ตามรอยพระพุทธบาท

งานพิธีเททองสมเด็จองค์ปฐม "ทองคำ" ณ วัดท่าซุง (ตอนที่ 4)
webmaster - 4/2/09 at 20:24

« 1 | 2 | 3 | 4 l 5 | 6 »


ตอนที่ ๔


“งานพิธีฉลองสมโภช”

สวัสดีปีใหม่...ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านคอลัมน์นี้กันมานาน แต่บางท่านบอกว่าเพิ่งจะเริ่มอ่าน จึงต้องไปซื้อย้อนหลังมาอ่านกัน ส่วนท่านที่ติดตามมาโดยตลอด ก็ขอให้อ่านไปเรื่อยๆ นะ จนกว่าคนเขียนจะหมดแรง หรือท่านผู้อ่านจะหมดทุนกันไป

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ความอุตสาหะพยายามเท่านั้น ที่จะเป็นแรงบันดาลให้ท่านประสบผลสำเร็จทุกอย่าง จึงขออวยพรให้ท่านที่เริ่มจะหมดแรง จงกัดฟันต่อสู้ต่อไป เพื่อผลความดีจะได้ตอบสนองในกาลข้างหน้า ส่วนท่านที่มีกำลังดีอยู่แล้ว ขอให้รักษาพลังเอาไว้ให้ดี แล้วท่านจะได้มีแรงต้านทาน ต่อสู้กับอุปสรรคนานาได้อย่างเหนียวแน่น แล้วก็จะได้พบกับความสำเร็จเป็นรางวัล

ทั้งนี้ ด้วยอานุภาพผลแห่งความดีที่ ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี พร้อมทั้งอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ขอจงได้โปรดอภิบาลคุ้มครองรักษา ท่านผู้ประพฤติธรรมทั้งหลายเหล่านี้ พ้นจากสรรพอันตรายทั้งปวง กำจัดเสียซึ่งความทุกข์ ความโศก และโรคภัยทั้งหลาย ขอให้มีแต่ความมั่งคั่งเกษมศรี และโชคดีตลอดปีใหม่นี้เทอญฯ

เมื่ออวยพรปีใหม่ให้กันเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ต้องกลับมาย้อนเล่าเรื่องของปีเก่ากัน อีก เนื่องจากในตอนที่แล้ว ได้เล่ามาถึงเรื่องการหล่อพระพุทธรูปทองคำ “สมเด็จองค์ปฐม” ว่าได้จัดขบวนแห่อย่างสวยงาม และสมพระเกียรติแด่พระพุทธองค์ โดยเฉพาะผู้ร่วมงานทุกคน แต่งกายด้วยชุดไทยๆ กันสมศักดิ์ศรี

เพราะฉะนั้น เมื่องานสำเร็จไปด้วยดี จึงต้องมีการฉลองสมโภชกันอย่างเต็มที่ แต่ก่อนที่จะเริ่มงานต่อไปนั้น หลังจากพระเถรานุเถระ อันมี ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ กลับไปแล้วนั้น พระสงฆ์ก็ได้เป็นตัวแทนของผู้ร่วมงานทั้งหมด จะได้ทำพิธีกราบขอขมา ณ เบื้องบนเวที โดยมี พระครูปลัดอนันต์ พระครูสมุห์พิชิต พระอาจินต์ เป็นต้น พร้อมทั้ง พระชัยวัฒน์ เป็นผู้กล่าวดังนี้...

พิธีกล่าวคำขอขมาโทษต่อ "สมเด็จองค์ปฐม"



“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันมีพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิก ผู้ปวารณาเป็น สาวกและสาวิกาของพระองค์ นับตั้งแต่ชาติอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอนอบน้อมด้วยเศียรเกล้าแด่องค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นต้นแห่งพุทธวงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ที่พระองค์ได้ทรงแผ่พระบารมีปกเกล้า ปวงเหล่าลูกหลานของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ได้จุติลงมาในมนุษยโลกนี้

เพื่อช่วยกันทำหน้าที่ร่วมกับท่าน ในการสนองคุณต่อชาติ พระศาสนา และพระมหา กษัตริย์ ตลอดถึงปวงชนชาวไทยให้เป็นสุขตามสมควร ทั้งนี้ ด้วยความรักความสามัคคี เพราะอาศัยที่เคยเป็นญาติพี่น้องกันมาก่อน บัดนี้ ปวงข้าพระบาททั้งหลาย จึงได้มาชุมนุมกันทั่วประเทศ โดยมี พระครูปลัดอนันต์ เป็นเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ณ ที่นี้ เพื่อประกาศความดีของพระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ให้แผ่ไพศาลหาประมาณมิได้

ฉะนั้น เนื่องในวโรกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ เหล่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงขอน้อมถวายเครื่องสักการะ ที่ได้จัดมาแต่ละภาค เหล่านี้ เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทยทั้งประเทศ ในอันที่จะกอบกู้วิกฤติกาลให้ผ่านพ้นไป เป็นที่รองรับความรุ่งเรืองของประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาในอนาคตกาลต่อไป

จึงขอได้โปรดเสด็จมาเป็นสักขีพยาน ณ สถานที่นี้ ในพิธีการกราบขอขมากรรม จากปวง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หากจะประมาทพลาดพลั้งในคุณพระรัตนตรัย โดยอาศัยที่รู้เท่าไม่ ถึงการณ์ก็ดี หรือที่เจตนาก็ดี ด้วยกาย วาจา ใจ อันเกิดจากอกุศลกรรมทั้งหลาย นับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ขอองค์สมเด็จพระมหามุนี ผู้เป็นองค์พระปฐมบรมวงศ์แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอได้โปรดอดโทษให้แก่ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

และขอพระบารมีแห่งพระองค์ทั้งหลาย ที่ได้เสด็จมา ณ สถานที่นี้ ขอได้โปรดอภิบาล ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหญิงชาย และชาวไทยผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมทั้งหลาย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข จงได้ประสบสันติสุขพ้นทุกข์ภัย และได้บรรลุคุณอันเกษมเปรมปรีดิ์เทอญ...”

จากนั้น ท่านเจ้าอาวาสจึงได้นำพานธูปเทียนขึ้นประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชา ถ้าจะสังเกตให้ดี ภายในตู้ไม้ที่อยู่ด้านข้าง (ภาพอยู่หน้าแรก) จะเห็นฐานและซุ้มเรือนแก้วขององค์พระ ที่ประดิษฐ์ด้วยทองคำล้วนเสร็จแล้ว มีลวดลายไทยอันงามวิจิตรวางอยู่ข้างใน เมื่อพระสงฆ์คุกเข่ากราบนมัสการแล้ว ตัวแทนแต่ละภาคก็ออกมากล่าวคำสดุดีเทิดพระเกียรติคุณ “สมเด็จองค์ปฐม” บนเวที โดยมีแสงไฟสปอร์ตไลท์ส่องลงมารอบด้าน (ตอนนี้มีบางท่านก็ออกไปทานอาหารเย็นกัน)

พิธีกล่าวคำสตุดีเทิดพระเกียรติคุณ "สมเด็จองค์ปฐม"



เริ่มแรกจาก ภาคเหนือ ด้วยสำเนียงจาวเหนือแต้ๆ เจ๊า...คือ อ.อำไพ สุจนิล อ.นฤมล อ.ชาญยุทธ คุณสุพัฒน์ จาก จ.เชียงใหม่ อีกท่านหนึ่งไม่ทราบชื่อทั้งหมด อยู่ในชุดล้านนา เพื่อเป็นตัวแทนของชาวภาคเหนือทั้งหมด

ต่อมาเป็น ภาคใต้ นำโดย คุณจารึก แก้วศิริ พร้อมด้วยคณะอีก ๕ คนเช่นกัน จากสุราษฎร์ธานี ด้วยสำเนียงชาวต้ายแท้ๆ ติดตามด้วยตัวแทนจาก ภาคอีสาน โดย คุณพงศ์พร จึงธนะวงศ์ และ อ.ณรงค์ (คณะหมูยอ) จ.ศรีสะเกษ ด้วยสำเนียงเสียงอีสานดั้งเดิมเช่นกัน



หลังจากนั้นก็เป็น ภาคตะวันออก โดย อ.สมพงษ์ หลุนประยูร จากบ้านก๋ง ด้วย การขับเสภาได้อย่างไพเราะ (คงจะเป็นพระ เอกลิเกเก่าละมั้ง) พร้อมกับคณะคือ คุณชวลิต, คุณนิด และน้องสาวที่อยู่สนามชัยเขต



เมื่อตัวแทนภาคตะวันออกผ่านไปแล้ว ท่ามกลางเสียงปรบมือเป็นเกียรติแต่ละคณะ แล้ว ทุกภาคกล่าวได้ดีมีเหตุผลเป็นที่ประทับ ใจของผู้ฟังที่อยู่ข้างล่างโดยรอบ จนถึงคิวของ คณะพิษณุโลก ก็ได้ส่งตัวแทนออกมา ๕ คนเช่นกัน มี อ.สนองเนตร อ.อุบล และอ.วิบูลย์ เป็นต้น (ขออภัยจำชื่อไม่ได้ทั้งหมด)

ส่วนภาคตะวันตก มีตัวแทนออก มา ๒ ท่าน คือ คุณหมอนพพร และ คุณหมอเตือนใจ กลั่นสุภา เรียกน้ำตาจากผู้รับฟังได้พอสมควร จนถึงวาระ คณะสายลม ก็มี คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ คุณพลอย และ คุณปุ๋ย จากการบินไทย เป็นต้น

ขออภัยจริงๆ ที่นึกชื่อได้แค่นี้เอง ที่เหลือรู้จักเหมือนกันแต่นึกชื่อไม่ออก แม้แต่ชุดสุดท้ายคือตัวแทนจาก ภาคกลาง ก็ จำชื่อได้แต่ ดร.ปริญญา และ เกียง (คณะ ดาวลูกไก่) แล้วก็มีเพื่อนของ มิดี้ อีกคน หนึ่งเท่านั้น ที่ขึ้นมากล่าวสดุดี จะเป็นโคลง บทนี้หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ จึงขอเอามาลงตามที่ พิมพ์แจกไว้เป็นที่ระลึกดังนี้...

สมเด็จโลกนาถเจ้า องค์ปฐม
องค์เอกอัครอุดม พุทธเจ้า
โพธิญาณพระอบรม อุกฤษฏ์
สี่สิบอสงไขยเข้า เศษนั้นแสนกัลป์
สรรพ์พระทัยบริสุทธิ์แล้ว ทุกประการ
เพ็ญวิมุตพุทธญาณ ใหญ่กว้าง
อริยสัจพระประทาน เวไนยชาติ
สมสั่งทานศีลสร้าง ก่อเกื้อภาวนา
ปวงข้าฯ น้อมเกล้ากราบ นมัสการ
พระสิขีทศพลญาณ พระพุทธเจ้า
อีกพระพุทธชินมาร ทั้งหมด
โลกุตรธรรมเก้า และล้วนอริยสงฆ์
ผจงจิตกราบแทบเท้า พระราชพรหมยานเฮย
ผู้สั่งสอนอบรม ศิษย์ถ้วน
ถึงประโยชน์อุดม บรมสุข
อนุศาสน์อุบายล้วน ลูกแจ้งแจ่มใจ
ในมหามหุติฤกษ์นี้ พระครูปลัดอนันต์เอย
พร้อมกับผองศิษย์วัด นอบเกล้า
เชิญพระพุฒาจารย์จัด การหล่อ พระรูป
พระพุทธสิขีเจ้า พิสุทธิ์แท้ทองราม
งามปะรำราชวัติล้อม บุปผา
งามหุ่นดั่งอินทรา สฤษฏ์สร้าง
งามพลังแห่งศรัทธา ประจงจัด กระบวนแห่
งามสรรพพิธีด้าง เทพซร้องสรรเสริญ
ขอเชิญเทพเจ้าทั่ว ทุกสถาน
โปรดรับเครื่องสักการ นอบไหว้
ขอจงบริรักษ์งาน หล่อพระ พุทธรูป
สำเร็จสมบูรณ์ได้ ดั่งข้าฯ จำนง
โดยประสงค์พ่อสั่งไว้ ก่อนวาย ชนม์นา
เพื่อบูชิตน้อมถวาย พระพุทธเจ้า
อัญเชิญขึ้นสถิตภาย ในบุษ บกมาศ
เพื่ออนุชนน้อมเกล้า กราบไหว้บูชา
ขออานิสงส์นี้จุ่ง อวยชัย
ทุกข์โศกโรคพาลภัย คลาดแคล้ว
กายสุขจิตสดใส ทุกเมื่อ
ครั้นชีพดับลับแล้ว ล่วงเข้านิพพานฯ


ส่วนคณะอื่นๆ นั้น ผู้เขียนไม่ได้รับ ข้อความที่กล่าวไว้ จึงต้องขออภัยด้วย แต่ ทุกคณะก็ขึ้นมากล่าวได้อย่างไพเราะจับใจ จึงถือว่าเป็นตัวแทนคณะศิษย์ทั้งประเทศ หากมีโอกาสภายภาคหน้า จะต้องขอเชิญ คณะศิษย์จาก “ต่างประเทศ” บ้างนะ

เมื่อเสร็จจากตัวแทนทุกภาคแล้ว ท่าน เจ้าอาวาสจึงได้กล่าวสัมโมทนียกถาแด่ผู้มา ร่วมงานทุกท่าน ท่านมีความประทับใจที่ทุก คน ต่างก็เห็นกิจพุทธศาสนาเป็นสำคัญ ทั้ง ผู้ที่มาร่วมงานจะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการ เดินทางมาจากที่ไกล

ส่วนผู้ช่วยงานแต่ละคนแต่ละคณะ ต่างก็มารวมตัวกัน บางคนก็มาตั้งแต่ก่อน งานหลายวัน ทั้งช่วยจัดสถานที่ ทั้งที่ช่วย จัดเลี้ยงอาหาร ต่างคนต่างก็เหน็ดเหนื่อย ด้วยกันทุกคน แม้แต่พระภิกษุทุกรูปก็สู้กับ งานกันอย่างเต็มที่ ดึกๆ ดื่นๆ เกือบทุกคืน

แต่ผลปรากฏออกมา ทุกคนหายเหนื่อย ทุกคนชื่นใจในผลงานที่ทำร่วมกัน ทุกคนไม่ มีการถือตัวถือตน ไม่ว่างานหนักหรือเบา สู้ไม่ถอย เวลาจะปรึกษาหารือ ก็พูดกันด้วยถ้อยคำที่ดีมีเหตุผล รักษาน้ำใจไว้ด้วยดี ไม่ พูดจาให้กระทบกระเทือนใจซึ่งกันและกัน

ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะภูมิใจลูกหลานของท่านทุกคน ทั้งพระภิกษุภายในวัด และท่านที่เดินทาง มาจากต่างวัด แม้กระทั่งญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านก็เหมือนกัน คิดว่าไม่เสียแรงที่ท่านอุตส่าห์ฝืนทนสังขาร เพื่อสั่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี เป็น ที่ปรารถนาของสังคม ด้วยการอุทิศตนให้ เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม คือไม่เป็นภาระของ ผู้อื่น ทุกคนเกิดมาในชาตินี้ จึงมีชีวิตอยู่ อย่างสูงค่าหาประมาณมิได้

ฉะนั้น ทุกคนจึงร่วมงานฉลองกัน อย่างเต็มที่ โดยเริ่มจาก คุณพรทิพย์ และ เพื่อน ที่ได้แต่งชุดพระและชุดนางตั้งแต่เริ่ม งาน ผู้เขียนจะต้องขออภัยด้วยที่จัดให้รำช้า ไปหน่อย เนื่องจากพิธีเททองยังไม่เสร็จ แต่ ทุกคนก็ประทับใจในลีลาท่ารำอ่อนช้อยงดงาม หลังจากนั้น ผู้เขียนก็ต้องทำหน้าที่ เป็นผู้จัดชุดฟ้อนรำ เพราะล่วงเลยเวลาจาก กำหนดเดิม น่าเห็นใจทุกคณะ ที่จะต้องอยู่ ในชุดฟ้อนกันตั้งแต่เริ่มเดินขบวนในตอนบ่าย

ปรากฏว่าชุดฟ้อนรำ ๔ ภาค ทาง คณะพิมาย มี คุณสมพร เป็นผู้ประสาน งาน โดยเริ่มชุดฟ้อนจาก ภาคอีสาน ออก มาก่อนมีชื่อว่า “ระบำพิมายปุระ” โดยคณะ นักเรียน ร.ร.พิมายวิทยา จ.นครราชสีมา ซึ่งเคยไปแสดงหน้าพระที่นั่งของ สมเด็จพระ นางเจ้าฯ ณ พระตำหนักภูพานฯ มาแล้ว

การนำชุดนี้มาฟ้อนรำ คณะศิษย์ชาวพิมายได้ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายให้ และก็ได้ช่วยกันทำบายศรีมีชื่อว่า “ปรางค์ปราสาทหินพิมาย” และบายศรี “ธรรมจักรแก้ว” พร้อมด้วย ผ้าตุง เข้าขบวนแห่ ในนาม คณะศิษย์ ภาคอีสาน ทั้งหมด ต่อจากนั้น คณะหมูยอ โดย อ.ณรงค์ ก็ได้นำเด็กๆ ออกมาร้องรำด้วยเพลงประกอบอีก ๓ ชุด คือ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แม่ย่าแม่หลวง และ ลำเพลิน ความจริงจะ มีชุด พ่อแห่งชาติ อีก แต่เวลาจำกัด


ต่อจากนั้น ก็เป็นรอบของเด็กๆ อีก เช่นเคย นั่นก็คือ ชุดรำกลองยาว จากเด็ก นักเรียนชายหญิง ร.ร. อนุบาลเมืองอุทัยธานี ซึ่งมี บุ้ง ลูกสาวของ จ่าตุ๋ย แสดงอยู่ด้วย ในทีมทั้งหมดประมาณ ๕๐ คน เป็นที่สนุก ครื้นเครงในยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี


เมื่อการแสดง ภาคอีสาน ภาคกลาง ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปก็เป็น ภาคตะวันออก อันมี คุณสุทัศน์ คุณทิพยา วิลาวัลย์ และคณะตาพระยา เป็นผู้ประสานงานนำชุดฟ้อน นี้มาแสดง พร้อมทั้งเข้าขบวนแห่ และมีป้าย อักษร “คณะตาพระยา” นำขบวนอีกด้วย การรำชุดนี้ก็เรียกความสนใจได้เป็น อย่างดีเช่นกัน ซึ่งมีชื่อว่า “อัคคนิรุทธ์ลีลา” หมายถึง “การบูชาเทพเจ้าด้วยไฟ” การแสดง ชุดนี้ จึงมีการแสดงคล้ายรำโคมไฟ สร้าง ความตื่นเต้นเร้าใจพอสมควร

ชุดต่อไปจะเป็นการแสดงจาก ภาคใต้ นำโดย “นกยูง” ได้นำชุดนาฏศิลป์มาจาก หาดใหญ่ เพื่อฟ้อนชุด “ระบำจินตปาตี” ซึ่งเพิ่งจะประดิษฐ์ท่ารำออกมาใหม่ในภาคใต้ อันมีแนวคิดจากศิลปะในการเชิดหนังตะลุง


ต่อจากนั้นก็เป็นตัวแทน ภาคเหนือจาก ร.ร.พร้าววิทยาคม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดย อ.ชาญยุทธ ธนบดีเฉลิมรุ่ง และ อ.ศรีไพร จารุวัฒน์ เป็นผู้ประสานงาน เป็นการรำชุด ฟ้อนเทียน อันเป็นฟ้อนรำประจำ ภาคเหนือ

ส่วนภาคสุดท้ายก็ได้แก่ ภาคกลาง ความจริงจะต้องออกมารำก่อน แต่ชาวคณะ “รวมใจภักดิ์” ก็ได้เสียสละให้แก่ภาคอื่นๆ ออกไปรำก่อน เพราะเด็กๆ ที่มารำจะต้อง เดินทางกลับในคืนนั้นเลย พวกเราที่นำเด็ก มารำ ต่างก็พยายามประสานได้อย่างดียิ่ง


ในแต่ละภาคจึงมีลีลาการรำสวยงาม ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คือสวยงามไปคนละแบบ ซึ่งหาโอกาสยากมากที่จะนำมาแสดงรวมกันได้อย่างนี้ เมื่อการรำแบบได้มาตรฐานจบลงแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการร้องและการรำแบบสมัครเล่นกันบ้าง จากผู้ที่มายืนแวดล้อมอยู่ข้างเวทีทั้งหลาย และผู้ที่ขึ้นไปยืนเป็นแถวอยู่บนเวที ด้วยการขับร้องตามที่จะเปิดเพลงนำ

เมื่อเพลงแรกคือ “สามัคคีชุมนุม” จบลงแล้ว จึงเชิญทุกท่านออกมาร่ายรำ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยสลับกับการบรรเลง จากวงปี่พาทย์ จบแล้วผู้เขียนได้กล่าวต่อไปว่า

“ในที่สุดความฝันก็เป็นความจริง พวกเราทุกคน รวมทั้งพระภิกษุสามเณรและอุบาสก อุบาสิกา ที่เดินทางมาทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ได้มาร่วมกิจกรรมจนได้รับผลสำเร็จในครั้งนี้ พระพุทธปฏิมาทองคำอันบริสุทธิ์องค์นี้ จึงได้ เกิดจากการหล่อหลวมรวมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจ เดียวกันแล้ว จนไม่สามารถจะทำลายมิตรภาพของเรานี้ไปได้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าความดี อาจจะไม่มีใครเห็น เพราะกิจกรรมครั้งนี้ ย่อม เป็นเพียงมุมหนึ่งของประเทศ ที่ชาวไทยส่วน ใหญ่อาจจะไม่รู้ว่าเราทำเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยที่ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนในโลกนี้ทั้งสิ้น

จึงขอให้ทุกท่านตั้งมโนปนิธาน อย่าสนใจในโลกธรรมทั้งหลาย จงมุ่งหวังผดุงยุติธรรม อันสดใส ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจ รักชาติองอาจครัน จะยอมตายหมายให้เกียรติ ดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

ขอให้ทุกท่านส่งกระแสใจไปตาม เนื้อร้องทำนองเพลงพระราชนิพนธ์ เพราะ นอกจาก ความฝันอันสูงสุด แล้ว การทำความ ดีของพวกเราทุกคนในครั้งนี้ ยังมี ความฝัน อันบริสุทธิ์ อีกด้วย นั่นก็คือ “พระนิพพาน...”

พอเสียงบรรยายใกล้จะจบ เสียงเพลง “ความฝันอันสูงสุด” ก็ดังขึ้นท่ามกลางบรร ยากาศในยามค่ำคืน ทุกคนร้องออกมาด้วย ความตื้นตันใจ บางคนต้องร่ำไห้เพราะซาบซึ้ง ไปกับบทเพลงพระราชนิพนธ์ ที่มีความหมาย และกินใจเหลือเกิน

พอเพลงร้องจบแล้ว ต่อไปพวกเราก็ ได้ออกมารำฉลองกันอีก ด้วยเพลงเซิ้งจากภาค อีสาน ปรากฏว่าทั้งหญิงและชาย ก็ได้ออกมา ร่ายรำกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งจบเพลง ผู้เขียนจึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า

“ตามพระพุทธบัญชาที่พระองค์ได้ทรงมอบให้ เพื่อตั้งมั่นพระศาสนาไว้ ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้กระทำตาม หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทุกประการ ความสำเร็จครั้งนี้ ถ้าไม่สรรเสริญคุณความดีของครูบา อาจารย์ก็กระไรอยู่

ในคราวก่อนพวกเราได้ร้องเพลง “ต้นตระกูลไทย” ในฐานะที่ พระเจ้าพรหมมหาราช ทรงกู้ชาติจากขอม ต่อมาในสมัยปัจจุบันนี้ พระองค์ก็ได้ถือกำเนิดเป็นชายชาตินักรบอีก แต่ชาตินี้ท่านได้เกิดมาเป็นเลือดนาวีโดยแท้ และได้ออกสู่สมรภูมิเลือดในท้องทะเลมาแล้ว

ยุทธนาวีที่ผ่านมาของท่าน จึงได้จารึก อยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นกัน จึงขอให้ทุก ท่านร้องเพลงนี้ เพื่อเลือดนาวีของท่านมาก่อน ต้องขออภัยที่จะต้องเรียกนามเดิมของท่าน แด่....นายทหารจากกองทัพเรือไทยในอดีต ท่านก็คือ เรือโทสังเวียน สังข์สุวรรณ...

แล้วเสียงเพลง “วอลซ์นาวี” ก็ดังขึ้น ท่ามกลางดวงใจของทุกคนที่ลุกยืนขึ้น เพื่อเป็น เกียรติในการร้องเพลงนี้ ทุกคนร้องเพลงไปตาม เนื้อร้องที่แจกให้ก่อนงาน แน่ละ..ความระลึกถึง ในอดีตของท่าน ท่านคงจะหยั่งทราบด้วยญาณวิถีว่า ลูกทุกคนขอมอบหัวใจให้พ่ออย่างแท้จริง

การร้องรำทำเพลงเพื่อเป็นเกียรติ ใน ฐานะที่ท่านรับใช้ชาติมาก่อนที่จะอุปสมบท นั่นสำหรับชาติปัจจุบันนี้ ต่อไปนี้ขอให้ช่วยกันรำ เพื่อฉลองความสำเร็จในการที่ท่านทำกิจพระ ศาสนา ตามที่รับอาสาลงมาครบถ้วนทุกประการ ทั้งนี้ ด้วยพระพุทธบัญชาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ซึ่งพวกเรามีหน้าที่ช่วยประสานงานของท่านต่อไป.

« 1 | 2 | 3 | 4 l 5 | 6 »