|
|
|
posted on 10/9/10 at 10:46 |
|
สารคดี "ดินแดนพุทธภูมิ" และ "ประวัติพระอริยสงฆ์ไทย"
☺....ก่อนที่ผู้อ่านจะได้ติดตามชม "คลิปวีดีโอ" ตามรายการด้านล่างนี้ ผู้เขียนขอเกริ่นให้ทราบไว้ก่อนว่า หลังจากชมคลิปวีดีโอ
"ดินแดนพุทธภูมิ" กันแล้ว ตอนหลังอยากจะตั้งคำถามกันว่า แล้วพระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทยหรือไม่ เพราะตามที่ได้ศึกษาพุทธประวัติกันมาแล้ว
ต่างก็ทราบว่าพระพุทธศาสนาได้อุบัติ ณ ประเทศอินเดีย แล้วได้มีการเผยแผ่สืบต่อมาทางประเทศศรีลังกา พม่า และไทย เป็นต้น
เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีส่วนใหญ่ก็ได้วิเคราะห์ว่า ชาวไทยเริ่มได้รับอิทธิพลทางพระพุทธศาสนาประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 - 11
แต่ไม่มีการย้อนถึงสมัยพุทธกาลเลย นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 1 - 9 คิดว่าคงจะมีหลักฐานทางด้านวิชาการเท่านั้น ทั้งๆ ที่ในหนังสือประวัติพระธาตุตามวัดต่างๆ
แถวภาคเหนือได้มีการบันทึกไว้ว่า พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทย เช่น วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง, วัดพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่, วัดพระธาตุแช่แห้ง
จ.น่าน, วัดพระธาตุจอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นต้น โดยเฉพาะประวัติ วัดพระธาตุจอมทอง เล่าว่า ดอยจอมทองลูกนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก
แห่งเมืองกุสินารา (เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน) ห่างจากเมืองกุสินาราประมาณ ๒๗ โยชน์เท่านั้น (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://forums.jikgo.com/simple/index.php?t4235.html)
ส่วนภาคอีสานชัดเจนมาก ตาม "อุรังคนิทาน" (ตำนานพระธาตุพนม) บันทึกโดยพระอรหันต์สมัยนั้น ท่านได้เล่าย้อนถึงสมัยพุทธกาลว่า
พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนลุ่มแม่น้ำโขงทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา สมัยนี้หมายถึงไทยและลาว เช่น พระธาตุพนม พระธาตุเชิงชุม และ พระพุทธบาทบัวบก เป็นต้น
ซึ่งคนไทยต่างก็เคารพนับถือ โดยเฉพาะทางภาคเหนือถือว่าเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของตน ต่างก็นิยมไปกราบไหว้กันอยู่เสมอ (อ่านรายละเอียดได้ คลิกที่นี่)
ประการสำคัญ..พระมหาเถระของไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทยจริง เช่น พระสายเหนือ คือ ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย
หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า หลวงปู่ชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม ท่านครูบาขาวปี วัดพระบาทผาหนาม เป็นต้น
ต่างก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระพุทธบาทไว้ทางภาคเหนือของไทย แม้พระสายอีสาน เช่น หลวงพ่อสิม (ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ท่านก็บอกไว้ว่าในหนังสือพระราชทานงานศพของท่านว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ ณ วัดพระพุทธบาทสี่รอย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
(อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=85.0)
ส่วนพระสายภาคกลาง คือ หลวงพ่อพระราชกวี (อ่ำ) วัดโสมนัส กทม. ยังได้อ่านพบในกเบื้องจารว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือน "อาณาจักรสุวรรณภูมิ"
จ.ราชบุรี แล้วเสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาท ณ เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต (อ่านรายละเอียดจากบทความเรื่อง "พิธีบวงสรวง ณ อาณาจักรสุวรรณภูมิ" http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=821) นอกจากนี้ตามหลักฐานจากโบราณสถานที่เก่าแก่ของจังหวัดอุตรดิตถ์
ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่ "พระแท่นศิลาอาสน์" อีกด้วย (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.heritage.thaigov.net/religion/pratan/sila.htm)
พระพุทธเจ้าเสด็จเมืองพิษณุโลก (บ้านพระโมคคัลลาน์-พระสารีบุตร อยู่ที่สวรรคโลก)
โดยเฉพาะในหนังสือ "พงศาวดารเหนือ" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแต่ง แต่ยังดำรงพระเกียรติยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
มีรับสั่งให้พระวิเชียรปรีชา (น้อย) เป็นผู้รวบรวมเรื่องมาเรียบเรียง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๐ ยังได้เล่าว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปฉันจังหันใต้ต้นสมอ ณ บริเวณเขาสมอแครง (เดิมเรียก "พนมสมอ") อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
หลังจากเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านพราหมณ์แล้ว ภายหลังพระเจ้าศรีธรรมปิฏก (พระเจ้าพรหมมหาราช) จึงรับสั่งให้สร้าง "วัดพระพุทธชินราช"
ตรงบริเวณที่พระพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาตนั้น
ส่วนพระยาธรรมราชา จึงให้ช่างก่อที่บรรจุพระธาตุโดยตัดเอาแลงมาทำเป็นแผ่นยาวสามศอก กว้างหนึ่งศอก ยาวห้าศอก กว้างสองศอกทำเป็นบัวหงาย
หน้ากระดานและทรงมันทำให้งาม ขุดสระกรุด้วยแลงทำด้วยปูน แล้วตั้งฐานชั้นหนึ่ง
จากนั้นได้พากันไปขุดเอาผะอบแก้วใหญ่ห้ากำที่ใส่พระธาตุมาบูชานมัสการด้วยดอกไม้ ธูปเทียน แล้วเชิญพระธาตุมาที่เมือง
ป่าวร้องให้แก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธาเอาทองมาประมวญกันได้ ๒๕๐๐ ตำลึงทอง ให้ช่างตีเป็นสำเภาเภตรา แล้วใส่พระธาตุพระพุทธเจ้าลอยอยู่ในน้ำบ่อ
จากนั้นจึงก่อเป็นพระเจดีย์สรวมไว้ ใช้เวลาหนึ่งปีจึงแล้วเสร็จแต่ยังไม่มียอด บรรดาชีพราหมณ์ทั้งหลายที่อยู่ในปัญจมัชฌคาม (ผู้เป็นหลานเหลนนางโมคคัลลี)
ผู้เป็นมารดาพระโมคคัลลาน์ และนางสารีผู้เป็นมารดาพระสารีบุตร ที่อยู่ในปัญจมคามก็กลายมาเป็นเมืองสวรรคโลก
พระธาตุพระสารีบุตรก็บรรจุไว้ในเจดีย์พระธาตุข้างเหนือ พระธาตุโมคคัลลาน์บรรจุไว้ในบ้านนางโมคคัลลี และนางทั้งสองนี้เป็นญาติกัน
(อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/pong/pong1.htm หรืออ่านที่ www.panyathai.or.th คลิกที่นี่)
แม้แต่ในพระไตรปิฎก พระอรรถกถาจารย์ผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ ยังได้กล่าวถึง "รอยพระพุทธบาททั้ง 5 แห่ง"
ในชมพูทวีปว่ามีอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งสมัยกรุงศรีอยุธยาพระเถระในลังกายังได้บอกพระสงฆ์ไทยว่า รอยพระพุทธบาท 1 ใน 5 แห่งนั้น อยู่ในเมืองไทยบนเขา
"สุวรรณบรรพต" แล้วภายหลังได้พบในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ภายหลังเรียกว่า วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี (อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=754) หรือที่ วัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี (อ่านประวัติได้ที่http://www.watphraphutthachai.com/watphrabuddhachay/history_wat/comehaikan.htm) พอถึงสมัยนี้บ้านเมืองเจริญขึ้น
คนไทยที่เรียนประวัติศาสตร์จากชาวต่างชาติ ที่ได้เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 กลับไม่เชื่อเรื่องราวเหล่านี้
ถ้าอย่างนั้นความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ไปค้านกับนักวิชาการเหล่านี้เหรอ หรือคิดว่าตำนานของไทยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ยากที่จะเชื่อถือได้
น่าจะเป็นการเขียนภายหลังทั้งสิ้น จึงได้ปฏิเสธตำนานตามวัดต่างๆ โดยเฉพาะผู้เขียนเคยเห็นบทวิเคราะห์ในวิทยานิพนท์เรื่อง "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก"
พบว่านักวิชาการ (บางคน) ไม่ค่อยจะเชื่อถือตำนานเหล่านี้ มองเห็นเป็นเรื่องนิยายปรำปราไปเสียสิ้น (อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.human.cmu.ac.th/~thai/html2/tianchai.htm)
จึงเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่พุทธสถานในเมืองไทย ส่วนใหญ่มีแค่ชาวบ้านธรรมดาที่เชื่อถือ นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสนใจ ทั้งๆ
ที่พระเจดีย์ของเราก็มีความสำคัญไม่แพ้ในประเทศพม่า อย่างเช่น พระเจดีย์ชเวดากอง ชาวมอญและพม่านับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้
ต่างก็เชื่อมั่นว่าเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจริง โดยเฉพาะกรมศาสนาของเขาก็มีงบให้บูรณะ จะเห็นว่าพระเจดีย์ชเวดากองปิดทองงดงาม
อีกทั้งผู้นำของประเทศต่างก็เดินทางไปกราบไหว้ให้ความสำคัญอยู่เสมอ
ในทางตรงกันข้าม "โบราณสถานของไทย" สภาพอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น จะไปบูรณะซ่อมแซมให้งดงามก็ไม่ได้ เกรงจะไปทำลายศิลปวัฒนธรรม
ต้องทำเรื่องทำหนังสือขออนุญาตให้ยุ่งยาก นับเป็นเรื่องแปลก แทนที่จะมองเห็นความสวยสดงดงาม กลับไปนิยมความเก่าแก่
ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจศิลปะกันเท่าไร ยกตัวอย่างเมืองพุกาม นับตั้งแต่ "องค์การยูเนสโก" เข้าไปช่วยเหลืองบประมาณ
เวลานี้พระเจดีย์ที่เก่าแก่ในเมืองพุกาม ส่วนใหญ่ได้รับการซ่อมแซมปิดทองสวยอร่าม นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแห่เข้าไปขมเมืองพุกาม ปีละไม่รู้กี่สิบล้านคน
จึงอยากจะถามว่า คนไทยสนใจศิลปะการสร้าง หรือสนใจที่จะกราบไหว้เพื่อหวังบุญกุศลกัน นักวิชาการเหล่านี้ ทำไมไม่ย้อนกลับมองตัวเองบ้าง
นับเป็นเวลากี่สิบปีมาแล้ว ที่คนไทยยังไม่ได้รับการยืนยันว่า คนไทยอาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิมาเก่าก่อน หรือยังเชื่อว่าอพยพมาทาง *ภูเขาอัลไต หรือว่า
"พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทยจริงหรือไม่" ถ้าอย่างนั้นไว้ชมคลิปวีดีโอกันก่อน แล้วค่อยไปเฉลยปัญหากันต่อไป....
* คนไทยอพยพมาจากภูเขาอัลไต (อ่านรายละเอียดได้)
1. งานค้นคว้าเรื่องความเป็นมาของชนชาติไทย http://www.meeboard.com/view.asp?user=s_hatcore&groupid=5&rid=14&qid=1
2. เทือกเขาอัลไต กับคนไทย จะเชื่อใครดี http://www.oknation.net/blog/pakapoo/2008/10/22/entry-1
3. "สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย" http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=30776
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 10/9/10 at 10:52 |
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 10/9/10 at 10:55 |
|
{Update 22-09-53}
☺.....ตามที่ผู้เขียนได้นำบทความเรื่องประวัติความเป็นมา โดยตั้งกระทู้คำถามว่า
"พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทยหรือไม่" เพราะเห็นว่าแผ่นดินของไทยในเวลานี้ นับตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว
จากพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ก่อนปรินิพพานว่า...
ดูก่อนสุภัททะ..! หากภิกษุสาวกของเรา ยังคงปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัย มีอริยมรรคองค์ ๘ เป็นเครื่องดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้องเพียงใดแล้ว,
โลกนี้ก็จักยังไม่ว่าง จากพระอรหันต์อยู่เพียงนั้น
และตรัสสรรเสริญบุคคลที่กราบไหว้บูชา "พระบรมสารีริกธาตุ" และ "พระอรหันตธาตุ" แม้กระทั่ง "รอยพระพุทธบาท" ไว้ใกล้ปรินิพพานเช่นกันว่า
อานนท์! ชนเหล่าใด เที่ยวไปตามเจดีย์สถาน จักมีจิตเลื่อมใส ทำกาละแล้ว ชนเหล่านั้น จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย เพราะการทำลายแห่งกาย
ดังนี้.
ในเรื่องนี้อยากจะขอให้ผู้อ่านสังเกตไว้ว่า พระเจดีย์ที่สำคัญเหล่านี้ที่ยังปรากฏอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะคำที่ว่า โลกนี้ก็จักยังไม่ว่าง
จากพระอรหันต์อยู่เพียงนั้น ยังปรากฏอยู่ในเมืองไทยอีกเช่นกัน อย่างเช่นพระเถระบางรูปมรณภาพแล้วร่างไม่เน่า หรือไม่ก็เผาศพท่านแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ
เป็นต้น ตามที่ได้นำคลิปวีดีโอมาให้ชมกันไปแล้วนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าเมืองไทยยังบริบูรณ์ด้วยอริยมรรคอริยผลครบถ้วน ไม่เหมือนพุทธศาสนาในประเทศอื่นๆ
ในเวลานี้บางประเทศพระพุทธศาสนาเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ
ถ้าหากเราจะย้อนมองเข้ามาสู่ประเทศไทยในเวลานี้ ประกอบไปด้วยพระพุทธพจน์ในวันใกล้ปรินิพพาน พระองค์คงจะทราบด้วยพุทธญาณแล้วว่า
ต่อไปในอนาคตพระพุทธศาสนาจะต้องประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยอย่างมั่นคง ทำไมในระหว่างที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะไม่เดินทางมาปฏิบัติพุทธกิจบ้างเลยหรือ
ทำไมจะต้องยกให้ประเทศอื่นอยู่ร่ำไป ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเจาะลึกลงไปถึงสถานที่ประสูติหรือตรัสรู้ เอาแค่ว่าสมัยกพุทธกาล
พระพุทธองค์เคยเสด็จมาถึงถิ่นไทยนี้หรือไม่เท่านี้ก็พอแล้ว
ใครเป็นผู้คิดประดิษฐ์อักษรไทยกันแน่
(* อ่านรายละเอียดได้ คลิกที่นี่ *)
.......แต่ก่อนที่จะมุ่งเข้าไปหาประเด็นนี้ ผู้เขียนอยากจะขอย้อนกล่าวตามที่ คุณแดงคนดี เขียนวิเคราะห์ไว้ในเวป infoforthai.com จาก สารคดี
"แผ่นดินสุวรรณภูมิ" เรื่องจริงหรือตำนาน ทางช่อง 9 โดยกล่าวถึงการเดินทางมาถึงดินแดน "สุวรรณภูมิ" โดยชาวอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3-5
ซึ่งมีการขุดพบลูกปัดและเทวรูปตามสถานที่ต่างๆ ทางภาคใต้
แล้วคุณแดงคนดีได้อ้างต่อไปว่า เคยฟังนักวิชาการท่านหนึ่งเล่าว่า "อักษรในดินแดนสุวรรณภูมิ มีพัฒนาการมาจากอินเดียใต้" คุณแดงคนดีเข้าใจว่า
คนพื้นเมืองเดิมคงมีภาษาพูดมาก่อน การสะกดตัวอักษรน่าจะเลียนเสียงภาษาพูดที่มีอยู่เดิม คุณแดงคนดียังเขียนต่อไปว่า
"สุวรรณภูมิเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จึงทำให้มีผลผลิตจากธรรมชาติมากมายที่ชาวโลกต้องการ และแน่นอนที่นี่มีทองคำจริงๆ
กับแร่ธาตุมีค่าอื่นๆ เช่น ทองแดง ดีบุก เหล็ก สมชื่อ "แผ่นดินทอง" ซึ่งความร่ำรวยทางธรรมชาติเช่นนี้เอง ทำให้ชาวโลกต้องเดินทางมาแสวงโชคถึงที่นี่
นักบวชจากอินเดียเมื่อมาถึงสุวรรณภูมิ เห็นคนในแถบนี้ไม่ใส่เสื้อคิดว่าเปลือยกาย ที่จริงแล้วยังมีมีผ้าปิดของสงวนอยู่ จึงเรียกว่านาคา หรือนาค
คนพื้นเมืองเหล่านี้น่าจะนับถือผี ถึงแม้จะรับศาสนาพราหมณ์ และพุทธแล้ว ก็ยังนับถือผีควบคู่กันอยู่ จะไม่นับถือผีก็ไม่ได้ เพราะปู่ย่า ตายาย ไม่ได้ไปไหน
ยังมาแสดงตัวอยู่เสมอๆ ปัจจุบัน ชาวใต้หลายครอบครัวยังมีผีของบรรพบุรุษเป็นองค์ที่นับถือประจำบ้านอยู่"
☺....เรื่องนี้นับว่าน่าแปลกมากว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เจริญอุดมสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อน ฉลาดรู้จักวิธีการหาแร่ธาตุจนได้ชื่อว่า
"แผ่นดินทอง" แต่กลับไม่เจริญในด้านความเป็นอยู่ ไม่รู้จักใช้ภาษาพูดภาษาเขียน เหมือนคนป่าเถื่อนที่อยู่บนกองเงินกองทอง เปรียบเสมือน "ไก่ได้พลอย"
กระนั้นหรือ ทำไมโง่เง่าไม่มีปัญญาที่จะนำของมีค่าเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่กระนั้นหรือ นอกจากนี้ "คุณแดงคนดี" ยังอ้างอีกว่า
.....จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี "ราว พ.ศ. 400 ไทยได้อพยพจากถิ่นเดิมมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ใกล้อาณาเขตมอญ ซึ่งกำลังเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น
เริ่มแรกคงเริ่มเลียนแบบตัวอักษรมาจากมอญ ต่อมาราว พ.ศ. 1500 เมื่อขอมขยายอำนาจเข้ามาในดินแดนของคนไทยซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำยม
และได้ปกครองเมืองเชรียงและเมืองสุโขทัย ไทยก็เริ่มดัดแปลงอักษรที่มีอยู่เดิมให้คล้ายกับอักษรขอมหวัด
อักษรมอญและอักษรขอมที่เรานำมาดัดแปลงใช้นั้น ล้วนแปลงรูปมาจากอักษรพราหมี ของพวกพราหมณ์ซึ่งแพร่หลายในอินเดียตอนเหนือ และอักษรสันสกฤตในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ
ซึ่งแพร่หลายบริเวณอินเดียตอนใต้ อักษรอินเดียทั้งคู่นี้ต่างก็รับแบบมาจากอักษรฟินิเชียนอีกชั้นหนึ่ง อักษรเฟนีเซียนับได้ว่าเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุด
และเป็นแม่แบบตัวอักษรของชาติต่างๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป
ราว พ.ศ. 1826 พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยที่เรียกกันว่า "ลายสือไทย" ขึ้น ซึ่งได้เค้ารูปจากอักษรอินเดียฝ่ายใต้
รวมทั้งอักษรมอญและเขมรที่มีอยู่เดิม (ซึ่งต่างก็ถ่ายแบบมาจากอักษรอินเดียฝ่ายใต้ทั้งสิ้น) ทำให้อักษรไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกับอักษรทั้งสาม
แม้บางตัวจะไม่คล้ายกัน แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าดัดแปลงมาจากอักษรตัวไหน
อักษรไทยมีการปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ ในสมัยพญาฦๅไทราว พ.ศ. 1900 มีการแก้ไขตัวอักษรให้ผิดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะการเพิ่มเชิงที่ตัว ญ
ซึ่งใช้ติดต่อเรื่อยมาจนทุกวันนี้ คาดว่าน่าจะเอาอย่างมาจากเขมร ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราว พ.ศ. 2223
ตัวอักษรเริ่มมีทรวดทรงดีขึ้นแต่ก็ไม่ทิ้งเค้าเดิม มีบางตัวเท่านั้นที่แก้ไขผิดไปจากเดิม คือตัว ฎ และ ธ ซึ่งเหมือนกับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
นักวิชาการจำนวนหนึ่งเชื่อว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตัวอักษรและการใช้งานมีความคล้ายคลึงกับในปัจจุบันมากที่สุด"
คนไทยมาจากไหน นักประวัติศาสตร์คงต้องแสวงหาความรู้กันต่อไป เรารู้เพียงแต่ว่าชุมชนโบราณที่มีอิทธิพลในการคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญ เรียกตัวเองว่าไทย
คนเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ใต้ปกครองก็ถือว่าเป็นคนไทยด้วย เวลาผ่านไปนานเข้า ก็ผสมกันจนแยกไม่ออกว่าเผ่าพันธุ์เดิมเป็นมาอย่างไร ซึ่งคงไม่พ้น จีน ลาว เขมร
มอญ และชาติอื่นๆ ที่อบพยพเข้ามาทางทะเล
☺....ถ้าหากเราได้อ่านข้อเขียนของ "คุณแดงคนดี" จะเห็นว่ามีการศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ก็เป็นแนวเดิมๆ ที่ผู้เขียนเคยอ่านมาเยอะแยะแล้ว
จากความคิดของนักวิชาการเหล่านี้ ที่มองไม่เห็นความสำคัญจากความรู้ของ "พระคณาจารย์" ต่างๆ เรียกว่าไม่เชื่อความรู้จาก "ศาลาวัด" ทั้งๆ
ที่พระอริยสงฆ์เหล่านี้ ท่านก็ได้เกิดในผืนแผ่นดินไทย ท่านได้ปฏิบัติธรรมโดยชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
จนกระทั้งได้บำเพ็ญเพียรจนสามารถเผากิเลสได้หมดสิ้นบนดินแดน "สุวรรณภูมิ" แห่งนี้ ถ้าจะนับตั้งแต่ในอดีตก็มีมากมายหลายรูปแล้ว
ท่านได้เล่าประสบการณ์ในขณะจาริกธุงดค์ไปตามป่าเขา ได้ค้นพบร่องรอยของการเยือนของพระพุทธเจ้ามาแล้วในอดีต แต่นักปราชญ์บางคนในแผ่นดินไทย
กลับชี้นำตามหลักฐานเพียงแค่โบราณวัตถุที่ค้นพบนี้ แล้วเหมาว่าคนไทยเป็นคนป่าเถื่อน เปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่มีวัฒนธรรมประเพณี
ต้องไปเอาอย่างพวกอินเดียใต้บ้าง อินเดียเหนือบ้าง แม้แต่ตัวอักษรที่ใช้อยู่เวลานี้ เราก็ไม่ได้คิดเอง ต้องไปลอกแบบเขามาทั้งนั้น
ซึ่งความคิดเหล่านี้เอามาจากนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ที่เดินทางมาสำรวจโบราณสถานในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 4 ชื่อว่า ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ (*
อ่านรายละเอียดได้ คลิกที่นี่ *) ต่อมาภายหลังสมัยรัชกาลที่ 5
เราต้องเสียดินแดนทางด้านตะวันออกให้กับประเทศฝรั่งเศส คือ เสียมราฐ พระตระบอง เป็นต้น โชคดีนะที่เราไม่เสียให้ทั้งประเทศ เพราะทางประเทศอังกฤษก็ยึดอินเดีย
ลังกา แล้วขนาบเรามาทางทิศตะวันตก โดยยึดประเทศพม่าได้ไปหมดแล้ว จึงเหลือแต่ประเทศไทยที่อยู่ตรงกลาง เขาคงคิดจะแบ่งกับฝรั่งเศสกันคนละครึ่งกระมัง
เรื่องนี้อาจทำให้ประวัติศาสตร์ของไทยผิดเพี้ยนไปหมดสิ้นตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
ในเมื่อเรื่องประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป คนไทยไม่แน่ใจว่าอยู่ที่เดิมนี้หรือไม่ ย่อมทำให้ที่ตั้งของพระพุทธศาสนาคลาดเคลื่อนไปด้วย
แล้วคนที่สอนประวัติศาสตร์ให้คนไทย ไม่ทราบว่านับถือศาสนาพุทธหรือเปล่า จึงสอนไม่ให้เชื่อเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงถิ่นไทยไปด้วย
แต่พอพระอริยสงฆ์ไทยพูดเกี่ยวกับดินแดนนี้ ที่มีคนไทยอาศัยมานานหลายพันปีแล้ว..กลับไม่เชื่อ บางคนหาว่าตำนานเล่าเกินความจริง
แล้วตำนานเหล่านี้โกหกทั้งเรื่อง ไม่มีความจริงเหลืออยู่บ้างเลยหรือ ก่อนอื่นเรามาอ่านข้อคิดของนักวิชาการฝ่ายที่ยังเชื่อเรื่องนี้อยู่บ้างดีกว่า
(อ่านแล้วอย่าซีเรียสนะ ถือว่าเอามาอ่านเล่นๆ กัน)
ศาสนาพุทธ กำเนิดในประเทศไทย จริงหรือ? บทความจาก.. http://www.oknation.net/blog/print.php?id=11836 วันอังคาร มีนาคม 2550
......ผมขอหยิบยกบทความของท่านศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ซึ่งท่านได้เขียนบทความในหัวข้อ
"พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในประเทศไทย-ไม่ใช่ที่อินเดียหรือเนปาล" ซึ่งท่านได้กล่าวถึงมูลเหตุหลายประการ
ซึ่งยืนยันว่าพุทธศาสนาอาจกำเนิดขึ้นในประเทศไทยของเรานี่เอง...
"ประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่เราทราบ หากเราทราบมาผิดๆ ประวัติศาสตร์ก็ผิดด้วย"
คำกล่าวนี้ อาจเป็นจริง สำหรับประวัติพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดในชมพูทวีปและถือว่าอยู่ที่ดินแดนของไทย ลาว เขมร พม่า และมอญ แต่ถูกฝรั่งบิดเบือนว่า
พุทธศาสนาเกิดขึ้นในอินเดียและเนปาล
หน้าปกหนังสือของ John Keay ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวชาวอังกฤษอย่างน้อย ๕ คน และเยอรมัน ๑
คนที่ได้กระทำการบิดเบือนข้อเท็จจริงจนนำไปสู่ความหลงผิดของชาวโลกว่า พระพุทธองค์เป็นชาวอินเดีย
".....เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว อินเดียเป็นดินแดนที่ไม่มีประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่า
เป็นเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนประวัติศาสตร์ มีความโดดเด่นในด้านวัฒนธรรม ที่มีเอกลักษณ์และความต่อเนื่องมายาวนาน.... Dervla Murphy แห่ง
Irish เขียนแสดงความชื่นชมหนังสือของ John Keay ชื่อ India Discovered: TheRecovery of a Lost Civilization.
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้ทราบความเป็นมาของการค้นคว้าด้านโบราณคดี ที่ทำให้ฝรั่งเขียนประวัติพระพุทธศาสนา จนทำให้พระพุทธองค์กลายเป็นชาวอินเดีย
พระเจ้าของไทย (The Thai God) ทรงพระนามว่า Pout หรือ Codom มีปรากฏในบันทึกของชาวฝรั่งเศส (M. Simon de le Loubere
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ก่อนที่ชาวอังกฤษจะเข้ามามีอำนาจในอินเดีย
โดยได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้า ของไทย เป็นที่เคารพนับถือในกภูมิภาคต่างๆ ในอินเดียเป็นพันปี และเป็นองค์เดียวกับเทพเจ้าของชาว Ceylon ที่ชื่อ Buddha or
Gautama ผู้ที่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้คือ ชาวอังกฤษชื่อ William Chambers ผู้ค้นพบโบสถ์ที่ Mahabalipurum (Keay,pp.66-67)
ทว่า ประเทศอินเดีย กลายเป็นอู่วัฒนธรรมได้อย่างไร และทำไม พระเจ้า ของไทย คือ พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาจึงถูกโยกย้ายจากแหล่งเกิดในสุวรรณภูมิ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของไทย ลาว เขมร พม่า และมอญ ไปยังอินเดีย ทำไมฝรั่งจึงไม่เฉลียวใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบับดั้งเดิม
และหลักฐานจารึกและใบลานที่มีอยู่แล้วอย่างมากมายมหาศาลในประเทศต่างๆ ในสุวรรณภูมิ
คำตอบก็มีอยู่แล้วในงานเขียนของนักโบราณคดีอังกฤษ ซึ่งปรากฏอย่างชัดเจนหลายแห่งในหนังสือของ John Keayในบทที่ว่าด้วย ตำนานพระพุทธ John Keay
ได้กล่าวถึงผลงานของ Captain E. Fell ซึ่งเดินทางไปสาญจีบ่อยๆ ได้บรรยายความสวยงามของการแกะสลักหิน เล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเสาหิน วัดหิน
ที่นำเสนอเรื่องราวทางศาสนา และเชื่อว่าสถูปที่เมืองสาญจี เป็นของพุทธ ซึ่ง John Keay ก็สงสัยว่า หากสาญจีเป็นพุทธ จริงๆ แล้ว ชาวพุทธหายไปไหนหมด Keay
บอกว่า ชาวพุทธมีอยู่เกือบทุกประเทศ เช่น Ladakh, Nepal, Tibet, China, Burma,Thailand และศรีลังกา พระพุทธศาสนามีผู้นับถือล้อมรอบอินเดีย
แต่ในอินเดียเองกลับไม่มีใครรู้จักศาสนาพุทธ
ทำไมจึงไม่มีใครในอินเดียรู้จักพระศาสนาพุทธเลย? คำตอบแสดงอย่างชัดเจนว่า ศาสนาพุทธไม่ได้อุบัติขึ้นในอินเดีย ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู จิตรกร
"William Simpson(1862)" ที่ได้เขียนภาพสีน้ำ แสดงให้เห็นภาพสถูปที่เมืองสาญจี ซึ่งมีรูปปั้นหญิงเปลือยแขวนอยู่บนประตูหน้าสถูป หากเป็นโบสถ์พุทธแล้ว
จะมีภาพหรือหุ่นหญิงเปลือยไม่ได้เลย
อีกคนหนึ่งคือจิตรกร J.C.M.(1814) ที่ได้เขียนภาพสีน้ำแสดงโบสถ์พราหมณ์ที่พุทธคยา เมื่อเทียบกับเจดีย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า แตกต่างกันมาก
เพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เพื่อทำให้โบสถ์พราหมณ์กลายเป็นเจดีย์พุทธ แล้วใครเป็นผู้ทำให้เกิดความสับสน และบิดเบือนข้อเท็จจริงระดับโลกนี้ขึ้น?
ก่อนพ.ศ. ๒๓๙๗ ชาวตะวันตกในยุโรปและอเมริกา ที่มีความรู้เรื่องราว ของพุทธศาสนาคงมีไม่มากนัก จนกระทั่ง Sir Alexander Cunningham (1814-1893)
ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งโบราณคดีอินเดีย มาประจำการในกองทัพอังกฤษที่เบงกอล ได้ประกาศว่า พระพุทธองค์ประสูติในประเทศฮินดูสถาน
(อินเดียและเนปาลในปัจจุบัน)! จนเกิดความสับสนขึ้นโดยเฉพาะชาวไทยรุ่นก่อน ส่วนรุ่นใหม่ที่ถูกครอบด้วยความคิดที่ว่าพระพุทธเจ้า
เป็นชาวอินเดียจนฝังแน่นไปแล้วอาจจะไม่รู้สึกสับสนอะไร ตรงกันข้าม ใครที่พยายามฟื้นความจริงให้ปรากฏก็อาจถูกหาว่า เพี้ยน เพ้อเจ้อ เหลวไหล
ดังที่ผู้เขียนได้ประสบมาแล้วในช่วงเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้
ต้นเหตุแห่งความสงสัยและความสับสน
ต้นเหตุแห่งความสับสนหรือการบิดเบือนประวัติพระพุทธศาสนา เกิดจากฝรั่งที่เป็นผู้เขียนประวัติพระพุทธศาสนาใหม่ คือ Alexander Cunningham
บุคคลผู้นี้ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก แต่มีความสนใจประวัติศาสตร์อินเดียและเหรียญโบราณ ได้ขุดค้นสถานที่ต่างๆในอินเดีย อาทิ เมืองสาญจี
สารนาถ ฯลฯ ขุดอะไรได้ก็นำไปขายให้ British Museum
ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงที่จะเขียนประวัติพระพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ จากการขุดค้นสถานที่ไม่กี่แห่ง
เขาก็เขียนประวัติพุทธศาสนาขึ้นใหม่ โดยไม่ทราบหรือไม่นำพาต่อความจริงที่ว่า ประวัติพระพุทธศาสนามีอยู่แล้วที่ชมพูทวีป ซึ่งไม่ใช่อินเดียแต่เป็นสุวรรณภูมิ
เขาและคณะได้เผยแพร่ผลงาน ทำให้กระแสความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในฮินดูสถาน (ดินแดนที่เปน็ ประเทศอินเดียและเนปาลในปัจจบุ ัน)
ก็แผ่กระจายไปทั่วโลก
เขาได้รับพระราชทานอิสริยยศเป็น อัศวิน จากผลงานดังกล่าวใน ค.ศ. 1887 หลังจากการขุดค้นที่ต่างๆ ในโครงการศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย ใน ค.ศ.
1876 (พ.ศ. 2419) Cunningham ก็เริ่มเขียน Ancient Geography of India อย่างเร่งรีบ ผู้ช่วยของเขา คือ A.C. Carvelleyel เดินทางมาอินเดียในปีเดียวกัน
และขุดค้นที่เมือง Sahet Mahet ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า เป็น "สาวัตถี" (Sravasti or Savatthi)
แต่ไม่พบอะไรที่เป็นแก่นสาร จึงยกกองขุดขึ้นเหนือไปถึงเมือง Bhuilatal ริมฝั่งแม่น้ำ Rawai แล้วสรุปว่า ที่ตรงนั้น คือ กรุงกบิลพัสดุ์ (Kapilavastu)
Alexander Cunningham ก็เห็นด้วยกับการค้นพบของลูกน้องอย่างไรก็ตาม ผลการค้นพบก็ทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างอินเดียและเนปาล เนื่องจากสถานที่ที่ Cunningham
ชี้ว่าเป็นที่ประสูติพระพุทธเจ้าอยู่ในอินเดีย คือ ที่เมือง Pripahawa ห่างจากตำบล Tilaurakot สถานที่ถือว่าเป็นลุมพินีวันประมาณ ๒๔ ไมล์
ในศตวรรษที่ 10 เจ้าผู้ครองเนปาล ด้วยไม่เชื่อว่า กบิลพัสดุ์อยู่ในอินเดีย ได้เชิญนักโบราณคดีชาวเยอรมันซึ่ง
มีความรู้เรื่องพระไตรปิฎกอย่างดี มาทำการขุดค้นและประกาศว่า กบิลพัสดุ์ตั้งอยู่ที่ตำบล Tilaurakot
และสรุปว่าที่พบในอินเดียเป็นเพียงวิหารแห่งหนึ่งเท่านั้น
ใน ปี 1899 รัฐบาลอินเดียของอังกฤษ ได้ส่ง P. C. Mukherjee มาเนปาลเพื่อหาข้อเท็จจริง Mukherjee ยืนยันว่า Tilaurakot เป็นกบิลพัสดุ์แน่นอน Tilaurakot
ได้รับการยอมรับว่า เป็นกบิลพัสดุเพียง 60 ปี ก็ถูกท้าทาย โดยในปี 1961 รัฐบาลเนปาลได้เชิญ Debala Mitra แห่ง Archaeological Survey of India (ASI)
มาทำการศึกษานัยว่า ต้องการยืนยันว่า Tilaurakot คือกบิลพัสดุ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปรากฏว่า Mitra สรุปว่า Tilaurakot มีอายุไม่เกินศตวรรษที่ ๓ ดังนั้น
จึงระบุไม่ได้ว่า กบิลพัสดุอยู่ที่ใด
ข้อค้นพบของ Mitra กระตุ้นนักโบราณคดีอินเดียคือ K. M. Srivastava จาก ASI ทำการขุดค้นPripahawa อีกครั้ง ตามรอยของ Mukherjee และ ระบุว่า Pripahawa
เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร์ศักยะ และยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าPripahawa กรุงกบิลพัสดุ
รัฐบาลเนปาลไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในปี 1997 จึงได้ขอให้ UNESCO ว่าจ้างนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อ
Dr. Robin Coningham จาก Beadford University ร่วมกับ Dr. Armin Schmidt และ Kosh Acharya เพื่อทำการขุดค้นเพิ่มเติม พวกเขาได้พบกองเหรียญกษาปน์โบราณ
กับเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ก็สรุปว่า กบิลพัสดุ์ อยู่ที่Tilaurakot และ UNESCO ก็ประกาศให้บริเวณนี้ เป็นมรดกโลก
ในปีเดียวกันในประเทศไทยและลาว ดังปรากฏในจารึกและใบลานจาร พงศาวดารท้องถิ่นที่แสดงเรื่องราวในสมัยพุทธกาลของการเกิดพระเจดีย์ พระพุทธบาท พระพุทธฉาย
และพระพุทธรูปของชาวเหนือและชาวลาว แสดงว่าประชาชนมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าของพวกเขา อุบัติขึ้นที่ดินแดนสุวรรณภูมิ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน
ในการประกาศว่า พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในอินเดียหรือเนปาล ยังความไม่พอใจให้ชาวชมพูทวีปเป็น
อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง เพราะส่วนใหญ่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหรือฝรั่งเศส ยกเว้น
ประเทศไทย พระสงฆ์ชาวไทยที่ไม่พอใจมีจำนวนมาก แต่ไม่กล้าประท้วงอย่างเปิดเผย เนื่องจากพระผู้ใหญ่และผู้ใหญ่บางองค์ในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีความเห็นคล้อยตามฝรั่ง และหันหลังให้กับหนังสือโบราณ เช่น มหาวงศ์ และ สังคีติยวงศ เนื่องจากเห็นว่าหนักไปในทางปาฏิหารย์ จึงยึดถือที่ฝรั่งเผยแพร่
เป็นเหตุให้ ชาวโยนก กลายเป็นพวกนอกรีต พระยามิลินทร์และพระนาคเสนก็กลายเป็นฝรั่งไปสิ้น โดยไม่นำพาความเชื่อของชาวเหนือที่ถือว่า
พระยามิลินทร์และพระนาคเสนเป็นชาวเหนือ
พระเจ้า 500 ชาติ--อ้อยต้นจืดปลายหวาน กินนานอร่อย
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระปิยมหาราช มีพระเถระรูปหนึ่ง คือ พระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย์ (ปาน) แห่ง
วัดมหรรณพาราม ได้เขียนหนังสือ พระเจ้า 500 ชาติ--อ้อยต้นจืดปลายหวาน กินนานอร่อย เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่พระปิยมหาราช ครองราชย์ได้ ๒๙ ปี
เนื้อหาของหนังสือ ประท้วงคณะสงฆ์ที่ยอมเชื่อว่า พระพุทธองค์ประสูติในอินเดีย ตามที่ชาวอินเดียจากเมืองกาสี ๘ คนนำมาเสนอ
หลวงพ่อปานฯ กล่าวหาว่า เมื่อชาวอินเดียทั้ง ๘ คนนี้เดินทางกลับอินเดีย ได้นำพระไตรปิฎก อภิธานศัพท์ และคำสอนในพระพุทธศาสนาไปประเทศอินเดียด้วย และ
เมื่อชาวอินเดีย พวกนี้กลับ มากรุงเทพก็กลับมาพร้อมแผนที่ประเทศฮินดูสถานฉบับใหม่ทีมีชีอเมือง แม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ ตามที่ปรากฏในประไตรปิฎก
ก็ยิ่งทำใหคนไทยเชื่อว่า พระพุทธอุบัติขึ้นในอินเดียมากยิ่งขึ้น โดยให้การต้อนรับอย่างดี ได้ขายนมเนย ภายหลังก็ได้มีการเรี่ยรายเงินทองเพื่อไปสร้างเจดีย์
ที่สถานที่ตรัสรู้ ณ พุทธคยา แต่หามีใครสังเกตไม่ว่า ระยะทางและทิศทางระหว่างเมืองต่างๆ ในอินเดีย ขัดแย้งกับที่ปรากฏในพระไตรชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า
... ผู้เฒ่าผู้แก่โกรธมาก ที่มีคนบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นอินเดีย....
นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ มีนักวิชาการและกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ๓ กลุ่ม ได้รับการจุดประกายจากหนังสือ "อ้อยต้น
จืดปลายหวานฯ" ของพระธรรมเจดีย์ (ปาน) และจากความสงสัยที่มีมายาวนานเกี่ยวกับคติที่ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอินเดีย จึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้า
ประวัติพระพุทธศาสนาตามคติเดิมเกี่ยวกับที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และเผยแผ่ศาสนาขององค์พระศาสดาในช่วงเวลา ๘๐ พรรษา จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ตามเอกสารโบราณหลายฉบับ ได้แก่
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ประกาศเทวดา ครั้งสังคายนาพระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๓๑ หนังสือ สังคีติยวงศ์ ซึ่งสมเด็จพระวันรัตน์ (แก้ว)
วัดพระเชตุพน (เป็นพระอาจารย์ของพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ได้เขียนไว้ใน พ.ศ. ๒๓๓๒ ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าชมพูทวีป คือ
ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของ ๕ ประเทศ คือ ไทย ลาว เขมร พม่า และมอญ ชาวสุวรรณภูมิถือคตินี้ มาตั้งแต่บรรพกาล มูลศาสนา ศิลาจารึกวัดศรีชุม คัมภีร์อุรังคธาตุ
มหาวงศ์
นับตั้งแต่ที่ Sir Alexander Cunningham เขียนประวัติพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่และเผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วง
พ.ศ.๒๓๙๗-๒๔๑๙ ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต ๑๗ ปี พระพุทธองค์ก็กลายเป็นชาวอินเดีย และชมพูทวีปก็
กลายเป็นอินเดียไปทั้งๆ ที่มีความเชื่อมายาวนานว่า ชมพูทวีป คือ ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของไทย ลาว เขมร พม่า และมอญ
ก็หาได้มีผู้ใดไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือใครอื่น กล้าที่จะทักท้วงข้อเท็จจริงแต่อย่างใดไม่ อาจด้วยเชื่อว่า
เป็นอย่างนั้นจริงหรืออาจเกรงภัยจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ ก็ได้ เท่านั้นไม่พอ ชาวไทยบางคน กลับช่วยกระพือและเผยแพร่ความคิดไปให้แพร่หลายออกไป
หากไม่มีหลวงพ่อพระธรรมเจดีย์ปาน เขียนหนังสือประท้วงไว้ เรื่องก็คงเงียบหายไป....
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 22/9/10 at 10:25 |
|
ไทยเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่บทความจาก.. http://www.thaidhammajak.com/webboard/detail.php?question_id=11970
พระพุทธเจ้าเคยมาเมืองไทย ?
ความคิดเห็นที่ 1
........มาแน่นอนครับ 1,000% เลย ไทยเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ คุณไปดูหลักฐานรอยพระพุทธบาทซีครับ เมืองไทยมีมากที่สุดในโลก
ไม่มีที่ไหนสู้ได้ แม้แต่จีน ที่มีพื้นกว้างใหญ่ที่สุดก็ตาม ขนาดสมเด็จองค์ปฐม+พระพุทธเจ้าอีก 4 องค์ในภัทรกัปนี้
ก็มีรอยประทับไว้บนยอดเขาวัดเขาวงกต(สนามแจง)ที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรีนี่เอง มีบันไดขึ้นไป 700 ขั้นแค่นั้นเอง.....ที่เชียงใหม่ ต.สะลวง อ.แม่ริม
มีรอยพระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ในภัรกัปนี้ ทั้ง 2 แห่งนี้จะมีรอยสุดท้ายคือ พระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรยมาประทับไว้อีกในอนาคตกาล......
ที่อื่นๆ ก็มีอีกเยอะ ที่วัดเขากะลา นครสวรรค์ มีรอยพระพุทธบาทสมเด็จองค์ปฐม ที่ภูเก็ตที่ชายหาดบนแก่งหิน.....รอยพระพุทธบาทที่ภูสิงห์(องค์ปัจจุบัน)
....รอยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้ ที่สำนักสงฆ์ อ.กลางดง จ.นครราชสีมา......รอยพระพุทธบาท รอยฝ่าพระหัตถ์ที่แม่ฮ่องสอน ลำพูน
โดยเฉพาะที่ อ.ลี้ มีอยู่หลายแห่งในเครือของหลวงปู่ชัยวงศาพัฒนา เช่น วัดดอยถ้ำ......
บางคนบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยด้วยซ้ำไป เพราะไล่ย้อนอดีตไป พระพุทธเจ้าวงศ์ศากยะ เป็นชาวสุวรรณภูมิ สันนิษฐานว่าใกล้เคียงกับพวกไทยลั๊วะ อย่างมาก
หมอชีวกโกมารภัทเคยมาอยู่สุวรรณภูมิหลายปี พูดภาษาคนไทยสุวรรณภูมิได้ ภาษาเป็นคำโดดๆ เสียงต่ำสูงไพเราะมาก
กลับไปอินเดียไปสนทนาภาษาสุวรรณภูมิกับพระพุทธเจ้าๆ ทรงรู้ว่าหมอชีวกมาอยู่ที่นี่หลายปี พูดภาษาของท่านได้แน่ ก็เลยพูดกันที่เป็นที่ชื่นอกชื่นใจ
หมอชีวกก็เลยถามพระองค์ว่า เหตุใดพระองค์จึงพูดภาษาสุวรรณภูมิได้คล่องแคล่วไพเราะมากอย่างนี้ พระองค์ก็ทรงบอกว่า เป็นภาษาของชนชาติของพระองค์เอง.....
นี่เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทยจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นนะ ไปเปิดพระไตรปิฎกดูก็ได้ว่ามีเรื่องนี้อยู่ด้วยหรือไม่ ตรงไหน
แต่ผมรับรองว่ามีแน่นอนครับ......
ผมได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งที่ ๒ ครับ ครั้งแรกจากอาจารย์ที่บางกระปิ ท่านว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่พระธาตุศรีสองรัก จ.เลย ท่านตรัสรู้ที่พระแท่นศิลาอาสน์
จ.อุตรดิตร ท่านนิพพานที่พระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี กระบวยตักกระดูกท่านเก็บที่พระประโทนเจดีย์ จ.นครปฐม กระดูกตั้งแต่หัวถึงเท้าอยู่เมืองไทย
สมัยนั้นบาลีสันษกฤษ มีอิทธิพลมากกว่าไทย ภาษาที่ใช้จึงเป็นบาลี ฯลฯ อินเดียเล่นกลเก่งจึงสร้างหลักฐานไปเป็นของตนเองหมด แต่หลักฐานอื่นๆ ของเรายังอ่อน
สู้ทางอินเดียไม่ได้
"พระพุทธอุบัติภูมิอยู่ในประเทศไทย-ไม่ใช่ที่อินเดียหรือเนปาล" โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ "ประวัติศาสตร์ คือสิ่งที่เราทราบ
หากเราทราบมาผิดๆ ประวัติศาสตร์ก็ผิดด้วย" คำกล่าวนี้ อาจเป็นจริง สำหรับประวัติพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดในชมพูทวีปและถือว่าอยู่ที่ดินแดนของไทย ลาว เขมร
พม่า และมอญ แต่ถูกฝรั่งบิดเบือนว่า พุทธศาสนาเกิดขึ้นในอินเดียและเนปาล
เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว อินเดียเป็นดินแดนที่ไม่มีประวัติศาสตร์หรือ วัฒนธรรม ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่า
เป็นเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนประวัติศาสตร์ มีความโดดเด่ด่นในด้านวฒันธรรมที่มีเอกลักษณ์และความต่อเนื่องมายาวนาน.... Dervla Murphy แห่ง
Irish เขียนแสดงความชื่นชมหนังสือของ John Keay ชื่อ India Discovered: TheRecovery of a Lost Civilization.
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้ทราบความเป็นมาของการค้นคว้าด้านโบราณคดีที่ทำให้ฝรั่งเขียนประวัติพระพุทธศาสนา
จนทำให้พระพุทธองค์กลายเป็นชาวอินเดียพระเจ้าของไทย (The Thai God) ทรงพระนามว่า Pout หรือ Codom
มีปรากฏในบันทึกของชาวฝรั่งเศสก่อนที่ชาวอังกฤษจะเข้ามามีอำนาจในอินเดีย
โดยได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้า ของไทย เป็นที่เคารพนับถือในภูมิภาคต่างๆ ในอินเดียเป็นพันปี และเป็น องค์เดียวกับเทพเจ้าของชาว Ceylon ที่ชื่อ Buddha or
Gautama ผู้ที่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้คือ ชาวอังกฤษชื่อWilliam Chambers ผู้ค้นพบโบสถ์ที่ Mahabalipurum (Keay, pp.66-67)ทว่า ประเทศอินเดีย
กลายเป็นอู่วัฒนธรรมได้อย่างไร และทำไม พระเจ้า ของไทย คือ พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาจึงถูกโยกย้ายจากแหล่งเกิดในสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของไทย ลาว
เขมร พม่า และมอญ ไปยังอินเดีย ทำไมฝรั่งจึงไม่เฉลียวใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฉบับดั้งเดิม
และหลักฐานจารึกและใบลานที่มีอยู่แล้วอย่างมากมายมหาศาลในประเทศต่างๆ ในสุวรรณภูมิ
คำตอบก็มีอยู่แล้วในงานเขียนของนักโบราณคดีอังกฤษ ซึ่งปรากฏอย่างชัดเจนหลายแห่งในหนังสือของ John Keay 1ศาสตราจารย์ ระดับ 11 อดีตรองอธิการบดี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และอดีตผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรม เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สถาบันพระปกเกล้า ขอเรียนว่า การศึกษาประวัติพระพุทธศาสนาครั้งนี้
ไม่ได้คัดค้านพุทธประวัติหรือพระธรรมคำสั่งสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เพราะผู้เขียน (ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ) เป็นชาวพุทธที่เชื่อว่า
"พระไตรปิฎก" เป็นพระพุทธวจนะที่แท้จริง มิได้มีพระเถระองค์ใดมาเขียนหรือแต่งเติมขึ้นใหม่ตามที่ Dr. Rhys Davis ชาวอังกฤษอ้างไว้
แล้วมีนักวิชาการชาวไทยนำมาขยายความ ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ชาติหน้า ชาติที่แล้วมีจริง นรกและสวรรค์มีจริง มิใช่เพียงแต่ สวรรค์ในอก นรกในใจ
ดังที่สี่อในบางสำนัก ดังนั้น จึงไม่มีการ ตู่พระธรรมวินัย หรือ ไทยนิยม ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการพิสูจน์ว่า เมืองในพระไตรปิฎกเช่น กบิลพัสดุ
ไม่ได้อยู่ในอินเดีย หรือเนปาล แต่อยู่ ณ ดินแดนที่เป็นทั้งของไทย ลาวเขมร พม่า มอญ ในปัจจุบันที่เรียกรวมว่า "สุวรรณภูมิ"
อ้างอิง : http://www.life-alonguniversity.com/buddhabirthplace
"พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"...ยืนยันโดยองค์หลวงปู่มั่น
เล่าโดย..หลวงตาทองคำ
จารุวัณโณ ".......เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์
และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้า รูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน
พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตรปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯ เหลือบมาเห็น ถามว่า นั่นอะไร รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม ท่านกล่าว
ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า ให้บรรจุเสีย
ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า บรรจุ จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา
ท่านพูดซ้ำอีกว่า บรรจุเสีย ทำอย่างไรขอรับกระผม ไหนเอามาซิ ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า
หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป ผู้เล่าเลยพูดไปว่า
พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม ท่านฯ ตอบ
หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้ ท่านฯกล่าวต่อไปว่า
อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล ๕
เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น
หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้น และชาวพม่า คือ รัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็น วัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ
อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่า ในปัจจุบัน ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ
ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า
ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม
ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้ ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้านก่อนจบท่านเลยสรุปว่า
อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น ผู้เล่าพูดอีกว่า
แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม ท่านบอก
พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเรานะซิ
ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย
อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้
พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม ท่านยังพูดคำแรงๆ ว่า
คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า)
แขก อินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฏหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที
ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั้นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด
ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ
คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม
ทุกแห่งตกอยู่ ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้
พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปป์ก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี
อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็คงขาดแต่ผู้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่
ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แล ฯ
คัดลอกจาก หนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยกองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม
หมวดรำลึกพระธรรมเทศนา หน้าที่ ๒๒๗
(เป็นหนังสือรวบ รวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และพระธรรมเทศนา แห่งองค์หลวงปู่มั่น จากบันทึกความทรงจำของหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ
ในสมัยที่ได้อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๙๒)
อ้างอิง : http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-06-01.htm
http://www.pantown.com/board.php?id=44699&area=3&name=board5&topic=40&action=view
☺....เป็นอันว่า ถ้าคนไทยได้ศึกษาประวัติศาสตร์จากนักโบราณคดีเหล่านี้ จะเห็นว่าเราไม่มีวัฒนธรรมประเพณีอะไรเลย
ไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเอง อ่านแล้วรู้สึกหดหู่หัวใจ ไม่มีความภาคภูมิใจเหลืออยู่เลย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง
คงเหมือนกับจะเหยียบย่ำทำลายความรู้สึกของคนไทยทั่วไป ให้รู้สึกว่าแผ่นดินนี้ตัวเองเพิ่งมาอาศัยอยู่ ตัวอักษรนี้ได้ลอกแบบของชาติอื่น
ไม่มีจารีตประเพณีเป็นของตนเองเลย
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากจะตั้งข้อสมมุติฐานบ้างว่า คนไทยอาศัยอยู่ในผืนแผ่นนี้มานานแล้ว พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทยมาแล้ว เรามีอักษรไทย อักษรขอม
อักษรมอญ ซึ่งอาจจะนำไปเป็นต้นแบบของอักษรพราหมี หรืออักษรคฤนห์ จะเป็นได้หรือไม่ เพราะขนบธรรมเนียมประเพณี การสร้างวัดให้มีลวดลายไทย งานช่างศิลปะแบบไทยๆ
เช่นนี้ ได้เกิดมีขึ้นมานานแล้ว ทำไมเราจะคิดประดิษฐ์อักษรไทยไม่ได้บ้างหรือ
ส่วนคำที่หลวงปู่มั่นกล่าวว่า "ชาวมคธ" หรือ "รัฐมคธ" ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว
เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏอยู่ใน "ตำนานสิงหนวัติ" (* อ่านรายละเอียดได้
คลิกที่นี่ *) สรุปได้ว่า...ถ้าหากว่ายังมีคนไม่เชื่อเรื่องนี้ว่า "พระพุทธเจ้าเคยเสด็จเยือนถึงถิ่นไทย"
แสดงว่าผู้นั้นคงไม่เชื่อคุณธรรมของพระอริยสงฆ์ ที่ได้บรรลุธรรมในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ด้วย.. (* อ่านรายละเอียดได้ คลิกที่นี่ *)
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 18/4/11 at 10:59 |
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 18/12/15 at 04:06 |
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
|
|
"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player
ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป
ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved
|
|
|
|