ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 7/3/08 at 17:05 Reply With Quote

พบรอยเท้าขนาดยักษ์ อายุ 200 ล้านปี จากแอฟริกาใต้


(Update 15-01-55)

พบรอยเท้าขนาดยักษ์ อายุ 200 ล้านปี จากแอฟริกาใต้

บทความและภาพข่าว จาก - allmysteryworld.blogspot.com



(ภาพรอยเท้าขนาดยักษ์ อายุ 200 ล้านปีจาก แอฟริกาใต้)

......ไม่เคยคิดว่า คำบอกเล่าจากปู่ย่า ตายาย เกี่ยวกับเรื่องยักษ์ ในอดีต จะมีหลักฐานปรากฎขึ้นมาจริง ๆ ถ้าเป็นคนไทยเจอเนี้ย คงนึกภาพออกได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น..

รอยเท้ายักษ์ใหญ่ปรากฎอยู่ในหินแกรนิตหยาบ ยาวประมาณ 4 ฟุตยาว (1.2 เมตร)โดยที่รายละเอียด ของนิ้วเท้าค่อนข้างชัดเจน สมบูรณ์มาก แต่ทำไมรอยเท้าถึงปรากฎ ในระนาบที่ตั้งฉาก กับพื้นโลก อาจเป็นไปได้ว่า เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก เพราะ มันมีอายุ ถึง 200 ล้านปี

แม้ว่า ก่อนหน้านี้ จะมีภาพถ่ายหลายๆภาพ เกี่ยวกับการขุดโครงกระดูกยักษ์ ว่อนเน็ต แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียง การรีทัช ด้วยโปรแกรมกราฟฟิก หลังจากนั้น ภาพโครงกระดูกยักษ์ หลายภาพค่อยๆ ปรากฎ ตามอินเตอร์เน็ตเรื่อยมา....จึงเป็นการยาก ที่จะแยกได้ว่า อันไหนจริงหรือปลอม เหมือนกับ คลิป UFO




เพราะภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่ ขัดแย้งกับหลักความเป็นจริง เพราะ เครื่องมือที่ใช้ขุดส่วนใหญ่ เป็นเครื่องมือ ที่ส่งแรงกำลังมาก อาจส่งผล ให้โครงกระดูกเหล่านั้นเสียหายได้...!!!


ชมคลิปรอยเท้าขนาดยักษ์ จาก YouTube



Michael Tellinger Revisits Alleged Giant Footprint
With Archaeologist Klaus Dona





อ่าน..กระทู้ถามตอบเรื่องนี้จากเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์
"หว้ากอ" www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11577601/X11577601.html

รอยพระพุทธบาท จะวิเคราะห์ว่ายังไงดีจ๊ะ


......เห็นในเว็บเอมไทย (ไม่รู้วิธีเอามาลงในนี้) เป็นรอยเท้าขนาดใหญ่มากที่แอฟริกาใต้ มันเหมือนรอยเท้ามากกว่าที่จะเป็นความบังเอิญของอะไรที่ดูคล้าย

เลยลองหาในยูทูปก็เห็นร้อยเท้ายักษ์มากมาย ที่ดูไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติกัดเซาะให้เป็นรอยเท้า

มันเกิดขึ้นได้ยังไงจ๊ะ



จากคุณ : patham
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 16:00:05



ความคิดเห็นที่ 1

รอยพระพุทธบาท ???

รอยพระพุทธบาทนี่หมายความว่าอะไร เพราะคำว่า "รอยพระพุทธบาท" ตามความเข้าใจ
ของผม คือ ร่องรอยใดๆ ที่คนเชื่อว่าเป็นรอยเท้าของพระพุทธเจ้า จะจริงหรือไม่จริงนั่น
อีกเรื่อง ตามพระไตรปิฎก ไม่เคยพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าเดินทางไปทวีปแอฟริกา !!??

จากคุณ : มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก



ความคิดเห็นที่ 2

อารมณ์เดียวกับรอยคลื่นกลายเป็นรอยพญานาคแหละมั้งครับ
อารมณ์เดียวกับเห็นเมฆคล้ายคนก็บอกว่าพระเจ้ามาโปรด...

ก็ลองคิดๆ ดูครับ -...- รอยเท้ายักษ์ยังมี ทำไมไม่เห็นมีกระดูก ( ขนาดไดโนเสาร์ยังเจอกระดูกเลย )

ป.ล. คิดเห็นส่วนตัว ผมว่าน่าจะเป็นรอยที่ดูคล้าย ผู้คนเลยมาสักการะกราบไว้
หรือสมัยก่อนพระที่มีชื่อเสียงมาที่แห่งนั้นจริงก็เลยทำเป็นรอยเท้าไว้สักการะกระมังครับ ...

ป.ล. ธรรมชาติกัดเซาะให้เป็นยิ่งกว่ารอยเท้าก็มีครับ ( หรือไม่ก็คนนี้แหละทำขึ้นมา )

จากคุณ : nutnarukex
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 16:21:14



ความคิดเห็นที่ 3

ฉันเคยเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

คือมองผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูป (ไม่ใช่รูปถ่าย)

และไม่ได้เห็นคนเดียว มีคนที่อยู้ในเหตุการณ์ เป็นสิบ

จากคุณ : r239125
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 17:02:37



ความคิดเห็นที่ 4

บางทีแค่รอยหินแตก ก็เเรียก รอยพระพุทธบาท

บางทีแค่เศษหินเศษกรวดก็บอกฟันพระพุทธเจ้า

เส้นขนอะไรไม่รู้บอก เส้นผมพระพุทธเจ้า

แล้วก็กราบไว้กัน สาธุ...

จากคุณ : Mr.Kito
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 17:12:14



ความคิดเห็นที่ 5

ผมว่าก็เป็น รอยบนพื้นที่บังเอิญรูปร่างเหมือนเท้ามนุษย์ ครับ

จากคุณ : Genzo
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 17:17:21



ความคิดเห็นที่ 6

ไม่ต้องตามมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการข้อหนึ่งคือ
มีพระบาทราบเสมอกัน (พระบาท = เท้า) ไม่เว้า

อาจจะเป็นรอยของเยติหรือมนุษย์หิมะก็ได้

จากคุณ : rdo
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 17:26:50



ความคิดเห็นที่ 7

เข้าไปดูในเว็บเอ็มไทยก่อนนะจ๊ะ
มันเป็นรูปรอยเท้าประทับอยู่บนก้อนหิน
และมันใหญ่ขนาดเท่าคนตัวเล็กๆ เลย
ที่ไม่น่าเชื่อคือ มีรูปรอยนิ้วเท้าครบทั้ง 5 นิ้ว
ซึ่งมันแปลกมาก แปลกเกินกว่าจะเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติ

จากคุณ : patham
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 19:17:49



ความคิดเห็นที่ 10

แบบไทยๆครับ มีอะไรทำให้คนกราบไหว้ได้ทำกันหมดแหละ

จากคุณ : oro
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 20:03:05



ความคิดเห็นที่ 11

ผมไม่เคยเห็นรอยพระพุทธบาทครับ เเต่ผมรู้เเต่เพียงว่า (ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห้นเรา)

จากคุณ : Egist
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 20:33:48



ความคิดเห็นที่ 13

พระพุทธเจ้าเป็นคน ไม่ใช้เป็นยักษ์

จากคุณ : kronthon
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 20:46:29



อินเดีย นอกจากสิ่งที่เรียกว่ารอยพุทธบาท

เขายังมีสิ่งที่เรียกว่า วิษณุบาท หรือรอยเท้าของพระวิษณุด้วย

ดังนั้น ไม่ใช่ Thailand Only

จากคุณ : bbiggy
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 22:38:13



ความคิดเห็นที่ 17

ไม่เห็นมีไรเลย ก็คนนั่นแหละไปแกะมัน

จากคุณ : ไข่อุง
เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 55 23:19:33



ความคิดเห็นที่ 19

เจ้าตัวที่ค้นพบเค้าบอกว่าเป็น footprint of God นะครับ อย่าไปเคลมว่าเป็นของพระบาท

(คนส่วนใหญ่คงรู้นะว่าผมคิดว่ารอยนี้มันมายังไง)

จากคุณ : JD300
เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 21:34:05




ความคิดเห็นที่ 20

เพิ่งรู้ว่าสมัยก่อนมี Holly wood street ด้วย...

จากคุณ : กินกิน
เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 55 06:17:54



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2041
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 16/1/12 at 10:15 Reply With Quote




(Update 11-07-55)

รอยเท้า Langebaan ณ ประเทศแอฟริกาใต้


เมื่อหลายปีก่อน..ได้เห็นข่าวทางทีวี รายงานข่าวจาก "รอยเตอร์" ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เห็นภาพเฮลิคอปเตอร์กำลังขนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งในป่า เพื่อนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นรอยเท้าที่ปรากฏอยู่บนก้อนหินก้อนนี้ รอยเท้านี้ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "Foot Print" ต่อมาจึงได้ขอให้คนรู้จักกันช่วยสืบหาในอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่พบตามที่ข่าวรอยเตอร์เสนอ กลับพบจาก ข่าวซีเอ็นเอ็น แทน โดย คุณคณานันท์ ทวีโภค ได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาให้ดังนี้


ข่าว..ที่วอชิงตันดีซี

ค้นพบรอยเท้ามนุษย์สมัยใหม่ที่เก่าแก่ที่สุดที่ ทางเหนือของเคปทาวน์ในแอฟริกาใต้ ถูกค้นพบอยู่ใกล้ ทะเลสาบลังกีบาน (Langebaan) ในชายฝั่งตะวันตกของ "อุทยานแห่งชาติ" มีความยาวประมาณ 26 ซ.ม. รอยข้างหนึ่งมีปุ่มหัวแม่เท้าชัดเจน รอยเท้าปรากฏอยู่ในทรายเปียกขณะเดินลงเนินเขา ได้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ว่า มีอายุราว 117,000 ปี ต่อมาสองรอยเท้านี้ได้ถูกนำเคลื่อนย้ายมาในปี 1998 ตอนนี้อยู่ที่ South African Museu ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

Langebaan Footprints, SA


.... Langebaan footprints ถูกค้นพบที่ชายฝั่งทะเลสาบ Langebaan ในอุทยานแห่งชาติ West Coast ห่างจากเมืองเคปทาวน์ไปทางเหนือประมาณ120 กิโลเมตร ในปี ค.ศ.1995 โดยนักธรณีวิทยาชื่อ Dr.David Roberts ค้นพบอยู่บนเนินหินทราย คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 117,000 ปี สันนิษฐานว่ารอยเท้าดังกล่าวอาจเกิดระหว่างมีพายุฝน โดยลมพายุได้พัดกองทรายมาปกคลุมรอยเท้า ขณะเปียกอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปซากเปลือกหอยได้ถูกพัดพามาทับถมกันแน่น จนกลายเป็นชั้นหิน รอยเท้านี้จึงถูกซ่อนไว้ภายใต้ชั้นหินลึกลงไป 9 เมตรและยังคงอยู่ในสภาพดี ขณะถูกค้นพบ

......ต่อมาในปี ค.ศ.1998 คณะนักธรณีวิทยา นำโดย Dr.Roberts ได้ตัดสินใจเคลื่อนย้ายรอยเท้าดังกล่าวไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ Iziko South African Museum ในเมืองเคปทาวน์ เนื่องจากพบว่ารอยเท้าได้ชำรุดเสียหายจากนักท่องเที่ยวมือบอน ที่ไปขีดเขียนชื่อตัวเองไว้บนแผ่นหิน บางคนก็เอาเท้าไปวางไว้ในรอยเท้า นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลม ฝนและคลื่น เหล่านี้ต่างมีส่วนทำให้รอยเท้าค่อยๆ เลือนหายไป

......กระบวนการขนย้ายเป็นไปด้วยความยากลำบาก และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากแผ่นหินขนาดใหญ่หนักกว่า 2 ตัน นักธรณีวิทยาจึงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ยกมาวางไว้บนรถบรรทุก เพื่อเคลื่อนย้ายไปไว้ที่พิพิธภํณฑ์ต่อไป Dr. Sven Ouzman ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบัน รอยเท้าดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ได้นำมาแสดงให้ประชาชนได้ชม เนื่องจากรอยเท้าได้เลือนรางไปมาก และมองเห็นได้ไม่ชัด

......ทั้งนี้ Langebaan Footprints มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Eve’s Footprints หรือรอยเท้าของอีฟ ประกอบด้วยรอยเท้าทั้งหมด 3 รอย สองรอยแรกมีสภาพสมบูรณ์ ส่วนอีกหนึ่งรอยมองเห็นได้เพียงบางส่วน มีขนาดยาวประมาณ 8.5 นิ้ว หรือประมาณ 22-26 เซนติเมตร นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นรอยเท้าของหญิงสาวสูงประมาณ 160 เซนติเมตร มีชีวิตอยู่ในช่วง Homo Sapien ซึ่งมนุษย์ยุคดังกล่าวมีสรีระใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบันมากที่สุด นับเป็นรอยเท้ามนุษย์ยุคใหม่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา

เรียบเรียงจาก : 1.“Eve’s footprints” Make Tracks to South Africa Museum,
สำนักข่าว AP
2. Eve’s footprints, Wikipedia




รอยเท้า East London

ในปี 1960 มีรอยเท้าที่เจอที่ Nahoon Point, East London รอยเท้านี้เป็นของมนุษย์ และหนึ่งในนั้นนิ้วเท้านิ้วหนึ่งสามารถมองเห็นชัด และก็มีรอยอื่นๆ ด้วย แต่มันไม่เหมือน "รอยเท้า Langebaan" ที่ว่ามันอยู่ลึกกว่าหิน และเป็นรอยเท้าที่ทำมาจากทราย

Radiocarbon dating สามารถบอกเราได้ว่า "รอยเท้า East London" นั้นมีอายุ 30,000 ปี ตอนนี้เรารู้แล้วว่า มันมีอายุมากกว่านั้นอีก เทคโนโลยีที่ดีขึ้น จะช่วยได้มากในเรื่องนี้ "รอยเท้า East London" ขณะนี้อยู่ที่ East London Museum

รอยเท้า ณ ประเทศอิตาลี



เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2546 หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ลงข่าวพบ "รอยเท้าเก่า" นักวิทยาศาสตร์พบรอยเท้ามนุษย์เก่าแก่ที่ภูเขาไฟ ในอิตาลี เมื่อ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา อายุประมาณ 325,000 - 385,000 ปี เส้นทางเดินที่ชัดเจนของเท้าเหล่านี้ พบที่ ภูเขาไฟร็อกคามองฟีนา ในคัมปาเนีย ทางตอนใต้ของอิตาลี (เหนือเมืองเนเปิล) เจ้าของรอยเท้าน่าจะเป็นมนุษย์แคระ สูงไม่เกิน 1.5 เมตร (รอยยาวไม่น้อยกว่า ๘ ")



สำหรับรายละเอียดของ CNN รายงานว่า เป็นรอยเท้าสมัยมนุษย์ยุคหิน เดินขึ้น 3 รอย ข้างๆ แนวของภูเขาไฟ อาจจะเป็นการหนีภูเขาไฟ เมื่อภูเขาไฟประทุขึ้นอีก ก็จะปกคลุมรอยเท้าด้วยเถ้าถ่าน แนวการเดิน เป็นการเดินลง ไม่ใช่ไต่ขึ้น





ส่วนที่เคยค้นพบมาแล้ว เป็นรอยเท้าที่เดินขึ้นของมนุษย์ก่อนยุค มีการค้นพบในปี 1977 ในแทนซาเนีย มีรอยอยู่ในโคลนของภูเขาไฟ อายุ 3.6 ล้านปี ซึ่งเก่าแก่ 10 เท่าของที่เพิ่งค้นพบ




รอยเท้า ณ ประเทศออสเตรเลีย



ข่าวจากหนังสือพิมพ์เช่นกัน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2548 ลงข่าวพบ "รอยเท้ายุคน้ำแข็ง" ออสเตรเลียแพร่ภาพรอยเท้าขนาดต่างๆ ของผู้ใหญ่, วัยรุ่น, และเด็กเล็ก วิ่งตัดพื้นดินเหนียว ซึ่งเป็นพื้นทะเลสาบแห้ง ที่อยู่ใกล้กับ "ทะเลสาบวิลันดรา" วัดมีอายุระหว่าง 20,000 ปี ถึงยุคน้ำแข็ง

รอยเท้า ณ ประเทศเกาหลีใต้



ข่าวจากหนังสือพิมพ์อีกเช่นกันรายงานว่า "เกาหลีใต้พบรอยเท้ามนุษย์ยุคหิน กับรอยเท้าสัตว์มากมาย" พบซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์ยุคหินกว่า 100 รอย และรอยเท้าสัตว์อีก หลายชนิดที่ เกาะเชจู ในเกาหลีใต้ นับเป็นครั้งแรกของการค้นพบรอยเท้าดังกล่าวในเอเซีย และเป็นอันดับ 7 ของโลก

นายคิม เจียง ยูล นักโบราณคดีเกาหลีใต้กล่าวว่า การค้นพบซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์จากยุคพาลีโอลิธิค หรือมนุษย์หินที่ประเมินค่ามิได้ในครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่า มนุษย์ยุคหินเคยอาศัยอยู่บนเกาะเชจู

สำหรับการค้นพบครั้งนี้ พบว่ามนุษย์ยุคหินอยู่ในชั้นหิน ซึ่งก่อตัวจากตะกอนภูเขาไฟ และเป็นรอยเท้าที่มีรายละเอียดชัดเจนอย่างมาก ยาว 21 - 25 ซ.ม. (ภาพบน) นอกจากนี้ ชั้นหินดังกล่าวยังมีซากฟอสซิลรอยเท้าช้าง ม้า และกวาง รวมถึงร่องรอยของนก, ปลา, หอย, ปลาหมึก และพืชใต้ทะเลอีกด้วย (ภาพล่าง) ก่อนหน้านี้เคยมีการค้นพบมนุษย์ยุคพาลีโอลิธิค ที่มีอายุย้อนหลังไป 50,000 ปีที่แล้ว ได้แก่ แทนซาเนีย เคนยา แอฟริกาใต้ อิตาลี ฝรั่งเศส และ ชิลี

รอยเท้า ณ ประเทศเนปาล



เรื่องนี้หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" วันที่ 9 ธ.ค. 2550 ได้ลงข่าวว่า "รอยเท้ามนุษย์หิมะ" รายการสารคดีทางโทรทัศน์ของสหรัฐ "Destination Truth" นำโดยพิธีกร "โจชัวเกตส์" และไกด์ชาวเนปาล "ตุล บาฮาตุร์ โร" โชว์ซากของรอยเท้ามนุษย์หิมะ "เยติ" ที่พวกเขาพบแถบตีนเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาล



หลังจากเข้าไปถ่ายสารคดีเรื่องนี้แล้ว ยังสอบถามจากชาวเชอร์ปา กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้น ซากรอยเท้านี้มี 5 นิ้วเห็นชัด ยาว 33 ซ.ม. แต่ทั้งเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่า และนักปีนเขาต่างก็ยังกังขา ว่าใช่ของจริงหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นแค่หมีที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย



รอยเท้า ณ ประเทศเนปาล



In the area around Muktinath Padmasambhava left footprints in stone.
On this picture an imprint of his shoe and his right bare foot.






รอยเท้า ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย




จาก...หนังสือตามรอยพระพุทธบาท รวมเล่ม 3

ในเรื่องนี้ตาม “หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย” โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ กล่าวว่า...

"...ในยุคที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มากที่สุดคือในสมัย พระเจ้ากนิษกมหาราช แห่งราชวงศ์กุษาณะ พ.ศ. ๖๒๑ – ๖๔๔ พระ องค์มีเมืองหลวง ๒ แห่ง คือที่ ปุรุษปุระ ปัจจุบันคือ "เปชวาร์" ของปากีสถาน และเมือง ชาลันธร หรือ "จาลาลาบาด" ใน "อัฟกานิสถาน" ปัจจุบัน

ในยุคนี้ได้มีการสร้างพระอารามเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย รวมทั้งพระพุทธรูปยืนที่ หุบผาบามิยัน ด้วย (ห่างจากกรุงคาบูล เมืองหลวง ๑๔๕ ไมล์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนหลังถูกพวกนักรบตาลีบันทำลายด้วยปืนใหญ่) และในสมัยของพระองค์ได้เป็นองค์อุปถัมภ์การทำ "สังคายนาครั้งที่ ๔" ที่ "ชาลันธร" หรือ "จาลาลาบาด" ด้วย (บางตำราว่าที่ "แคว้นกัศมีระ")

พระพุทธศาสนาที่เข้ามาใน "อัฟกานิสถาน" นักปราชญ์ส่วนมากเชื่อกันว่า เริ่มสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ราว พ.ศ. ๒๓๔ โดยพระองค์ได้ส่งพระธรรมทูต ๙ สายออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะสายที่ ๒ โดยการนำของ พระมัชฌันติกเถระ พร้อมคณะได้เดินทางไป "กัศมีระ" และ "คันธาระ" (ซึ่งได้สืบต่อพระพุทธศาสนาจนถึงสมัย "พระเจ้ามิลินทร์" และ "พระนาคเสน" อีกด้วย ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐)

พระมหาเถระองค์นี้ตามประวัติ ท่านเป็นศิษย์สายตรงของ พระอานนท์ และ "อาณาจักรคันธาระ" ก็ไม่ไกลจาก "อัฟกานิสถาน" และบางครั้งอาณาจักรก็ขยายครอบไปถึง "อัฟกานิสถาน" ด้วย พระพุทธศาสนาจึงเป็นที่รู้จักของชาวอัฟกัน ตั้งแต่นั้นมา

วาระสุดท้าย
พระพุทธศาสนาได้เข้าถึงยุคอวสาน เมื่อพระศาสดา “นบีมูหัมหมัด” สถาปนาศาสนาอิสลามขึ้นที่ ซาอุดิอารเบีย ต่อมาสาวกก็เริ่มเผยแพร่ศาสนาโดยวิธีรุนแรง โดยตั้งกองทัพเข้าโจมตีหลายแห่ง เช่น ยุโรป ยึดได้ กรีก สเปน อิตาลี จนถึงครึ่งหนึ่งของยุโรป แต่ต่อมาก็ถูกตีโต้กลับ

เมื่อสมรภูมิทางยุโรปหยุดชะงัก จึงเข้าโจมตีอาฟริกาเหนือ ยึดได้ ลิเบีย อียิปต์ โมร็อกโค ต่อจากนั้นก็เดินทัพเข้าโจมตีเอเชียใต้ ยึดได้เมโสโปเตเมีย (อิรัก) ยึดเปอร์เซีย (อิหร่าน) แม้นว่าชาวเปอร์เซียที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ จะพยายามต่อสู้อย่างกล้าหาญแต่ท้ายสุดก็พ่ายแพ้กองทัพมุสลิม จึงยึดอาณาจักรเปอร์เซียได้เด็ดขาดราว พ.ศ. ๑๒๐๐

เมื่ออาณาจักรเปอร์เซียแตก อัฟกานิสถานซึ่งอยู่ด้านบนจึงเป็นเป้าหมายต่อไป กองทัพมุสลิมได้เข้าโจมตีอย่างหนัก สุดท้ายอาณาจักรพุทธศาสนาใน "อัฟกานิสถาน" ก็พังพินาศ วัดวาอารามพระสงฆ์จึงถูกทำลายลงหมด แม่ทัพมุสลิมที่เข้าโจมตีอัฟกานิสถาน มีนามว่า โกไลบาเบน ๑ ได้บังคับให้พุทธศาสนิกชนฮินดู และปาร์ซีนับถืออิสลาม

ในช่วงต้นอาจจะเป็นเพราะถูกบังคับ แต่เมื่อผ่านไปหลายรุ่น พวกเขาจึงเป็นอิสลามศาสนิกชนเต็มตัว แต่พุทธสถานบางแห่งยังพอหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า บรรพบุรุษชาวอัฟกันนับถือพุทธศาสนามาก่อน..."

บทวิเคราะห์ของท่านก็มีเพียงแค่นี้ แต่ที่สำคัญที่สุดและแปลกที่สุด นั่นก็คือมีข่าวจาก คุณคณานันท์ ทวีโภค แจ้งว่าได้พบภาพนี้ทางอินเตอร์เนต คือเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่บน ก้อนหินดำ ในวิหารกาบะ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย ตามที่อิสลามิกชนทั้งหลาย จะต้องขวนขวายเดินทางไปกราบไหว้ก้อนหินดำอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ตามที่คุณคณานันท์เล่าให้ฟังว่า ได้ดูรายการ "เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก" แล้วจึงได้รู้ว่า "แท่งหินดำ" นี้มีคนไหว้คนบูชากันมาก่อนจะตั้งศาสนาอิสลามนานแล้ว ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง ที่มีคนเคารพนับถือทั้งตะวันออกกลางมาแต่โบราณกาล

จึงทำให้มีข้อคิดว่า ดินแดนที่ พระถังซำจั๋ง จาริกนั้น ได้พบกับ รอยพระพุทธบาท หลายแห่ง ต่อมาก็ได้ถูกทำลายไปอย่างที่กล่าวแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า ปูชนียสถานเหล่านี้ อาจจะมีการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะรอยเท้าขนาดใหญ่นี้ มีลักษณะที่แตกหักแล้วนำมาต่อกันไว้

ซึ่งก่อนที่พระถังซำจั๋งจะเดินทางเข้ามานั้น ได้มีคณะสงฆ์จีน ๒ ชุด ที่เดินทางเข้ามาตอนเหนือของอัฟกานิสถานคือ พระฟาเหียน ได้ออกจาริกแสวงบุญจากแผ่นดินจีนตั้งแต่ พ.ศ. ๙๔๒ ท่านได้เขียนรายงานไว้ในจดหมายเหตุของท่านว่า

“ที่แคว้นอุทยาน (ตอนเหนือของอัฟกานิสถาน และปากีสถาน) มีสังฆาราม ๕๐๐ แห่ง พระสงฆ์เป็นฝ่ายหินยานทั้งหมด มี รอยพระพุทธบาท อยู่แห่งหนึ่ง และสถานที่อีกแห่งที่เชื่อกันว่า พระพุทธองค์เคยตากผ้าไว้ เป็นศิลาสูง ๔๐ ศอก และที่แคว้นปุรุษปุระมีวัดมากมาย มีวัดใหญ่แห่งหนึ่งมีพระสงฆ์ ๗๐๐ รูป พระเจ้ากนิษกะได้สร้างสถูปหลายแห่งไว้เป็นที่สักการะ นอกนั้นยังมีบาตรของพระพุทธองค์อยู่ที่นี่ด้วย”

ต่อมาในยุคสมัยที่ พระถังซำจั๋ง หรือ พระเฮี้ยนจัง เดินทางมาราว พ.ศ. ๑๑๗๒ (ค.ศ.๖๒๙) เพื่อไปศึกษาและอัญเชิญพระธรรมคัมภีร์ ที่ขาดแคลนในเมืองจีน เวลานั้น พระเจ้าถังไทจง พระองค์นี้ เป็นปฐมกษัตริย์จีนที่ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด

พระถังซำจั๋งเดินทางออกจากด่านเง็กนิ่งกวน ข้ามทะเลทรายมกฮ่อเอี๋ยง ผ่านเมืองอีอู๊ (ฮามิ อยู่ในมณฑลซินเกียง) ผ่านแคว้นเกาเชียง แล้วผ่านการาชาร์ แคว้นคุจี ข้ามเทือกเขาเทียนซาน ผ่านทะเลสาปอิสสิกุล แล้วผ่านเข้าเตอรกีสถาน ผ่านแคว้นต่างๆ มีแคว้นสมารกันด์ เป็นต้น เข้า "อัฟกานิสถาน" สู่ "อินเดีย"

ท่องเที่ยวศึกษาพระธรรมวินัย และกราบไหว้พระพุทธรูป พระพุทธบาท และพระบรมธาตุเจดีย์อยู่ในอินเดีย จนถึง พ.ศ. ๑๑๘๘ (ค.ศ. ๖๔๕) จึงกลับคืน นครซีอาน ท่านเดินทางกลับในเส้นทางเดิม บันทึกของพระถังซำจั๋งมีชื่อว่า “ไต้ถังไซฮกกี่” แปลว่า บันทึกเรื่องประเทศตะวันตก สมัยมหาราชวงศ์ถัง ถือว่าเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่า และดังที่สุดในสมัยนั้น..."

*************************






webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2041
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved