ตามรอยพระพุทธบาท - รพ.ศิริราช...เปิดห้องผ่าตัดไฮบริดแห่งแรก

ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER

VISITORS


	Not logged in [Login ]

Today's Posts Forum Stats

Stats

Back to:

ตามรอยพระพุทธบาท » ห้องสุขภาพอนามัย » รพ.ศิริราช...เปิดห้องผ่าตัดไฮบริดแห่งแรก

Printable Version | Subscribe | Add to Favourites

posted on 17/12/09 at 07:00

รพ.ศิริราช...เปิดห้องผ่าตัดไฮบริดแห่งแรก

Go to News Update

พบหวัด 2009 แพร่..คนสู่หมู เฝ้าระวัง 132 คน

อย.เตือนภัยอาหารเสริมอ้างลดอ้วน อย. เตือน ยาลดความอ้วนและอาหารเสริม ฉลากไม่ถูกต้อง และยังไม่ได้รับอนุญาต ชี้ ไซบูทรามีน มีผลข้างเคียง ทำให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ...

นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากบริษัท คิงส์ เฮิร์บ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 688/73-75 โครงการ หลักสี่สแควร์ แจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายอาหาร มาตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลปรากฏว่า พบ "ไซบูทรามีน" (sibutramine) ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนและเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ และขายได้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น และต้องอยู่ภายใต้มาตรการการติดตามความปลอดภัยในสถานพยาบาลอีกด้วย และจากการตรวจสอบการแสดงฉลากพบว่ามีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังได้มีการเก็บ

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จากสถานที่ผลิตอาหารชื่อ บริษัทยินดีเนเจอร์ โปรดักส์ จำกัด เลขที่ 99/32 ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี จำนวน 4 รายการ พบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเลขสารบบอาหารจาก อย. และแสดงฉลากเพื่อลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าได้รับเลขสารบบอาหารแล้ว และตรวจพบ "ไซบูทรามีน" ด้วย ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ..

ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว แม้จะไม่มากนัก แต่มีผลให้ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 5 จำเป็นต้องหยุดยา ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก ยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุม ความดันโลหิตไม่ดี หลอดเลือดสมองตีบ โรคตับ โรคไต ต้อหิน หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร.

สธ.คาด หวัด 2009 ระบาดถึงกลางปี 53 ติดเชื้อพุ่ง 10 ล้าน

สธ.ประชุมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เผย นักวิชาการคาด โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะระบาดถึงกลางปี 2553 ขณะผู้ติดเชื้อทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคน ...

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่กระทรวงมหาดไทย กทม. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล เพื่อชี้แจงนโยบายเร่งด่วนในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด และ นายอำเภอทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการบริการจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกล่าวว่า เรื่องด่วน ที่ต้องขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการ มี 3 เรื่อง

เรื่องแรก ได้แก่ การป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คาดว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อ แล้วประมาณ 8.5 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 10 ล้านคน ในปลายปี 2552 นักวิชาการคาดการณ์ว่า โรคจะระบาดไปจนถึงกลางปี 2553 ก่อนที่จะกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนธันวาคมนี้พบจำนวนผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นพบมากใน 12 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ อ่างทอง แพร่ อุตรดิตถ์ ชลบุรี ชัยนาท ปทุมธานี พิจิตร ราชบุรี สมุทรสงคราม และสุโขทัย

เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อชะลอการแพร่ระบาด รวมทั้งโรคติดต่อประจำถิ่นอื่นๆ เช่น อุจจาระร่วง ไข้เลือดออกไข้ปวดข้อยุงลาย เนื่องจากได้กระจายอำนาจในการบริหารลงสู่ท้องถิ่นมากขึ้น และ ลักษณะการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ขยายวงกว้าง ต้องรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ขอให้เข้มงวดการดูแลความสะอาดสิ่งแวดล้อม ตามสถานที่สาธารณะ สถานบริการ ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่มีคนมารวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น การประชุม คอนเสิร์ต การเข้าค่ายของนักเรียนนักศึกษา ขอให้จัดหาน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อให้ผู้ใช้บริการ/ผู้ร่วมกิจกรรมได้ล้างทำความสะอาดมือบ่อยๆ และให้คนป่วยเป็นหวัด หยุดอยู่บ้าน 3-5 วัน ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง หายป่วยเร็ว และลดการแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นด้วย

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องที่ 2 คือ การดำเนินงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนที่ได้งบประมาณตามพระราชกำหนด พ.ศ.2553 วงเงิน 11,515 ล้านบาท ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทบทวนรายละเอียดรายการ และราคา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี อนุมัติ โดยตามนโยบายได้กระจายอำนาจให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง จึงขอความร่วมมือให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดูแลควบคุมกำกับให้โปร่งใสทุกขั้นตอน และส่งผลการจัดซื้อจัดจ้างของจังหวัดให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อขออนุมัติเงินงวดทันวันที่ 30 มกราคม 2553 ตามที่ขอผ่อนผันกับกระทรวงการคลังไว้

และเรื่องสุดท้ายคือ การพัฒนาสถานีอนามัยทั่วประเทศทั้งหมด 9,810 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพิ่มคุณภาพบริการใกล้บ้าน เป้าหมายในปี 2552 ประมาณ 1,000 แห่ง และปี 2553 เพิ่มอีก 1,000 แห่ง ใช้การทำงานรูปแบบใหม่เน้นเชิงรุกส่งเสริมสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพดี ลดการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และโรคติดต่อ ขอความร่วมมือให้จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนงบประมาณดำเนินงานต่างๆ และผลิตบุคลากร ซึ่งขณะนี้ยังขาดแคลน 50 เปอร์เซ็นต์ มีเจ้าหน้าที่เฉลี่ยแห่งละประมาณ 3 คนจะต้องเพิ่มเป็น 5 - 10 คน ตามจำนวนประชากรที่รับผิดชอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการศึกษา
17 ธันวาคม 2552, 05:30 น.

อย.แนะสังเกต "ปลาร้า" ปนเปื้อน

อย.แนะสังเกตสัญญาณอันตรายปนเปื้อนยาฆ่าแมลงถ้าแมลงวันไม่ตอมปลาร้าปลาเค็มให้ระวัง หลังบุกตลาดไท ตรวจ “ปลาร้า-ปลาเค็ม-ปลาแห้ง” พบปนเปื้อนยาฆ่าแมลงถึง 90% สั่งอายัดสินค้าและระงับการขายทันที พร้อมส่งตัวอย่างตรวจซ้ำกรมวิทย์ฯ ก่อนดำเนินคดีหนักกับร้านค้า แถมเตรียมลุยตรวจตลาดขายส่ง ชื่อดังใน กทม. และกำหนดดีเดย์ให้ สสจ.ลงพื้นที่ตรวจแหล่งผลิตทั่วประเทศ 16 ธ.ค.นี้

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เก็บตัวอย่างปลาร้า ปลาแห้ง และปลาเค็ม ที่จำหน่ายในตลาดนัด ตลาดสด และห้างสรรพสินค้า ในกรุงเทพฯ จำนวน 200 ตัวอย่าง และจากการทดสอบเบื้องต้น ตรวจพบสารฆ่าแมลงในสินค้าดังกล่าว จำนวน 85 ตัวอย่าง ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิ การคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเจ้าหน้าที่กองควบคุมอาหาร อย. ได้ลงไปที่ตลาดไท เพื่อเก็บตัวอย่างมาตรวจหาการปนเปื้อนยาฆ่าแมลง โดยใช้ชุดทดสอบเบื้องต้น จีที-เทสต์ คิท (GT-Test kit) ซึ่ง สามารถตรวจหาสารเคมีได้ 2 กลุ่ม คือ ออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต เป็นสาร กำจัดศัตรูพืช รู้ผลใน 2 ชม.

นายมานิต รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสารฆ่าแมลงในปลาร้า ปลาเค็ม และปลาแห้ง ที่ตลาดไท จำนวน 79 ตัวอย่าง จาก 26 ร้านค้า ผลปรากฏว่ามีการตกค้างสารฆ่าแมลงจำนวน 58 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 73.41 โดยในปลาร้าจากจำนวน 40 ตัวอย่าง พบสารฆ่าแมลง 36 ตัวอย่าง (ร้อยละ 90) ปลาแห้งจากจำนวน 6 ตัวอย่าง พบสารฆ่าแมลง 5 ตัวอย่าง (ร้อยละ 83.33) และปลาเค็มจากจำนวน 33 ตัวอย่าง พบสารฆ่าแมลง 17 ตัวอย่าง (ร้อยละ 51.51)

ด้าน นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับปลาร้าที่ตรวจพบยาฆ่าแมลง ได้สั่งให้ระงับ การจำหน่ายและอายัดสินค้าทั้งหมดแล้ว ในเบื้องต้นจะยังไม่ดำเนินคดีทางกฎหมายใด ๆ แต่จะนำตัวอย่างปลาร้าที่ตรวจพบยาฆ่าแมลง ส่งตรวจซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้ง หากผลการตรวจวิเคราะห์พบว่ามีการตกค้างของสารฆ่าแมลง ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในกรณีอาหารผิดมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท และกรณี อาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการ อย. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากการตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิตสินค้า พบว่าส่วนใหญ่มีแหล่งผลิตอยู่แถบภาคกลางและภาคอีสาน ซึ่ง อย.จะจัดทีมเฉพาะกิจลงพื้นที่ดำเนินการ ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ที่เป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาเหล่านี้ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป โดยเฉพาะ จ.นครสวรรค์ และ จ.ชัยนาท ที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดไทอ้างว่ารับปลาร้ามาจำหน่าย โดย สสจ.จะเริ่มดำเนินการทันทีตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนปลาเค็ม ปลาแห้ง ที่อ้างว่ามาจากแถวมหาชัยนั้น จะให้ สสจ. สมุทรสาคร ตรวจสอบต่อไป

นพ.พิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขอให้ผู้บริโภคอย่าได้ตื่นตระหนก เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวทำนองนี้เช่นกัน โดย อย. ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนมาโดยตลอด และหากต้องการบริโภคให้ปลอดภัยก็ควรสังเกตจากสภาพแวดล้อม ทั้งนี้หากอาหารที่จำหน่ายใกล้เคียงมีแมลงวันตอม แต่ไม่ตอม ปลาเค็ม ก็ให้สงสัยว่าปลาเค็มนั้นปนเปื้อนสารฆ่าแมลง อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของ ตลาดไทเป็นอย่างดี โดยรับปากว่าต่อไปจะตรวจผลิตภัณฑ์ปลาร้า ปลาแห้ง และปลาเค็มที่นำมาจำหน่ายในตลาดไทอย่างละเอียด

“อย.จะเฝ้าระวังและติดตามเรื่องนี้ต่อไป และดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งนอกจากตลาดไทแล้ว อย.จะลงไปสุ่มตรวจปลาร้า ปลาเค็ม และปลาแห้ง ในตลาดค้าส่งใน กทม.ด้วย เช่น ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดพรานนก และตลาดยิ่งเจริญ แต่เชื่อว่าตลาดค้าส่งเหล่านี้จะรับปลาร้า ปลาเค็ม และปลาแห้งมาจากแหล่งเดียวกัน โดยเฉพาะปลาร้าไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการปนเปื้อน ดังนั้นต้องให้ สสจ. ลงไปดูว่ามีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงได้อย่างไร นอกจากนี้จะประสานห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ตรวจพบยาฆ่าแมลงปนเปื้อนผลิตภัณฑ์ 3 รายการดังกล่าว เพื่อเฝ้าระวังเรื่องนี้ด้วย” นพ.พิพัฒน์ กล่าว.

เดลินิวส์ออนไลน์
วันพุธ ที่ 16 ธันวาคม 2552 เวลา 8:08 น

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 18/12/09 at 08:44

พบหวัด 2009 แพร่ คนสู่หมู เฝ้าระวัง 132 คน

สาธารณสุข-เกษตรฯ แถลงพบหมูในสถานีวิจัยทับกวาง ที่แก่งคอย สระบุรี สถานที่ฝึกงานของสัตวบาล ม.เกษตรศาสตร์ ติดเชื้อไข้หวัดชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ที่พบในคนสั่งเฝ้าระวัง 132 คนสัมผัสใกล้ชิด แต่ผ่านมา 6 วันแล้ว ยังไม่พบใครป่วยเลย ยังไม่สรุปหมูติดเชื้อมาจากคนหรือไม่ แต่ห้ามเคลื่อนย้ายหมูออกจากพื้นที่หรือนำเข้า ขณะที่กรมควบคุมโรคแนะคนรักสัตว์ก็ต้องระวังด้วย หมั่นสังเกตหมาแมวในบ้าน หากสัตว์เลี้ยงมีไข้ ไอ จาม ห้ามจับสัตว์ด้วยมือเปล่า ควรใช้ถุงมือและแยกออกจากคนทันที

ในที่สุดหลังจากเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อหวัดใหญ่ 2009 ระลอกใหม่มาได้ระยะหนึ่ง ไทยก็เจอเชื้อหวัดใหญ่ 2009 แพร่จากคนสู่สัตว์ โดยเมื่อเวลา 12.00น. วันที่ 17 ธ.ค. ที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กรุงเทพมหานคร นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ และ นพ.มานิต ธีระตันติกา�นนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายธานีรัตน์ สานติวัตร คณะบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกันแถลงข่าวการพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ/เอช 1 เอ็น 1 จากฟาร์มสุกรสถานีทับกวาง ในสังกัดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โดยนายธีระกล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้ติดตามและเฝ้าระวัง สุ่มเก็บตัวอย่างสิ่งคัดหลั่งในโพรงจมูกสุกรทั่วประเทศทั้งสิ้น 26,382 ตัวอย่างตั้งแต่เดือน เม.ย.-พ.ย. 2552 โดยในฟาร์มสุกรสถานีวิจัยทับกวาง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จ.สระบุรี ได้สุ่มตรวจทั้งหมด 80 ตัวอย่างพบ 1 ตัวอย่างที่มีเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ/เอช 1 เอ็น 1 หรือเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในสุกรอนุบาล โดยผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2552 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไทยพบเชื้อดังกล่าวในสุกร หลังจากพบการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในคน เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

แต่ปัจจุบัน สุกรทุกตัวภายในฟาร์มมีอาการปกติ อย่างไรก็ตาม กรมปศุสัตว์ได้ออกมาตรการควบคุมโรคสั่งกักสุกรทุกตัวในฟาร์มจำนวน 600 ตัว และให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบดูอาการด้วยสายตาทุก 3 วัน พร้อมดำเนินการทำลายเชื้อโรคในฟาร์ม วัสดุ อุปกรณ์ ยานพาหนะเข้าออก ประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคในพื้นที่รัศมี 5 กม. และให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตรวจสอบการเคลื่อนย้ายสุกร โดยประสานกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมดำเนินการควบคุมและเฝ้าระวังโรคในส่วนที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ด้านนายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สาเหตุการเกิดโรคเบื้องต้นในขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปชี้ชัดถึงที่มาของโรคได้ เนื่องจากฟาร์มดังกล่าวเป็นสถานที่ฝึกอบรมให้แก่นิสิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของการติดโรค ดังนั้น แม้ว่ายังไม่มีการรายงานว่า มีการติดเชื้อจากสุกรไปสู่คน แต่กระทรวงเกษตรฯโดยกรมปศุสัตว์ได้เร่งประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือผู้เลี้ยงสุกรที่ป่วยด้วยอาการระบบทางเดินหายใจให้ไปพบแพทย์ และห้ามเข้าเลี้ยงสุกรโดยเด็ดขาด

หากพบสุกรแสดงอาการป่วยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทันที รวมทั้งไม่เลี้ยงสุกรร่วมกับสัตว์อื่นโดยเฉพาะสัตว์ปีก เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสที่อาจติดต่อระหว่างกันที่อาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัสที่อาจจะส่งผลทำให้เกิดเชื้อที่รุนแรงและเป็นสาเหตุของ การระบาดใหญ่ของโรคดังกล่าวได้เชื้อ และเชื่อว่าการตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในสุกรครั้งนี้ คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ

ขณะที่นายธานีรัตน์ สานติวัตร คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมานักศึกษาที่เข้ามาฝึกงานในสถานีวิจัยทับกวาง เมื่อผ่านเข้า-ออก จะตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีอาการป่วยจะไม่เข้าไปในบริเวณฟาร์มเด็ดขาด แม้จะยืนยันว่าลูกสุกรติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ตัวเดียวกับในคน แต่ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าลูกสุกรติดเชื้อมาจากนักศึกษา

นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบลูกสุกรทุกตัวแล้ว พบว่าไม่มีการติดเชื้อเพิ่ม จึงมั่นใจว่าเชื้อไม่ได้กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมทั้งเกษตรกรที่รับลูกสุกรจากสถานีวิจัยทับกวางไปเลี้ยง ขอให้มีความมั่นใจว่าปลอดเชื้อ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะตรวจสอบหาเชื้อทุกครั้ง ก่อนส่งให้เกษตรกร

ส่วนนายแพทย์ไพจิตร วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หลังจากที่กรมปศุสัตว์ตรวจพบเชื้อแล้วได้เข้าไปตรวจสอบประชาชนในพื้นที่ ในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด โดย จ.สระบุรี มีรายงานพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ 230คน ยังไม่พบผู้ป่วยเพิ่มหรือมีความผิดปกติแต่อย่างใด

ปลัด สธ.กล่าวอีกว่า หลังทราบหมูติดหวัดใหญ่ 2009 ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่สอบสวนควบคุมโรคจากสำนักระบาดวิทยาลงควบคุมการแพร่ระบาดและสอบสวนโรค ร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมาพบผู้สัมผัสทั้งหมด 132 คน ประกอบด้วย กลุ่มเจ้าหน้าที่ประจำสถานีวิจัย 37 คน ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานและเจ้าหน้าที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ 30 คน ผู้เลี้ยงสุกรในฟาร์ม 7 คน และกลุ่มนิสิตนักศึกษา เจ้าหน้าที่ที่มาฝึกงานในฟาร์ม 95 คน ทุกรายมีชื่อที่อยู่ชัดเจน ติดต่อได้ โดยเฝ้าระวังอาการ 15 วัน เพื่อดูว่าจะมีการติดเชื้อจากสุกรที่ป่วยไปสู่คนหรือไม่

ปลัด สธ.กล่าวด้วยว่า ผลการเฝ้าระวังจนถึงวันที่ 17 ธ.ค.นี้ รวม 6 วัน ทุกคนสบายดี ซึ่งจะเฝ้าระวังไปจน ถึงวันที่ 26 ธ.ค.นี้ หากพบรายใดมีอาการป่วย เป็นไข้หวัด เช่น มีอาการไอ มีน้ำมูก หรือเจ็บคอ จะรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลทันที ทั้งนี้ ในส่วนสถานการณ์ไข้หวัด 2009 ของจังหวัดสระบุรี จากการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ยังไม่พบสถานการณ์ผิดปกติยังไม่มีรายงานพบเชื้อดื้อยา และเชื้อไม่มีการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม โดยผู้ป่วยทุกรายที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ได้ผลดี ยอดสะสมตั้งแต่ พ.ค.-13 ธ.ค. 2552 มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ 29,741 ราย เสียชีวิต 190 ราย

ด้าน นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้มีรายงานการติดเชื้อของสัตว์หลายชนิดจากคนแล้วก็ตาม แต่ยังไม่พบการติดเชื้อจากสัตว์มาสู่คน แต่เพื่อความไม่ประมาท เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้ออกคำแนะนำการป้องกันการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ระหว่างคนและสัตว์เลี้ยงเพื่อลดความเสี่ยงเชื้อกลายพันธุ์ โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ปฏิบัติตัวดังนี้

1. ให้หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ปีก เช่น เป็ด ห่านไก่ นก ในบริเวณเดียวกับที่เลี้ยงสุกร เพื่อลดโอกาสที่เชื้อจะรวมพันธุกรรมระหว่างไข้หวัดนกกับไข้หวัดในสุกร
2. ห้ามผู้ที่มีอาการไข้หวัดเข้าไปในสถานที่เลี้ยงสุกร หรือสัมผัสสุกรโดยเด็ดขาด
3. หากสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ไอ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ถ้ามีอาการน้อยให้หยุดงานอยู่ที่บ้านประมาณ 7 วัน ถ้าอาการมากหรือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจป่วยหนัก เช่น มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเลือด หรือกำลังตั้งครรภ์ ต้องรีบไปโรงพยาบาล ห้ามเข้าฟาร์มหรือคอกสัตว์
4. ผู้ที่เข้าปฏิบัติงานในฟาร์มควรใส่รองเท้าบู๊ทและแช่ในอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนและหลังเข้าคอกสัตว์เลี้ยง และควรอาบน้ำ ซักล้างทำความสะอาดชุดปฏิบัติงานหลังเลิกงานเพื่อป้องกันการแพร่หรือรับเชื้อจากสุกร

5. ควรมีอ่างล้างมือในคอกเลี้ยงสุกร และเกษตรกรต้องล้างมือบ่อยๆ ทั้งก่อนและหลังสัมผัสสัตว์และอุปกรณ์ ในคอกสัตว์
6. ขณะเข้าทำงานในฟาร์มสุกรให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูกและปากของตนเอง
7. ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จากการบริโภคเนื้อหมูก็ตาม แต่เพื่อความปลอดภัยขอให้ปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง และ
8. หากพบสัตว์เลี้ยงมีอาการไข้หวัดเช่น มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ซึม เบื่ออาหาร ให้แจ้งปศุสัตว์ เพื่อตรวจอาการและให้การรักษาตามมาตรฐาน

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน เช่น แมว สุนัข หากพบสัตว์เหล่านี้ป่วยเป็นไข้หวัดมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เบื่ออาหาร ซึม หรือมีเยื่อตาอักเสบบวมแดง หากจะสัมผัสสัตว์ต้องสวมถุงมือ อย่าสัมผัสด้วยมือเปล่า และล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ และรีบพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจอาการและให้การรักษา ควรให้สัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่ในกรง ตะกร้า หรือกล่อง เพื่อลดการอยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ และระหว่างการเดินทางควรใช้เจลแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดมือบ่อยๆ ไม่ใช้มือแคะจมูก ปาก หรือจับใบหน้า ประการสำคัญหากผู้เลี้ยงมีไข้ ไอเจ็บคอ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ซึ่งอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ จะต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือดูแลสัตว์เลี้ยงใดๆทั้งสิ้น

สำหรับบรรยากาศที่สถานีวิจัยทับกวาง หรือศูนย์ วิจัยสุกร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ ม.10 ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี หลังพบสุกรจำนวน 1 ตัว ติดหวัดใหญ่ 2009 ทำให้ต้องสั่งปิดศูนย์เพื่อเฝ้าระวังเชื้อโรคแพร่กระจายนั้น เมื่อช่วงเที่ยงวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสังเกตการณ์ พบว่าศูนย์วิจัย ซึ่งมีเนื้อที่หลายร้อยไร่ มียามเฝ้าประตูอยู่ 2 คน และห้ามสื่อมวลชนเข้าไปภายในศูนย์ และไม่ให้ข้อมูลแต่อย่างใด ส่วนที่บริเวณประตูและข้างกำแพงมีการปิดประกาศห้ามบุคคลภายนอกเข้าออกอย่างเด็ดขาด และที่บริเวณข้างประตูนั้นยังพบเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ตั้งกองอำนวยการและคอยสังเกตการณ์ ห้ามขนย้ายสัตว์สุกรเข้าออกอย่างเด็ดขาด

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามชาวบ้านในละแวกดังกล่าว ถึงข่าวเชื้อหวัดใหญ่ 2009 แพร่จากคนไปสู่หมู ปรากฏว่า กลุ่มชาวบ้านต่างไม่มีอาการกลัวแต่อย่างใด เพราะว่าอยู่มาหลายปี ไม่เคยพบว่าในศูนย์วิจัยดังกล่าวจะมีเชื้อโรคแพร่ออกมา และทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ

นสพ.ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
18 ธันวาคม 2552, 01:12 น.

น้ำพริกเผา..กากถั่วเหลือง บูรณาการอาหารเพื่อสุขภาพ

กลุ่มนักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) มีแนวคิดในการทำน้ำพริกเผาจากกากถั่วเหลืองที่ลดต้นทุนในการผลิต ..

ยุคโลกาภิวัตน์ทำให้การบริโภคของผู้คนในสังคมไทยเปลี่ยนไป โดยนิยมอาหารจานด่วน (Fast food) ตามวัฒนธรรมตะวันตก ตลอดจนอาหารสำเร็จรูปในแบบต่างๆ ส่งผลให้เกิด ปัญหาโภชนาการสมัยใหม่ที่บริโภคเนื้อและไขมันมากก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

คนรุ่นใหม่บ้านเรา วันนี้เปิบอาหารไทยๆ อย่างเช่น... น้ำพริกน้อยลง ที่ยังติดด้วยกับความนิยมชมชอบกันอยู่ คือ น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก น้ำพริกปลาทู น้ำพริกอ่อง และ น้ำพริกเผา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีสูตรน้ำพริกมากมายหลากหลายรสชาติ

การเพิ่มคุณค่าที่แท้จริงของน้ำพริก ในด้านของสุขภาพและสรรพคุณทางสมุนไพร เพื่อรักษาวัฒนธรรมการรับประทานน้ำพริกไทย กลุ่มนักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) มีแนวคิดในการทำน้ำพริกเผาจากกากถั่วเหลืองที่ลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งเป็นการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้มาเป็นส่วนประกอบอีกด้วย

นางสาวโสภา มุขตา นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร เล่าว่า กากถั่วเหลืองที่เหลือจากการผลิตน้ำนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ ยังมีโปรตีนที่เป็นคุณค่าทางโภชนาการอยู่ ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนแป้งสาลีและกุ้งแห้งในน้ำพริกเผาได้

แต่ขั้นตอนการ นำกากถั่วเหลืองมาใช้ทำน้ำพริกเผา นั้น ได้คิดค้นวิธีการทำในรูปแบบหลากหลายวิธีด้วยกัน เนื่องจากถั่วเหลืองจะมีกลิ่นเฉพาะ และมักมีความชื้น จึงจำเป็นต้องมีการอบแห้งก่อน โดยนำกากถั่วเหลืองที่ได้จากการ คั้นน้ำแล้วประมาณ 1,000 กรัม นำมาเกลี่ยให้เป็นแผ่นออก นำเข้าเตาไมโครเวฟอบด้วย ความร้อน 150 องศา ประมาณ 30 นาที จึงจะได้ กากถั่วเหลืองแห้งประมาณ 500 กรัม จากนั้นนำมาคั่วในกระทะจนแห้งให้เหมือนกับถั่วลิสงป่น

ส่วนผสมต่างๆ

สำหรับส่วนผสมทั้งหมด ได้แก่ กากถั่วเหลืองอบแห้ง 1 ถ้วยตวง หอมแดง กระเทียมซอย อย่างละ 1 ถ้วยตวง พริกขี้หนูแห้ง 30 เม็ด พริกชี้ฟ้าแห้ง 10 เม็ด น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม น้ำปลา 1/3 ถ้วย น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย และ น้ำมันพืช 3/4 ถ้วย

วิธีการทำ ตั้งกระทะใส่ น้ำมันเจียวหอม และ กระเทียม พักไว้ จากนั้นปั่นพริกชี้ฟ้าแห้งและพริกขี้หนูแห้งรวมกัน นำพริกลงมาผัดในน้ำมันให้หอม ใส่กากถั่วเหลืองอบแห้ง ใส่หอมแดงเจียว กระเทียมเจียวผัดพอเข้ากันเสร็จแล้วปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ผัดต่อจนแห้ง

เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็นจึงบรรจุใส่กล่อง สูตรนี้จะได้น้ำพริกบรรจุขนาด กระปุกละ 80 กรัม จำนวน 20 กระปุก จำหน่ายในราคากระปุกละ 15 บาท ซึ่งเมื่อคำนวณ ต้นทุนการผลิตเพียงแค่ 7-8 บาท เท่านั้น

การสร้างสรรค์น้ำพริกเผาจากกากถั่วเหลือง นับเป็นการคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่ทำให้ มทร.พระนครกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านอาชีพในการช่วยเสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง ใครสนใจวิธีการทำกริ๊งกร๊างหา โสภา มุขตา ที่ 08-9720-9848 ในเวลาที่เหมาะสม.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน
ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 17 ธันวาคม 2552

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 11/1/10 at 10:15

วิจัยโรคสมองอักเสบติดจากไวรัสนิปาห์ค้างคาว

ค้างคาวแม่ไก่.

เพื่อเฝ้าติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสดังกล่าว โดย "ค้างคาว" เป็นตัวพาหะนำโรคไวรัสนิปาห์ ถูกพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2541 ที่ประเทศมาเลเซีย การติดของเชื้อดังกล่าวก่อให้เกิด โรคสมองอักเสบ ที่มีอัตราการเสียชีวิต เฉลี่ยร้อยละ 40 ...

"โลก" ใบกลมๆ ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยใบนี้ นับวันจะเริ่มเข้าสู่ขั้น "วิกฤติ" ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาวะ "โลกร้อน" ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน พายุฝนไต้ฝุ่นที่รุนแรง น้ำท่วม แผ่นดินไหว เกิดโรคร้ายๆ ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ซาร์ส ไข้หวัดนก ชิคุนกุนยา ไข้หวัด 2009 รวมทั้ง ไวรัสนิปาห์ ที่พาหะนำโรคล้วนมาจากสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์ มนุษย์เรานั่นเอง

ฝูงค้างคาวฯที่เข้ามาอาศัยหากินผลไม้ในสวน.

......เพื่อเฝ้าติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสดังกล่าว โดย "ค้างคาว" เป็นตัวพาหะนำโรค ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี นักวิชาการประจำศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก ไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย หนึ่งในทีมงานของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ร่วมทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "การศึกษาโรคสมองอักเสบอุบัติใหม่ที่เกิดจากไวรัสนิปาห์ในค้างคาวไทย" ขึ้น โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สนับสนุนทุน

.......สำหรับไวรัสนิปาห์ ถูกพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2541 ที่ประเทศมาเลเซีย การติดของเชื้อดังกล่าวก่อให้เกิด โรคสมองอักเสบ ที่มีอัตราการเสียชีวิต เฉลี่ยร้อยละ 40 ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีการระบาดของโรคที่ประเทศบังกลาเทศอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 เป็นต้นมา และมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 70 โดยผู้ป่วยติดเชื้อฯจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน จนถึงอาการหนักคือสมองอักเสบ โดยอาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ...

ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี

......ดร.สุภาภรณ์ บอกว่า จากการเฝ้าเพื่อติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัส ที่สามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนโดยตรง หรือสัตว์ทั้งยุง แมลง เห็บ ริ้น ไร เป็นตัวเก็บกัก เพาะ หรือเป็นพาหะนำโรคอย่างเช่น โรคชิคุนกุนยาที่แพร่ระบาดทางภาคใต้ ของไทย ทำให้ทีมวิจัยได้มุ่งไปที่ "ค้างคาว" สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยการสำรวจ เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการตั้งรับกับโรคใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยใน "ค้างคาวแม่ไก่"

สำหรับการวิจัย เริ่มแรกทีมงานเก็บตัวอย่างเยี่ยวค้างคาวในพื้นที่ศึกษารวม 7 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระบุรี สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา และ อ่างทอง เพื่อนำมาตรวจหาเชื้อไวรัสโดยวิธี "ทางอณูชีววิทยา" ผลที่ได้พบว่า มีเชื้อไวรัสนิปาห์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่พบในมาเลเซียและบังกลาเทศในทุกพื้นที่ ศึกษา ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน (ปี 2552)

ทีมวิจัยเก็บมูลของเสียของค้างคาวเพื่อนำมาตรวจหาเชื้อไวรัส.

แต่...การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส จะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับฤดูผสมพันธุ์ ในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาลผสมพันธุ์ ซึ่งจะพบลูกค้างคาวหัดบินจำนวนมากในช่วงนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "กลไกการแพร่เชื้อไวรัสในค้างคาวครั้งแรกของโลก สามารถยืนยันได้ว่า เชื้อไวรัสนิ-ปาห์จะแพร่กระจายจากเยี่ยวค้างคาวเฉพาะฤดูกาล เท่านั้น ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับการระบาดในประเทศบังกลาเทศ"

ด้าน ดร.ไสว วังหงษา นักวิชาการจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า จากการสำรวจในพื้นที่ 16 แห่ง พบว่าค้างคาวแม่ไก่ในที่ราบภาคกลางมีประมาณ 40,000 ตัว โดยพื้นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ ภาคตะวันออก ที่ส่วนใหญ่ เป็นสวนผลไม้ แหล่งอุตสาหกรรม และพื้นที่เลี้ยงสุกรในเขตจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา

อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้บ้านเรายังไม่พบการระบาดของเชื้อดังกล่าว แต่ทีมวิจัยก็ยังคงเฝ้าติดตามฝูงค้างคาวแม่ไก่อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งย้ำเตือนให้ประชาชนไม่ควรบริโภคหรือชำแหละค้างคาว ไม่รับประทานผลไม้ที่มีรอยกัดแทะ เหล่านี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้อุบัติขึ้นได้ใน.....เมืองไทย.

เพ็ญพิชญา เตียว
ไทยรัฐออนไลน์ โดย ทีมข่าวเกษตร
11 มกราคม 2553, 05:00 น.

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 28/1/10 at 05:09

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 02:54:12 น. : มติชนออนไลน์

แพทย์ผิวหนังเตือนผิวเปลี่ยนแปลงอาจแสดงถึง "มะเร็งภายใน"

.......องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่าในปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิต อันดับ 1 ของโลก โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งถึง 7 ล้านคนต่อปี

ส่วนในไทยมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ติดต่อกันมา 7 ปี เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา ที่ปรึกษาประจำคระกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยในบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ (วารสารคลินิก) ฉบับเดือนมกราคม 2553 นี้ว่า

พบว่ามีโรคมะเร็งของอวัยวะภายในหลายชนิดที่แสดงอาการทางผิวหนัง และบางครั้งเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ที่จริงแล้วมะเร็งอวัยวะภายในแทบทุกชนิดแพร่กระจายมาสู่ผิวหนังได้ พบว่าอวัยวะที่เป็นต้นตอของมะเร็งที่กระจายมาสู่ผิวหนังได้บ่อยที่สุดคือเต้านม, กระเพาะอาหาร, ปอด, มดลูก, ลำไส้ใหญ่ และไต

ส่วนใหญ่พบการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในตำแหน่งที่อยู่ใกล้มะเร็งต้นตอ โดยมีลักษณะที่บ่อยที่สุดคือ เป็นตุ่มที่ผิวหนังซึ่งอาจไม่เจ็บ, เป็นตุ่มกลมหรือรูปไข่, มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ส่วนใหญ่มีสีเหมือนผิวหนังแต่ก็อาจมีสีอื่นได้ เช่น สีน้ำตาล หรือ น้ำเงิน-ดำ พบบ่อยว่าตุ่มที่ผิวหนังที่มาจากการแพร่กระจายของมะเร็งของไต และมะเร็งของต่อมไทรอยด์อาจมีสีแดง และม่วง ตุ่มเหล่านี้มีขนาดตั้งแต่มองแทบไม่เห็น จนเป็นก้อนเนื้องอกก้อนโต อาจพบได้หลายๆ ตุ่ม

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร กล่าวว่า นอกจากการที่มะเร็งภายในกระจายสู่ผิวหนัง จะทำให้เกิดลักษณะเป็นตุ่มที่ผิวหนังแล้ว บางครั้งมะเร็งที่แพร่กระจายมาสู่ผิวหนัง อาจทำให้ผิวหนังอักเสบบวมแดงเหมือนการติดเชื้อที่ผิวหนัง พบบ่อยในมะเร็งของเต้านม ซึ่งบางครั้งอาจมีหลอดเลือดฝอยขยายตัวร่วมด้วย หรือบางครั้งผิวจะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายเปลือกส้ม พบว่าในเพศหญิงนั้นมะเร็งภายในที่แพร่กระจายสู่ผิวหนังบ่อยที่สุดคือ "มะเร็งเต้านม"

.......ส่วนในเพศชายนั้นพบว่า "มะเร็งปอด" จัดเป็นมะเร็งที่พบการแพร่กระจายมาผิวหนังบ่อยที่สุด โดยตำแหน่งของผิวหนังที่พบว่ามะเร็งปอดกระจายมาบ่อยที่สุดคือหน้าอก ตามมาด้วยท้อง และหลัง ยังอาจพบการแพร่กระจายของมะเร็งปอดมาสู่ผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยโรคคล้ายเป็นโรคงูสวัด มักเป็นที่หน้าอกหรือท้อง

ที่น่าสนใจคือมะเร็งของระบบทางเดินอาหารอาจแพร่กระจายทำให้เกิดตุ่มที่สะดือ ที่มีชื่อเรียกกันว่า “ตุ่มของแม่ชีแมรี่ โจเซฟ” (Sister Mary Joseph nodule) ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะแม่ชีแมรี่ โจเซฟเป็นพยาบาลที่สังเกตพบว่าตุ่มที่สะดืออาจแสดงว่าผู้ป่วยอาจมีมะเร็งของลำไส้ใหญ่ และทวารหนักที่มีการลุกลามมาก อาจพบตุ่มของแม่ชีแมรี่ โจเซฟนี้ร่วมกับมะเร็งภายในอื่นๆ เช่น มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งตับ, มะเร็งรังไข่, มะเร็งมดลูก, มะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ป่วยมะเร็งทวารหนักบางรายอาจมีการแพร่กระจายสู่ผิวหนังบริเวณอัณฑะ

นพ.ประวิตร กล่าวว่า การให้การวินิจฉัยว่าผื่นผิวหนังที่เกิดจากมะเร็งที่แพร่กระจายสู่ผิวหนังนั้นมีต้นตอจากมะเร็งภายในชนิดใด อาจต้องตัดผิวหนังที่พบการเปลี่ยนแปลงส่งให้พยาธิแพทย์ตรวจดู ซึ่งจะพบเซลล์มะเร็งที่แสดงลักษณะเฉพาะของมะเร็งต้นตอ

แต่บางครั้งเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายสู่ผิวหนังอาจมีลักษณะเหมือนเซลล์ที่ยังพัฒนาไม่เต็มวัย ทำให้ดูลักษณะไม่ออกว่าต้นตอเป็นมะเร็งของอวัยวะใด จึงต้องศึกษาด้วยเทคนิคเฉพาะ เช่น เทคนิคย้อมด้วยอิมมูโนฮีสโต (immunohistochemical marker), การทำเอ็มอาร์ไอ (MRI), การทำซีที (CT scan) และอัลตราซาวนด์

พบว่าบางครั้งผื่นผิวหนังที่เกิดจากมะเร็งภายในอาจมีลักษณะคล้ายโรคผิวหนังที่ไม่ร้ายแรง เช่นเหมือนแค่เป็นซิสต์, เป็นไฝแดง หรือเป็นโรคผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรง ทำให้ผู้ป่วยละเลยที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง จึงพลาดโอกาสในการวินิจฉัยมะเร็งภายใน และเริ่มการรักษาได้ช้าลง.

หมายเหตุ : เรื่อง "มะเร็งผิวหนัง" นี้ หลังจากที่ได้อ่านข่าวแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ท่านเคยพูดหลังจากกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา คือ มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านบอกว่า

"อีกหน่อยคนจะเป็นโรคมะเร็งผิวหนังกันมาก ซึ่งมีความร้ายแรงยิ่งกว่า "โรคเอดส์" เสียอีก เพราะได้รับอันตรายจากแสงแดดนั่นเอง..!"

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 1/2/10 at 08:21

1 กุมภาพันธ์ 2553, 05:15 น. ไทยรัฐออนไลน์ โดย ทีมข่าวการศึกษา

คนไทยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพียบ

เผยคนไทยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพียบป่วยเพิ่มขึ้นนาทีละ 1 คน ผู้สูงอายุทั้งหญิง-ชาย ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ กลุ่มวัยทำงานอายุน้อยกว่า 40 ปี มีแนวโน้มป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น..

.......นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สำนักระบาดวิทยา ติดตามเฝ้าระวังปัญหาการเจ็บป่วยของคนไทยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเรื้อรังระบบทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรู้ขนาดปัญหาและความรุนแรง โดยเก็บข้อมูลในโรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ ผลการเฝ้าระวังตลอดปี 2551

........พบว่า มีผู้ป่วยทั้ง 5 โรคที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 44 จังหวัดรวมทั้งสิ้น 2,179,504 ราย โดยเป็นผู้ที่เริ่มป่วยในปี 2551 จำนวน 718,297 ราย เฉลี่ยเดือนละเกือบ 60,000 ราย หรือป่วยเพิ่มขึ้นนาทีละ 1 คน โดยกลุ่มผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ และกลุ่มวัยทำงานอายุน้อยกว่า 40 ปี

.......มีแนวโน้มป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น ในการแก้ไขปัญหา กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด สำรวจสุขภาพประชาชนอายุ 35 ปี ขึ้นไปให้ครบทุกคน เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพ ลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ ส่วนในรายที่ป่วยแล้ว จะต้องมีการดูแลสุขภาพต่อเนื่อง.

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 4/2/10 at 05:24

ศิริราชผลิตชุดคัดกรอง "มะเร็งปากมดลูก" ราคาถูก..!

......'ศิริราชเจ๋ง..! ผลิตชุดคัดกรองมะเร็งปากมดลูกราคาถูก เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ รพ.ทั่วประเทศ

วันนี้ (3 ก.พ.) ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานการแถลงข่าว “ครั้งแรก ศิริราชพัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยชุดตรวจ Siriraj liquid – based cytology”

ศ. คลินิก นพ.ชาญชัย วันทนาศิริ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา กล่าวว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิงไทย ในแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 6,000 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 2,700 ราย หรือแต่ละวันจะมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 7 ราย

ที่น่ากังวลคือ ขณะนี้พบผู้ป่วยในช่วงอายุที่น้อยกว่า 30 ปี มากขึ้น และสาเหตุสำคัญคือ พฤติกรรมทางเพศที่เปลี่ยนไปและผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มักปฏิเสธการตรวจภายในเพื่อหามะเร็งปากมดลูก เพราะอายและกลัว ทั้งนี้มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส หรือเรียกย่อว่า "เอชพีวี" (HPV)

เชื้อนี้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปัจจัยเสี่ยง มักพบในผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือเปลี่ยนคู่นอนหลายคน มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก มักไม่มีอาการ อาจตรวจพบจากการตรวจภายในประจำปี

ในรายที่มีเลือดออกหรือตกขาวผิดปกติ มักพบว่ามะเร็งลุกลามไปมากแล้ว แนวทางการรักษามะเร็งปากมดลูกในปัจจุบัน ถ้าเป็นระยะเริ่มแรก มักรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นระยะลุกลามต้องรักษาด้วยรังสีรักษาร่วมกับยาเคมีบำบัด แต่ก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้

ด้าน ผศ.นพ.สมศักดิ์ ไหลเวชพิทยาหัวหน้าหน่วยเซลล์วิทยา ผู้คิดค้นการตรวจหาเซลล์ผิดปกติด้วยของเหลว หรือ Siriraj liquid – based cytology กล่าวว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ

1.ตรวจหาเชื้อ "ไวรัสเอชพีวี" โดยตรง วิธีนี้จะมีความไวสูงมาก แต่มีราคาแพง ส่วนใหญ่ทำใน รพ.เอกชน

2.ตรวจหาเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก หรือที่เรียกว่า "แป๊ปสเมียร์" สถานพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้วิธีนี้ เนื่องจากมีราคาถูก แต่ปัญหาของการตรวจคือ มีความไวของการตรวจหาเซลล์ผิดปกติค่อนข้างต่ำ

ส่วนอีกวิธีในการตรวจหาเซลล์ผิดปกติ ที่นิยมในประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ การตรวจหาเซลล์ผิดปกติด้วยของเหลว ที่เรียกว่า liquid – based cytology วิธีการนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแทนที่เทคนิคแป๊ปสเมียร์ ข้อดีคือ มีความไวของการตรวจหาเซลล์ผิดปกติสูงกว่า แต่ราคาตรวจสูงกว่าแป๊ปเสมียร์ 3 - 4 เท่า คือ ประมาณ 650 -950 บาท เนื่องจากชุดตรวจและเครื่องมือในการเตรียมเซลล์ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ดังนั้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาควิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา จึงได้ค้นคิดพัฒนาชุดตรวจจนเป็นผลสำเร็จและจดลิขสิทธิ์ภายใต้ชื่อ Siriraj liquid - based cytology พบว่ามีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับชุดตรวจที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ค่าตรวจถูกกว่า 3 – 5 เท่า โดยราคาอยู่ 150 บาท ในปัจจุบัน รพ.ศิริราชได้เปลี่ยนมาใช้การตรวจเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกด้วยของเหลวเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจ

“การตรวจแป๊บสเมียร์แบบเดิมอาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ประมาณ 30 % แต่แบบใหม่จะลดข้อผิดพลาดลงเหลือประมาณ 5-6 % โดยวิธีการตรวจแบบใหม่นี้ไม่ได้เร็วกว่าแบบเดิม เพียงแต่จะแม่นยำขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามปัญหาผิดพลาดในการตรวจอาจเกิดจากการเก็บเซลล์ไม่ดี หรือ คนส่องกล้องตรวจไม่เจอ” ผศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว

รศ.นพ.มงคล เบญจาภิบาล รองหัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา กล่าวในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้วอยากให้ไปตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกคน ส่วนความถี่นั้นหากใช้วิธีแป๊บสเมียร์แบบเดิมจะตรวจปีละครั้ง แต่ถ้าใช้การตรวจแบบใหม่อาจตรวจ 2 ปีครั้ง เนื่องจากมีความไวสูง อย่างไรก็ตามปัญหาที่พบในขณะนี้คือ ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ตรวจพบอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ที่เจอคือ 27 ปี เป็นมะเร็งระยะลุกลาม จากเดิมที่จะพบในช่วงอายุ 45-60 ปี

ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นการป้องกัน "มะเร็งปากมดลูก" ได้ตรงเป้าหมาย ด้วยขั้นตอนที่ง่าย แม่นยำ และราคาถูก ซึ่งในอนาคตอันใกล้ จะถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับชุดตรวจและวิธีการดังกล่าวแก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศต่อไป รวมทั้งหากมีบริษัทเอกชนสนใจก็ยินดีที่จะมีการถ่ายทอดเทคโลโลยีนี้.

ที่มา - เดลินิวส์ออนไลน์
วันพุธ ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 16:04 น

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 19/3/10 at 08:45

ปลูกถ่ายกระจกตา ด้วยเลเซอร์ แห่งแรกของไทย

ศิริราชเจ๋ง "ปลูกถ่ายกระจกตาด้วยเลเซอร์" สำเร็จครั้งแรกของไทย ด้วย "เฟมโตเซคเคิลเลเซอร์" โดยคนไข้รายแรกมีอายุ 73 ปี หลังรับการผ่าตัดเริ่มมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ สนนราคารักษาอยู่ที่ 55,000 บาท...

......เมื่อวันที่ 18 มี.ค.คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าว "ศิริราชปลูกถ่ายกระจกตาด้วยเลเซอร์สำเร็จเป็นครั้งแรกของไทย" โดยมี นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานร่วมด้วย นพ.สบง ศรีวรรณบูรณ์ ผอ.ศูนย์รักษาสายตา SiLASIX (เอส ไอ เลสิก) พญ.สุขศรี โชติกวณิชย์ แพทย์ผู้ปลูกถ่ายกระจกตาด้วยเลเซอร์

พญ.สุขศรี กล่าวว่า กระจกตาหรือตาดำคือส่วนหน้าของดวงตา สาเหตุที่ทำให้กระจกตาเสื่อม ขุ่นมัวทำให้ความสามารถในการมองเห็นน้อยลง มาจากการติดเชื้อ ความเสื่อม อุบัติเหตุ สารเคมี การอักเสบ และโรคทางพันธุกรรม ซึ่งพบได้ในทุกเพศทุกวัย และพบว่าผู้ป่วยที่ตาบอด ตาพิการประมาณ 5% เกิดจากกระจกตาเสื่อม การรักษามีทั้งการหยอดยา ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องผ่าตัด โดยเปลี่ยนกระจกตาจากการรับบริจาคมาปลูกถ่ายให้คนไข้แทนกระจกตาเดิมที่ขุ่น มัว

ทั้งนี้ ศิริราชประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาให้กับผู้ป่วยรายแรก ด้วย Femtosecond Laser (เฟมโตเซคเคิลเลเซอร์) โดยวิธีการนั้นหลังจากที่แพทย์ได้รับบริจาคดวงตามาแล้ว จะใช้เฟมโตเซคเคิลเลเซอร์แยกส่วนของกระจกตา ใช้เวลาประมาณ 3 นาทีในการยิงเลเซอร์

และนำกระจกตาแช่ในน้ำยาพิเศษ จากนั้นนำคนไข้มาแยกส่วนกระจกตาที่ขุ่นขาวออกด้วยเฟมโตเซคเคิลเลเซอร์เช่นกัน ก่อนนำกระจกตาใสที่รับบริจาคมาวางบนลูกตาคนไข้แทน แล้วเย็บปิดแผลโดยรอบ ซึ่งรอยต่อกระจกตาทั้งสองจะมีความเท่ากันทั้งขนาดและรูปแบบ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง

พญ.สุขศรี กล่าวต่อว่า คนไข้รายแรกที่ได้ปลูกถ่ายกระจกตาด้วยเฟมโตเซคเคิลเลเซอร์มีอายุ 73 ปี ป่วยด้วยโรคกระจกตาเสื่อมร่วมกับแผลเป็นที่กระจกตา และเข้ารับการผ่าตัดเมื่อเดือนธ.ค.2552 หลังการปลูกถ่ายทำให้การมองเห็นดีขึ้น จากเดิมที่เห็นเพียงเงาลางๆ เป็นเริ่มอ่านตัวเลขได้มากขึ้น

โดยทั่วไปจะมีการมองเห็นดีขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด อย่างไรก็ตามศิริราชมีผู้ป่วยที่รอคิวเปลี่ยนกระจกตาหลายร้อยคน แต่ละคนต้องรอคิวประมาณ 3-5 ปี เนื่องจากต้องรับบริจาคจากสภากาชาดไทย ซึ่งแต่ละปีจะได้รับบริจาคประมาณ 50 ราย

ด้าน นพ.สบง กล่าวว่า เฟมโตเซคเคิลเลเซอร์เป็นเลเซอร์ชนิดเดียวที่ศูนย์เลสิกศิริราชมีใช้แห่งแรก และขณะนี้ยังเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้รักษาผู้ที่มีภาวะสายตาผิดปกติ สั้น ยาว เอียง การใช้เฟมโตเซคเคิลเลเซอร์ช่วยผ่าตัดแทนการใช้ใบมีดกรีด ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาที่ยิงด้วยเลเซอร์ได้รูปและขนาดที่แม่นยำ

ทำให้ขอบแผลคมง่ายต่อการสมานแผล ส่งผลให้แผลแนบสนิทเร็ว มีความปลอดภัยหลังการผ่าตัดได้ดีกว่า ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการยอมรับและใช้แพร่หลายในประเทศแถบยุโรปและ อเมริกาเพื่อใช้รักษาสายตาสั้น ยาว เอียง และยังได้รับการรับรองจากองค์การนาซ่า (NASA) ใช้รักษาภาวะสายตาผิดปกติแก่นักบินอวกาศ

ทั้งนี้ การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาด้วยเฟมโตเซคเคิลเลเซอร์เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 55,000 บาท ขณะที่การผ่าตัดธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท ผู้สนใจสามารถขอคำแนะนำได้ที่ศูนย์รักษาสายตา SiLASIX ตึก 84 ปี ชั้น 2 รพ.ศิริราช โทร.0-2419-9275-6.

ที่มา - ไทยรัฐออนไลน์

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

posted on 25/8/10 at 09:07

"ศิริราช" เปิดห้องผ่าตัดไฮบริดแห่งแรก

เปิดห้องผ่าตัดไฮบริดแห่งแรกและแห่งเดียวของโรงพยาบาลรัฐในประเทศไทย ที่รพ.ศิริราช เปิดใช้ครั้งแรก 26 ส.ค.นี้ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรค และครอบคลุมสิทธิ์ 30 บาท...

...........ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานเปิดห้องผ่าตัดไฮบริด แห่งแรกและแห่งเดียวของโรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยที่ รพ.ศิริราช โดย ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ เปิดเผยว่า ห้องผ่าตัดไฮบริด เป็นห้องผ่าตัดที่ได้รับการออกแบบกว้างขวางเป็นพิเศษเพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการทำงาน ใช้รักษาโรคซับซ้อนด้านระบบหัวใจและหลอดเลือด มีการทำงาน ร่วมกับแพทย์ในสาขาอื่นๆ อย่างเป็นระบบ ทำให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น

ผศ.นพ.วรวงศ์ ศลิษฎ์อรรถกร ผู้ดูแลห้องผ่าตัดไฮบริด กล่าวว่า ห้องผ่าตัดไฮบริดจะเปิดใช้ครั้งแรกในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรับบริการค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรค และครอบคลุมสิทธิ์ 30 บาท รองรับคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคทรวงอก ทางเดินหายใจ สมองและไขสันหลังได้ปีละกว่า 500 ราย สามารถลดระยะเวลาการผ่าตัดลงได้ถึงกว่า 50% จากเดิมที่ต้องใช้เวลาผ่าตัดใหญ่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง เหลือเพียง 2-3 ชั่วโมง และใช้เวลาพักฟื้นเพียง 2-3 วันเท่านั้น

ไทยรัฐออนไลน์ : โดย ทีมข่าวการศึกษา
25 สิงหาคม 2553, 05:15 น.

Go To Top

webmaster	Super Administrator
	Posts: 2034
Registered: 8/1/08	Member Is Offline

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved