ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 9/5/08 at 08:45 Reply With Quote

(ตอนที่ 4) รูปภาพชุด..เกิด..แก่..เจ็บ..ตาย "ศพจริงๆ" ถ้าไม่มั่นใจก็อย่า Click"


<< ตอนที่ 3

(Update ใหม่ล่าสุด 7 ก.ย. 2551)

ภาพชุดที่ 1 "ชาติปิ ทุกขา" การเกิดเป็นทุกข์


คลิปวีดีโอ "ตอนคลอด"





เชิญ "คลิก" ชมต่อไป

- ตอนผ่าคลอด

- ลิตาตอนคลอด

- Prevent Cesarean Surgery

- ทำแท้ง



สมัยใหม่ว่า...เรื่องของการเกิด




การแพทย์สมัยใหม่ได้อธิบาย...ขั้นต้อนวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ตัว "สเปิร์ม" ใน "อสุจิ" ของบิดาประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านตัวสามารถเจาะเข้าไปภายในไข่ของมารดาที่สุกเต็มที่ได้เพียงตัวเดียว ต่อจากนั้นวิวัฒนาการของชีวิต จึงเริ่มขึ้นจนกลายมาเป็นตัวเราในปัจจุบันนี้

ศาสตร์อันนี้ หาใช่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ไม่ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนแล้วเมื่อ ๒๕๙๖ ปีก่อน และมีรายละเอียดบางอย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถบอกได้ มีอธิบายดังนี้

สมัยพุทธกาลว่า..เรื่องของการเกิด

เมื่อมี "จิต" เข้าถือปฏิสนธิในไข่ที่ผสมเชื้อไว้แล้ว ความเป็นคนก็ถือกำเนิดขึ้น "จิตวิญญาณ" ที่เกิดสืบต่อก็ทำหน้าที่สร้างสรร และหล่อเลี้ยงชีวิตให้วิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้

“รูปร่างกายนี้เริ่มต้นมาจาก "กลละ" ก่อน
1. จาก "กลละ" เป็น "อัพพุทะ"
2. จาก "อัพพุทะ" เกิดเป็น "เปสิ"
3. จาก "เปสิ" เป็น "ฆนะ"
4. จาก "ฆนะ" เกิดเป็น ๕ ปุ่ม
ต่อจากนั้นก็มี "ผม ขน และ เล็บ" เกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าว น้ำ โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็เลี้ยงอัตภาพอยู่ด้วยอาหารอย่างนั้น”

ที่มา...พระไตรปิฎก (มจร.) เล่มที่ ๑๑ หน้า๑๐๗ , เล่มที่ ๑๕ หน้า ๒๓๘

คัมภีร์อรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมว่า

ระยะแรกที่ยังเป็น "กลละ" นั้น หมายความว่า สัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา อวัยวะทุกส่วนมิใช่เกิดพร้อมกันทีเดียว แท้ที่จริงแล้วค่อยวิวัฒนาการขึ้นทีละน้อยตามลำดับ โดยระยะแรกอยู่ในสภาพเป็น “ กลละ ” ก่อน


"กลละ" คือ น้ำใสๆ มีสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำ มันงาซึ่งติดอยู่ที่ปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด ในกลละนั้น มีเค้าโครงของกายภาพอยู่ด้วยแล้ว ๓ อย่าง

๑. กายทะสะกะ (โครงสร้างทางร่างกาย)
๒. วัตถุทะสะกะ (โครงสร้างทางสมอง)
๓. ภาวะทะสะกะ (โครงสร้างเพศ)

โครงสร้างทั้ง ๓ นี้ปรากฏรวมอยู่แล้วในกลละ "กลละ" มีลักษณะเป็นก้อนกลมใสมีขนาดเท่าหยดน้ำมัน งาซึ่งติดอยู่ที่ปลายขนแกะแรกเกิด ๑ เส้น

จาก "กลละ" มาเป็นชิ้นเนื้อ (จากน้ำใสๆมาเป็นน้ำขุ่นๆ) ครั้งเป็น "กลละ" ได้ ๗ วัน "กลละ" นั้นก็วิวัฒนาการเป็นน้ำขุ่นข้น มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ เรียกว่า “อัพพุทะ”

จาก "อัพพุทะ" มาเป็นชิ้นเนื้อ (จากน้ำขุ่นๆเป็นชิ้นเนื้อ) ครั้งเป็น "อัพพุทะ" ได้ ๗ วัน "อัพพุทะ" เกิดการแข็งตัวกลายเป็นชิ้นเนื้อสีแดง มีลักษณะคล้ายเนื้อแตงโมบด

จากชิ้นเนื้อมาเป็นก้อนเนื้อ ครั้นเป็นชิ้นเนื้อได้ ๗ วัน ชิ้นเนื้อนั้นก็เกิดการแข็งตัวขึ้นกลายเป็นก้อนเนื้อทรงกลม คล้ายไข่ไก่

จาก "ก้อนเนื้อ" ก็เป็น ๕ สาขา สัปดาห์ที่ ๕ (วันที่ ๒๙) ก้อนเนื้อมีปุ่มเกิดขึ้น ๕ ปุ่ม ปุ่มเหล่านั้นจะเป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ และ ขา ๒

- สัปดาห์ที่ ๖ เกิดเค้าโครงตา (จักขุทะสะกะ)
- สัปดาห์ที่ ๗ เกิดเค้าโครงหู (โสตะทะสะกะ)
- สัปดาห์ที่ ๘ เกิดเค้าโครงจมูก (ฆานะทะสะกะ)
- สัปดาห์ที่ ๙ เกิดเค้าโครงลิ้น (ชิวหาทะสะกะ)

ตั้งแต่แรกถือปฏิสนธิ จนกระทั่งถึงเวลาเกิด "อวัยวะ" คือ ตา หู จมูก รวมเวลาทั้งสิ้น ๙ สัปดาห์ จากสัปดาห์ที่ ๙ ไปจนถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ องค์อวัยวะต่างๆ เกิดขึ้นครบ คือ ผม ขน เล็บ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ฯลฯ เป็นต้น


ในขณะที่รูปร่างต่างๆเกิดขึ้นนั้น อวัยวะปลีกย่อย ต่างๆ ของร่างกายก็เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย ทันทีที่จุติจิต ( ตาย) เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกันทันทีไม่ขาดสาย เหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธาร ไม่มีอะไรมาคั่นกลาง แม้ว่าจะตายที่กรุงเทพฯ แล้วไปเกิดใหม่ที่New Yock จิตขณะจุติและปฏิสนธิก็จะเกิดดับติดต่อกันไม่ขาดสาย เพราะจิตเกิดดับรวดเร็ว เพียงชั่ววินาทีเดียวจิต เกิด - ดับถึงแสนโกฏิขณะ


ฉะนั้นทันทีที่จุติจิตกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องเป็นปฏิสนธิจิต ด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวสั่งการ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อทันที ต่อไปจนถึง "ภวังคจลนะ" จากนั้นก็ "ภวังคุปปัจเฉทะ" ตัดกระแสภวังค์เดิม เพื่อรับอารมณ์ใหม่ต่อไปอีก


ตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นต้นไป ทั้งๆที่ไม่สามารถมองเห็น หรือส่องกล้องดูได้ เพราะยังเป็น "น้ำใส" คือเป็น "กลละ" อยู่ แต่สัตว์นั้นก็มี "จิต-เจตสิก-รูป" อยู่พร้อมเพรียง อารมณ์ก็เกิดได้ แต่เป็นอารมณ์ที่อ่อนมาก เพราะเพิ่งจะได้ตั้งต้น พลังงานของกรรมเพิ่งเริ่มวางรากฐาน อารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเราหลับๆ ตื่นๆ หรือฝันไปดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามอำนาจของกรรมที่ได้สั่งสมมา ตื่นขึ้นก็เล่าความฝันไม่ค่อยถูก เวลานี้ผู้ใดได้ประหารเด็กในครรภ์ ก็ได้ชื่อว่าฆ่า .มนุษย์. แล้วโดยสมบูรณ์ ที่เรียกกันว่า “ทำแท้ง” นั่นเอง...




ฉะนั้น ความเข้าใจของนักวิชาการทั่วไป โดยเฉพาะนักวิชาการที่ได้รับความรู้มาจากฝรั่งชาวตะวันตกที่เข้าใจกัน ว่า “ ชิ้นเนื้อในครรภ์ที่มีอายุไม่ถึง๒ - ๓เดือน ยังไม่มีชีวิต” เป็นความเข้าใจที่ผิด ไม่ถูกต้อง! เพราะทันทีที่ตัวอสุจิจากพ่อเข้าผสมกับไข่ของแม่และมีจุติจิตวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ก็เกิดขึ้นทั้นที โดยไม่ต้องรอให้มีรูปร่างเหมือนอย่างที่นักวิชาการทั่วไปเข้าใจกัน.



ภาพชุดที่ 2 "ชราปิ ทุกขา" การแก่เป็นทุกข์

เราได้ชมภาพชุด "การเกิด" ผ่านไปแล้ว จะเห็นว่าเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ทั้งตัวเราและแม่ของเรา เกิดออกมาแล้วกว่าจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ก็แสนยากลำบาก บางทีเกิดมายังไม่ทันโตก็ตายเสียก่อนแล้ว คิดว่าคงจะไม่มีอะไรที่พูดกันมากนะครับ เพราะทุกคนก็เข้าใจดีกันอยู่แล้ว

ขอให้ดูภาพกันต่อไป ถ้าเรารอดชีวิตในขณะคลอดออกมาได้แล้ว พ่อแม่เลี้ยงกว่าจะโตขึ้นมา แล้วเราก็รับภาระเลี้ยงดูตัวเองต่อไป ทุกข์แค่ไหนคงไม่บรรยายนะครับ เอาว่า..ตอนจะแก่เป็นไงบ้าง ชมภาพตัวอย่างของผู้ที่แก่ก่อนเรากันต่อไปดีกว่า (ภาพบุคคลตัวอย่างนี้ กรุณารักษามรรยาทด้วย ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะเอามาชมกันเป็นแบบอย่างแค่นั้นเอง)






ผลสุดท้าย..ภาพของชีวิต..จุดจบคือ..นอนตาย..ในท่านี้เหมือนกันหมดทุกคน ไม่ว่าคนหนุ่ม..คนสาว..กลางคน..จนถึงคนแก่..ต้องตาย..ลงโรง..ไปในที่สุด ชนิดอย่างที่ไม่วันจะหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่น้อนนน...ที่ซุ๊ด..



ภาพแถมท้ายนี้ คงมีตัณหา..เอ้ยโทตๆๆ..มีปัญหาแน่นอนเลย หน่อยแน่ะ..บอก "วัยโจ๋...No Sex" สงกะสัย..เมื่อ ๕๐ ปีก่อนมั้ง..คุณยาย..คร๊าบบบ..ฮิ ฮิ :D





หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)

เทศน์เรื่อง "อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง"


(การเทศน์ "อสุภกรรมฐาน ๑๐" ชุดที่ ๓ - ๔ นี้ จะไม่ตรงกับคำสอนข้างล่าง)





คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
"เรื่องของจิต หรืออทิสมานกาย"


"...ตัวอย่างที่จะเห็นได้ง่าย ๆ ชาวบ้านชาวเมืองเขาตายให้พระบังสุกุลมานับไม่ถ้วนแล้ว อยากจะถามพระทุกองค์ที่ไปบังสุกุลนั้น มีความสลดใจ เสียใจว่าตาคนนี้แกตายบ้างไหม ถ้าหากว่าคนที่เรารักเป็นสามี ภรรยา บุตร ธิดา ญาติพี่น้อง บิดา มารดา เกิดตายขึ้นมานี่ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร

ศพคนอื่นที่เราไม่เคยสัมพันธ์กันตาย กับศพของเราตายลงไปเป็นยังไง มีความรู้สึกเหมือนกันไหม ของที่เรามีอยู่ถ้าไม่ใช่คนที่เหมือนกัน เป็นวัตถุ แก้วแหวนเงินทอง ของมีค่าที่เราพอใจมาก ของของชาวบ้านเขาสูญหายเท่าไรเราไม่หนักใจ ของของเราหายบ้างใจไม่สบายเดือดร้อน มีอารมณ์กลับ มีอารมณ์ไม่สบาย..เสียดาย

เรา คือ "จิต" ที่สิงในกาย หรือที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" เราจริง ๆ คือ "จิต" ร่างกายเป็นเพียงเรืองร่างที่อาศัยชั่วคราว เมื่อเรานึกถึงอารมณ์ของจิต คำว่าเราคือ "จิต"
เราไม่เคยคิดเลยว่าต้องการให้ร่างกายของเราแก่ ไม่ต้องการให้หิว ไม่ต้องการให้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ต้องการให้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องการให้มีทุกข์อย่างอื่น ไม่ต้องการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่ต้องการตายในที่สุด แล้วร่ายกายมันตามใจเราไหม

เราคือ "จิต" ร่างกายมันเป็นร่างที่อาศัย อารมณ์ที่เราต้องการแบบนี้ มีความปรารถนาเหมือนกันหมดทุกคน แล้วก็ร่างกายมันตามใจเราไหม..ลองนึกดู เวลานี้เราอายุเท่าไรแล้ว มันตามใจเราไหม ถ้าร่างกายมันเป็นของเราจริง เราพอใจอยู่แค่ไหน ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์

ก็เพราะว่าเราไม่อยากจะแก่แล้วมันเชื่อไหมล่ะ อยากจะกินอาหารอย่างไหนที่ว่ามันดีที่สุดที่มันมีประโยชน์แก่ร่างกายที่สุด ร่างกายจะได้ไม่ทรุดโทรม แต่กินเข้าไปเท่าไรก็โทรม ก็แก่ ยาขนานไหนดีที่สุดกินแล้วไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย กินเข้าไปเถอะ ไม่ช้ามันก็ตาย มันก็แก่ นี่เป็นอันว่าเราห้ามร่างกายไม่ได้

เราก็ต้องรู้ว่าร่างกายความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือ "จิต" ที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัย อันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรา

เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการทั้งปวง ถึงเวลาที่มันจะแก่ มันก็ต้องแก่ ถึงเวลาที่มันจะป่วยมันก็ต้องป่วย ถึงเวลาเวทนาต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมันก็เกิด ถึงเวลามันจะตาย จ้างมันเท่าไรมันก็ไม่เอา

แต่พอตายแล้ว ไปสวรรค์บ้างไปนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปนิพพานกันบ้าง ไอ้ที่ไปจริงๆ ร่างกายมันไปด้วยรึเปล่า..มันก็เปล่า..! ร่างกายเน่าทับถมพื้นแผ่นดินอยู่ บางทีเขาก็เผา บางรายเขาไม่เผาก็เละกระจาย เป็นกรวด เป็นดิน อันนี้ร่ายกายมันไม่ได้ไป ผู้ที่ตกนรก ไปสู่สวรรค์ มันเป็นใคร..นั่นแหละคือ เราที่เรียกกันว่า "อทิสมานกาย" หรือ "จิต" ที่สิงในกาย

นี่..มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ทันที ถ้าไม่โง่เกินไป หรือว่าไม่ฉลาดเกินพอดี ก็จะเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จะไปนั่งเมาเพื่อประโยชน์อะไร ต้องการมันหรือเกิดมาชาตินี้ความทุกข์ถมเต็มกำลังอยู่แล้ว เกิดในชาติต่อ ๆ ไป มันก็เป็นรูปนี้ ไม่ว่าชาติไหน แต่เกิดเป็นคนมันก็ยังดี แต่ถ้าเป็นคนเลวลงนรกไป มันก็นานนักถึงจะกลับมา

นี่...พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่า "ร่างกาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" เราก็จงวางภาระเสีย ทำใจให้สบายว่าร่างกายนี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้น แล้วมีความเสื่อมโทรมไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุดเป็นของธรรมดา เอาใจเข้าไปรับตัว "ธรรมดา" เข้าไว้..สวัสดี"

(((( โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนภาพชุด..เจ็บ..ตาย ))))

โปรด "คลิก" ชมต่อได้เลยครับ.. ตอนที่ 5  » 



หมายเหตุ รูปภาพประกอบนี้ กรุณาอย่าวิพากษ์วิจารณ์ ขอให้พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น ควรจะอุทิศผลบุญนี้ให้แก่ผู้วายชนม์ หรือที่เรียกว่า "อาจารย์ใหญ่" จึงจะเป็นการดีที่สุด
รูปภาพที่มา - เว็บที่เกี่ยวกับอสุภะ
.



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2041
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved