อมกับจัดให้เศรษฐีนอนในท่าเตรียมการผ่าตัด ดำเนินการตามวิธีศัลยกรรมแพทย์แผนโบราณ โดยใช้มีดผ่าตัดผิวหนังที่คลุมกะโหลกศรีษะออก ใช้เครื่องมืองัดกะโหลกส่วนบนให้เปิดออกตามรอยประสาน ก็แลเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่สมัยนี้เรียกว่าพยาธิ 2 ตัว กำลังชอนไชกินเนื้อสมองอยู่ จึงเอาคีมคีบออกมาแสดงแก่คนทั้งหลายและพูดว่า”

นี่พวกคุณดูสัตว์เล็ก ๆ 2 ตัวนี้ซิ ตัวนี้แหละที่มันจะกินมันสมองของเศรษฐีให้หมดไปภายใน 5 วัน หมดมันสมองเมื่อไหร่เศรษฐีก็ต้องตาย ”ดังนั้นหมอชีวกจึงทำลายพยาธิ 2 ตัวนั้นแล้วก็เอากะโหลกปิดตามรอยประสาน ทายาสมานแผลที่สกัดจากว่านยาสมุนไพรชนิดหนึ่งก็เป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นก็ได้สั่งให้เศรษฐีนอนตะแคงขวา 7 วัน แล้วก็ตะแคงซ้าย 7 วันและนอนหงายอีก 7 วันแผลก็หายเป็นปกติ หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อเศรษฐีหายป่วยเป็นปกติแล้ว วันหนึ่งหมอชีวกก็ไปหาเศรษฐีพบว่ามีร่างกายแข็งแรงดีถามว่า “ศรีษะเป็นอย่างไรหายปวดไหม” เศรษฐีตอบว่า “หายเป็นปกติดีแล้ว” เศรษฐีสงสัยทำไมหมอจึงให้รับปากว่าจะนอนตะแคงขวา 7 เดือน ตะแคงซ้าย 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนจึงถามหมอชีวกว่า “ไหนท่านให้ผมตั้งสัจจะว่าจะต้องนอนถึง 21 เดือนนี่เพียง 3 สัปดาห์ก็หายแล้ว”

หมอชีวกหนุ่มหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่บอกให้เผื่อไว้อย่างนั้นที่ไหนท่านจะนอนได้ถึง 3 สัปดาห์” เศรษฐียิ้มในปัญญาของหมอ นายแพทย์หนุ่มจึงพูดถึงสัญญาค่ารักษาจากเศรษฐีว่า

“ดีแล้ว..ต่อไปนี้เราจะคบกันอีกก็ยากเต็มที ท่านจะให้อะไรแก่ผมเป็นค่ารักษา” เศรษฐียังคงยืนยันที่จะให้ทรัพย์สินลูกเมีย ข้าทาส พร้อมตัวเองเป็นทาสรับใช้หมอชีวกตลอดไปตามที่ได้พูดไว้ หมอหนุ่มยิ้มด้วยความพอใจในน้ำใจและสัจจะวาจาที่ให้ไว้ของเศรษฐีจึงรีบตอบว่า

“อย่าให้มันหนักหนาถึงขนาดนั้นเลย ท่านนี่ใจถึงมากควรนับถือ ผมไม่ใช่คนโลภลาภหาบเงินอะไรหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้ผมเพียง 1 แสนกหาปณะทูลเกล้าไปเป็นของหลวง 1 แสนกหาปณะ” ก็เป็นอันตกลงตามที่หมอชีวกต้องการ จากนั้นชื่อเสียงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ยิ่งแพร่ขยาย แซ่ซ้องสรรเสริญในกลุ่มข้าราชบริพารและขุนนางผู้ใหญ่เป็นอันมากทั่วกรุงราชคฤห์

(เรื่องนี้ผู้เขียนนำมาจากชีวประวัติบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์ที่ พระอริยเมธี ป. 9 เป็นผู้แปลขึ้นจากพระไตรปิฎก โดยมี ท่านเจ้าประคุณเปมังกโรภิกขุ เป็นผู้เรียบเรียง จากท้ายของการเขียนในตอนนี้ ผู้เรียบเรียงได้ให้ข้อทัศนะว่า)

วิธีการรักษาของ “นายแพทย์ชีวก” นั้นเป็นที่น่าสงสัยว่าสัตว์หรือตัวพยาธินั้นมันเกิดขึ้นมาอย่างไร ในสมองของมนุษย์ในเมื่อกะโหลกศรีษะก็ไม่ได้ทะลุเป็นรูรั่ว หรือเกิดจากเส้นโลหิตมีทางเดินไปทั่วสรรพางค์กาย มันสมองของคนย่อมมีเยื่อหุ้ม เป็นถุงอยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง ต่อจากกะโหลกศรีษะลงไปเมื่ออวัยวะส่วนใดไม่เสีย ส่วนนั้นก็ไม่น่าจะเกิดสัตว์ที่มีชีวิตได้

ที่น่าสังเกตก็คือ สัตว์ทุกชนิดย่อมมีลมปราณคือลมหายใจสมุฏฐานแห่งชีวิต เนื่องมาจากอากาศจึงยังชีวภาพให้เป็นอยู่ได้ เป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในพระไตรปิฎก ไม่น่าจะเป็นจริง เพราะสัตว์นั้นอยู่ในกะโหลกของคนโดยไม่ได้อาศัยลมหายใจอยู่ได้อย่างไร

และวิธีการรักษาของนายแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์ที่ว่างัดเปิดกะโหลกศรีษะออกตามรอยประสาน แล้วคีบเอาตัวพยาธิออกมาเช่นกัน ชวนให้สงสัยว่า เปิดปิดอย่างไร น่ากลัวศรีษะกะโหลกจะบิ่นแตกหรือร้าวป่นปี้ย่อยยับไปหมด เพราะศรีษะมนุษย์มันแข็งออกจะตาย คนที่ถูกตีหัวจนหัวแตกแต่กะโหลกศรีษะไม่แตกแยกจากกัน ก็แสดงว่ากะโหลกคนนี้แข็งมาก แต่ชีวกโกมารภัจจ์ กลับสามารถเปิดออกและปิดตามรอยเดิมได้อย่างง่ายดายเหมือนเปิดฝาตุ่มน้ำ คนโง่ไม่รู้วิชาแพทย์ย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา

เกี่ยวกับเรื่องสัตว์เข้าไปกินมันสมองคนนี่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ญาติผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง พร้อมกับยืนยันว่าสัตว์ที่ชอบกินมันสมองคนนั้นมีจริง และสามารถจะแพร่พันธุ์ ออกลูกออกหลานกินสมองคนเป็นอาหารเจริญเติบโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยปราณหรือลมหายใจจากภายนอกอย่างที่ท่านเปมังกโรภิกขุกล่าว

ณ ตำบลบางขุนไทร อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีบ้านครอบครัวประมงอยู่หลังหนึ่ง มีเด็กสาวรับใช้นางหนึ่ง มักจะมีอาการซึมจำอะไรไม่ได้เลย วัน ๆ เอาแต่นั่งง่วงเหงาหาวนอนที่สำคัญ มีอาการคันที่กระหม่อมศรีษะอย่างรุนแรง เกาจนผมร่วงเป็นกระหย่อม

สมัยก่อนย่านบางขุนไทร ซึ่งเป็นตำบลชายทะเลเลียบฝั่งทะเลจังหวัดเพชรบุรี นิยมหุงข้าวด้วยหม้อดิน ทุกวันบ้านนี้จะลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตร เด็กหญิงคนนี้จะมีหน้าที่หุงข้าวและทุกครั้งที่เธอหุงข้าวเธอจะเอาฝาละมี (ที่มีความร้อนจากไฟหุงข้าวมาอัง บริเวณกะหม่อมเป็นเวลานาน เพื่อให้คลายอาการคันบริเวณส่วนนั้นลง)

นายจ้างสงสัยทำไมข้าวมันสุกช้า จึงเข้าไปมองในครัว เห็นเด็กรับใช้นั่งยอง ๆ เอาฝาละมีครอบหัว อารามโมโหที่เห็นข้าวสุกช้า เพราะมัวเอาฝาละมีมาอังกะหม่อมอยู่ จึงคว้าฝาละมีนั้นทุบลงไปบนหัวกะโหลกแตก ก็ปรากฎมีสัตว์เลื้อยคลานขนาดความยาวเท่าหนึ่งองคุลีความหนาประมาณเท่าก้านไม้ขีดไฟหรือเล็กกว่า ลำตัวสีน้ำตาลไต่ยุบยับไปหมดในกะโหลกศีรษะ

เจ้าตัวชนิดนี้ภาคอื่นเขาเรียกว่าอะไรผู้เขียนไม่ทราบ แต่ทางบ้านบางขุนไทร จังหวัดเพชรบุรีเขาเรียกกันว่า “ตัวแมงคาเรือง” มีลักษณะคล้ายตัวกิ้งกือแต่เล็กกว่าขนาดเท่าก้านไม้ขีดไฟ ลำตัวสีน้ำตาลอมแดง ขยี้ให้ตายจะมีสีเรืองแสงออกมาจากตัว เป็นสีฟอสฟอรัสคล้าย ๆ แสงหิงห้อย ชาวบ้านแถวนั้นกลัวกันมากเพราะมันชอบคลานจากที่ชื้นอับ มาเข้าหูแล้วเข้าไปกัดกินมันสมอง

จริงเท็จอย่างไรไม่ขอยืนยันเพราะไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่ฟังจากคุณยายเล่าไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ คุณยายของผู้เขียนเป็นคนไม่ชอบพูดเท็จหรือปั้นน้ำเป็นตัว สิ่งที่เล่ามาก็คงน่าจะเชื่อถือได้ แต่ความเข้าใจของคนโบราณกับวงการแพทย์สมัยใหม่มันมักจะสวนทางกันอยู่เสมอ สิ่งที่เล่ามานี้ก็ขอให้พิจารณากันเอง ตามสติปัญญาของตนเกิดว่ามันจะเป็นไปได้สักแค่ไหน สำหรับผู้เขียนก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะเป็นไปได้ตามที่เล่ากันมา เมื่อได้ฟังมาก็เล่าไปเพื่อเรื่องจะได้ไม่สูญหาย

กล่าวกันว่า เจ้าตัวประหลาดชนิดนี้จะมีชุกมากในหน้าฝน โดยเฉพาะตามบ้านที่มุงหลังคาจาก มักชอบอยู่ในที่อับชื้น ชอบเข้าหูคน สมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กจึงถูกบังคับให้ทาน้ำมันก๊าดไว้ตามรอบนอกของใบหู กันแมงคาเรืองเข้าไป จะนอนก็ไม่มีสุข ต้องผวากลัวไอ้ตัวประหลาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้หายากเข้าทุกทีจนแทบจะไม่มีคนรู้จัก เนื่องจากบ้านเรืองของคนสมัยนี้จัดเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน ข้อสำคัญหลังคาบ้านไม่ได้มุงด้วยใบจากอย่างแต่ก่อน จึงหายห่วงไป

((( โปรดติดตามตอน ศัลยกรรมการผ่าตัดลำไส้ )))




webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 22/9/08 at 10:19 Reply With Quote


(Update 22 ก.ย. 51)

ศัลยกรรมการผ่าตัดลำไส้ของหมอชีวก

การเรียนรู้ศิลปะวิชาแขนงใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในเรื่องนั้น ๆ ก็คือ “พลังจิต” อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่ หมอชีวกโกมารภัจจ์ สามารถรักษาคนไข้หายจากโรคร้ายได้ทุกราย โดยไม่ต้องวางยาซ้ำ นั่นก็คืออาศัยอำนาจจิตเร้นลับในตัว เป็นแรงหนุนเนื่อง

มีเรื่องเล่าไว้ใน จีวรขันธกะ คัมภีร์พระวินัยปิฎก ว่า ท่านหมอชีวกได้ใช้พลังจิตตรวจสอบสมุฎฐาน และวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เฉพาะโรคที่เกิดขึ้นภายในอย่างเช่น โรคปวดศีรษะเรื้อรังอันเนื่องจากโพรงจมูกอักเสบของภรรยาเศรษฐีเมืองสาเกต

ซึ่งต้องรับรักษาโดย ใช้เนยใสเป็นน้ำมันหล่อลื่น เพื่อให้หนองในโพรงจมูกลื่นไหลออกมาทางช่องปากและตัวยาที่เข้าเนยใสก็จะซึมซาบฆ่าเชื้อไวรัสได้หมดในเวลารวดเร็ว เมื่อหนองไม่มีอยู่ในโพรงจมูกการหายใจก็โล่ง อาการปวดศีรษะเรื้อรังก็หายโดยง่ายดาย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาอื่นมากินมาทาให้เสียเวลา การวินิจฉัยโรคเร้นลับเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้พลังจิตแล้วไฉนจะล่วงรู้ได้

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของการวินิจฉัยโรคแนวใหม่ของท่านหมอชีวกที่สามารถล่วงรู้ส่วนเกินที่อยู่ในลำไส้ได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าใช้เครื่องเอ็กซเรย์ในปัจจุบัน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ท่านหมอชีวกโกมาภัจจ์ มีพลังจิตเร้นลับในการวิเคราะห์สมุฏฐานของโรคอย่างเที่ยงตรง แน่นอน จนกล้าที่จะกล่าวได้ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า แม้แพทย์แผนปัจจุบันที่เชี่ยวชาญเฉพาะโรคก็เถอะ

ครั้งหนึ่ง ณ เมือง พาราณสี มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งมีอาการเซื่องซึม ผอม ตัวเหลือง รับประทานอาหารไม่ได้ กินอะไรเข้าไปก็จะเกิดอาการจุกเสียด แน่นเป็นลูกขึ้นมาถึงหน้าอก ได้รับความทุกข์ทรมานมาก เศรษฐีได้ยินกิตติศัพท์ การรักษาโรคของหมอชีวก จึงส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารขออนุญาตหมอชีวกไปรักษาบุตรของตน พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานอนุญาตให้หมอชีวกไปรักษาโดยให้เดินทางไปในวันนั้น

เมื่อถึงบ้านหมอชีวก ผู้เชี่ยวชาญในการรักษารับตรวจดูอาการ หาสมุฏฐานของโรคโดยละเอียด พบว่า ลูกชายเศรษฐี เป็น โรควัณโรคในลำไส้ ต้องทำการผ่าตัด แต่สมัยนั้น การผ่าตัดเป็นเรื่องน่าหวาดสยองของคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ป่วยและผู้เป็นพ่อแม่ ย่อมไม่กล้าเสี่ยงที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับการผ่าตัด ดีไม่ดีความกลัวของคนอาจเป็นเหตุให้ตายเสียก่อนที่จะทำการรักษา

หมอชีวกรู้จิตใจของคนไข้ดี จึงตั้งคำถามกับเศรษฐีว่า ”ใต้เท้าอยากให้ลูกชายหายไหม?” เศรษฐีผู้เป็นพ่อร้องลั่นว่า “บ๊ะ..แล้วกัน ไม่อยากให้หายแล้วจะตามหมอมาทำไมกัน ถามได้”

“คืออย่างนี้ โรคนี้เป็นโรคร้ายแรงมาก ถ้าใต้เท้าไม่ตกลงรักษาตามวิธี และไม่ทำตามคำมั่นสัญญาของผม ลูกชายของท่านจะต้องตายแน่” หมอหนุ่มไขข้อกังขาพร้อมกับเอาสัญญากับเศรษฐี
“เอาเถอะจะรักษาโดยวิธีใดก็ยอมทั้งนั้น ขอชีวิตลูกฉันก็แล้วกัน” เศรษฐีให้คำมั่น
“การรักษาครั้งนี้จะต้องทำการผ่าตัดเอาไส้ออก” หมอหนุ่มกล่าวหนักแน่น ทำเอาเศรษฐีเบิกตาค้าง
“หา! อะไรนะหมอ”
“อย่าลืมว่าใต้เท้าให้สัญญาไว้แล้ว ผมต้องผ่าตัดลูกชายใต้เท้า ไม่งั้นลูกชายของท่านตายแน่ไม่รอด” หมอชีวกหนุ่มผู้ชาญฉลาดเริ่มทวงสัญญา
เมื่อได้ยินคำว่าตายบ่อยเข้า จึงหันไปมองหน้าเมีย เห็นเมียมองอย่างท้อแท้ พยักหน้ายอมรับการรักษาตามวิธีของหมอชีวก ก็เลยต้องยอมตกลงตามเมีย เพราะไม่มีทางเลือก

หมอชีวกจึงให้เศรษฐีจัดเตียงสำหรับคนไข้นอน จับคนไข้มัดมือมัดขาไว้กับเตีย จากนั้นได้ใช้มีดหมอทำการผ่าพุงลูกเศรษฐี ล้วงลำไส้ที่เป็นฝีทั้งหมดออกมาแสดงกับท่านเศรษฐีที่ยืนอกสั่นขวัญหายอยู่ข้าง ๆ พร้อมด้วยภริยาและลูกสะใภ้วงศาคณาญาติ ซึ่งแห่กันมาดูการผ่าตัดอันน่าขวัญสยอง

หมอชีวกได้อธิบายและชี้ให้เศรษฐีดูว่า ฝีในลำไส้ของลูกชายนี้เกิดขึ้นจากการดื่มนมวัวที่ติดเชื้อวัณโรค เชื้อนั้นได้ออกมากับน้ำนม (เมื่อนำไปดื่มกินโดยไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อเสียก่อน) แล้วเข้าไปยึดแหล่งที่พักพิง ขยายพันธุ์ต่อไปจนกลายเป็นฝี

เรื่องนี้ศาสตราจารย์ ดร.อวย เกตุสิงห์ ได้ให้ความเห็นไว้ในหนังสือสยามานุสรณ์ วิจารณ์ชีวประวัติหมอชีวกโกมารภัจจ์ไว้ว่า เนื่องจากชาวอินเดียชอบดื่มน้ำนมวัวเป็นอาหาร สมัยนั้นยังไม่มีการทำลายเชื้ออันจะเกิดจากแม่วัวมีเชื้อโรค ยังไม่มีความรู้เรื่องเชื้อจุลินทรีย์และกรรมวิธีทำลายเชื้อจึงเป็นการง่ายที่ลูกเศรษฐีจะได้รับเชื้อวัณโรคเข้าไปกับน้ำนมแพร่เชื้อขยายพันธุ์ จนกลายเป็นฝีในลำไส้ขึ้น

ผู้ที่เป็นโรคนี้ได้รับผลร้ายอยู่ 2 ทาง คือจากพิษของเชื้อวัณโรค และจากฝีที่อักเสบในลำไส้ ดังนั้นจึงทำให้ลูกเศรษฐีมีอาการจุกเสียดแน่นเวลารับประทานอาหารเข้าไป เมื่อร่างกายไม่มีอาหารก็ทำให้มีอาการผอมเหลืองเป็นธรรมดาbเนื่องจาก วัณโรคลำไส้ มักจะมีแหล่งโรคที่อื่นอีกด้วย โดยเฉพาะที่ปอด ซึ่งต้องรักษาด้วยยา

หมอชีวกมียาพิเศษที่ปรุงขึ้นเอง มีคุณภาพสามารถรักษาวัณโรคเกิดในตำแหน่งอื่นให้หายไปได้ เพียงชั่วที่หมอชีวก ผ่าตัดเอาฝีร้ายออกจากลำไส้ชำระล้างสิ่งปฏิกูลแล้วใช้ยาทา ไม่กี่วันแผลก็หาย ลูกเศรษฐีมีอาการปกติ อ้วนท้วนสมบูรณ์เป็นคนละคน

การรักษาของหมอชีวกดูเหมือนจะง่ายดายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย คือใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จกรรมวิธีผ่าตัด ซึ่งสมัยนี้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน กว่าจะอยู่ในสภาพปกติ แถมยังต้องจองคิวหมอ คิดเตียง ต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชา เงินหนาถึงจะได้หมอดี ห้องดี เหล่านี้เป็นต้น

ในคัมภีร์ พระวินัยปีฎกไม่ได้กล่าวไว้ว่า ท่านชีวกให้พักฟื้นกี่วันและใช้ยาอะไรระงับปวดในขณะผ่าตัด และใช้ยาอะไรเป็นยาสลบ เรื่องนี้ผู้เขียนได้ค้นคว้าจากการติดต่อทางสมาธิ (ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะได้ข้อมูลจากผู้ที่มีสภาพเป็นโอปปาติกะอยู่คนละภพภูมิกับเราได้อย่างแม่นยำ)
โดยกราบเรียนถามท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า ท่านใช้ยาอะไรเป็นยาระงับปวดและยาสลบ ท่านบอกผ่านทางสมาธิว่า ท่านใช้ยาสมุนไพรประเภทหนึ่งที่ชื่อ “สลัดได” โดยเข้ากับว่านยาอีก 2 ชนิดผสมกันใช้เป็นยาสลบได้ดี

ส่วนยาระงับปวดท่านใช้ “ควินนิน” เข้าเครื่องยาสมุนไพรบางอย่างเคี่ยวให้เป็นสีผึ้งใช้ในยามปวดอย่างรุนแรง ส่วนการรักษานั้นท่านกล่าวว่า “ใช้พลังจิต” เข้าประกอบขณะทำศัลยกรรม จะเห็นว่าการผ่าตัดก็ดี การวางยาสลบก็ดี จะต้องมีว่านและยาสมุนไพรโบราณเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาทั้งสิ้น

และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรักษาคือการใช้ “พลังจิต” เข้าช่วยในขณะกระทำการอันเสี่ยงต่อชีวิตของผู้อื่นทุกครั้ง เรื่องนี้ผู้เขียนไม่อาจจะยืนยันได้แน่ชัดว่า ท่านชีวก โกมารภัจจ์ใช้พลังจิตตรวจสอบสมุฏฐานของโรค และรักษาโรคได้หรือไม่

แต่ในชีวประวัติของท่านที่ได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุอย่างแจ่มชัดว่า พระฤาษีโรคาพฤกษตริณณา ได้สอนวิชาลึกลับพิเศษเพิ่มเติมให้อีกในการผ่าตัด ซึ่งธรรมดาไม่สอนให้ใคร ท่านชีวกจึงมีความรู้และความสามารถเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด และได้กลายเป็นบรมแพทย์ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย ในด้านการวินิจฉัยสมุฎฐานของโรคด้วย “กระแสญานทัศนะ”

((( โปรดติดตามตอน “การใช้ปัญญาเอาตัวรอดของหมอชีวก” )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 30/9/08 at 05:16 Reply With Quote




(Update 30 ก.ย. 51)

“การใช้ปัญญาเอาตัวรอดของหมอชีวก”

พระเจ้าพิมพิสาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ทรงโปรดความมักน้อยและความสงบเสงี่ยม ของท่านชีวกเป็นอันมาก นอกจากจะทรงเปลี่ยนรางวัลจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับราชตระกูลชั้นสูง และนางสนม ข้าทาสชายหญิงจำนวน 500 คน พรั่งพร้อมด้วยเพชรนิลจินดามูลค่าคณนานับมาเป็นคฤหาสน์พร้อมด้วยข้าทาสบริวาร ยานพาหนะกับตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนักยังทรงแต่งตั้งตำแหน่ง “เอกอัครมหาอำมาตย์” ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับข้าราชการอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

ความรู้ ความสามารถ ของท่านชีวกได้แพร่ขยายขจรขจายไปยังแคว้นใกล้เคียง นั่นคือกรุงอุชเชนี นครซึ่งเป็นเมืองหลวงของ แคว้นอวันตี (สมัยปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสิปรา เหนือแคว้นบอมเบย์ขึ้นมาหน่อย) มีพระมหากษัตริย์ชื่อ พระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงทราบเกียรติศักดิ์ชื่อเสียงในการวินิจฉัยโรค การวางยาเพียงครั้งเดียว ก็หายจากโรคได้

จึงได้ทรงส่งทูตมาขอตัวหมอชีวกต่อพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อไปรักษาโรคป่วยเรื้อรังทุกข์ทรมานมานานวัน ไม่มีแพทย์คนใดรักษาได้ พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานตรัสบัญชาอนุญาตให้หมอชีวกเดินทางไปรักษาพระเจ้าจัณฑปัชโชโต

ท่านชีวกได้ตรวจพระอาการอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบไปถึงอุปนิสัยจิตใจเพื่อหาสมุฏฐานของโรค โดยเฉพาะอารมณ์บางอย่างอันเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกาย ในที่สุดก็พบว่าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงมีพระโทสะร้าย มีพระอารมณ์ร้อน มีความปริวิตกมาก อันเป็นสมุฏฐานเบื้องต้นที่ทำให้พระโรคหายยาก แม้จะเยียวยาวิเศษอย่างไรก็ไม่อาจหายได้ แต่จะทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชโตละโทสะนั้นยาก จึงหาทางปรุงยาซึ่งจะต้องใช้เนยเหลวเป็นกระสาย

แต่ทว่าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต เกลียดเนยใสเป็นที่สุด ทรงอุทานตรัสสั่งห้ามทันทีที่ท่านชีวกทูลว่าจะต้องเสวยพระโอสถที่เข้าเนยใสว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ เป็นอันขาด ปฏิกูลสำหรับฉัน เกิดมาไม่เคยล่วงลงคอเข้าไปเลย อย่าว่าแต่จะกินเข้าไปเลย เพียงแต่พูดถึงชื่อฉันก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว ตายเสียดีกว่าจะกินเนยใส ท่านจงเอายาอย่างอื่นมาดีกว่า”

ท่านชีวกเล็งเห็นแต่ต้นแล้วว่า พระเจ้าจัณฑปัชโชโตมีพระโทสะร้ายและรังเกียจเนยเหลว การที่จะแข็งขืนให้เสวยด้วยวิชาทางแพทย์ แม้จะทำให้พระโรคหาย แต่ด้วยพระโทสะที่ท่านดื้อรั้น อาจทำให้ตัวหมอเองเป็นอันตรายได้ จึงได้วางแผนทางหนีทีไล่ไว้อย่างเรียบร้อย

โดยทูลขอช้างพังตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นช้างที่มีความสามารถเดินทางวันละ 50 โยชน์ ช้างตัวนี้มีชื่อว่า “ภัททวดี” ส่วนอีกตัวเป็นช้างพลายชื่อ “นาฬาคีรี” สามารถเดินทางได้วันละ 100 โยชน์ ม้าอีก 2 ตัว ตัวหนึ่งชื่อ “เวลุกัณโณ” อีกตัวหนึ่งชื่อ “มุญชเกโส” ซึ่งสามารถเดินทางได้วันละ 120 โยชน์ และราชบุรุษอีก 1 คน เดินทางได้วันละ 60 โยชน์ ท่านชีวกได้ขอพระราชทานสิ่งเหล่านี้ก่อนจะวางยา โดยทูลว่าจะเปลี่ยนยาให้ตามประสงค์

พระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงอนุญาตจัดการตามความประสงค์ของท่านชีวก ในขณะที่หมอหนุ่มกลับไปนอนตรึกตรองถึงการประกอบยา คิดสำเร็จแล้วลุกขึ้นเอาเนยใสมาเคี่ยวให้แก่ไฟเพื่อแปรสีกลิ่นรสให้คล้ายคลึงกับยาสมุนไพรที่เตรียมไว้ ผสมได้ที่แล้วเก็บเตรียมเอาไว้ เมื่อได้เวลาที่จะเฝ้าถวายพระโอสถตอนหัวค่ำ กราบบังคมทูลถวายว่า “เสวยพระโอสถพระเจ้าข้า พระโอสถนี้ประสมด้วยน้ำฝาดสมุนไพรเป็นกระสาย”

พระมหากษัตริย์ก็ทรงรับมาเสวย โดยมิได้ทรงทราบว่ายานั้นได้ประกอบเนยใส ท่านชีวกกราบถวายบังคมลา พร้อมกับทูลว่า “จะจัดพระโอสถ มาทูลเกล้าถวายอีก” ถวายบังคมลาจากที่เฝ้า ก็รีบไปยังโรงช้าง แจ้งความประสงค์ให้เจ้าพนักงานช้าง นำช้างพังภัททวดีมาให้เดี๋ยวนี้ พร้อมกับขึ้นขับหนีออกจากกรุงอุชเชนี เอาขอขนาบช้าง เร่งฝีเท้าให้เร็วเข้า ตกที่ลุ่มแล้วก็กระดอนขึ้นที่สูง โดนหัวตอ แล้วก็ชนตอไม้ เซไถลไปมา แต่ท่านชีวกก็ไม่ยอมหยุด ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พ้นจากรัศมีการตามล่า เป็นเร็วที่สุด

ข้างฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชโต หลังจากที่ได้เสวยพระโอสถไปแล้วก็เกิดอาการ “เรอออกมา” พาเอากลิ่นเนยฟุ้งออกมาไปทั่วพระนาสิก ทรงร้องด้วยความสะอิดสะเอียน
“เอ๊ะ..เนยใส ทำกูได้ ฉิบหายตายกันวันนี้แน่” ว่าแล้วก็ตรัสเรียกมหาดเล็กเวรด้วยพระสุรเสียงอันลั่นให้ตามตัวหมอชีวกด่วน พร้อมกับทรงเรอออกมาถี่ ๆ อีกหลายตลบ มหาดเล็กไปตามตัวหมอชีวก ก็เงียบหายยิ่งทรง พิโรธ โกรธกริ้ว ทุบถีบเครื่องราชูปโภคใกล้เคียง แตกกระจุยกระจาย กระโถน ขันน้ำ พระเขนย ลอยเป็นลูกฟุตบอล

มหาดเล็กกลับเข้ามาพร้อมกับทูลว่า “หมอชีวก ขี่ช้างพังภัททวดีออกจากพระนครไปนานแล้ว พระเจ้าข้า” เหมือนเพิ่มเชื้อไฟด้วยฟืนกองโต ทรงกริ้วจนพระพักตร์เขียว ตรัสว่า
“ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ ไอ้จัญไร หนีไปซิ ขืนอยู่หัวมันขาด ไปตามตัวไอ้กากมาให้กูเร็ว” (นายกากคือราชบุรุษที่เยี่ยมยิ่งในทางฝีเท้าเดินทางได้วันละ 60 โยชน์)

กว่าจะได้ตัวนายกากก็จวนสว่างของวันใหม่ พระเจ้าจัณฑปัชโชโตก็แทบจะคลั่ง ครั้นได้ตัวนายกาก พระเจ้าจัณฑปัชโชโตก็รีบตรัสว่า “ไอ้กากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว หมอชีวกวางยาผิด แล้วหลบหน้า พาช้างภัททวดี แล้วเผ่นหนี มึงชำนาญทางดีแล้ว รีบไปตามตัวมาเร็ว มันหนีไปนานแล้ว อย่าชักช้า แต่เดี๋ยว กูจะเตือนมึง ไอ้หมอคนนี้ ท่าทีเล่ห์เหลี่ยม ของมันเห็นจะมากโขอยู่นะ

แต่มึงนั่น กุมหัวโง่ ขี้เท่ออย่างกะหัวสากจงสำนึกตัว มึงดีแต่เดินเร็วเท่านั้น แต่กูมีปัญญาพอตัว เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน ยังไล่ความคิดมันไม่ทัน ถูกตกหลุมเนยใสของมันอยู่นี่ หากมึงไปทัน เข้ากลางทางแล้ว มันจะให้มึงกินอะไร อย่าไปกินของมัน ขืนกินเข้าไป มึงจะต้องตกหลุมของมันอีกคน เสียเกียรติชาวกรุงอุชเชนีหมด จำไว้นะ” ราชบุรุษกาโก หรือกากรับพระราชบัญชาแล้วกราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า เตรียมเดินทางทันที

เป็นไปตามที่หมอชีวกคาดคะเนเหตุการณ์ไว้ไม่มีผิด ท่านชีวกเดินทางมาถึงตำบลหนึ่งซึ่งอยู่กึ่งกลางใกล้กรุงโกสัมพี ก็หยุดลงจากหลังช้างพักกินอาหารเดินเที่ยวไปตามบริเวณที่พักพบต้นมะขามป้อมต้นหนึ่งลูกดกจึงเก็บเอากำมือหนึ่งลองรับประทานดูจึงพบว่าลูกมะขามป้อมมีคุณภาพแก้ก ระหายน้ำเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า กินมากเป็นยาระบาย ขณะพิจารณาก็เห็นนายกากตามมายังที่ตนนั่ง จะหลบก็ไม่ทันจึงทำใจดีสู้เสือ รีบตะโกนทักขึ้นก่อนทันที
“คุณกากครับ เชิญมาทางนี้ ผมอยู่นี่”

มหาดเล็กกากเห็นหมอชีวก ทักเรียก จึงยิ้มยิงฟันขาวพูดขึ้นว่า ”คุณหมอ มีพระบรมราชโองการ ให้ผมมาเชิญคุณหมอกลับไปรับพระราชทานบำเหน็จการรักษาพระโรคว่าอย่างไร”
ท่านชีวก ตอบขึ้นทันทีว่า
“ก็กลับซิ คุณเป็นคนของพระมหากษัตริย์สำคัญคนหนึ่งในกรุงอุชเชนีผมก็เป็นคนของพระมหากษัตริย์สำคัญคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ทำความเข้าใจกันได้ง่ายไม่ให้ต้องลำบากถึงกับมัดดอก นั่งลงรับประทานอาหารด้วยกันเถิด เดินทางมาไกล หิวน้ำแล้วมิใช่หรือ ?”

นายกากนึกถึงคำเตือนของพระมหากษัตริย์ ตรัสห้ามมิให้กินอะไรในสิ่งที่หมอชีวกให้จึงยกมือพูดว่า “ไม่หรอกครับ คุณหมอรับประทานคนเดียวเถิด ผมเดินกินโรตีมาตามทางกำลังอิ่มแป้อยู่นี่ อยากกินแต่น้ำเท่านั้น มีน้ำจากหนองน้ำที่ไหนบ้าง”

หมอชีวกได้ทีตอบว่า “อย่างนั้นรึ น้ำข้าพเจ้าก็มีในกระบอกนี่ แต่ท่านกินไม่ได้หรอก หมอเขาห้าม เดินทางตากแดดมาร้อน ๆ จะเกิดอาการความร้อนหลบในเป็นอันตราย ต้องกินผลมะขามป้อมแก้กระหายน้ำเสียก่อน”

ว่าแล้วหมอชีวกก็เอามือล้วงลงไปในกระทายเครื่องยาใช้หัวนิ้วแม่มือกดลงไปที่ห่อยาถ่าย (ที่ปรุงขึ้นเอง) เอาติดเล็บแม่มือ แล้วไปจิกลงที่ผลมะขามป้อมผลหนึ่ง ส่งให้นายกากกินพร้อมกับพูดว่า “เอ้า กินผลเดียวก็พอ” นายกากรับมาเข้าปากเคี้ยวกินจนหมดลูก สักครู่หนึ่งชั่วขณะยังไม่ทันคุยจบก็ร้องขึ้นว่า

“เอ๊ะ คุณหมอ ท้องผมมันเป็นอะไรนี่ มันปั่นป่วนครืดคราดเป็นลูกคลื่น วิ่งพล่านอย่างกะหนูวิ่งหนีแมวอยู่นี่” หมอชีวกจึงตอบว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาย” นายกากว่า หายอะไร มันยิ่งแรงหนักขึ้น”

นายกากนึกถึงพระวาจาตรัสห้ามของพระเจ้าจัณฑปัชโชโต แล้วก็ให้แค้นเคือง ที่เสียทีหมอชีวกจนได้ นึกด่าตัวเองไป ก็เอามือกุมท้องไปร้องถามหมอชีวกด้วยสายตาละห้อยว่า “คุณหมอทำอะไรผมนี่ โอ๊ย ปวดท้อง” เท่านั้นเอง ยังไม่ทันวิ่งไปหาที่ทุ่ง อุจจาระก็พุ่งจู๊ดไม่มีระยะหยุด พุ่งจนหมดท้อง ยังผลให้นายกากหน้าดำตาโบ๋ ล้มลงนอนหมดแรง อุจจาระกองเต็มผ้านุ่ง ตรงนั้นเอง ครางเสียงแหบ แผ่วเบาว่า “ฮือ ตายแน่แล้ว คุณหมอ พุทโธ่ไม่น่าทำผมได้ลงคอเลย”

หมอชีวกจึงก้มลงพูดปลอบใจว่า
“เพื่อนเอ๋ย ไม่เป็นไรดอกเชื่อผม มันเป็นยาถ่าย ไม่ใช่ยาพิษ นึกเสียว่า ถ่ายท้องเสียก็แล้วกัน เพราะมันสะสมหมักหมมกันมานานแล้ว ถ่ายเสียบ้างก็ดี หมดพิษยาถ่ายแล้ว เรี่ยวแรงก็จะมาอย่าตกใจ ต่อไปจะเป็นคนมีสุขภาพดีที่สุด ผิวพรรณผุดผ่องเดินคล่องว่องไว เดินทางได้วันหนึ่ง 60 โยชน์

ต่อไปนี้อาจเพิ่มกำลังขึ้นได้อีกวันละ 70 โยชน์ก็ได้ มันเป็นความจำเป็นของผมที่ต้องทำอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นเราก็จะต้องอยู่กัน 2 คนในป่านี้เอง เพื่อนมีแรงหายแล้ว ขี่ช้างกลับบ้านเมืองเสียนะ ผมจะกลับไปเมืองผม ลานะ ครางให้ดัง ๆ หน่อย เดี๋ยวช้างจะได้เดินมาเหยียบตายเอาล่ะ ลาที”

หมอชีวกพูดเสร็จก็เดินจากไปมุ่งหน้าสู่พระมหานครราชคฤห์ รอนแรมไม่กี่เพลาก็ถึงโดยสวัสดิภาพ ทูลเล่าเรื่องทั้งปวงอันเนื่องด้วยความจำเป็นที่ต้องกระทำตั้งแต่ต้นจนอวสานให้พระเจ้าพิมพิสารฟัง

พระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญความฉลาด ความสามารถของหมอชีวกพระราชนัดดาบุญธรรม ที่รู้จักเอาตัวรอด โดยไม่เสียทีเสียชีวิตลง ณ กรุงอุชเชนี แต่ก็เกรงจะเป็นเหตุให้เกิดสงครามขึ้นในระหว่าง 2 แคว้น เพราะการที่ส่งหมอชีวกไปนั้นเพื่อประสงค์จะสมานพระราชไมตรี แต่การกระทำของพระเจ้าจันฑปัชโชโต เป็นการทำลายมิตร ไม่ตรงกันแล้วซิทรงคิดใคร่ครวญรอเหตุการณ์อยู่

ข้างฝ่ายมหาดเล็กราชบุรุษกาก เมื่อหมอชีวกจากไปแล้ว ไม่ช้าก็ค่อยมีเรี่ยวแรงขึ้น พอลุกขึ้นได้ก็เรียกช้างปีนขึ้นหลังกลับกรุงอุชเชนี เฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทูลเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยอาการกลัวเป็นกำลัง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องถูกลงพระอาญาฐานไม่ทำตามพระกระแสรับสั่ง แต่ปรากฏผิดความคาดหมาย

เนื่องจากพระโรคของพระเจ้าจัณฑปัชโชโตหาย ตั้งแต่ที่หมอชีวกวางยาไว้เพียงครั้งเดียว เมื่อพระวรกายหายเป็นปกติดีแล้ว พระองค์ก็ทรงรำลึกถึงความดี และความสามารถของหมอชีวกขึ้นมาทันที จึงมีพระราชบัญชาให้จัดผ้าเนื้อดีที่ทอจากฝีมืออันประณีตของชนชาวกาสี เมืองหลวงคือ พาราณสี ซึ่งนิยมกันในสมัยนั้นว่าเป็นผ้าเนื้อดี ฝีมือเยี่ยมกว่าประเทศใด ๆ ในโลก

พระองค์เลือกสรรเอาแต่ชนิดที่ดีเยี่ยม ให้ทูตนำมาพระราชทานแก่หมอชีวกถึงกรุงราชคฤห์ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นจำนวนหลายพับ หมอชีวกรับแล้วตรวจดู เห็นไม่สมควรจะนำมาใช้สอยด้วยตระหนักใจว่า ฐานะของตนไม่สมกับราคาของผ้า จึงเก็บนิ่งไว้ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าพิมพิสาร แต่พระเจ้าพิมพิสารไม่ทรงรับกลับให้คืนแก่หมอชีวก.

((( โปรดติดตามตอน หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 7/10/08 at 10:20 Reply With Quote


[Update 7 ต.ค. 2551]

หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า

หมอชีวก นึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นมาทันที เห็นว่าผ้านี้เป็นผ้าเนี้อดีหาได้ยาก ควรจักนำไปถวายพระพุทธเจ้า จึงนำไปยังเวฬุวนาราม ตั้งใจจะถวายแด่พระพุทธองค์

แต่สมัยนั้นพระภิกษุสงฆ์ถือผ้าบังสุกุลอย่างเดียว คือท่านแสวงหาเศษผ้าที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ มาเย็บทำจีวรเอง และใช้สอยเพียงสามผืนเท่านั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้รับผ้าจีวรที่คฤหัสถ์ทำถวาย

ตอนเมื่อพระพุทธองค์เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายฉันอาหารเสร็จแล้ว ชีวกโกมารภัจจ์นำผ้าสิวัยยะกะ 2 พับเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถวายบังคมแล้วทูลขอพระพุทธองค์ว่า

“พระสงฆ์พุทธสาวกทั้งหลาย ยินดีอยู่ตามป่า นิยมถือผ้าบังสุกุลเป็นการปฏิบัติประจำ ไม่ยอมรับผ้าจีวรที่คฤหบดีถวาย เพราะฝ่าพระบาทยังมิได้ทรงอนุญาตให้รับ ขอจงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตให้พระสงฆ์พุทธสาวกทั้งหลายรับผ้าจีวรที่คฤหัสบดีถวายเถิด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผิดชอบอย่างไรที่ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอนี้ แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว ก็ทรงพิจารณาถึงประโยชน์ ทรงเห็นว่าชอบดีควรอนุญาต จึงได้ตรัสประทานอนุญาต เพื่ออนุเคราะห์แก่พระสาวก และทายกผู้ถวายด้วย

หมอชีวก เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาต แสดงอาการให้เห็นว่าเกิดปีติปราโมทย์มาก ยกผ้า 2 พับ ขึ้นแสดงแล้วทูลว่า “ผ้าสิวัยยะกะคู่นี้เป็นผ้าเนื้อดีพิเศษกว่าผ้าอื่น ๆ พระมหากษัตริย์จัณฑปัชโชโต กรุงอุชเชนีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปรักษาพระโรค ณ กาลครั้งนั้น ได้ทรงพระกรุณาส่งมาพระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เอง เป็นผ้าสมควรแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า และสมเด็จพระเจ้าพิมพิสาร จะพึงทรงใช้

คิดเห็นดังนี้แล้วก็เก็บไว้เพื่อถวายแด่ฝ่าพระบาท การทำบุญใหญ่กันวันนี้ จึงนำมาด้วย ขอฝ่าพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า จงทรงรับผ้านี้ไว้ทรงใช้สอยเถิดพระเจ้าข้า จักเป็นผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่แก่ข้าพระพุทธเจ้า” แล้วก็น้อมเกล้าถวายผ้าคู่นั้น

พระพุทธองค์ทรงรับแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ในการกุศลทานของชีวกโกมารภัจจ์ และของมหาชน ซึ่งร่วมกันบำเพ็ญในคราวเดียวกัน ณ กาลครั้งนั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนาลง พระอรรถกถาจารย์นักเพิ่มเติมเสริมต่อ กล่าวไว้ว่า ชีวกโกมารภัจจ์ถึงกับได้บรรลุผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยะเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา

เมื่อชาวบ้านได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าหรือจีวรที่ชาวบ้านถวายได้ ต่างก็ดีใจ พากันนำจีวรมาถวายเป็นจำนวนมาก เนื้อดีบ้างเนื้อหยาบบ้าง ทอด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ กัน พระสงฆ์เลยเกิดความสงสัยว่า จีวรชนิดไหนไม่ควรรับ

จึงนำความเข้าทูลถามพระพุทธองค์พระพุทธองค์จึงตรัสอนุญาตไว้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร 6 ชนิด คือ จีวร..
ทำด้วยเปลือกไม้ 1
ทำด้วยฝ้าย 1
ทำด้วยไหม 1
ทำด้วยขนสัตว์ 1
ทำด้วยป่าน 1
ทำด้วยของทั้งห้าอย่างนั้นเจือกัน 1

((( โปรดติดตามตอน สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 15/10/08 at 15:14 Reply With Quote


ท่านชีวกโกมารภัจจ์ สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า

ชีวกโกมารภัจจ์คิดถึงตัว ปรารถนาจะอบรมจิตใจในทางธรรมให้มากยิ่งขึ้น จึงคิดว่าเราควรจะเข้าเฝ้า นั่งใกล้พระพุทธเจ้าวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็นจึงจักดี เพื่อจักเป็นทางพูนเพิ่มสติปัญญา และเจริญก้าวหน้าในทางธรรมปฏิบัติ

แต่พระราชอุทยานเวฬุวัน พระอารามหลวง ที่พระพุทธเจ้าประทับกับพระสาวกภิกษุสงฆ์นั้น ห่างไกลสำหรับเรา ไปมาไม่สะดวก ควรสร้างวัดสำหรับตัวขึ้นใหม่สักวัดดีกว่า จึงจะเข้าเฝ้าวันละ 2 เวลาได้สะดวก พระราชอุทยานอัมพวัน (สวนมะม่วง) ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานเรานั้นใกล้บ้าน ไปมาสะดวกดี

จำต้องอุทิศถวายอัมพวันเป็นที่ธรณีสงฆ์สร้างวัดเสียเถิด คิดตกลงแล้ว ก็เริ่มดำเนินงานก่อสร้างหานายช่างมากะการณ์คุมกำลังคนงาน สืบหาไม้อิฐปูนเครื่องทัพพสัมภาระก่อสร้างนานาประการตามความต้องการ

สร้างอาคารสถานขึ้นเป็นอาคารอิฐปูนก็มี ไม้ก็มี กุฏิเป็นหลัง ๆ วางเป็นแถวแนวเหมาะสมเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย ศาลาที่ประชุมกระทำสังฆกิจ โรงธรรมสากัจฉา แสดงพระธรรมเทศนา สถานที่วิเวกบำเพ็ญสมณะธรรม บ่อน้ำ กำแพงวงรอบเป็นเขตวัดที่ธรณีสงฆ์ ครบหมดตามที่ต้องการ

เสร็จเรียบร้อยแล้ว กราบบังคมทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์พุทธสาวก เสด็จเข้าประทับอาศัยในวัดใหม่บำเพ็ญกุศลทานฉลองเป็นการใหญ่ เมื่อเลี้ยงอาหารบิณฑบาตทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน เสร็จแล้วถวายบริขารจีวรทานให้ครองผ้าสบงจีวรอีกต่อหนึ่ง เสร็จแล้วชีวกโกมารภัจจ์กราบบังคมทูลมอบถวายอาวาสแด่พระภิกษุสงฆ์ ขาดจากกรรมสิทธิ์เจ้าของเดิม ตามความนิยมในกาลครั้งนั้น

นับว่าชีวกโกมารภัจจ์ได้บริจาคปัจจัยทานแด่พระสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ครบหมดทั้ง 4 ประการ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เสร็จการมอบถวายแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาอนุโมทนาในกุศลทานพิเศษนี้ จบลงเป็นเสร็จกิจเรื่องการสร้างวัดถวาย

วัดนี้มีชื่อระบือไปในหมู่ชาวกรุงราชคฤหตามนิมิตเดิมของสวนว่า “วัดอัพวนาราม” บ้าง “ชีวกัมพวนาราม” บ้าง ส่วนชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นเจ้าของวัด ก็อุปถัมภ์วัดนี้ไปจนตลอดชีพ ได้เข้าเฝ้านั่งใกล้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันละ 2 เวลาเข้าเย็น สมความประสงค์ตามที่จำนงไว้

และได้เที่ยวตรวจตราดูแลพระภิกษุสงฆ์ทั่วทั้งวัด รูปใดขาดแคลนด้วยปัจจัยสิ่งใด ก็จัดการเพิ่มเติมด้วยปัจจัยสิ่งนั้น แม้เกิดอาพาธป่วยเจ็บ ก็รักษาพยาบาลให้จนหายปกติ พระภิกษุสงฆ์สมบูรณ์พูนสุข อยู่ดีกินดี บำเพ็ญสมณกิจได้สะดวก

เพราะชีวกโกมารภัจจ์ ตั้งใจอุปถัมภ์ดูแลด้วยจิตศรัทธาปสาทะอันเข้มแข็ง พระภิกษุสงฆ์ที่ชีวกโกมารภัจจ์อุปถัมภ์เป็นสมณะที่ดีทั้งนั้น เป็นพระอริยบุคคลเป็นส่วนมาก ไม่ใช่สมณะเลว ๆ เหลวแหลก

ถามปัญหาเรื่องการปฏิบัติตนเป็นอุบาสก

วันหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของหมอชีวก หมอชีวกเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตามปกติ แล้วได้ราบทูลถามปัญหาพระพุทธมงคลดังต่อไปนี้

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนปฏิบัติตัวได้แค่ไหนถึงจะเรียกว่าอุบาสก”
“ผู้ที่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสก”
“อุบาสกชนิดไหน เรียกว่าอุบาสกมีศีล”
“อุบาสกที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มสุราเมรัยเรียกว่าอุบาสกมีศีล”
“อุบาสกชนิดไหนเรียกว่าเอาตัวรอดคนเดียว”

“อุบาสกที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีทรรศนะ (ความเห็นถูกต้อง) ใครเห็นพระสงฆ์ ใครสดับธรรมแล้วจดจำได้ จดจำได้แล้วพิจารณาไตร่ตรองรู้ข้อธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติตามถูกต้องอุบาสกชนิดนี้เรียกว่าเอาตัวรอดคนเดียว”

“แล้วอย่างไหน ชื่อว่าเอาตัวรอดด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”
“คนที่ประกอบด้วยคุณธรรมดังกล่าวข้างต้น แล้วชักชวนให้คนอื่นทำตาม ชื่อว่าช่วยตัวด้วย ช่วยคนอื่นด้วย”

ถามปัญหาเรื่องการกินเนื้อสัตว์

ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่สวนมะม่วงเช่นเดียวกันหมอชีวกเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามปัญหาดังนี้
“ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินคนเขาตำหนิพระองค์ว่า พระองค์สอนให้คนอื่นงดฆ่าสัตว์ แต่เสวยอาหารที่เขาฆ่าถวาย เป็นความจริงเพียงไร”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าได้เห็นได้ยิน และสงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวายพระองค์จะไม่เสวยเนื้อนั้น แต่ถ้าไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน และไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงถวายพระองค์จึงเสวยเนื้อนั้น

พระองค์ตรัสอธิบายต่อไปว่า ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และแผ่คุณธรรมเหล่านี้ไปยังสรรพสัตว์ทั่วโลก อยู่ด้วยจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทต่อใคร เลี้ยงชีพด้วยอาหารบิณฑบาตที่ชาวบ้านเขาถวายชนิดใด จะเลว หรือประณีตท่านก็ฉันพอดำรงอัตภาพ ไม่ติด หรือยึดมั่นในอาหารที่ฉันนั้นเรียกว่าพระภิกษุ

เสร็จแล้วพระองค์ย้อนถามหมอชีวกว่า “พระภิกษุที่ปฏิบัติเช่นนี้จะเรียกว่าเบียดเบียนคนอื่นหรือไม่”
“ไม่พระเจ้าข้า” หมอชีวกกราบทูล
“อาหารอย่างนี้ไม่มีโทษ (คือกินได้ ไม่เรียกว่าเป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าสัตว์) ไม่ใช่หรือ”
“เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ใครก็ตามถ้าฆ่าสัตว์เจาะจงถวายพระตถาคต หรือพระภิกษุสงฆ์สาวกย่อมก่อบาปกรรมทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่นด้วยสถานะ 5 ประการคือ

1. สั่งให้คนอื่นนำสัตว์ตัวโน้นตัวนี้มา (เท่ากับชักนำเอาคนอื่นมาร่วมทำบาปด้วย)
2. สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่า ถูกลากถูลู่ถูกังมา ได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก
3. ออกคำสั่งให้เขาฆ่าสัตว์นั้น (ตัวเองก็บาป คนฆ่าก็บาป)
4. สัตว์ที่ถูกฆ่าได้รับทุกขเวทนาจนสิ้นชีพ
5. ทำให้คนอื่นเขาหาช่องว่าพระตถาคตและสงฆ์สาวก ด้วยเรื่องเนื้อกันไม่ควร (จริงอยู่ ถ้าพระไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยว่าเขาเจาะจงฆ่าถวายไม่ต้องอาบัติ แต่คนภายนอกอาจหาว่า พระรู้แต่แกล้งทำไม่รู้ หรือปากว่าตาขยิบก็ได้) “

พระพุทธองค์ตรัสตอบชีวกโกมารภัจจ์ต่อไปว่า “คำพูดอย่างนั้นไม่เป็นธรรมเสียเหตุผล ผิดไม่ตรงตามความมุ่งหมายของเรา เป็นการกล่าวตู่เราอย่างแท้จริง ชีวกตั้งใจฟังกำหนดจดจำให้ดีนะ เนื้อสัตว์ที่ไม่บริสุทธิ์ พระภิกษุไม่ควรฉันมีอยู่ 3 คือ ได้เห็น ได้ยิน และสงสัย ดังนี้

ที่ว่า "ได้เห็น" คือ เห็นเขากำลังฆ่าสัตว์อุทิศเพื่อตน
ที่ว่า "ได้ยิน" คือ ได้ยินเขาพูดกันว่าจะฆ่าสัตว์อย่างนี้ อย่างนั้น อุทิศเพื่อตน
ที่ว่า "สงสัย" คือ สงสัยไปว่าเขาจะฆ่าอุทิศเพื่อตน

เนื้อสัตว์ 3 อย่างนี้เป็นเนื้อไม่บริสุทธิ์ ภิกษุไม่ควรฉัน ถ้าขืนฉันเข้าไป ต้องเป็นอาบัติโทษตามที่เราบัญญัติไว้

เนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์ ภิกษุควรฉันได้นั้น มีอยู่ 3 อย่างคือ ที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัย เนื้อสัตว์บริสุทธิ์อย่างว่านี้ภิกษุฉันได้ ไม่มีโทษ พ้นจากโทษตามที่เราบัญญัติไว้

“ชีวก..ภิกษุในศาสนาของเรา บรรดาศิษย์สาวกของเรา ย่อมมีพรหมธรรมประจำจิตใจ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นผลานิสงส์แผ่ไปในหมู่สัตว์ทั่วสากลโลกธาตุโดยไม่เจาะจงผู้หนึ่งผู้ใดเสมอภาคหมด ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ก่อเวรกับใคร เที่ยวสัญจรไปในที่ต่าง ๆ

เมื่อทายกคนใดคนหนึ่งได้เห็น เกิดมีจิตเลี่อมใสศรัทธาปรารถนาจะบริจาคทานจะถวายภัตตาหาร นิมนต์พระภิกษุนั้นไปฉันภัตตาหารในบ้าน เธอรับนิมนต์แล้ว ก็ไปฉันตามเจตจำนงของทายก

ทายกนั้นเลี้ยงดูด้วยภัตตาหารอย่างประณีตก็ดีพระภิกษุนั้นมิได้คิดเพลิดเพลินกำเริบเสิบสานต์ในรสอาหารว่าวันนี้อร่อยดีจริง หมูเห็ดเป็ดไก่ปูปลาน่ากิน ปรุงด้วยฝีมืออันชำนาญดีใจจนพูดพล่ามทำอย่างไรหนอจึงจะได้กินอย่างนี้ทุกวันเสมอไป อาการอันลามกอย่างนี้ไม่มี

หากได้รับการเลี้ยงดูด้วยภัตตาหารอันเลวทรามเล่า ก็มิได้คิดเสียอกเสียใจว่าวันนี้โชคไม่ดี นี่อาหารของคนป่า คนดง จะฉันเข้าไปได้หรือ ขออย่าให้พบอย่างนี้ต่อไปอีกเลย อาการอย่างนี้ก็ไม่มีแก่ภิกษุนั้น พระภิกษุนั้นทำในจิต คิดว่า ประโยชน์ของอาหารก็เพื่อยังชีวิตให้เป็นไปได้เท่านั้น เขาเลี้ยงดู เขาให้อย่างไร เราก็กินอย่างนั้น “ปะระปะฏิพัทธาเมชีวิกา” ชีวิตของเราอาศัยคนอื่น ดังนี้

ชีวก..อย่างที่ว่ามานั้น ภิกษุนั้นจะเสียพรหมธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้หรือ และจัดว่าเบียดเบียนตน และเบียดเบียนคนอื่นได้หรือ ?”
หมอชีวกทูลว่า “ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า พระภิกษุนั้นฉันอาหารบริสุทธิ์แล้วไม่มีโทษไม่เสียคุณสมบัติคือ พระพรหมธรรมไปได้เลย ชีวกผู้ฆ่าสัตว์อุทิศต่อเราตถาคตและศิษย์สาวกของเราตถาคต จะต้องพบเห็นอาการที่เป็นบาป ไม่สมควร 5 อย่างคือ

........เวลาจับสัตว์มัด สัตว์นั้นย่อมตกใจ เป็นทุกข์นี้อย่างหนึ่ง
........เวลาสั่งให้ฆ่า สัตว์นั้นย่อมตกใจเป็นทุกข์นี้ อย่างหนึ่ง
........เวลาที่เราตถาคตก็ดี ศิษย์สาวกของเราตถาคตก็ดี ฉันเนื้อสัตว์นี้อย่างหนึ่ง ล้วนเป็นอาการแห่งบาป ไม่สมควรทั้งนั้น คำพูดที่กระฉ่อนไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งท่าน “จำมาถามนั้น เป็นคำพูดผิดไม่ตรงตามความหมายของเรา เป็นคำพูดที่เสียเหตุผล ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นสุภาษิต”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่อนี้จบลงแล้ว หมอหนุ่มชีวกกล่าวสรรเสริญพระพุทธพจน์ ที่ทรงแสดงเหมือนแสงประทีปส่องทาง แจ่มกระจ่างในใจสิ้นความสงสัย มีใจเบิกบานสำราญรื่น กราบลงแทบพระยุคลบาททั้งคู่ นึกถึงภารกิจที่จะต้องทำแล้วจึงถวายบังคมลากลับสู่นิเวศน์สถานแห่งตน.

((( โปรดติดตามตอน ถวายโอสถแด่พระพุทธเจ้า )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 30/10/08 at 10:18 Reply With Quote


(Update 30 ต.ค. 51)

ถวายโอสถแด่พระพุทธเจ้า

คนเราถ้าไม่เอาเยี่ยงก็ต้องเอาอย่างในความดี อย่างหนึ่งอย่างใดของคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในทางนั้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตัวเราเอง

ดังเช่น..เอกอัครบุรุษ..หมอชีวกโกมารภัจจ์ อัจฉริยบุคคลที่มีความมหัศจรรย์ในการปรุงยา วินิจฉัยและให้การรักษาโรค ผู้มีความเป็นเลิศในคุณธรรมและความประพฤติ มีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณแม้ว่าจะเป็นเพียงน้อยนิด ท่านก็ยังสำนึกและหาทางตอบแทน

การเป็นแพทย์ที่ดีเป็นเรื่องยากยิ่ง โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน มีแพทย์จำนวนมากที่มีวิชาความรู้สูง มีความสามารถรักษาโรคได้ดีแต่ขาดคุณสมบัติของแพทย์ในด้านคุณธรรม มนุษยธรรม และจริยธรรม ย่อมลบล้าง ความดีในส่วนอื่นให้เหลือน้อยลงไปเป็นอันมาก

อำนาจคุณธรรม เมตตาธรรม ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นของหมอชีวกโกมารภัจจ์ นี่เองที่เป็นพลังหนุนเนื่องให้ท่านเกิดมามีปัญญาอันล้ำเลิศเหนือคนอื่น ที่สำคัญอำนาจแห่งความกตัญญูรู้คุณ และความอุตสาหวิริยะหมั่นเพียร ความอดทน อดกลั้น

ทำให้พระฤาษีโรคาพฤกหตริณณา พระอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เกิดความรักเมตตาถึงกับถ่ายทอดวิชาลับในด้านการปรุงยา การจัดสรรพคุณของยาสมุนไพรมารักษาโรคได้ผลชะงัด ทำให้หมอชีวกกลายเป็นผู้มีความสามารถเหนือบุคคลธรรมดา ในด้านการวางยาท่านสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ และวินิจฉัยโรค โดยดูจากสมุฏฐานของโรคได้อย่างแม่นยำ ราวกับเห็นได้ด้วยตา ที่มหัศจรรย์ก็คือ

ท่านชีวกโกมารภัจจ์สามารถพลิกแพลงนำเอาสรรพคุณว่านยามาดัดแปลงให้เข้ากับสภาวการณ์ของคนไข้ โดยไม่ต้องเสียเวลาวางยาซ้ำได้ผลอย่างมหัศจรรย์ ดังเรื่องราวในพระสุตันตปิฎกตอนหนึ่งว่า

ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะระบายพระโอสถ เนื่องจากไม่มีเวลาพักผ่อนพระวรกาย เพราะต้องเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ไปในที่ต่าง ๆ ไม่มีเวลารักษาพระองค์ได้นัก ทรงบำเพ็ญพุทธกิจต่าง ๆ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ มิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยาก จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน พระพุทธกิจนั้น ในตำราท่านกล่าวว่ามีอยู่ห้าประการคือ

1. เวลาเช้ามืด ทรงเล็งญาณดูเวไนยสัตว์ที่ควรโปรด คือพิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใครบ้าง
2. เข้าถึงเพล เสด็จออกบิณฑบาตหรือเรียกอย่างสามัญว่า เสด็จออกโปรดสัตว์ คือไปรับอาหารบิณฑบาตจากชาวบ้าน และถือโอกาสแสดงธรรมไปด้วย
3. เวลาเย็น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัท
4. เวลาค่ำ ทรงให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
5. เวลาดึก ทรงแก้ปัญหาเทวดา กล่าวกันว่า พวกเทวดามักมาทูลถามปัญหาเวลาดึก ๆ (บางท่านกล่าวว่า พวกข้าราชการผู้ใหญ่หรือพระราชามหากษัตริย์ มักว่างรัฐกิจและราชกิจตอนดึก ๆ จึงหาโอกาสมาเฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลานี้)

พระวรกายจึงเกิดความหมักหมมขึ้น เมื่อเสด็จกลับมาประทับที่กรุงราชคฤห์ จึงโปรดให้ พระอานนท์ จัดพระโอสถถวาย ท่านพระอานนท์จึงไปหาหมอชีวกแจ้งความประสงค์ตามพระพุทธบัญชา

หมอชีวกได้ฟังดังนั้น รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นกำลัง ที่จะได้มีโอกาสถวายการบำรุงพระพุทธองค์ที่เขารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไม่สบโอกาสสักที แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเขาต้องการให้พระพุทธองค์ทรงประชวร จะได้มีโอกาสไปรักษา หากแต่จะหาโอกาสอื่นไปเฝ้าพระพุทธองค์ก็ไม่กล้า เพราะยังไม่รู้จักคุ้นเคยกับพระองค์อย่างใกล้ชิด

ครั้นท่านพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากมาเอ่ยปากขอร้องคราวนี้ จึงเป็นโอกาสอันเหมาะยิ่งนักที่จะได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ชีวกโกมารภัจจ์ผู้เชี่ยวชาญในการวางยา จึงมีความคิดว่าควรจะปรุงพระโอสถถ่ายพิเศษขึ้นสำหรับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ควรใช้ยาธรรมดาสามัญ จึงคิดไล่เลียงคุณภาพแห่งสรรพคุณ อันจะเป็นยาวิเศษที่คู่ควรกับสมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งสัตบุรุษในแคว้นราชคฤห์

ด้วยปัญญาปรีชาชาญ ท่านได้ทำการประสมยาถ่าย ด้วยการนำดอกอุบลและบัวขาบมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปคั่วให้มีกลิ่นหอม กะเอาเพียง 3 ฝ่ามือกำ แยกออกเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 1 กำมือ ผสมด้วยตัวยาสำคัญที่มีฤทธิ์ยาถ่าย

จัดเป็นยาถ่ายพิเศษที่ใช้สูดดมเข้าทางจมูก ไม่ต้องกินเหมือนยาถ่ายธรรมดานั่นคือความมหัศจรรย์ของยาถ่าย ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีหมอวิทยาศาสตร์คนใดเกิดขึ้นมาในโลก ปรุงยาเสร็จก็เฝ้าพระพุทธเจ้า กราบบังคมทูลว่า

“พระโอสถสำหรับระบายได้ปรุงเสร็จแล้วพระเจ้าข้า” จากนั้นหมอชีวกก็ทูลอธิบายวิธีใช้พระโอสถต่อไปอีกว่า

“พระโอสถดอกอุบลนี้ จัดเป็นห่อ ๆ ละ 1 กำมือ เป็นพระโอสถพิเศษไม่ต้องเสวย เพียงแต่ทรงสูดดมเข้าเท่านั้น ฝ่าพระบาทจงทรงดม ห่อที่หนึ่ง ซึ่งมียา 1 กำมือไปเรื่อย จะมีผลให้พระองค์ระบายถึง 10 ครั้ง ถ้าเพียงพอก็ไม่ต้องดมห่อที่สองต่อไป เพราะถ้าทรงสูดดมห่อที่สอง พระองค์จะทรงระบายออกมาอีก 10 ครั้ง ถ้าทรงสูดดมทั้ง 3 ห่อจะทรงระบายได้ถึง 30 ครั้ง พระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าทรงฟังคำอธิบายแล้วก็ทรงรับปฏิบัติตาม พร้อมหน้าพระอานนท์เถระ เมื่อหมอชีวกถวายพระโอสถ พร้อมกับให้คำแนะนำเสร็จแล้วก็ถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า เพื่อไปทำการรักษาคนไข้รายอื่น

ครั้นเมื่อเดินออกมาถึงเขตพระอารามหลวง ก็นึกขึ้นได้ว่า ได้ลืมอธิบายให้ละเอียดในช่วงตอนสุดท้าย เพราะเหตุว่าพระอุทรของพระองค์สะสมหมักหมมมานานวัน ควรจะต้องเพิ่มวิธีปฏิบัติขึ้นอีกสักอย่างหนึ่งคือ จะต้องให้สูดดมยาถ่ายนี้หมดทั้ง 3 ห่อจะทำให้ระบายถึง 30 ครั้ง แล้วต้องคอยนับไว้ เมื่อถึงครั้งที่ 29 จะต้องให้ทรงสรงน้ำอุ่นเพื่อให้หยุดการถ่าย แล้วค่อยเข้าระบายอีกครั้ง

หมอชีวกจึงกลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้ง กราบบังคมทูลให้ทรงทราบด้วยความห่วงใย พระพุทธองค์ทรงรับทราบโดยแสดงพระกิริยาให้รู้ โดยใช้พระโอสถระบาย ตามวิธีประหลาดของหมอชีวก ปรากฏเป็นความมหัศจรรย์พระวรกายของพระพุทธจ้า ก็กลับฟื้นคืนเป็นปกติ มีพระฉวีวรรณผ่องใส

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศจ.น.พ. อวย เกตุสิงห์ ได้เขียนวิจารณ์ไว้ใน "หนังสือกตัญญูตานุสรณ์ ชีวกโกมารภัจจ์" ไว้ตอนหนึ่งดังนี้

“สำหรับวิธีบริหาร ใช้ยาโดยการสูดดมเข้าไปในทางจมูก (เหมือนดมยาแก้หวัด) นั่นไม่มีอะไรสงสัย เพราะรู้กันอยู่ว่าสารระเหยบางอย่างอาจซึมผ่านเยื่อบุโพรงจมูกหรือถุงลมของปอดเข้าสู่กระแสเลือดไหลไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย การซึมผ่านเข้าร่างกายโดยวิธีสูดนี้ ผู้เขียนสารภาพว่าไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่เชื่อว่าอาจเป็นไปได้

และคิดว่าคงจะเป็นยาที่กระตุ้นระบบประสาทเสรี (ซึ่งทำงานโดยเป็นอิสระต่อจิตใจ) ควบคุมการทำงานของลำไส้ และอวัยวะอื่น ที่เดาเช่นนี้ อาศัยข้อที่แสดงว่า “วิธีทำให้หยุดถ่ายคือการอาบน้ำอุ่น เพราะน้ำอุ่นกระตุ้นผิวหนัง ย่อมกระตุ้นไปถึงระบบประสาทเสรี และในกรณียาถ่ายนี้คงไปแก้ฤทธิ์ของยาถ่าย ทำให้เกิดการหยุดถ่าย”

เรื่องของยาถ่ายพิเศษนี้ เป็นพยานหลักฐานถึงความสามารถอย่างยอดเยี่ยมในเรื่องการจัดตำรายา และวิธีบริหารยา วิธีใช้ยาได้ตรงตามเป้าหมายของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งท่านได้ใช้ปัญญาอันเลิศวินัจฉัยโรคใช้ความสามารถพลิกแพลงวิธีได้ถูกกับอาการของโรคอย่างยากที่จะหาตัวจับ

แม้แต่หมอวิทยาศาสตร์เองก็เถอะยังต้องยอมรับวิธีการวิเคราะห์ วินิจฉัยโรคและกรรมวิธีในการรักษาโรคจากท่านในหลาย ๆ เรื่อง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้สมุนไพรเป็นยารักษาโรคร้าย ได้หลายชนิด จะเห็นว่าหมอชีวกผู้นี้มีความรู้ยอดเยี่ยมในเรื่องสรรพคุณของยา และการรักษาโรคเป็นอันดี

นอกจากจะเก่งในการวินิจฉัยแล้ว ยังสามารถคาดคะเนเหตุการณ์ ที่จะเกิดได้ตรงกับความเป็นจริง สามารถหาทางหนีทีไล่ และสามารถกำหนดการรักษาได้ผลอย่างชะงัดทุกรายเป็นที่อัศจรรย์ จนมีชื่อเสียงไปในหลายประเทศว่าเป็นแพทย์ผู้ยอดเยี่ยมคนแรกของโลก.

((( โปรดติดตามตอน รักษาแผลที่ห้อพระบาทพระพุทธเจ้า )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 7/11/08 at 14:36 Reply With Quote


รักษาแผลที่ห้อพระบาทพระพุทธเจ้า

“ความร้อนใจย่อมไม่มีแก่ผู้ที่หลุดพ้นพิเศษแล้วจากทางไกล คือวัฏฏสงสาร อันได้แก่ กิเลส, กรรม, วิบาก, ขัดล้างกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายทั้งปวงในธรรม ย่อมหมดความเศร้าโศกเสียใจได้”

นี่คือพระตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสตอบ เป็นธรรมประกาศผลแห่งความสิ้นกิเลส ให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ฟัง หลังจากถวายการพยาบาลต้องผ่าตัดบาดแผลที่พระบาท อันเนื่องจากถูกพระเทวทัตกลิ้งหินให้ทับพระองค์

แต่สะเก็ตหินแตกกระเด็นมาถูกพระบาทห้อพระโลหิต ด้วยใจที่เล่าร้อนไม่เป็นสุข เพราะคิดจะแย่งตำแหน่ง “พระพุทธเจ้า” ทำให้ได้ข้อคิดว่า ตราบใดที่ความหลง เข้าครอบงำความทะเยอทะยานอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ยังมีอยู่ ตราบนั้น ความวุ่นวายในโลกก็ยังไม่มีวันหมดสิ้นไป

การเหยียบหัวคนอื่นเพื่อให้ตนเชิดหน้าชูคออยู่ได้ในสังคม มิได้อยู่ได้อย่างจีรังยั่งยืนในสังคมเลย ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน ขอให้ดูตัวอย่างพระเทวทัตผู้มีใจพาลสันดานหยาบในพุทธกาล ว่ามีจุดจบของความทะเยอทะยานอยากเป็นอย่างไร

“เทวทัต” เป็นนามของเจ้านายในวงศ์กษัตริย์ "สากิยะโกลิยวงศ์" เป็นพระขนิษฐภาดา (น้องชาย) ของพระนางพิมพา ยโสธรบวรลักษณ์ เรียกกันว่า “เจ้าเทวทัตกุมาร”

เจ้าเทวทัตกุมารเข้ามาทรงผนวช บวชในพุทธศาสนาพร้อมกับเจ้านายหลายพระองค์ เช่น เจ้าอานันทกุมาร (พระอานนท์) เมื่อบวชแล้วก็ทำสมาธิฝึกจิตจนเกิดฤทธิ์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ไม่ได้คุณพิเศษในทางมรรคผล

เนื่องจากจิตใจมีแต่ความอิจฉาตาร้อน ตัวร้อนมีทิฐิ นอกคอกนอกรีดผิดแนวแห่งเหตุผล (หัสสนะ) มีกิเลสหนา สันดานหยาบ (ปาปิจโฉ) และปรารถนาลามก เห็นอะไรอยากได้ไล่ไขว่คว้าเอาทุกด้าน (อิจฉาปกโต)

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครใกล้ชิดสนิทสนมด้วยไม่มีใครถามถึงหรือเอ่ยถึงเรียกว่าเป็นคนอับแสงในทางไม่ดีเพราะมีจิตที่ไม่ดีต่อคนอื่น ผลสะท้อนกลับจึงทำให้ไม่มีคนรักใคร่ไยดีไม่เหมือนพระเถระรูปอื่น พระเทวทัตจึงเกิดความอิจฉา พระพุทธเจ้าที่มีแต่ผู้คนแซ่ซ้องสรรเสริญ เคารพนบนอบทั่วทุกหย่อมหญ้าแม้แต่สัตว์เล็ก ส่วนใหญ่ สัตว์ดุร้าย ก็พากันมาเฝ้าอารักขา

พระเทวทัตคิดฟุ้งไปด้วยแรงกิเลส ที่อยากจะครองตำแหน่งเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อปกครองภิกษุสงฆ์เสียเอง คิดไล่ตัวไปถึงผู้มีอำนาจ ที่จะเข้ายึดครองก็นึกถึง พระเจ้าอชาติศัตรูมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร (ที่เกิดจากพระอัครมเหสี พระนางเจ้าเวทหิยะบรมราชินี)

พระเจ้าอชาตศัตรูขณะนั้นยังทรงพระเยาว์ จึงหลงกลลวงของพระเทวทัตที่หาโอกาสตีสนิท เพื่อที่จะยุแหย่ให้ทำการร้ายต่อราชบัลลังก์ด้วยการเนรมิตตัวเองเป็นงูพาดพันตัวบ้าง แปลงเพศเป็นอย่างอื่นบ้าง เหาะไปในอากาศบ้าง เพื่อแสดงให้อชาติศัตรูราชกุมารหลงเชื่อว่าพระเทวทัตมีวิชาดี

อชาติศัตรูราชกุมารหลงเชื่อจนเกิดความเลื่อมใสพอพระทัยในพระเทวทัต มอบกายถวายชีวิตเป็นผู้อุปถัมภ์พระเทวทัต นับแต่นั้นมาไม่ว่าพระเทวทัตจะต้องการอะไร อชาติศัตรูราชกุมารเป็นจัดหาให้ทุกครั้ง

พระเทวทัตอาศัยกำลังของอชาติศัตรูมกุฎราชกุมาร ก่อให้เกิดจิตใจกำเริบเสิบสาน คุมพรรคพวกที่เป็นพระภิกษุพาลเข้าไว้มาก วางแผนชักนำให้อชาติศัตรูมกุฏราชกุมาร จัดการปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นราชบิดาของพระองค์เอง

ในขณะที่ตนก็จะพยายามปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อครองพระภิกษุบริษัทเสียเอง โดยเริ่มด้วยการจ้างคนแม่นธนูให้ไปยิงพระพุทธเจ้า แต่ความดีของพระพุทธเจ้า ทำให้นายขมังธนูยอมจำนนไม่กล้าทำ

ต่อมาครั้งที่สองพระเทวทัต ได้ปล่อยช้างหลวงชื่อ “นาฬาคีรี” ซึ่งกำลังตกมันบ้าคลั่งให้เข้าขยี้พระพุทธเจ้าในเวลาเสด็จออกจากวัด ด้วยพระเมตตาธรรมบารมีแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสามารถชนะช้างนาฤาคีรีได้โดยง่าย ถึงกับหมอบแต้ยอมสยบราบคาบแทบพระบาท

มาครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จเปลี่ยนพระอิริยาบถเสด็จขึ้นประทับ ณ เขาคิชฌกูฏที่เคยประทับ พระเทวทัตรู้การเปลี่ยนพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าแล้วก็คุมพรรคพวกตามขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชฌกูฏ หวังปลงพระชนม์พระพุทธองค์ จึงไปคุมพวกซุ่มซ่อนอยู่ที่ประทับ เตรียมกลิ้งก้อนหินลงทับพระวรกายพระพุทธเจ้า เวลาเสด็จลงจากยอดเขา

พระพุทธเจ้าทรงรู้ด้วยสัพพัญญูว่าจะมีเหตุร้าย จึงตรัสสั่งแก่พระอานนท์ ให้พระภิกษุทุกรูปเตรียมตัวเคลื่อนขบวน โดยพระองค์เสด็จนำพระเทวทัตได้นำขบวนล่าสังหารขึ้นที่สูง กะให้ตรงขบวนของพระพุทธเจ้า

พอขบวนพระพุทธองค์เสด็จถึงหน้า ถ้ำมัททกุจฉิ ก้อนหินยักษ์ของคณะพระเทวทัต ก็เคลื่อนหลุดออกจากฐาน ร่วงลงสู่เบื้องล่างกระทบหินผา ก้อนใหญ่ขนาดเขาเล็ก ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ สะเกิดหินก้อนหนึ่ง กระเด็นมากระทบพระชงฆ์ของพระพุทธเจ้า เกิดเป็นห้อเลือดขึ้น

บรรดาพระภิกษุพากันเชิญเสด็จประทับบนเปล แล้วเชิญเสด็จให้ไปประทับที่ ตำบลมัททกุจฉิ แต่พระพุทธเจ้ากลับโปรดให้นำพระองค์ไปยัง วัดชีวกัมพวัน ซึ่งเป็นวัดสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เมื่อเสด็จถึงแล้วก็ตรัสบัญชาพระอานนท์เถระให้ตามหมอชีวกโกมารภัจจ์ มารักษาแผลโลหิตุปบาท

หมอชีวกรู้เรื่องจึงรีบมาเฝ้าถวายการพยาบาล ทำการผ่าตัดบาดแผลที่พระบาท แล้วพอกยาสมุนไพรเอาผ้าพันเสร็จเรียบร้อย แล้วทูลลาออกไปเยี่ยมคนไข้นอกเมือง กลับไม่ทันประตูเมืองปิด ต้องค้างอยู่นอกเมืองด้วยความกระวนกระวาย

เพราะไม่ได้แจ้งให้พระอานนท์ทราบเรื่องการพยาบาล และยาที่ตนจัดถวายไว้นั้นแรงมาก ถึงขนาดจะก่อให้เกิดพิษแก่บาดแผล และทำให้ต้องทรงกระวนกระวายเพราะฤทธิ์ยานั้น แต่ด้วยพระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้ว

เมื่อถึงเวลาแก้ผ้าพันแผลตามที่หมอชีวกกำหนด จึงตรัสให้พระอานนท์แกะยาที่หมอชีวกพอกไว้ออกเสีย เมื่อแผลได้รับการผ่อนคลายก็ล่อนแห้งหายเป็นปกติ ทันทีที่ฟ้าสางไม่ทันสว่างดี ประตูเมืองเปิดหมอชีวกก็รีบเข้าเฝ้าด้วยความห่วงใย กราบถวายบังคมว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าวิตกเดือดร้อน นอนไม่หลับตลอดคืนเสียคำมั่นสัญญาที่ทูลไว้ ไปรักษาคนไข้ช้าไปหน่อย กลับออกมาประตูพระนครก็ปิดเสียแล้ว หมดทางที่จะออกมาเฝ้าเพื่อแก้ผ้าพันแผลได้ จึงกลับไปนอนเป็นทุกข์เกรงว่าจะเกิดอาการแผลกลายความปวดจักเกิดขึ้นแด่พระพุทธองค์ เป็นแน่นอน เป็นอย่างไร ? พระเจ้าข้า ความเร่าร้อนได้เกิดขึ้นแด่ฝ่าพระบาทตามที่คาดคิดไว้บ้างหรือไม่พระเจ้าข้า”

เมื่อหมอชีวกทูลถามดังว่านั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสตอบธรรมประกาศผลแห่งความสิ้นกิเลสว่า

“ความเล่าร้อนหรือความเจ็บนั้นเป็น ๒ ประการคือ ความเร่าร้อนทางกาย และเร่าร้อนทางใจ ไม่ว่าจะเป็นความเล่าร้อนทางกายหรือความร้อนใจ ของเราได้ดับสนิทไปแล้วเมื่อวันตรัสรู้ ณ ภายใต้โพธิ์พฤกษ์”

“ตถาคตดับความร้อนทุกชนิดได้สนิทแล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ณ โคนต้นโพธิ์ ผู้ที่เดินมาจนสุดทางแห่งสังสารวัฏ หมดความโศก หลุดพ้นไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ๆ แล้วไม่มีความร้อนหรอกชีวกไม่ว่าร้อนนอก หรือร้อนใน”

ตรัสจบก็ทรงยื่นพระบาทข้างที่บาดเจ็บให้หมอชีวกดู พร้องทั้งตรัสบอกเขาว่า พระองค์ได้รับสั่งให้พระอานนท์แก้ผ้าพันแผลให้ตั้งแต่เย็นวานนี้ตรงกับเวลาที่เขานั่งคิดกลุ้มใจอยู่ข้างประตูเมืองนั่นแหละ

หมอชีวกมองดูพระบาท เห็นแผลหายสนิทดีแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้ถวายการรักษาพระบรมศาสดาจนหาย

เรื่องราวหมอชีวกโกมารภัจจ์ เท่าที่เก็บปะติดปะต่อจากพระไตรปิฎกและอรรถกถามีเท่านี้ สังเกตดูตามประวัติจะเห็นได้ว่าตลอดชีวิตเขายุ่งอยู่แต่กับการรักษาโรคคนทั้งเมือง จนแทบหาเวลาปฏิบัติธรรมไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ทำให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ ไม่ได้ออกบวชตามความตั้งใจแต่ด้วยความดีและความตั้งใจที่จะสดับรับฟัง คำเทศนาสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดา และบำเพ็ญบุญอยู่เสมอ หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคลขั้น พระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยะขั้นต้นในพระพุทธศาสนา

คุณธรรมความดีที่สร้างสมมาตลอดชีวิตของการช่วยเหลือคน ทำให้ประชาชนรักใคร่ โดยเฉพาะองค์พระบรมศาสดาทรงโปรดปรานในความเป็นอัจริยะของท่านมาก ถึงกับยกย่องให้เป็นเอกอัครมหาบรมจารย์แห่งชมพูทวีป

ตรงกันข้ามความชั่วของพระเทวทัต หลังจากข่าวอันเลวร้ายโหดเหี้ยม ในความมัวเมาอำนาจถึงกับลอบผลักหินเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า ได้ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งภายในภายนอกแห่งพระมหานครราชคฤห์

ประชาชนนับแสนโจษกันระเบ็งเซ็งแซ่ว่า พระเทวทัตภิกษุบาปตัณหา สมควรขับออกจากมหานครว่าแล้วก็พร้อมใจกันเดินขบวนไปขับพระเทวทัตออกจากพระราชอาณาจักร พระเทวทัตเห็นจวนตัวด้วยคลื่นมหาชน จึงปลอมตัวเล็ดรอดหนีออกจากมหานครไปที่ คยาสีสะประเทศ

ส่วนพระอชาติศัตรูมกุฎราชกุมาร ภายหลังที่ถูกพระเทวทัตยุให้ปลงพระชนม์พระราชบิดา ก็มีความกลัวคลื่นมหาชนจะขับไล่ เพราะเสียงเล็ดรอดของคลื่นมหาชนพลเมืองที่พากันเดือดแค้นชิงชังพระเจ้าอชาติศัตรูว่าเป็นกษัตริย์ ถ่อย ทมิฬ ใจบาปหยาบช้า ไร้ปัญญา ฆ่า ได้แม้กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้า

เพราะไปเชื่อฟังคนอื่น ต่างพากันรุมจะประชาทัณฑ์ โดยฉุดออกจากราชบัลลังก์ ให้เป็นกษัตริย์นอกราชสมบัติ ทำให้พระเจ้าอชาติศัตรูตกประหม่างันงกทำอะไรไม่ถูก หวาดหวั่นต่อภัยอันใหญ่หลวงครั้งนี้ จึงให้ทหารเวรไปเชิญหมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าเฝ้าขอความช่วยเหลือ

หมอชีวกโกมารภัจจ์เห็นลู่ทางที่จะดึงพระเจ้าอชาติศัตรูเข้าทางธรรม จึงตรัสเล่าสรรเสริญในพระพุทธคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ขององค์พระบรมศาสดาให้ฟังเป็นนาน เพื่อสร้างศรัทธาก่อนจะทูลให้ความเห็นว่า

“ประชาชนพลเมืองมคธทั้งประเทศ ต่างเคารพนับถือพระพุทธองค์ทั้งประเทศและทั้งแคว้นมคธทุกคนต่างยึดองค์พระสมณโคดมเป็นสรณะที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ ทุกคนต่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ที่พระพุทธองค์ ถ้าพระองค์รีบเสด็จเขาเฝ้าพระพุทธเจ้าเสียโดยเร็วจะสามารถยับยั้งคลื่นชนเหล่านี้และความอาฆาตแค้นของเขาเหล่านั้นได้ หากจะมีเหตุการณ์เหลืออยู่บ้างก็ค่อยคิดจัดการแก้ไขกันต่อไปในภายหลัง”

พระเจ้าอชาติศัตรูทรงพอพระทัย และรับจะปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยนัดแนะให้หมอชีวกจัดการเตรียมภาระ ในการเข้าเฝ้าในตอนกลางคืน เพราะเกรงประชาชนจะรุมทำร้าย

สำหรับชีวประวัติพระเจ้าอชาติศัตรู มงกุฎราชกุมารพระองค์นี้ในเบื้องต้น เป็นพระราชโอรสของพระนางเจ้าเวเทหิยะบรมราชินี พระอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ในขณะที่พระนางเจ้าทรงพระครรภ์ ได้สุบินนิมิตร้ายน่ากลัว พระนางทรงเรียกคณะพระโหราจารย์เข้าเฝ้า พระโหราจารย์ได้ทำนายว่า

“พระราชโอรสในพระครรภ์โภทร จะเป็นศัตรูกับพระราชบิดา จักคิดการปลงพระชนม์พระราชบิดา” พระนางเจ้าทรงเชื่อตาม ทรงคิดกำจัดเสียด้วยการเสวยยาทำลาย แต่ไม่สำเร็จตามที่ปรารถนา พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเข้า จึงตรัสให้งด ปล่อยให้เป็นไปแล้วคิดการแก้ภายหลัง

เมื่อพระราชโอรสประสูติออกมาแล้ว จึงพระราชทานนามแก้ให้ว่า “อชาติศัตรู” แปลว่า เกิดมาไม่เป็นศัตรูกัน

ครั้นพระราชโอรสอชาติศัตรู ทรงเจริญวัยเป็นยุพราช กลับมีพระอัชฌาสัยคดโกงทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้าพิมพิสาร ได้คบคิดกับพระเทวทัตให้กระทำการแย่งราชสมบัติ

มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ซ่อนอาวุธไว้ในพระองค์ เข้าเฝ้าพระราชบิดาหมายจะปลงพระชนม์ แต่โดนทหารมหาดเล็กผู้รักษาการภายในพระราชวัง ขอประทานพระอนุญาตตรวจค้นแล้วพบอาวุธร้าย ได้กราบบังคมทูลความผิดของพระมงกุฎราชกุมาร ต่อพระเจ้าพิมพิสาร

พระองค์ตรัสบัญชาให้นำคดีขึ้นสู่ศาล ศาลได้ตัดสินให้ประหารชีวิต แต่ด้วยความรักบุตร พระเจ้าพิมพิสารจึงพระราชทานอภัยโทษ พร้อมกับพระราชทานอำนาจในการปกครองประเทศให้ โดยจัดการพระราชทานพิธีราชาภิเษกให้พระราชโอรสเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป

ธรรมดาของคนชั่ว แม้จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้วก็ยังไม่พอ กลับหวาดระแวงเห็นผิดเป็นชอบ เกรงไปว่า พระเจ้าพิมพิสารอาจจะมาแย่งพระราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินคืน เพราะข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนยังจงรักภักดีอยู่

จำต้องจัดการประหารเสียให้สิ้น คิดดังนั้นแล้วจึงมีบัญชาให้จับพระราชบิดาขังเสียโดยทรมานให้ตายไปทีละน้อย เริ่มด้วยการให้คนเอามีดบางเฉือนฝ่าพระบาทจนเนื้อแดงเพื่อมิให้ทรงเดินได้ และไม่ให้เสวยพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์ในที่ขุมขัง

นี่คือเรื่องราวในอดีตอันสกปรกของพระเจ้าอชาติศัตรู ที่ทำให้กรุงราชคฤห์ต้องระส่ำระสายบ้านแตกสาแหรกขาด ร้อนถึงหมอชีวกต้องใช้สติปัญญาเข้าแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ยุ่งยากมากไปกว่านี้ โดยการแนะนำให้พระเจ้าอชาติศัตรู เข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

((( โปรดติดตามตอน หมอชีวกโกมารภัจจ์นำพระเจ้าอชาติศัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 19/11/08 at 09:02 Reply With Quote


(Update 19 พ.ย. 2551)

ชีวกโกมารภัจจ์ นำ พระเจ้าอชาติศัตรู เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

ในคืนนั้นเอง ชีวกโกมารภัจจ์ เอกอัครมหาอำมาตย์จึงจัดการเสด็จพระราชดำเนิน โดยจัดทหารคุ้มกันองค์พระอชาติศัตรูอย่างเข้มแข็ง โดยวางทหาร 2 ข้างทางเสด็จซ้ายขวา ข้างละ 7 แถว คัดเลือกแต่เฉพาะที่สันทัดในเพลงอาวุธเท่านั้น จัดให้พระเจ้าอชาติศัตรูทรงช้างพระที่นั่งเป็นราชพาหนะ มีชีวกโกมารภัจจ์ เป็นผู้นำเสด็จ

เมื่อเสด็จถึงหน้าวัดอัมพวัน เกิดการขลุกขลักกันขึ้นนิดหน่อย ด้วยความเงียบสงัดในวัด แม้ว่ามีพระสงฆ์ในวัดตั้งพันรูป พระเจ้าอชาติศัตรูทรงสงสัย ทรงระแวงว่า ชีวกโกมารภัจจ์จะคิดการกบฏชิงราชสมบัติ ให้ทรงหวดหวั่น ไม่กล้าเสด็จเข้าไปในวัด แต่ชีวกมารภัจจ์พยายามทูลแก้การทรงระแวงภัยนั้นให้ตกไปได้ พระเจ้าอชาติศัตรูจึงทรงยอมเสด็จเข้าไป

เมื่อเสด็จถึง ทรงนมัสการพระพุทธองค์โดยความเคารพแล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสปฏิสัณถารเพื่อเปิดทางความสนิทคุ้นเคยกำจัดความกระดากขวยเขินแล้ว พระเจ้าอชาติศัตรู ตรัสถามพระพุทธองค์ถึงสามัญผล คือ ผลของความเป็นสมณะ หรือผลของการบวชว่า

“การบวชเป็นสมณะได้ประโยชน์อะไร” ปัญหานี้ส่อให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ผู้ตรัสถาม เป็นผู้ที่ยังห่างไกลจากพระพุทธศาสนามาก ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยในการที่ทรงคบค้ากับพระเทวทัต

ความเป็นสมณะ หรือ เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา มิได้หมายความเพียงแต่ครองผ้าเหลือง นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น ต้องมีวัตตปฏิบัติเครื่องซักฟอก เช็ดล้าง ขัดเกลาจิตใจ เป็นสำคัญ วัตตปฏิบัตินั้นเรียกสั้น ๆ ว่า พระธรรมวินัย หรือไตรสิกขา ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

กล่าวโดยพิสดารก็คือ "มรรค" ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ ตั้งใจปฏิบัติด้วยอาการ 4

สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี

อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ๆ

ญายะปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน, ความสิ้นกิเลส และทุกข์ทั้งปวง

สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติน่าเคารพนับถือให้ได้รับความเคารพนับถือจากชุมชนไม่ทำคนเป็นศัตรู เป็นกลัยาณมิตรของโลกไม่เป็นภัยอันตราย ไม่เป็นที่น่าเกลียดกลัวของประชุมชน เช่นนี้ ความเป็นสมณะจึงจักเกิดผลดี

พูดย่อ ๆ สั้น ๆ อีกที ก็ควรจะว่า พวกสมณะหรือพวกพระเป็นพวกบริสุทธิ์มักน้อย ๆ พอบริหารชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น เป็นมิตรโลก ไม่ใช่ศัตรูของโลก เพราะไม่เบียดเบียนใคร แม้สัตว์เล็กน้อย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงผลแห่งความเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา เริ่มต้นตั้งแต่ ได้ศรัทธาปสาทะความเชื่อถือ เลื่อมใส และความเคารพนับถือจากประชาชนแล้ว อุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัย 4 คือ จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ได้ความสะดวก เยือกเย็น จิตใจบริสุทธิ์เข้าไปเป็นชั้น ๆ เป็นลำดับ ๆ ตามกำลังการปฏิบัติที่ไม่ถอยหลัง

เหมือนคนซักฟอกเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยมลทิน อาศัยความเพียรพยายามจนกระทั่งถึงพระอรหัตตผล จนสำเร็จกิจเป็นวิมุตตินิพพานเป็นที่สุดจัดเป็นสามัญญผลคือ ผลแห่งความเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา ทรงแสดงประทานแด่พระเจ้าอชาติศัตรูมหาราชแห่งประชาชาติมคธ

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาสามัญญผลจบลงแล้ว พระเจ้าอชาติศัตรูไม่ได้ทรงสำเร็จมรรคผลอะไร เป็นแต่เพียงเกิดศรัทธาปสาทะ ทรงเชื่อถือเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และทรงชื่นชมยินดีในพระธรรมเทศนาเท่านั้น การที่ไม่ได้มรรคผลเมื่อจบพระธรรมเทศนาลงนั้น เข้าใจกันมาว่าเพราะโทษที่ทรงกระทำปิตุฆาต ปิดกำบังเสียเป็นนิวรณ์สิงอยู่ไม่รู้หาย

จากพระธรรมเทศนาที่จบแล้ว ทำให้มหาราชอชาติศัตรู ทรงรู้สึกสำนึกพระองค์ถึงปิตุฆาตที่ทรงกระทำ อันเป็นความผิดที่ร้ายแรงใหญ่หลวง เป็นนิวรณ์ประจำพระหฤทัย คอยกระซิบทักท้วงอยู่เสมอไม่รู้หาย พระองค์ทรงเห็นอุบายว่า

จะต้องเปิดเผยโทษความผิดอันร้ายแรงนี้แต่พระพุทธองค์เสียทีเห็นจะดี เป็นวิถีทางจะเบาบางลงได้บ้าง ทรงคิดแล้ว ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถประทับทรงนั่งกระโหย่งพระบาทประนมพระหัตถ์ถวายบังคม ทูลขอ “อัจจโยโทษ” ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“อัจจโย มัง ภันเต อัจจคมา ยถาพลัง ยถามูฬหัง ยถาอกุสลัง โยหัง ภันเต ปิตรัง ธัมมิกัง ธัมมราชานัง อัสสริ ยัสสะ การณา ชีวีตา โวโรเปสิ ตัสสะ เม ภันเต ภควา อัจจยัง อัจจยโต ปฏิคคัณหาตุ อายติง สังวรายะ”

ดังนี้ แปลว่า “พระเจ้าข้า โทษทับถมข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจความหลงไม่รู้ผิดชอบ โดยอำนาจอกุศลจิต คิดการผิดธรรม พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าใช้ให้คนปลงพระชนม์พระราชบิดา ผู้มีพระทัยเป็นธรรมครองราชสมบัติเป็นธรรม เพื่อราชสมบัติ พระพุทธองค์จงทรงพระกรุณาโปรดรับโทษของข้าพระพุทธเจ้าให้ข้าพระพุทธเจ้าพ้นโทษ ข้าพระพุทธเจ้าจะตั้งใจระมัดระวัง ไม่ทำความชั่วอย่างใด ๆ ต่อไป”

เมื่อพระมหากษัตริย์อชาติศัตรู ทูลขอประทานอัจจโยโทษจบลง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับฟังการขอประทานอัจจโยโทษนั้น ด้วยพระวาจาว่า “มหาบพิตรให้คนปลงพระชนม์พระราชบิดา ผู้มีพระทัยเป็นธรรม เพื่อราชสมบัติเป็นความผิดย่างร้ายแรง มีโทษใหญ่หลวง ทรงรู้สึกสำนึกพระองค์แล้ว ทรงแสดงเปิดเผย ซึ่งความผิดนั้น ไม่ปิดบัง เป็นวิถีทางระเบียบอย่างที่ดีในธรรมวินัยศาสนาของเรา มหาบพิตร จงตั้งพระทัยระมัดระวัง อย่าทรงกระทำกรรมใด ๆ ซึ่งเป็นความชั่วเช่นนั้น ต่อไปอีก”

เมื่อพระเจ้าอชาติศัตรูมหาราช ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะจนตลอดพระชนม์ชีพแล้ว ก็ถวายบังคมลาพระพุทธองค์ เสด็จกลับเข้าพระราชนิเวศน์วังหลวง พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารโดยพระเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง ปลอดภัย เป็นสวัสดิภาพฯ

ประชาชนพลเมืองที่พากันเคียดแค้น เกลียดชังต่อองค์พระมหากษัตริย์อชาติศัตรูมหาราช คิดคุมกำลังก่อการจลาจลลุกฮือขึ้นล้มราชบัลลังก์นั้น ก็สงบเงียบไปในที่สุด เพราะการเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ขอประทานอัจจโยโทษ และแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะของพระเจ้าอชาติศัตรูนั้น มหาชนชาวพระนครราชคฤห์ได้ทราบทั่วถึงกัน

นับว่าเหตุการณ์ อันร้ายแรง น่าหวาดเสียวสงบกันลงได้ เพราะอาศัยอุบายของชีวกโกมารภัจจ์ เอกอัครมหาอำมาตย์ผู้เดียว ที่ชักนำพระเจ้าอชาติศัตรูเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ชีวกโกมารภัจจ์ไม่ใช่จะมีเกียรติคุณดีแต่เฉพาะเป็นแพทย์หมออย่างเดียวเท่านั้น ย่อมมีเกียรติคุณดีในทางราชการแผ่นดินอีกด้วยนานาประการ ดังที่ยกมาว่านี้ ฯ

((( โปรดติดตามตอน ชีวกโกมารภัจจ์ทูลขอไม่ให้บวชคนที่มีโรคติดต่อ )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 1/12/08 at 05:28 Reply With Quote


(Update 1 ธ.ค. 2551)

ชีวกโกมารภัจจ์ทูลขอไม่ให้บวชคนมีโรคติดต่อ


ในยุคหนึ่ง ได้เกิดโรคสกปรก โรคร้ายแรง โรคติดต่อขึ้นในพระมหานครราชคฤห์ ได้ระบาดไปทั่วกรุง ตลอดถึงจังหวัดที่ใกล้เคียง โรคติดต่อนั้น ระบุว่า “กุฏฐัง ขี้เรื้อน, คัณโฑ ฝี หรือฝีดาษ, กิลาโส ขี้กลาก, โสโส ไข้มองคร่อ, อปมาโร ลมบ้าหมู ชักเป็นคราวๆ

(การแปลชื่อโรคจากภาษามคธออกเป็นภาษาไทยนี้ความหมายในครั้งนี้ จะให้ตรงตามความหมายในครั้งนั้นได้ยาก เพราะเป็นกาลนานไกลประมาณสองพันปีเศษ ถือเอาแต่ใจความว่า โรคผิวหนัง โรคร้ายแรง ที่ติดต่อได้ก็แล้วกัน) รวมเป็นโรค 5 อย่างดังว่านั้น)

เมื่อโรค 5 ประการนี้ระบาดมากขึ้น ชีวกโกมารภัจจ์ก็ป้องกันและบำบัดรักษามาก หนักไปใน 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งภายในราชสำนัก อีกด้านหนึ่งเป็นฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ แต่ฝ่ายด้านประชาชนนั้นย่อหย่อนไป เพราะคนเจ็บป่วยภายในพระราชสำนักก็ดี พระภิกษุสงฆ์เจ็บป่วยในคณะสงฆ์ก็ดี เป็นความรับผิดชอบของชีวกโกมารภัจจ์โดยตรง จะย่อหย่อนไม่ได้

ถึงแม้ว่าด้านประชาชนมีผลประโยชน์แก่เขามากด้วยค่าจ้างรักษาก็จริงอยู่ แต่ก็จำเป็นต้องย่อหย่อน เพราะจะเสียความสัตย์ เป็นคนเห็นแก่ลาภไป ส่วนเมตตา กรุณาที่จะให้คนหายป่วยเจ็บนั้นเป็นธรรมประจำสันดานของชีวกโกมารภัจจ์อยู่

แต่จะทำให้สมบูรณ์ได้ยาก เพราะเหลือบ่ากว่าแรง ประชาชนเล่าส่วนมากย่อมไว้วางใจเชื่อถือความสามารถของนายแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์คนเดียวแพทย์หมออื่น ๆ แม้มีอยู่มาก ก็ไม่มีใครนิยมชมชอบ ฯ

อาศัยเหตุดังว่ามานั้น คฤหัสถ์บางคนที่เป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 ประการนั้น ก็เกิดคิดอุตริขึ้น เข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้รับการบำบัดรักษาจากนายแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์ ได้ความสะดวกดี เมื่อได้รับการบำบัดรักษาจากชีวกโกมารภัจจ์สมความปรารถนาแล้ว โรคหายเป็นปกติดีแล้ว ก็ลาสิกขาสึกออกมาเสีย เพราะจุดประสงค์ในการบวชต้องการเพียงเท่านั้น

เมื่อคนหนึ่งทำได้ มีผลดี คนอื่น ๆ ที่เป็นโรคเช่นนั้น ก็เอาอย่าง เข้าบวชบ้าง พระภิกษุที่เป็นโรคติดต่อดังว่านั้นก็ยิ่งมีจำนวนมากสูงขึ้นทุกวันในหมู่สงฆ์ ทำให้ติดต่อกันขึ้นลามปามเลอะเทอะไปหมดในคณะสงฆ์

ชีวกโกมารภัจจ์จับได้ โดยสังเกตเห็นคนบวชเป็นภิกษุกันมาก และสึกมาก บวชมากแต่สึกเร็ว เกิดความสงสัย วันหนึ่งชีวกโกมารภัจจ์จับมือนายทิดที่สึกใหม่คนหนึ่งถามความประสงค์ในการบวชว่า บวชเพื่ออะไรจึงสึกเร็ว
นายทิดคนนั้นก็ตอบชี้แจงให้ฟังแจ่มแจ้งชัดเจน ได้ความว่า บวชเพื่อได้รับการรักษาโรคเท่านั้น โรคหายแล้วก็ต้องสึก จะบวชอยู่ทำอะไร เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น

ชีวกโกมารภัจจ์ทราบเรื่องแล้ว ร้องว่า “อุบ๊ะ เล่นแบบนี้แย่สิวะกู คณะสงฆ์ก็งอมแงมเป็นแมวตกนี้ ต้องวิกัปเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน” เมื่อได้โอกาสเวลาเหมาะชีวกโกมารภัจจ์เข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลเล่าเหตุการณ์ที่คนมีโรคติดต่อประการใดประการหนึ่งใน 5 ประการนั้นเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา

ดังที่ได้สอบสวนมาแล้วให้ทรงทราบ และทูลถวายความเห็นว่า “ควรที่ฝ่าพระบาททรงวางบทบัญญัติห้ามเสีย ไม่ให้สงฆ์บวชคนมีโรคเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าตั้งใจมาจะทูลขอไม่ให้บวชคนเช่นนั้น ขอจงทรงพระกรุณาโปรดประทานแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิดพระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ชอบแล้ว เราจักห้ามตามความประสงค์ของท่านเป็นความเสียหายในหมู่สงฆ์มาก จริงอย่างว่า”

เมื่อชีวกโกมารภัจจ์ถวายบังคมลากลับแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบัญชาให้ประชุมพระภิกษุสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าประทับในที่ชุมนุมสงฆ์ ทรงแสดงโทษคนที่มีโรคติดต่อ 5 ประการ แม้ประการใดประการหนึ่ง เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพระศาสนาพากันลามปามติดต่อเลอะเทอะ แล้วทรงวางบทบัญญัติห้ามเด็ดขาด

ขัดต่อความเป็นภิกษุ ไม่ให้สงฆ์ หรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่งรับบวชเข้าไว้อีก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจัดว่ามีโทษเป็นอาบัติตามพระพุทธบัญญัตินั้น นับได้ว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีค่าควรแก่การสรรเสริญในการสร้างสรรสิ่งดีงามให้กับพระพุทธศาสนา.


((( โปรดติดตามตอน วาระสุดท้ายของท่านชีวกโกมารภัจจ์ )))



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 11/12/08 at 05:51 Reply With Quote


(Update 11/12/08)

บทสุดท้าย



หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประชวรและเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ไปอยู่ที่ใด..ทำอะไรที่ไหน.. และได้สิ้นอายุขัยลงเมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ ?

แม้แต่ในพระสูตร ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกก็ไม่ได้บ่งบอก หรือระบุประวัติชีวิต ในช่วงท้ายบั้นปลายของบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์ไว้เลย
เป็นเรื่องแปลก ที่บุคคลระดับแพทย์หลวงผู้ให้การรักษาประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หายเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่มีผู้ใดจะติดตามถามหรือบันทึกไว้

แต่ในสมัยต่อมา ได้มีการอัญเชิญดวงวิญญาณของท่านชีวกโกมารภัจจ์ขึ้นที่ "วัดสมณานิมบริหาร" หรือ "วัดญวณ" สะพานขาวโดยมี ท่านองสรภาณมธุรส หรืออีกนัยหนึ่ง หลวงพ่อบ๋าวเอิง เจ้าอาวาสวัดญาณสะพานขาว

หลวงพ่อบ๋าวเอิงเป็นผู้ทำพิธีเชิญพระวิญญาณของท่านชีวกโกมารภัจจ์ เข้าประทับทรงร่าง พ.ต.ต.ทวี จำรูญจันทร์ ซึ่งเป็นวิธีการติดต่อกับผู้ล่วงลับไปแล้ววิธีหนึ่ง พิธีนี้ได้กระทำในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2501

หลังจากหลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้บอกกล่าวจุดประสงค์ที่จะขอทราบชีวะประวัติของพ่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ ในบั้นปลายชีวิตดวงวิญญาณของพ่อหมอชีวกในร่าง พ.ต.ต.ทวี จรูญจันทร์ ก็เห็นชอบด้วย โดยยินดีที่จะเล่าเรื่องของท่านไว้เพื่อการบันทึกจะได้สมบูรณ์

ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตนำถ้อยคำของ "หมอชีวก" ที่หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนำมาประกอบในช่วงท้ายของประวัติ ท่านบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ ดังต่อไปนี้

“เรื่องนี้ ความจริงพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสแก่เรา พระองค์ทรงรู้ของพระองค์ด้วยพระองค์เอง ทำไมพระองค์จึงทรงปิดเราผู้เสมือนเป็นลูก เรากับพระอานนท์อยู่กันเพียง ๓ นะท่านนะ พระองค์ไม่ได้รับสั่งถึงเรื่องการป่วยเจ็บว่าเกิดจากอะไร

เรายังมีสติดีอยู่ แต่ได้มาพบเห็นพระองค์ทรงอยู่ในลักษณะเช่นนั้น ก็ให้วิตกกังวลเป็นที่สุดเรารู้ดีว่า พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เรารักษา แต่ก่อนร่อนชะไร เราก็ได้ปฏิบัติตัวปฏิบัติใจ ซื่อสัตย์ในพระองค์”

“พระองค์ไม่ควรด่วนจากข้าพระพุทธเจ้าไปเสียเลย จะรับสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบสักหน่อย ก็จะทรงอยู่กันต่อไปอีก พระองค์ไม่ควรด่วนจากไปเสียเร็ว ข้าพระพุทธเจ้ามีความสามารถ”

“เรื่องที่พระพุทธองค์จะเสด็จสู่พระปรินิพพานนั้น สำหรับเราในฐานะที่เป็นแพทย์ประจำพระองค์ พระองค์ไม่ได้รับสั่งว่าเกิดการเจ็บป่วยอย่างใด ทูลถามก็ทรงเฉยเสีย รับสั่งแต่ในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญในขณะนั้น เราได้พิจารณาดูพระวรกายของพระองค์ รู้สึกว่าทรงหม่นหมอง ทรงปวดพระนาภีมาก สงสัยว่าพระกระยาหารเป็นพิษ

แต่พระองค์ก็ยังทรงฝืนพระอิริยาบถเป็นปกติ ไม่ได้รับสั่งถึงเรื่องนี้ เราได้ประกอบพระโอสถถวายให้เสวย เพื่อทดลองดู พระองค์ก็ไม่ยอมเสวย ดูดูพระองค์ผู้ทรงเสมือนพระบิดาของเรา ดูจะกราบทูลอย่างไร ก็ไม่ยอมเสวย จะกราบทูลอ้อนวอนเท่าใด ก็ไม่ยอมรับสั่ง ทรงเฉยเสีย

น่าน้อยอกน้อยใจนักนะท่าน ถ้าพระองค์เสวยพระโอสถเม็ดนั้น ก็จะทำให้เรารู้ถึงอาการของพระองค์ ยาเม็ดนี้สำคัญนัก ถ้าพระองค์เสวย พระองค์จะมีพระชนม์ชีพยืนยาวต่อไปอีก “ทำไมจึงจะต้องด่วนเสด็จจากลูกไป”

“เราใจคอไม่สบาย เมื่อพูดถึงตอนนี้ เดี๋ยวนี้เราก็ยังนึกคิดอยู่นะ ทำไมพระองค์ทรงต่อสู้อุปสรรคนานาประการมาได้ เพียงแค่นี้จะทรงพระชนชีพอยู่ต่อไปไม่ได้”

“ยาเม็ดนี้ เรามีความเสียดายมาก แต่เสียดายพระองค์มากกว่า ถ้าพระองค์เสวยสักเม็ดเดียว ก็จะต้องรู้เป็นแน่แท้ทีเดียว พระบิดาของลูก”

“เราไปจำเริญยาเม็ดนั้นที่บ่อ คือ ผู้ใดจะใช้ไม่ได้ ยาสำหรับพระองค์ท่าน จึงไปจำเริญเสียในน้ำ น้ำในบ่อเดือดขึ้น มันเดือดขึ้นมา สูงขึ้นมา (ตอนนี้ท่านได้ถามอาตมาภาพว่า ลำตาลหนึ่งสูงประมาณเท่าใด อาตมาภาพตอบท่านว่า สูงประมาณ 5 – 6 วา) มันคงจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่เขาประมาณก็ช่างเขา เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ขณะนี้ดูเหมือนไม่มีบ่อเสียแล้ว”

ท่านได้พูดค้างไว้ อาตมาภาพได้ชี้แจงแก่ท่านว่า เมื่อครั้งอาตมาภาพได้ไปประเทศอินเดียตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ยังไม่ได้เห็นบ่อน้ำนั้นที่เมืองกุสินารา เวลานี้รัฐบาลอินเดียได้จัดการรักษาไว้อย่างดี มีรั้วรอบขอบชิดปิดกั้นไว้ทั้ง 4 ด้าน ประตูใส่กุญแจ มีเจ้าหน้าที่คอยรักษาดูแล

เจ้าหน้าที่ได้อธิบายว่า เป็นบ่อน้ำที่พระอานนท์ได้ไปตักน้ำจะถวายสมเด็จพระพุทธองค์เมื่อคราวประชวร ก่อนเสด็จสู่พระปรินิพพาน แต่น้ำในบ่อนั้นขุ่น จึงกลับมากราบทูลให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงทราบ สมเด็จพระพุทธองค์รับสั่งว่า “น้ำใสแล้ว” ได้ทรงให้พระอานนท์ไปตักมาถวายอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้น้ำใส พระอานนท์จึงได้ตักมาถวายพระพุทธองค์

อาตมาภาพได้ขอร้องเจ้าหน้าที่ เอาเชือกผูกที่คอขวด แล้วหย่อนลงไปในน้ำในบ่อนั้น ได้หนึ่งขวด เพื่อนำมาเป็นอนุสรณ์ และเป็นน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ที่อาตมาภาพได้เก็บรักษาไว้จนบัดนี้

“บ่อนั้นเป็นน้ำยาวิเศษสำหรับเดี๋ยวนี้ และแต่ก่อนนี้ ความจริงเราไม่ได้ไปดูที่นั่นอีกเลย เข้าใจว่าจะไม่มีใครดูแล หรือตื้น หรือไม่มีบ่อ แต่นี่ยังมีบ่ออยู่อีกหรือ คือระหว่างที่เราได้จำเริญยาลงไปในบ่อนั้น ปรากฏว่าน้ำในบ่อได้พุ่งขึ้นมา มองเห็นแต่ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีก นอกจากจะคิดอยู่แต่พระองค์ท่านเท่านั้น ขณะที่น้ำนั้นพุ่งขึ้นมา ก็รู้สึกอัศจรรย์เหมือนกัน แต่ก็รีบไปสนใจในพระองค์เสีย จนกระทั่งพระองค์ไม่มีลม หมดลม อ่อนใจ อ่อนใจ”

“มันต้องเสียใจวันยังค่ำ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่ใบไม้ก็ไม่กระติก แล้วจะไม่ให้เราเสียใจ”

เราได้จักการเรื่องพระศพของพระองค์เสร็จแล้ว ก็มาคิดว่า ตัวเรานี้สูญสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เราหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือแก่บรรดาผู้ที่อยู่ทั่ว ๆ ไป ไม่รู้ว่าจิตของเราเป็นสถานใด

หลังจากถวายพระเพลิงศพแล้ว เราไม่อยากมองหน้าใคร ไม่อยากพบใคร หลบกลับกรุงราชคฤห์ แล้วเข้าไปอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่เขาคิชฌกูฏ ทางทิศตะวันออกถ้ำนั้นชื่อว่า “ถ้ำเขาคิชฌกูฏ” ไม่ได้ออกมาอีกเลย ไม่รู้ว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปี..ไม่ออกมา !

ใครรู้ก็ไปหา โดยมากมนุษย์ผู้เห็นแก่ตัว เราไม่เกลียดดอก แม้เราหลบไปอยู่ในนั้นซึ่งไม่มีใครรู้ ก็พยายามไปหา เพราะเขาเหล่านั้นกลัวว่าจะตาย จนกระทั่งเราเสียไม่ได้ ก็ต้องรักษาเยียวยาให้เขาไป

พระอานนท์ก็ไม่ทราบว่าเราเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้น เราอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีผู้ใดปรนนิบัติเรา ไม่มีผู้ใดสนใจเรา มีพระสงฆ์มาให้ทำการรักษาบ้างเหมือนกัน

อยู่มาวันหนึ่ง เวลาดึกแล้ว วันนั้นดูเหมือนจะเป็นวันที่แปลกประหลาดสักหน่อย ระหว่างที่เราอยู่ในถ้ำนั้น รู้สึกว่าภายในถ้ำมีรัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วไป ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจเหมือนกัน มานั่งคิดไปคิดมา ก็หวนคิดถึงพระพุทธองค์ท่านอีกจิตใจมันให้ว้าวุ่น ไม่เป็นอันหลับอันนอน เกิดมีนิมิตประหลาด มีเสียงมากระซิบที่ข้างหู ด้วยสำเนียงอ่อนหวานซึ่งเราไม่เคยได้ยิน

ขณะนั้นมากระซิบว่า “ชีวกโกมารภัจจ์...ท่านน่ะเป็นแพทย์ประจำพระพุทธองค์ใช่ไหม” เรารู้สึกว่าเคลิบเคลิ้ม เข้าใจว่าตอบไปว่า “เรานี่น่ะเป็นแพทย์ของพระองค์ละ” แปลกประหลาด หลังจากนั้นเสียงก็ไม่มี แสงสว่างในถ้ำนั้นก็คงมืดอย่างเดิม เรามาสะดุ้งตื่น หลังจากนั้นแล้ว มานั่งคิดดู นั่งตรองดู ว่าได้เข้ามาอยู่ในถ้ำนี้ กี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้วก็ไม่รู้”

“หวนนึกคิดถึงเสียงนั้นว่า เอ..มันจับหัวใจนี่ มันจับหัวใจ ทำไมจึงต้องมาถามอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ทั่ว ๆ ไปเขาก็ทราบอย่างดี (ตอนนี้อาตมาภาพได้ถามท่านว่าเสียงนั้นเป็นพระสุรเสียงของสมเด็จพระพุทธองค์ใช่ไหม?)

“ไม่ใช่..ไม่ใช่ของพระพุทธองค์ เป็นเสียงประหลาด ฟังแล้วเสียงหวานไพเราะ แม้แต่คำพูดอย่างนี้ยังไพเราะจับใจ แปลก หลังจากนั้นแล้ว เราได้มานั่งคิดดู เรามานั่งไตร่ตรองถึงสิ่งต่าง ๆ มานั่งหวนนึกคิดถึงจิตใจที่ตั้งไว้แต่เดิมว่า จะขอเป็นหมออยู่ใกล้กับพระพุทธองค์ตลอดไปจนชีวิตของเราจะจากไป

เป็นเรื่องของความตั้งใจแต่แรกของเรา เมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนชีพเป็นปกติดีอยู่ นี่ยังไม่ทันเราจะสิ้น พระองค์ก็ด่วนเสด็จไปเสียก่อน น่าเสียใจ ถ้าพระองค์เสวยพระโอสถเม็ดนั้นสักหน่อย เสียดาย เสียดาย มาหวนนึกคิดถึงตอนนี้แล้ว ความตั้งจิตอธิษฐานของเราว่าจะจากพระองค์ นี่พระองค์ได้เสด็จจากไป

“เกิดมานะขึ้นมาทีเดียว เราได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณขณะนั้นว่า พระองค์ได้เสด็จจากไป ข้าพระพุทธเจ้าขอตามไปด้วย อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ ขณะที่ทำสัตย์ปฏิญาณแล้ว รู้สึกว่าหน้าถ้ำมีเสียงคล้าย ๆ กับจะพังลงมาปิดทันที เราก็เข้านอน ระลึกถึงพระพุทธองค์ตลอดเรื่อย ระหว่างที่ยังไม่หลับ เมื่อหลับไปก็เลยไม่ตื่นเหมือนกัน หลับเลยไม่ตื่น ถ้าเราไม่ได้ยินเสียงนั้นก็คงจะต้องตื่นอยู่เรื่อยนะ”

ตอนที่เราไปถวายพระโอสถพระพุทธองค์ พระอานนท์ได้ไปตามเรา เราพักอยู่ใกล้กับที่พระพุทธองค์ประทับ เราตามเสด็จไปด้วย ตอนถวายพระโอสถ เราอายุได้ 70 ปีกว่า

เสร็จแล้วละ....เสร็จแล้วละ....!!!

“ท่านทำอะไรอย่าได้ประมาท ทำสิ่งใดอย่าได้ประมาท จงสุขุม เยือกเย็น ขอจงมีความสุข ขอจงมีความสุข”

พอท่านได้พูดจบ วิญญาณของท่านก็ได้ออกจากร่างที่ประทับทรงไป

ข้อความทั้งหมดที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านพิจารณามาแล้ว อาตมาภาพขอกล่าวว่า ความรู้ในเรื่องพระปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และชีวิตบั้นปลายของบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์นี้ เมื่อได้พิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มีเหตุผลที่น่าฟังมากทีเดียว

อาตมาภาพขอฝากเรื่องนี้ไว้กับท่านผู้อ่านทั้งหลาย หากท่านผู้ใดได้พิจารณา และสามารถค้นคว้าเรื่องนี้ให้ได้ความรู้อันแจ่มกระจ่าง ประกอบด้วยหลักฐานแล้ว อาตมาภาพขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ด้วย.

อง สรภาณมธุรส

(อง สรภาณมธุรส) บ๋าวเอิง

เจ้าอาวาสวัดญวน สะพานขาว


webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2034
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved