|
|
|
posted on 10/5/08 at 07:03 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 10/5/08 at 10:45 |
|
เรื่องเล่า...พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ผู้ตายแล้วฟื้นมาสองครา
(คัดมาจากหนังสือของ คุณทองทิว สุวรรณทัต )
ผู้เขียนจะต้องไปนั่งสัมภาษณ์ท่านผู้มีเกียรติท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังต่อสู้กับความตายอย่างกล้าหาญสมเป็นชายชาติทหาร บนเตียงคนไข้ ณ ตึกอายุรกรรมธนะรัชต์
โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ เพื่อรับการฟอกเลือด ด้วยเป็นโรคไตวายทั้งสองข้าง และจะมีชีวิตอยู่อีกสอง - สามเดือนเท่านั้น (ปี 2531)
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนไปส่งต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ "โลกทิพย์" และแวะไปที่ห้องทำงาน คุณสมศักดิ์ ตัณตยกุล
คุณสมศักดิ์ได้ส่งกระดาษชิ้นเล็กๆ แผ่นหนึ่ง มีข้อความว่า พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ กองสถิติ กระทรวงกลาโหม
ผู้เขียนอ่านแล้วเงยหน้าถาม ก็พอดีคุณสมศักดิ์บอกว่า "มีท่านผู้อ่านโทรศัพท์มาขอให้คุณลุงไปสัมภาษณ์เพราะท่านพันเอกเสนาะตายไปแล้วสองครั้ง
และกำลังจะตายอีกครั้งหนึ่ง ท่านมีเรื่องราวที่ท่านพบมาเมื่อครั้งท่านตายมากมายครับ"
ในเวลา 8 - 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ตึกอายุรกรรมธนะรัชต์ เพราะท่านให้เหตุผลว่า "ผมจะไปฟอกเลือด แล้วในห้องนั้นเงียบดี
เราจะได้คุยกัน"
ผู้เขียนถามท่านว่า ในวันนี้ไม่ว่างหรือ ! ท่านบอกว่าไม่มีเวลาว่างเลย เพราะมีผู้เชิญให้ท่านไปพูดตามสถานที่ต่างๆ ติดต่อกันถึงสองเดือน
ผู้เขียนได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ ด้วยท่านกำลังป่วยอยู่ ทำไมถึงผู้เชิญท่านไปพูดมากมายเช่นนี้ จึงถามท่านว่า "ก็ผู้การฯ ยังป่วยอยู่
ทำไมต้องไปพูดละครับ" ท่านตอบว่า "ก็เพราะผมอยากขึ้นสวรรค์ชั้นสูงเมื่อตายนะซีครับ...."
สาเหตุการตายครั้งแรก
เมื่อผู้เขียนเรียนถาม "ผู้การฯ เสนาะ" ถึงการตายครั้งแรกของท่านว่ามาจากสาเหตุใด และพบเห็นอะไรมาบ้าง ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ในปี 2513
ตอนนั้นท่าานยังประจำอยู่จังหวัดนครสวรรค์ มียศร้อยโทเต็มขั้น บิดาของท่านสิ้นแล้ว เป็นสมัยที่ท่านติดรัมมี่ เมื่อเลินงานก็นั่งเล่นรัมมี่กับเพื่อนๆ
ไปจนดึกดื่นค่อนคืนอดนอนอดข้าวเป็นเวลาถึง 6 เดือนเต็ม ๆ ร่างกายก็ทนไม่ไหว
คืนที่ท่านจะหัวใจวายนั้น เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ท่านก็เดินทางมากรุงเทพฯ พักที่บ้านมารดา แล้วก็เล่นไพ่อีก จนกระทั่งเกือบ 5 ทุ่ม รู้สึกหายใจไม่ออก
แน่นหน้าอกและหน้ามืด ทั้งมีอาการหนาวสะท้าน หายใจไม่ทัน จะไปหาหมอก็ไปไม่ไหว มารดาเห็นอาการของลูกเช่นนั้น ก็บอกว่า ไหนๆ จะตายแล้ว ก็ขอให้ตายที่บ้านเถิด
ไม่ต้องไปตายที่อื่น ท่านอยู่ในความทรมานไม่นานเท่าใดนัก ก็รู้สึกตัวว่าหมดลมไป !!
ตายแล้วไปไหน ?
"พอผมหมดลมแล้ว ก็รู้สึกตัวว่าไปเดินกับคนหมู่มาก แต่ว่าเขาไม่แต่งตัวเหมือนเรา เขาแต่งสีขาวเหมือนคนถูกมัดตราสังข์ส่วนผมเองนุ่งกางเกงขาสั้น
ใส่เสื้อยืดคอกลม ก็เดินไป พวกเขาก็ร้องไห้ เดินไปร้องไห้ไปตามถนนที่กว้างใหญ่ราบเรียบที่มีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีเสียงนกเสียงกาเลย แม้ต้นไม้ก็ไม่มีสักต้น
มีเวิ้งว้างไปทั่ว เห็นแต่หมอกสีขาวสูงประมาณหัวเข่าปกคลุมอยู่
แล้วผมก็เห็นว่าพวกเขาไม่เหมือนเรา คือ เรามีเนื้อมีหนังเหมือนคนธรรมดา พวกเขามีแต่โครงกระดูก ผมก็รู้ตัวว่านี่เรามาอยู่ในโลกใหม่แล้ว
ขณะนั้นมีเสียงที่มีอำนาจตามมาตลอดเวลา บังคับเราห้ามเราพูด เราได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัว ซึ่งเรื่องนี้ผมมาทราบภายหลังว่า พวกนี้มีร่างเป็นกายทิพย์
เป็นพวกทำบุญมาก มีกุศลสูงส่ง จึงได้เกิดบนสวรรค์
ถาม - เขาสั่งห้ามไม่ให้เราพูดกับใคร
ในช่วงนั้น ผมรู้สึกคิดถึงญาติพี่น้องมาก แต่กลับไม่ได้ เขาบอกว่าถ้าเราคิถึงญาติพี่น้อง อยากร้องไห้ก็ร้องไป ผมก็เดินร้องไห้ไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางเขาก็สั่งห้ามไม่ให้เหลียวซ้ายแลขวา ห้ามหันไปมองข้างหลัง เพราะว่าจะมีโทษ เขาว่าอย่างนั้น เราก็ต้องเชื่อเขา เพราะเขามีอำนาจมาก
เสร็จแล้วผมก็มาพบผู้หญิงคนหนึ่ง นุ่งผ้าถุงสีเขียวเสื้อก็เป็นผ้าด้ายดิบ แต่ขาวสะอาด ผมของแกปล่อยเกล้ามวยมีปิ่นที่ทำด้วยไม้ไผ่ปักอยู่
แกพูดจาเพราะมาก แกบอกว่า อาหารของผมอยู่ที่นี่ มาทานเสีย ทานเสร็จแล้วอิ่มแล้ว จะต้องไปไกลอีก แต่แกไม่บอกว่าไปไหน ในทางที่เราไปมีรากไม้เป็นสีเขียวๆ
มันๆ ท่อนใหญ่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเรา ส่งกลิ่นหอมฉุยเลย หอมชื่นใจ เขาต้องการให้เราเดินตามไปยังต้นกลิ่นของเขา
กลิ่นหอมนี้ไม่มีกลิ่นหอมชินดใดในเมืองมนุษย์มาเปรียบได้
ผมก็ทานอาหาร มีจำพวกไข่ดาว ไข่เจียว แกงเผ็ดเนื้อ แกงเผ็ดไก่ ไข่พะโล้ อะไรทำนองนี้ ที่คุณแม่เคยให้ใส่บาตรตอนเด็กๆ เราก็ทานไป นึกไปว่า
เราเคยเห็นกับข้าวเหล่านี้ที่ไหน ก็ไม่รู้ว่าเป็นกับข้าวที่เราเคยใส่บาตรตอนเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทานของเรา ครั้นอิ่มแล้วก็หิวน้ำ ผมจะหาน้ำกิน แกก็บอกว่า
เราตายแล้ว ไม่มีน้ำ เพราะตอนเป็นมนุษย์ ไม่เคยทำบุญด้วยน้ำ แกจึงไม่มีน้ำให้เรากิน ผมก็หิว จึงบอกว่า ผมจะกลับไปเมืองมนุษย์ใหม่ แล้วจะทำบุญด้วยน้ำ
แกก็บอกว่า คนมาที่นี่แล้วไม่มีใครกลับได้สักคน แล้วก็ถามผมว่า กินอิ่มหรือยัง ผมก็บอกว่าอิ่มแล้ว พอบอกว่าอิ่มแล้ว
อาหารที่พร่องก็ขึ้นมาเต็มจานอย่างเดิม ! แล้วแกก็แบกโต๊ะที่ใส่อาหารเดินหายไป เมื่อเป็นดังนี้ ผมก็เห็นช่องทางที่จะกลับบ้าน
จึงเดินย้อนกลับสวนกับคนที่เขากำลังยกกับข้าวมาให้คนที่ตายกิน แต่พวกนี้เขาไม่ได้เอาใจใส่กับผม ผมก็เดินกลับบ้าน เดินย้อนศรกลับมาทางเดิม
พอถึงบ้านก็รู้สึกหน้ามืด เป็นลม แล้วรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาหิวน้ำ บอกคุณแม่ขอน้ำกิน ครั้งนี้ผมไประยะหนึ่งเท่านั้นเอง คือไปเกือบๆ 4 ทุ่ม
แล้วฟื้นขึ้นมาประมาณ 4 โมงเย็น เรื่องนี้อาจจะไม่มีใครเชื่อนะครับ ตายแล้วฟื้นได้ แต่ก็ยังมีคนประเภทนี้ที่เราสามารถเช็คได้คือ คุณประชุมที่ห้างพาต้า
เขามีญาติของลูกน้องคนหนึ่งตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา
การตายครั้งที่สอง
ผู้เขียนฟังผู้การฯ เสนาะ เล่าถึงเรื่องการตายแล้วฟื้นในครั้งแรกแล้ว ได้เรียนท่านว่า ผู้เขียนเชื่อเรื่องตายแล้วฟื้น
เพราะเคยคุยกับคนที่ตายแล้วฟื้นมา ทั้งเคยเขียนลงในนิตยสาร "โลกทิพย์" ด้วย แต่ยังไม่เคยพบคนตายแล้วฟื้นสองครั้งสองคราเช่นตัวท่าน
จึงอยากจะขอให้ท่านเล่าถึงการตายครั้งที่สองให้ฟังสักครั้ง
ท่านผู้การฯ ก็กรุณาเล่าต่อว่า เมื่อปี พ.ศ.2528 ท่านมาล้างไตที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ เพราะป่วยเป็นโรคไตวาย ได้รับการล้างไตที่ห้อง 609 ตึก 8 ชั้น
ในขณะที่กำลังล้างไตอยู่นั้น ได้เกิดช็อค หัวใจหยุดเมื่อเวลา 8.30 ถึง 19.05 น. อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกผม บอกว่าผมตายแล้ว ให้ไปกับเขา
ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดคนป่วย
ปรากฏว่าตัวผมไปแล้ว ก็เห็นร่างของผมโปร่งแสง คือไม่มีกระดูก ไม่มีปอด ม้าม ตับไตไส้พุง ตัวมันเบา เรียกว่า กายละเอียด เขาบอกว่า เราตายแล้ว
มีแต่เสียงมา ไม่เห็นตัว เรามองหาก็ไม่เห็น แต่เขามีอำนาจมาก เราต้องกลัวเขา
พอผมลุกขึ้น เขาก็บอกว่า บัดนี้เราต้องห่างลูกห่างเมียไม่ได้พบอีกแล้ว เราต้องไปอยู่โลกใหม่ของเรา ถ้าคิดถึงลูกเมียตอนนี้ก็ให้ร้องไห้เสีย
ผมก็ยืนร้องไห้อยู่นาน พอหายโศกเศร้าแล้ว เขาก็บอกให้ไปกับเขาได้ เขามีแผ่นแก้วใสหนาประมาณสัก 5 เซนติเมตร กว้างยาวเท่าตัวเราพอดี เขาบอกให้ขึ้นไปนอน
เขาจะพาไปโลกใหม่ ผมก็ขึ้นไปนอน
ระหว่างทางที่เราจะไปนั้น เขาสั่งให้เรามองที่ปลายเท้าอย่างเดียว ห้ามเหลียวซ้ายแลขวา ถ้าไม่เชื่อจะมีโทษมาก แล้วเขาก็พาผมไป ไม่ทราบว่าไปไหนนะครับ
แต่ผมรู้ว่าไปสวรรค์ ที่รู้ก็เพราะว่ามันลอยขึ้นสูง มีแต่ความเงียบสงัดลอยขึ้นไปนานมาก ผมก็เห็นเมืองสวรรค์ ที่เขาบอกว่าสวรรค์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง
ชั้นสามนั้น ก็เหมือนเมืองมนุษย์ ทุกอย่างเหมือนกันหมด มีผู้มีคน มีบ้านมีเรือน
แต่เมื่อขึ้นไปชั้นสูงๆ ก็ไม่เห็นคน ได้ยินแต่เสียงคนพูดกันเท่านั้น สถานที่มันก็ต่างกัน อย่างบ้านเรือนนี่ก็เปลี่ยนจากไม้เป็นตึก หลังคาทองคำ
สวยงามมากนะครับ ตั้งแต่ชั้น 11 ขึ้นไปถึงชั้นที่ 27 ที่นี่มันสว่างไสวไปด้วยเปลวทองคำที่จับบนหลังคา มันแตกต่างกัน
ผู้คนเรามองไม่เห็นได้ยินแต่เสียงสวดมนต์
รู้สึกว่าเรามีความสุขมากเพราะมีแต่ความเงียบสงัด มีความสดชื่น แล้วก็คลายทุกข์ทุกๆ อย่างหมด ได้รับแต่กลิ่นหอมของดอกไม้บนเมืองสวรรค์ที่ไม่มีในโลกนี้
ดอกไม้นี่มันบานออกกลางใบ ต้นไม้สูงเท่าต้นมะม่วง ใบมีสีเขียวเข้ม ดอกสีเหลืองอ่อนๆ พอเวลาเราเดินผ่าน ก็หอมฉุยเลย
ผมอยู่ในระหว่างนั้นสักชั่วโมงกว่าๆ เขาพาไปเที่ยวหมด แผ่นแก้วมันก็พาเราไปสวรรค์ชั้นต่างๆ จนถึงชั้น 27 ผมก็นอนอยู่อย่างนั้น เห็นหมด แต่พูดไม่ได้
ความสวยงามของสวรรค์แปลกมาก เพชรนิลจินดาที่ประดับอยู่บนหลังคานั้น มันสว่างวูบวาบ วูบวาบไปหมด ทำให้เกิดความสว่างไสวไปทั่ว แต่ไม่เห็นผู้คน
เพราะท่านเหล่านั้นมีกายทิพย์
เราไม่สามารถที่เห็นได้ มีแต่เสียงสวดมนต์ เราฟังแล้วรู้สึกเยือกเย็นชื่นใจ รู้สึกสบายใจ ฟังแล้วมีความสุข ฟังแล้วลืมความทุกข์ทั้งสิ้นเลย
ทำให้เราละความทุกข์ที่จากโลกมนุษย์มาได้ เราอยากอยู่ แต่เขาไม่ให้เราอยู่ เพราะบุญกุศลเรามันน้อย ไม่ถึงชั้นบน
เขาบอกว่า บุญกุศลของผมอยู่แค่ชั้น 7 เท่านั้น ส่วนเมืองนรกนั้น ผมก็เห็นสภาพมาแล้ว เพราะในระหว่างเดินทาง ผมเอี้ยวคอไปทางซ้าย แลเห็นนรกเยอะแยะเลย
แต่เล่าไม่ได้ครับ เขาห้ามเล่าเพราะเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวและน่าเวทนา
ในนรกมีอยู่สามอย่างด้วยกัน คือ
1. ความทุกข์ยาก
2. ความเจ็บปวด
3. ความทุกข์ทรมาน
นรกจะมี 3 อย่างเท่านี้ แต่ละคนที่ตกอยู่ในนั้นไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่ง แก้ผ้ากันหมด มีแต่หนังหุ้มกระดูก มีผู้คนตกนรกเยอะมากเหลือเกิน นับไม่หวาดไม่ไหว
มันต่างกับสวรรค์ ในนรกไม่มีที่จะอยู่นะครับ มันแน่นเหลือเกิน ช่วงที่ผมไปนั้น มีคนตายไปลงนรกมากมาย แต่ละคนแต่งขาวนุ่งขาวห่มขาว
ลักษณะเหมือนถูกมัดตราสังข์ ใบหน้าเป็นมะขามเปียก ร้องไห้คร่ำครวญ ลงนรกกันเป็นแถว
แต่ละชั้นแตกต่างกัน เท่าที่ผมไปมาในคราวนั้นพอจะทราบเรื่องสวรรค์ดังนี้
- สวรรค์ชั้น 1 ถึง ชั้น 5 เหมือนเมืองมนุษย์ทุกอย่างเพราะเป็นกายหยาบ
- ชั้น 6 ถึง 10 เป็นกายละเอียด เพราะชั้น 10 นี่ยังเห็นกายเหมือนพลาสติกใสๆ อยู่
-ชั้น 11 ขึ้นไปแล้ว เป็นกายทิพย์
- ชั้น 6 ขึ้นไป สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่มีฝุ่น อากาศก็เย็น ประมาณ 15-16 องศาเซลเซียส ต้นหมากรากไม้มี แต่ไม่มาก สัตว์ต่างๆ ไม่มีเลย เงียบ
มีแต่เสียงสวดมนต์
ที่ผมจำได้คือ "บทชินบัญชร" ตอนนั้นผมยังไม่ได้บวช ก็ไม่ทราบว่ามีชินบัญชร ตอนหลังไปบวชแล้วไปดูข้อความบทสวดที่เราได้ยินนี่ เป็นบทสวดตอนไหน
ถึงได้ทราบว่า อ้อ ! บทชินบัญชรนี่เอง คือ เขาอาจจะสวดหลายอย่างนะครับ แต่ผมจำได้อย่างเดียว
พบบ้านในสวรรค์
ผู้การฯ เสนาะขยับพลิกตัวคล้ายๆ ให้คลายความอึดอัด หรือเมื่อยขบที่ต้องนอนอยู่ท่าเดียวเป็นเวลานาน แล้วเล่าต่อว่า ตอนที่ผมกลับ
เขาพากลับลงมาที่สวรรค์ชั้น 7 มีบ้านผมอยู่แล้ว ทั้งมีคนมาคอยต้อนรับ 3 คน เป็นผู้ชาย 1 ผู้หญิง 2 ไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อนเลย หน้าตาแปลกๆ
แต่งตัวก็เหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละครับ แต่เสื้อผ้าเขาสะอาดมีกลิ่นหอมเหมือนกันหมด
กลิ่นที่ว่านี้เหมือนการบูรที่เอามตำผสมกับเกสรดอกไม้ เช่น ดอกทานตะวัน ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ หน้าตาเขาไม่บุดบึ้ง พูดจาก็สุภาพ เขาบอกว่า
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของผม ผมก็สงสัยนึกว่า เอ๊ะ ! บ้านผมเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร บ้านผมอยู่ในเมืองมนุษย์เล็กนิดเดียว
เพราะผมกู้เงินจากสวัสดิการเขามาปลูกเพียงแปดหมื่นบาท
พอเห็นบ้านบนสวรรค์นี่ ผมก็เกิดกิเลส อยากเข้าไปอยู่เพราะมันใหญ่โต มีสามมุข พื้นกระดานมันปล๊าบเลย คล้ายๆ กับพื้นไม้สักขัดมัน
อ้ายบ้านเราในเมืองมนุษย์มันพื้นไม้เต็ง เวลาเดินทีดังแอ๊ดๆ จึงเกิดกิเลสขึ้นมาอยากอยู่ ก็ขอเขาเข้าไป แต่เขากลับบอกว่า เข้าไม่ได้
เพราะว่านายยังไม่ให้กุญแจ ผมก็แปลกใจ เอ๊ะ ! ก็บ้านของผม ทำไมจะเข้าไปไม่ได้
เขาบอก ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะเข้าไปอยู่ในบ้านนี้ ท่านยังมีกรรมอยู่ ท่านต้องกลับไปใช้กรรมอีกนิดหน่อย ผมฟังดังนั้นก็ถามเขาไปว่า อ้าว !
เมื่อกี้นี้ไปเอาผมมาแล้ว เรื่องอะไรจะให้ผมกลับไปอีก แล้วผมก็บอกว่า เอ ! ผมนึกไม่ออกนะครับว่า ผมทำอะไรถึงได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาก็พูดว่า
ท่านลองคิดดูซิ ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ ท่านทำบุญด้วยอะไร
เราก็นึกไปถึงเคยทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ผมสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียบ หาเงินเข้าวัด สร้างพระอุโบสถ ซื้อกระเบื้อมุงหลังคา อะไรเหล่านี้ ผมทำบุญมากนะครับ
ตอนป่วยครั้งหลังเป็นโรคไตนี่ ผมเป็นพันเอกแล้ว ปี 2527 เป็นพันเอกแล้ว ตอนผมตายครั้งแรกแล้วฟื้นขึ้นมา ผมทำบุญใหญ่เลย เดินแจกซองผ้าป่าเอง
เพื่อหาเงินเข้าวัด เป็นเจ้าภาพเอง หาพรรคพวกทำทุกอย่าง ทำบุญมาตลอด
ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า "ตอนนั้นปฏิบัติธรรมหรือยัง"
ท่านผู้การฯ เสนาะบอกว่า "ยังทำไม่เป็นครับในตอนนั้น ทำบุญอย่างเดียว"
แล้วท่านเล่าต่อ "บนสวรรค์นี่ เวลาเรานึกในใจว่า เราเคยทำอะไรๆ มาบ้าง เขาก็กุเวลานึกไปว่าเราเคยทอดผ้าป่า เคยทอดกฐิน เคยหาเงินเข้าวัด เขาก็พยักหน้า
ทั้งสร้างหอระฆัง หอฉัน เราทำหมดสร้างบ่อน้ำ เราก็ทำมาก เพราะต้องการมีน้ำกิน เวลาตายไปแล้วจะได้ไม่อดๆ อยากๆ กินข้าวแล้วไม่มีน้ำเหมือนครั้งแรก
พูดกันไปพูดกันมา เขาก็ไม่ให้เข้าบ้าน เราก็จะเข้า แล้วผมถามว่าคุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ?
เขาบอก ผมช่วยเขาไว้ตอนผมเป็นมนุษย์ ผมก็ถามว่า เคยทำอะไรให้คุณละ เขาบอกว่าคุณลองนึกอีกทีซิ ที่คุณเคยช่วยคนตอนเป็นมนุษย์น่ะ ช่วยยังไง
ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ของคุณพ่อที่ไม่ใช้ไปให้คนที่เขาถูกไฟไหม้บ้านหมดตัว ไม่มีเสื้อผ้าใส่ แล้วก็ซื้อพวกเนื้อเค็ม ปลาเค็ม
ปลาแห้งไปให้เขา เพราะไฟไหม้สมัยก่อนมันหมดตัวจริงๆ เขาก็พยักหน้า รู้ทันความคิดของเราหมดทุกตอน ผลบุญที่เราทำมานี้ทำให้ได้เขาเป็นผู้รับใช้เรา
เมื่อเวลาเขาหมดบุญ หมดอะไรที่เคยผูกพันกับเราแล้ว เขาก็ไปอยู่ตามที่ของเขา อาจไปอยู่สวรรค์ชั้น 1 ถึง 2 หรืออยู่นรกไหนก็แล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ในโลกมนุษย์
ครั้นพูดคุยแล้ว ผมก็อยากจะเข้าบ้านเพราะเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง เขาก็ไม่ยอมให้เข้า ผมดื้อจะเข้าท่าเดียว เขาก็เลยพูดจากอ่อนน้อม แต่แข็งกร้าว
ไม่ยอมให้เข้าเด็ดขาด เมื่อเห็นผมจะเข้าจริงๆ เขาก็แปลงร่างจากคนธรรมดาเป็นมนุษย์ยักษ์ ตัวเบ้อเริ่ม ดำเป็นเหนี่ยง หน้าตาน่ากลัว ผมก็ถอยหลัง
แล้ววิ่งหนีมาที่แผ่นแก้ว แผ่นแก้วก็พาผมลงมาที่สวรรค์ชั้น 2
พบเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เมื่อผมมาถึงสวรรค์ชั้น 2 ก็พบเพื่อนที่ตายไปแล้ว เป็นนายทหาร 10 คน เขามาคอยรับผม เอารถน้ำ เอาเกวียน เอารถโบราณมารับผมหมดเลย ดีใจที่ได้ผมเป็นสมาชิก
เพราะเขารู้ว่าผมจะต้องกลับไปโลกมนุษย์ แล้วเพื่อนๆ ก็ผมไปหาเพื่อนอีก 10 คน (ซึ่งขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่)
เพื่อนทั้ง 10 คนนี้นอนอยู่บนเตียง เพื่อน 10 คนกลุ่มแรกที่ไปรับผมนั้นตายไปแล้ว แต่เพื่อนอีก 10 คนที่นอนอยู่เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เขานอนนิ่งเฉย
ทุกคนมีความเศร้าโศกมาก ทุกคนเสียใจที่ได้ตายจากญาติพี่น้องมา ก็นอนแบบคนมีทุกข์
มีเพื่อนคนที่ตายไปแล้วเอาข้าว น้ำ มาให้กิน ผมก็ประหลาดใจ จึงถามว่า ก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันทั้งนั้น ทำไมต้องปรนนิบัติเอาข้าวเอาน้ำมาให้กินด้วยเล่า
เขาก็บอกว่า เพื่อน 10 คนที่นอนอยู่บนเตียงนี่เป็นผู้มีพระคุณต่อเขา เพราะในปีหนึ่งๆ ให้เขากินอิ่มปีละ 1 วัน
ผมมานึกดู ปีหนึ่งๆ เขากินอิ่มปีละ 1 วันได้อย่างไร คิดไปคิดมาก็นึกออก อ๋อ ! พวกนี้เขาเป็นกรรมการรุ่นไงครับ พอเลี้ยงพระเสร็จ
ก็บังสุกุลให้แก่เพื่อนร่วมรุ่นที่ตายไปแล้ว ทำอย่างนี้มันถึงกุศลไปถึงพวกที่ตาย เขาก็ได้รับอาหาร เขาจึงถือว่าเป็นการผูกพันกัน
เมื่อตายไปแล้วต้องคอยรับใช้กัน
ผมก็ถามต่อว่า ไหนละ เตียงผมอยู่ไหน อยากจะนอนบ้าง ช่วยเอาไม้มาต่อให้นอนหน่อย เขาก็บอกว่ายังไม่มีเตียงของผมหรอก ยังทำไม่เสร็จ ไม้ก็ไม่มี
บนสวรรค์เขายังไม่ส่งมาให้ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่ไม่ไช่ที่อยู่ของผม เวลาผมตายมีที่อยู่สูงกว่านี้
ผมก็ไม่ยอมฟัง จะให้เขาต่อเตียงนอนให้ จนกระทั่งเขาเอาเศษไม้มาให้ผมดู แล้วบอกว่าเขาทำไม่ได้ดอก มีตะปูอยู่ตัวสองตัว มีไม้อยู่เพียงท่อนสองท่อน
จะมาต่อเป็นเตียงนอนทำไม่ได้ ผมจึงบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะรีบกลับละ เพราะผู้มีอำนาจสั่งให้ผมรีบกลับแล้ว เนื่องจากผมยังมีกรรมต้องชดใช้ให้หมดเสียก่อน
จึงจะขึ้นไปสวรรค์ชั้น 7 (บารมีในช่วงนั้น)
ผมโชคดีที่ได้กลับมาอยู่ในร่างเก่า ไม่ได้กลับมาในร่างของสัตว์เดรัจฉาน เช่น สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์จำพวกที่ใช้แรงงาน เพราะว่าบุญที่ผมทำมาเยอะ
ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ตัวว่าจะได้รับผลอย่างนี้ เขาก็บอกว่าจะต้องรีบกลับแล้ว ในช่วงนี้ทางโรงพยาบาลรู้สึกจะไม่ปั๊มหัวใจให้ผมแล้ว
เขาสั่งมาเพราะเกรงว่าผมจะเข้าร่างไม่ทัน
ผมก็เดินผ่านเพื่อนๆ ขึ้นไปบนแผ่นแก้วเพื่อกลับโลกมนุษยส์ เพื่อนทั้ง 10 คนที่นอนอยู่ก็ยกมือขึ้นมาและบอกว่า "เพื่อนไปโลกมนุษย์แล้ว
อย่าลืมทำบุญให้เราบ้าง เพราะเราไม่มีกินถึงมีกินก็ไม่ครบมื้อ ผมก็รับปากจะทำบุญให้ เขาก็ยกมือโลกไหวๆ ทั้ง 10 คนนี่ ผมจำได้อย่างแม่นยำว่ามีใครบ้าง
แต่ตอนนี้ห้ามเอ่ยชื่อนะครับ
เมื่อผมกลับมายังโลกมนุษย์ ยังไปเล่าให้พวกเขาฟัง ทั้งบอกว่า ถ้าจะตายต้องทำบุญมากๆ ทั้ง 10 คนนี่มีเชื่อยู่คนเดียว ทั้งผัวทั้งเมียก็ทำบุญต่ออายุ
ทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร ปล่อยนกปล่อยปลา เขาก็ทำตามที่ผมบอก ก็มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้คนเดียว คนที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6
นั้นตายหมด ตายเรียงเป็นแถวเลย !
ผมจากเพื่อนๆ มาแล้วก็ลงมาสวรรค์ชั้น 1 ก็พบเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนายทหารชั้นพันเอก เขาก็ต่อว่าเพื่อนใจดำเหลือเกิน ไม่ยอมเอาบันไดทอดลงมา
เขาจะได้ขึ้นไปอยู่สบายๆ สวรรค์ชั้น 1 นี่มันไม่มีที่นอน มันไม่มีเก้าอี้ อาหารการกินก็น้อย
ในระหว่างที่ผมเล่าเรื่องสวรรค์อย่างเดียวนี่ก็ประมาณชั่วโมงเศษๆ อันนี้ผมก็ขอผ่านไปครับ ผมก็บอกเพื่อนว่าผมจะรีบกลับละนะ
เพื่อนก็บอก เออดี ! จะกลับก็ดี ขอให้ทำบุญให้เราด้วยก็แล้วกัน เราจะได้มีกินครบสามมื้อ เราอยู่ที่นี่ เวลาใครเขาทำมาให้ก็ได้กิน
เมื่อไม่มีใครทำบุญมาให้ ก็ได้อาศัยบุญเก่าที่เคยสร้างสมมา คนนี้เขาทำบุญไว้น้อยมาก แต่กรรมดีที่เขาทำก็ช่วยให้ขึ้นสวรรค์ แต่อาหารการกินเขาทำน้อย
มันก็ได้กินน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับอดอยากดอกครับ อยู่บนสวรรค์น่ะ ทว่าไม่ครบมื้อเท่านั้นเอง
วิญญาณเข้าร่างอย่างไร
จากนั้นผมก็เดินทางมาโรงพยาบาล พอมาถึงจะเข้าร่างกายของเรา แต่เข้าไม่ได้ เราเจอร่างของเราก็ดีใจ เพราะพ้นจากสภาวะของอำนาจแล้วเราก็เป็นคน
ความรู้สึกทางด้านที่อยากอยู่บนสวรรค์ก็หมดละ ไม่อยากไปแล้ว เห็นร่างของตนก็อยากจะหวนกลับเข้าร่างท่าเดียว คิดถึงลูก คิดถึงเมีย กระโดด เข้าใส่ผาง !
เข้าไม่ได้ กระเด็นออกมา เพราะเรากระโดดใส่ทางศีรษะ คนที่มาส่งเขาก็บอกว่า เมื่อออกจากร่างอย่างไรก็เข้าอย่างนั้นซิ
เวลาออกผมลุกขึ้นนะครับ เวลาจะเข้าก็ต้องนั่งเอาขาซ้ายทับขาซ้าย ขาขวาทับขาขวา เอาตัวทับตัว แล้วเอาคอทับคอ พยายามอย่าให้มันเหลื่อม พอเอาคอทับคอเสร็จ
เอาหัวลงจะนอน ก็ฟื้นพอดี เวลาทั้งหมดที่ผมตายไป ตั้งแต่ 8.30 น. ถึง 19.05 น. นั้น คล้ายๆ เราหลับไป
แต่หมอบอกผมภายหลังว่า หัวใจหยุดเต้นแล้ว หัวใจหยุดเต้นมันก็คือตายนั่นเอง แต่ช่วงระยะเวลามันสั้น เวลาจะตายมันหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก แต่ตายครั้งที่ 2
นี่ทรมานไม่มากเลย สบายที่สุด ตายครั้งแรกยังทรมานมากกว่า
16 มิ.ย. 2531 ไปสวรรค์
พอกลับมาในครั้งนี้ เขาก็บอกว่าที่เราไปเห็นอะไรในสวรรค์หรือในนรกนี้ เขารู้นะครับว่า เราแอบหันไปมองทางซ้าย เขารู้ด้วยญาณวิเศษว่าเรานี่แอบมอง
เขาบอกว่า เรื่องที่ไปเห็นอะไรๆ ในสวรรค์นั้นเล่าได้ แต่เรื่องไปเห็นอะไรในนรกนี่ห้ามเด็ดขาด มิฉะนั้นจะมีโทษมาก คำว่า "โทษ" ของเขานี่ เจ็บปวดมากนะครับ
เขาตีอานเลย เจ็บปวดมาก แล้วเรากลัวเขามากที่สุด เขาบังคับโดยตลอด
คนที่ตายไปแล้วไม่มีเสรีนะครับ ตายไปแล้วถูกบังคับตลอดเวลา ไม่ว่านรก ไม่ว่าสวรรค์ เราไปสวรรค์นี่เขาพูดกับเราสุภาพนิดๆ เท่านั้นเอง
แต่แฝงด้วยอำนาจที่เราต้องปฏิบัติตาม ถ้าเราจะให้เขาพูดดีกับเราได้ต้องทำบุญมหาศาลต้องทำบุญ สร้างสมบารมี เขาจึงจะพูดกับเราด้วยกิริยานอบน้อม
แล้วเขาบอกว่าให้ไปบรรยายเรื่องสวรรค์นี่กับทหารกับญาติพี่น้องใกล้ชิด ที่เขาเชื่อในพระพุทธศาสนา ว่าเรื่องนรกเรื่องสวรรค์นั้นมีจริง อย่าไปโมโหเขา
อย่าไปโกรธเขา ถ้าเขาไม่เชื่อ เพราะแต่ละคนมันมีกรรมมีเวรไม่เหมือนกัน แล้วแต่กรรมของบุคคล อย่าไปโมโหโกรธา ไปดุด่าเขา หรือใช้กำลังกายกับเขา
ข้อนี้ไม่ไห้ทำเด็ดขาด ถ้าจะทำถือว่ามีโทษ ให้ตัดใจเสียได้
ในการบรรยายนอกจากสิทธิของเรา เช่น ผมได้ค่าเบี้ยเลี้ยง 200-300 บาท อันนี้เอาได้ ของขบเคี้ยวที่เขาให้เป็นน้ำเป็นผลไม้ อันนี้กินได้ อาหารกินได้
แต่อย่าเอาปัจจัยที่เขาลงขันใส่กระป๋องแล้วมาทำบุญร่วมกับเราเอาไปใช้เด็ดขาด ถือว่าจะมีโทษมาก คำว่า "โทษ" นี้ขนหัวลุกเลย
คือเงินที่เราไปบรรยายนี่เขาจะลงขันมาให้เราทำบุญ เราต้องเอาไปทำบุญ อย่าเอาไปใช้
หลังจากที่ผมตายคราวนี้ กลับมาจะแข็งแรงเหมือนมนุษย์ธรรมดา เขาจะให้เวลาผมในช่วง 8 มีนาคม 2528 ถึง 16 มิถุนายน 2531 ในช่วงนี้ห้ามผมตาย
ห้ามตายก่อนกำหนดเป็นอันขาด มีหน้าที่ให้เผยแพร่การไปพบนรก-สวรรค์ มาให้คนได้เห็น คนได้รู้
อภินิหารหลวงพ่อวัดปากน้ำ
เมื่อผู้การฯ เสนาะ เล่ามาถึงแค่นี้ ผู้เขียนได้เรียนถามท่านว่า ปัจจุบันท่านปฏิบัติธรรมหรือเปล่า"
ผู้ว่าการฯ เสนาะ บอกว่า "ทุกวันนี้ผมนั่งสมาธิโดยใช้ภาวนา "สัมมา อะระหัง" เวลานั่งก็นึกถึง "หลวงพ่อวัดปากน้ำ"
เอารูปหลวงพ่อมานั่งดูและอธิษฐานในใจ ขอให้หลวงพ่อช่วยการเจ็บป่วยของลูก อยู่ไปถึง 16 มิ.ย. 2531 หลังจากนั้นจะเป็นอะไรก็ไม่ว่าแล้ว
ขณะที่ผมนั่งสมาธิไม่ได้นึกถึง "ดวงแก้ว" อย่างที่เขาปฏิบัติกันดอกครับ ผมนึกถึงหลวงพ่ออย่างเดียว เวลาไหว้พระก็ใช้บทสวดต่างๆ ของวัดปากน้ำ
แล้วถึงนั่งสมาธิ ซึ่งอยู่ในเวลาระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม ตอนลูกเข้านอนหมดแล้ว เพราะตอนนั้นมีความสงัดวิเวกพอสมควร"
เหตุที่ผมหันมาภาวนา "สัมมา อะระหัง" ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เพราะผมเคยเห็นอภินิหารของท่าน ครั้งนั้นผมยังเป็นเด็ก ไม่ค่อยจะเชื่อถือพระเจ้า
คุณแม่พาผมไปกราบศพหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ พาผมขึ้นไปบนตึกชั้น 2 บอกว่า โลงศพของท่านตั้งอยู่บนนั้น ก่อนที่คุณแม่พาผมขึ้นบันไดไป ผมก็นึกในใจว่า
ถ้าหลวงพ่อเก่งจริงดังคำเขาร่ำลือ ก็ขอให้แสดงอภินิหารให้ผมเห็นดูซิ
พอขึ้นไปถึงเรียบร้อย ผมไม่เห็นโลงศพของหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าเขาตั้งอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่อยู่ข้างหน้าผมไม่เกิน 3-4 เมตรเท่านั้น ผมก็หันไปถามคุณแม่ว่า
ไหนคุณแม่ว่าโลงศพของหลวงพ่ออยู่บนนี้ ทำไมไม่เห็นมี คุณแม่ก็บอกว่าอยู่นี่ไง นั่นแหละผมจึงเห็นถนัดตา ขนลุกเลยครับ ! นับแต่นั้นมาผมก็เคารพบูชาท่าน
บรรยายธรรมไม่เคยเหนื่อย
ผู้เขียนอดแปลกใจมิได้ที่สุขภาพของท่านผู้การฯ เสนาะเป็นเช่นทุกวันนี้ แล้วยังจะไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ตามแต่เขาจะเชิญมา จนรับไม่หวาดไม่ไหว
ได้อย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ท่านบอกว่า มันก็แปลกเหมือนกันครับ การบรรยายธรรมผมไม่เคยเหนื่อยเลย ไม่ว่าจะยืน 3 ชั่วโมง ไม่เคยเหนื่อย คล้ายๆ จะมีแรงเสริม
ปกติแล้วผมนั่งเล่นไพ่เดี่ยวเดียวยังเหนื่อยเลย
ถ้าหากไปบรรยายนี่ไม่เหนื่อย ยิ่งมีกำลังใจ มีแนวที่จะบรรยาย แล้วกลับมารู้สึกสบายมาก เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ แปลก ! แต่ก่อนนี้ ก่อน 8 มีนาคม 2528
นี่ ร่างกายของผมอ่อนแอมาก ไม่มีแรงเดิน เดินไม่ไหว ลุกขึ้นมาก็คอตกหัวห้อย
ผู้เขียนถามท่านต่อไปว่าทำไมต้องมาฟอกเลือดอยู่เรื่อยๆ
ท่านผู้การฯ เสนาะ จินตรัตน์ตอบว่า "ทุกวันนี้ผมเป็นโรคไตวายเรื้อรังทั้งสองข้าง ถ้าเราไม่ฟอกเลือด มันก็ตาย ! เพราะว่าไตไม่ทำงาน ไตมันขับของเสีย
ถ้ามันไม่ขับของเสียออก เราก็ตาย ผมจึงต้องมาให้เขาล้างไต ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 5 ชั่วโมง
ที่มีชีวิตอยู่ได้นี่ก็ด้วยการฟอกเลือด ถ้าเราไม่ฟอกเลือดก็ตายได้ เราจะหายใจไม่ออก ตานี่มองไม่เห็น แน่นหน้าอก แล้วจะมีอาการอาเจียน
อาเจียนมากจนกระทั่งหมดแรงไปเอง หัวใจวาย
ผู้การฯ เสนาะพูดถึงเรื่องนรก-สวรรค์ ต่อว่า "ช่วงนี้ผมไปบรรยายมาก เพราะไม่มีคนประเภทนี้พูดดอกครับ เขากลัวว่าจะถูกคนว่าเป็นบ้า พูดใหม่ๆ
เขาก็หาว่าผมบ้า แต่ตอนหลังเขาเห็นว่า เราพอจะพูดให้คนเชื่อได้ ก็เลยเชิญกันไป
ครั้งแรกผมก็พูดให้เพื่อนฝูงฟังว่า นี่ลื้อจะตายนะ ลื้อจะต้องทำบุญมากๆ นะ เพราะอั๊วเห็นลื้ออยู่บนสวรรค์ชั้น 2 ก็บอกเพื่อนทั้งหมด 10 คนด้วยกัน
บางคนฟังแล้วก็ไล่อัดผม ไล่เขกศีรษะผม เขาบอกว่าผมบ้า เพื่อนฝูงลงมติว่าผมบ้า
จากนั้นผมก็บอกกับเพื่อนทีละคน บางคนผมเดาได้นะครับ ผมเห็นเสื้อผ้าเขาขาด แล้วมีเลือดเป็นก้อนๆ ติดอยู่กับเสื้อ
ผมก็เดาได้ว่าเพื่อนคนนี้ตายด้วยอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้ว่าตายทางดิ่งหรือทางราบ ทางดิ่งหมายถึงตกเครื่องบินตาย ตกที่สูงตาย ทางราบก็อุบัติเหตุ ด้วยรถ
ด้วยเรือ ผมก็บอกเขาหมด เขาก็ว่าผมบ้า ร่างกายเขาแข็งแรง
แต่ปรากฏว่า ต่อมาเขาตาย ทีละคน ทีละคน ตามที่ผมบอกทุกอย่าง อย่างที่ผมเห็นหน้าขาวๆ กับหน้าดำนี่ ผมก็บอกว่า เฮ้ย ลื้อจะป่วยตายนะ ถ้าเห็นหน้าเพื่อนขาว
เขาก็ป่วยตาย ความรู้สึกเช่นนี้มีขึ้นมาเอง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่ผมบอกว่าตายโดยอุบัติเหตุก็ถูกรถชนตาย คนที่เห็นหน้าขาวๆ ก็ป่วยตาย
ที่ผมเชื่อก็เพราะเพื่อนผมที่ผมบอกว่าจะตายก็ตายไปตามนั้น ทีละคนๆ เหลืออยู่คนเดียวที่ไม่ตาย เพราะเขาทำบุญมาตลอด
วิสัยที่ผมจะหาหลักฐานพยานอ้างอิงได้นะครับ แต่ว่ามีเพื่อนผมตายตามที่ผมเห็น ทำให้ผมเชื่อ ผมก็คิดว่ามันน่าจะเพียงพอ และทำให้เราทั้งหลายเชื่อว่า
นรก-สวรรค์นั้นมีจริง จึงอยากขอให้เราช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากกันเถิด อย่าไปซ้ำเติมเขาเลย
ทั้งการแผ่เมตตาให้แก่คนที่เราไม่สามารถจะช่วยในปัจจัย 4 แก่เขาได้ เพื่อว่าในภพหน้า เราจะได้ไม่เกิดมาอีก เพราะการเกิดมันเป็นทุกข์จริงๆ
ผู้ที่บรรลุแล้วจะไม่เกิดอีกต่อไป
ทุกวันนี้ผมนอนสบายมาก หัวถึงหมอนก็หลับ ผมไม่คิดอะไรแล้ว ผมรอวันนั้น วันที่ผมจะสิ้นลม ตายเมื่อไรผมก็ปลงแล้ว ยังนึกแต่เพียงว่า
ถ้าตายแล้วจะต้องเกิดอีก ก็ขอให้เกิดเป็นมนุษย์ มีคุณพ่อ-คุณแม่นับถือศาสนาพุทธ และขอให้ท่านมีเงินมีทองพอที่จะให้เราทำบุญได้ ก็พอแล้ว
ผู้เขียนลาผู้การฯ เสนาะ หลังจากได้สัมภาษณ์เสร็จด้วยจิตสลดหดหู่ คนที่รู้วันที่ตัวจะตายแล้วรอความตายเช่นนี้ ช่างน่าสรรเสริญท่านเป็นที่สุด
เพราะท่านไม่ได้ปล่อยเวลาที่นอนรอความตายให้ว่างเปล่า แต่ได้ใช้เวลาเกือบจะทุกชั่วโมงชี้ทางให้คนเขาเห็นว่านรก - สวรรค์นั้นมีจริง ตามที่ท่านได้ไปเห็นมา
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์อันใดหรือ ? ก็เพื่อให้มนุษย์เราละบาปหรือละอกุศลกรรม แล้วมาช่วยกันทำบุญ หรือก่อแต่กุศลกรรมนั่นเอง
บทสรุป
ท่านตายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2531 วันนั้นตรงกับวันพระ แรม 14 ค่ำ ที่ โรงพยาบาลมงกุฏฯเกล้า ภรรยาของท่านได้กล่าวว่า "วันนี้ (วันที่ 13 มิถุนายน
2531 หนูไปทำงานที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก มีคนไปบอกที่ทำงานเมื่อเวลา 08.30 น. บอกให้ไปที่โรงพยาบาลโดยด่วน ไม่ได้บอกว่า ท่านเสีย..หนูก็ไป
"หมอบอกว่า เสียแล้ว เสียตี 4 หมอช่วยจนถึงตี 5 หัวใจก็ไม่ฟื้นขึ้นมา หนูก็ไปกราบศพ ใบหน้าของท่านยิ้มเหมือนคนมีความสุขเหลือเกิน"
กำหนดวันตาย
เจ้าอาวาสวัดตาล ตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ พ.อ.(พิเศษ)เสนาะ ให้การช่วยเหลือบูรณะโบสถ์วิหารมาตลอดเวลา เปิดเผยว่า
ผู้การฯ เสนาะ มาที่วัดนี้กว่า 13 ปีแล้ว ได้ช่วยเหลือกิจการของวัดมาสม่ำเสมอ โดยหาเงินมาซ่อมแซมโบสถ์อยู่เป็นประจำ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน (ก่อนผู้การฯ เสนาะผ่าตัด 2 วัน) พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอีก 10 คน นำเงินสด 25,000 บาทเศษมาถวาย
ขอให้นำปัจจัยดังกล่าวเข้ามูลนิธิ พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ท่านผู้การฯ ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะต้องหาเงินสร้างวิหารให้เสร็จภายในงบประมาณ 3 ล้านบาท
แต่ในเวลาเดียวกัน...
ผู้การฯ เสนาะก็ปรารภให้เพื่อนๆ ฟังว่า ตนจะต้องตายภายในวันที่ 11-16 มิถุนายน เกรงจะสร้างไม่ทัน ซึ่งเพื่อนๆ ยังว่า พูดไม่เป็นมงคลแก่ตัว ถึงกระนั้น
พ.อ.(พิเศษ) เสนาะ ก็ยังพูดอีกว่า ถ้าตนตายก็ขอให้เอาอัฐิมาไว้ที่วัดตาลด้วย และในที่สุดผู้การฯ เสนาะก็มาตายจริงๆ..."
(((( โปรดคอยติดตาม ผู้ที่ตายแล้วฟื้นอีกนับเป็น เรื่องที่ 10 ))))
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 25/7/14 at 16:08 |
|
|
|
|
Posts: 2041 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
|
|
"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player
ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป
ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved
|
|
|
|