ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 18/9/09 at 08:27 Reply With Quote

ประวัติพุทธสาวก เรื่อง พระสารีบุตรเถระ




พระสารีบุตรเถระ


ในอดีตกาล ในที่สุดแห่งอสงไขยกำไรแสนกัปแต่กัปนี้ไป ท่านพระสารีบุตรบังเกิดแล้วในตระกูลพราหมณ์มหาศาล โดยมีชื่อว่า สรทมาณพ ท่านพระโมคคัลลานะ บังเกิดแล้วในตระกูลคฤหบดีมหาศาล โดยมีชื่อว่า สิริวัฑฒกุฎุมพีคนทั้งสองนั้นได้เป็นสหายร่วมเล่นฝุ่นด้วยกัน

ในบรรดาคนสองคนนั้น สรทมาณพ พอบิดาล่วงลับดับชีพแล้ว ก็ครอบครองทรัพย์สมบัติอันเป็นของมีประจำตระกูล วันหนึ่งไปในที่ลับคนคิดว่า ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่านี้ ย่อมมีความตายเป็นที่สุดอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราควรเข้าไปบวชแสวงหาโมกขธรรมเถิด ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปหาสหาย กล่าวว่า เพื่อนเอ๋ย เรามีความประสงค์จะบวช ท่านเล่า จักสามารถเพื่อจะบวชได้ไหม เมื่อเพื่อนตอบว่า เราไม่สามารถจะบวชได้ จึงกล่าวว่า ก็ตามใจเถอะ เราจักบวชคนเดียวก็ได้ ดังนี้แล้วจึงให้คนใช้เปิดประตูเรือนคลังสำหรับเก็บรัตนะออกมา ให้มหาทานแก่คนกำพร้า และคนเดินทางเป็นต้น แล้วไปยังเชิงบรรพตบวชเป็นฤาษี บรรดาบุตรพราหมณ์ประมาณ ๗๔,๐๐๐ คน ได้พากันออกบวชตามสรทมาณพนั้นแล้ว สรทมาณพนั้นทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้นแล้ว ก็บอกการบริกรรมกสิณแก่พวกชฎิลแม้เหล่านั้น พวกชฎิลแม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็พากันทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้นแล้ว

สมัยนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงยัง พระธรรมจักรอันประเสริฐให้เป็นไปแล้ว ทรงยังหมู่สัตว์ให้ข้ามพ้นจากห้วงน้ำใหญ่ คือสงสาร วันหนึ่งจึงคิดว่าเราจักทำการสงเคราะห์สรทดาบส และพวกอันเตวาสิก ดังนี้ พระองค์เดียวไม่มีใครเป็นที่สอง ทรงถือเอาบาตรและจีวรเสด็จไปโดยอากาศตรัสว่า ดาบสจงรู้เราว่าเป็นพระพุทธเจ้าเถิด ดังนี้ เมื่อดาบสกำลังเห็นอยู่นั่นแหละ จึงเสด็จลงจากอากาศประทับยืนเหนือปฐพี

สรทดาบส จึงใคร่ครวญถึงมหาปุริสลักษณะในสรีระของพระศาสดาถึงความตกลงใจว่า บุคคลนี้คือพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแน่แท้ จึงทำการต้อนรับปูลาดอาสนะถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดถวายแล้ว สรทดาบสนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง ใกล้พระศาสดา

สมัยนั้น พวกอันเตวาสิกของสรทดาบสนั้น เป็นชฎิลมีประมาณ ๗๔,๐๐๐ คน พากันถือเอาผลไม้น้อยใหญ่ที่ประณีตอย่างยิ่ง มีโอชารสดีมาแล้ว เห็นพระศาสดา เกิดมีความเลื่อมใส และแลดูอาการที่อาจารย์และพระศาสดานั่ง จึงกล่าวว่า อาจารย์ เมื่อก่อนพวกเราเข้าใจว่า ไม่มีใครยิ่งใหญ่เกินกว่าท่าน แต่บุรุษนี้ เห็นจะยิ่งใหญ่กว่าท่านเป็นแน่

สรทดาบสตอบว่า “พ่อทั้งหลาย นี่พวกพ่อพูดอะไรกัน พวกพ่อปรารถนาจะทำภูเขาสิเนรุ ซึ่งสูงตั้ง ๖,๘๐๐,๐๐๐ โยชน์ ให้เสมอกับเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้อย่างไร พวกท่านอย่าเอาเราไปเปรียบกับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย”

ครั้งนั้น พวกดาบสนั้นฟังคำของอาจารย์แล้ว พากันคิดว่า บุรุษนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่หนอ ทั้งหมดจึงพากันหมอบลงที่แทบเท้า ถวายบังคมพระศาสดา

ครั้งนั้น อาจารย์กล่าวกะพวกอันเตวาสิกนั้นว่า แน่พวกพ่อ ไทยธรรมของพวกเราที่จะสมควรแก่พระศาสดาไม่มีเลย และพระศาสดาเสด็จมาในที่นี้ ในเวลาภิกขาจาร เอาเถอะ พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลัง พวกท่านจงนำผลไม้น้อยใหญ่ที่ประณีตนั้นมาเถิด ครั้นให้นำมาแล้ว ล้างมือให้สะอาดแล้ว ตนเองจึงวางไว้ในบาตรของพระตถาคต และพอพระศาสดารับผลไม้น้อยใหญ่ พวกเทวดาก็เติมทิพยโอชาลง

ดาบสทำการกรองน้ำถวายเอง ต่อแต่นั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งทำโภชนกิจให้เสร็จสิ้นแล้ว ดาบสก็เรียกอันเตวาสิกทั้งหมดมานั่ง กล่าวสาราณียกถาในสำนักของพระศาสดา พระศาสดาทรงดำริว่า อัครสาวกทั้งสอง จงมาพร้อมกับภิกษุสงฆ์เถิด อัครสาวกทั้งสองนั้นทราบพระดำริของพระศาสดาแล้ว ในขณะนั้นจึงมีพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเป็นบริวาร พากันมาไหว้พระศาสดาแล้ว ยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น สรทดาบสจงเรียกพวกอันเตวาสิกมาว่า พวกพ่อ พึงเอาอาสนะดอกไม้ทำการบูชาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์เถิด เพราะฉะนั้นจงเอาดอกไม้มาเถิด ในขณะนั้นนั่นเอง พวกอันเตวาสิกนั้น นำเอาดอกไม้ที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่น ด้วยฤทธิ์แล้ว ปูลาดเป็นอาสนะดอกไม้ประมาณโยชน์หนึ่งแด่พระพุทธเจ้า ประมาณ ๓ คาวุตแด่พระอัคสาวกทั้งสอง ประมาณ กึ่งโยชน์แด่พระภิกษุที่เหลือ ปูลาดประมาณ ๑ อุสภะแด่ภิกษุสงฆ์นวกะ เมื่อพวกอันเตวาสิกนั้นพากันปูลาดอาสนะเรียบร้อยแล้วอย่างนั้น สรทดาบสจึงยืนประคองอัญชลีข้างหน้าพระตถาคตกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จขึ้นบนอาสนะดอกไม้นี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้แล้ว เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว อัครสาวกทั้งสองและพวกภิกษุที่เหลือ ต่างก็พากันนั่งบนอาสนะที่ถึงแล้วแก่ตนๆ พระศาสดาตรัสว่า ขอผลเป็นอันมากจงสำเร็จแก่ดาบสเหล่านั้นเถิด แล้วทรงเข้านิโรธสมาบัติ พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี ทราบว่าพระศาสดาเข้านิโรธสมาบัติแล้ว จึงพากันเข้าสมาบัติบ้าง ดาบสได้ยืนกั้นฉัตรดอกไม้ตลอด ๗ วัน อันหาระหว่างมิได้ ฝ่ายอันเตวาสิกนอกนี้ พากันบริโภคมูลผลาผลในป่าแล้ว ในกาลที่เหลือก็พากันยืนประคองอัญชลี

พอล่วง ๗ วัน พระศาสดาก็เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ตรัสเรียกนิสภเถระอัครสาวกว่า เธอจงทำอนุโมทนาอาสะดอกไม้ของดาบส พระเถระดำรงอยู่ในสาวกบารีญาณ ได้กระทำการอนุโมทนาอาสนะดอกไม้แก่ดาบสเหล่านั้นแล้ว ในที่สุดแห่งเทศนาของพระเถระนั้น พระศาสดาตรัสเรียกอโนมเถระอัครสาวกที่สอง (ฝ่ายซ้าย) มาว่า แม้เธอก็จงแสดงธรรมแก่ดาบสเหล่านี้บ้างเถิด

แม้พระอโนมเถระนั้น ก็พิจารณาถึงพุทธวจนะ คือพระไตรปิฎกแล้ว จึงแสดงธรรมแก่ดาบสเหล่านั้น การบรรลุธรรมด้วยการแสดงธรรม แม้ของพระอัคสาวกทั้งสองไม่ได้มีแล้วแก่คน แม้สักคนเดียว ลำดับนั้นพระศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยแล้ว เริ่มพระธรรมเทศนา ในที่สุดเทศนา เว้นสรทดาบสเสีย พวกชฎิลที่เหลือทั้งหมดประมาณ ๗๔,๐๐๐ คน ก็บรรลุพระอรหัต พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด” ในบัดดลนั้นเอง พวกชฎิลนั้นเป็นผู้มีเพศแห่งดาบสอันตรธานไปแล้ว เป็นผู้ทรงบริขาร ๘ อันประเสริฐ ได้เป็นราวกะพระเถระอายุ ๖๐ ปี

ฝ่ายสรทดาบส ตั้งความปรารถนาว่า โอหนอ แม้ตัวเรา พึงได้เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาลเหมือนพระนิสภเถระนี้เถิด ดังนี้ ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงธรรม เป็นผู้ส่งใจไปในที่อื่นเสีย เพราะค่าที่ตนเกิดความปริวิตกขึ้น จึงไม่สามารถจะบรรจุแจ้งมรรคและผลได้

ลำดับนั้น สรทดาบสจึงถวายพระตถาคตแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้เหมือนอย่างนั้น แม้พระศาสดาทรงเห็นว่าสรทดาบสนั้น จะสำเร็จความปรารถนาโดยหาอันตรายมิได้ จึงตรัสพยากรณ์ว่า “ตั้งแต่นี้ไปล่วงอสงไขยกำไรแสนกัป เธอจักชื่อว่า สารีบุตร เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม” ดังนี้แล้ว จึงตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปทางอากาศ

ฝ่ายสรทดาบส ไปหาสิริวัฑฒะผู้เป็นสหายแล้วกล่าวว่า เพื่อนเอ๋ยเราปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม ผู้จะอุบัติในอนาคตกาล ณ บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี แม้ท่าน ก็จงปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่สอง (ฝ่ายซ้าย) ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นบ้างเถอะ

สิริวัฑฒะได้ฟังคำแนะนำนั้นแล้ว จึงให้ปรับพื้นที่ประมาณ ๘ กรีส ใกล้ประตูที่อยู่ของตนให้สม่ำเสมอแล้ว เกลี่ยดอกไม้ทั้งหลายมีดอกบวบขมเป็นที่ ๕ แล้วให้สร้างมณฑปมุงด้วยดอกอุบลเขียวแล้วปูลาดอาสนะสำหรับพระพุทธเจ้า และปูลาดอาสนะสำหรับพวกภิกษุ ตระเตรียมสักการะและสัมมานะเป็นอันมากแล้ว ให้สรทดาบสนิมนต์พระศาสดา ยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วันแล้ว ให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นุ่งห่มผ้าอันควรแก่ค่ามากมายแล้วได้ตั้งความปรารถนาเพื่อเป็นอัครสาวกที่สอง

ถึงพระศาสดาก็ทรงเล็งเห็นว่า เขาจะสำเร็จความปรารถนาโดยหาอันตรายมิได้ จึงทรงพยากรณ์โดยนัยดังกล่าวแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาภัตแล้วเสด็จหลีกไป สิริวัฑฒะร่าเริงดีใจมาก บำเพ็ญกุศลกรรมจนตลอดชีวิต ในวาระสิ้นอายุขัยก็บังเกิดในกามาวจรเทวโลก สรทดาบสเจริญพรหมวิหาร ๔ บังเกิดในพรหมโลก

จำเดิมแต่นั้น ท่านก็มิได้กล่าวถึงกรรมในระหว่างแม้แห่งบุคคลทั้งสองนั้นเลย ก็ก่อนหน้าการอุบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา สรทดาบสถือปฏิสนธิในท้องของนางพราหมณีชื่อว่า รูปสารี ในอุปติสสคามไม่ไกลกรุงราชคฤห์ ในวันนั้นนั่นเอง แม้สหายของเขาก็ถือปฏิสนธิในท้องของนางพราหมณีชื่อว่า โมคคัลลี ในโกลิตคาม ไม่ไกลกรุงราชคฤห์นักเลย

ได้ยินว่า สกุลทั้งสองนั้นเป็นสหายสืบเนื่องกันมา นับได้ ๗ ชั่วสกุลนั่นเทียว ชนทั้งหลายได้ให้คัพภบริหาร (บริหารครรภ์) เริ่มตั้งแต่วันที่หนึ่งนั่นแลแก่ตระกูลทั้งสองนั้น โดยล่วงไป ๑๐ เดือน แม่นม ๖๖ คนได้พากันบำรุงคนทั้งสองที่เกิดแล้ว

ในวันตั้งชื่อ พวกญาติได้ทำการตั้งชื่อบุตรของนางพราหมณีรูปสารีว่า อุปติสสะ เพราะเป็นบุตรแห่งสกุลอันประเสริฐสุดในอุปติสสคาม ส่วนบุตรของนางพราหมณีโมคคัลลี ได้รับการตั้งชื่อบุตรว่า โกลิตะ เพราะเป็นบุตรแห่งสกุลอันประเสริฐสุดในโกลิตคาม เด็กทั้งสองนั้นมีบริวารมากมาย เจริญวัยแล้ว ได้สำเร็จการศึกษาทุกอย่างแล้ว

ครั้นวันหนึ่ง เมื่อคนทั้งสองนั้นดูการเล่นมหรสพบนยอดภูเขา ณ กรุงราชคฤห์เป็นมหาชนประชุมกันแล้ว มีโยนิโสมนสิการเกิดผุดขึ้นเพราะค่าที่ตนมีญาณแก่กล้าแล้วจึงพากันคิดว่า คนเหล่านี้แม้ทั้งหมดไม่ถึงร้อยปีก็จักตั้งอยู่ในปากแห่งความตาย ดังนี้แล้ว ได้ความสังเวชทำความตกลงใจว่า พวกเราควรจะแสวงหาโมกขธรรม และการจะแสวงหาโมกขธรรมนั้น ควรเพื่อจะได้การบรรพชาสักอย่างหนึ่ง จึงพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ คน พากันบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก จำเดิมแต่กาลที่คนเหล่านั้นบวชแล้ว สัญชัยได้เป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ

โดยล่วงไป ๒ – ๓ วันเท่านั้น คนทั้งสองนั้นพากันยึดถือลัทธิของสัญชัยทั้งหมดแล้ว มองไม่เห็นสาระในลัทธินั้น จึงพากันออกจากลัทธินั้น ถามปัญหากะสมณพราหมณ์ที่สมมติกันว่า เป็นบัณฑิตเหล่านั้นในที่นั้นๆ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกคนทั้งสองนั้นถามปัญหาแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ โดยที่แท้คนทั้งสองต้องแก้ปัญหาแก่สมณพราหมณ์เหล่านั้น คนทั้งสองนั้นขณะแสวงหาโมกขธรรม ได้ทำกติกากันไว้แล้วอย่างนี้ว่า ในพวกเรา ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อนกว่า ผู้นั้นจงบอกแก่คนนอกนี้ให้ทราบบ้าง

ก็สมัยนั้น เมื่อพระศาสดาของพวกเราบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณครั้งแรก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว ทรงทรมานพวกชฎิล ๑,๐๐๐ คน มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น โดยลำดับนั้นประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งอุปติสสปริพาชกไปยังอารามของปริพาชก มองเห็นท่านพระอัสสชิเถระ กำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ จึงคิดว่าบรรพชิตผู้สมบูรณ์ด้วยอากัปกิริยาเห็นปานนี้ เราไม่เคยเห็นเลย ชื่อว่า ธรรมอันสงบพึงมีในที่นี้ ดังนี้ จึงเกิดความเลื่อมใส รอท่าติดตามไปข้างหลังท่าน เพื่อจะถามปัญหา

แม้พระเถระได้บิณฑบาตแล้ว ก็ไปยังโอกาสอันควร เพื่อจะทำการบริโภค ปริพาชกจึงปูลาดตั่งสำหรับปริพาชกของตนถวายท่าน ก็ในที่สุดภัตกิจ เขาได้ถวายน้ำจากคนโทน้ำของตนแก่ท่าน

ปริพาชกนั้น กระทำอาจริยวัตรอย่างนั้นแล้ว กระทำปฏิสันถารกับพระเถระผู้มีภัตกิจอันกระทำแล้ว จึงถามว่าใครเป็นศาสดาของท่าน หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร พระเถระแสดงอ้างถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเถระนั้นถูกปริพาชกนั้นถามอีกว่า ก็พระศาสดาของท่านมีปกติกล่าวอะไร ดังนี้แล้วจึงตอบว่า เราจักแสดงความลึกซึ้งของพระศาสนานี้ จึงแสดงชี้แจงความที่ตนเป็นผู้ใหม่แล้ว และเมื่อจะกล่าวศาสนธรรมแก่ปริพาชกนั้นโดยสังเขป จึงกล่าวคาถาว่า ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด ดังนี้เป็นต้น ปริพาชกได้ฟังสองบทแรกเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล อันสมบูรณ์ด้วยพันนัยสองบทนอกนี้ จบลงในเวลาที่เป็นพระโสดาบันแล้ว

ก็ในเวลาจบคาถา อุปติสสปริพาชกเป็นพระโสดาบัน กำหนดความวิเศษที่เหนือขึ้นไป ที่พระเถระยังมิให้เป็นไปว่าเหตุในข้อนี้ จักมีดังนี้แล้ว จึงกล่าวกับพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อย่าแสดงพระธรรมเทศนาให้สูงขึ้นไปแล้ว เท่านี้ก็พอแล้ว พระศาสดาของพวกเรา ประทับอยู่ในที่ไหน? พระเถระตอบว่า ที่พระเวฬุวัน อุปติสสะเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงล่วงหน้าไปก่อนเถอะ กระผมจักเปลื้องปฏิญญาที่ให้ไว้กับสหายของกระผมก่อนแล้วจักพาเขาไป ดังนี้แล้วไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทำประทักษิณ ๓ ครั้งแล้ว ส่งพระเถระไปแล้วจึงได้ไปยังอาศรมของปริพาชก

โกลิตปริพาชก มองเห็นอุปติสสปริพาชกกำลังเดินมาแต่ที่ไกลเทียว คิดว่าวันนี้เขามีหน้าตาแจ่มใส ไม่เหมือนในวันอื่นๆ เลย เห็นทีจักบรรลุอมตธรรมเป็นแน่แท้ ดังนี้แล้ว ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละจึงยกย่องการบรรลุคุณวิเศษของเขาแล้ว ถามถึงการบรรลุอมตธรรม แม้อุปติสสะนั้นก็แสดงให้รู้ว่า ใช่ อาวุโส เราบรรลุอมตธรรมแล้ว ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถานั้นนั่นแหละแก่เขา ในเวลาจบคาถา โกลิตะดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วกล่าวว่า พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ไหน? อุปติสสะตอบว่า ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน โกลิตะกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปกันเถอะ อาวุโส จักได้เข้าเฝ้าพระศาสดา อุปติสสะเป็นผู้บูชาอาจารย์แม้ตลอดกาลทั้งปวง เพราะฉะนั้น ไปหาสัญชัยแล้วประกาศคุณของพระศาสดาแล้ว ได้เป็นผู้ประสงค์จะนำแม้สัญชัยนั้นไปยังสำนักของพระศาสดาบ้าง

สัญชัยปริพาชกนั้น เป็นผู้ถูกความหวังในลาภเข้าครอบงำ จึงไม่ต้องการเป็นอันเตวาสิก ห้ามว่า เราไม่อาจจะเป็นตุ่มใส่น้ำอาบได้ อุปติสสะและโกลิตะนั้นไม่สามารถจะให้สัญชัยนั้นกลับใจได้ จึงพร้อมกับพวกอันเตวาสิก ๒๕๐ คน ผู้ประพฤติตามโอวาทของตน ได้ไปยังเวฬุวัน

พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอันเตวาสิกเหล่านั้น กำลังเดินทางมาแต่ไกล จึงตรัสว่า นั่นจักเป็นคู่สาวกของเรา เป็นคู่อันเลิศ เป็นคู่อันเจริญ ดังนี้ ทรงแสดงธรรมด้วยอำนาจความประพฤติของบริษัทของอัครสาวกทั้งสองนั้น แก่บริษัทแล้วให้ตั้งอยู่ในความเป็นพระอรหัต ได้ประทานอุปสมบท โดยเอหิภิกขุ บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้มาแล้วแม้แก่อัครสาวกทั้งสอง เหมือนอย่างบริษัทของอัครสาวกทั้งสองนั้นนั่นแล แต่กิจแห่งอริยมรรค ๓ เบื้องบนยังไม่สำเร็จ เพราะเหตุไร? เพราะสาวกบารมีญาณนั้นยิ่งใหญ่

ในบรรดาพระอัครสาวกทั้งสองนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะตั้งแต่วันบวชมาในวันที่ ๗ บำเพ็ญสมณธรรม ที่บ้านกัลลวาลคามที่มคธรัฐก้าวลงสู่ความง่วง เป็นผู้อันพระศาสดาให้เกิดความสลดใจแล้วบรรเทาความง่วงเสียได้ ฟังธาตุกัมมัฏฐานนั่นแล บรรลุอริยมรรค ๓ เบื้องบนแล้ว บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ

ส่วนท่านพระสารีบุตร ตั้งแต่วันบวชมาล่วงไปได้กึ่งเดือน เมื่อพระศาสดาแสดงเวทนาปริคคหสูตร แก่ทีฆนขปริพาชกหลานของตน ณ ที่ถ้ำสูกรขาตา ในกรุงราชคฤห์ส่งญาณไปตามแนวเทศนา ก็บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณได้ เหมือนบริโภคภัตที่คนอื่นคดไว้แล้วฉะนั้น

สาวกบารมีญาณของอัครสาวกทั้งสองนั้น ถึงที่สุดในที่ใกล้พระศาสดานั่นแหละด้วยประการฉะนี้

ก็ในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าในพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อจะทรงตั้งเอตทัคคะด้วยคุณวิเศษนั้นๆ แก่พระสาวกของพระองค์ จึงทรงตั้งเอตทัคคะให้พระเถระโดยความมีปัญญามากว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้มีปัญญามากของเรา”

พระสารีบุตรนั้น บรรลุถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณอย่างนั้นแล้ว ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระธรรมเสนาบดี บำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงสัตว์


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 25/9/09 at 08:46 Reply With Quote


พระสารีบุตรทูลลาเข้าพระนิพพาน


ดังได้ยินมา ภควา องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ปวารณาพระวัสสาแล้ว เสด็จออกจาก เวฬุวันนารามกับทั้งพระสงฆ์เป็นอันมาก บ่ายพระพักตร์ต่อเมืองสาวัตถี ครั้นถึงพระพุทธองค์เสด็จสำราญอินทรีย์อยู่ในพระเชตวนารามครั้งนั้น

ฝ่ายว่าพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ท่านกระทำวัตตปฏิบัติพระพุทธองค์แล้ว ออกมานั่งอยู่ในที่สบายกลางวัน สานุสิสของพระผู้เป็นเจ้านั้นเข้าไปปฏิบัติ ครั้นแล้วต่างองค์ต่างก็ละออกไปสู่ที่อยู่แห่งตนสิ้น ฝ่ายพระสารีบุตรเถระท่านจึงวาดอาสนะ ที่นั่งสบายกลางวันให้สะอาดปราศจากละอองธุลีแล้ว จึงลาดลงซึ่งพระธัมมขันธ์รองนั่งชำระสระสรงอุทกังบาท พระผู้เป็นเจ้าจึงนั่งพับพะแนงเชิงเข้าสู่ผลสมาบัติ เป็นที่สบายระงับกระวนกระวายในกาย ออกจากผลสมาบัติแล้ว พระสารีบุตรจึงปริวิตกว่า ดังอาตมารำพึง องค์พระพุทธเจ้ากับ อัครสาวกใครจะเข้าพระนิพพานก่อน พระพุทธเจ้าจะนิพพานก่อนหรือ หรือว่าอัครสาวกจะนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

พระสารีบุตรรำพึงไปก็รู้แท้ว่า ธรรมดาว่าพระอัครสาวกทั้ง ๒ ย่อมนิพพานก่อนพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระสารีบุตรรู้ชัดฉะนี้แล้ว จึงเล็งแลพิจารณาอายุสังขารว่า อาตมาจะนิพพานเมื่อใดเล่า ครั้นพิจารณาไปก็รู้แจ้งว่ายังอีก ๗ วันอาตมาจะสูญสิ้นเข้าสู่นิพพาน เออก็อาตมาจะนิพพานที่ไหนหนอ เออพระราหุลผู้เป็นพุทธชิโนรส ท่านก็ไปเข้านิพพานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ท่านก็ไปเข้าพระนิพพานแทบริมฝั่งฉัททันตมหาสระ ณ ป่าหิมวันตประเทศ ฝูงช้างทั้งหลายชวนกันทำสักการบูชา เออก็อาตมาจะนิพพานที่ไหนเล่า

พระผู้เป็นเจ้าพินิจไปมา จึงระลึกถึงมารดาของพระผู้เป็นเจ้า เออก็มารดาของอาตมาเป็นคนมีวาสนาได้ทรงครรภ์พระอรหันต์ถึง ๗ พระองค์คืออาตมานี้พระองค์หนึ่ง พระเสนเถระองค์หนึ่ง พระเรวัตเถระองค์หนึ่ง พระอุปเสนเถระองค์หนึ่ง พระภคินิยเถระองค์หนึ่ง พระญาณอุปวาณะองค์หนึ่ง พระสปวาลาองค์หนึ่ง ตัวมารดาได้ทรงครรภ์พระอรหันต์ถึง ๗ องค์ดังนี้ จะได้มีน้ำใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณหามิได้ เออก็มารดาของอาตมานี้มีอุปนิสัยอยู่บ้างหรือ

พระสารีบุตรก็พิจารณาไปก็รู้แจ้ง เอออุปนิสัยพระโสดาปัตติมรรคมีอยู่ในสันดานแห่งมารดา เออก็ชอบเทศนาของผู้ใดเล่า พิจารณาไปก็เห็นว่าเฉพาะอาตมาเทศนา มารดาจึงจะได้สำเร็จมรรคและผล เออก็อาตมานิ่งเสียฉะนี้ ที่ไหนมารดาจะได้สำเร็จมรรคและผลเล่า มหาชนเขาจะชวนกันนินทาว่ามารดาพระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวพระสารีบุตรเป็นถึงอัครสาวก แต่จะโปรดพระมารดาให้เป็นสัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้ ดีแต่เทศนาโปรดผู้อื่น มหาชนเขาจะชวนกันนินทาฉะนี้ จำอาตมาจะอุตส่าห์ไปเทศนาโปรดพระมารดา แล้วจะเป็นวาสนาของผู้อื่นเป็นอันมาก อาตมาก็จะเข้านิพพานในห้องที่ประสูติของอาตมา จำจะไปทูลลาพระพุทธเจ้าก่อน ภายหลังจึงจะไปเข้าพระนิพพานในบ้านนาลันทคาม

พระสารีบุตรเถระท่านคิดฉะนี้แล้ว จึงเรียก พระจุนทภิกษุผู้เป็นน้องชายว่า ดูกรอาวุโสจุนทะ ท่านจงไปบอกกล่าวภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ แต่บรรดาเป็นศิษย์ของเรา ว่าบัดนี้พระสารีบุตรจะไปสู่นาลันทคาม อาวุโสทั้งหลายจงจัดแจงบาตรและจีวรให้พร้อมเถิด

ฝ่ายพระจุนทะผู้เป็นเจ้า จึงไปประเดียงพระภิกษุทั้ง ๕๐๐ ตามถ้อยคำพระสารีบุตรท่านสั่ง พระสงฆ์๕๐๐ ครั้นได้ฟังประพฤติเหตุ จึงจัดแจงบาตรและจีวรเครื่องบริขารสำเร็จแล้ว จึงพากันมาสู่สำนักพระมหาสารีบุตรเถระ ทั้ง ๕๐๐ นั่งคอยท่าพระสารีบุตร

ฝ่ายพระธรรมเสนาสารีบุตรท่านจึงเก็บรวบรวมลำดับเครื่องบริขารไว้ให้ดี แล้วปัดกวาดที่สบายกลางวัน ที่สบายกลางคืนสำเร็จแล้ว จึงพาภิกษุเป็นบริวารไปสู่สำนักพระมหากรุณา ครั้นถึงจึงเข้าไปวันทาพระทศพล จึงคุกเข่าทั้งสอง ยกมือทั้งสอง ซ้ายขวาขึ้นถวายอภิวาทกราบลงแทบพระบาทยุคลแห่งสมเด็จพระทศพลแล้วมิได้ช้า จึงกราบทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าดังนี้

“ข้าแต่พระองค์พระมหามุนีโลกนาถ ตัวข้าผู้ชื่อว่าสารีบุตรนี้ ขาดจากพระพุทธองค์ผู้ทรงพระมหากรุณา กระหม่อมฉันจะได้ถวายวันทาบรมบาทก็เป็นปัจฉิมที่สุดวันนี้ จะขอลาองค์พระชินสีห์เข้าสู่พระนิพพาน พระพุทธองค์จงประทานอนุญาตในครั้งนี้”

สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิภาคย์ ได้ทรงฟังพระสารีบุตรเถระมาทูลลาจะเข้าสู่พระนิพพาน จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า “ดูกรสารีบุตรเอ๋ย ท่านจะไปเข้านิพพานที่ไหนเล่า”

พระสารีบุตรจึงกราบทูลไปว่า “กระหม่อมฉันจะเข้านิพพานในห้องที่ประสูติในนาลันทคาม”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สำแดงสารีบุตร จงกำหนดกาลที่จะเข้านิพพานนั้นให้แน่เถิด อนึ่งเล่าดูกรสงฆ์ทั้งหลาย ท่านจะได้เห็นพระสารีบุตรพี่ชายของท่านก็เป็นที่สุดครั้งนี้ ไปเบื้องหน้าสงฆ์ทั้งหลายยากที่จะได้เห็นพระภิกษุเห็นปานดังสารีบุตร ผู้เป็นพี่ชายใหญ่ของท่านดังนี้ อนึ่งเล่า สำแดงสารีบุตร ท่านจงเทศนาให้ภิกษุทั้งหลายฟังเถิด”

ฝ่ายพระมหาธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสว่าดังนี้ ก็สำคัญเข้าใจแจ้งในพระพุทธฎีกาว่า พระพุทธองค์เจ้าปรารถนาให้อาตมาสำแดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถวายนมัสการ ครั้นพระสารีบุตรแจ้งใจฉะนี้แล้ว จึงถวายบังคมลาบรมบาทพระทศพลญาณแล้วเหาะขึ้นไปชั่วลำตาลหนึ่ง แล้วกลับมาถวายนมัสการวันทาพระพุทธเจ้าหนหนึ่ง แล้วจึงกลับเหาะขึ้นไปอีกชั่วลำตาล แล้วกลับลงมาถวายนมัสการพระทศพล แต่พระสารีบุตรเหาะขึ้นไปทีละชั่วลำตาล กลับมานมัสการพระพุทธเจ้าถึง ๗ หน เป็นกำหนด แล้วกลับเหาะขึ้นไปเหนือนภากาศเวหา

พระสารีบุตรจึงสำแดงอเนกปาฏิหาริย์มากกว่าร้อย แล้วจึงสำแดงธรรมเทศนา บุคคลผู้ฟังธรรม บางทีนั้นก็เห็นตัวพระสารีบุตร บางทีก็ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงสำแดงธรรม บางทีได้ยินเสียงอยู่เบื้องบน บางทีได้ยินเสียงอยู่เบื้องต่ำ บางทีได้เห็นแต่ครึ่งๆ ตัว บางทีสำแดงกายให้ปรากฏเป็นพระจันทร์ บางทีให้เห็นปรากฏเป็นพระอาทิตย์ บางทีให้เห็นเป็นภูเขา เป็นมหาสมุทร บางทีให้เห็นเป็นบรมจักพรรดิ ให้เห็นเป็นรูปท้าวเวสสุวัณ เป็นรูปพระอินทร์ ให้เห็นเป็นรูปท้าวมหาพรหม แล้วสำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทด้วยอเนกปาฏิหาริย์ ดังพรรณนามาฉะนี้ แล้วจึงลงมาถวายบังคมสมเด็จพระทศพลยกมือทั้งสองเข้าประคองพระบาท แล้วจึงกราบทูลพระมหากรุณาว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระชินสีห์ผู้ทรงพระภาค กระหม่อมฉันอุตส่าห์สร้างพระบารมีมาช้านาน ประมาณอสงไขยแสนกัปก็เพราะตั้งใจจะถวายบังคมบรมบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระพุทธองค์ บัดนี้กระหม่อมฉันก็ได้นมัสการพระบรมบาท สมดังประสงค์ของข้าพระองค์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปที่ไหนเล่าข้าพเจ้าจะได้ถวายบังคมพระพุทธองค์ต่อไป ความวิสาสะคุ้นเคยที่กระหม่อมฉันกระทำไว้กับพระองค์ ก็มาขาดสิ้นลงในเพลาวันนี้แล้ว จะขอลาพระสัพพัญญูบรมครูเจ้า เข้าสู่พระนิพพานเป็นที่ระงับทุกข์ระงับภัย เป็นที่เสด็จดำเนินไปแห่งพระพุทธเข้าเป็นอเนกอนันต์ จะนับว่ามากน้อยร้อยพันก็พ้นที่จะคณนา ไม่รู้แก่ รู้ชรา ไม่รู้เกิดรู้ตาย เป็นที่เกษมสุขแสนสบายไม่มีที่จะเปรียบปาน กระหม่อมฉันจะขอลาพระพุทธองค์เจ้าเข้านิพพานในครั้งนี้”

“อนึ่ง โทษทัณฑ์ที่ข้าพระบาทประมาทด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนั้นก็ดี พระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดประทานโทษแก่กระหม่อมฉันเป็นที่สุดครั้งนี้เถิด ตัวข้าสารีบุตรนี้จะถวายบังคมลาในครั้งนี้”

“ดูกรสำแดงสารีบุตรเอ๋ย โทษทัณฑ์สิ่งใดจะเป็นกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี พระตถาคตจะได้เห็นมีแก่พระสารีบุตรแต่สักสิ่งหนึ่งนั้นหามิได้ สารีบุตรกระทำชอบพระทัยพระตถาคตทุกสิ่งทุกประการ พระตถาคตอดโทษแก่ท่านทั้งสิ้น สารีบุตรจะนิพพานเมื่อใด จงกำหนดกาลให้แน่นอนเถิด”

ปางเมื่อพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ฟังพระพุทธฎีกาให้อนุญาตแล้ว จึงกราบลงแทบพระยุคคลทั้งคู่แล้ว ทูลลาลุกขึ้นจากอาสนะในครั้งนั้น ฝ่ายพระธรณีอันหนาแน่นได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ อย่างประหนึ่งว่าจะรู้พูดรู้เจรจาว่าตัวข้าพเจ้าย่อมทรงไว้ซึ่งเขาพระสุเมรุและเขาสัตตภัณฑ์หิมวันตบรรพตและเขาจักรวาฬมิให้จลาจลด้วยกำลังพายุพัดมาแต่ ๔ ทิศา แต่ภูเขาทั้งนี้เป็นเครื่องหนักข้ายังทรงไว้ได้ ที่ข้าจะทรงคุณราศีแห่ง พระสารีบุตรไว้นั้นมิได้แล้ว ก็บังเกิดป่วนปั่นหวั่นไหวไปมาตราบเท่าถึงอุทกธาราน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด พระมหาสมุทรก็บังเกิดเป็นคลื่นกระทบฝั่งอยู่ครื้นเครง เบื้องบนอากาศก็วังเวงบนลือลั่นอยู่หวั่นไหวกึกก้อง ด้วยเสียงทิพยไชยเภรี เทพยาดาบ้างก็ดีดสีตีฆ้องมโหรทึกเสียงพิลึกบันลือสนั่นในเวลา ทั้งมหาเมฆใช่ฤดูกาลก็บันดาลยังห่าฝนให้ตกลงทั่วทิศา ทั้งสายฟ้าก็แลบฉวัดเฉวียนบันลือลั่นอยู่ครั่นครื้น ในขณะเมื่อพระสารีบุตรเถระท่านยืนประดิษฐาน จะไปเข้าพระนิพพานในนาลันทคามครั้งนี้

องค์สมเด็จพระบรมครูเจ้า จึงเสด็จลุกออกจากอาสน์มานิสีทนานั่งอยู่หน้าพระคันธกุฎีของพระองค์ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จึงเดินเวียนวงประทักษิณ ๓ รอบ แล้วจึงหมอบลงแทบพระบาทยุคลทั้งคู่ จึงถวายบังคมลาพระบรมครูว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้ทรงบุญราศี ตัวข้าสารีบุตรนี้หมอบลงแทบพระบาทแห่งพระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดอสงไขยแสนกัป ปรารถนาจะใคร่ประสบพระองค์ มาบัดนี้ก็ได้พบบรมบาทดังประสงค์สมความคิดของข้าแล้ว ครั้งนี้เล่าก็เป็นปัจฉิมที่สุด สารีบุตรจะได้เชยชมพระรูปพระโฉมก็สิ้นสุดอยู่แต่วันนี้”

พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กราบทูลเล่าดังนี้แล้ว ก็น้อมเศียรประนมกรนมัสการพระมหากรุณา เดินถอยหลังออกมาจนลับพระเนตรพระพุทธองค์ พระสารีบุตรจึงถวายนมัสการลงกับพสุธา บ่ายหน้าเฉพาะนาลันทคาม เป็นชาติภูมิของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะนั้นเล่าก็บังเกิดอัศจรรย์จลาจล พสุธาดลก็กำเริบรัวสะเทือนทั่วภิภพ เสียงปี่ก้องตระหลบสิ้นทั้งโลก ปางเมื่อพระสารีบุตรท่านจะวิปโยคพลัดพรากจากพระพุทธเจ้า ณ กาลครั้งนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านจงไปส่งพี่ชายของท่านเป็นที่สุดครั้งนี้เถิด”

แต่บรรดาภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ต่างองค์ต่างก็ออกจากพระเชตวนาราม ตามส่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรทั้งสิ้น เหลืออยู่แต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว บริษัทนอกนั้นก็พากันไปตามส่งพระสารีบุตรเถระ ใช่แต่เท่านั้น มหาชนชาวเมืองสาวัตถีรู้ข่าวว่า บัดนี้พระสารีบุตรถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าจะไปเข้าสู่พระนิพพานเสียแล้ว ต่างคนต่างก็ฉวยดอกไม้ได้ของหอมเครื่องสักการบูชา ออกจากเคหาพากันไป เดินพลางทางไต่ถามว่า พระสารีบุตรอยู่ไหนเล่า บ้างก็สยายเกล้าเกศา ยกมือทั้งซ้ายขวาเข้าข้อนอุระปริเทวนาร้องไห้สะอื้นออกวาจาว่า โอ้แต่นี้ไปใครจะสั่งสอนข้าพเจ้าเล่า เหมือนดังพระผู้เป็นเจ้าธรรมเสนาบดี ครั้นตามทันพระสารีบุตรก็ชวนกันร้องไห้กระกรีดหวีดหวาดไม่เว้นตัว บ้างล้มลงดิ้นระรัวกับพสุธาน่าสงสาร พระสารีบุตรเถระจึงเทศนาสั่งสอนว่า

“ดูกร อาวุโสทั้งหลาย ท่านอย่าร้องไห้ร่ำพิไรไปเลยดูลำบากตา ท่านทั้งปวงอุตส่าห์เร่งเคารพในพระรัตนตรัยอย่าได้ขาด ท่านทั้งหลายจงกลับไปอาวาสที่อยู่ของท่านเถิด เราจะลาแล้ว” บริษัททั้งหลายก็ชวนกันกลับมา พระสารีบุตรก็พาบริวารของตนดำเนินไป บ่ายหน้าเฉพาะนาลันทคาม ยังคนทั้งหลายเหล่าเคยเห็นพระผู้เป็นเจ้าไม่มาบิณฑบาตในชนบทแห่งตน ได้ยินข่าวก็รีบร้อนตามกันมา ทันพระมหาเถระเข้าแล้ว ก็โศการ่ำพิไรว่า

“อนิจจา พระผู้เป็นเจ้า จะหนีข้าไปไหนเล่า จะทิ้งข้าพเจ้าไว้ให้อนาถา เออก็ข้าเคยฟังเทศนาเป็นนิรันดร แต่นี้ไปใครจะเทศนาธรรมสั่งสอนข้าเล่า เหมือนดังพระธรรมเสนาบดี พระผู้เป็นเจ้าจะหนีเข้าสู่พระนิพพานเสียแล้ว เมื่อใดเล่าจะได้พบปะพระผู้เป็นเจ้าสืบต่อไป”

มหาชนชวนกันร่ำไรรักพระมหาเถระ เดินตามกันเป็นหมู่ๆ ไม่ขาดสาย พระสารีบุตรเถระท่านก็กล่าวธรรมปริยายเทศนาว่า

“ดูกรอุบาสกอุบาสิกาสิ้นทุกคน อันเกิดมาเป็นรูปเป็นกายแล้ว ก็มีแต่จะทำลายไปเป็นที่สุด ย่อมประพฤติเป็นไปตามอำนาจอนิจจัง อุปมาดังภาชนะบุคคลกระทำด้วยดินมิได้ยั่งยืนไปนาน มีแต่จะแตกร้าวฉานทำลายไปเป็นต้น อุปไมยเหมือนบุคคลเกิดมา มีแต่มรณานั้นเป็นที่สุดย่อมเข้าสู่อำนาจอนิจจัง”

พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระท่านเดินพลางทางเทศนาสั่งสอนประชาชนแรมรอนอยู่ในนิคมชนบทกลางมรรคาคณนานับได้ ๗ ราตรี เหตุมีจิตกรุณาเพลาเย็นเป็นคำรบ ๗ นั้น พระผู้เป็นเจ้าก็บรรลุถึงนาลันทคาม จึงพาสงฆ์บริวารเข้าหยุดอาศัยอยู่ใต้ไม้ไทรต้นหนึ่ง อันมีอยู่แทบประตูบ้านนาลันทคามสำราญกาย

ขณะนั้นไซร้ พระเรวัตเถระผู้เป็นหลานชายแห่งพระมหาสารีบุตร ออกมาภายนอกบ้านด้วยกิจธุระสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จึงแลเห็นพระสารีบุตรกับภิกษุบริวาร นั่งสำราญอยู่ภายใต้ต้นไทรแทบประตูบ้าน พระเรวัตจึงเข้าไปถวายนมัสการกราบไหว้ แล้วจึงนั่งอยู่ในที่ควรข้างหนึ่ง

ฝ่ายพระมหาเถระสารีบุตรจึงมีวาจาสั่งว่า “ดูกรอาวุโสเรวัตเอ๋ย ท่านจงไปบอกมหาอุบาสิกาผู้เป็นยายของท่านเถิด ว่าบัดนี้เรามาถึงแล้ว ยับยั้งอยู่แทบประตูบ้าน ถ้าแหละมหาอุบาสิกาซักถามว่า จะมาว่ากระไร อาวุโสเรวัตจงบอกไปดังนี้ว่า พระมหาสารีบุตรท่านจะมาอาศัยอยู่สักราตรีหนึ่ง แล้วให้มหาอุบาสิกาชำระปัดกวาดห้องที่ประสูติของเราให้จงดี แล้วจงจัดแจงเสนาสนะที่อาศัยสำหรับพระสงฆ์ ๕๐๐ นี้ด้วยเถิด”

พระเรวัตเถระรับคำสั่งพระสารีบุตรแล้ว ก็เข้าไปสู่บ้านแห่งมหาอุบาสิกาผู้เป็นยาย ครั้นถึงจึงบอกความตามพระมหาเถระท่านสั่งมาว่า

“ดูกรมหาอุบาสิกาผู้เป็นใหญ่ บัดนี้พระสารีบุตรลุงของข้า ท่านมาถึงแล้ว”

นางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาพระสารีบุตร ได้ฟังพระเรวัตเถระผู้เป็นหลานชายบอกความว่า พระสารีบุตรลุงของท่านมาอยู่ที่ไหนเล่า พระเรวัตจึงบอกว่า พระผู้เป็นเจ้ามายับยั้งอยู่ในประตูบ้าน นางพราหมณีจึงซักถามว่า ท่านมาองค์เดียวดอกหรือ พระเรวัตจึงบอกว่า มากับบริวาร ๕๐๐ องค์ เออก็พระสารีบุตรประสงค์สิ่งใด จึงพาบริวารมามากมายถึงเพียงนี้ พระเรวัตจึงบอกคดีตามคำพระมหาเถระท่านสั่งว่า ดูกรมหาอุบาสิกา ผู้เป็นยาย ลุงข้าสั่งมาให้บอกแก่มหาอุบาสิกาว่า จะขออาศัยอยู่ที่บ้านนี้สักราตรีหนึ่ง แล้วให้จัดแจงห้องที่ประสูติของพระผู้เป็นเจ้า แล้วจงจัดแจงเสนาสนะสำหรับภิกษุทั้ง ๕๐๐ นี้ด้วย นี่แหละพระสารีบุตรลุงข้าสั่งมาให้บอกแก่มหาอุบาสิกา

ในกาลนั้น นางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาพระสารีบุตร ครั้นได้ฟังประพฤติเหตุดังนั้น จึงคิดสำคัญแต่ในใจว่า เออก็หลากใจไฉนหนอ พระสารีบุตรให้ชำระที่อยู่ของตน เห็นท่วงทีกิริยาพระสารีบุตรจะสึกแล้วเป็นมั่นคง เออก็เมื่อยังหนุ่มอยู่นั้นทำทนงบวชเสียแต่น้อยๆ เออก็ตัวแก่ถึงเพียงนี้แล้ว จะสึกออกมาทำไมเล่า

นางสารีพราหมณีคิดฉะนี้แล้ว จึงให้บริษัทจัดแจงประดับประดาห้องที่ประสูติลูกชาย ทั้งเครื่องหอมและดอกไม้ธูปเทียนชวาลา ทั้งเครื่องประดับประดาทุกสิ่ง ทั้งประทีปด้ามประทีปสว่างไสวสำเร็จแล้ว ให้จัดแจงเสนาสนะทั้ง ๕๐๐ สำหรับเป็นที่อยู่แห่งภิกษุเป็นบริวารแล้ว จึงให้ออกไปอาราธนาพระสารีบุตร

ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรท่านอาพาธหนักพำนักอยู่ใต้ต้นไทร ครั้นมารดาให้ไปนิมนต์ พระผู้เป็นเจ้าจึงพาภิกษุเป็นบริวารของตนเข้าไปสู่บ้านมารดา จึงเข้าไปอาศัยอยู่บนปราสาทเป็นที่ไสยาสน์แต่หนหลัง แต่ครั้งพระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นคฤหัสถ์ เพลานั้นก็เป็นเวลาตะวันลับเหลี่ยมเขา ล่วงเข้าปฐมยาม ความเจ็บของพระผู้เป็นเจ้าก็กล้าหาญขึ้น ให้ลงโลหิตไม่หยุดหย่อน ภาชนะหนึ่งรองไว้ภาชนะหนึ่งผ่อนไปเทเสียไม่ขาดสาย ภาชนะหนึ่งออกไปภาชนะหนึ่งเข้ามารองไว้เล่า พระผู้เป็นเจ้าประกอบด้วยเวทนายิ่งนัก

ฝ่ายนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาเห็นกิริยาลูกชายเป็นไข้หนัก นางจึงคิดอยู่แต่ในใจว่า เออก็เป็นไฉนหนอ จึงอาพาธหนักฉะนี้เล่า นางพราหมณีจะเข้าไปก็มิได้ ในห้องนั้นเต็มไปด้วยภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ เป็นบริวาร นางจึงนั่งพิงประตูดูอาการลูกชาย


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 8/10/09 at 09:25 Reply With Quote


ครั้งนั้นท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ องค์ มีท้าวเวสสุวัณเป็นต้น จึงแลดูว่าบัดนี้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรท่านอยู่ที่ไหน ก็เห็นประจักษ์ใจว่า บัดนี้ท่านนอนอยู่เหนือเตียงในห้องที่ประสูติของพระผู้เป็นเจ้าในนาลันทคาม ท่านจะเข้าพระนิพานเสียในวันนี้แล้ว เราทั้งหลายจะได้เห็นท่านก็เป็นที่สุดครั้งนี้ จำจะลงไปถวายนมัสการกระทำอัญชลีก็เป็นที่สุด ครั้งนี้แล้ว

คิดแล้วจึงมาสู่สำนักพระสารีบุตรโดยเร็วพลัน ครั้นถึงถวายอภิวันทนาน้อมกายนมัสการพระธรรมเสนาบดี พระสารีบุตรจึงปฏิสันถารซักถามว่า ท่านทั้ง ๔ มีนามกรชื่อใด มาน้อมกายถวายนมัสการเรา เทวราชทั้ง ๔ นั้น จึงบอกว่า ข้าพเจ้าคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เออท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ท่านมาประสงค์สิ่งใด ข้าพเจ้าทั้ง ๔ นี้หรือพากันมาปรารถนาจะเป็นคนใช้ปฏิบัติพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สุดครั้งนี้

ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีได้ฟังจึงตอบวาจาว่า ดูกรท้าวมหาราชทั้ง ๔ คนสำหรับปฏิบัติไข้ของเรามีอยู่แล้ว ท่านพากันไปสู่ทิพยพิมานของท่านเถิด ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ต่างองค์ต่างก็ถวายวันทาลาพระผู้เป็นเจ้ากลับไปสู่ที่อยู่

ครั้นท้าวจาตุมหาราชกลับไปแล้ว สมเด็จอมรินทราธิราชผู้ทรงอิทธฤทธิ์คิดเหมือนท้าวจาตุมหาราช จึงเสด็จจากห้องเวชยันต์ ครั้นถึงถวายอภิวันท์พระสารีบุตรเถระแล้วจึงยืนอยู่ในที่ควร พระสารีบุตรเถระจึงถามไปโดยด่วนว่าท่านชื่อใด อมรินทราธิราชจึงตอบไปว่า

ข้าพเจ้านี้หรือคือท้าวโกสีย์สหัสนัยน์เทวราช เออก็ท่านมาจะปรารถนาสิ่งใดเล่า อินทราธิราชจึงตอบไปว่า ข้าพเจ้ามาปรารถนาจะปฏิบัติพระผู้เป็นเจ้า พระสารีบุตรจึงบอกว่า คนที่จะปฏิบัติของเรามีอยู่แล้ว อินทราธิราชจงกลับไปสู่ทิพยพิมานเถิด สมเด็จท้าวมัฆวานเทวราชจึงถวายนมัสการลาพระมหาเถระ กลับไปสู่ห้องเวชยันต์ทิพยพิมาน

ครั้นท้าวมหาพรหมจึงเข้ามาเหมือนหนหลัง รัศมีเปล่งปลั่งดั่งกองเพลิง ครั้นถึงจึงถวายนมัสการทันใด พระมหาเถระจึงให้ท้าวมหาพรหมกลับไปดังหนหลัง

ฝ่ายนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาพระสารีบุตรเถระนั่งพิงฝาคอยดูอาการลูกชาย เห็นเทวดาทั้งหลายมาสู่สำนักพระรรมเสนาบดีสารีบุตร นางพราหมณีมิได้รู้จักว่าเป็นเทวดา คิดอยู่ในใจว่า ใครหนอเข้ามากราบไหว้วันทาแล้วก็พากันกลับไป นางพราหมณีสงสัยจึงถามพระจุนทภิกษุผู้เป็นลูกชายน้อยว่า ดุกรพ่อจุนทเถระ เมื่อกี้ใครเข้ามาหาพี่ชายของท่านถวายนมัสการแล้วก็ลาไปจะเป็นมนุษย์หรือเทวดา พ่อจุนทเถระจงบอกให้แจ้งก่อน

พระจุนทเถระจึงบอกมารดาว่า

“ดูกรมหาอุบาสิกา เทวดาเขามานมัสการพระมหาเถระ”

ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรอาพาธหนักลงโลหิต เข้าประคองเอาภาชนะคอยรองโลหิตไม่ขาดสาย ได้ยินเสียงมารดาเจรจาน้องชายดังนั้น จึงถามว่า “อุบาสิกามาไยปานฉะนี้เล่า”

มารดาจึงบอกว่า “ข้ามาถามถึงเทพยดาที่มาเป็นอันมาก เออก็เทวดาที่มาก่อนนั้นมีนามชื่อใด ครั้นมาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วก็กลับไปโดยเร็วพลัน เทวดาทั้งหลายนั้นมีชื่อเสียงเป็นประการใด”

พระมหาเถระจึงตอบไปว่า “ดูกรมหาอุบาสิกา เทวดาที่มาก่อนนั้นคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔”

นางพราหมณีก็พิศวงสงสัยจึงถามว่า “ดูกรพ่ออุปติสสะ พ่อนี้เป็นใหญ่กว่าท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ อีกหรือ”

พระสารีบุตรจึงตอบคำมารดาว่า “เออมหาอุบาสิกา ท้าวจาตุมหาราชนี้อุปมาเหมือนโยมวัด สำหรับได้ปฏิบัติพระสงฆ์ ปางเมื่อพระบรมครูเจ้าของเราลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ องค์ ทรงพระแสงขรรค์อยู่กับกร มาสโมสรประชุมกันพิทักษ์พระบรมโพธิสัตว์ทั้ง ๔ ทิศ หวังจะป้องกันเสียซึ่งอุปัทวันตรายแต่แรกเมื่อพระองค์ยังเสด็จอยู่ในอุทรพระมารดา มหาอุบาสิกาจงแจ้งใจเถิดว่า ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ องค์เหมือนดังโยมวัด สำหรับปฏิบัติพระสงฆ์ทั้งหลาย

นางพราหมณีได้ฟังพระมหาเถระบรรยายชี้แจงสิ้นสงสัย จึงถามต่อไปว่า

“ดูกรพ่ออุปติสสะผู้เป็นที่รักของมารดา ครั้นท้าวจาตุมหาราชลาพ่อไปแล้ว ภายหลังใครเข้ามาอีกเล่าเป็นที่สอง”

พระสารีบุตรเถระจึงบอกว่า

“เทวดาที่สองนั้นคือองค์ท้าวอินทราเจ้าเมืองดาวดึงส์สวรรค์”

นางพราหมณีจึงตอบไปว่า “พ่ออุปติสสะนี้เป็นใหญ่กว่าพระอินทราอีกเล่าหรือ”

พระสารีบุตรบอกว่า “เออ มหาอุบาสิกา อันองค์ท้าวอินทรานี้อุปมาดังสามเณร สำหรับถือเครื่องบริขารแห่งพระพุทธเจ้า ปางเมื่อพระบรมครูของเราเสด็จขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทศนาพระสัตตปกรณาภิธรรมทั้ง ๗ พระคัมภีร์ โปรดพระพุทธชนนีครั้งนั้น

ครั้นสำเร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ท้าว อมรินทราธิราชถือบาตรและเจียรมาส่ง ตามเสด็จพระพุทธเจ้าลงมาตราบเท่าถึงแผ่นพื้นปฐพีตกว่าองค์ท้าวโกสีย์อันมียศ ปรากฏดังสามเณรน้อยๆ สำหรับถือบาตรและจีวรแห่งพระบรมครูเจ้าของเรา มหาอุบาสิกาจงแจ้งใจด้วยประการฉะนี้”

นางพราหมณีผู้เป็นมารดาจึงถามต่อไปว่า “เออ ก็เมื่อพระอินทร์เธอไปแล้ว ใครเล่าเข้ามาหาเจ้ามีรัศมีรุ่งเรืองสว่างอย่างประหนึ่งว่ากองเพลิงแลดูประหลาดแก่ใจ จะเป็นเทวราชองค์ใดเธอลงมา”

พระธรรมเสนาบดีจึงตอบว่า “ดูกร มหาอุบาสิกา เทวดาที่มาเป็นคำรบ ๓ นั้น คือท้าวมหาพรหม พวกพราหมณ์ทั้งหลายนับถือว่าเป็นครูอาจารย์ของตน นี่แหละท้าวมหาพรหมเป็นคำรบ ๓”

นางพราหมณีจึงตอบความว่า “ดูกร พ่ออุปติสสะ เออพ่อนี้เป็นใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอันเป็นครูเป็นอาจารย์ของข้าอีกเล่าหรือ”

“เออมหาอุบาสิกา ท้าวมหาพรหมนี้ท่านนับถือว่าเป็นครูเป็นอาจารย์นั้น ปางเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลญาณประสูติจากคัพโภทรพระชนนี ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ กับท้าวมหาพรหม ก็ชวนกันชื่นชมเอาข่ายทองมาประคองรับพระมหาบุรุษ ในการเมื่อพระองค์ประสูติจากครรภ์พระมารดา มหาอุบาสิกาจงแจ้งใจว่า พระบรมครูเจ้าของเราเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่ามหาพรหมได้ร้อยเท่าพันทวี”

ฝ่ายว่านางสารีพราหมณีมารดาพระสารีบุตรได้ฟังลูกชายว่าดังนั้น นางพราหมณีจึงนั่งคิดในใจว่า เออก็แต่เจ้าอุปติสสะลูกของเราสิยังเป็นใหญ่กว่ามหาพรหม ก็พระสมณโคดมที่เป็นครูของเจ้าอุปติสสะ เธอนั้นจะมีอิทธิศักดานุภาพสักเพียงใด เธอย่อมจะเป็นใหญ่กว่าเทวดาอินทร์พรหมเป็นแท้แล้ว นางพราหมณีคิดพลางทางบังเกิดปีติโสมนัสในพระมหากรุณา พระปีติทั้ง ๕ ก็แผ่ซ่านทราบทั่วสรีรกาย

งปางนั้นพระสารีบุตรมหาเถระผู้เป็นลูกชายก็รู้แจ้งด้วยพระญาณว่า บัดนี้มารดาบังเกิดปีติโสมนัสในพระพุทธเจ้า บัดนี้ก็เป็นกาลที่อาตมาจะเทศนาทดแทนคุณค่าน้ำนมเข้าป้อนของพระชนนีเถิด พระมหาสารีบุตรเถระท่านอุตส่าห์กลั้นเสียซึ่งทุกขเวทนาที่ลงโลหิต พระผู้เป็นเจ้ามิได้คิดที่จะลำบากกาย ตั้งจิตจะทดแทนคุณพระมารดาเป็นปัจฉิมที่สุด พระสารีบุตรจึงถามพระอุบาสิกานั่งคิดอะไรเล่า

นางพราหมณีจึงบอกแก่พระผู้เป็นเจ้าแต่ความจริงดังตนเจตนาว่า “ข้ามาปริวิตกไปว่าแต่พ่ออุปติสสะยังเป็นใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ครูของพ่ออุปติสสะนั้นจะเป็นประการใดหนอ นี่แหละพ่ออุปติสสะ มารดาคิดปานฉะนี้”

ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงเทศนาสรรเสริญพระคุณพระพุทธเจ้า

“ดูกรมหาอุบาสิกาผู้เจริญ ท่านอย่าสงสัยสนเท่ห์ในพระบรมครูของเราเลย พระองค์ประกอบไปด้วยพระคุณมากมายนักหนา ปางเมื่อพระองค์จะจุติลงมาจากชั้นดุสิตนั้น เทพยดาไปเชื้อเชิญพระองค์ จึงลงมาเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางสิริมหามายา ครั้งนั้นเป็นปีระกา วันพฤหัสบดี เพ็ญเดือนหก มหาอุบาสิกาไม่รู้และหรืออัศจรรย์บันลือลั่นทุกแห่งตน พระธรณีดลก็กัมปนาทหวาดไหว สะท้านสะเทือนไปทั่วโลก ย่อมเห็นประจักษ์แก่คนทั้งหลาย ยังอัศจรรย์อันอื่นเล่า

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเราประสูติจากครรภ์พระชนนีในป่าลุมพินีวัน แต่พอพระองค์ประสูติจากครรภ์พระมารดาแล้วก็เสด็จเดินไปได้ ๗ ก้าว ในขณะนั้นแผ่นดินก็ป่วนปั่นหวั่นไหว เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ใจอีกครั้งหนึ่ง มหาอุบาสิกาจะไม่รู้บ้างแหละหรือ ยังอีกครั้งหนึ่ง มหาอุบาสิกาจะไม่รู้บ้างแหละหรือ

ยังอีกครั้งหนึ่งเล่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา เสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์เพลาเที่ยงคืนวันนั้น พระองค์เสด็จขึ้นสู่มงคลอัสดรเป็นบรมพาหนะล่ำสัน สูงได้ ๑๘ ศอก เป็นม้าทรงประดับด้วยเครื่องคร่ำ แต่แล้วกระทำด้วยทองคำและเหล็กล้วนแล้วด้วยทองแดง ตัวอัสดรนั้นประดับไปด้วยกระดิ่งดังวังเวง

เทพยดาทั้งหลายก็บรรเลงทิพยดุริยดนตรี แห่พระบรมโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาปานประหนึ่งว่าพสุธาจะทำลาย สะท้านสะเทือนไปทั่วทิศา มหาอุบาสิกาไม่รู้แหละหรือ

ยังอัศจรรย์อันอื่นเล่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ของเรา ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เมื่อ ปีวอกเพ็ญเดือนหก วันพุธครั้งนั้น เป็นแสงมหัศจรรย์ประจักษ์ตา พระเมทนีอันหนาแน่นได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ ก็บันลือลั่นดังสนั่นอยู่ไปมาปานหนึ่งว่ามหากังสดาล อันบุคคลเอาค้อนเหล็กเข้าประหารทุบตี เสียงก้องร้องครวญคราง

พระมหาสมุทรอันกว้างขวาง ก็บังเกิดเป็นคลื่นเสียงสนั่นอยู่ไปมา ทั้งฝูงมัจฉาชาติที่น้อยใหญ่ๆ ยาวได้ร้อยโยชน์และพันโยชน์ ก็ผุดขึ้นโดดกระดิกหูโบกหางว่ายวางวิ่งระหันระเห ทั้งมังกรเงือกงูในท้องทะเลก็ลอยล่อง พ่นน้ำเป็นฝอยฟอง ป่าพระหิมพานต์ก็คนองบันลือลั่นอยู่หวั่นไหว ฝูงสัตว์น้อยใหญ่ก็บันลือเสียงอยู่ไปมา

ทั้งเทพยดาในสวรรค์ชั้นเบื้องบน บ้างก็เผยสีหบัญชรพระทวารวิมานมาศไม่เว้นองค์ บ้างก็โปรยปรายทิพยคนธามาลัยลงมาบูชา ทั้ งดอกมาทาปาริชาติ ก็ตกลงยังพื้นปฐพี ทุกเทพเจ้าก็ยอยกอัญชุลี น้อมเศียรเกล้าลงกราบกรานพระบรมครูของเรา เมื่อวันที่พระองค์ได้ตรัสนั้น

อนึ่งเหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย ที่ทนทุกขเวทนาอยู่นานก็บันดาลให้คลายทุกข์วายทุกขเทวทนา ในขณะทันใดนั้น แม้น้ำแสบที่สัตว์นรกกินไม่ได้ก็กลับกลายเป็นน้ำเย็นบริสุทธิ์สะอาด สัตว์นรกก็พากันลงกินอาบสำราญใจ ทั้งต้นงิ้วใหญ่ก็ล้มลงกับพื้นปฐพี ทั้งหม้อเหล็กก็แหลกเป็นธุลีไม่เหลือหลอ

ทั้งสายบรรทัดที่นายนิรยบาลสำหรับดีดสัตว์ ตัดเนื้อสัตว์นรกนั้นก็ขาดสะบั้นเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ฝูงสัตว์ที่ทนทุกขเวทนาอยู่ในเปรตวิสัยก็พลอยสุข มิได้ทุกข์ถึงความอยากข้าวน้ำโภชนา สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายเป็นข้าศึกกันก็กลับมีเมตตาเกษมสันต์ต่อกันทุกตัว สัตว์ทั้งโลกทั้งหมู่มนุษย์และเทวดาก็สำราญ

ทั้งฝนก็บันดาลตกลงเป็นฝอยๆ ละอองปลิว ลมพระพายก็ชายพัดพาเกสรดอกไม้มาฉิวๆ เป็นที่สบายใจ เทพยดาก็ประโคมทิพยดุริยดนตรีอยู่ครื้นเครงทั้งคนธัพคนธรรพ์กินนรีกินนรา ก็ขับร้องมีสนั่นในเวหนเป็นมหามหัศจรรย์ ตั้งแต่เบื้องต่ำนั้นตลอดถึงภพเบื้องบน เป็นโกลาหลอันใหญ่ยิ่งพ้นที่จะคณนา ในขณะเมื่อพระบรมโพธิสัตว์หน่อพระศาสดา ท่านได้ตรัสเหนือรัตนบัลลังก์ภายใต้ต้นไม้พระมหาโพธิ ในเพลาค่ำพออรุโณทัยแสงทองไขขึ้นมาอยู่รางๆ จวนปัจจุสมัยใกล้สว่างวันนั้น

อนึ่ง ดูกรมหาอุบาสิกา เทพยดาทั้งหลายก็แตกตื่นมาแต่หมื่นจักรวาล ประชุมพร้อมกันในมงคลจักรวาลอันนี้ ที่แต่พอจุปลายขนจามรีเทพยดานั่งเบียดเสียดสีกันอยู่ ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง นิรมิตตัวน้อยๆ ละเอียดเป็นอณูปรมาณูนั่งเสียดสีกันอยู่ชมพระบารมีพระพุทธเจ้า

เมื่อพระองค์ได้ตรัสในเพลาวันนั้น ถัดเทวดาออกมาถึงพวกยักษาอันมีไชยคนธรรพ์นาคครุฑกินนรนั่งเป็นชั้นๆ กันออกมา ภายนอกเทพยดายักษากินนรนั้น มีทั้งผ้าโบกจามรทานตะวัน ราชวัตรฉัตรธงแลไสว เทพยดาทั้งหลายกระทำสักการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสได้ครั้งนั้น”

ฝ่ายว่าพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เมื่อพระผู้เป็นเจ้าพรรณนาด้วยมหาอัศจรรย์ฉะนี้แล้ว จึงสำแดงพระพุทธคุณโปรดมารดาต่อไปว่า


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 14/10/09 at 09:00 Reply With Quote


อันว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระภาคเจ้าพระองค์ใด ย่อมประกอบด้วยบุญราศีไม่มีใครเปรียบปาน ทั้งประกอบด้วยพระอนาวรณญาณมิได้มีที่สิ้นสุด ประกอบด้วยอิทธิศักดายิ่งกว่าเทพามนุษย์ในไตรภพ ไม่มีใครจะล่วงลบพระบรมครูเจ้าได้เลยเป็นอันขาด พระพุทธองค์ประกอบด้วยบุญวาสนาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าเทพามนุษย์ในโลกธาตุ อุปมาเหมือนพญาหงส์เหมราช ย่อมประกอบด้วยอำนาจเป็นใหญ่ยิ่งกว่าฝูงนกแต่บรรดามี อุปมาดังพญาไกรสรราชสีห์อันมีเดชา ย่อมเป็นใหญ่กว่าสัตว์ ๔ เท้าทั้งปวง ถ้ามิดังนั้นอุปมาดังบรมกษัตราธิบดี ย่อมเป็น ใหญ่กว่าประชาชนชาวบุรีสิ้นทั้งหลาย อุปมาดังมหาคีรีสุเมรุราชบรรพต ย่อมปรากฏเป็นใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งหลาย อันมีอยู่ในห้องแห่งจักรวาล ถ้ามิได้ดังนั้นปานประหนึ่งว่ามหาสมุทรทะเลหลวง ย่อมเป็นใหญ่กว่าแม่น้ำทั้งปวงในโลก อันองค์พระศาสดาเจ้าผู้จอมมุนีนาถ ย่อมเป็นใหญ่กว่านักปราชญ์เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอันมีปรีชา ประกอบด้วยพระคุณเป็นอนันต์อเนกาจะกำหนดนับมิได้ ประเสริฐกว่าเทพามนุษย์ทั้งหลาย ด้วยพระนวหรคุณคือ พระนามทั้ง ๙ ว่า อิติปิ โส ภควา ฯลฯ ภควาติ กิริยาว่าพระสารีบุตรเทศนาพระพุทธคุณโปรดมารดาว่า

“ดูกรมหาอุบาสิกาผู้เจริญ ท่านจงตั้งใจฟังเถิด องค์สมเด็จพระทศพลญาณผู้เป็นอาจารย์ดังบรมกษัตราธิบดี ย่อมเป็นใหญ่กว่าประชาชนชาวบุรีสิ้นทั้งหลายของข้า ย่อมประกอบด้วยพระคุณจะคณนานับมิได้ ประกอบไปด้วยพระนวหรคุณเป็นต้นเป็นประธาน คือพระองค์ทรงพระนามชื่อว่า อรหัง เหตุว่าพระองค์หักเสียซึ่งกงกำแห่งสังสารจักร อันพัดผันไปในเตภูมิกวัฏมิได้ขาดสาย ให้แตกหักกระจัดกระจายเป็นจุณวิจุณ พระอรหังก็นับว่าเป็นพระนวหรคุณประการหนึ่ง

พระนามเป็นคำรบ ๒ นั้นชื่อว่า สัมมาสัมพุทโธ เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้ซึ่งไญยธรรมด้วยพระองค์เอง มิได้วิปริตผิดประเพณีพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน พระนามนี้ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบสอง

พระนามเป็นคำรบ ๓ นั้น ชื่อว่า วิชชาจรณสัมปันโน เหตุว่าพระองค์ประกอบไปด้วยวิชชา ๘ และจรณธรรม ๑๕ ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบสาม

พระนามเป็นคำรบ ๔ นั้น ชื่อว่าสุคโต เหตุว่าพระองค์เสด็จพระดำเนินไปสู่ที่เกษม คือพระอมตมหานิพพาน จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบสี่

พระนามเป็นคำรบ ๕ นั้น ชื่อว่า โลกวิทู เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้ซึ่งโลก ๓ ประการ ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบห้า

พระนามเป็นคำรบ ๖ นั้น ชื่อว่า อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ เหตุว่าพระองค์ฉลาดที่จะทรมานเวไนยสัตว์หาผู้จะเสมอมิได้ ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบหก

พระนามเป็นคำรบ ๗ นั้นชื่อว่า สัตถา เทวมนุสสานัง เหตุว่าพระองค์เป็นครูชักนำสัตว์ ให้พ้นจากกันดารปานประหนึ่งว่าพ่อค้าเกวียนผู้ใหญ่ ได้ชักนำพ่อค้าเกวียนทั้งหลายที่เป็นบริวาร ให้พ้นจากทางกันดานได้ด้วยปัญญา ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบเจ็ด

พระนามเป็นคำรบ ๘ นั้น ชื่อว่า พุทโธ เหตุว่าพระองค์ตรัสรู้พระอริยสัจ ๔ ประการ ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบที่แปด

พระนามเป็นคำรบ ๙ นั้น ชื่อว่า ภควา เหตุว่าพระองค์ประกอบไปด้วยพระภาคคือบุญราศีอันสร้างสมมานาน ก็จัดเป็นพระนวหรคุณเป็นคำรบเก้า ดังพรรณนามาฉะนี้

ดูกรมหาอุบาสิกา พระนามพระบรมครูเจ้าของเรา ทรงพระนวหรคุณ ๙ ประการดังสำแดงมาฉะนี้”

พระธรรมเสนาบดีสารบุตรท่านตั้งใจอุตส่าห์อดกลั้นเสียซึ่งเวทนาที่อาพาธลงโลหิต มิได้คิดถึงทุกขเวทนา นำเอาพระพุทธคุณมาสำแดงแทนค่าน้ำนมข้าวป้อนของมารดา ครั้นจบเทศนาลงครั้งนั้น นางพราหมณีก็ได้พระโสดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลอันวิเศษในพระศาสนา นางยินดีปรีดาหาที่สุดมิได้ จึงมีวาจาว่า

“ดูกรพ่ออุปติสสะ เป็นลูกชายร่วมชีวิตของพระชนนี เออพระพุทธเจ้ามีคุณถึงเพียงนี้ น่าอัศจรรย์ใจ เหตุไฉนพ่อจึงมิได้สำแดงให้แจ้งแก่มารดา ละเมินไว้ให้เนิ่นช้าถึงเพียงนี้ น่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนนั้นมารดาจะได้รู้คุณพระพุทธเจ้าหามิได้ แต่นี้ไปมารดารู้จักแจ้งทุกสิ่งทุกประการ”

ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีจึงคิดอยู่แต่ในใจว่า มารดาของอาตมาได้พระโสดาบันแล้ว ทำลายล้างเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิที่ถือผิดมาแต่หลัง มีปัญญาหยั่งลงสู่พุทธาทิคุณมิได้หวั่นไหว อาตมาทดแทนค่าน้ำนมข้าวป้อนมารดาเท่านั้นก็สมควรอยู่แล้ว พระสารีบุตรท่านรำพึงฉะนี้แล้วจึงมีวาจาว่า ดูกรมหาอุบาสิกา ท่านจงถอยไปเถิด นางพราหมณีก็ถอยหลังออกไปนั่งในที่สมควร มิได้ไกลนัก แต่พอได้ยินลูกชายเจรจา ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีจึงถามพระจุนทภิกษุผู้เป็นน้องชายว่า

“ดูกรอาวุโสจุนทะ เพลานี้ล่วงไปได้สักเท่าใดแล้ว”

พระจุนทะจึงบอกว่าเพลานี้จวนสว่างอยู่แล้ว

“เออจุนทะ จงเผดียงพระสงฆ์ให้พร้อมกันเถิด”

พระจุนทะจึงบอกว่า “พระสงฆ์ก็ประชุมกันอยู่แล้ว”

“ดูกรอาวุโสจุนทะ ท่านจงพยุงเราให้นั่งขึ้นเถิด”

พระจุนทะจึงยังพระสงฆ์ให้ช่วยพยุงพระมหาเถระ ให้นิสีทนาการนั่งขึ้นแล้ว พระสารีบุตรเถระจึงลาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า

“ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ท่านที่เป็นสัทธิวิหารริกก็ดี ท่านที่เป็นสิสสานุสิสของเราก็ดี ได้ตั้งใจภักดีตามปฏิบัติเรามาช้านานประมาณ ๔๔ ปี เราได้กระทำผิดด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี อาวุโสทั้งหลายจงอดโทษานุโทษในครั้งนี้”

ฝ่ายพระสงฆ์ทั้งหลายก็ขมาโทษพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรสำเร็จแล้ว พระมหาสารีบุตรเถระท่านเอาชายจีวรปิดพักตรา เอนกายเบื้องขวาลงเหนืออาสน์ยังสีหไสยาสน์ พระผู้เป็นเจ้าก็เข้าสมาบัติเป็นอนุโลมถอยหน้าถอยหลังตั้งแต่ปฐมฌานเป็นที่สำราญแห่งพระอริยเจ้า ออกจากปฐมฌานแล้วก็เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ตติยฌาน จุตตถฌาน เป็นอนุโลม เป็นปฏิโลมถอยหน้าถอยหลัง ตั้งแต่ จตุตถฌานเป็นต้นไป ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว จึงเข้าตติยฌาน ทุติยฌาน ปฐมฌาน เป็นปฏิโลม ถอยหลังลงมาฉะนี้ บางทีเอาทุติยฌานเป็นต้น บางทีเอาตติยฌาน เป็นต้น ถอยขึ้นถอยลงหลายครั้งหลายครา พระมหาสารีบุตรเถระพระผู้เป็นเจ้าเข้าชมฌานเวียนวนหลายครั้ง ปานประหนึ่งว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์เข้าชมฌาน ในขณะที่เมื่อปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารามหานคร พระสารีบุตรก็กลับย้อนเข้าฌานเป็นอนุโลมขึ้นไปเล่า เข้าปฐมฌานแล้วก็เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตุถฌานเป็นที่สุด ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว พระมหาสารีบุตรก็ดับสูญเข้าสู่พระอมตมหานิพพาน ทั้งวิบากขันธ์และกรรมชรูปก็ดับสิ้นหาเศษมิได้ ก็บังเกิดอัศจรรย์หวั่นไหวทั่วทั้งโลกา พสุธาก็กัมปนาทอากาศก็วังเวง ทิพยเภรีก็บรรเลงพิลักลั่นอยู่ไปมา ในขณะเมื่อพระสารีบุตรเถระท่านดับเบญจขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในกาลนั้น

ฝ่ายนางพราหมณีผู้เป็นมารดา นั่งคอยดูอาการอยู่แต่ไกล ครั้นพระสารีบุตรนิ่งไปมิได้เจรจา นางจึงเดินเข้าไปใกล้วแล้วยกมือเบื้องขวาลูบหลังบาทาพระมหาเถระก็แจ้งว่าลูกชายดับสูญสิ้นพระชนม์แล้ว นางก็หมอบแทบบาทแล้วก็โศกาพิไรว่า

“อนิจจาๆ พ่ออุปติสสะเอย แต่ก่อนมารดาไม่รู้เลยว่าพ่อมีคุณเพียงนี้ พอมารดารู้พ่อก็มาสูญสิ้นชีวิตินทรีย์ มารดานี้ตั้งจิตคิดจะกระทำการกุศลให้สบาย จะถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย แล้วจะสร้างพระวิหารสักร้อยสักพัน เป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ควรหรือพ่อมาหนีมารดาไปไม่กรุณา มาทิ้งมารดาไว้ให้อนาถาถึงเพียงนี้”

นางสารีมาพิไรร่ำพร่ำพรรณนาน่าสงสาร ตราบเท่าจนกาลพระสุริโยทัย เธอไขพระรัศมีขึ้นมาเป็นเพลาสว่าง นางจึงเข้าไปสู่ห้องทองคำนำออกมาจากโกฏิหนึ่ง จึงให้นายช่างมากระทำเป็นบุษบกห้าร้อยยอด สำหรับไว้ศพพระมหาเถระ แล้วให้กระทำพนมดอกไม้ ๕๐๐ สำหรับเป็นเครื่องประกับบูชาศพพระมหาเถระ ช่างทองก็กระทำตามคำนางพราหมณี

ปางนั้นท้าวโกสีย์ผู้ทรงสิริอำนาจ จึงเรียกพระวิษณุกรรมเทวบุตรผู้ฉลาดมาสั่งว่า

“ดูกรพ่อวิษณุกรรมเทวบุตร เจ้าจงลงไปสู่มนุษยโลกเถิด บัดนี้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรท่านนิพพานเสียแล้ว เจ้าจงลงไปนิรมิตรบุษบก ๕๐๐ ยอด ทั้งพนมดอกไม้ ๕๐๐ ให้สำเร็จโดยเร็วพลัน”

พระวิษณุกรรมรับเทวบัญชาแล้วจึงลงมานิรมิตตามคำท้าวโกสีย์สั่ง

นางพราหมณีเล่าก็ให้ช่างทองกระทำบุษบกนั้น ก็เป็นสองซ้ำทั้งพระวิษณุกรรมนิรมิตให้ จึงกระทำมณฑปใหญ่ในท่ามกลางพระนคร งามบวรด้วยเงินและทองแล้วกระทำมหาบุษบกในท่ามกลางมณฑป สำหรับไว้ศพพระสารีบุตรมหาเถระ ทั้งขอบเขตบริเวณนั้นแล้วด้วยกำแพงราชวัตรฉัตรธง แลดูระหงเป็นลดหลั่นกันลงมาสำเร็จแล้ว จึงอาราธนาศพพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรขึ้นไว้เหนือบุษบกทองคำ แล้วชวนกันกระทำสักการบูชาเล่นนักขัตตฤกษ์สำราญใจคณานับได้ถึง ๗ วัน ๗ ราตรี

ครั้งนั้นยังมีอุบาสิกาคนหนึ่งมีนามว่า นางเรวดี เป็นคนอุปัฏฐากพระสารีบุตรเถระ นางจึงให้กระทำดอกไม้ทองหนัก ๓ กุมภะสำเร็จแล้ว นางจึงเอาดอกไม้ทองนั้นมาบูชาศพพระสารีบุตร ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสคารวะในพระผู้เป็นเจ้า ปางนั้นสมเด็จพระอมรินทรเทวราชจึงพานางฟ้าสองโกฏิห้าล้านเป็นบริวารลงมา หวังจะกระทำการสักการบูชาศพมหาเถระในครั้งนั้น

ฝ่ายมหาชนชายหญิงแลเห็นสมเด็จอมรินทราธิราชต่างคนต่างประลาดหลีกถอยหลังออกไป มหาชนก็เบียดเสียดแซงแข่งหน้ากันออกไป ด้วยกลัวเดชท้าวสหัสนัยน์เทวราชเธอเสด็จมา ฝ่ายว่านางเรวดีที่เอาดอกไม้ทองมาบูชาศพพระมหาเถระนั้น นางมีครรภ์แก่จะเดินเร็วนักก็มิได้ คนทั้งหลายวิ่งเสียดแซงแข่งกันมา นางก็ล้มลงกับพื้นพสุธาในทันใด คนทั้งหลายก็เหยียบย่ำให้กระทำกาลกิริยาตาย เดชะกุศลที่นางมุ่งหมายมาบูชาพระมหาเถระ อานิสงส์นั้นส่งให้ นางจึงได้ขึ้นไปบังเกิดในทิพยพิมานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดับประดาด้วยทิพยสรรพาภรณ์งามบวรยิ่งนัก ถ้าจะบรรทุกใส่เกวียนสัก ๖๐ เล่มเกวียนโดยคณนา มีนางฟ้าเป็นบริวารนั้นนับได้พันหนึ่งเป็นกำหนด นางเรวดีเทวธิดานั้นได้สมบัติพัสถานอันโอฬาริกภาพ เต็มไปแต่พื้นแก้วและทองทั่วทั้งวิมาน นางฟ้าบริวารนั้นก็มากมายมีอยู่ในวิมานของตน นางเรวดีเทวธิดาจึงคิดฉงนสนเท่ห์ใจ เออก็เรากระทำการกุศลสิ่งใดหนอ อ้อ เราได้บูชาศพพระสารีบุตรมหาเถระด้วยดอกไม้ทองคำกระทำให้วิจิตรรจนา อานิสงส์นั้นส่งให้ เราจึงได้ทิพยสมบัติอันโอกาส จำเราจะลงไปสู่มนุษย์ จะสำแดงคุณแห่งพระสารีบุตรให้ปรากฏในครั้งนี้

นางเรวดีเทพธิดาคิดฉะนี้แล้ว จึงเลื่อนลอยลงมากับด้วยวิมานมีรัศมีปานประหนึ่งว่าพระสุริโยทัย ครั้นแลเห็นก็พิศวงสงสัยสำคัญว่าพระอาทิตย์ ครั้นคิดๆ พิศดูก็เห็นเป็นวิมาน ตระการด้วยรัศมีสว่างอย่างประหนึ่งว่าจะบาดตา นางเรวดีเทวธิดาลงมาถึงซึ่งเชิงตะกอนพระสารีบุตรจึงหยุดวิมานให้ลอยอยู่ในอากาศ จึงลีลาศลงจากทิพยวิมาน น้อมกายถวานนมัสการศพพระธรรมเสนาบดี บูชาด้วยทิพยบุปผามาลีอันมีกลิ่นหอมตระหลบอบเอาใจ มหาชนมิได้รู้จักนามกรนางเทพธิดา จึงถามไปด้วยพระคาถาว่าฉะนั้

“ข้าแต่แม่เจ้าผู้จำเริญ ข้าจะขอถามรูปทรงของท่านงามบริสุทธิ์ผ่องใส ดังดวงแก้วมณีไม่มีราคี ทั้งรัศมีก็แปลบปลาบจับนัยน์ตา ทั้งเครื่องประดับประดาดูนี่ก็เฉิดฉายมากมายนัก ถ้าจะบรรทุกใส่สัก ๖๐ เล่มเกวียน พระแม่เจ้ามีนามกรชื่อใด สร้างกุศลสิ่งใดจึงได้ทิพยสมบัติดังนี้”

นางเรวดีเทวธิดาจึงบอกแก่มหาชนหญิงชายว่า “ท่านทั้งหลายผู้เป็นสัปบุรุษ ตัวเราเมื่อยังเป็นมนุษย์นั้น ชื่อว่าเรวดีได้ปฏิบัติบูชาพระมหาสารีบุตรเถระ ครั้นท่านเข้าสู่พระนิพพานแล้ว มหาชนชวนกันกระทำสักการบูชาศพพระผู้เป็นเจ้า อันตัวเรานำเอาดอกไม้ทองมาบูชาพระศพพระธรรมเสนาบดี ขณะนั้นพอท้าวโกสีย์เธอเสด็จลงมา กับนางฟ้าบริวารสองโกฎิห้าล้านองค์ หมาชนก็พิศวงหลงใหลตกใจกลัวท้าวอินทรา ต่างคนต่างก็ถอยออกมาขมีขมัน ตัวของเรานั้นมีครรภ์แก่จะเร็วไปก็มิได้ จึงล้มลงกับพสุธา มหาชนก็เหยียบเราให้มรณา สรรพกุศลที่เราได้บูชาศพพระสารีบุตรนั้นส่งให้ จึงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านทั้งหลายจงขวนขวายบูชาฉะนี้เถิด ท่านจะได้ไปเกิดในสวรรค์เป็นปานดังตัวเรา”

นางเรวดีเทวธิดาบอกเล่าแก่มหาชนฉะนี้แล้ว จึงถวายนมัสการศพพระมหาเถระแล้วก็ลีลาศขึ้นสู่วิมานกลับไปสู่เทวสถาน อันเป็นที่อยู่ของตน แต่บรรดามหาชนชายหญิงที่มีศรัทธา ก็ชวนกันเล่นนักขัตตฤกษ์ตามประสาสัปบุรุษ สิ้นคำรบ ๗ วัน ๗ ราตรี เสร็จแล้ว จึงกระทำซึ่งเชิงตะกอนสำหรับจะปลงศพ สูง ๙๙ ศอก แต่ล้วนแล้วไปด้วยไม้หอมสิ้นทั้งนั้น ครั้นสำเร็จแล้ว จึงเชิญพระศพขึ้นสู่เชิงตะกอน จึงถวายเพลิงในเวลาเย็นเป็นคำรบวัน ๗ นั้น

พระมหาเถระทั้งหลายท่านก็สำแดงเทศนาสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้งเพลาเช้าพระมหาเถระผู้เป็นเจ้าชื่อว่า อนุรุทธ ถือเอาน้ำหอมมาประพรมเถ้าถ่านเพลิงให้ดับสิ้น พระจุนทเถระผู้เป็นน้องชายพระสารีบุตรเก็บพระธาตุได้เสร็จแล้ว จึงเอาผ้ากรองน้ำห่อพระธาตุแล้ว ก็จัดจีวรที่เป็นของแห่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ปรารถนาจะนำไปถวายพระพุทธองค์ ณ เมืองสาวัตถี พระจุนทเถระจึงนำเอาพระธาตุกับบาตรจีวร ออกจากนาลันทคาม ราตรีเดียวก็ลุถึงเมืองสาวัตถีมหานคร จึงเข้าไปเฝ้าพระมหากรุณาถวายนมัสการพระพุทธองค์แล้วจึงกราบทูลว่า

“ภันเต ภควา ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ บาตรใบนี้เป็นบาตรแห่งพระสารีบุตร จีวรนี้เล่าก็เป็นแห่งพระสารีบุตร พระธาตุที่ห่อนี้เป็นธาตุแห่งพระสารีบุตรเถระ บัดนี้พระสารีบุตรเถระท่านนิพพานเสียแล้วพระพุทธเจ้าข้า”

ปางนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้ทรงฟังพระจุนทเถระ ถวายบาตรจีวรกับทั้งพระธาตุพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกแห่งพระองค์ครั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประกอบด้วยลายลักษณ์อันบรรจงประสงค์จะรับเอาพระธาตุแห่งพระสารีบุตรมหาเถระ

ฝ่ายพระจุนทภิกษุจึงเอาห่อพระธาตุทูลถวาย วางลงเหนือพระหัตถ์แห่งพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธองค์จึงเอาพระธาตุนั้นเชิดชูในท่ามกลางพระสงฆ์ทั้งหลายแล้ว จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

“ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่บรรดามาประชุมพร้อมกันจงเห็นเถิด พระภิกษุองค์ใดมาลาตถาคตเข้านิพพานแล้วสำแดงพระปาฏิหาริย์เป็นอนันต์อเนกา กระทำให้ปรากฏแก่สงฆ์ทั้งหลายในวันก่อนนั้น บัดนี้พระภิกษุองค์นั้นก็นิพพานเสียแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายจงเล็งแลดูเถิด ธาตุนี้มีสีขาวดังสีสังข์ เป็นธาตุแห่งพระภิกษุที่สำแดงปาฏิหาริย์ คือพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวก พระธรรมเสนาบดีองค์นี้ไซร้ได้สร้างบารมีมาช้านานประมาณอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปเป็นกำหนด พระธาตุนี้ก็ปรากฏขาวดังสีสังข์”

“พระภิกษุองค์นี้มีปัญญาฉลาดยิ่งกว่าคนทั้งหลายในโลกธาตุ เว้นไว้แต่พระตถาคตองค์เดียว นอกนั้นไม่มีใครเสมอด้วยปัญญาพระธรรมเสนาบดี พระสารีบุตรนี้มีปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญายังมหาชนให้ชื่นชม มีปัญญารวดเร็ว มีปัญญาแหลมลึกละเอียด อาจจะกำจัดเสียได้ซึ่งคำปรับปวาทอันเป็นเสี้ยนหนามในพระศาสนา ภิกษุองค์นี้สัลเลขสันโดษมักน้อยในจตุปัจจัยทั้ง ๔ ย่อมติเตียนซึ่งบุคคลเป็นอลัชชีใจบาปหยาบช้า มีปัญญาละเสียซึ่งสมบัติออกบวชในพระศาสนาพระตถาคต ปรากฏดุจดังว่า คนจัณฑาลถือกระเบื้องเที่ยวหาอาหารเลี้ยงชีพ สงฆ์ทั้งหลายจงเร่งนมัสการคุณพระสารีบุตรอันประกอบไปด้วยคุณวิเศษเห็นฉะนี้”

องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาพรรณนาคุณพระสารีบุตรด้วยพระคาถาทั้ง ๕ ดังพรรณนามาฉะนี้จบลงแล้ว บริษัททั้งหลายก็สำเร็จมรรคและผลตามวาสนา แล้วพระองค์ก็ให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้ในพระเชตวนาราม

แต่บรรดาสาธุสัปบุรุษได้ฟังแล้ว จงตั้งจิตพิจารณาให้เห็นว่า เกิดมาเป็นรูปกายมีแต่จะฉิบหายเป็นที่สุด จงมีปัญญายึดเอากุศลจึงจะพ้นอำนาจ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บ่ายหน้าเข้าสู่พระนิพพาน อันเป็นที่สุดเกษมดังพรรณนามาแล้วแต่หนหลัง เถิด


praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved