posted on 5/9/08 at 17:02
ความรุ้เรื่องวิธีการป้องกันและรักษา "โรคมะเร็งมดลูก"
ข่าว..มะเร็งตับและมะเร็งมดลูกคร่าชีวิตชายหญิง ในไทเปมากเป็นอันดับที่หนึ่ง
จากสถิติสาเหตุการตายของชาวกรุงไทเป ประจำปี ๒๕๔๙ ที่เพิ่งนำออกเผยแพร่ในเร็วๆ นี้พบว่า 10 อันดับ สาเหตุการตายได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ
โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคปอดอักเสบ ไตอักเสบ ฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุ ตับอักเสบเรื้อรัง และความดันโลหิตสูง ตามลำดับ
โดยโรคมะเร็งนั้นครองแชมป์อันดับหนึ่งของสาเหตุการตายมาเป็นเวลา ๒๖ ปี หากมีการแบ่งเพศ สาเหตุการตายของเพศชายอันดับหนึ่งได้แก่ มะเร็งตับ
ส่วนเพศหญิงคือมะเร็งมดลูก โดยในปี ๒๕๔๙ มีผู้ป่วยโรคมะเร็งมดลูกเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ๔๑.๕๗ เปอร์เซ็นต์ สำหรับจำนวนผู้ที่เสีย ชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ในปี ๒๕๔๙
มีทั้งสิ้น ๔,๔๒๓ คน หรือ ทุกๆ หนึ่งชั่วโมงมีผู้เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ๕๘ คน
กองสาธารณสุขเทศบาลกรุงไทเป เปิดเผยว่า ปี พศ. ๒๕๔๙ ชาวกรุงไทเปเสียชีวิตรวม ๑๓๘๗๕ คน หรือมีอัตราการตาย ๕๒๘.๗๑ ต่อประชาการหนึ่งแสนคน ลดลงจากปี ๒๕๔๘
๑๘.๗ คนและลดลงต่ำสุดในรอบ ๒๖ ปี
อาการเริ่มต้นของมะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้
คำถาม จาก "เว็บสนุก" ถามว่า โรคมะเร็งมดลูก มีอาการอย่างไร?
คำตอบ : มะเร็งมดลูกพบได้น้อยกว่ามะเร็งปากมดลูก ในสตรีที่อายุ 40-60 ปี มักพบภายหลัง หมดประจำเดือนแล้ว
คำถาม : จาก ณัฐธิดา 25 มิถุนายน 2550 14:16:50
ดิฉันได้อ่านเกี่ยวกับมะเร็ง คิดว่า ตัวเองมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และ ลำไส้ ขอเรียนปรึกษาด้วยค่ะ
1. ดิฉันเคยแท้งบุตรมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีการขูดมดลูกด้วย หลังจากที่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ก็มีอาการคล้ายๆ ตกขาว และคันช่องคลอด มีน้ำใส ๆ ออกมามาก
และมีคล้าย ๆ ตะกอน ออกมาด้วยและปริมาณค่อนข้างเยอะ เป็นอยู่ประมาณ 1 เดือน ดิฉันอาย ไม่กล้าไปหาหมอ ปล่อยให้หายไปเอง
ต่อมาเมื่อประมาณ 1 ปีกว่าที่แล้ว ดิฉันก็เริ่มมีอาการเลือดไหล หลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีลักษณะเป็นเลือดสีแดงสด อาการเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์นี้
เป็นอยู่ประมาณ 3 เดือน ก็หายไป ตอนนี้ไม่มีอาการเลือดออกอีกแล้ว ปัจจุบันดิฉันตั้งท้องได้ 3 เดือนกว่า รู้สึกว่า ท้องตัวเองโตกว่าคนอื่น
2. ดิฉันเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักตอนเด็ก ปัจจุบันถ้าท้องผูก เวลาถ่ายก็จะมีเลือดไหลออกมา เวลาทานอะไรเข้าไป ก็จะถ่ายทันที อุจจาระที่ออกมา
ก็ไม่ได้ย่อย มีลักษณะเหมือนตอนที่ทานเข้าไป ดิฉันเคยไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช หมอตรวจทวารหนัก และบอกว่า ไม่ได้เป็นริดสีดวงแต่เป็นเพราะลำไส้ ไม่ย่อย
ทำให้ถ่ายบ่อย ทำให้มีทวารหนักเป็นแผล หมอให้ยาช่วยย่อยมาทาน ตอนทานยาก็มีอาการดีขึ้น คือ อุจจาระไม่เป็นกาก และถ่ายน้อยลง
แต่ปัจจุบันตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ อาการทานแล้วถ่าย ก็มีบ่อยขึ้น และอุจจาระที่ออกมาก็ไม่ได้ย่อย
ขอเรียนถามว่า ดิฉันมีภาวะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมดลูก และ มะเร็งลำไส้ ได้หรือไม่ วิธีการตรวจหาอาการเบื้องต้นของมะเร็งทั้ง 2 ดังกล่าว
จะมีวิธีการตรวจเพื่อให้เจอได้อย่างไร ขอกราบขอบพระคุณค่ะ
คำตอบ 29 มิถุนายน 2550 15:07:21
1. อาการตกขาวคล้ายแป้งเปียกและคันเป็นอาการของเชื้อราในช่องคลอด ส่วนอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด จะต้องได้รับการตรวจภายในจึงจะบอกสาเหตุได้ครับ
การตรวจของมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งมดลูกก็จะใช้วิธีตรวจภายใน เช่นกัน
2. ปัญหาเรื่องเลือดออกทางทวารหนักก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยจากหลายสาเหตุ เช่น ริดสีดวงทวาร การเป็นแผลที่ทวารหนักหรือลำไส้ใหญ่
รวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่
ส่วนวิธีการตรวจมะเร็งลำใส้ใหญ่ ก็ต้องไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารเพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจทางทวารหนัก ก็น่าจะบอกสาเหตุได้
แต่ในกรณีที่สงสัยว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แพทย์อาจใช้วิธีส่องกล้องตรวจหรือเอกซเรย์สวนแป้งดูลำไส้ใหญ่ครับ
ที่มา - ศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
คำถาม จาก ปรานี 15 สิงหาคม 2550 เวลา : 21:32
การตรวจค้นหามะเร็ง ได้ข่าวว่าการตรวจเลือดเพื่อค้นหามะเร็งส่วนต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ สามารถตรวจมะเร็งส่วนใดได้บ้างคะ ราคาค่าตรวจเท่าไร
ผลการตรวจแน่นอนเพียงไร และไปตรวจที่ไหนได้บ้าง ศรีวิชัย 3 ตรวจได้ไหม
คำตอบ จาก นายแพทย์ชัชวาลย์ จตุปาริสุ 21 สิงหาคม 2550 เวลา : 18:10
ปัจจุบันการตรวจค้นหามะเร็ง มีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง การตรวจเลือดมีประโยชน์ทั้งในเรื่องการค้นหาโรคมะเร็ง และการติดตามผลการรักษา
ปัจจุบันการตรวจเลือดเพื่อการคัดกรองมะเร็งที่ยอมรับกันคือ การตรวจคัดกรองหามะเร็งตับ แต่มะเร็งชนิดอื่น ๆ
มักใช้การตรวจเลือดเพื่อติดตามผลการรักษาเท่านั้น
แต่การตรวจค้นหามะเร็งนั้นมีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของมะเร็งที่ต้องการตรวจ เช่น การตรวจเอกซเรย์ mammogram ในมะเร็งเต้านม , การตรวจ pap smear
หามะเร็งปากมดลูก , การตรวจอุจจาระ ส่องกล้อง เพื่อหามะเร็งลำไส้ใหญ่ ถ้าสนใจ สามารถปรึกษาที่โรงพยาบาลได้ครับ
คำถาม จาก คุณรี 16 สิงหาคม 2550 เวลา : 13:05
ตอนนี้แม่หนูทำการฉายเเสงรักษามะเร็งมดลูกที่โรงพยาบาลศรีวิชัยสุราไม่ทราบว่าหายไหมคะ..ด่วน !
คำตอบ จาก นายแพทย์ชัชวาลย์ จตุปาริสุท 21 สิงหาคม 2550 เวลา : 18:11
โดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งมดลูก แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ประมาณ 80 %
ระยะที่ 2 ประมาณ 70 %
ระยะที่ 3 ประมาณ 30 %
ระยะที่ 4 ประมาณ 0 %
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น ชนิดของมะเร็งมดลูก , อายุของผู้ป่วย , วิธีการรักษา เป็นต้น
ที่มา - http://www.srivichaihospital.ob.tc
คำถาม จาก น้อย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 47 เวลา 12:52:00 PM
เป็นระยะที่ 3 ได้ให้เคมีบำบัดแล้ว ต่อมาก็มีอาการท้องบวมขึ้นและปวดหลังอย่างมากเราสามารถที่จะปฏิบัติอย่างไรดี
เพราะว่าแพทย์นัดตรวจตอนสิ้นเดือนส.คนี้ เพราะถ้าไปหาก่อนก็ไม่เจอแพทย์ที่ตรวจประจำ รบกวนช่วยตอบด้วยค่ะ
คำตอบ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 47 เวลา 3:13:00 PM
เรียน คุณน้อย
แนะนำไปพบแพทย์ท่านอื่นที่รักษาเป้นแพทย์สาขาเดียวที่รักษาผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง และ อาการท้องบวม ก่อนค่ะ ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยจะมากค่ะ
และจะมีอาการแน่นท้องมากค่ะ สำหรับแนวทางการรักษาแนะนำว่าควรพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจตามนัด
หรือถ้ามีอาการมากขึ้นสามารถไปพบแพทย์ก่อนนัดเพื่อรับการตรวจรักษาค่ะ แพทย์จะบอกถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมให้ค่ะ
คำถาม จาก สายน้ำ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 50 เวลา 10:09:00 AM
1. กำลังเริ่มเป็นมะเร็งมดลูกช่วยบอกวิธีการรักรักษาด้วยตนเองค่ะและควรรับประทานอาหารจำพวกอะไรค่ะ
2. สมุนไพรหรืออาหารที่ควรรับประทานเ พื่อต่อท้านโรคมะเร็งปากมดลูกค่ะ ช่วยให้คำแนะนำค่ะ
คำถาม จาก ... เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 50 เวลา 11:57:00 AM
"..เป็นมะเร็งมดลูกขั้นที่ 2 แล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปีคะ.."
ที่มา - จากเว็บ BangkokHealth
สาเหตุโรคมะเร็ง
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีผู้เสนอว่า อาจเกิดจากความไม่สมดุลย์ของฮอร์โมนในร่างกาย ส่วนสาเหต ุหรือปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดมะเร็งมดลูก ได้แก่
1. สตรีที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรเมื่ออายุมาก
2. สตรีที่เคยได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมน เอสโตรเจนเป็นเวลานาน หรือเคยได้รับการฉาย รังสีที่บริเวณเชิงกราน
3. กรรมพันธุ์
4. มักพบร่วมกันโรคอ้วน เบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง
อาการ
1. มีเลือดออกทางช่องคลอด ในสตรีวัยหมดประจำเดือนแล้วหรือมีเลือดออกผิดปกติใน สตรีที่ยังคงมีประจำเดือนอยู่
2. คลำพบก้อนที่บริเวณท้องน้อย
3. ปวดท้องน้อย ปวดหลัง เนื่องจากมดลูกโตไปกดแผงประสาท
การวินิจฉัย
1. ศึกษาประวัติของผู้ป่วย
2. โดยการตรวจภายใน อาจเห็นมีเลือดออกจากโพรงมดลูก คลำได้ มดลูกโต
3. การขูดมดลูก เพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
การรักษา
1. การผ่าตัดเอามดลูก พร้อมทั้งรังไข่และท่อนำไขทั้งสองข้างออกทางหน้าท้อง
2. การฉายรังสี และใส่เรเดียมในรายที่ตรวจพบมดลูกโตกว่าครรภ์ 8 สัปดาห์ แล้วตามด้วย การผ่าตัด
3.เคมีบำบัดใช้ในรายที่มะเร็งกระจายไกลออกไปจากช่องเชิงกรานแล้ว
การป้องกัน
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งมดลูก ดังนั้นการป้องกันจึงอาจทำได้โดย
1. ระวังเรื่องโรคอ้วน เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
2. สตรีวัยหมดประจำเดือน ควรได้รับการตรวจร่างกายและตรวจภายในอย่งน้อยปีละครั้ง
3.ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนรักษาอาการหมดประจำเดือนอย่างระมัดระวัง
4.รีบปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการเลือดออกผิดปกติ
ข้อมูลจาก : สถานบันมะเร็งแห่งชาติ
มะเร็งมดลูก
นพ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับหนึ่งในบ้านเรา แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่า ในทุกวันนี้
ทางการแพทย์ได้ทราบแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นมะเร็งของปากมดลูกก็ HPV ซึ่งเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง
ซึ่งในกลุ่มของ HPV มันก็มีญาติพี่น้องอยู่เป็นจำนวนมาก ทางแพทย์ตั้งชื่อมันเป็นตัวเลขซึ่งนับได้เป็นหลักร้อย และตัวที่มีชื่อว่า ๑๖ และ ๑๘
ดูเหมือนจะมีความดุร้ายมากกว่าตัวอื่นๆ เพราะมันเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งของปากมดลูก
และในปัจจุบัน ทางการแพทย์ก็สามารถผลิตวัคซีนออกมาใช้ฉีดคุณผู้หญิงที่อยู่ในวัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็เท่ากับว่าเป็นการปิดกั้นไม่ให้เชื้อ HPV ชนิด ๑๖ , ๑๘ สามารถเข้าสิงอยูในร่างกายของผู้หญิงที่มีภูมิต้านทานได้
เท่ากับเป็นการป้องกันการติดเชื้อที่เชื่อว่าน่าจะดีที่สุดในปัจจุบัน
นั่นเป็นเรื่องของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทางการแพทย์สามารถหาวิธีป้องกันที่เชื่อว่าได้ผลสูงได้แล้ว แต่ยังมีมะเร็งของผู้หญิงอีกหลายตัว
ซึ่งก็พบได้บ่อยอยู่เหมือนกัน เช่น มะเร็งของรังไข่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกมันว่า ภัยเงียบ
คือมันเกิดขึ้นมาโดยที่คุณๆ ไม่มีโอกาสรู้ตัว เพราะไม่มีอาการแสดงนอกจากเสียว่าต้องไปรับการตรวจและถ้ารอจนมีอาการแสดงแล้วนั้น
นั่นเท่ากับว่าเป็นโรคมากแล้ว อาจจะเข้าสู่ระยะท้ายๆซึ่งรักษาไม่หายแล้วอะไรทำนองนั่น
ทุกวันนี้ ยังไม่มีวัคซีนสำหรับมะเร็งของรังไข่ ฉะนั้นการตรวจให้พบได้ตั้งแต่เริ่มแรกจึงมีความจำเป็น
และดูเหมือนว่าการใช้อัลตราซาวน์ในการตรวจหาเนื้องอกของรังไข่ จะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผมแนะนำให้ทำอัลตราซาวน์ดูรังไข่ทุกๆ ปี ปีละครั้งๆ
ซึ่งก็พอจะเฝ้าดูภัยเงียบได้ไม่ปล่อยให้มันระเบิดออกมา
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีคุณผู้ที่รู้จักกัน โทรศัพท์มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของมะเร็งมดลูกที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านและทราบว่าเป็นมากแล้ว
ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของโรคมะเร็งมดลูกที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านและทราบว่าเป็นมากแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของโรคมะเร็งนะครับ
ว่าถ้าหากว่าพบช้าไป โรคก็จะลุกลามไปเรื่อยๆจนในที่สุดร่างกายสู้ไม่ไหว ก็ต้องตายจากไป ว่ากันถึงมะเร็งของมดลูกแล้ว
มีลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่าชวนให้ต้องระวังเหมือนกับมะเร็งของเต้านมก็เช่นกันแพทย์จะแนะนำด้วยการเฝ้าระวังตนเอง
โดยการคลำเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งทุกเดือน
และเมื่อพบสิ่งผิดปรกติจากการคลำด้วยตนเอง จึงไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่นอนต่อไป หญิงอ้วนลงพุง น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน จะมีความสัมพันธ์
กับมะเร็งของมดลูกอย่างแน่นอน และพบได้มากขึ้นในหญิงวัยทอง นั่นก็เป็นมาตรการการเฝ้าระวังมะเร็งเต้านม ส่วนมะเร็งมดลูกก็มีมาตรการเฝ้าระวังอยู่เหมือนกัน
ประการแรก ก็คือ หากขนาดของเอวของคุณใหญ่ขึ้นซึ่งทราบได้ด้วยการวัดครับ ผมมีแต่มาตรฐานของฝรั่งอังกฤษซึ่งเขาบอกไว้ว่า
ถ้าหากวัดรอบเอวได้เท่ากับ ๓๔ นิ้ว หรือมากกว่า เขาเปรียบเทียบกับคนเอวบางร่างน้อยอย่างกับนางแบบแล้วละก็ ผู้หญิงไว้เอวจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งของมดลูก
หรือมะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูกได้สูงครับ เขาทำการศึกษาพบว่า คนที่เอวมากกว่า ๓๔ นิ้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดของมะเร็งมดลูกในหญิงที่วัดรอบเอวได้ ๓๑ นิ้ว
ถึงหนึ่งเท่าตัว
ประการที่ ๒ ดูกันที่น้ำหนักตัว อ้วนมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงมากขึ้นว่างั้นเถอะ โดยมีการวัดกันที่น้ำหนักตัว พบว่าใครที่น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
นับตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีเป็นต้น หากเพิ่มมากขึ้นกว่า ๔๔ ปอนด์ ก็แสดงว่ามีแนวโน้มต่อการเกิดโรคมะเร็งของมดลุกมากกว่าถึงเท่าตัวเลยทีเดียว
หากจะคำนวณ BMI (Body Mass Index) ก็ได้ครับง่ายๆ ดังนี้
BMI = น้ำหนักเป็นกิโลกรัม (kg)
ความสูงเป็นเมตร (m )
หญิงอ้วนที่มี BMI > ๓๐ ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นประมาณเท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบกับหญิงที่มีหุ่นมาตรฐาน คือ BMI อยู่ระหว่าง ๑๙ ๒๕
จากการวิเคราะห์ข้อมูลในผู้หญิง ๒๒๓,๐๐๐ ราย จาก ๑๐ ประเทศในยุโรป มีข้อสรุปชัดเจนว่า หญิงอ้วนลงพุงน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
จะมีความสัมพันธ์กับมะเร็งของมดลูกอย่างแน่นอน และพบได้มากขึ้นในหญิงวัยทอง แม้ว่าหญิงวัยทองจะไม่ได้รับประทานฮอร์โมนทดแทน
หรือมีประวัติรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมาก่อนก็ตาม
ผู้หญิงสมัยนี้ตัวโตและอ้วนกว่าสมัยสงครามโลกที่ผ่านมา คงเป็นเพราะอาหารที่ดีขึ้น การดูแลสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะทางด้านโภชนาการ แต่ขาดการออกกำลังกาย
ซึ่งทำให้มีผลตามมาที่น่ากลัวต่อสุขภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และไขมัน
และรวมทั้งโอกาสที่จะเกิดเป็นมะเร็งของมดลูกตามมาอีกอย่าง
การที่แพทย์มักจะบอกว่า ถ้าหากมีเลือดออกผิดปรกติทางช่องคลอด หรือมีรอบเดือนมามากเกินไป ควรจะได้รับการตรวจว่ามีสาเหตุมาจากมะเร็งมดลูกหรือไม่
นั่นหมายความว่าเป็นดรคแล้ว และมีอาการแสดงบ่งบอก คือมีเลือดออกที่ผิดปรกติ
หากเป็นเช่นนั้น การป้องกันโรคมิให้เกิดขึ้นเลย มิดีกว่าหรือครับ
ที่มา : ดิฉัน ปีที่ 30 ฉบับที่ 731 วันที่ 15 สิงหาคม 2550
มะเร็งคืออะไร
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต
มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น
เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง
เพราะการเจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม
มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
เท่าที่มีรายงานไว้ใน ขณะนี้ มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด มะเร็งแต่ละชนิดจะมีการ ดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน เช่น มะเร็งปอด
มะเร็งสมอง จะมีการดำเนินชนิดของ โรค ที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีชีวิตการอยู่รอดสั้นกว่าผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ดังนั้น การรักษามะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย
และความเหมาะสม ของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและ การดำเนินโรคของมะเร็งด้วย เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งผิวหนัง รักษาง่ายกว่า มะเร็งปอด มะเร็งสมอง เป็นต้น
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็ง
1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย
2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือน ว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ
ที่ทำให้มีสัญญาณ เหล่านี้ เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส
4. มีอาการที่บ่งบอกว่า มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็ง
ชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่ม นี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน
สัญญาณอันตราย 8 ประการที่ทุกคนควรจะจำไว้เพื่อสุขภาพที่ดี ได้แก่
1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
2. กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน
3. มีอาการเสียงแหบ และไอเรื้อรัง
4. มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น
5. แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย
6. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย
7. มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
8. หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล
มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย
เพศหญิง
1. มะเร็งปากมดลูก
2. มะเร็งเต้านม
เพศชาย
1. มะเร็งตับ
2. มะเร็งปอด
การรักษามะเร็งตามหลักสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศไทย
1. คือ การรักษามะเร็งแบบ วิธีผสมผสานของ ศัลยกรรม (ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง)
2. รังสีรักษา (ฉายแสงบริเวณที่มีเซลล์มะเร็งอยู่เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่เช่นเดียวกับวิธี ของศัลยกรรม)
3. เคมีบำบัด (การรักษาหรือการทำลายเซลล์มะเร็งทั้งที่ต้นตอและที่กระจาย ไปตามทางเดินน้ำเหลือง กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นของร่างกาย เป็นการรักษามะเร็ง
แบบทั้งตัวของผู้ป่วยมะเร็ง โดยการรับประทานยาที่มีความสามารถในการฆ่า หรือทำลาย เซลล์มะเร็ง ฉีดยาทางหลอดเลือดดำหรือแดง เป็นต้น)
4. การรักษาโดยการใช้ฮอร์โมน เนื่องจากมะเร็งบางชนิดมีความไวต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน และการรักษาโดยการเพิ่ม ภูมิคุ้มกัน ให้กับร่างกาย
เพื่อที่จะได้กำจัดเซลล์มะเร็งให้หมดไปจากร่างกาย และผู้ป่วยก็ ็จะหายจากโรคมะเร็ง
เนื่องจากการรักษา โดยการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายนี้ยังอยู่ ระหว่างการศึกษาอยู่ต้องการข้อมูลอีกมากมายเพื่อยืนยันว่า ได้ผลในการรักษามะเร็ง
ดังนั้นวิธีหลังนี้จึงเริ่มเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย แต่มีการนำยาหรือสารเคมีในกลุ่มนี้ ้มาใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด เพื่อให้การรักษาดีขึ้น
มะเร็งแต่ละกลุ่มหรือแต่ละชนิดจะได้รับ การรักษาแบบผสมผสานที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่ามะเร็งบางชนิดมีการตอบสนองต่อการ รักษาทางศัลยกรรมและรังสีรักษาดี เช่น
มะเร็งผิวหนัง ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด หรืออื่น ๆ
มะเร็งบางชนิดมีการตอบสนองต่อเคมีบำบัด และรังสีรักษาดีไม่จำเป็นต้องใช้ วิธีศัลยกรรม เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
มะเร็งเต้านม ในผู้ป่วย บางกลุ่มโดยเฉพาะ ผู้ป่วยที่อยู่ในวัยหลังหมดระดูจะมีการตอบสนองต่อการรักษา โดยการใช้
ฮอร์โมนหลังจากที่ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งต้นตอออกไปแล้ว
ดังนั้น จะเห็นว่าการรักษามะเร็งแต่ละชนิด หรือการรักษามะเร็งแต่ละกลุ่ม มีความแตกต่างกันแม้แต่การผสมผสานวิธีการรักษามะเร็ง
แต่ละวิธีก็ไม่เหมือนกัน
มะเร็งที่รักษาให้หายได้
ปัจจุบันนี้ แพทย์สามารถรักษามะเร็งหลายชนิดให้หายได้ หรืออย่างน้อยก็ ทำให้
ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตการอยู่รอดที่ยาวนานเท่ากับบุคคลปกติที่อยู่ในวัยเดียวกัน ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็งที่พบ เพราะมะเร็งระยะ
เริ่มแรกย่อมมีการตอบสนอง ต่อการรักษาหรือมีโอกาสหายมากกว่าระยะลุกลาม หรือระยะสุดท้าย
มะเร็งต่าง ๆ ที่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญ มีดังนี้
มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดลิมป์โฟไซติค ลิวคีเมีย
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอร์ดกิ้น
มะเร็งไตในเด็กชนิด วิมส์ ทูเมอร์
มะเร็งลูกอัณฑะ
มะเร็งกระดูก ชนิด อ๊อสติโอเจนนิค ซาร์โคม่า
มะเร็งรังไข่ชนิดเนื้อเยื่อบุผิว
มะเร็งผิวหนังบางชนิดเช่น Basal cell carcinoma
มะเร็งเต้านม
มะเร็งปอดชนิด Small cell
มะเร็งหลังโพรงจมูก
มะเร็งชนิดเนื้อเยื่อ Germ cell
การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก
เป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปในผู้ที่มีอาการปกติ เพื่อค้นหาความผิดปกติของร่างกาย ซึ่ง อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็ง
ทั้งนี้เพื่อหวังผลในการรักษา เนื่อง จากโรคมะเร็งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากพบในระยะเริ่มแรก หรือยิ่งพบโรคได้ เร็วเพียงใด
ชีวิตก็ปลอดภัยมากขึ้นเพียงนั้น
การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก มีหลักการดังนี้
1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด
2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด
มีความสำคัญเนื่องจาก อาจเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยในการวินิจฉัยได้ เช่น
1.1 ประวัติครอบครัว
มะเร็งส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคที่สืบเนื่องโดยตรงเกี่ยวกับพันธุกรรม แต่มีมะเร็งบางอวัยวะมี ความโน้มเอียงที่จะเกิดในพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เช่น
มะเร็งตาบางชนิด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
1.2 ประวัติสิ่งแวดล้อม
มีข้อสังเกตว่าสิ่งแวดล้อมบางอย่างเป็นเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีเป็นระยะเวลานาน ๆ
อาจเป็นโรคมะเร็ง เม็ดเลือดขาวมากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอื่น
1.3 ประวัติส่วนตัว
อุปนิสัยและพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละบุคคลก็อาจเป็นเหตุสนับสนุนให้เกิดโรคมะเร็ง บางอย่าง เช่น
- ผู้ที่สูบบุรี่มาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอด มากกว่า ผู้ที่ไม่สูบ บุหรี่
- ผู้ที่มีประวัติการร่วมเพศตั้งแต่อายุน้อย มีประวัติสำส่อนทางเพศ , มีบุตรมากจะเป็น มะเร็งปากมดลูกได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยแต่งงาน
- ท้องอืด เบื่ออาหาร ผอมลงมาก
- เสียงแหบอยู่เรื่อย ๆ ไอเรื้อรัง
- หูด หรือปานที่โตขึ้นผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดไปจากปกติ
1.4 ประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ
- เป็นตุ่ม ก้อน แผล ที่เต้านม ผิวหนัง ริมฝีปาก กระพุ้งแก้มหรือที่ลิ้น
- ตกขาวมาก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
- เป็นแผลเรื้อรังไม่รู้จักหาย
2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด
ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ แต่ในทางปฏิบัติ แพทย์ไม่สามารถจะตรวจร่างกายได้ ทุกอวัยวะ ทุกระบบโดยครบถ้วน จึงมีหลักเกณฑ์ว่า
ในการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อตรวจ หามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้น ควรตรวจอวัยวะต่างๆ เท่าที่สามารถจะตรวจได้ ดังนี้
- ผิวหนัง และเนื้อเยื่อบางส่วน
- ศีรษะ และคอ
- ทรวงอก และเต้านม
- ท้อง
- อวัยวะเพศ
- ทวารหนัก และลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจอื่น ๆ
3.1 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ช่วยในการตรวจค้นหา การวินิจฉัย การรักษา รวมทั้งการติดตามผลการรักษา โรคมะเร็งด้วย ได้แก่
- การตรวจเม็ดเลือด
- การตรวจปัสสาวะ , อุจจาระ
- การตรวจเลือดทางชีวเคมี
3.2 การตรวจเอ๊กซเรย์
มีประโยชน์ในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งบางชนิด ซี่งมีวิธีการหลายอย่างเช่น
- การเอ๊กซเรย์ปอด
เป็นวิธีการพื้นฐานอย่างหนึ่ง ในการตรวจสุขภาพ
- การเอ๊กซเรย์ทางเดินอาหาร
ทำในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
3.3 การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
หลักสำคัญในการตรวจคือ ให้ผู้ป่วยกลืน , ฉีดสารกัมมันตภาพรังสีบางชนิด สารดังกล่าว จะไปรวมที่อวัยวะบางส่วน
แล้วถ่ายภาพตรวจการกระจายของสารกัมมันตภาพรังสีนั้น ๆ เช่น การตรวจเนื้องอกของต่อมไทรอยด์ ,สมอง , ตับ , กระดูก เป็นต้น
3.4 การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษ
เพื่อดูลักษณะเยื่อบุภายในของอวัยวะบางอย่าง เช่นหลอดลม หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ เป็นต้น
3.5 การตรวจทางเซลล์วิทยา และพยาธิวิทยา
การตรวจทางเซลล์วิทยา เป็นวิธีการตรวจหา มะเร็งระยะเริ่มแรกของอวัยวะต่าง ๆ เช่น
- การขูดเซลล์จากเยื่อบุอวัยวะบางอย่างให้หลุดออกมา เช่น ปากมดลูก , เยื่อบุช่องปาก เป็นต้น
- เก็บเซลล์จากแหล่งที่มีเซลล์หลุดมาขังอยู่ เช่น ในช่องคลอด ในเสมหะ
3.6 การตรวจเนื้อเยื่อทางพยาธิวิทยา
เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โดยการตัด เนื้อเยื่อจากบริเวณที่ ่สงสัย ส่งตรวจละเอียดโดยกล้องจุลทรรศน์ อนึ่ง
โรคมะเร็งอาจเกิดกับอวัยวะต่างๆ กัน มะเร็งบางอวัยวะอาจตรวจวินิจฉัยได้ง่าย บางอวัยวะตรวจได้ยาก แต่มีข้อสังเกตว่า มะเร็งที่พบได้บ่อย ๆ ในประเทศของเรา
เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก เป็นโรคที่ตรวจวินิจฉัยได้ไม่ยาก ถ้าสนใจตรวจสุขภาพเป็นประจำ
5 ประการเพื่อการป้องกัน
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย
กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2.รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3.รับประทานอาหารที่มีเบต้า- แคโรทีน และ ไวตามินเอ สูงเช่น ผัก ผลไม้ สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และ กระเพาะอาหาร
5. ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออก กำลังกายและการลดรับประทานอาหารที่ให้ พลังงานสูง
จะช่วยป้องกันมะเร็ง เหล่านี้ได้
7 ประการเพื่อลดการเสี่ยง
1.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะสีเขียว-เหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็น สาเหตุของโรคมะเร็งตับ
2. ลดอาหารไขมัน อาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมาก
3.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท อาหารเหล่านี้ จะทำให้เสี่ยงต่อ มะเร็ง หลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร
และมะเร็งลำไส้ใหญ่
4.ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ จะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ
5.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด กล่องเสียง ฯลฯ การเคี้ยว ยาสูบจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ
6.ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มแอลกอฮอล์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง
และหลอดอาหาร
7. อย่าตากแดด ตากแดดจัดมากเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ
1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่
1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง
พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น
2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987)
ถ้าประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น
งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ทราบว่า
ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป
กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ที่สำคัญ มี 2 ข้อ
ข้อแรก คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น รวมทั้งการได้รับรังสี
เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด
ข้อที่สอง คือ ได้แก่ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะทุพโภชนา เป็นต้น
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง มีดังนี้
1. ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของระบบหายใจ ได้แก่ ปอด และกล่องเสียง เป็นต้น
2. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากและในลำคอด้วย
3. ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มี สารพิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น
ถั่วลิสงป่น เป็นต้น หากรับประทานประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และหากได้รับทั้ง 2 อย่าง โอกาส จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้น
4. ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก
5. ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และรับประทานอาหารที่ใส่ดินประสิวเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ
6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมหรือติดเชื้อไวรัสเอดส์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งของหลอดเลือด เป็นต้น
7. ผู้ที่รับประทานอาหารเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและส่วนไหม้เกรียม ของอาหารเป็นประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่
8. ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิ มะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น
9. ผู้ที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะได้รับอันตรายจากแสงแดดที่มีปริมาณของแสงอุลตรา ไวโอเลต จำนวนมาก มีผลทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้
โภชนาการกับโรคมะเร็ง
จากการศึกษาพบว่า อาหารอาจมีส่วนสัมพันธ์ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 30-50% แต่ในขณะเดียวกันอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เครื่องเทศต่างๆ
ก็มี คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลัก โภชนาการ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้
อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง
1.อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะราสีเขียว-สีเหลือง
2.อาหารไขมันสูง
3.อาหารเค็มจัด ส่วนไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือ ดินประสิว
ยาเคมีบำบัด
เป็นยาหรือสารเคมีที่ใข้ในการรักษามะเร็ง อาจให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว หรือให้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น
ยาเคมีบำบัดเมื่อให้เข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายเซลมะเร็ง เเละทำลายเซลปกติบางส่วน ด้วยทำให้เกิดอาการข้างเคียงขึ้น
ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของวงจรชีวิตเซลล์ทำให้ เซลล์ตาย ยาแต่ละตัวออกฤทธิ์แตกต่างกันในการรักษา
บางแผนการรักษาประกอบด้วยยาหลายชนิด ที่ให้ร่วมกัน
อาการข้างเคียง ยาเคมีบำบัดมีผลกระทบต่อเซลล์ปกติด้วย โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการเจริญ และแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เช่น เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร, เส้นผม,
เม็ดเลือด ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุของอาการข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ระยะหนึ่งในระหว่างการ ให้ยาแต่ละชุด
เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาสร้างเซลล์ปกติขึ้นมาทดแทน
อาการไม่พึงประสงค์ที่ต้องปรึกษาแพทย์
1. มีเลือดออกหรือเป็นแผลในปากมาก
2. มีผื่นหรืออาการแพ้
3. มีไข้ หนาวสั่น
4. ปวดมากบริเวณที่ฉีด
5. หายใจลำบาก
6. ท้องเดินหรือท้องผูกอย่างรุนแรง
7. ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย
1. คลื่นไส้อาเจียน
2. ผมร่วง
3. แผลในปาก
4. ปริมาณเม็ดเลือดลดลง
อย่างไรก็ตาม อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจะหายไปเมื่อสิ้นสุดการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่ง อาการไม่พึงประสงค์จะขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ
และปฏิกิริยาตอบสนองต่อยา ของร่างกายผู้ได้รับยาเคมีบำบัดนั้น ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ ที่จะเกิด ขึ้นจากการได้รับยา
เพื่อบรรเทาอาการให้น้อยลงหรืออาจพิจารณาปรับแผนการรักษา
ถ้าเกิด มีอาการรุนแรง อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคมะเร็งเป็นมาก ขึ้น
และความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับผลของยาเคมีบำบัดต่อ เซลล์มะเร็ง
ศัลยกรรมในผู้ป่วยมะเร็ง
ศัลยกรรมในผู้ป่วยมะเร็ง
โดยทั่วไปแล้วคำว่า"ศัลยกรรม"หมายถึง การรักษาโรคโดยวิธีผ่าตัด ดังนั้น ศํลยกรรมในผู้ป่วยมะเร็ง จึงหมายถึง การรักษาโรคมะเร็งด้วยการผ่าตัด
การผ่าตัดที่ ใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นมีหลายลักษณะ แบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการผ่าตัดได้ ดังนี้
1. การผ่าตัดเพื่อการวินิจฉัย (Biopsy) เป็นกาตัดหรือขลิบชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้องอก หรืออวัยวะที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
เพื่อการพิสูจน์และ วินิจฉัยโรค วิธีนี้จะสามารถยืนยันได้ ว่าเนื้องอก หรืออวัยวะนั้น ๆ เป็นเนื้องอก ธรรมดา หรือ มะเร็ง
การตัดชิ้นเนื้อเพื่อพิสูจน์ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
ก. ตัดชิ้นเนื้อเพียงบางส่วน (Incisional Biopsy) วิธีนี้เลือกใช้ในกรณีที่เนื้องอก มีขนาดใหญ่มากหรือเป็นกลุ่มก้อน
ทั้งนี้เพื่อนำผลพิสูจน์นั้นเป็นแนวทางในการวาง แผนการรักษาต่อไป
ข. ตัดเนื้องอกออกทั้งก้อน (Excisional Biopsy) ใช้ในกรณีที่ก้อนเนื้อดังกล่าว
มีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถตัดออกได้ทั้งก้อนและไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะข้างเคียง
2. การผ่าตัดเพื่อการรักษา ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะเริ่มแรก หรือ กรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่ โดยหวังผลในการรักษาคือ
ให้ผู้ป่วยหายขาดเมื่อได้รับ การผ่าตัด
3. การผ่าตัดแบบการรักษาแบบประคับประคอง วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ที่โรคลุกลามมาก หรือกรณีที่ต้องการลดขนาดของก้อนมะเร็ง เพื่อการรักษาแบบผสมผสาน
กับวิธีอื่น ต่อไป เช่น การฉายรังสี หรือ การให้ยาเคมีบำบัด เป็นต้น สำหรับวิธีนี้สามารถเพิ่ม คุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ คือ
ลดความทุกข์ทรมานอันเกิดจากความ เจ็บปวด หรือแผลเน่าเหม็นได้
ความปวดกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ความปวดเป็นความรู้สึกที่มีอิทธิพลอย่างมากในการทำลายความสุข รวมทั้งรบกวน การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องกระทำเป็นกิจวัตร โดยความปวดอาจเกิดขึ้นเป็น
ครั้งคราวหรือต่อเนื่องตลอดเวลา
ความปวดเกิดร่วมกับผู้ป่วยไข้ด้วยโรคมะเร็ง ได้ทุกระยะ โดยเฉพาะเมื่อโรคมะเร็งอยู่ในระยะแพร่กระจาย แต่ก็มีผู้ป่วยโรคมะเร็ง จำนวนไม่น้อยที่
พบว่าไม่เคยมีความปวดเกิดขึ้น โรคมะเร็งไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิด ความปวดเท่านั้น
ในผู้ป่วยโรคมะเร็งความปวดอาจเกิดจากผลข้างเคียงของการบำบัด โรคมะเร็ง หรือเป็นความปวดชนิดธรรมดาที่เกิดขึ้นกับบุคคลธรรมดาทั่วไป ความ
ปวดจากโรคมะเร็งจะรุนแรงหรือไม่ขึ้นกับขนิดของโรคมะเร็ง อวัยวะที่เกิดโรค รวมทั้งสภาพ ร่างกาย และจิตใจของผู้ป่วยโดยเฉพาะเมื่อร่างกายอ่อนล้า มีความกลัว
ซึม เศร้า หรือวิตกกังวลเกิดขึ้น จะมีส่วนทำให้ความปวดที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น
ผู้ป่วยที่มีความปวดเท่านั้นที่จะรู้สึกถึงลักษณะและระดับความรุนแรงของความปวดที่เกิด ขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ ที่ถูกกระทบจนไม่อาจกระทำได้
รวมทั้งสภาพทางด้านจิตใจที่ทรุดลง อันเป็นผลจากความปวด ดังนั้น เมื่อเกิดความปวดขึ้นต้องไม่ตื่นตระหนก แต่อย่ารีรอ และไม่ต้องเกรงใจให้แจ้งแพทย์
พยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การดูแล รับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับความปวดอย่างละเอียดลออทันทีที่มีโอกาส ซึ่งจะเป็นวิธีที่
ี่ช่วยทำให้การบำบัดความปวดที่เกิดขึ้นได้ผลมากที่สุด
อย่าเบื่อหรือรำคาญกับคำถามมาก มาย คำถามบางข้ออาจซ้ำซาก หรือดูเหมือนไร้สาระ หากยังไม่พร้อมให้แจ้งแพทย์ หรือพยาบาล ผู้ซักถาม
โปรดระลึกไว้เสมอว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากผู้ป่วยที่ปวดมีความ ละเอียดมากเท่าใด จะเป็นแนวทางชี้นำในการเลือกวิธีบำบัดได้ดีที่สุด คำถามที่จะถูก
ไต่ถามจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การบำบัดเสมอ จะประกอบด้วย
* รู้สึกปวดตั้งแต่เมื่อไร?
* ปวดตรงบริเวณไหนบ้าง?
* ลักษณะปวดเป็นเช่นไร?(ปวดอื้อ แปล๊บ ปวดแสบปวดร้อนเหมือนเข็มแทง ฯลฯ)
* ระดับความรุนแรง(โดยใช้มาตราวัด อาจเป็นตัวเลข 0-5 ซึ่งผู้ทำการบำบัด จะอธิบายถึงวิธีใช้อย่างละเอียด)
* ช่วงเวลาความถี่ของการเกิดความปวด
* ปัจจัยที่ทำให้ความปวดลดลงหรือเพิ่มขึ้น
* วิธีบำบัดที่เคยได้รับมาก่อน รวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
* ชนิด ขนาดและวิธีการใช้ยาแก้ปวดที่ผ่านมา รวมทั้งผลลัพธ์
การบำบัดความปวดจากโรคมะเร็งมีหลากหลายวิธี โดยทั่วไปยาแก้ปวดหนึ่งชนิด หรือมากกว่าจะถูกนำมาใช้บำบัดหรือร่วมกับวิธีการบำบัดอื่น ยาแก้ปวดในรูปแบบ
รับประทาน ปิดบนผิวหนัง อมใต้ลิ้น หรือเหน็บทางทวารหนักมีคุณค่าในการแก้ปวด ได้เท่ากับยาฉีดในทุกรูปแบบ ควรใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา
แม้ความปวด จะไม่เกิดขึ้นอีก
หากความปวดที่เคยเป็นอยู่เป็นชนิดที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ควรใช้ยาโดยพลการ หรือจัดหายาแก้ปวดมาใช้เพิ่มขึ้น โดยคำแนะนำจากผู้อื่น
ที่ไม่ใช่แพทย์ผู้ให้การบำบัด
ยาแก้ปวดทุกชนิดอาจก่อให้ เกิดอาการข้างเคียงได้ อาทิเช่น ปวดศีรษะ คอแห้ง งุนงง ง่วงซึม สับสน ท้องผูก คลื่นไส้ หากมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้ง
ผู้ให้การรักษาบันทึกทุกสิ่ง เกี่ยวกับความปวดที่เป็นอยู่ หลังจาก เริ่มได้รับการบำบัด สำหรับไว้แจ้งแก่ผู้ให้การบำบัด โดยเฉพาะเมื่อ มีความปวด
เกิดขึ้นบริเวณใหม่ของร่างกาย หรือความปวดเกิดขึ้นตลอดเวลา ที่ต้องรับประทานยา แก้ปวดขนานต่อไป
รวมทั้งอาการที่ผิดปกติ ยาแก้ปวดหลายชนิด โดยเฉพาะที่ใช้บำบัด ชนิดความปวดชนิด รุนแรง ร่างกายอาจเกิดภาวะชินต่อยาชนิดนั้นได้ ถ้าต้องรับยา
อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ยาวนานและเมื่อหยุดยาทันทีอาจก่อให้เกิดอาการ ขาดยาขึ้น ซึ่งอาการเช่นนั้นไม่ใช่ สภาพของการติดยา
ถึงแม้คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยาที่ใช้ อาจมีฤทธิ์ทางด้านเสพติด
การใช้อย่างถูกวิธีโดยปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะไม่ทำให้เกิดภาวะติดยาขึ้น และไม่ควรกลัวว่าการใช้ยาแก้ปวดตั้งแต่ ความปวด ยังไม่รุนแรง
จะทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น หรือเกิดภาวะดื้อยา ไม่มียาแก้ปวดใช้เมื่อความ ปวดรุนแรงขึ้นหรือยาแก้ปวดควรใช้ต่อเมื่อเข้าสู่วาระสุดท้ายเท่านั้นอย่าตื่นตระหนก
ถ้าป่วยด้วยโรคมะเร็ง และ มีความปวดเกิดขึ้น รีบแจ้งแพทย์ที่ทำการรักษา ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่มีความปวด มากกว่าร้อยละ 80
ความปวดที่เกิดขึ้นสามารถควบคุม ได้หมด หรืออยู่ในระดับที่ผู้ป่วยพอใจ โดยการให้ยาแก้ปวดชนิดรับประทานอมใต้ลิ้น ปิดบนผิวหนัง หรือเหน็บทางทวารหนักเท่านั้น
ที่มา : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ข่าวจาก..กลุ่มคนจุดตะเกียง
กินอาหารเต้าหู้ช่วยสู้โรคมะเร็งมดลูก
ยิ่งกินมาก ยิ่งหนีห่างได้ไกลเท่านั้น
การศึกษาที่ได้ทำกับผู้หญิงจีนเกือบสองพันคน ได้ทราบว่า การกินอาหารทำด้วยเต้าหู้ ช่วยป้องกันสตรีจากมะเร็งมดลูกได้ และยิ่งกินมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งกันโรคร้ายให้หนีห่างออกไป ได้ไกลเท่านั้น
สถาบันโรคมะเร็งเซี่ยงไฮ้ได้พบจากการศึกษาวิจัยกับผู้หญิงชาวนครเซี่ยงไฮ้วัยระหว่าง 30-69 ปี ที่เคยถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งของปากมดลูก
และมะเร็งเยื่อบุมดลูก เทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี ยังพบด้วยว่า ผู้หญิงรายที่เป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก ชอบกินอาหารทำด้วย
เต้าหู้น้อยกว่าเพื่อนๆที่ร่างกายปกติสมบูรณ์
รายงานผลการศึกษากล่าวแจ้งว่า สตรีชาติเอเชีย จะเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุมดลูกกัน แค่ 1 ใน 5 ถึง 1 ใน 3 ของสตรีตามชาติตะวันตกเท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะกินอาหารทำด้วยเต้าหู้มากกว่ากัน ผู้หญิงเอเชีย จะกินอาหารเหล่านั้นมากกว่าพวกแหม่มทั้ง หลายถึง 25 เท่า
ถั่วเหลืองซึ่งใช้ทำเต้าหู้ อุดมไปด้วยสารไอโซฟลาโวนส์ อันเป็นพฤกษเคมีอย่างหนึ่ง มีคุณสมบัติ เหมือนกับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน
การกินอาหารทำจากถั่วเหลืองมากๆ เชื่อกันว่า ช่วยป้องกันมะเร็งทรวงอกได้ นอกจากนั้นยังชวนให้เข้าใจว่าฮอร์โมนเอสโตรเจน ยังช่วย
ต่อต้านโรคหัวใจและมะเร็งได้อีกด้วย.
ที่มา - จากเว็บ travelhealth
Posts: 2043
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
posted on 5/9/08 at 22:37
รายการ "อโรคยาปาร์ตี้" ทาง Modernine TV
มะเร็งมดลูก เกิดจากการที่มีเนื้อร้าย เจริญเติบโตขึ้ที่บริเวณด้าหลังของมดลูก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโรคนี้มักจะเกิดขึ้นในหมู่สตรีช่วงอายุ 45 ปี
และหลังจากการเสร็จสิ้นของประจำเดือนแล้ว ความผิดปกติของประจำเดือน เช่น มาระยะสั้นบ้าง ยาวบ้าง มาเร็ว หรือมาช้าบ้าง
รวมไปถึงการมีเลือดออกนอกเหนือจากการที่มีประจำเดือน ความจริงแล้ว อาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญลักษณ์ ที่บอกให้รู้ถึงการเป็นโรคมะเร็งมดลูก
สถิติการเป็นมะเร็งมดลูกของคนไทย
คนไทยเป็นมะเร็งมดลูก ปีละ 1.7% ของมะเร็งในผู้หญิง
พบในช่วงอายุ 35-80 ปี ประมาณ 1.73%
มากกว่า 50 ปี ประมาณ 65.7%
น้อยกว่า 20 ปี ยังไม่เคยพบ
ประมาณ 50 % ของมะเร็งมดลูก พบในคนอ้วน
อีก 50 % พบร่วมกับสตรีที่ไม่มีบุตร
- แล้วคูณละ ช่วงนี้มีประจำเดือนนานกว่าปกติหรือไม่?
- เคยหรือไม่ ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงมีประจำเดือน แต่มีเลือดไหลมากมาบ้างหรือไม่?
- เตยเข้าใจว่าเป็นเพราะช่วงหมดประจำเดือน โดยไม่ใส่ใจบ้างหรือไม่?
หากคุณปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ คุณอาจเป็นผู้โชคร้ายคนต่อไปก็ได้
ที่มา - www.thaitravelhealth.com/
บัญญัติ 12 ประการ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง
โรคมะเร็ง เป็นโรคที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดกับตัวเองหรือคนรอบข้าง ก็โรคนี้น่ะหายก็ยาก แถมเป็นแล้วก็แสนทรมาน วันนี้ "108 เคล็ดกิน"
เลยมีข้อพึงปฏิบัติ 12 ประการเพื่อป้องกันและลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ที่ทางกองโภชนาการ กรมอนามัยเขาบอกมาฝากกัน
สำหรับ 5 ข้อแรก เป็นอาหารที่ควรกินเพื่อป้องกันมะเร็ง ข้อแรกคือ ต้องกินผักตระกูลกะหล่ำให้มาก ทั้งกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่
เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และระบบทางเดินหายใจ ข้อต่อมา ต้องกินอาหารที่มีกากมาก คือผักผลไม้ทั้งหลายและธัญพืชต่างๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อถัดมาคือต้องกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และมะเร็งปอด ข้อถัดไป
อย่าลืมกินอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และสุดท้ายคือต้องควบคุมน้ำหนักตัว
เพราะโรคอ้วนนั้นจะมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่
ซึ่งการออกกำลังกายและลดการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งเหล่านี้ได้
จากอาหารที่ควรกินเพื่อป้องกันมะเร็ง คราวนี้มาว่าด้วยเรื่องของอีก 7 ประการที่ควรทำเพื่อลดการเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกันบ้าง
ข้อแรกเลย คือต้องไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น บางคนอาจกินเชื้อราไปโดยไม่ได้สังเกต หรือลืมดูวันหมดอายุ อาหารที่มีราขึ้นเหล่านั้น
โดยเฉพาะราที่มีสีเขียวหรือเหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับ
ข้อสอง คือต้องลดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมาก ส่วนอาหารดองเค็ม
หรืออาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท-ไนไตร์ท รวมทั้งอาหารปิ้งย่าง รมควัน ก็ควรลด-ละ-เลิก เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เสี่ยงต่อ มะเร็งหลอดอาหาร
มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อถัดมา คือต้องไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ เพราะจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ
และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ ที่สำคัญคือต้องหยุดหรือลดการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด กล่องเสียง
และการเคี้ยวยาสูบก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากและช่องคอ
การดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรลดเช่นกัน เพราะหากดื่มมากๆ เข้าก็จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ
กล่องเสียง และหลอดอาหาร มีใครอยากเป็นบ้างไหมล่ะ และข้อสุดท้าย หลบเลี่ยงแสงแดดกันหน่อย ตากแดดจัดมากๆ ก็ระวังจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้
ที่มา - เว็บ tlcthai.com
กาแฟอาจช่วยชีวิตผู้หญิง
ลดโอกาสเสี่ยงเป็น มะเร็งมดลูก [5 ก.ย. 51 - 00:23]
ศูนย์วิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติญี่ปุ่นแจ้งว่า คอกาแฟสตรีที่ดื่มจัด อาจจะได้รับประโยชน์จากกาแฟ ช่วยป้องกันให้เป็นโรคมะเร็งมดลูกน้อยลงได้
มากเกินกว่าร้อยละ 60
ทางศูนย์ได้ศึกษาด้วยการติดตามดูผู้หญิงญี่ปุ่น ที่มีอายุระหว่าง 40-69 ปี จำนวนเกือบ 54,000 คน มาเป็นเวลาติดต่อกันนาน 15 ปี
ซึ่งระหว่างนี้มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งมดลูกไป 117 คน โดยแบ่งออกตามปริมาณของกาแฟที่ดื่มออกเป็น 4 กลุ่ม
ผลของการศึกษาพบว่า คนที่ดื่มจัดเกินกว่าวันละ 3 ถ้วย จะเป็นโรคร้ายน้อยกว่าเพื่อนที่ดื่มเล็กน้อยอาทิตย์ละเพียงแค่ 2-3 ครั้ง ถึงเกือบร้อยละ 60 กว่า.
ที่มา - ข่าววิทยาการ จาก ไทยรัฐ
สมุนไพร "ฮว่านง็อก" (HOAN NGOC)
ฮว่านง็อก เป็นต้นสมุนไพรมีถิ่นกำเนิดจากประเทศเวียตนาม เป็นไม้พุ่มสูงไม่เกิน 3 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำเป็นพุ่มแน่นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม
กันเป็นต้นไม้ชนิดใบอ่อนมีใบค่อนข้างมาก ใบมีลักษณะเป็นรูปคล้ายหอก ปลายแหลม โคนมน สีเขียวสดเป็นมัน ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง
ส่วนสำคัญคือใบ ใช้เคี้ยวกินสด ๆ (่บางท่านบอกว่า คั้นและเอาน้ำข้น ๆ ทาน หรือต้มเป็นน้ำแกงทานก็ได้) ใบไม่มีกลิ่นและรส
ต้นฮว่านง็อกเป็นต้นไม้ใบยาที่มีคุณค่า ก่อนหน้านี้เรียกว่า ต้นลิง (ว่านพญาวานร) เพราะพวกลิงที่อยู่ในป่าเมื่อมันเป็นอะไรมันก็จะกินใบของต้นไม้ชนิดนี้
มีนายทหารของกองทัพบกท่านหนึ่งได้เคยเขียนไว้ในหนังสือว่า "เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้วท่านทำหน้าที่เป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่
ไปปฏิบัติการรบในสมรภูมิเวียตนาม
ได้มีความรู้ว่ามีสมุนไพรของญวณอยู่ชนิดหนึ่งที่พวกเวียดกงใช้เป็นยาสมานแผลและมักจะมีติดตัวเพื่อให้ใช้ได้ทันทีเมื่อเวลามีบาดแผล
แต่ท่านก็ไม่เคยได้เห็นว่าสมุนไพรนั้นเป็นอย่างไร สามสิบเจ็ดปีให้หลัง ท่านได้กลับมาพึ่งสมุนไพรชนิดนี้เพื่อใช้ในการรักษาโรคที่ประสบกับตัวท่านเอง คือ
ท่านเกือบเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่"
เมื่อต้นปี 48 ท่านเริ่มมีอาการถ่ายไม่เป็นเวลา และปัสสาวะบ่อย ท่านจึงไปปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คุณหมอให้ไปตรวจเลือด
เอกซเรย์กระเพาะอาหารและลำไส้ พบว่ามีเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ขนาดเท่านิ้วก้อยและยาวหนึ่งเซนติเมตร ไม่แน่ว่าจะเป็นเนื้อมะเร็งหรือไม่
แต่จากผลเลือดและภาพเอกซเรย์น่าจะใช่ คุณหมอจึงสั่งให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
ซึ่งต้องเตรียมร่างกายด้วย จึงให้รออีก 15 วัน ระหว่างนั้นท่านได้เดินทางไปลพบุรีมีคนแนะนำให้ท่านกินสมุนไพรจากเวียตนามที่ชื่อ ฮว่านง็อก
ท่านก็ขอซื้อใบมากิน 15 วัน กินมื้อละ 7 ใบ วันละ 3 มื้อ และกินน้ำขันหมากเศรษฐีต้มทุกวัน (วันละ 750 ซีซี) ถึงวันที่คุณหมอนัดตรวจ
เมื่อส่องกล้องก็พบว่าเนื้องอกนั้นมีสีแดง เหมือนแผลกำลังจะหาย แต่ก็ได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ จากนั้นอีก 15 วัน มาฟังผลตรวจ
เนื้องอกที่ตัดออกมาไม่ใช่เนื้อร้าย และระบบขับถ่ายก็เกือบเป็นปกติ ทุกวันนี้ท่านก็ยังทานใบฮว่านง็อกต่อ
ท่านยังได้แนะนำไว้อีกด้วยว่า ใบฮว่านง็อกเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับคนที่สงสัยว่าเป็นมะเร็ง, เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
และยังรักษาหรือลดน้ำตาลในเลือด ไข้หวัด อาการทางเดินทาหารไม่ปกติ ิโรคกระเพาะอาหาร เลือดออกตามลำไส้ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือดหรือขุ่นข้น
โรคตาทุกชนิด โรคความดันโลหิตสูง - ต่ำ
สรรพคุณ...
คุณค่าทางสมุนไพรของต้นฮว่านง็อก เป็นที่ยอมรับกับผู้ที่ใช้มาแล้วทุกราย ซึ่งสรรพคุณและรายละเอียดในการใช้รักษาแต่ละโรคที่ทาง สวนสมุนไพรฮว่านง็อก
จ.จันทบุรี เรียบเรียงมา มีดังนี้
* โรคมะเร็งปอด มีอาการปวด ทานต่อเนื่อง 100 - 200 ใบ อาการจะหายขาด
* โรคมะเร็งลำไส้ ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง ทานไปจนครบ 90 - 120 วัน
* โรคมะเร็งมดลูก ทานครั้งละ 9 ใบ วันละ 2 ครั้ง (ได้ผลภายใน 45 วัน)
* โรคเบาหวาน ผู้ชายทานวันละ 7 ใบ ผู้หญิงทานวันละ 9 ใบ หายภายใน 90 วัน (หากอาการหนักถึงหนักมาก ทานวันละ 2 - 3 ครั้งก่อนอาหาร)
* โรคตับอักเสบ ปวดเป็นประจำ ทานครั้งละ 3 ใบ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร จนครบ 150 ใบ
* โรคไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ขุ่นข้น ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง
* รักษาอาการปัสสาวะบ่อย เนื่องจากไตไม่ปกติ ทานวันละ 7 ใบ วันละ 1 ครั้ง
* รักษาอาการปัสสาวะอักเสบเป็นเลือด ทานครั้งละ 14 - 21 ใบ โดยคั้นน้ำข้น ๆ ดื่ม
* โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง ทานติดต่อกันจนครบ 50 ใบ
* โรคความดันโลหิตสูง จะลดทันทีเมื่อทานครั้งละ 9 ใบ
* โรคความดันโลหิตต่ำ ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 1 - 3 ครั้ง ทานจนครบ 90 วัน
* โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่เป็นบิด ทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 100 ใบ
* โรคริดสีดวงทวาร ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง ทานไปจนครบ 60 - 90 วัน
* โรคตาแดง ตาต้อ ตาห้อเลือด ทานครั้งละ 7 ใบ บด 3 ใบ ปิดที่ตาเวลานอน
* โรคคอพอก คอบวม คออักเสบ ทานครั้งละ 7 ใบ
* รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัดยอก กระดูกหัก ทานครั้งละ 7 - 9 ใบ
* โรคเลือดออกในลำไส้ ทาน 7 - 14 ใบ หรือคั้นน้ำทานวันละ 2 ครั้ง
* อาการท้องผูก ขับถ่ายไม่เป็นปกติ ทานครั้งละ 7 ใบ จะช่วยระบายทำให้ขับถ่ายง่าย (ระบายขับของเสียส่วนเกินออกจากร่างกาย สดชื่น ตัวเบา)
* รักษาโรคสุราเรื้อรัง ทานแล้ว เลิกเหล้า - บุหรี่ได้ ทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร (ได้ผลแล้วภายใน 3 วัน)
* รักษาไข้หวัด มีน้ำมูก ทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ (ทาน 2 ครั้ง หาย)
* ผู้สูงอายุ รักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำงานหนัก ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเข่า ทานครั้งละ 7 - 14 ใบ (ทาน 2 ครั้ง หาย)
* รักษาแผลสด ห้ามเลือด แก้ปวด ให้บดใบสดปิดปากแผล (ได้ผลทันที)
* สตรีหลังคลอดบุตร จะทำให้ฟื้นสุขภาพได้เร็ว ทานวันละ 11ใบ ต่อเนื่อง 60 - 90 วัน
* ลดอาการ ปวดประจำเดือน เช่น ปวดบั้นเอว ท้องน้อย ทานวันละ 7 ใบ
* ใช้ได้กับสัตว์ เช่น สุนัขสูงอายุ ตาเป็นต้อ ฝ้าฝาง กินวันละ 3 ใบ ติดต่อกันจะหาย
** *การรับประทานสมุนไพร เพื่อให้ได้ผลดี ควรทานก่อนอาหารเสมอ และติดต่อกันเป็นเวลาพอสมควร ***
ที่มา : www.hoanngoc-th.com/
เรื่องของผักกุยช่าย
ผักกุยช่าย หรือ ผักไม้กวาด ที่นิยมรับประทานสด ๆ กับก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หรือผัดรับประทานกับข้าวสวยนั้น แล้วทราบหรือไม่ว่ายังเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้
- แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่ายมีใยอาหารมาก
จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี
- แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียดพอกบริเวณที่เป็น บรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้
- แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดหรือยาผงรับประทาน
- รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู
- บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่าแม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักหอมแป้นหรือกุยช่ายจะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.
น้ำสำรอง ช่วยลดน้ำหนัก แก้ไอ
ลูกสำรองมีดีอะไร ทั้งไทยและเทศจึงไฝ่หากันนักหนา สำรองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scaphium macropodum Beaum. ชื่อเรียกตามพื้นบ้านที่รู้จักกันดี คือ
พุงทะลายและท้ายเภา เป้นต้น ที่เรียกว่า พุงทะลาย ก็เพราะเปลือกบางๆที่หุ้มเมล็ดชั้นนอก มีสารเมือกจำนวนมาก เมื่อแช่น้ำจะพองตัวทะลักทลาย ออกมามากมาย
มีลักษณะคล้ายวุ้น
ส่วนคำว่า "ท้ายเภา" นั้นกล่อนมาจากคำว่า "ท้ายสำเภา" เพราะผลของสำรอง มีลักษณะแผ่เป็นแผ่นขนาดใหญ่( ซึ่งตรงกับความหมายในชื่อภาษาอังกฤษว่า
macropodum นั้นเอง ) ซึ่งแตกตัวขณะยังอ่อนอยู่ และแตกด้านเดียวเป็นรูปโค้งคล้ายเรือสำเภา เมื่อเหล่าผลสำรองแก่ต้องลมพัดก็ปลิด ปลิวเลื่อนลอยกันไปเป็นพรวน
เหมือนกลุ่มสำเภาน้อยล่องลอยตามสายลม
สำหรับสรรพคุณทางยาของสำรองนั้นไม่เป็นรองใครเหมือนชื่อ หมอไทยแต่โบราณรู้จักนำทุก ส่วนของสำรองมาใช้ทำยา ดังนี้
- ราก รสเฝื่อนเปรี้ยวเล็กน้อย แก้ไอ แก้ท้องเสีย รักษากามโรค แก้พยาธิผิวหนัง
- แก่นต้น รสเฝื่อน แก้โรคเรื้อน แก้กุฏฐัง แก้กามโรค
- ใบ รสเฝื่อน แก้พยาธิ แก้ลม
- ผลและเมล็ด รสฝาดสุขุม แก้ไข แก้ตานซาง ตานขโมยในเด็ก แก้ท้องเสีย แก้ลมพิษ แก้ลม แก้ธาตุพิการ
- เปลือกต้น รสเฝื่อน แก้ไข้ แก้ท้องเสีย
จะเห็นได้ว่าสรรพคุณโดยรวมของต้นสำรอง คือ แก้ไอ แก้ไข้ และแก้ท้องเสีย ส่วนสรรพคุณแก้โรคเรื้อน กุฏฐัง โรคผิวหนัง และกามโรค ของรากและแก่นต้นสำรองนั้น
น่าจะมีการศึกษาวิจัยในด้านการบรรเทาอาการโรค ผิวหนังในผู้ป่วยเอดส์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ส่วนของสำรองที่นิยมใช้ประโยชน์กันในปัจจุบันคือ เมล็ดสำรอง
โดยเฉพาะวุ้นที่ได้จากเปลือก หุ้มเมล็ดที่พองตัวเมื่อนำไปแช่น้ำ
สรรพคุณของวุ้นสำรองและวิธีการใช้
- แก้เจ็บคอแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวานจนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก
- แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรองแค่ 3-5 ลูกก็พอ เพียงแช่ลงในน้ำสัก 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้นออกมา เติมน้ำตาล กรวดลงไปเพื่อแต่งรสให้หวานตามใจชอบ
ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร
ช่วงฝนตกทุกวันอย่างนี้ ไข้หวัดกำลังระบาดพร้อมกับอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ จึงควรหาลูกสำรองมาประจำ บ้านไว้เพื่อทำเครื่องดื่มอุ่นๆ แก้ไข้ แก้ไอ
ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ เนื่องจากอาการหวัดในหน้าฝนกันเถอะ และใน บางวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้ใจคอชุ่มชื่น
กระปรี้ กระเปร่า ได้ ดีกว่าดื่มชาหรือกาแฟเป็นไหนๆ
- แก้ตาอักเสบ เนื่องจากวุ้นสำรองเป็นยาเย็นที่ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อบุอ่อนๆ จึงสามารถนำมาใช้รักษาตาอัก เสบได้ โดยนำผ้าก็อซชุบน้ำพอชุ่มชื้น
แล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูก สำรองลงบนผ้าก็อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก็อซ
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตา ตาอัก เสบอย่างได้ผลมาแล้ว
- แก้โรคอ้วน สรรพคุณลูกสำรองที่น้องๆธิดาช้างทั้งหลายควรสนใจ เนื่องจากฤทธิ์ในการระบายของวุ้น สำรองก็ดี หรือ การพองตัวของวุ้นสำรองที่คล้ายกับบุกก็ดี
ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญ แบบทูอินวันของสมุนไพร ลดน้ำหนักอย่างลูกสำรอง ที่ควรจัดเป็นเมนูเครื่องดื่มประจำสำหรับสาวไดเอ็ททั้งหลาย
ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่สาวๆ ก็เพราะมีตัวเลขว่าคุณผู้หญิงเป็นโรคอ้วนมากกว่าคุณผู้ชายถึง 2 เท่า เดี๋ยวนี้ความอ้วนไม่ใช่ภาวะ ตุ้ยนุ้ยธรรมดาแล้ว
แต่ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นภาวะของโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุไปสู้โรคอื่นๆอีกมาก มายที่ทำให้อายุสั้น เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
เป็นต้น
ที่มา - http://www.navy34.com
วุ้นว่านหางจรเข้ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้
เราเคยป่วยด้วยโรคมะเร็งมดลูก เกิดจากหมอลืมเอาผ้าก๊อตออกมาหลังผ่าตัด หมอบอกว่า มีโอกาสรอด 30%
มีคนบอกเราว่า ให้กินวุ้นว่านหางจรเข้ วันละ 2 - 3 อัน และเอาน้ำวุ้นว่านหางจรเข้มาอาบรดตัวด้วย เราทำไปเรื่อย ๆ เพราะถูกแม่บังคับ ถ้าไม่ทำ
จะไม่เลี้ยงลูกให้ เราจึงจำเป็นต้องทำ หลังจากนั้นก็มั่นไปปรึกษาหารือหมอบ่อย ๆ หมอบอกไม่น่าเชื่อ มะเร็งมดลูกค่อย ๆ หายไป จนขณะนี้หายขาดแล้ว
ท่านผู้ใด มีคนรู้จักเป็นโรงมะเร็ง ช่วยประชาสัมพันธ์ต่อไปด้วย ให้ลองรักษาด้วยการกินวุ้นว่างหางจรเข้ดู เผื่อจะหาย
โดย: vandam ตั้งเมื่อ: 09:34 น. 2 ก.ค. 2008
ความคิดเห็นที่ 7
เมื่อกี้หาอ่านในเน็ต ว่านหางจระเข้มีประโยชน์ทางยามหาศาลค่ะ มีสามคุณสมบัติใหญ่ คือ สมานแผลและทำลายเชื้อรา ล้างพิษ
และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยที่จะทำให้มะเร็งหายไปได้ เพราะไปยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย
แถมล้างพิษให้ร่างกายเราอีก
โดย: จอย เขียนเมื่อ 11:00 น. 5 ก.ค. 2008
ความคิดเห็นที่ 6
เคยคุยกับป้าคนหนึ่งตอนไปเปลี่ยนชื่อ เขาบอกว่าพี่ชายเขาเป็นมะเร็งระยะ 3 หมดเงินรักษาไปหลายแสนจนหมดหนทางเลยให้พี่ชายกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเหมือนเดิม
แล้วพี่ชายแก ไปรู้มาว่ากินว่านหางจระแล้วจะหาย แกก็ปลอกเปลือกแล้วกินทุกวัน 6 เดือนผ่านไป ไปหาหมอ หมองง ที่ก้อนมะเร็งเริ่มหายไปเหลือนิดเดียว
พอกินได้ประมาณปีกว่า ๆ แกไปหาหมอ หมอบอกว่ามะเร็งหายแล้ว ซึ่งหมอก็งง ตัวเขาเองก็ยังงงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ตอนนี้แกสบายดี
จิตใจเบิกบานเหมือนได้เกิดใหม่เลยไปเปลี่ยนชื่อ
โดย: โมรี เขียนเมื่อ 16:44 น. 4 ก.ค. 2008
ความคิดเห็นที่ 5
หมอเองก็ไม่รู้ หมอยังงงเลย ถามคนไข้ใหญ่ กินอะไรจึงหาย คนไข้เล่าให้ฟังเสร็จ หมองง...
โดย: vandam
ถั่วแปบ.. ของวิเศษสำหรับต้านโรคมะเร็ง
ถั่วแปบ.. มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า ถั่วแปบขาว เหมยโต้ว เสี่ยวตาวโต้ว เป็นต้น เป็นสายพันธุ์ตระกูลถั่วที่มีลักษณะลำต้น เป็นเถาเลื้อยพันไปตามกิ่งไม้
ฝักถั่วมีรูปทรงคล้ายเคียวเกี่ยวข้าว เมล็ดแบน จึงนิยมเรียกกันว่า "ถั่วแปบ" นั่นเอง
ถั่วแปบมีอายุสั้นแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น ตั้งแต่ฝักของถั่วแปบ เมล็ด ใบ
ลำต้น ไปจนถึงราก ล้วนมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคได้ทั้งสิ้น เคยมีรายงานระบุว่า ถั่วแปบมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
และน้ำถั่วแปบถูกนำมาใช้เป็นยาเสริม ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
หากนำถั่วแปบมาปรุงทำเป็นข้าวต้ม ผสมรวมเข้ากับลูกเดือย และแครอทจะช่วยแก้ปัญหาท้องอืด ระงับอาเจียน ช่วยเจริญอาหาร และระงับอาการท้องร่วงได้
แพทย์แผนโบราณจีนมีความเห็นว่า ถั่วแปบมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน ช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร แก้คอแห้ง ระงับอาเจียน ระงับอาการท้องร่วง ดับร้อน ถอนพิษ
ขจัดความชื้น และช่วยถอนพิษสุรา แก้อาการเมาค้าง ตลอดจนประจำเดือนมาผิดปกติ
จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า ถั่วแปบประกอบด้วยโปรตีน แป้ง ไขมัน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี รวมไปถึงวิตามินเอ
วิตามินบี วิตามินซี กรดแพนโรทีนิค และสารพฤกษเคมีที่มีชื่อว่า ไฟโตฮีแมคกลูตินิน (Phytohemagglutinine)
ซึ่งช่วยเร่งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ในการกำจัดทำลายเซลล์สิ่งแปลกปลอม อีกทั้งถั่วแปบยังมีไขมันชนิดฟอสฟาไทด์ กลุ่มน้ำตาล เช่น กลูโคส กาแลคโตส
และกลูตามิเนส เป็นต้น
นอกจากนี้ในต้นถั่วแปบ ก็มีสารแคโรทีนหรือเบต้าแคโรทีน และสารลูเทียน (Lutein) ส่วนรากถั่วแปบมีเอนไซม์ชนิดหนึ่ง และกรดอะมิโนแยกอิสระอีกหลายชนิด
ทำให้สามารถนำไปใช้รักษาอาการท้องร่วง ถอนพิษฝี ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือโรคริดสีดวงทวาร
มีรายงานทางคลินิกหลายแห่งระบุถึงการใช้น้ำใบถั่วแปบช่วยในการรักษาเนื้อร้าย โดยนำใบถั่วแปบสดประมาณ 1,000 กรัม คั้นเอาน้ำสีเขียว แล้วแบ่งดื่มหลาย ๆ
ครั้งต่อวัน ซึ่งได้ผลดีเด่นชัดในกลุ่มมะเร็งกระเพาะอาหาร สำหรับกรณีผู้ป่วยมะเร็ง ที่เกิดผลข้างเคียงทางระบบย่อยอาหาร ในช่วงขณะและหลังการให้เคมีบำบัด
เช่น ท้องอืด อาเจียน ท้องร่วง เป็นต้น
มีคำแนะนำให้ใช้ถั่วแปบต้มทำเป็นข้าวต้ม ผสมน้ำแครอทสด หรือน้ำข้าว และลูกเดือย จะช่วยเพิ่มกำลังวังชา ขจัดความชื้น เสริมม้ามให้แข็งแรง
บรรเทาอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ ระงับอาเจียน ช่วยให้เจริญอาหาร และระงับอาการท้องเสียได้ด้วย
เคล็ดลับแนะนำ : หากใช้ถั่วแปบสดปรุงผัดผสมกับแครอท และจำพวกเห็ดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เช่น เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดหัวลิง เห็ดหูหนู
เป็นต้น จะเป็นอาหารเสริมต้านมะเร็งอย่างดี เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และบุคคลทั่วไปรับประทานเป็นประจำ จะมีผลช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้
แต่มีข้อควรสนใจคือ ถั่วแปบดิบจะมีสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว และยังมีสารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งเป็นสารกลุ่มละลายลิ่มเลือด เมื่อรับประทานเข้าไป
จะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน เป็นต้น ดังนั้น
จึงควรต้มให้สุกก่อนนำมารับประทาน
ถั่วแขก.. สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกัน ถั่วแขก..มีฤทธิ์ในการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากในถั่วแขกมีสารสำคัญอยู่หลายตัว ได้แก่
สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ สารทริปซิน และยังมีสารพีเอชเอ ซึ่งช่วยชะลอความแก่ชรา ป้องกันโรคมะเร็ง โดยพบความสัมพันธ์ของการเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย
และช่วยเร่งการสร้างสารภูมิคุ้มกัน ที่เรียกกันว่า อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)
ดังนั้น ถั่วแขกจึงถูกนำมาช่วยเสริมการรักษาโรคมะเร็งหลาย ๆ ชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือด รวมทั้งยังช่วยการรักษาโรคโลหิตจาง โรคตับอักเสบเรื้อรัง
โรคไข้เลือดออก ภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำ และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันต่ำลง
แต่สิ่งที่ควรสนใจก็คือ ไม่ว่าจะผัดหรือต้ม ต้องให้ถั่วสุกเต็มที่ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมาจากพิษถั่ว อาการที่แสดงออก คือ หลังรับประทานไปได้ 2-4
ชั่วโมง จะมีอาการวิงเวียนศีรษะ ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ผู้ถูกพิษบางราย
จะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย การเมาพิษชนิดนี้ โดยทั่วไปภายใน 1-2 วัน ร่างกายก็จะฟื้นแข็งแรงตามเดิม
ข้อมูล - สถาบันการแพทย์เจิงกว่างเจี้ยนเหวิน
สรรพคุณของถั่วแขก :
1. ช่วยเสริมการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด
2. รักษามะเร็งในเม็ดเลือด
3. ช่วยเสริมการรักษาโรคโลหิตจาง ชนิดไม่สร้างเม็ดเลือด
4. ช่วยเสริมการรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรัง
5. ช่วยเสริมการรักษาโรคไข้เลือดออก
6. ช่วยเสริมการรักษาภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำ
เต้าหู้.. ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด
เต้าหู้มีโปรตีนและสารอาหาร ไม่ด้อยไปกว่านมวัวสด โดยเฉพาะธาตุเหล็กนั้นมีมากว่านมสด แต่ส่วนประกอบจำพวกไขมัน และเกลือแร่ มีน้อยกว่านมสด
จึงให้พลังงานแคลอรีต่ำกว่านมสด เต้าหู้มีคุณค่าทางสารอาหารสูงมาก จากข้อมูลด้านโภชนาการพบว่า
เต้าหู้ประกอบด้วย
โปรตีนร้อยละ7.4
ไขมันร้อยละ 3.1
น้ำตาลร้อยละ 2.7
โดยเต้าหู้ทุก 100 กรัม
จะมีแคลเซียม 277 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.1 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ยังมีวิตามิน บี 1
วิตามินบี 2
และวิตามินบี 3 อยู่เป็นจำนวนมาก
โปรตีนในเต้าหู้ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น 8 ชนิด ซึ่งร่ายกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องได้รับจากอาหารภายนอก และเนื่องจากสารอาหารต่าง ๆ
ในเต้าหู้ ร่างกายสามารถย่อยสลายได้สูงถึงร้อยละ 92 - 96
รวมถึงเต้าหู้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารและย่อยได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
ที่ไม่มีฟันและระบบการย่อยไม่ดี รวมทั้งเด็กเล็กที่ฟันยังงอกไม่สมบูรณ์
อีกทั้งเต้าหู้ ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและมีน้ำตาลต่ำ จึงเป็นอาหารที่ดีอย่างหนึ่ง สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ส่วนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแข็งตัว และโรคโลหิตจาง
จากสาเหตุขาดธาตุเหล็กก็มีประโยชน์อย่างมาก เพราะเต้าหู้ ซึ่งทำมาจากถั่วเหลือง จะมีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย อาทิเช่น เหล็ก แมกนีเซียม โมลิบเดนนัม แมงกานีส
ทองแดง สังกะสี และธาตุซิลีเนียม เป็นต้น
โดยเฉพาะธาตุเหล็กพบว่า ในถั่วเหลือง 500 กรัม จะมีสูงถึง 30 มิลลิกรัม และร่างกายสามารถดูดรับได้ง่ายด้วย
จึงเป็นผลดีในการใช้บำบัดรักษาโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก
นอกจากนี้แร่ธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ ยังช่วยเร่งสารเอนไซม์ การขับหลั่งฮอร์โมนในระบบร่างกายให้ทำงานอย่างสมดุล
รวมทั้งยังช่วยให้ภูมิคุ้มกันกลับสู่ภาวะปกติได้ โดยมีรายงานการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็กจะเจ็บป่วยบ่อย เป็นหวัดได้ง่าย
เมื่อให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเสริม นอกจากระดับสภาวะเหล็กในเลือด จะดีขึ้นแล้ว ยังพบว่าการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ที
(T-lymphocyteหรือ T-cell) มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
แพทย์จีนแผนโบราณมีความเห็นว่า เต้าหู้มีรสหวาน ลักษณะเย็น ใช้บำรุงกำลัง และปรับธาตุให้เป็นลักษณะกลาง เพิ่มความชุ่มชื้น ดับร้อนแก้กระหาย
ระงับอาการท้องร่วง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ลดคลอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันมิให้หลอดเลือดแข็งตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ช่วยป้องกันมะเร็งได้หลายชนิด
ข้อควรพึงระวังในการรับประทานเต้าหู้ : มิใช่ว่าทุกคนจะรับประทานเต้าหู้ได้ โดยทฤษฎีแพทย์แผนจีนโบราณแนะนำไว้ว่า
ผู้ป่วยโรคเกาท์ โรคนิ่ว ไม่ควรจะรับประทานเต้าหู้ รวมไปถึงผู้ที่มีธาตุม้าม-กระเพาะลักษณะเย็น ไม่แข็งแรง
ผู้ที่มีอาการท้องร่วง ถ่ายผิดปกติ ก็ไม่เหมาะที่จะรับประทานเต้าหู้เช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากว่าเต้าหู้มีฤทธิ์เย็น หากรับประทานมาก
จะยิ่งทำให้โรคกำเริบหนักยิ่งขึ้นได้
ที่มา - http://www.siamca.com/food/index.php?thisone=5
Posts: 2043
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
posted on 31/1/09 at 15:27
ตำรายาชาวบ้าน
หลวงปู่ศุข และ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ยาแก้โรคมะเร็ง
ขนานที่หนึ่ง ท่านให้เอาหัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กำมะถันเหลือง ๑
ตัวยาทั้งสามอย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน กะลามะพร้าวแก่ (ผ่าเป็น ๔ ส่วน เอา ๓ ส่วน)
ตัวยาทั้งสี่อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชาจนน้ำยาจืด มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งได้ผลดีชะงัดนักแล
เคยใช้รักษาหายมามากแล้ว ฯ
ตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็งของ
นายแพทย์นพรัตน์ บุณยเลิศ
นายแพทย์นพรัตน์ บุณยเลิศ เป็นบุคคลหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการพระราชดำริสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน โดยเป็นคณะกรรมการปลูกต้นไม้
และได้ทำการค้นคว้าวิจัยสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง เพื่อตอบสนองแนวพระราชดำริ ด้วยการค้นคว้าตำราสมุนไพรจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
แล้วนำมาทดลองรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่างๆ โดยเริ่มทดลองด้วยการใช้นมผึ้ง (royal jelly) และเลือดจระเข้ พบว่านมผึ้งให้ผลในการรักษาดีกว่าเลือดจระเข้
และยังให้ผลดีกับมะเร็งทุกชนิดด้วย
สมุนไพรทุกชนิดที่นายแพทย์นพรัตน์นำมาทดลองรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ได้ผ่านการวิเคราะห์ความปลอดภัยจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เผยแพร่ผลการค้นคว้าวิจัยสู่สาธารณชนได้ รายละเอียดตามภาคผนวก ค
หลักการรักษาโรคมะเร็ง
จากการสัมภาษณ์นายแพทย์นพรัตน์ ท่านมีความเชื่อว่า เซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่มีผนังบางและสามารถผลิตเอนไซม์ฮัยยาลูโรนิเดส (hyaluronidase)
ที่สามารถทำลายผนังเซลล์ปกติและมีผลเหนี่ยวนำให้เซลล์ปกติเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นสมุนไพรที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพ (denature) ของเอนไซม์ hyaluronidase
ทำให้เอนไซม์ไม่สามารถทำลายผนังเซลล์ปกติได้นั้น จะใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้
วิธีการให้การรักษาผู้ป่วย
โดยให้ยาสำหรับรับประทานเพียงพอกับระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อยาหมดจึงกลับมารับใหม่ ซึ่งทำให้สามารถติดตามอาการของผู้ป่วยได้
สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ต่างจังหวัดจะให้ยาเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และผู้ป่วยที่อยู่ต่างประเทศ เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์
ตำรับยา
สำหรับรักษามะเร็งตับ (WCL)
ส่วนประกอบ คือ ขมิ้นชัน
วิธีเตรียม : นำหัวขมิ้นชันมาซอยเป็นแว่นๆ หมักกับ diethylether (สกัดเอาตัวยาออกมา) ประมาณ 7 วัน (เปิดฝาไว้) เมื่อ diethylether ระเหยออกไปหมดแล้ว เติม
ammonium carbonate ลงไป ทิ้งไว้ 3 วัน เมื่อ ammonium carbonate ระเหยหมด นำกากมาเติมน้ำเดือด ทำให้เย็น เจือจางด้วยน้ำ รับประทานได้
วิธีใช้ : ใช้ร่วมกับ ACL
มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง (RJ)
ส่วนประกอบสำคัญ : Royal Jelly ประมาณ 1 กก.
กระชายดำ 7 ช้อนชา (นำหัวมาตากแห้งและบดเป็นผง)
น้ำ 250 ml นำมาละลายกับกระชายดำ
วิธีใช้ ครั้งละ 1 ช้อนชา ก่อนนอนและตื่นนอน
ถ้ารับประทานยากให้ดื่มน้ำส้ม เพราะ royal jelly จะบาดคอ
ยาป้องกันมะเร็งและไม่ให้มะเร็งลุกลาม (CM)
ส่วนประกอบสำคัญ : ผิวส้มโอ Citrus maxima ( ใช้แทนว่านหางช้าง (belugenda)) เพราะหายาก
วิธีเตรียม : นำเปลือกส้มโอมาเฉือนผิวเขียวๆ โดยไม่ให้ติดส่วนที่เป็นสีขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตากให้แห้ง นำมาบดเป็นผง
วิธีใช้ : ครั้งละ 1 ช้อนชา หลังอาหาร อาจผสมน้ำหรือน้ำผึ้ง
ยารักษาอาการตับโต (ให้เข้าที่) ( ACL)
ส่วนประกอบสำคัญ :
ใบบัวบก สด 30 g หรือ แห้ง 60 g
พระจันทร์ครึ่งซีกแห้ง 15 g
น้ำตาลกรวดจำนวนพอหวาน
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบมาต้มรวมกัน ให้มีรสออกหวานเพื่อช่วยการทำงานของตับ
วิธีใช้ : ใช้ร่วมกับ WCL (ขมิ้นชัน) ทานวันละครึ่งกระปุก เวลาท้องว่าง เช้า-บ่าย (10.00 และ 15.00)
ข้อห้าม : ผู้ที่เป็นตับโต
- ห้ามไม่ให้ขึ้นบันได เพราะจะได้ผลจากแรงดึงดูดโลก
- ห้ามไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน
-ห้ามขึ้นลิฟท์
การรับประทาน ACL ร่วมกับ WCL สำหรับมะเร็งตับ จะหายในเวลา 5-6 เดือน ไวรัสตับอักเสบ B 2 เดือน
ยาล้างพิษจากการฉายแสงและฉีดสารเคมี ( CYP)
ส่วนประกอบสำคัญ :
อ้อยแดงสด 300 g
หัวแห้วหมูแห้ง 500 g
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบทั้งสองมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ
เติมน้ำพอท่วม ต้มให้เดือดประมาณไม่เกิน 1/2 ชม.
วิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 เวลา
ยาเพิ่มภูมิต้านทาน (CAR)
ส่วนประกอบที่สำคัญ : ดอกคำฝอยแห้ง 500 g
แครอทสด จำนวนมาก
ใบบัวบกสดหรือแห้ง 15 g
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบมาต้มกับน้ำให้เดือดประมาณ 1/2 ชั่วโมง
วิธีใช้ : ให้กับผู้ป่วยทุกคนร่วมกับยาตัวอื่นๆ
ยารักษามะเร็งปอด (CALG)
ส่วนประกอบสำคัญ : ทองพันชั่งทั้งต้นแห้ง 60 g
ข้าวเย็นเหนือ 30 g
ข้าวเย็นใต้ 30 g
ตังกุยจี้ (เมล็ดดำเล็กๆ) 30 g
รากชะเอม 10 g
พูคาวทั้งต้นแห้ง 60 g
กะเม็งตัวเมียทั้งต้นแห้ง 60g (ดอกสีขาวเล็กๆ)
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบมาสับรวมกัน ต้มกับน้ำพอท่วม
วิธีใช้ : ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหาร 3 เวลา
ยารักษามะเร็งเต้านม (BEL)
ส่วนประกอบสำคัญ : ว่านหางช้าง 500 g
(หัวใต้ดิน Belaqunda chinesis พบในปัตตานี นราธิวาส ต้นมีลักษณะคล้ายกะเม็งตัวผู้
วิธีเตรียม : นำมาสับ ต้มกับน้ำพอท่วมให้เดือดประมาณ ฝ ชั่วโมง
วิธีใช้ : ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 เวลา
ยารักษาโรคเบาหวาน (SCO)
ผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเบาหวาน จะไม่ให้ยา ACL เพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลกรวด แต่จะให้ SCO แทน
ส่วนประกอบสำคัญ : ผักบุ้งแดงสด 15 g
ตะไคร้หอมสด 50 g
ดอกมะม่วงสด 15 g
ฝักคูณทั้งฝัก 60 g
กรดน้ำทั้งต้นสด 30 g
ใบอินทนิลน้ำสด 60 g
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบทุกอย่างมาต้มรวมกัน
วิธีใช้ : ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 เวลา ให้ร่วมกับ CAR เพื่อเพิ่มพูนต้านทาน : สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเบาหวาน จะให้ SCO
ร่วมกับยารักษามะเร็งนั้นๆ
ยารักษามะเร็งกล่องเสียง (HV)
ส่วนประกอบสำคัญ : น้ำนมราชสีห์ ทั้งต้นสด
วิธีเตรียม : เติมน้ำพอท่วมต้น
วิธีใช้ ให้ร่วมกับ RJ และ CAR
ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ อัมพฤกต์-อัมพาต ปวดข้อ (AP)
เป็นสูตรของเพื่อนนายแพทย์นพรัตน์ แล้วนำมาเติมฟ้าทะลายโจร
ยารักษามะเร็งในเม็ดเลือด (BVHJ)
ส่วนประกอบสำคัญ : พังพวยดอกขาวทั้งต้น 50 g
กระชายแดงทั้งต้น 50 g
หญ้างวงช้างทั้งต้น 50 g
สบู่แดงทั้งต้น 50 g
วิธีเตรียม : นำทุกอย่างมาบดรวมกันให้เป็นผง
วิธีใช้ : ครั้งละ 2 ช้อนชาหลังอาหาร 3 เวลา
ยาบำรุงหัวใจ (PADMA 28)
นำเข้ามาจากต่างประเทศ (สวิสเซอร์แลนด์ และ อเมริกา) ลักษณะเป็นยาเม็ด ส่วนประกอบเป็นสมุนไพรของทิเบต ซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ใช้ส่วนของใบ
ยารักษามะเร็งกระดูก (BOE)
ส่วนประกอบสำคัญ : กระชายแดง
วิธีเตรียม : บดเป็นผง
วิธีใช้ : ครั้งละ 2 ช้อนชา ก่อนอาหาร 3 เวลา
ยาสร้างเม็ดเลือด
ส่วนประกอบสำคัญ : กรดน้ำ
ยารักษามะเร็งคอ ปาก ระบบทางเดินหายใจ
ส่วนประกอบสำคัญ : สบู่แดง 80 g
พูคาว 20 g
หญ้างวงช้าง 20 g
วิธีเตรียม : บดรวมกันเป็นผง ครั้งละ 2 ช้อนชา หลังอาหาร 3 เวลา
ยาสำหรับเสริม (A109)
ใช้เสริมทุกเวลา
ส่วนประกอบสำคัญ : หญ้าดอกขาวทั้งต้น (หมอน้อย) 250 g
ทองพันชั่งทั้งต้น 100 g
สบู่แดงทั้งต้น 80 g
สะบ้ามอญ ใช้เนื้อในเมล็ด 40 g
แก่นแกแล 20 g
กะเม็งตัวเมีย 240 g
ลูกเดือย 120 g
พันงู 90 g
หนุมานประสานกาย 74 g
ใบมะละกอ ใช้ใบทั้ง 3 และ 4 72 g (ใบที่ 4 จะดีที่สุด)
พูคาว (ผักคะตอง) 40 g
พังพวยฝรั่ง ดอกขาวทั้งต้น 120 g
พระจันทร์ครึ่งซีก 90 g
ว่านหางช้าง 50 g
โทงเทง 90 g
ลูกใต้ใบ 120 g
หญ้างวงช้าง 50 g
เทียนบ้าน 30 g
เถาฟัก 20 g
ผิวส้มโอ 50 g
ทานตะวันทั้งต้นไม่เอาเมล็ด 100 g
ฝอยข้าวโพด 100 g
กระชายแดง 50 g
ขมิ้นอ้อย 50 g
ฟ้าทะลายโจร 20 g
หญ้าผมยุ่ง 80 g
กระเทียมโทน สกัดจาก alcohol 50% (แช่ alcohol 50% นาน 1 เดือน)
ขมิ้น สกัด alcohol 50% (แช่ alcohol 50% นาน 1 เดือน)
หญ้าหนวดแมว 40 g
วิธีใช้ : ใช้เสริม RJ ทุกเวลา
อื่นๆ
ดอกคำฝอย : เป็นยาเพิ่มภูมิต้านทาน
RJ : บำรุงสมอง ทานวันละ 1 ช้อนชา
กระชายดำ : บำรุงสมอง ทานกับน้ำผึ้งหรือเหล้า
ตำรับยาเหล่านี้ ในการรักษาจะให้หลายๆ อย่างพร้อมกัน ตำรับที่เป็นพื้นๆ คือ RJ, A109, CM, CAR
สำหรับข้อมูลงานวิจัยอื่นๆ ของสมุนไพรตามตำรับยาของนายแพทย์นพรัตน์ ได้รวบรวมไว้ในภาคผนวก.
www.swu.ac.th/royal/book3/b3c3t2_2.html
Posts: 2043
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player
ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป
ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved