posted on 3/2/10 at 11:46 |
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 3/2/10 at 11:47 |
|
ตอนที่ ๕
วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง
พระธาตุลำปางหลวง ปี 2540 (ขณะนี้ปี 2553 กำลังบูรณะ) ญาติโยมกำลังเดินขึ้นทางหน้าซุ้มประตูโขง
เมื่อตอนที่แล้วนั้น ได้จบลงจากการเล่าถึงเหตุการณ์ ณวัดจามเทวี จ.ลำพูน หลังจาก พิธีถวายพระราชสดุดีเทิดพระเกียรติคุณแด่พระแม่เจ้าจามะเทวี ผู้เป็นวีรกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัยแล้ว
พวกเราเหล่าลูกหลานของหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน จึงได้รวบรวมเงินถวายแด่เจ้าอาวาสวัดจามเทวี
เป็นจำนวนเงิน ๕ หมื่นบาทเศษ พร้อมกับเครื่องไทยทานทั้งหลาย อันมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร ร่ม ตาลปัตร เป็นต้น
เมื่อเจ้าอาวาสรับประเคนของทั้งหมดแล้ว ท่านจึงได้กล่าว "สัมโมทนียกถา" ต่อหน้าองค์ "พระเจดีย์กู่กุด" นั้นว่า ท่านมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่พวกเราได้เดินทางมากระทำพิธีในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้ท่านกำลังมีความทุกข์ทางใจ หรือเรียกว่า "ศัตรูของหัวใจ"
นั่นคือ...ท่านกำลังคิดที่จะจัด งานฉลองกุฏิ ที่สร้างอุทิศถวายให้ท่าน ครูบาเจ้าศรีวิชัย แต่เวลานี้มีเงินแค่ ๑ หมื่นบาทเศษเท่านั้น ทั้งที่จะต้องนิมนต์พระเถระมาร่วมงานถึง ๒๐๐ รูป
เงินของพวกเรา ๕ หมื่นบาทเศษนี้ จึงได้ช่วยคลายความทุกข์ในใจของท่านไปได้
เมื่อท่านพูดมาถึงตอนนี้ จึงมีญาติโยมเข้าไปถวายเงินเพิ่มเติมอีก ท่านจึงบอกว่าเงินทั้งหมดที่ถวายมานี้ จะมีอานิสงส์ ๒ ประการ
คือถวายให้วัดจามเทวีแล้ว ยังได้มีโอกาสถวายแด่พระเถระที่นิมนต์มาจากวัดอื่น ๆ อีกด้วย
ครั้นเสร็จสิ้นพิธีกรรมต่าง ๆ พร้อมกับพกพาความปลื้มใจไปด้วย พวกเราก็เดินทางต่อไปในยังจุดสุดท้ายคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง อันเป็นโบราณสถานที่สำคัญและเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง
ซึ่งมีคณะจัดทำบายศรีของเราเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
เมื่อรถทุกคันมาถึงแล้ว มองเห็นบริเวณวัดตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ มียอดพระเจดีย์สูงเด่นเป็นสง่าน่าเลื่อมใส พวกเราทุกคนจึงเดินขึ้นมาทางบันใด
แหงนมองขึ้นไปเห็นซุ้มประตูวัดยอดแหลมอยู่เบื้องหน้า เดินผ่านการฟ้อนรำอย่างสวยงาม ตามจังหวะเสียงฆ้องกลองของชาวบ้านที่ได้มารอต้อนรับ
นับเป็นความประทับใจอย่างยิ่งของพวกเราที่ได้มาเยือน
ครั้นเหลียวกลับลงมา เห็นผู้คนทั้งหลายชายหญิง ต่างเดินเบียดเสียดยัดเยียดกันขึ้นมาเต็มทางขึ้น มองดูเป็นแถวยาวเหยียดไปล้นจนถึงถนน
ท่ามกลางกระแสลมที่กำลังพัดมาพอดี ถ้าเจ้าหน้าที่บายศรีไม่มาถึงก่อน พวกเราคงจะไม่รู้ว่าพอดีจริงหรือไม่...!
ขณะที่ขึ้นไปถึงบนลานพระเจดีย์ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. หลังจากนมัสการท่านเจ้าอาวาส และทักทายกับคณะทายกทายิกา วัดพระธาตุลำปางหลวงแล้ว
พระภิกษุทุกรูปได้ไปนั่งบนพื้น "วิหารหลวง" ซึ่งอยู่ตรงหน้าด้านพระเจดีย์นั่นเอง
ส่วนคณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็นั่งล้อมรอบอยู่ด้านหน้าพระเจดีย์เช่นกัน กระแสลมที่พัดแรงก็สงบลงพอดีอีกเช่นเคย
ครั้นได้เวลาอันเป็นศุภมงคล จึงได้เริ่มเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของสถานที่นี้สืบต่อไป....
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง ประวัติพระธาตุลำปางหลวง )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 3/2/10 at 11:48 |
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 3/2/10 at 11:49 |
|
น้ำบ่อเลี้ยง
วันนั้นเป็นเวลาเย็น เมื่อกระบวนเสด็จ ของพระแม่เจ้าผ่านไปแล้ว ก็มีหญิงแก่ผู้หนึ่ง ชื่อว่า ย่าลอน
ได้เข้าไปพบเห็นที่บริเวณแห่งหนึ่ง มีน้ำซึมออกมาบนผิวดิน นางก็คุ้ยเขี่ยดูก็พบสายน้ำพุ่งออกมา
เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็ไปบอกกล่าวชาวบ้านทั้งหลายมาดู และชาวบ้านเหล่านั้นก็หาเสียมมาขุดดินให้เป็นบ่อก็พบสายน้ำพุ่งขึ้นมาแรงนัก
คนเหล่านั้นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
"นี่หากเกิดด้วยบุญญาธิการแห่งพระแม่เจ้า อันกระทำสัจจะอธิษฐานเป็นมั่นคง..."
สำหรับน้ำในบ่อนี้ ผิดกับน้ำที่มีในบ่อแห่งอื่น ๆ คือ ใสเย็น มีรสกลิ่นอร่อย บ่อนี้ยังปรากฏจนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านเรียกว่า น้ำบ่อเลี้ยง หมู่บ้านนี้ไม่มีน้ำบ่อที่ไหนเลย ชาวบ้านต้องอาศัยบ่อน้ำนี้เพียงแห่งเดียว น้ำบ่อเลี้ยงนี้
ปัจจุบันอยู่กลางหมู่บ้าน ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากวัดประมาณ ๕๐๐ เมตร
รุ่งขึ้นผู้เป็น พ่อเมือง ก็ตักเอาน้ำบ่อนั้นใช้คนหามขึ้นไปถวายพระแม่เจ้าในเมืองตาลแล้ว เล่าเรื่องความเป็นมาให้ทรงทราบ พระแม่เจ้า
จึงให้คนลองชิมน้ำนั้น ปรากฏว่ามีรสดีกว่าน้ำ ในเมืองหริภุญชัย
ต่อมาพระแม่เจ้าจึงรับสั่งให้อำมาตย์เลือกหาสถานที่ปลูกพลับพลาที่ประทับ อันมีอยู่ในลัมภะกัปปะนคร ครั้นปลูกสร้างพลับพลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พระแม่เจ้าจึงรับสั่งให้มีงานฉลองสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ตลอด ๗ วัน ๗ คืน เสร็จแล้วจึงได้ถวายที่นาราคาล้านเบี้ย ให้เป็นเขตนาของพระบรมสารีริกธาตุ
แล้วมอบหมายให้มีผู้คอยดูแลรักษาพระบรมธาตุ และดูแลรักษาบ่อน้ำอันเกิดจากการอธิษฐานของพระแม่เจ้าอีกต่อไป
ตามประวัติก็ได้เล่าถึงการบูรณะปฏิสังขรณ์กันตลอดมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ จึงเป็นศรีสง่ามานานแล้ว
นับตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ณ เมืองลำปาง หรือลัมภะกัปปะนคร
หรือ นครละกอน แล้วมาเปลี่ยนเป็น นครเขลางค์
ในสมัยพระราชโอรสของพระแม่เจ้าจามะเทวี คือ พระเจ้าอนันตยศ
ซึ่งเป็นผู้ครองนครเขลางค์ นับเป็นองค์ปฐมแห่ง รามวงศ์ อีกด้วย
สถานที่นี้จึงเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่มากอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทั้งยังได้เป็นที่เคารพ และสักการะของชาวไทยตลอด โดยเฉพาะวัดนี้
ถือว่าเป็นพระอารามหลวงแห่งหนึ่ง ที่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทุกกาลสมัย อันมีพระแม่เจ้าจามะเทวี ตลอดจนถึงรัชกาลปัจจุบันนี้
ได้ทรงทำนุบำรุงปฏิสังขรณ์ตลอดมา
ทั้งนี้ เป็นเพราะเหตุว่าเป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมา พร้อมทั้งได้ทรงประทานเส้นพระเกษา ๑ เส้น ให้แก่ชาวลั๊วคนหนึ่ง ชื่อว่า
อ้ายกอน แล้วได้ช่วยกันก่อพระเจดีย์สูง ๗ ศอก นับเป็นการสร้างในครั้งแรก
ครั้นถึงในรัชสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช พระอรหันต์ท่านก็ได้นำพระบรมธาตุที่เป็นส่วนพระนลาต
คือกระดูกหน้าผากข้างขวา และพระธาตุที่พระศอ ได้แก่กระดูกลำคอข้างหน้า และข้างหลัง มาบรรจุรวมกันไว้ ณ พระเจดีย์องค์นี้
พิธีการอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเล่าเรื่องนี้จบแล้ว
จึงอาราธนาให้เจ้าอาวาสท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่อง พิธีการอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ มาสรงองค์พระเจดีย์
เพราะทราบว่า มีการจัดริ้วขบวนแห่เป็นกองเกียรติยศ นับเป็นงานสำคัญของจังหวัดลำปางทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ ท่านได้กรุณาอธิบายว่า
สำหรับประวัติของน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ มาจากการอธิษฐานของ พระนางจามะเทวี ซึ่งผุดออกจากกลางหมู่บ้าน ดังที่เล่ามาแล้วนั้น
และเมื่อถึงเทศกาลประเพณีของทางวัด ซึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน ๑๒ หรือทางภาคเหนือเรียกว่า วันเพ็ญเดือนยี่เป็ง ก็จะได้มีการอัญเชิญโดยการนำของมรรคทายก
จะได้กล่าวอัญเชิญเทพยดา ให้รับทราบว่าได้ถึงประเพณีแล้ว ก็จะได้อัญเชิญน้ำนี้ไปสรงยังพระบรมธาตุ
เมื่อมรรคทายกกล่าวอัญเชิญแล้ว ชาวบ้านก็ช่วยกันตักน้ำหาบขึ้นมา เพื่อที่จะนำมาใส่ตุ่มหน้าพระวิหารทางด้านทิศใต้ คือจะทำวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒
ของทุกปี และก็มีเทศกาล สงกรานต์ เพื่อจะทำพิธีก่อนวันที่ ๑๓ คือวันที่ ๑๑ เม.ย. ก็จะทำพิธีกัน
ซึ่งน้ำบ่อเลี้ยงที่เกิดจากแรงอธิษฐานของพระนางเจ้าจามะเทวีนี้ เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ก็ได้อัญเชิญน้ำนี้ไปเป็นน้ำ มูรธาภิเษก ร่วมพิธีในครั้งนั้นด้วย
น้ำที่นำมาสรงนี้ ชาวบ้านก็ไม่ให้มีการข้าม หรือการไม่เคารพ คือให้ชาวบ้านนำมาสักการะพระบรมธาตุ เพื่อขอความสุขความเจริญต่อพระบรมธาตุเป็นลำดับมา
ประวัติการสรงน้ำ ก็มีเพียงเท่านี้ ขอเจริญพร...
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง พิธีบวงสรวง )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 3/2/10 at 11:50 |
|
พิธีบวงสรวงและสรงน้ำพระเจดีย์
ต่อจากนั้น พระครูสมุห์พิชิต จึงได้เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน จุดธูปเทียนที่โต๊ะบวงสรวง
แล้วหลวงพ่อก็ได้กล่าวชุมนุมเทวดาต่อไป พวกเราก็ร่วมกันอธิษฐาน เพื่อขอพระบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย
เพื่อให้ประเทศชาติมีความปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองต่อไป
หลังจากหลวงพ่อกล่าวนำคำบูชาพระรัตนตรัยและขอขมาโทษแล้ว ก็จะทำพิธีสรงน้ำพระบรมธาตุกัน โดยแบ่งออกเป็น ๓ ชุด ชุดแรก เริ่มต้นจากพระภิกษุสงฆ์ก่อน
ประมาณ ๒๐ กว่ารูป ได้ใช้กระบวยตักน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นใส่ในกระป๋องเล็ก ซึ่งแขวนติดอยู่กับสิ่งหนึ่งคล้ายกับรูป พญานาค
ที่จะเป็นผู้นำน้ำขึ้นไปสรงบนองค์พระเจดีย์ ฉะนั้น
เมื่อพระสงฆ์สรงน้ำเสร็จแล้ว ฝ่ายผู้ชายทั้งหลายก็เข้าไปสรงน้ำเป็นชุดที่ ๒ โดยดึงสายเชือกขึ้นไปพร้อมกัน ในตอนนี้ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา (สวดชยันโต)
พร้อมเพลงมหาฤกษ์มหาชัย ตีฆ้องลั่นกลองชัยไปด้วย จนกระทั่งถึงบริเวณคอพระเจดีย์ แล้วจึงดึงสายเชือกอีกด้าน เพื่อให้กระป๋องน้ำเทราดรดบนองค์พระเจดีย์
แล้วจึงสาวเชือกกลับลงมา เพื่อให้บรรดาท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ได้มีโอกาสสรงน้ำพระบรมธาตุต่อไปเป็นชุดสุดท้าย
ตามโบราณประเพณีของภาคเหนือ โดยคณะอุบาสิกาทั้งหลายยืนถือเชือก ซึ่งต้องนำต้ายสายสิญจน์มาถือต่อไปอีกยาวเหยียด บางคนก็ได้นำน้ำหอมที่เตรียมมาผสมลงไปด้วย
แล้วก็ได้ทำพิธีสรงน้ำเช่นเดียวกันกับชุดก่อนแล้วครบถ้วนทุกประการ
ในขณะที่สรงน้ำนี้ มีบางคนเล่าให้ฟังในภายหลังว่า มองไปบนท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก ผ่านด้านหลังองค์พระเจดีย์ไป ซึ่งผู้เขียนก็ไม่มีโอกาสได้เห็น
แต่มีหลายคนได้เห็นแล้ว เล่าให้ฟังตรงกันว่า ในตอนนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม น่าจะเป็นเวลาใกล้ ๑๘.๐๐ น. แต่มีแสงสีทองเหลืองอร่าม
(คุณแสงเดือนถ่ายรูปมาให้ชมด้วย) เกิดขึ้นทางทิศตะวันตกของพระเจดีย์ แล้วค่อยมีแสงหลายหลากสีเป็นรัศมีวงกลมสวยงามมาก
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป "พิธีอัญเชิญเครื่องสักการบูชา" )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 3/2/10 at 11:51 |
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 15/2/10 at 08:32 |
|
พิธีฉลองสมโภชพระบรมธาตุ
ตอนต่อไปนี้ หลังจากเสร็จพิธีการบวงสรวงสักการะบูชาตามที่กล่าวมาแล้ว ก็จะเป็นการฟ้อนรำถวาย "ชุดรำเทียน" ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำพอดี เริ่มมีกระแสลมโชยมาเบาๆ แต่ก็พยายามจุดธูปเทียนไว้ในมือ
พร้อมกับร่ายรำไปตามเสียบเพลง จะเห็นเปลวเทียนระยิบระยับแกว่งไกวไปอย่างพร้อมเพรียง
ในความมืดพอมีแสงสลัว ๆ จะมองเห็นเด็กสาวที่อยู่ในชุดไทยชาวเหนือ แสดงลีลาท่าทางที่อ่อนช้อยงดงาม บ่งบอกถึงความมีน้ำใจไมตรีของชาวเหนือ
โดยเฉพาะในตอนนี้ ยังมีบางคนลุกออกไปทานอาหารเย็นกันที่ศาลาอีกหลังหนึ่ง ซึ่งทางวัดร่วมกับชาวบ้านลำปางหลวง ได้จัดเตรียมอาหารมาเลี้ยงเป็นพิเศษ
ได้ทราบในตอนหลังจากกลับมาแล้วบอกว่าอร่อยดี
เมื่อเสียงเพลงจบลงไปแล้ว ก็เป็นเสียงปรบมือให้แก่ชุดฟ้อนรำจาก โรงเรียนพร้าววิทยาคม
เสร็จแล้วจึงขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันอีกด้านหนึ่งของพระเจดีย์ เพื่อชมการบูชาเป็นการปิดท้ายที่สำคัญต่อไป
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง อนุโมทนากถา )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 22/2/10 at 08:24 |
|
อนุโมทนากถา
แต่ก่อนที่จะจบ "พิธีสมโภชอันยิ่งใหญ่" ณ ปูชนียสถานอันสำคัญที่นี่ และที่ทุกแห่งทางภาคเหนือ เป็นการฉลองสมโภชปิดท้ายรายการทางภาคเหนือ
ตอนนี้เป็นตอนจบ นับตั้งแต่จัดงานครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ โดยเริ่มตั้งแต่ วัดพระบาท ๔ รอย
จ.เชียงใหม่ แล้วมาถึงปีนี้ ๑๘ ม.ค. ๔๐ ที่พระธาตุดอยตุง และ พระธาตุจอมกิตติ จ.เชียงราย
แล้วต้องมาแบ่งมาเป็นตอนที่ ๒ นี้ อันมี จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน และสุดท้ายที่ จ.ลำปาง โดยได้มายุติลงคงไว้ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นที่สุด
จึงต้องขอกล่าวก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปว่า
สรุปผลการเดินทางมาในครั้งนี้ และทุกครั้งที่ผ่านมา บางท่านกว่าจะมาได้ ก็ด้วยความยากลำบาก ต้องมีความเสียสละ ทั้งภารกิจและความสุขสบายต่าง ๆ
เพื่อผลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาคุณพระรัตนตรัย
โดยเฉพาะในปีนี้ นอกจากจะจัดงานไหว้พระคุณของครูบาอาจารย์ หรือเรียกว่า "งานไหว้สาครูบาเจ้า" ณ
วัดพระพุทธบาทห้วยต้มแล้ว เราจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระคุณของท่าน "บิดา" และ "มารดา" กันเป็นกรณีพิเศษ
เพราะถ้าหากสมมุติว่าโลกจะต้องประสปกับทุกข์ภัยใหญ่ชาวโลกทั้งหลายอาจจะต้องมีเคราะห์กรรม แต่กรณีผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
คงจะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลาย นอกจากท่านที่มีหน้าที่ช่วยพิทักษ์รักษาตัวเราแล้ว ก็ยังมี "ท่านพ่อ" และ "ท่านแม่" ทั้งหลาย ที่จะห่วงในใกล้ชิด
และให้กำลังใจลูกของท่านตลอดเวลาในยามคับขัน
ทั้งนี้ เป็นด้วยพวกเราได้ประกอบคุณงามความดี ตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนไว้ แม้ท่านจะละทิ้งสังขารไปแล้วก็ตาม พวกเราก็ได้จาริกไป "ตามรอยความดี"
ของท่าน โดยได้ไปกราบนมัสการ ณ สถานที่สำคัญเกือบทุกแห่งตามที่ท่านเคยไป แล้วได้กระทำตามแบบอย่างของศิษย์ที่ดีทุกประการ
ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร้องไปบ้างก็ตามทีแต่ด้วยเกียรติคุณความดีของท่าน ที่พวกเราได้ประกาศไปเกือบทั่วทุกภาคของประเทศแล้วได้สรรเสริญเกียรติคุณของท่าน
โดยถูกต้อง ชอบธรรมทุกประการ คือยกขบวนกันไปด้วยความสามัคคีเป็นอย่างดี
พวกเราไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีระเบียบวินับ มั่นคงในเวลา ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น ประพฤติมั่นในศีลธรรม ปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ได้แก่อุโบสถ
วิหาร และพระเจดีย์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนา ให้สถิตย์สถาพรอยู่ในจิตใจของคนไทยตลอดไป
การจัดงานในแต่ละครั้งจนถึงปัจจุบันนี้ จึงได้เลือกสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย โดยเฉพาะในครั้งนี้
ถ้าจะย้อนตั้งแต่ตอนแรก เราก็บูชาคุณความดีของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีหลวงพ่อและหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เป็นต้น ได้จัดงานร่วมสมัยกัน
แล้วได้ทำบุญกับพระเถระทั้งหลายที่ได้อาราธนามาร่วมงานด้วย
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 5/3/10 at 07:55 |
|
ต่อจากนั้น ได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท "เกือกแก้ว" จนได้รับผล คือความเยือกเย็น
ชุ่มฉ่ำชื่นใจไปทั่ว เหมือนกับหยดน้ำที่ประทานพรลงมาจากฟากฟ้า ฉะนั้น แล้วไปสรงน้ำพระบรมธาตุ "จอมโมลี" ณ วัดพระธาตุศรีจอมทอง และไปค้างคืนทำบุญกันต่อที่ วัดโขงขาว
รุ่งเช้า จึงเดินทางไปบูชาเส้นพระเกศาธาตุ ณ วัดพระธาตุดอยคำ สักการะพระบรมธาตุ หริภุญชัย ไหว้พระอัฐิธาตุของ พระแม่เจ้าจามะเทวี
แล้วจึงมาปิดท้ายคือ "รวมงานพิธีฉลองสมโภช" ณ สถานที่นี้ และสถานที่ทุกแห่งที่ผ่านมาทั้งหมด
จึงได้ชื่อว่ากราบไหว้บูชาคุณพระพุทธเจ้าตลอดทั้งพระองค์ทีเดียว คือได้กราบตั้งแต่ พระบาทจนถึงพระเศียร ใช่ไหม.. เพราะอะไร จึงได้จัดงานอย่างนี้
ก็เพื่อผลความดีที่จะพึงกระทำ ตามที่เรายังมีชีวิตอยู่..ยังมีโอกาสอยู่.. ยังมีความสามัคคีอยู่..ยังเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่..
ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้...!
แต่ตอนนี้ถือว่าพวกเรายังรวมกำลังกันอยู่ จึงได้จัดงานเป็นกรณีพิเศษ คืองานฉลองอายุพระพุทธศาสนาครบ ๒๕๔๐ ปีพอดี แล้วที่จะต้องมายุติ "ภาคเหนือ"
อันเป็นตอนจบเพียงแค่นี้
สรุปแล้วในครั้งนี้พวกเราได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายพระพุทธรูป ผ้าไตรไทยทานทั้งหลาย แด่พระเถระที่นิมนต์มาและตามวัดจัดเป็นสังฆทาน วิหารทาน
และธรรมทาน รวมทั้งสิ้น ๒๐ วัด ตรงกับ ๒๐ พรรษาที่ผ่านมา พอดีที่มีโอกาสร่วมฉลองไปด้วย เป็นจำนวน เงินรวมทั้งสิ้น ๑ ล้านบาทเศษ
นอกจากนั้น ยังมีค่าใช้จ่ายของงานอื่นๆ อีก ที่ได้หักออกจากเงินกองกลางแล้ว และรวมทั้งมีผู้ที่จัดเครื่องไทยทานมาร่วมด้วย
คงจะเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๑ แสนบาทเศษ จึงขอให้ทุกท่านได้โปรดอนุโมทนาร่วมกันเทอญ
ในที่สุดนี้ที่จะต้องขอขอบคุณพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะงานตอนที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ ม.ค. ๔๐ อันมี พระครูปลัดอนันต์ เป็นประธาน ส่วนงานตอนที่ ๒ นี้ เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๐ เม.ย. ๔๐ อันมี พระครูสมุห์พิชิต เป็นประธานของงาน
ท่านทั้งสองนี้ พร้อมทั้งพระภิกษุภายในวัด และเพื่อนพระภิกษุที่ไปจากวัดอื่น ๆ ก็ตามที่ได้เมตตาอุปการะ ให้คำแนะนำและช่วยกิจการจัดงานต่าง ๆ
ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมกันนี้ ก็ต้องขออนุโมทนาญาติโยมด้วยที่ช่วยร่วมเดินทางมา รวมทั้งผู้จัดรถ เจ้าหน้าที่จัดงาน ช่วยขนของ และช่วยทำบายศรี
เป็นต้น
หรือแม้แต่ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ตาม ถึงท่านจะมิได้ไปร่วมงาน แต่ก็เป็นงานของพวก ท่านเช่นกัน เพราะเราทำกันในนามของ "คณะศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" จึงควรนับเนื่องเป็น "ผลงาน"
และ "ผลบุญ" ของพวกท่านทุกคนนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีท่านทั้งหลายเหล่านี้ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น งานก็คงไม่มีจนมาถึงวันนี้อย่างแน่นอน จึงขออวยพรให้ทุกท่าน
ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาด้วยดี จะเป็นที่ไหน ๆ ชาติหนใดก็ตาม ตราบถึงปัจจุบันนี้ ที่จะมีอานิสงส์สูงสุดเพียงใด ในกำลังบุญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย และคุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณของเทพเจ้าผู้รักษาตัวท่านเอง ทั้งเทพเจ้าผู้รักษาพระบรมธาตุและรอยพระบาททุกแห่ง
ที่เราได้สักการบูชาท่านมาแล้ว ขอจงได้สนองผลบุญเป็นอเนกอนันต์ แล้วขอให้ปราศจากภัยที่เป็นทุกข์มหันต์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จะประสงค์สิ่งใดก็ขอให้สมความปราถนาทุกประการเทอญ..."
◄ll กลับสู่ด้านบน
((((((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))))))
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
posted on 12/3/10 at 08:22 |
|
|
|
|
Posts: 462 |
Registered: 12/3/08 |
Member Is Offline |
|
|
|