ในขณะที่สรงน้ำนี้ มีบางคนเล่าให้ฟังในภายหลังว่า มองไปบนท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก ผ่านด้านหลังองค์พระเจดีย์ไป ซึ่งผู้เขียนก็ไม่มีโอกาสได้เห็น
แต่มีหลายคนได้เห็นแล้ว เล่าให้ฟังตรงกันว่า ในตอนนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม น่าจะเป็นเวลาใกล้ ๑๘.๐๐ น. แต่มีแสงสีทองเหลืองอร่าม
(คุณแสงเดือนถ่ายรูปมาให้ชมด้วย) เกิดขึ้นทางทิศตะวันตกของพระเจดีย์ แล้วค่อยมีแสงหลายหลากสีเป็นรัศมีวงกลมสวยงามมาก
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป "พิธีอัญเชิญเครื่องสักการบูชา" )))))))
praew - 3/2/10 at 11:51
พิธีอัญเชิญเครื่องสักการะ ทำประทักษิณรอบพระเจดีย์
เมื่อทุกคนได้สรงน้ำพระบรมธาตุแล้ว จึงขอให้ทุกคนมารวมกันที่ลานพระเจดีย์ เพื่อจะทำพิธีอัญเชิญเครื่องสักการะแห่รอบองค์พระบรมธาตุ
พร้อมทั้งสวดอิติปิโสไปด้วย ๓ รอบ
โดยการนำของพระภิกษุทั้งหลาย ได้เดินถือพานธูปเทียนแพ พุ่มเงินพุ่มทอง ฉัตรเงิน ฉัตรทอง และดอกดาวเรือง
พร้อมทั้งอัญเชิญผ้าห่มพระเจดีย์ที่ตัดเย็บอย่างสวยงาม หลายคนเดินถือชายผ้าห่มทั้งสองด้าน ซึ่งมีความยาวเกือบ ๕๐ เมตร โดยมี "กรวยดอกไม้" ถือ อยู่ในมือ
ซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้
เสียงการเจริญ "พระพุทธคุณ" ของพวกเราได้ดังไปทั่ว เพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าคุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ ด้วยความเคารพยิ่งชีวิต
จิตใจได้มุ่งตรงอยู่ที่องค์พระเจดีย์ เหมือนเป็นศูนย์กลางให้พวกเราได้มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จนเต็มรอบพระเจดีย์ที่เรียกว่าหัวชนท้ายกันก็ว่าได้
ทุกคนจึงมีความปลื้มปีติยินดีที่มีโอกาสได้กระทำประทักษิณครบ ๓ รอบ อันเป็นสถานที่แห่งเดียวและแห่งสุดท้ายที่ได้มาเวียนเทียนกัน หลังจากนั้น
พวกเราก็ทรุดตัวนั่งลง โดยรอบองค์พระธาตุ เพื่อประกาศถวายเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้อย่างเป็นทางการ
โดยตั้งนะโม ๓ จบพร้อมกันก่อน แล้ว จึงกล่าวถวายเครื่องสักการะต่าง ๆ อันมีน้ำโสรจสรงองค์พระบรมธาตุ ผ้าตุง ผ้าห่มพระเจดีย์ เครื่องบายศรี
ฉัตรเงินและทอง พุ่มเงินและทอง เป็นต้น
แล้วทุกคนก็ได้นำเข้าไปถวายพระเจดีย์เป็นที่เรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ของวัดก็ได้รับเอาผ้าห่มเดินขึ้นบันได เพื่อนำขึ้นไปห่มพระเจดีย์แทนพวกเรา
ส่วนคนที่มีกรวยดอกไม้ ต่างก็นำไปบูชารอบองค์พระเจดีย์ด้วยความเคารพ
หลังจากนั้นก็เป็นถวายผ้าป่า อันมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมพานวางสิ่งของต่าง ๆ ร่ม และตาลปัตร
โดยมีหลายท่านร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดเครื่องไทยทานเหล่านี้ พร้อมทั้งร่วมกันบริจาคเงินบูรณะวัดพระธาตุลำปางหลวงอีก ประมาณ ๑ แสนบาทเศษ
จึงอุทิศส่วนกุศล แล้วรับพรจากเจ้าอาวาส คือ ท่านมหานิยม เป็นลำดับต่อไป.
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง พิธีฉลองสมโภชพระบรมธาตุ )))))))
praew - 15/2/10 at 08:32
พิธีฉลองสมโภชพระบรมธาตุ
ตอนต่อไปนี้ หลังจากเสร็จพิธีการบวงสรวงสักการะบูชาตามที่กล่าวมาแล้ว ก็จะเป็นการฟ้อนรำถวาย "ชุดรำเทียน" ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำพอดี เริ่มมีกระแสลมโชยมาเบาๆ แต่ก็พยายามจุดธูปเทียนไว้ในมือ
พร้อมกับร่ายรำไปตามเสียบเพลง จะเห็นเปลวเทียนระยิบระยับแกว่งไกวไปอย่างพร้อมเพรียง
ในความมืดพอมีแสงสลัว ๆ จะมองเห็นเด็กสาวที่อยู่ในชุดไทยชาวเหนือ แสดงลีลาท่าทางที่อ่อนช้อยงดงาม บ่งบอกถึงความมีน้ำใจไมตรีของชาวเหนือ
โดยเฉพาะในตอนนี้ ยังมีบางคนลุกออกไปทานอาหารเย็นกันที่ศาลาอีกหลังหนึ่ง ซึ่งทางวัดร่วมกับชาวบ้านลำปางหลวง ได้จัดเตรียมอาหารมาเลี้ยงเป็นพิเศษ
ได้ทราบในตอนหลังจากกลับมาแล้วบอกว่าอร่อยดี
เมื่อเสียงเพลงจบลงไปแล้ว ก็เป็นเสียงปรบมือให้แก่ชุดฟ้อนรำจาก โรงเรียนพร้าววิทยาคม
เสร็จแล้วจึงขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันอีกด้านหนึ่งของพระเจดีย์ เพื่อชมการบูชาเป็นการปิดท้ายที่สำคัญต่อไป
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง อนุโมทนากถา )))))))
praew - 22/2/10 at 08:24
อนุโมทนากถา
แต่ก่อนที่จะจบ "พิธีสมโภชอันยิ่งใหญ่" ณ ปูชนียสถานอันสำคัญที่นี่ และที่ทุกแห่งทางภาคเหนือ เป็นการฉลองสมโภชปิดท้ายรายการทางภาคเหนือ
ตอนนี้เป็นตอนจบ นับตั้งแต่จัดงานครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ โดยเริ่มตั้งแต่ วัดพระบาท ๔ รอย
จ.เชียงใหม่ แล้วมาถึงปีนี้ ๑๘ ม.ค. ๔๐ ที่พระธาตุดอยตุง และ พระธาตุจอมกิตติ จ.เชียงราย
แล้วต้องมาแบ่งมาเป็นตอนที่ ๒ นี้ อันมี จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน และสุดท้ายที่ จ.ลำปาง โดยได้มายุติลงคงไว้ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นที่สุด
จึงต้องขอกล่าวก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปว่า
สรุปผลการเดินทางมาในครั้งนี้ และทุกครั้งที่ผ่านมา บางท่านกว่าจะมาได้ ก็ด้วยความยากลำบาก ต้องมีความเสียสละ ทั้งภารกิจและความสุขสบายต่าง ๆ
เพื่อผลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาคุณพระรัตนตรัย
โดยเฉพาะในปีนี้ นอกจากจะจัดงานไหว้พระคุณของครูบาอาจารย์ หรือเรียกว่า "งานไหว้สาครูบาเจ้า" ณ
วัดพระพุทธบาทห้วยต้มแล้ว เราจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระคุณของท่าน "บิดา" และ "มารดา" กันเป็นกรณีพิเศษ
เพราะถ้าหากสมมุติว่าโลกจะต้องประสปกับทุกข์ภัยใหญ่ชาวโลกทั้งหลายอาจจะต้องมีเคราะห์กรรม แต่กรณีผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
คงจะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลาย นอกจากท่านที่มีหน้าที่ช่วยพิทักษ์รักษาตัวเราแล้ว ก็ยังมี "ท่านพ่อ" และ "ท่านแม่" ทั้งหลาย ที่จะห่วงในใกล้ชิด
และให้กำลังใจลูกของท่านตลอดเวลาในยามคับขัน
ทั้งนี้ เป็นด้วยพวกเราได้ประกอบคุณงามความดี ตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนไว้ แม้ท่านจะละทิ้งสังขารไปแล้วก็ตาม พวกเราก็ได้จาริกไป "ตามรอยความดี"
ของท่าน โดยได้ไปกราบนมัสการ ณ สถานที่สำคัญเกือบทุกแห่งตามที่ท่านเคยไป แล้วได้กระทำตามแบบอย่างของศิษย์ที่ดีทุกประการ
ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร้องไปบ้างก็ตามทีแต่ด้วยเกียรติคุณความดีของท่าน ที่พวกเราได้ประกาศไปเกือบทั่วทุกภาคของประเทศแล้วได้สรรเสริญเกียรติคุณของท่าน
โดยถูกต้อง ชอบธรรมทุกประการ คือยกขบวนกันไปด้วยความสามัคคีเป็นอย่างดี
พวกเราไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีระเบียบวินับ มั่นคงในเวลา ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น ประพฤติมั่นในศีลธรรม ปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ได้แก่อุโบสถ
วิหาร และพระเจดีย์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนา ให้สถิตย์สถาพรอยู่ในจิตใจของคนไทยตลอดไป
การจัดงานในแต่ละครั้งจนถึงปัจจุบันนี้ จึงได้เลือกสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย โดยเฉพาะในครั้งนี้
ถ้าจะย้อนตั้งแต่ตอนแรก เราก็บูชาคุณความดีของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีหลวงพ่อและหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เป็นต้น ได้จัดงานร่วมสมัยกัน
แล้วได้ทำบุญกับพระเถระทั้งหลายที่ได้อาราธนามาร่วมงานด้วย
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))))))
praew - 5/3/10 at 07:55
ต่อจากนั้น ได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท "เกือกแก้ว" จนได้รับผล คือความเยือกเย็น
ชุ่มฉ่ำชื่นใจไปทั่ว เหมือนกับหยดน้ำที่ประทานพรลงมาจากฟากฟ้า ฉะนั้น แล้วไปสรงน้ำพระบรมธาตุ "จอมโมลี" ณ วัดพระธาตุศรีจอมทอง และไปค้างคืนทำบุญกันต่อที่ วัดโขงขาว
รุ่งเช้า จึงเดินทางไปบูชาเส้นพระเกศาธาตุ ณ วัดพระธาตุดอยคำ สักการะพระบรมธาตุ หริภุญชัย ไหว้พระอัฐิธาตุของ พระแม่เจ้าจามะเทวี
แล้วจึงมาปิดท้ายคือ "รวมงานพิธีฉลองสมโภช" ณ สถานที่นี้ และสถานที่ทุกแห่งที่ผ่านมาทั้งหมด
จึงได้ชื่อว่ากราบไหว้บูชาคุณพระพุทธเจ้าตลอดทั้งพระองค์ทีเดียว คือได้กราบตั้งแต่ พระบาทจนถึงพระเศียร ใช่ไหม.. เพราะอะไร จึงได้จัดงานอย่างนี้
ก็เพื่อผลความดีที่จะพึงกระทำ ตามที่เรายังมีชีวิตอยู่..ยังมีโอกาสอยู่.. ยังมีความสามัคคีอยู่..ยังเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่..
ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้...!
แต่ตอนนี้ถือว่าพวกเรายังรวมกำลังกันอยู่ จึงได้จัดงานเป็นกรณีพิเศษ คืองานฉลองอายุพระพุทธศาสนาครบ ๒๕๔๐ ปีพอดี แล้วที่จะต้องมายุติ "ภาคเหนือ"
อันเป็นตอนจบเพียงแค่นี้
สรุปแล้วในครั้งนี้พวกเราได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายพระพุทธรูป ผ้าไตรไทยทานทั้งหลาย แด่พระเถระที่นิมนต์มาและตามวัดจัดเป็นสังฆทาน วิหารทาน
และธรรมทาน รวมทั้งสิ้น ๒๐ วัด ตรงกับ ๒๐ พรรษาที่ผ่านมา พอดีที่มีโอกาสร่วมฉลองไปด้วย เป็นจำนวน เงินรวมทั้งสิ้น ๑ ล้านบาทเศษ
นอกจากนั้น ยังมีค่าใช้จ่ายของงานอื่นๆ อีก ที่ได้หักออกจากเงินกองกลางแล้ว และรวมทั้งมีผู้ที่จัดเครื่องไทยทานมาร่วมด้วย
คงจะเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๑ แสนบาทเศษ จึงขอให้ทุกท่านได้โปรดอนุโมทนาร่วมกันเทอญ
ในที่สุดนี้ที่จะต้องขอขอบคุณพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะงานตอนที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ ม.ค. ๔๐ อันมี พระครูปลัดอนันต์ เป็นประธาน ส่วนงานตอนที่ ๒ นี้ เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๐ เม.ย. ๔๐ อันมี พระครูสมุห์พิชิต เป็นประธานของงาน
ท่านทั้งสองนี้ พร้อมทั้งพระภิกษุภายในวัด และเพื่อนพระภิกษุที่ไปจากวัดอื่น ๆ ก็ตามที่ได้เมตตาอุปการะ ให้คำแนะนำและช่วยกิจการจัดงานต่าง ๆ
ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมกันนี้ ก็ต้องขออนุโมทนาญาติโยมด้วยที่ช่วยร่วมเดินทางมา รวมทั้งผู้จัดรถ เจ้าหน้าที่จัดงาน ช่วยขนของ และช่วยทำบายศรี
เป็นต้น
หรือแม้แต่ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ตาม ถึงท่านจะมิได้ไปร่วมงาน แต่ก็เป็นงานของพวก ท่านเช่นกัน เพราะเราทำกันในนามของ "คณะศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" จึงควรนับเนื่องเป็น "ผลงาน"
และ "ผลบุญ" ของพวกท่านทุกคนนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีท่านทั้งหลายเหล่านี้ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น งานก็คงไม่มีจนมาถึงวันนี้อย่างแน่นอน จึงขออวยพรให้ทุกท่าน
ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาด้วยดี จะเป็นที่ไหน ๆ ชาติหนใดก็ตาม ตราบถึงปัจจุบันนี้ ที่จะมีอานิสงส์สูงสุดเพียงใด ในกำลังบุญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย และคุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณของเทพเจ้าผู้รักษาตัวท่านเอง ทั้งเทพเจ้าผู้รักษาพระบรมธาตุและรอยพระบาททุกแห่ง
ที่เราได้สักการบูชาท่านมาแล้ว ขอจงได้สนองผลบุญเป็นอเนกอนันต์ แล้วขอให้ปราศจากภัยที่เป็นทุกข์มหันต์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จะประสงค์สิ่งใดก็ขอให้สมความปราถนาทุกประการเทอญ..."
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))))))
praew - 12/3/10 at 08:22
ครั้นการกล่าว "อนุโมทนากถา" จบแล้ว ทุกคนออกไปยืนข้างนอกแล้ว พลุไฟต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่กลางวัน
ได้ถูกจุดขึ้นเสียงดังอย่างสนั่นหวั่นไหว ในชุดแรกเป็นพลุดาวกระจายเรียกว่า "ชุดเบิกฟ้า"
เป็นการบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้อนุโมทนาการ
ทุกคนแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน เห็นพลุกระจายไปท่ามกลางความมืด สวยสดงดงามตระการตา สะท้อนกลับลงมา
คล้ายสายผนที่กำลังโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าเหมือนเป็นสักขีพยานในการสักการบูชาของพวกเรา ฉะนั้น
ทุกคนจึงมีความชุ่มฉ่ำชื่นใจ จิตใจมีความสุข เมื่อได้เห็นพลุชุดต่อไปเรียกว่า "ต้นพุ่มเงินและพุ่มทอง"
โดยถูกจัดไว้อยู่ด้านหน้าทั้งซ้ายขวาพระเจดีย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา เปลวไฟที่กิ่งก้านของต้นพุ่มเงินและพุ่มทองได้แกว่งไกวไปมา
พร้อมกับเสียงประทัดดังกึกก้องสลับกันไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พลุไฟพะเนียง ๑๒ กระบอกที่อยู่ด้านข้างพระเจดีย์ได้พุ่งกระจายสูงขึ้น
แสงไฟที่พุ่งออกมาพร้อมกันดูเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่ว พร้อมกันนั้น พลุควันสี
ก็ถูกปล่อยออกมากระจายรายรอบพระเจดีย์
มีหลายคนร้องออกมาด้วยความยินดี หลังจากชมพลุข้างล่างแล้ว พอใกล้จะหมด ก็ได้ยินเสียงพลุบนท้องฟ้าดังขึ้นอีกแล้ว เมื่อเงยหน้ามองดูพลว่า
พลุดาวกระจายชุด "ฟ้าประทานพร" ได้ถูกจุดขึ้นอย่างสวยงาม แล้วตาด้วยชุด "พรจากฟ้า" แสงหลายหลากสีของพลุ ได้พุ่งแผ่กระจายออกแล้วสลับสีกันเป็นชั้น
ๆจนมาถึงชุดสุดท้ายที่จะต้องมองกลับลงมาอีก
นั่นก็คือ..พลุชุด "น้ำตก" ถ้ามองไกลๆ จะเหมือนกระแสน้ำสว่างไสวไหลร่วงหล่นลงมา เป็นสาย ๆ
พร้อมกันนี้พลุชุดตัวหนังสือคำว่า "นิพพานะ สุขัง" ก็ได้จุดขึ้นตามมา
มองเห็นเปลวไปไปตามตัวหนังสือสว่างไสวไปทั่ว พร้อมกับเสียงประทัดดังสลับกันไปจนหมดสิ้น
เป็นอันเสร็จสิ้นการเฉลิมฉลองด้วยเปลวประทีป ตามโบราณประเพณีแล้ว ทุกคนต่างมีความชื่นบานไปกับแสงสีที่สวยงามของพลุแต่ละชุด ที่จุดขึ้นในยามค่ำคืน
บางท่านรู้สึกหิวข้าวขึ้นมา บ้างก็เดินไปทานข้าวกันก่อน ส่วนใหญ่ที่เหลือก็กลับมายืนที่เดิม รอว่าจะมีอะไรอีกต่อไป
บัดเดี๋ยวนั้นเอง...เสียงเพลง..."สามัคคีชุมนุม" ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนจึงร้องตามด้วยความสามัคคี กลุ่มสตรี
บางคนต่างก็โอบไว้ซึ่งกันและกัน แล้วโยกกาย เปล่งเสียงร้องไปตามทำนองเพลง
"...พวกเราเหล่ามาชุมนุม ต่างกุมใจรัก สมัครสมาน ล้วนมิตรจิตชื่นบาน สราญเริง อยู่ ทุกผู้ทุกนาม
(สร้อย) อันความกลมเกลียว กันเป็นใจเดียวประเสริฐศรี ทุกสิ่งประสงค์จงใจ จักเสร็จ สมได้ด้วยสามัคคี..."
แล้วถึงท่อนสุดท้ายร้องว่า "...สามัคคีนี้แหละล้ำเลิศ จักชูชาติเชิด พระศาสนา สยามรัฐจักวัฒนา ปรากฏเกียรติ ฟุ้งเฟื่องกระเดื่องแดนดิน..."
(สร้อย)
ครั้นเสียงเพลงนี้จบลงไปแล้ว มีบางคนจะเปล่งเสียงร้อง..."ไชโย...!" พอดีมีเสียงเพลง "สดุดีมหาราชา"
ดังขึ้นมาอีก พวกเราก็ต้องร้องตามกันไป เพื่อเทิดพระเกียรติองค์พระประมุขของชาติ ท่ามกลางความสุขขอบบรรยากาศในค่ำคืนนั้น
เย็นสบายเหมือนกับ "น้ำพระพุทธมนต์" ที่กำลังประพรมลงมาถูกต้องกายา ฉะนั้น
เมื่อเสียงเพลงท่อนสุดท้ายร้องว่า "อ้า..องค์พระสยมบรมราชันย์ขวัญหล้า เปล่งบุญญาสมสง่าบารมี ผองข้าพระพุทธเจ้า น้อมเกล้าขออัญชุลี สดุดีมหาราชา
สดุดีมหาราชินี..."
เสียงเพลงนี้จบลงไปแล้ว ต่อจากนั้น เสียงเพลง "ข้าวรพุทธเจ้า..." ดังขึ้น
ทุกคนต่างก็เข้าใจดีว่า ต้องเป็นเพลงปิดท้ายอย่างแน่นอน นั่นก็คือเพลง "สรรเสริญพระบารมี"
เสียงร้องตามด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่างก็ต้องด้วยความปลาบปลื้มใจ บางคนถึงกับปีติน้ำตาไหลไหก็มี ครั้นร้องจบลงตรงที่คำว่า
"...ปวงประชาเป็นสุขศานต์ ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด สงสฤษฎ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจถวายชัย...ชโย...!"
คราวนี้เอง พวกเราถึงกับชูมือขึ้นพร้อมกับ เปล่งเสียงร้อง "ไชโย..! ไชโย..! ไชโย..!"
ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ แสดงให้เห็นถึงพิธีกรรม "ตัดไม้ข่มนาม" ได้บรรลุผลโดยสมบูรณ์ที่สุด
เพราะจิตใจของเรารวมกันอย่างมีพลังมั่นคง จึงถือ "เคล็ด" ว่า ได้ชัยชนะเอาไว้ก่อน
นับตั้งแต่ที่ได้ทำพิธีที่ วัดพระธาตุจอมกิตติ จนมาถึงจุดสุดท้ายของภาคเหนือ ณ สถานที่แห่งนี้
อันเปรียบเสมือน "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" พวกเราหวังที่จะได้กระทำพิธีฉลองสมโภช
เพื่อผลแห่งชัยชนะทั้ง "ทางโลก" และ "ทางธรรม"
เป็นที่สุด
บัดนี้ พวกเราก็บรรลุวัตถุประสงค์ทุกประการ จึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ บางท่านที่ยังมิได้รับประทานอาหารกัน ก็ต้องไปฉลองศรัทธาของชาวบ้านลำปางหลวง
ที่อุตส่าห์จัดอาหารมาถึง ๔-๕ หมู่บ้าน มาเลี้ยงดูพวกเราอย่างอิ่มหนำสำราญ พวกเราจึงเดินทางกลับอย่างอิ่มเอมเปรมใจ..คืออิ่มทั้งกาย..และใจ..!
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป งานพิธีฉลองชัย ณ อาณาจักรสุโขทัย ปี 2541 )))))))