ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 27/6/08 at 05:08 Reply With Quote

บันทึกประวัติ "การระลึกชาติ" ของบุคคลทั่วโลก



สารบัญ...
ประวัติความเชื่อหลังความตาย
ผู้ระลึกชาติได้มีอีกหลายประเทศ
ปรากฏการณ์ก่อนความตาย - การถอดจิต
ดาราหนังสหรัฐระลึกชาติ
ผีเอลวิสกลับบ้าน
ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่
การระลึกชาติได้
วิญญาณพยาบาท
วิญญาณห่วงหลาน
ผีผ่าตัด





ประวัติความเชื่อหลังความตาย


ความรู้ที่ลี้ลับที่จิตสัมผัสได้ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณในอีกระดับหนึ่ง ที่อยู่ต่างโลกต่างมิติ ไม่ใช่และไม่เกี่ยวกับศาสนา หรือคำสั่งสอนของศาสนา ที่เป็นเรื่องของมนุษย์กับพฤติกรรม ในสังคม และความรู้ที่ว่าไม่สามารถที่จะได้มาด้วยการปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศาสนา ด้วยการเข้าวัดเข้าวา ด้วยการเป็นนักบวชหรือพระ แต่ได้มาจากการสัมผัสกับจักรวาลแห่งจิตจากภายในของแต่ละคน

"เฮโรโดตัส" บิดาแห่งประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ชาวกรีก นับว่าป็นบุคคลแรก ที่ได้บันทึกการเดินทางและเรื่องราวต่างๆอย่างเป็นระบบ เป็นผู้เดียวที่ได้บรรยายความวิจิตรพิสดาร ของปิรามิดแห่งกูฟู ที่อียิปต์ และเปรียบเทียบกับหอคอยแห่งบาเบล ในเมโสโปเตเมีย ทั้งสองได้ถูกสร้างขึ้น ในยุคใกล้เคียงกัน แต่น่าเสียดายที่หอคอยแห่งบาเบล

เล่ากันว่า พระราชาได้บังคับเอาเลือดเนื้อของทาสและประชาชนผู้ยากไร้ มาก่อสร้างหอคอยที่วิจิตรพิสดารที่สูงเสียดฟ้า ด้วยความประสงค์ที่จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า แต่พระเจ้าไม่พอใจ หอคอยแห่งบาเบลจึงได้ถูกทำลายไปเมื่อประมาณ 2,200 ปี เสียก่อน

ในระหว่างที่อียิปต์ในสมัยรัชกาลสุดท้าย เฮโรโดตัสบันทึกไว้ว่า รอบๆบึงเล็กในอาณาเขตของวัดแห่งซาอีส อันเป็นสถานที่ต้องห้าม ในยามค่ำคืน พระและสานุศิษย์ได้สาธิตจำลองการเดินทาง และประสบการณ์ของเทพโซิริสผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ นั่นคือ ประสบการณ์ของชีวิต การเกิด การตาย และการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ทั้งหมดเป็นศาสตร์ลี้ลับที่สุดของอียิปต์


นักประวัติศาสตร์โบราณเข้าใจ และพอที่จะอธิบายได้ดังนี้ ในรูปจำลอง ฟาโรห์แรมซีนีตัส ได้ถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่เป็นพระอดีตกาลร่วมสามพันปีมาแล้ว จิตวิญญาณหลังจากออกจากร่างก็อยู่ในลักษณ์ โปร่งแสง เช่นรูปกายเดิม แต่รูปกายที่เป็นเนื้อหนังภายนอกผุพังเสื่อมสลายบ้างก็กลายเป็นร่างของพืช บ้างก็กลายเป็นร่างของสัตว์ต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนสภาพในตลอดช่วงของเวลา 3,000 ปีนั้นๆ

ส่วนจิตวิญญาณก็ได้เดินทางไปในนรก รับโทษทัณฑ์จนหมดสิ้น ด้วยการกลับกลายเป็นสัตว์ชั้นต่ำจากชนิดหนึ่งเป็นอีกชนิดหนึ่ง ทนทุกข์ทรมาน เมื่อครบเวลา 3,000 ปี จิตวิญญาณก็เป็นอิสระ และรวบรวมเอาอนุภาคที่เป็นส่วนต่างๆ ที่เคยเป็นส่วนของร่างตนเองก่อนที่จะถึงแก่ความตายในอดีต ที่อยู่ในร่างใหม่และสถานที่ใหม่ต่างๆ กันเข้ามาไว้ด้วยกัน จากนั้นก็สร้างรูปใหม่ด้วยพลังงานที่เป็นเช่นนิสัย เหมือนพลังจิตที่นกใช้สร้างรังตน กลายเป็นร่างใหม่และเกิดขึ้นมาใหม่

ประวัติที่เล่าถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากอดีตที่ยาวนานของชนเผ่า และเชื้อชาติต่างๆ ทั่วโลก มีบันทึกไว้มากมาย น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะเป็นนิยายปรัมปราของชนเผ่าไหนก็ตาม เนื้อหาสาระที่เป็นประเด็นหลัก ล้วนคล้ายๆ หรือ เหมือนกัน ในเรื่องของเจ้าเข้าทรง หรือการนั่งทางใน เป็นศาสตร์ที่แม้ว่าบางคนจะถือเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ที่ไร้เหตุผล แต่ก็ไม่มีใครสามารถนำเหตุผลและความเป็นวิทยาศาสตร์มาตอบได้

ชนเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลียตะวันตก มีวิธีติดต่อกับคนที่ได้ตายไปแล้ว ด้วยวิธีการเข้าทรง ด้วยการสะกดจิตตนเอง และสามารถเดินทางไปพบกับผู้ตายในปรโลก ทั้งยังสามารถพูดคุยไต่ถามเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับผู้ตายหรือตอบคำถามญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้อง

ชนเผ่าอินเดียนแดงแห่งลุ่มแม่น้ำเอมะซอน เปรู เผ่าดั้งเดิมมากเผ่าหนึ่ง เชื่อว่า "เผ่าคอนนิโบ" ได้มีการเข้าทรงเจ้า จากการศึกษาโดย "ไมเคิล ฮาร์เนอร์" นักโบราณคดีแห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งอเมริกา ด้วยการที่เขาต้องยอมเข้าเผ่าโดยดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สกัดจากพืชชนิดหนึ่ง หลังจากดื่ม สักครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกเหมือนฝันไปว่า

เขาได้ล่องลอยตัวผ่านมาสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นที่อยู่ของเทวดา และภูตผีปิศาจ ปิศาจบางตัวมีหัวเป็นจระเข้กำลังอ้าปาก เขาได้เห็นสสารที่เป็นพลังงานของตนเอง ออกจากร่าง ลอยไปยังเรือที่มีหัวรูปมังกร บนเรือมีร่างมนุษย์ที่แต่งตัวเหมือนชาวอียิปต์ แต่มีหัวเป็นนกกางเขนหลายตน ทันทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายไปจากโลกอย่างช้าๆ

ขณะนั้นเองเขาก็เห็นมังกรตัวน้อยๆ มีปีก พากันมุดออกมาจากกระดูกสันหลัง และติดต่อกับเขาทางกระแสจิต บอกว่า แท้จริงแล้ว พวกมัน มังกรน้อยๆทั้งหลายนั่นเองที่เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นพิภพแห่งดาวเคราะห์ดวงที่เรียกว่าโลกนี้

แคลไวท์เชื่อว่า ในสังคมของชนที่พวกชาวตะวันตกถือว่าเป็นชนที่ไร้อารยธรรม มนุษย์ยังมีความผูกพันธ์กับธรรมชาติและจิตเป็นอิสระ ไม่ถูกจำกัด หรือถูกบังคับไว้ภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ ที่เป็นวัตถุ จิตที่เป็นอิสระจึงสามารถติดต่อกับโลกแห่งจิตที่แท้จริงแล้ว ก็เป็นโลกแห่งความจริงในอีกมิติหนึ่ง

ความเห็นของแคลไวท์ดูอธิบายความคล้ายคลึง ของผู้ที่มีประสบการณ์การพบเห็นหรือฝัน ภูตผีปิศาจและเทวดาที่มักจะเกิดกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมาตลอด และมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาวัตถุกันจนสมองไม่มีเวลาว่าง มีความผูกพันธ์กับความเป็นความตายด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์

คนที่อยูในชนบทตามชายป่าชายเขา ไม่ว่าที่ใด หรือคนที่เชื่อในสิ่งลี้ลับ จึงมักมีโอกาสที่จะพบเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เจ้าที่ ผีสางนางไม้ ได้มากและบ่อยกว่าคนที่อยู่ในเมือง ผู้ร้อนรนและรีบเร่งในการดำรงชีวิตเป็นประจำวันกับตนเองและครอบครัว จนจิตถูกบังคับอย่างสิ้นเชิง จึงยากนักที่คนในเมืองโดยทั่วไปสัมผัสกับปรากฏการณ์ทางจิต เรื่องของความตาย และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตาย คนที่ไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ แม้บางคนที่เกิดอยากจะเชื่อ อยากจะเห็นก็ยากที่จะสมประสงค์

<<< กลับสู่สารบัญ



ผู้ระลึกชาติได้มีอีกหลายประเทศ


ความเชื่อในเรื่อง "การเกิดใหม่ และ การระลึกชาติ" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบางศาสนาเท่านั้น แต่แทบทุกศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ไม่ได้สอนเรื่องการเกิดใหม่และการระลึกชาติ แต่เชื่อในเรื่อง การฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ศาสนาพุทธและพราหมณ์ เชื่อว่าชีวิตจะต้องมีการเกิด การตาย และการเกิดใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นวงจรการเวียนว่ายตายเกิด

ในเรื่องการระลึกชาติได้นั้น มีรายงานการค้นคว้าติดตาม ผู้ที่สามารถระลึกชาติได้ ในหลายประเทศ มีประสบการณ์ที่รู้เห็นได้ด้วยตนเองหลายราย

เด็กชายชาวศรีลังกา อายุ 9 ขวบ สามารถระลึกชาติได้ว่า ชาติก่อนเขาเกิดเป็นพี่ชายของพ่อของเขาในปัจจุบัน ก่อนที่พ่อเขาจะแต่งงานกับแม่ ประมาณ 10 ปีก่อน เขายังเป็นหนุ่ม และชอบสาวอยู่คนหนึ่งโดยทั้งคู่ให้สัญญากันว่า จะแต่งงานกัน แต่คู่รักของเขาเกิดเอาใจออกห่าง ไปชอบกับคนที่มีฐานะดีกว่า เขาได้พยายามขอร้องคู่รักหลายครั้งหลายหน จนการพบกันครั้งสุดท้าย ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาได้แทงคู่รักด้วยมีดปลายแหลมเข้าที่ทรวงอกด้านซ้าย เธอจึงถึงแก่ความตายในทันที

เขาถูกจับ และถูกแขวนคอตาย ด้วยเขาถือว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นจากชายที่เป็นคนที่มาทีหลังเป็นคนก่อเรื่องขึ้น ดังนั้น ก่อนตายเขาได้ตะโกนว่า เขาจะกลับมาเกิดใหม่ และตามล้างตามผลาญชายคนที่มาแย่งความรัก และเป็นต้นเหตุให้เขาต้องถูกแขวนคอ ตอนนั้นน้องชายของเขา ซึ่งก็คือพ่อของเขาในปัจจุบัน ก็ได้ไปดูการแขวนคอ และขอรับศพ เขาสามารถจดจำเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และบอกชื่อ ที่อยู่ เมื่อ 10 ปีก่อน ได้หมดโดยไม่ผิดเพี้ยน

เด็กชายผู้นี้เกิดมาด้วยมือข้างขวาตั้งแต่ข้อศอกลงมาพิการงอแข็ง มือขวากำแน่นเหมือนกับถืออะไรอยู่ นิ้วทั้งห้ายึดติดกันโดยมีผังผืดอยู่ระหว่างนิ้ว ที่คอโดยรอบทางด้านหน้า มีรอยเป็นแผลลึก เห็นเป็นเกลียวเหมือนเชือกชัดเจน ที่หน้าอกซีกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจมีแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม เหมือนกับแผลเป็นที่หายจากรอยแทงด้วยของมีคม

เด็กชายชาวอเมริกัน อายุ 4 ขวบ สามารถระลึกชาติได้ว่าชาติก่อนเขายิงตัวตาย ที่ขมับขวาและกระสุนทะลุออกมาทางขมับซ้าย เขาให้รายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุการตัดสินใจยิงตัวตาย ซึ่งได้รับการยืนยันจากพ่อแม่เด็กในชาติก่อน ที่อยู่คนละรัฐกับเด็กที่เกิดในชาติปัจจุบัน ได้ไม่ผิดเพี้ยน เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับแผลเป็นที่ขมับทั้งสองข้าง ซึ่งแพทย์ยืนยันว่ามีลักษณะเกิดจากทางเข้าและรอยออกของกระสุนปืนเท่านั้น

ในประเทศพม่า มีการสัมภาษณ์เด็กที่ระลึกชาติได้หลายราย ว่าชาติก่อนเป็นนักบินชาวอังกฤษและอเมริกันที่เครื่องบินตก หรือถูกยิงตก และนักบินได้ถึงแก่ความตายที่พม่า ทั้งหมดเมื่อหาหลักฐาน ชื่อและที่อยู่ของนักบินเหล่านั้นก็เป็นจริง และตรงกับที่เด็กเหล่านั้นอ้าง

และที่น่าพิศวงก็คือ เด็กเหล่านั้น ทุกคนล้วนมีผิวพรรณ สีตาและสีผม ไปทางเด็กชาวตะวันตก และทุกคนมีแผลฉกรรจ์ในตำแหน่งสำคัญ ที่ตรงกับตำแหน่งจริงของนักบินผู้ที่ตาย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทางการได้บันทึกไว้ด้วย

เด็กชายชาวไทยคนหนึ่ง สามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ พออายุ 15 ก็ได้บวชเป็นเณร ด้วยความตั้งใจจะใช้ชีวิตเยี่ยงบรรพชิตในพุทธศาสนา และต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาส "วัดบางขมิ้น" ที่พระประแดง ชื่อว่า "พระปลัดโสภิต ทีฆะปาโณ" ท่านได้เล่าว่า

เมื่อชาติก่อนได้เกิดเป็นนายท้ายเรือ ทำงานอยู่กับบริษัทแม่น้ำเรือยนต์ และมีลูก 6 คน ในปี พ.ศ.2480 ภรรยาได้ป่วยหนักและตายไป ทำให้คิดมาก และหันมากินเหล้าเมา คืนหนึ่งได้ นำเรือไปรับแม่ม่ายที่รู้จักกัน เพื่อพาไปเที่ยวงานวัด แต่เกิดไปลวนลามและพยายามปล้ำ จึงถูกแม่ม่ายแทงเข้าครั้งหนึ่งที่อกด้านซ้าย แต่ไม่ตายทันที พยายามวิ่งไปที่งานวัด เพื่อขอความช่วยเหลือ และล้มลงที่นั่น

ซึ่งการกลับชาติมาเกิดใหม่นี้มีความรู้สึกกลัวผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วทุกคน เพราะจำได้ว่าถูกผู้หญิงแทงตาย ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ก็จำชื่อของลูกๆทุกคนในชาติก่อนได้ทั้งหมด และยังไปเยี่ยมลูกสาวที่บ้านเก่า ที่น่าแปลกคือ "พระโสภิต" เกิดมาพร้อมกับรอยบุ๋มคล้ายรอยแผลเป็นจากของแหลมมีคม ที่อกด้านซ้าย

การค้นคว้าวิจัยการระลึกชาติได้ยังมีอีกมากมาย หลายพันราย ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถปฏิเสธได้ และไม่เพียงแต่ศาสนาหลายศาสนาเท่านั้น เพราะยังเป็นความเชื่อของชาวเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ในที่ต่างๆของโลก เช่น อเมริกาใต้ อัฟริกา เช่น ชนเผ่าต่างๆ ในอัฟริกา แถบซีกตะวันออกของทวีป เชื่อว่า คนตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้ทั้งนั้น ชีวิตในโลกมนุษย์เป็นเพียงส่วนขยายของอดีต ไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่คิดกัน

การเกิดใหม่และการระลึกชาติ จะเกิดได้แต่ในครอบครัว หรือเผ่าพันธุ์ที่ร่วมสายเลือดเดียวกันมาก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ ชนบางเผ่า เช่น "พวกซิมบับเว" เชื่อว่า คนที่เกิดใหม่และระลึกชาติได้จะต้องเกิดเป็นเพศตรงกันข้ามกับเพศเดิม ขณะที่ "ชาวเผ่าเซเนกัล" เชื่อว่า คนเราเมื่อตายแล้ว สามารถไปเกิดใหม่ได้ 4 ครั้งสำหรับผู้ชาย และ 3 ครั้งสำหรับผู้หญิง...

<<< กลับสู่สารบัญ



ปรากฏการณ์ก่อนความตาย - การถอดจิต

"การตาย" โดยเฉพาะปรากฏการณ์และความรู้สึกเมื่อใกล้จะตาย หรือก่อนที่ความตายจะมาเยือนจริงๆ ในด้านของจิตวิทยาที่มีการรวบรวม จากคนจำนวนหนึ่งที่หมดสติตอนใกล้ตายแล้ว กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาชั่วคราวก่อนจะตายไปจริง หรือบางทีก็อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ที่เล่าให้แพทย์หรือผู้ใกล้ชิดฟัง

พันเอกเสนาะได้เล่าว่าเขาได้รับการวินิจฉัยว่าได้ "ตายไปแล้ว" โดยแพทย์ถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกแพทย์ประจำโรงพยาบาล ตอนที่ยังรับราชการอยู่ที่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือ เมื่อพ.ศ.2503 ในครั้งนั้นเขาได้ตายไป 12 ชั่วโมง

พันเอกเสนาะเล่าว่าเขารู้สึกตัวว่า ได้ออกจากร่างในสภาพของร่างที่มองดูโปร่งแสง แต่ต่อมาก็รู้ว่าแต่งกายเครื่องแบบทหาร กำลังเดินตามทางที่เต็มไปด้วยหมอก ทั้งสองข้างมีหญ้าสีเขียว เขาเดินไปตามเสียงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร แต่รู้สึกมีอำนาจมาก สักครู่เขาก็รู้สึกกระหายน้ำ และมีผู้คนเอาผลไม้ และน้ำมาให้ดื่ม ซึ่งทันทีที่เขาดื่มก็มารู้สึกตัวกลับมาอยู่ในร่างเดิม

การตายครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 8 มีนาคม 2527 ขณะที่แพทย์พระมงกุฎกำลังทำการล้างไต ที่เขาจะต้องมาทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เขาสิ้นสติไป คณะแพทย์ที่ให้การรักษาบันทึกว่าตาย ในเวลา 8.30 น. พันเอกเสนาะเล่าว่า เขาออกจากร่าง เข้าไปนอนในโลง หรือแผ่นแก้วที่ใสสะอาด และล่องลอยไปตามทางที่มีหมอกปกคลุม และผ่านไปในระดับของมิติที่เขาคิดว่าเป็นนรก และสวรรค์ชั้นต่างๆ

เขาได้เห็นผู้คนที่เขารู้จักดีที่ได้ตายไปแล้ว อยู่ตามสถานที่นั้น แต่ที่แปลกก็คือเขาได้พบเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน ถึงสิบคนที่ เขารู้ดีว่า ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดนอนบนเตียงไม้ เพื่อนๆพอเห็นเขา ต่างก็ร้องขออาหาร บอกว่าไม่พอจะกิน เพื่อนคนหนึ่งมีร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือด เขาเล่าว่าเขาล่องลอยไปเรื่อยๆ จนพบแสงสว่างที่จ้ามากๆ

และมีเสียงพูดว่าเขายังไม่ถึงเวลาตาย เวลาที่เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนคือ 16 มิถุนายน 2530 และขอให้เขากลับไปยังโลก และบอกให้เขาปฏิบัติตนอยู่ในศีล ในธรรม และขอไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาได้สติกลับมาอีกครั้ง ในเวลา 19.05 ของค่ำวันเดียวกัน

แล้วเขาก็ไปหาเพื่อนทั้งสิบคน มีเพียงคนหนึ่งที่เชื่อและ หันกลับมาเข้าวัด ทำบุญเป็นประจำ ส่วนอีก 9 คน ต่างไม่เชื่อ ทุกคนทั้งเก้าต่างทยอยกันเสียชีวิต ภายในระยะเวลาไม่นานนัก คนหนึ่งประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรง ตายไปโดยร่างเต็มไปด้วยเลือด ส่วนเพื่อนที่เชื่อเขา นอกจากจะไม่ตาย แล้วยังเจริญขึ้นเรื่อยๆ พันเอกเสนาะถึงแก่กรรม เมื่อ 13 มิถุนายน 2530 ตรงกับวันวิสาขบูชา เพียงสามวันก่อนตาย ที่เขารู้และบอกเอาไว้ล่วงหน้า

ในปี ค.ศ.1940 "คาร์ล จุง" มีอายุได้ 70 ปี เขาเกิดหมดสติลงกะทันหัน ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวฉับพลันที่โรงพยาบาล ในอัฟริกาใต้ และแพทย์ลงความเห็นว่า เขาได้ตายไปแล้ว จุงบอกว่าเขาได้เห็นร่างของตนเองโปร่งแสง ล่องลอยผ่านทางเดินหรืออุโมงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และเขาได้พบแพทย์ที่รักษาเขาอยู่ในร่างที่โปร่งแสงเหมือนกัน

ต่อมาเขาได้ยินเสียงบอกกับเขาว่า เขายังไม่ถึงเวลาตาย ให้กลับไปได้แล้ว เมื่อเขาฟื้นสติขึ้นมา มีแพทย์ที่รักษาเขากับพยาบาลยืนห้อมล้อมรอบเตียงเขา เขาเล่าให้ทุกคนฟังแต่ ไม่มีใครเชื่อเขา เพียงไม่กี่สัปดาห์ แพทย์ที่รักษาเขานั้น เสียชีวิตด้วยโรคโลหิตเป็นพิษติดเชื้อ ส่วนจุงเขามาเสียชีวิตเอาจริงๆ เมื่อ 16 ปีต่อมา

เรื่องพวกนี้ หากรวมกับเรื่องปรากฏการณ์ทางจิต เช่น การมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เรื่องผี อำนาจจิต ล้วนไม่ใช่สิ่งแปลกตาแปลกใจ คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับตนเอง เมื่อ ค.ศ.1974 จากการสำรวจ "แกลลัพ โพลล์" ที่สหรัฐอเมริกา พบว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของผู้สำรวจ เชื่ออย่างจริงจังว่าเป็นเรื่องจริง

คนที่เชื่อนั้นเป็นคนสำคัญ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เช่น อับราฮัม ลิงคอล์น , วินสตัน เชอร์ชิลล์ , แกลดสโตน , จีเซฟ เจอริบาลดี , อัพตัน ชินแคลร์ , ลีโอ ตอลสตอยด์ , เป็นจามิน แฟรงกลิน , จิมมี่ คาร์เตอร์ และแซ็งซองค์

ปรากฏการณ์ใกล้ตาย ที่มีผู้คนเล่าเอาไว้ในคัมภีร์ และบันทึกทั้งหลาย สามารถเกิดกับผู้คนทุกชาติทุกภาษาทุกวัย หรือกับใครก็ได้ โดยไม่มีใครสังหรณ์ล่วงหน้า ทั้งกับคนที่เชื่อ หรือไม่เชื่อ ทั้งหมดเป็นประสบการณ์รวมๆ ที่ผู้ที่ใกล้ตายนำมาบอกเล่าหลังจากได้ฟื้นสติขึ้นมา มิได้หมายความว่า ทุกคนจะเห็นเหมือนกันหมด

บางคนอาจประสบบางเหตุการณ์ หรือไม่พบบางเหตุการณ์ ที่น่าสนใจ คือ เรื่องการชำระบาปบุญคุณโทษ เรื่องการประกอบกรรมดีกรรมชั่ว แทบทุกคนทุกศาสนา จะเห็นแสงสว่างจ้าสีขาว หรือสีทอง ดูจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความจริง หรือเป็นองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

"เค็นเน็ต ริงก์" นักจิตวิทยา ที่มีชื่อเสียงแห่ง "มหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต" ประธานสมาคมการศึกษาปรากฏการณ์ใกล้ตายนานาชาติ ได้สรุปในหนังสือชื่อ "ชีวิตตอนตาย" ว่า การตายเป็นเพียงปรากฏการณ์ของการย้ายจิตวิญญาณ การรับรู้จากโลกแห่งวัตถุ หรือโลกแห่งกายสภาพที่เป็นสิ่งแปรชั้นจากจิตของมนุษย์ ไปสู่โลกแห่งคลื่นความถี่ และพลังงาน ที่เป็นโลกแห่งความจริง

ในช่วงสองทศวรรษมานี้ ทั่วโลกตื่นตัวในด้านการศึกษาค้นคว้า และวิจัยพลังงานทางจิตอย่างเป็นระบบกันมาก ต่อมา "เรมอนด์ มูดดี้" จิตแพทย์และนักปรัชญา ได้รายงานการวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และรวบรวมปรากฏการณ์รายงานจากผู้ที่ใกล้ตาย จนกลายเป็นหนังสือขายดี ในชื่อเรื่องว่า ชีวิตเบื้องหลังชีวิต มูดดี้เชื่อว่า ปรากฏการณ์ที่ผู้ใกล้ตายประสบมาเป็นเรื่องจริง

สตรีรายหนึ่ง หัวใจได้เกิดหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างการผ่าตัดหัวใจในโรงพยาบาล ชั่วขณะนั้น คลื่นหัวใจ หรืออีเคจี หายไปหมด กลายเป็นเส้นราบ แพทย์ได้พยายามให้ความช่วยเหลือ จนสุดความสามารถ และประสบความสำเร็จในไม่กี่นาทีต่อมา และการผ่าตัดก็ดำเนินไปจนเรียบร้อยทุกประการ เธอเล่าให้มูดดี้ฟังว่า

ในระหว่างการผ่าตัด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอรู้สึกตัวว่าได้ออกจากร่าง และมองเห็นแพทย์และพยาบาล ในห้องผ่าตัด กำลังทำการรักษาเธอด้วยเครื่องไฟฟ้า และครู่หนึ่งเธอก็ได้ลอยผ่านผนังห้องออกไปข้างนอก ไปสู่ห้องหนึ่งที่จัดเป็นห้องรับแขก หรือสำหรับญาติผู้ป่วยนั่งคอย เธอมองเห็นลูกสาวของเธอนั่งอยู่กับคนเลี้ยง โดยแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและกระโปรงไม่เข้าชุดกัน หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา

เธอได้ต่อว่าคนเลี้ยงเด็กที่ไม่เอาใจใส่ปล่อยให้เด็กแต่งตัวอย่างไม่ถูกต้องในที่สาธารณะเช่นนั้น ซึ่งทำให้คนเลี้ยงเด็กตกใจมาก เพราะสตรีผู้นั้นสามารถให้รายละเอียดการแต่งตัวเสื้อผ้าได้อย่างถูกต้องทั้งหมด ทั้งๆ ที่เธอไม่มีทางรู้ได้เลย

ในรายงานของ "มูดดี้" มีผู้ที่ใกล้ตายบางราย ที่แม้จะต้องจากโลกไปจริงๆ แต่กลับได้รับอนุญาตให้กลับมาได้อีกดังเช่น ชายคนหนึ่งที่ได้เดินทางไปสู่แสงที่สว่างจ้าแต่อบอุ่น เขาได้ประสบกับผู้ที่ทรงความรักและเมตตาอย่างยิ่ง เขาได้รับคำชี้แจงว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องจากโลกนี้ไปอย่างแท้จริงแล้ว ซึ่งทำให้เขาเสียใจมากจนต้องร้องไห้ออกมา

เขาบอกว่า เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องจากโลก แต่เขาเป็นห่วงหลานชายคนเดียวที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่ ซึ่งเขามีภาระที่ต้องเลี้ยงดู หากว่าเขาไม่กลับไป ภรรยาของเขาที่พิการคงไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเหตุผลของชายผู้นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของตน เขาจึงได้รับอนุญาตให้กลับมายังโลกได้อีก

มีรายงานที่น่าสนใจ รวบรวมไว้โดย "โอซิสและเฮอร์ราลส์สัน" อยู่หลายราย ซึ่งรายหนึ่ง ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง คือ รายสตรีที่หัวใจวายกะทันหันระหว่างการผ่าตัด และเช่นเคยแพทย์พยายามช่วยชีวิตด้วยเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ เช่นเครื่องกระตุ้นปอดหัวใจ ที่มีอีเล็คโตรด ในระหว่างเวลาหลายนาทีที่หัวใจของผู้ป่วยหยุด และการทำงานของคลื่นหัวใจ และคลื่นสมองเป็นเส้นตรง ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลานั้น ผู้ป่วยได้เล่าในตอนหลังเมื่อฟื้นขึ้นมาว่า

เธอรู้สึกว่าได้ออกจากร่าง และไปกึ่งยืนกึ่งลอยตัว อยู่หน้าเตียงผ่าตัด และได้เห็นอย่างชัดเจนว่า แพทย์พยายามช่วยชีวิตเธออย่างไร ที่น่าแปลก คือ สตรีผู้นี้เป็นแม่บ้านที่ไม่ได้รับการศึกษาสูงเท่าไรนัก แต่เธอมีความจำเป็นเลิศ ในระหว่างการทำงานของแพทย์ได้มีการออกคำสั่งและการพูด ซึ่งส่วนมากเป็นภาษาเทคนิคทางการแพทย์ เธอยืนดูอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเป็นคำสั่งที่เธอขัดไม่ได้ ให้เธอกลับเข้าสู่ร่าง

เธอเล่าให้แพทย์และพยาบาลฟัง ทุกคนประหลาดใจมาก เพราะเธอสามารถอธิบาย และพูดภาษาทางเทคนิค ได้อย่างถูกต้อง และยิ่งกว่านั้นแม้คำพูดที่แพทย์และพยาบาลโต้ตอบกัน เธอก็สามารถจำได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญระหว่างนั้น คลื่นหัวใจของเธอยังเป็นเส้นราบอยู่ตลอดเวลา

"คิมเบอร์ลี่ คล้าร์ค" นักสังคมสัมพันธ์แห่ง "โรงพยาบาลซีแอตเติ้ล" เล่าว่าเธอได้คุยกับสตรีผู้หนึ่งที่รอดตายจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ ด้วยการช่วยเหลือของแพทย์ สตรีผู้นั้นชื่อมาเรีย เธอได้เล่าว่า หลังที่หัวใจได้หยุดลง เธอรู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่บนเพดานห้อง และมองลงมาเห็นหมอและนางพยาบาลกำลังช่วยเธอ

ในขณะที่บางสิ่งเกิดขึ้นที่ระเบียงทางเดินห้องฉุกเฉินที่ทำให้เธอต้องละความสนใจ และทันทีที่เธออยากรู้อะไรที่ทางเดินสู่ชั้นสามตัวของเธอก็ได้ปรากฏที่นั่นทันที เธอได้เห็นรองเท้าเทนนิสข้างหนึ่งวางอยู่บนหิ้งระเบียงแคบนอกห้องพักผู้ป่วย รองเท้าเก่าข้างนั้นมีรอยขาดตรงตำแหน่งนิ้วก้อย และเชือกผูกรองเท้าข้างหนึ่งไปพันติดแน่นอยู่ที่ส้นรองเท้า

เมื่อเล่าถึงตอนนี้เธอให้คล้าร์คไปดู ว่าที่เธอเห็นเป็นจริงหรือไม่ คล้าร์คไม่อยากขัดใจ จึงวิ่งไปดูให้ ปรากฏว่าเป็นจริงตามที่มาเรียพูดทุกประการ คล้าร์คบอกว่ามาเรียจะไม่มีทางเห็นได้ชัดเจนเช่นนั้น นอกจากเธอจะลอยตัว ได้และออกไปที่ระเบียงแคบนอกห้องพักนั้นได้จริงๆ

ที่มา.. "ชีวิตหลังตาย" วิเคราะห์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
โดย..นายแพทย์ประสาน ต่างใจ


<<< กลับสู่สารบัญ



ดาราหนังสหรัฐระลึกชาติ

ดาราภาพยนต์ชื่อดัง "เกลน ฟอร์ด" ผู้เคยแสดงนำภาพยนต์ชั้นเยี่ยมของ "ฮอลลีวู๊ด" มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง เช่น "เสือปืนไว" "ซากุระวันเพ็ญ" ทำเอาผู้ชมทีวีสหรัฐตะลึงงัน เมื่อถูกสะกดจิตและเล่นเปียโนได้ เป็นที่อัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีโน๊ตดนตรีสักตัว

นี่คือหลักฐานสำคัญที่สุดอันหนึ่งในการพิสูจน์ว่า คนเราสามารถระลึกชาติได้ ดร.มอริช เบนจามิน นักสะกดจิตเรืองนามแห่งลอสเอนเจลีส กล่าว

การแสดงเริ่มด้วยการที่ดาราภาพยนต์รุ่นลายคราม พูดภาษาสก๊อตเป็นน้ำไหลไฟดับ เขาเล่าว่า เขาเคยชื่อ "ชาร์ล สจ๊วต ครูสอนดนตรี ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ.1774 - 1812 เมื่อมีผู้ขอให้แสดงความสามารถทางดนตรี เขาก็ลงมือแสดงเปียโนอย่างคล่องแคล่ว เป็นเวลาถึง 5 นาทีเต็ม

ก่อนหน้านี้นิดหน่อย เขาพูดฝรั่งเศสเป็นต่อยหอย เขาอ้างว่า เขาเคยเป็นทหารในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จนกระทั่งเสียชีวิตเพราะการดวลดาบ

เขาเปิดหน้าอกให้ดูจุดที่ถูกปลายดาบเสียบแสง ครั้นเมื่อเขาหายจากการถูกสะกดจิต ดร.เบนจามิน ขอดูตำหนิที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เขาเปิดเสื้อให้ดูปานแดงตรงหน้าอกด้านขวา ที่เคยบอกเมื่อตอนที่ถูกสะกดจิตว่าถูกแทง "ปานแดง" ชนิดนี้ มักจะปรากฏอยู่ในร่างกายผู้เสียชีวิต เพราะอุบัติเหตุในชาติก่อน

เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านภาษานำเอาคำพูดของ "เกลน ฟอร์ด" ที่อัดไว้ไปศึกษา ก็ปรากฏว่าคำพูดที่เขาใช้พูดกันในศตวรรษที่ 14 จริงๆ

ที่มา...คุณรอย แจ่มจรัส

<<< กลับสู่สารบัญ



ผีเอลวิสกลับบ้าน


เรื่องวิญญาณและผีหรือ "คนระลึกชาติ" ได้ที่กล่าวมาแล้ว มีแต่เรื่องของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา ทีนี้เรามาลองฟังเรื่อง ของคนที่นับถือศาสนาคริสต์ดูบ้างว่า เมื่อตายไปแล้วมีผีหรือวิญญาณ ปรากฏแก่ผู้อยู่ข้างหลังหรือไม่

เรื่องผีของ "เอลวิส" กลับบ้านนี้ "ท่านฐิตวัณฺโณ ภิกขุ" เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง "ตายแล้วไปไหน" ของท่านอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านบอกว่า คัดมาจาก "หนังสือพิมพ์แนวหน้า" ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ซึ่งแปลมาจากนิตยสาร "เอ็นไควเรอร์" อีกที

เรื่องวิญญาณประหลาดที่จะเล่าให้ฟังนี้ เป็นวิญญาณที่ปรากฏตัว ของอดีตนักร้องราชาร็อก แอนด์ โรลล์ "เอลวิส เพรสลีย์" ผู้โด่งดังในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการเพลง โดยที่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใด ชื่อของเขา จะเลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนเพลง

วิญญาณของเอลวิส ได้ปรากฏร่างขึ้นที่คฤหาสน์ "เกรซแลนด์" ต่อหน้าอดีตภรรยา ลูกสาว น้าสาว และบรรดานักท่องเที่ยว ที่มีตั่ว เข้าไปชมความโอฬารในบริเวณคฤหาสน์ของอดีตนักร้องก้องโลกคนนี้

เอลวิสได้ปรากฏในร่างชุดขาวมีแสงเรือง ๆ รอบตัว สีขาวเป็นสีที่เขาโปรดปราน และมีลักษณะอ่อนโยน ยิ้มแย้มด้วยความรัก และเป็นมิตร บรรดาญาติมิตรสหายผู้คนที่ได้เห็นวิญญาณ ของอดีตราชาร็อก ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า "วิญญาณเอลวิส" จะปรากฏให้ผู้คนเห็นแทบทุกอาทิตย์ ที่คฤหาสน์เกรซแลนด์ พนักงานภายในคฤหาสน์เล่าให้ฟัง และยังเล่าต่อไปอีกว่า

"วิญญาณของเขาปรากฏร่างบ่อยและถี่ยิบยิ่งขึ้น เมื่อลูกสาวเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดคือ "ลิซา มารี เพรสลีย์" กลับมาพักที่คฤหาสน์เกรซแลนด์"

ว่ากันว่าในด้านส่วนตัวของเอลวิสเอง เมื่อขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะเชื่อถือ ในเรื่องของวิญญาณ และการตาย แล้วเกิด สามารถกลับมาได้อยู่

"ฉันยังจำได้ดี เอลวิสเคยบอกไว้ว่า ถ้าเขาตายจากโลกนี้แล้ว เขาจะทำหน้าที่เป็นเทวดาคอยคุ้มครองลูกรัก "ลิซา มารี" ตลอดไป" แม่เลี้ยงของเอลวิสเล่าเรื่องราวให้ฟัง

"พริสซิลา" ม่ายสาวอดีตภรรยาของเอลวิส ก็เล่าให้บรรดาเพื่อนฝูงฟังว่า ตัวเองก็เคยประสบกับ วิญญาณเอลวิส อย่างจังเบอร์ ในขณะที่นอนหลับสนิทในเที่ยงคืนวันหนึ่ง เธอแว่วเสียงม้าในคอกร้อง เมื่อสะดุ้งตื่น มองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นเอลวิส ในชุดขาวเรือง ๆ ที่คอกม้าซึ่งเป็นสถานที่เอลวิสโปรดปรานมาก สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

ทางด้านลิซ่า มารี ลูกสาวคนเดียว ซึ่งเป็นลูกรักสุดสวาทขาดใจ และเป็นทายาทสาว ที่รับมรดกมหาศาลแทบจะนับค่าไม่ถ้วน มาจากเอลวิส ก็เล่าเรื่องวิญญาณของพ่อให้กับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนฟัง

"ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมบ้านที่เกรซแลนด์ ลิซามีความรู้สึกว่าเอลวิสได้เฝ้าดูแลอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา และบางครั้งก็เห็นพ่อ อยู่ในชุดขาว ยิ้มแย้ม และบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น พ่ออยู่กับหนูตลอดไปที่นี้"

โดยเฉพาะคืนวันหนึ่ง ลิซาตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นเอลวิสยืนอยู่ปลายเท้าขางเตียงมองมายังเธอ ด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับบอกว่า

"ไม่ต้องกลัวลูกรัก...พ่ออยู่ที่นี่...พ่ออยู่ที่บ้าน"

การพูดของเอลวิสที่บอกต่อเธอนั้น เหมือนกับเนื้อเพลง "แดดดี้ โฮม" อันเคยโด่งดังเพลงหนึ่งซึ่งมีเนื้อร้องว่า "Don't afraid baby…daddy's home…daddy's home…" ("ด้อนทอะเฟร็ด เบบี้ ...แดดี้ส โฮม, แดดดี้ส โฮม...")

นอกจากนี้ยังมีผู้ที่พบกับวิญญาณเอลวิสมากมาย ซึ่งล้วนแต่ผู้ที่บอกเล่าเชื่อถือได้ทั้งสิ้น อาทิ "เดลตา เมล์ บิกก์" น้าสาวเอลวิส ซึ่งปัจจุบันนี้ เป็นผู้ดูแลคฤหาสน์เกรซแลนด์ หรือนัยหนึ่ง ยังคงทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ดูแลรักษาผลประโยชน์ ของคฤหาสน์แห่งนี้

เดลตา เมล์ บิกก์ เล่าว่า เคยเห็นวิญญาณเอลวิสด้วยตนเองสองครั้ง ครั้งแรกเห็นเอลวิสในชุดขาว ที่สวนข้าง ๆ รูปปั้น พระเยชูหินอ่อน โบกมือไปมาหันหน้ามาทางคฤหาสน์

ส่วนครั้งที่สอง เอลวิสปปรากฏตัวในชุดขาวสวยงามเช่นเคย แต่คราวนี้เขารูปร่างหนุ่มรูปหล่อ แข็งแรง และยิ้มแย้ม หนนี้เธอได้ยินเสียงพูดด้วย โดยเอลวิสพูดว่า

"ขอให้ทุกคนไม่ต้องห่วง ข้าพเจ้ากลับมาเกรซแลนด์ เพื่อดูแลสถานที่อันเป็นที่รักของพวกเรา ข้าพเจ้ารักพวกเราทุกคนที่นี้ และต้องการให้พวกเราทุกคนรับรู้ไว้ว่า ข้าพเจ้าได้จากพวกเรามาด้วยความสงบและสันติสุข"

แม้กระทั่งบรรดาทัวริสต์ (นักท่องเที่ยว) หลายต่อหลายคน ซึ่งได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมคฤหาสน์แห่งนี้ ต่างก็ยืนยัน เป็นเสียงเดียวกันว่า ได้พบเห็นวิญญาณอดีตราชาร็อก แอนด์ โรลล์บ่อยครั้ง

"เพนนี ลีวิทท์" จากแคนาดา เล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าขณะที่เขาเดินชมสมบัติในคฤหาสน์ ซึ่งเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เขาเหลือบตาขึ้นมองเพดาน ก็ปรากฏเงาราง ๆ ในชุดชาวของเอลวิส ส่งยิ้มให้ทั้งมีเสียงแผ่ว ๆ แว่วมาว่า "ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ทุกอย่างเป็นปกติดี"

ส่วนพนักงานในคฤหาสน์ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือแสงเรืองประหลาด แต่ทุกคนก็หามีความกลัวไม่ เพราะทราบดีว่าเอลวิสมีแต่ความรักและปรารถนาดีกับทุกคน

นี่เป็นเรื่องราวของ "ผีวิญญาณเอลวิส" ราชาเพลงร็อก แอนด์ โรลล์ ผู้โด่งดัง แม้ตายไปแล้วหลายปี เขาก็ยังดังอยู่จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อมาถึงวรรคนี้ ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด หรือภพใหม่ก็แล้วแต่ท่าน แต่สำหรับผู้เขียนนั้น เชื่อว่าตราบที่เรายังไม่หมดกิเลส ตราบนั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่อไป

ที่มา...เรื่องนี้คัดลอกจากหนังสือ "ผีในวรรณคดี" โดย วิชาภรณ์ แสงมณี เขียน


<<< กลับสู่สารบัญ



ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่
โดย..คณะเว็บเมตตาธรรม

ในเรื่อง "ตายแล้วเกิดใหม่นี้" ผู้เขียนมีข้อพิสูจน์อยู่ ๗ อย่างว่าตายแล้วเกิดจริง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่จริงในปัจจุบัน โดยไม่ต้องอ้างคัมภีร์หรือตำรา หรือโดยไม่ต้องอ้างว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ตรัสไว้อย่างนี้ แต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลตามความเป็นจริงได้

เพราะการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่าง ๆ ที่ยืนยันไว้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นกฏของธรรมชาติของมัน เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามกฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็มีอยู่แล้วอย่างนี้ หรือพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นแล้วก็ได้ตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง

ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิด เท่าที่ค้นพบและมีหลักฐานยืนยันให้เชื่อถือได้ในปัจจุบัน มีอยู่ ๗ อย่าง คือ

๑ . คนระลึกชาติได้ ซึ่งข้อพิสูจน์นี้มีตัวอย่างนับเป็นพัน ๆ เรื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

๒ . คนผีเข้า ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากในปัจจุบันถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร

๓ . เทวดาเข้าทรง มีเรื่งเทวดาที่มาปรากฏแก่คนอยู่มากในปัจจุบัน และที่เข้าทรงในมนุษย์ก็มีอยู่มาก อันเป็นเตรื่องยืนยันว่า โอปปาติกะกำเนิด อันอยู่ในภพภูมิหรือสวรรค์นั้นมีจริง

๔ . การสะกดจิต ข้อนี้ในวงการแพทย์ปัจจุบันใช้กันมากถ้าจิตหรือวิญญาณไม่มีแล้ว จะมีการสะกดจิตได้อย่างไร

๕ . การสะกดจิตย้อนภพ ซึ่งกรณีเช่นนี้ค้นพบครั้งแรก ในสหรัฐอเมริกา ทำให้สืบประวัติย้อนหลังไปถึงชาติก่อนได้เป็นอย่างดี

๖ . เด็กอัจฉริยะ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เด็กที่อายุยังน้อย สามารถแต่งกาพย์ กลอน หรือเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างน่าพิศวง และบางคนก็สามารถพูด ภาษาอันตนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน หรือเรียนมาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่มีความสามารถเหนือเด็กทั่วไปในวัยเดีบวกันเป็นอย่างมากในเรื่องนั้น ๆ อันแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ตนได้เคยเรียนมาแล้วเมื่อชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาติใหม่ จึงมีความสามารถติดมาอย่างอัศจรรย์

๗ . เด็กฝาแฝด คือเด็กฝาแฝดนั้น แม้จะเกิดมาเหมือนกันทั้งด้านร่างกาย กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม แต่คู่แฝดมักจะมีอุปนิสัยใจคอ ความเฉลียวฉลาด และชะตาชีวิตแตกต่างกันอันแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเกิดมาแล้วในชาติก่อน ได้เคยสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ผลที่แสดงออกมาในชาตินี้จึงไม่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่มีกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน

เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้นำเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันมาแสดงใว้เท่าที่สามารถรวบรวมมาได้ ขอให้ท่านผู้สนใจได้อ่านพร้อมด้วยการใช้วิจารณญาณประกอบ ดังต่อไปนี้

<<< กลับสู่สารบัญ

การระลึกชาติได้

เรื่องนี้ มาจากการสอบถาม และสอบสวนความเป็นมา โดย ดร . เอียน สตีเวนสัน เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา การระลึกชาตินี้เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งนามว่า “ เอช เอ วิชรัตนี ” เกิดที่ตำบล อุคคัลโตตะ ลังกา เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ . ศ ๒๔๙๐ เป็นบุตรของนายเอชเอ ติเลรัตนี ฮามี และนางรัตรัน ฮามี

ตั้งแต่แรกกำเนิด ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่งและนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือทุก ๆ นิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้

นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว เป็นว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ดร . สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ . ศ ๒๕๐๔ เด็ฏชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปีแล้ว รอยแผลเป็นที่อกข้างขวา และมือขวาพอการของ

นายวิชรัตนี นี้ มีมูลเหตุดังจะได้เล่าต่อไปนี้..
พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๒ ขวบเศษเดินได้ ก็มักจะพูดกับตัวเองบ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตุก็ฟังดู ได้ยินเสียงบ่นว่าแขนขวาพิการก็ เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เลย จึงได้ถามสามีดู

นายเอช เอ ติเลรัตนี จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อนเรื่องนาย รัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปี พ . ศ ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้ นายติรัตนี เล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ว่าน้องชายมาเด็กเป็นลูก เพราะสังเกตุเห็นว่าเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนาย รัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน

ส่วนบุตรคนอื่น ๆ นั้นผิวค่อนข้างขาว แต่นางไม่สนใจ มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อนจึงได้ถามสามีขึ้น ภริยานายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องน้องชายสามีฆ่าคน และถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ . ศ ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘ - ๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อนเลย

เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบความทราบถึง "พระภิกษุอนันท์เมตไตรยะ" ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญา วิทยาลัยลังกาปริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี พ . ศ ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อย ๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง

ดังได้กล่าวแล้วว่า ดร . สตีเวนสัน ได้สอบถามเรื่องนี้ เมื่อปี พ . ศ ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี ชื่อนายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลคัลโตตะ มีภริยาแล้ว ภรรยาตาย ตกเป็นพุ่มม่าย เด็กชายวิชรัตนี จำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้

ต่อมา เขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับ หญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ "โพธิมณิเก" อยู่ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว แล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้ เด็กชาย วิชรัตนี บอกกับบิดา ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง

ความจริงจะใช้คำว่า ภรรยาไม่ถูกนัก เพราะพิธีแต่งงาน ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว ใกล้จะถึงเวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว อ้อนวอนให้เจ้าสาวไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมจะไปอยู่ที่บ้านของตน

เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพัน เป็นชายอยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อโมหัตติ ฮามี และสงสัยว่าชายผุ้นี้คงยุแหย่ ไม่ให้นางไปอยู่กับเขา เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่หางประมาณ ๘ กิโลเมตร มาถึงบ้าน เขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านนาง

เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาว เขายังขอยืมเงินพี่ชาย จำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้สร้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป มาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เองเจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนืออกข้างขวา เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย

ในการต่อสู้คดี เขาสู้ว่า ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสุ้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวเป้นผู้จับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า เขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึงเข้าตีเขา

ศาลรับฟังฝ่ายโจทย์ พิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกัน พอศาลพิพากษาแล้ว นายติเลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายของเขา เขาบอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติเลรัตนี บอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย

เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น ด . ช วิชรัตนี บอกว่า ตอนนั้นเคืองมาก อดใจใว้ไม่ไหว ไม่คิดเลยถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร . สตีเวนสันว่า ที่ถูกแขวนคอนั้น ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป เป็นการถูกต้องแล้ว

เด็กเล่าว่า ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขาคือ นาย เอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า มีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ รูป ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาบอกกับพี่ชายว่า เขาจะกลับมาเกิดอีก เด็กบอก ดร . สตีเวนสันว่า เขาพูดกับพี่ชายว่า จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่

ตอนถูกประหารชีวิต เด็กเล่าดังนี้...
ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า มีการชั่งตวงกระสอบทราย ณ ที่ตะแลงแกง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง ก่อนประหารชีวิต ๑ วันจะต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือก และความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีเอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน

ก่อนการแขวนคอ มีพระภิษุ ๑ รูปมาภาวนาให้เขาก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าดำมาครอบศรีษะตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือ พี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง

เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี เรื่องการจดจำสิ่งของได้ ของเด็กชายวิชรัตนี มีอยู่เรื่องหนึ่งควรจะเล่าก่อนจบ คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว "นายรัตรัน ฮามี" ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากไว้กับน้า ดูเป็นลางชอบกล เมื่อนายรัตรันตายแล้ว น้าก็เอาเข็มขัดหนังนั้นให้แก่บุตรชายของตัวใช้คาดเอว พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖ - ๗ ขวบ พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ว่าเป็นของตัวเอง

เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร . สตีเวนสันว่า ความจำชีวิตในชาติก่อน ของเขาแม้เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จะเลือนลางไปบ้างแต่เขาจดจำเรื่องราว ในชีวิตสุดท้ายก่อนของเขา ได้ชัดเจนกว่าชีวิตในปัจจุบันของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นเสียอีก

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรายงายผลการวิจัย เกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของ ดร . สตีเวนสัน ผู้ที่สนใจในด้านการวิจัย สรุปผลในการระลึกชาติได้ จากหลายชีวิตมาเสนอท่านผู้อ่าน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง

<<< กลับสู่สารบัญ



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 13/9/08 at 16:01 Reply With Quote



วิญญาณพยาบาท

ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง อันตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ในท้องที่ อ . สทิงพระ จ . สงขลา เมื่อประมาณ ๔๕ ปี ล่วงมาแล้ว ได้มีเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าคาดฝันบังเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ณ หมู่บ้านแห่งนี้

เรื่องมีอยู่ว่า "นายขวัญแก้ว สุบินรัตน์" ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว วันหนึ่งได้ล้มป่วยลงและได้ป่วยมาหลายวันมีอาการค่อนข้างน่าวิตก มีแต่ลูกๆ เท่านั้นคอยพยาบาลอยู่ เพราะเมียของนายขวัญเเก้ว คือ นางสั้นเนี่ยว ไปอยู่ ณ ที่อื่น

ดังนั้นลูกจึงให้จดหมายไปถึงแม่ เพื่อมาช่วยพยาบาลพ่อ แต่นางสั้นเนี่ยวก็หามาไม่ คงมีเรื่องไม่พอใจกับสามีอยู่จึงไม่ยอมมา จนในที่สุดเมื่อนายขวัญแก้วป่วยหนักถึงแก่กรรมลง แม้กระนั้นนางสั้นเนี่ยวก็ไม่ยอมมาในงานศพ แม้แต่วันเผาก็ไม่มา แต่เมื่อถึงวันทำบุญตักบาตร นางสั้นเนี่ยวจึงมาในงาน

ในวันทำบุญตักบาตร ซึ่งจัดทำบุญกันขึ้นที่บ้านของผู้ตายนั้นเอง เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาในงาน กำลังสวดมนต์ถึงบทพาหุง ญาติพี่น้องและชาวบ้านซึ่งมาร่วมทำบุญในงานก็กำลังเตรียมตัวใส่บาตร ตามธรรมเนียมที่นิยมกันว่าเมื่อพระสวดถึงบทพาหุงก็ให้เจ้าภาพหรือผู้มาร่วมงานใส่บาตร แต่ในวันนั้นทุกคนต่างก็รอให้นางสั้นเนี่ยว ซึ่งเป็นเจ้าภาพใส่บาตรก่อน

ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "นางลัดเนี่ยว" ซึ่งเป็นลูกสาวนายขวัญแก้วและนางสั้นเนี่ยว ได้ลุกขึ้นทำผ้านุ่งถกเขมรหยักรั้งเข้ามาทำท่าทางเหมือนผู้ชาย แล้วร้องขึ้นว่า

“ อีสั้นเนี่ยว..มึงอย่าใส่บาตรให้กู กูไม่กินของมึง มึงอย่าใส่ อย่าใส่ ! ”

แต่คนที่มาในงานซึ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็บอกให้ใส่เถิด ครั้นนางสั้นเนี่ยวตรงมาจะใส่บาตรอีก นางลัดเนี่ยวก็ตรงไปหานางสั้นเนี่ยวเงื้อมือจะตบพร้อมสำทับขึ้นว่า

“ อีสั้นเนี่ยว..มึงอย่าใส่บาตร ถ้าใส่กูตบ ” นางสั้นเนี่ยวจึงชะงักมือยืนงง

ในขณะนั้น "นางดวม พาณิช" ซึ่งเป็นญาติของผู้ตาย เห็นเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนั้น คิดว่า คงเป็นวิญญาณของผู้ตายมาสิงจึงร้องปลอบไปว่า “ อย่าทำอย่างนั้นเลยพี่..อายคนเขา ”

“ เออ..อีสั้นเนี่ยว กูไม่ให้ใส่บาตร กูไม่กินของมัน ยังขืนใส่กูตบจริง กูเสียใจน้องดวม ” นางลัดเนี่ยวซึ่งถูกวิญญาณของพ่อมาสิง พูดพลางร้องไห้พลางเ พราะความน้อยใจ

นางดวมซึ่งเป็นญาติลูกผู้พี่ผู้น้องกับผู้ตายก็สลดใจไปด้วย จึงพูดขึ้นว่า “ ไม่กินของพี่สาวก็กินของลูกหลานเสีย ”

“ เออ..ของลูกของหลาน..กูกิน แต่ของอีสั้นเนี่ยว..อย่าใส่บาตรนะ กูไม่กินของมัน ” นางลัดเนี่ยวตอบ

เมื่อนางสั้นเนี่ยวงดใส่บาตร เหตุการณ์ก็สงบ ทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างก็งงงันในเหตุการณ์นั้น ไปตามๆ กัน

ต่อมา หลังจากวันเกิดเหตุการณ์แปลกนั้นมาราว ๒ ปี นางสั้นเนี่ยวก็ล้มป่วยลงด้วยโรคอย่างหนึ่ง อาการก็ทรุดหนักลงๆ และเหตุการณ์ซึ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก คือนางลัดเนี่ยว ซึ่งกำลังพยาบาลแม่อยู่กลับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเย้ยหยันว่า

"เป็นไร..อีสั้นเนี่ยว มึงตายเหมือนกัน ไม่ใช่ตายแต่กู มึงก็ต้องตาย สมกับที่มึงละทิ้งกู มึงต้องตาย ต้องตาย อี่สั้นเนี่ยว กูยังเจ็บใจมึงอยู่ไม่หาย" และนอกจากนี้แล้ว ก็ยังพูดจาถากถางต่างๆ นานา ใครจะพูดจาขอร้องอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง จนกระทั่งมีคนไปตามนางดวมผู้เป็นญาติสนิทมาพูดจาขอร้อง เหตุการณ์จึงสงบลง

เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่โยมบิดาของผู้เขียนเล่าให้ฟัง โดยบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ เพราะผู้ตายก็เป็นญาติกับโยมบิดาของผู้เขียน และเป็นเรื่องค่อนข้างสะเทือนใจ แม้จะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ ๔๕ ปีมาแล้วก็ตาม และผู้เขียนยังได้ไปถามนางดวมซึ่งเป็นอาของผู้เขียนเพิ่มเติม ก็ได้รับยืนยันตรงกับที่โยมบิดาของผู้เขียนได้เล่าให้ทราบ

คนเราทุกคน เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดในทันทีทันใด เหมือนหลับแล้วตื่น แต่จะไปเกิดอยู่ในภูมิใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ทำเอาไว้ อย่างในกรณีของนายขวัญแก้วนี้ สันนิษฐานว่า อาจจะไปเกิดในภูมิของเทวดา หรือภูมิของอสุรกาย (ผี) ภูมิใดภูมิหนึ่ง ซึ่งเป็นภูมิที่เป็นอทิสสมานกาย คือกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาธรรมดา และเป็นผู้ที่สามารถเข้าสิงในร่างกายของมนุษย์ได้

อนึ่ง เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้ว ย่อมสามารถรู้เห็นและสามารถรับกุศลผลทานที่ญาติทำและอุทิศให้จากโลกนี้ และข้อที่ที่เราจะพึงสังวรอีกประการหนึ่ง เกี่ยวกับคนที่เจ็บใกล้จะตายก็คือ อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดใจของผู้นั้น เพราะจะทำให้วิญญาณของผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ และผูกพยาบาทขึ้นได้ แม้จะไปเกิดในภพใหม่แล้วก็ตาม

<<< กลับสู่สารบัญ



วิญญาณห่วงหลาน


เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ บ้านชะแล้ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเล่าอัดเทป โดยพระภิกษุผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่วัดภูตบรรพต (เขาผี) ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา และ พระครูสัมพิพัฒนวิริยาจารย์ (พัลลภ วลฺลโภ) แห่ง วัดราชผาติการาม กรุงเทพฯ ได้เอื้อเฟื้อส่งเทปเรื่องนี้ให้ผู้เขียน เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๒

"เณร..แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจอยู่ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ จึงได้ไปพาเณรมาปรึกษา เรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้ เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกแล้วทั้ง ๔ คน คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าได้ยกให้อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก...."

เรื่องมันแปลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ เรื่องมีอยู่ว่า

นางขุ้ย (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่บ้านชะแล้ หมู่ที่ ๕ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา อายุประมาณ ๗๕ ปี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคอะไรไม่ปรากฏ เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนกำลังตกชุกในภาคใต้ น้ำก็กำลังท่วม ณ บริเวณหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสาบสงขลา
ครั้นจะเก็บศพไว้บำเพ็ญกุศลที่บ้านตามประเพณีที่นิยมกันในถิ่นนั้นก็ไม่สะดวก เพราะน้ำท่วม เรือแพก็ขัดข้อง จะนิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมก็ไม่อาจจะไปได้ ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงได้ตกลงกันให้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ อันเป็นวัดประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

เมื่อลงมติเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ได้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ ทำพิธีสวดอยู่ ๕ คืน จนกระทั่งถึงวันกำหนดเผา ญาติพี่น้องก็มาเผาศพนางขุ้ยครั้งนี้โดยพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยทำพิธีเผาที่ป่าช้าประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

เนื่องจากนางขุ้ยเป็นคนที่เกิดที่บ้านชะแล้นี้เอง และมีพี่น้องร่วมท้องด้วยกันถึง ๑๒ คน แต่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๑๑ คน รวมทั้งนางขุ้ยนี้ด้วย ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง ๑ คน นางขุ้ยจึงมีลูกหลานมาก เมื่อลูกหลานและญาติพี่น้องทั้งที่อยู่ใกล้และไกลมาพร้อมเพรียงกันแล้ว จึงทำให้งานศพนางขุ้ยเป็นงานที่ใหญ่มากงานหนึ่งในตำบลนี้

ในงานนี้ ญาติพี่น้องได้รวมความเห็นกันว่า จะให้หลานชายนางขุ้ย ผู้เป็นลูกของลูกสาวคนสุดท้องของนางขุ้ยเองบวชหน้าศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้นางขุ้ยผู้เป็นแม่เฒ่า (ยาย) ดังนั้น ญาติพี่น้องจึงได้ให้นายจีน อายุ ๑๘ ปี ซึ่งเป็นบุตรของนางเป็ดได้บวชหน้าศพ

เมื่อตกลงกันแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปจัดซื้อเครื่องบวชมาพร้อม แล้วนิมนต์พระอุปัชฌาย์มาบวชที่วัดชะแล้ โดยบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้ว รุ่งขึ้นก็เคลื่อนศพไปป่าช้าเพื่อเผาตามธรรมเนียมในชนบท โดยได้นิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาสวดมาติกาบังสุกุลด้วย งานฌาปนกิจศพก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น

แต่หลังจากที่เผาศพแล้ว ก็มีเรื่องซึ่งไม่น่าคาดฝันเกิดขึ้นกับสามเณรบวชใหม่ เพราะมีต้นเหตุมาจากพินัยกรรมของนางขุ้ยเอง คือ
เมื่อประมาณ ๘ ปีที่ล่วงมานี้ นางขุ้ยได้เอาหลานสาวมาเลี้ยงไว้คนหนึ่ง ชื่อ กุหลาบ ซึ่งเป็นลูกของลูกชายคนโตของนางขุ้ย โดยเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนเดี๋ยวนี้มีอายุได้ ๑๕ ปี นางขุ้ยเรียกหลานคนนี้ว่า "อีสาว" ตามประเพณีการเรียกชื่อหลานของคนในถิ่นนี้ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "กุหลาบ" ตามชื่อจริง

กุหลาบเป็นเด็กดี มีความกตัญญูกตเวที แต่เป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ เพราะแม่ของเธอได้ตายไปเมื่อเธออายุได้ ๓ ขวบแล้ว นายหิ้มผู้เป็นพ่อก็มีเมียใหม่ ครั้นจะให้อยู่ที่บ้านด้วยกันก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกับแม่เลี้ยง นายหิ้มจึงตัดสินใจเอากุหลาบมาฝากไว้กับนางขุ้ยผู้เป็นแม่ ตั้งแต่กุหลาบอายุได้ ๘ ขวบ เพราะนางขุ้ยขณะนั้นก็ไม่มีใครจะอยู่ด้วย เนื่องจากลูกๆ ได้แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากกันหมดแล้ว

นางขุ้ยมีลูกอยู่ ๔ คน คือ
คนที่หนึ่งชื่อ นายหิ้ม บิดาของกุหลาบ
คนที่สองชื่อ นายผิน ปัจจุบันอยู่ ต.ประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง
คนที่สามชื่อ นายส้อง มีภรรยาแล้ว อยู่ที่ ต.ชะแล้ หมู่ ๓
คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ นางเป็ด ไปมีสามีอยู่ที่จังหวัดตรัง

ต่อมา นางขุ้ยป่วย มีอาการค่อนข้างหนัก และรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอดแล้ว จึงให้เรียกลูกทั้ง ๔ คน มาพร้อมกันแล้ว พูดขึ้นว่า "มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะลูก แม่นี้รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว แม่จึงอยากจะแบ่งสมบัติให้แก่ลูกทั้ง ๔ คน ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีสติดีอยู่ สมบัติของแม่ก็มีไม่มาก แต่พอจะแบ่งให้ลูกๆ ได้ ตามที่แม่มี"

ลูกทั้ง ๔ คน เมื่อแม่พูดขึ้นเช่นนั้นแล้ว ต่างก็ไม่สบายใจที่แม่ผู้บังเกิดเกล้าจะจากไป แต่ก็รู้สึกยินดีที่แม่จะได้แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องยุ่งยากในภายหลัง จึงได้พูดขึ้นว่า "แบ่งเสียให้เรียบร้อยให้สมบูรณ์ ดีแล้วแม่ จะไม่ยุ่งยากในภายหลังเมื่อไม่มีแม่แล้ว"

นางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "ที่นา แม่จะแบ่งให้ แปลงไหนจะให้ลูกคนไหนแม่จะบอกไว้ แบ่งให้เท่าๆ กันทั้ง ๔ คน เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันในภายหลัง แม่จะทำไว้ให้ถูกต้อง แต่แม่จะแบ่งสมบัติออกเป็น ๕ ส่วน คือ ลูกทุกคนแบ่งให้เท่ากัน ส่วนที่ ๕ นั้นเป็นส่วนผี คือส่วนที่ ๕ เมื่อแม่ตายไปแล้ว แม่จะให้กับกุหลาบมัน

เพราะอี่สาวกุหลาบ แม่นำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ กุหลาบนี้เมื่อโตขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงดูช่วยเหลือแม่ ได้หุงข้าวหุงปลา ปฏบัติแม่เจ็บเมื่อไข้ไม่สบาย รวมทั้งอาหารการกินต่างๆ กุหลาบก็เป็นผู้จัดทำ ฉะนั้น นาแปลงนี้ แม่จะให้กับอี่สาวกุหลาบมัน" ลูกทั้ง ๔ คนก็ยินยอมเห็นด้วย

เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว ต่อมา นางขุ้ยก็ได้ถึงแก่กรรมลง ลูกหลานญาติพี่น้องได้จัดการศพเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว เมื่อเผาศพนางขุ้ยเสร็จแล้ว ล่วงมาได้ ๓ คืน พวกลูกๆ ทั้ง ๓ คน (เว้นคนพี่ผู้เป็นพ่อของกุหลาบ) มาปรึกษาเห็นต้องกันว่า "นาแปลงที่เป็นส่วนผีที่จะให้กุหลาบนั้น จะแบ่งให้อีกทำไม ในเมื่อพ่อของกุหลาบก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว พวกเรา ๓ คน มาแบ่งกันเองดีกว่า แล้วก็เอามาแบ่งกันเสียเอง ๓ คน

ส่วนนายหิ้มก็พูดไม่ออก และก็ไม่สนใจ เพราะไม่อยากทะเลาะกับน้องๆ ในฐานะที่เป็นพี่ กุหลาบจึงไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่ได้เลี้ยงดูปฏิบัติย่ามา และย่าก็ได้แบ่งสมบัติไว้ให้ก่อนตาย จึงทำให้ร้อนถึงผีนางขุ้ยผู้ตายไปแล้ว

หลังจากเผาศพนางขุ้ยแล้วได้ ๓ วัน สามเณรจีนซึ่งบาชหน้าไฟคุณยาย ได้ตั้งใจว่าจะสึกมาก่อนหน้านี้ แต่ยังหาวันดีไม่ได้ ก็ทำให้ไม่สบายใจ ข้าวก็ไม่ยอมฉัน และไม่ยอมสังคมกับภิกษุสามเณรอื่นๆ ด้วย

ในกุฏิที่สามเณรจีนอยู่นั้นมีพระเณรอื่นอยู่ด้วย แต่อยู่คนละห้อง ในคืนวันนั้นพระเณรได้ยินประตูห้องสามเณรจีนปิดดังโครม ต่างเข้าใจว่าสามเณรจีนเข้านอน และต่างก็รู้อยู่ด้วยว่าสามเณรจีนไม่ค่อยสบายใจ จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนคุยด้วย แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น พระเณรก็ได้ยินเสียงสามเณรจีนเปิดประตูออกจากห้อง ก็พากันสงสัยและเปิดประตูออกมาดู และเข้าไปดูในห้องสามเณรจีนก็ไม่พบ พากันเอาไฟฉายไปค้นหาทั่ววัดก็ไม่พบ ก็สงสัยว่าสามเณรจีนจะไปผูกคอตาย พระเณรจึงพากันนั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกัน

หลังจากนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมง สามเณรจีนก็ขึ้นไปบนวัด เพราะวัดชะแล้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งมีบันไดขึ้นมาทางด้านศาลาการเปรียญ (โรงธรรม) และเมื่อสามเณรจีนไปถึงวัดแล้ว พระเณรในวัดได้ยินเสียงหมาเห่าหอน ไล่ตามไปประมาณ ๒๐ วา พระเณรก็สงสัย แต่พอเงียบเสียงหมา สามเณรจีนก็ถึงห้อง พระจึงเจ้ามาถามว่า "เณรไปไหนมา"

เมื่อถูกสอบถาม สามเณรจีนก็ได้สติขึ้นมาทันที จึงบอกว่า แม่เฒ่า (ยาย) มาพาไปที่เปลว (ป่าช้า) ก็เดินตามหลังแม่เฒ่าและคุยกันไป ผมสำคัญว่าแม่เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ผมใจลอยนึกไปว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย พอไปถึงป่าช้า แม่เฒ่าบอกว่า "เณร นิมนต์นั่งลง แม่เฒ่าจะพูดให้ฟัง" ก็เลยนั่งคุยกับแม่เฒ่า โดยหันหน้าไปทางทิศใต้ นั่งใกล้กับแม่เฒ่า

แม่เฒ่าได้พูดว่า "เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ ก็เลยพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้นั้น เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกทั้ง ๔ คนแล้ว คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าบอกแล้วว่ายกให้แก่อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก (ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้ว)

แต่เมื่อแม่เฒ่าตายแล้ว ทำไมลูกทั้ง ๓ คน เอาส่วนของกุหลาบมาแบ่งกันเสียเอง ไม่ยอมให้กุหลาบ ทำไมลูกทั้ง ๓ คน จึงมาคิดทรยศโกงของหลาน เรื่องนี้แหละที่แม่เฒ่าต้องเรียกเณรมาปรึกษา ขอให้เณรช่วยไปตามแม่ของเณรมาเร็วๆ ให้เณรไปตามแม่เณรที่จังหวัดตรัง แล้วคืนสมบัติส่วนนี้ให้กุหลาบเสีย มิฉะนั้นแล้วแม่เฒ่าจะมีความกังวลใจอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ไปเกิด (ในภพอื่น) แม่เฒ่าจะเฝ้าสมบัติอยู่นี่ พรุ่งนี้ ขอให้เณรรีบไปตามโยมแม่มา"

"เมื่อพูดตกลงกันแล้ว แม่เฒ่าก็มาส่งผม และเดินกันมาถึงวัดนี้แหละครับ แม่เฒ่ามาพาผมไปป่าช้าและเดินมาส่งผมถึงวัด ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย แต่พอแม่เฒ่ากลับไปแล้วผมกลับได้สติทันที และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดังที่เล่ามานี่แหละ" สามเณรจีนพูดในที่สุด

เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เมื่อพระเณรได้ฟังดังนั้น ต่างก็พากันขนหัวลุกด้วยความกลัว แล้วพูดว่า "ป้าขุ้ยเป็นผีมีศีลธรรม มีธรรมะ แกแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกทุกคนถูกต้องแล้ว"

ในคืนต่อจากนั้น หมาในวัดพากันเห่าหอนอยู่ที่บันใดทางขึ้นสู่วัดชะแล้อย่างหวาดกลัว (เพราะเสียงหมาเห่าหอนในยามค่ำคืนเช่นนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยชนบทว่า หมามันเห็นผี มันจึงเห่าหอน และในชนบทแถบนั้นก็ไม่มีไฟฟ้าด้วย) พระเณรต่างพากันกลัวไม่กล้านอน ด้วยคิดว่าผีป้าขุ้ยมาอีกแล้ว สามเณรจีนก็กลัวเช่นกัน จนกระทั่งหมามันหอนเสียงโหยหวนต่อกันลงไปทางเบื้องล่าง อันเป็นทางมุ่งไปยังป่าช้าประจำหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น

แต่ในคืนต่อมาหลังจากคืนนั้น ผีนางขุ้ยก็มาสิงสามเณรจีนผู้เป็นหลานของตน จึงเกิดเรื่องโกลาหลหนักขึ้น คือ สามเณรจีนร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง พูดบ้าง พระเณรจึงเข้าไปในห้องสามเณรจีนแล้วถามว่า "ทำไมจึงเป็นอย่างนี้"

สามเณรก็พูดขึ้นว่า "ฉันห่วงสมบัติ เพราะกุหลาบมันไม่ได้ส่วนแบ่ง และฉันอยากจะรู้ว่า ที่ให้เณรไปตามโยมแม่ที่ จ.ตรังนั้น เณรไปแล้วหรือยัง" พระเณรได้บอกว่า เณรได้ไปตามแล้ว ป้ากลับเสียเถิด เมื่อเณรได้บวชแล้ว และได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แล้ว มาทำไมอีก"

ผีนางขุ้ยในร่างของเณรตอบว่า ฉันไม่ไปก่อนละต้น เดี๋ยวก่อน ไปตามลูกฉันมาก่อน ยกเว้นเณรผินเพราะมันอยู่ไกล และขอให้หาหมอผีมาด้วย เพื่อมาไล่ผี เพราะเกรงว่าจะมีผีอื่นมาหลอกหลอนเอาได้" (คำว่า "ต้น" เป็นคำที่ชาวปักษ์ใต้เรียกพระสงฆ์บวชใหม่หรือที่พรรษาน้อยทั่วไป ย่อมาจากคำไทยโบราณว่า "ชีต้น"
ส่วนคำว่า "เณร" เป็นคำภาษาใต้ของไทย นอกจากจะหมายถึงสามเณรทั่วไปแล้ว ยังใช้เรียกทิดทุกคนว่า "เณร" อีกด้วย ดังนั้นคำว่า "เณรผิน" ในที่นี้ จึงหมายถึงนายผิน ผู้เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดพัทลุงนั่นเอง)

ก็ในหมู่บ้านชะแล้นั้น ได้มีผู้ที่เข้าใจเรื่องการไล่ผีอยู่คนหนึ่ง คือ นายเฉี้ยง และนายเฉี้ยงคนนี้เป็นหลานของนางขุ้ยเอง บ้านอยู่ใกล้วัดชะแล้ จึงได้ถูกตามตัวเชิญมาได้สะดวก และผู้ที่มาในครั้งนี้ นอกจากนายเฉี้ยงแล้ว ก็มีคนใกล้เคียงพากันมาดูเหตุการณ์ด้วยจำนวนหลายคน

นายเฉี้ยง เมื่อมาถึงก็พิจารณาดูแล้วรู้ว่า สามเณรถูกผีเข้าแน่ จึงถามขึ้นว่า "ใครมาหยอกเณร ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่สุขเสียซิ อย่ามาพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับพระเณร ไป ไปเสีย"

ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "อ๋อ เณรเฉี้ยง มึงอย่าไล่กู มึงเป็นลูกพี่สาวกู นี่สมบัติกูแบ่งปันให้ถูกต้องแล้ว ภายหลังน้อง ๓ คน มันมายักยอกเอาไป ไม่ให้หลานสาวมัน จะเอาแต่พวกมัน ๓ คน เณรส้องอยู่ไหน มาหรือเปล่า (หมายถึงนายส้อง ลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย)"

นายเฉี้ยงตอบว่า "นั่งอยู่ข้างนอก" (หมายถึงนั่งอยู่ข้างนอกห้อง)
"บอกให้เข้ามา กูจะถามเณรส้องมัน" ผีนางขุ้ยกล่าวขึ้น

เมื่อนายส้องเข้าไปในห้องแล้ว ผีนางขุ้ยในร่างของสามเณรก็พูดขึ้นว่า "บ้านมึงมีอะไรดีนะ กูไปแล้ว กูตั้งใจไปบ้านมึง ไปถึงแล้วได้แต่วนเวียนอยู่ที่ประตูบ้าน กูเข้าไปไม่ได้"

แล้วนายส้องจึงพูดขึ้นว่า "แล้วทำไม แม่ไม่ไปพูดกับฉันล่ะ" ก็กูตั้งใจจะไปพูดกับมึงนั้นแหละลูก แต่กูเข้าไปไม่ได้ มึงใจดำนา แม่แบ่งไว้ถูกต้อง แต่สูไปแบ่งปันกันแต่พวกสู" ผีนางขุ้ยพูด (สู เป็นคำไทยเดิมซึ่งยังใช้พูดกันโดยทั่วไปในชนบทภาคใต้)
นายส้องพูดว่า "แม่อยากให้ลูกเกิดมามาก สมบัตินิดเดียวจึงปันกันไม่พอ"

เมื่อได้ฟังดังนั้น ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "กูปันให้ลูกแล้ว แต่พวกสูจะเอาเหลือ (เอาเกิน) สูจะเอาให้มาก เมื่อก่อนกูตายก็ได้ถามลูกๆ กันทุกคน เห็นด้วยกันแล้ว" แล้วจึงหันไปถามนายหิ้ม พ่อของกุหลาบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า" "เณรหิ้ม มึงจะว่าอย่างไร ลูกมึงที่แม่พามาเลี้ยงไว้ ไม่ได้สมบัติอะไรเลย"

แต่นายหิ้มไม่ยอมตอบ คงจะพูดไม่ออกในฐานะที่เป็นพี่ และกุหลาบก็เป็นลูกของตนด้วย แล้วผีนางขุ้ยจึงพูดว่า "ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะไม่ไปไหน กูจะอยู่ที่นี่"

เมื่อได้ฟังดังนั้น นายหิ้มก็ได้พูดขึ้นว่า "แม่ไปอยู่ที่ที่สุขเถิดแม่ เขาค่อยแบ่งกันเอง อย่ามาเกี่ยวข้องอยู่เลย"

ต่อจากนั้น นายเฉี้ยงได้พูดแทรกขึ้นว่า "ถ้าไม่ไป จะเอาดินสอพองมาสัก มันเป็นผีอื่นมาแทรก" (การเอาดินสอพองมาสักหรือขีด เช่น สักหรือขีดรอบข้อมือข้อเท้าของคนที่ถูกผีเข้า พร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับลงไป เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอผีในการไล่ผี)

"อย่าสักกูเลย เณรเฉี้ยง กูเป็นน้าสาวมึง มึงอย่าไล่กู" พอพูดเพียงเท่านี้ ผีนางขุ้ยก็ออกจากร่างของสามเณร แล้วสามเณรจีนก็ได้สติ รู้สึกตัวทันที และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ

ในที่สุด ได้ทราบว่า ลูกๆ ของนางขุ้ยทั้ง ๓ คนที่ไม่ยอม ก็ต้องแบ่งที่ดินอันเป็นส่วนของกุหลาบให้แก่กุหลาบไปตามคำสั่งของแม่ เพราะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองและบุคคลอื่นเป็นอันมาก ทั้งไม่ต้องการให้แม่ของตนซึ่งตายไปแล้วมีความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้ จะได้ไปเกิดในสุคติตามความปรารถนาของทุกคน

เรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์การตายแล้วเกิดใหม่ได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน.

<<< กลับสู่สารบัญ



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 13/9/08 at 16:15 Reply With Quote



ผีผ่าตัด

(เรื่องนี้คัดมาจากหนังสือพิมพ์รายวัน "แนวหน้า" ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๐๖๗ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๐)

จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม..เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง วิญญาณของศัลยแพทย์ที่ตายไปแล้วเมื่อ ๖๙ ปีก่อน ได้กลับมาสิงในร่างของหมอคนหนึ่งที่ประเทศบราซิล ช่วยผ่าตัดรักษาคนไข้ฟรีๆbเป็นเรื่องวิญญาณของศัลยแพทย์คนหนึ่งที่ตายไปแล้ว ๖๙ ปีก่อน แต่ยังคงปรารถนาจะรับใช้ประชาชน ด้วยการเข้าสิงร่างของหมอคนหนึ่ง แล้วทำการผ่าตัดรักษาคนไข้

หมอคนที่ว่านี้ชื่อ ดร. อดอล์ฟฟริตซ์ เป็นศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน ซึ่งมีความสามารถในการผ่าตัดอย่างสูง แต่ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๔๕๗ ที่เอสโทเนีย ในยุโรป ตอนแรกวิญญาณของหมอฟริตซ์ ได้เข้าสิงในร่างของชาวนาบราซิลคนหนึ่งชื่อ โฮ่เซ่ เดอ ไฟรตัส เมื่อปี ๒๔๙๓ ทำให้นายไฟรตัสแปรสภาพจากชาวนาธรรมดาๆ เป็นหมอที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์ แต่นายไฟรตัสก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อปี ๒๕๑๔

มาบัดนี้ วิญญาณของหมอฟริตซ์ ได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างของ ดร. เอ็ด สัน เออ ไควโรซ แห่งโรงพยาบาลเมือง เรซิเฟ่ ประเทศบราซิล หมอไควโรซ เลยกลายสภาพเป็นหมอสองร่างในร่างกายเดียวกัน กล่าวคือ แทบตลอดทั้งวันเขาจะเป็นสูตินารีแพทย์ธรรมดาๆ ของบราซิล แต่แล้วในวันหนึ่งของสัปดาห์ ร่างของเขาจะถูกหมอฟริตซ์ยืมไปใช้ และกลายเป็นศัลยแพทย์ที่สามารถผ่าตัดได้รวดเร็วเป็นสายฟ้าแลบ

คือ สามารถผ่าตัดรักษาคนไข้ได้ถึง ๖๐ คน ในชั่วเวลาเพียงไม่ถึง ๕ ชั่วโมง และยังสามารถทำงานผ่าตัดที่ยังต้องใช้ความละเอียดลอออย่างสูง เช่น การผ่าตัดตาหรือกระดูกสันหลัง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ หรือยาระงับปวด ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องผ่าตัดที่ฆ่าเชื้อ และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ผ่าตัดที่พิเศษใดๆ แต่คนไข้ของเขาทั้งหมดไม่เคยเกิดโรคแทรกซ้อน และบอกว่าระหว่างการผ่าตัดรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือไม่เจ็บเลย แถมผลการรักษาก็สำเร็จในอัตราที่สูงมาก

เรื่องเหล่านี้ยืนยันโดย ดร. อมิลคาร์ เลโอ ศาสตราจารย์แผนกพยาธิวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยของรัฐของบราซิล ที่เมืองพาไรบา ซึ่งได้บอกว่า การผ่าตัดของ ดร. ฟริตซ์ ในร่างของไควโรซ ได้รับความสำเร็จระหว่างร้อยละ ๙๕ - ๑๐๐ %

ดร. โฮเซ่ ซานโตส ศาสตราจารย์แผนกรังสีวิทยาของวิทยาลัยแห่งรัฐเมืองเซกิเป ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกรังสีของโรงพยาบาล ซานตาอิซาเบล ในเมืองอะราคาจู เป็นผู้ที่คอยเฝ้าดูรายการผีผ่าตัดที่ว่านี้เป็นประจำ

ดร. ซานโตส บอกว่า "ผมได้เฝ้าดูการผ่าตัด ๒ ราย รายแรก ชายแก่อายุ ๙๐ ปี คนหนึ่ง ได้รับการผ่าตัดเนื้อในตา และเพื่อนของชายชราผู้นี้อีกคนหนึ่งก็ได้รับการผ่าตัดรักษาโรคเข่าอักเสบเรื้อรัง ผมยืนยันได้ว่า มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เล่นกล" และกล่าวเสริมอีกว่า "คนที่มือผ่าตัดคือวิญญาณของหมอฟริตซ์"

การผ่าตัดเนื้อในตานั้น ตามปกติแล้ว จะต้องใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที และจะต้องใช้ยาระงับปวด แต่หมอฟริตซ์ในร่างของหมอไควโรซ ใช้เวลาเพียง ๒๘ - ๓๐ วินาทีเท่านั้นเอง ก็สามารถตัดเอาเนื้อเยื่อออกไปได้ แถมยังไม่ต้องใช้ยาระงับปวดด้วย

หมอไควโรซเล่าว่า วิญญาณของหมอฟริตซ์เริ่มติดต่อพูดจากับเขาครั้งแรกตอนก่อนที่เขาจะตัดสินใจเรียนหมอ หลังจากนั้นอีกสามปีต่อมา ก็เร่มเข้าสิงในร่างของเขา และทำการผ่าตัด

หมอฟริตซ์จะขอยืมร่างกายของหมอไควโรซทุกๆ วันพุธ ระหว่างเวลา ๙ โมงเช้าถึง ๒ โมงเย็น การรักษาจะเริ่มโดย หมอไควโรซจะเข้าทรง ตาค่อยๆ ลอย พร้อมกับบุคลิกต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เสียงที่เคยนุ่มนวลกลับกระด้างแบบสำเนียงชาวเยอรมัน

จากนั้นก็ลงมือตรวจและรักษาคนไข้อย่างรวดเร็ว คนไข้แต่ละคนจะใช้เวลาเพียง ๕ วินาที ถึง ๕ นาที ก็เสร็จเรียบร้อย คนไข้ส่วนใหญ่ที่ไปให้ผีรักษาดังว่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน และเขาก็ไม่เก็บเงินค่ารักษาจากใคร

ตัวอย่างการรักษาที่มีพยานรู้เห็นก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ รูซ เบเรีย เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปหา โดยใช้ไม้เท้าพยุง ผีหมอฟริตซ์ จับปุ๊บก็บอกปั๊บว่า เป็นเนื้องอกในกระดูก แล้วก็จัดการนวดขาข้างขวาของเธอก่อนจะเอาเข็มเล่มยาวเฟื้อยแทงเข้าไป เวลานานถึง ๔ นาทีเต็มๆ ที่เลือดผสมน้ำหนองไหลออกมาตามรูเข็ม

พอผีหมอฟริตซ์ถอนเข็ม ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน และก็เดินออกไปอย่างปกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรอีกต่อไปเลย เธอบอกว่า "รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยระหว่างการรักษาค่ะ โอ้ สบายเหลือเกิน"

คนไข้อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ชื่อ มาการิดา ซานโตส เข้าไปรักษา หมอบอกให้ถอดผ้าออกนอนคว่ำ ตรวจอาการแล้วบอกว่า ข้อต่อกระดูกสันหลังห่างผิดปกติ และเริ่มจะเป็นมะเร็ง จากนั้นก็ใช้มีดทำครัวธรรมดาและผ่าตัดทันที
คนที่ยืนดูถามว่า รู้สึกอย่างไร เธอบอกว่า "ไม่รู้สึกอะไรเลย และก็ไม่กลัวด้วย"

คนไข้รายที่สาม ชื่อนาง เซนี ธาเวธ หมอผีฟริตซ์ตรวจแล้วบอกว่าเป็นเนื้องอกกำลังอักเสบ ในรูจมูกข้างขวา จากนั้นก็เอากรรไกรผ่าตัดแหย่เข้าไปในรูจมูกสุดด้าม แล้วก็หมุนกรรไกรไปรอบๆ เสร็จแล้วก็ถอนกรรไกรออกมาพันด้วยผ้าก๊อซ แล้วแหย่เข้าไปใหม่ ก็มีเลือดเต็มผ้าก๊อซผืนนั้น
แต่เหลือเชื่อจริงๆ นางเซนีบอกว่า "ไม่เห็นเจ็บอะไรเลย และรู้สึกสบายที่สุด"

หมอเปาโล แรงเกล ซึ่งประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเรซิเฟ่ บอกนักข่าวว่า เขาได้ไปดูการผ่าตัดของผีหมอฟริตซ์เป็นประจำ
"ตอนแรกรู้สึกตกใจจนบอกไม่ถูก ที่มีการผ่าตัดโดยไม่ใช้ยานอนหลับหรือยาระงับปวด และก็ไม่มีเครื่องมืพิเศษ หรือมีใครเป็นผู้ช่วย ยิ่งไปกว่านั้น ที่น่าประหลาดที่สุดคือ คนไข้กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย เลือดที่ออกจากการผ่าก็มีเพียงนิดเดียว หลังจากการผ่าตัดแล้ว คนไข้ก็ไม่มีโรคแทรกซ้อนเลย เออ แปลกจริงๆ" หมอเปาโลกล่าว

นักข่าวได้ขอสัมภาษณ์ผีหมอฟริตซ์ถึงกรรมวิธีในการรักษาว่ามีใครช่วยหรือเปล่า ?

ผีได้ตอบผ่านปากหมอไควโรซว่า.....
"มีคนช่วย เวลาหมอตรวจคนไข้ก็จะมีผีของหมอคนอื่นๆ มาช่วยตรวจ หมอเลยสามารถรู้อาการของคนไข้ โดยแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากถามไงล่ะ !"

ที่มา - เว็บ sangdham.8m.com

<<< กลับสู่สารบัญ



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved