|
|
|
posted on 24/5/08 at 23:05 |
|
เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 26)
(Update 8 ต.ค. 51)
ตอนที่ 26
รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 14
สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต ตอนที่ 14 งดงามและเข้มแข็ง ออกอากาศเมื่อ : 2008-08-04
ความเห็นเรื่อง พญานาค จากนักประวัติศาสตร์
"........ท่านผู้อ่านคงจะอ่านรายละเอียดเรื่อง
บั้งไฟพญานาค กันมาตั้งแต่ต้นแล้ว จะเห็นว่ามีทั้งฝ่ายที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยเฉพาะทางด้านพุทธศาสตร์ต่างก็เชื่อว่า พญานาคมีจริง
ตามที่ได้นำประวัติของครูบาอาจารย์ต่างๆ ท่านได้พบเห็นด้วยตนเองไปแล้ว ส่วนฝ่ายที่อ้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์กลับเห็นว่า เป็นปรากฏการณ์จากธรรมชาติ
ในตอนนี้ก็เหลือแต่ข้อมูลทางด้าน นักประวัติศาสตร์ กันบ้าง ว่าเขาก็มีแง่คิดที่แตกต่างไปจากความเชื่อถือในทางพระพุทธศาสนาอย่างไรกันบ้าง ?
ความเชื่อเรื่อง นาค ในอุษาคเนย์
ในบรรดาชุมชนบ้านเมืองทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสองฝั่งลำน้ำโขงตั้งแต่ตอนใต้มณฑลยูนนานของจีนลงมาจนถึงปากแม่น้ำโขงล้วนเลื่อมใสลัทธิบูชานาค
เพราะเชื่อกันว่านาคเป็นผู้บันดาลให้เกิดธรรมชาติ เกิดความมั่งคั่ง มั่นคง ในขณะเดียวกันก็อาจบันดาลให้เกิดภัยพิบัติถึงขั้นบ้านเมืองล่มสลายได้
นอกจากนี้ยังนับถือ "นาค" เป็นบรรพบุรุษด้วย เหตุนี้เองผู้คนในอุษาคเนย์จึงมีนิทานปรัมปราเกี่ยวกับนาคมากมายหลายสำนวนนับไม่ถ้วน
โดยนาคที่ปรากฏในตำนานนิทานต่างๆ สามารถแยกแยะได้อย่างน้อย ๓ ลักษณะ คือ เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนดั้งเดิม เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแห่งดินและน้ำ
และเป็นลัทธิทางศาสนา (2)*
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(2)* โปรดดู ศรีศักร วัลลิโภดม, แอ่งอารยธรรมอีสาน : แฉหลักฐานโบราณคดีพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย, กรุงเทพฯ : มติชน,
๒๕๓๘.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
น่าสังเกตว่าคำ นาค นั้นอาจไม่ใช่คำของคนในดินแดนอุษาคเนย์ สุจิตต์ วงษ์เทศ เสนอว่า นาค หรือ Naga อยู่ในภาษาตระกูลอินโด-ยุโรป
(3)* มีรากเดิมจากคำว่า นอค (Nog) (4)* แปลว่าเปลือยหรือแก้ผ้า ตรงกับ Naked ในภาษาอังกฤษ ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ สังคมอุษาคเนย์รับคำนี้มา
เพื่อใช้หมายถึงงูหรือพญางูผู้มีฤทธิ์ โดยจินตนาการต่อไปว่าพญางูมีถิ่นที่อยู่ใต้ดินเรียก บาดาล
จิตร ภูมิศักดิ์ เคยเขียนอธิบายเรื่องความหมายของชื่อนาคไว้ในหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอมฯ (5)* สรุปความว่า พวกนาค
เป็นชนส่วนน้อยทางตะวันออกสุดของอินเดียติดพรมแดนพม่า ณ บริเวณเทือกเขานาค เดิมเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอัสสัม
แต่ชาวนาคได้ต่อสู้จนรัฐบาลอินเดียยินยอมให้จัดตั้งขึ้นเป็น รัฐนาค (Nagaland) ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗
แต่เดิมชาวนาคมีประเพณีล่าหัวมนุษย์ ชาวอารยันในครั้งโบราณจึงเหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือว่าเป็นมิลักขะ (คนป่าเถื่อน)
คำเรียกนาคก็สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอัสสัม เขียนว่า nāga ออกเสียงว่า นอค แปลว่า เปลือย หรือ แก้ผ้า
หรือสันนิษฐานในอีกทางหนึ่งว่าเป็นคำที่มาจากภาษาฮินดูสตานี คือ นัค (nag) แปลว่า คนชาวเขา
จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิษฐานต่อไปว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวกับตำนานในพุทธศาสนาที่ห้ามนาคมิให้บวช โดยเล่ากันว่า
พญานาคเคยปลอมเข้ามาบวชแต่ภายหลังถูกจับได้จึงถูกขับให้ลาสิกขา พญานาคจึงร้องขอต่อพระพุทธเจ้าว่า ต่อไปภายหน้า
แม้นาคจะบวชไม่ได้ก็ขอให้ผู้ที่กำลังเตรียมตัวบวชมีชื่อเรียกว่า นาค จนกลายเป็นต้นกำเนิดของประเพณีการทำขวัญนาค
การขานนาค การบวชนาค และในพิธีการบวชที่มีระเบียบว่าพระคู่สวดจะสอบผู้บวชด้วยคำถามหนึ่งว่า มนุสโส สิ? (เจ้าเป็นคนหรือเปล่า?)
เป็นไปได้ว่าในครั้งอดีต สังคมอินเดียกระทั่งในศาสนาพุทธเองก็ยังมีอคติไม่ยอมรับชนชาวนาค จึงไม่ยอมให้เข้าบวชในพุทธศาสนา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(3)* ตระกูลภาษาอินเดีย-ยุโรป เป็นภาษาที่ใช้พูดกันอยู่ในอินเดียตอนกลางและในทวีปยุโรปส่วนมาก เดิมเรียกว่า อารยัน
แบ่งย่อยออกเป็นตระกูลภาษาอารยันตะวันออก ได้แก่ ภาษาอารยันแห่งอินเดียกลาง (มัธยมประเทศ) กับ ภาษาอิหร่าน และภาษาอารยันตะวันตก ได้แก่ ภาษากรีก อิตาลิก
เยอรมันนิก เคลติก และสลาวิก คำอารยันสืบมาจากคำ อริยะ (สันนิษฐานว่า อิหร่าน ก็เป็นคำเดียวกันแต่เสียงเพี้ยนไปเท่านั้น)
ในภาษาสันสกฤตโบราณปรากฏมีในคัมภีร์พระเวท ใช้เรียกเป็นชื่อชนชาติและคำยกย่องพราหมณ์ที่นับถือบูชาทวยเทพในพระเวท
และเพื่อให้แตกต่างจากชาวอื่นที่ยังเพาะปลูกไม่เป็น ไม่เจริญ และยังอนารยะ ที่เปลี่ยนมาเรียกอินโด-ยุโรปเพราะเห็นว่าครอบคลุมภาษาส่วนมากในยุโรป
หากเรียกเพียงอารยันจะทำให้เข้าใจผิดไปได้;
ดูเพิ่มเติมที่ เสฐียรโกเศศ, นิรุกติศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๓ คลังวิทยา: กรุงเทพฯ, ๒๕๒๒.
(4)* เปรียบเทียบกับคำอื่นที่ใกล้เคียงได้ที่ http://www.etymonline.com/index.php?term=naked
(5)* โปรดดู จิตร ภูมิศักดิ์, ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติมข้อเท็จจริง
ว่าด้วยชนชาติขอม, กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย, ๒๕๔๐.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ อาจเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับตำนานสำคัญของสังคมในเขตลุ่มน้ำโขง เช่น ตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม)
โดยในตอนต้นของตำนานมีกล่าวข้อความว่า
เมืองสุวรรณภูมินี้เป็นที่อยู่แห่งนาคทั้งหลาย มี "สุวรรณนาค" เป็นเค้า แลผีเสื้อน้ำเสื้อบกยักษ์ทั้งมวล
นักวิชาการจำนวนมากตีความว่า ในด้านหนึ่ง ตำนานอุรังคธาตุ เป็นการเล่าถึงการอพยพโยกย้ายของผู้คนจาก หนองแส
(6)* ลงมาตามลำน้ำอูที่อยู่ในดินแดนลาว ถึงการอพยพโยกย้ายของผู้คนจาก หนองแส ลงมาตามลำน้ำอูที่อยู่ในดินแดนลาว
แล้วกระจายกันตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณต่างๆ ตั้งแต่ลุ่มน้ำปิงในภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบันจนถึงสองฝั่งแม่น้ำโขง
รวมทั้งแม่น้ำมูลกับแม่น้ำชีในภาคอีสาน โดยผูกเป็นเรื่องการหนีภัยของเหล่านาคน้อยใหญ่ไปตามถิ่นต่างๆ ใน ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ
ก็เล่าเรื่องนาคในทำนองนี้เช่นเดียวกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(6)* สันนิษฐานว่าคือ ทะเลสาบที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกลองมโหระทึกที่เก่าแก่มาก
จากนั้นจึงแพร่หลายไปสู่แหล่งต่างๆ เช่น แถบมณฑลกวางสีอันเป็นถิ่นของชาวจ้วง และตอนเหนือของเวียดนามที่เรียก วัฒนธรรมดองซอน
รวมทั้งแพร่กระจายมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิที่ตั้งรัฐไทยในปัจจุบัน
จากหลักฐานเรื่องกลองมโหระทึกประกอบกับเรื่อง "นาค" ในตำนานทั้งสอง อาจช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานว่า "หนองแส"
เป็นแหล่งที่อยู่ของมนุษย์ในดึกดำบรรพ์แล้วจึงค่อยเคลื่อนย้ายไปสู่ดินแดนใกล้เคียง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นอกจาก ตำนานอุรังคธาตุ อาจเกี่ยวข้องกับตำนานการโยกย้ายของกลุ่มคนแล้ว ยังเกี่ยวกับตอนที่ "นาค"
หรือกลุ่มคนที่อพยพลงมาปรับตัวรับศาสนาพุทธ ตำนานอุรังคธาตุ พยายามลดความสำคัญของนาคลงเป็นเพียงผู้ที่ถูกปราบ ยอมต่อพระศาสดา
มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ถึงขนาดที่เหล่านาคทูลขอรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้สักการะบูชา
และกลายเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาต่อมา ดังเห็นเป็นรูปนาคหรือช่อฟ้าประดับในส่วนต่างๆ ของวัดมากมาย ตำนานเรื่องพระพุทธเจ้าปราบนาคยังมีอีกหลายเรื่อง
เช่นในนิทาน พระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา หรือในพม่าเองก็ปรากฏนิทานในทำนองพระพุทธเจ้าปราบนาคด้วยเช่นเดียวกัน
ในวิทยานิพน์ของ พิเชษฐ สายพันธ์ เรื่อง นาคาคติ อีสานลุ่มน้ำโขง : ชีวิตทางวัฒนธรรมจากพิธีกรรมร่วมสมัย (7)*
เสนอว่า สัญลักษณ์นาคเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันมั่งคั่ง ที่ปรากฏในเกือบทุกแง่มุมของชีวิตชาวลุ่มน้ำโขง และสามารถจัดนาคออกได้ ๕ ประเภทความหมาย ดังนี้
๑) นาคผู้เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ
๒) นาคในฐานะเจ้าที่เจ้าทาง
๓) นาคผู้ให้กำเนิดและผู้ทำลายเมือง
๔) นาคในฐานะผีบรรพบุรุษตามระบบการสืบสายตระกูลทางแม่ (มาตุพงศ์)
๕) นาคผู้สะสมธรรมเพื่อบรรลุพุทธิภาวะ
ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพลในอีสาน ผู้คนในแถบนี้อาจมีความคิดเรื่องการเคารพต่อแผ่นดินและผืนน้ำ โดยมีนาคเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพดังกล่าว
ในตำนาน "สุวรรณโคมคำ" และ "อุรังคนิทาน" ต่างก็กล่าวว่า แม่น้ำโขงเกิดขึ้นจากการคุ้ยควักของพญานาคที่หนีจาก "หนองแส"
ซึ่งทำให้เกิดแม่น้ำสายอื่นอีกหลายสายคือ ปิง งึม มูล ฯลฯ นาคจึงอยู่ในฐานะของผู้ให้กำเนิดแม่น้ำ หนอง คลอง บึง รวมทั้งน้ำฝนดังที่กล่าวไว้ในนิทานเรื่อง
ขุนทึง เช่นเดียวกับในนิทานเรื่อง พญาคันคาก ที่เล่าว่า
พญาแถนกับพญาคันคากโกรธเคืองกัน เพราะเห็นว่าพญาคันคากมีอำนาจบารมีมากกว่าตนทั้งที่อยู่แค่เมืองมนุษย์
พญาแถนจึงสั่งให้บรรดาพญานาคห้ามเล่นน้ำ ชาวบ้านเกิดเดือดร้อนเพราะขาดน้ำฝนทำนาจึงคิดวิธีร้องขอบอกกล่าวแก่พญาแถน
ซึ่งได้กลายเป็นต้นเค้าหนึ่งของประเพณีบุญบั้งไฟที่ปฏิบัติสืบมาจนกระทั่งในปัจจุบัน
ส่วนคติที่ถือว่านาคเป็นเจ้าแห่งผืนดิน คตินี้มีแพร่หลายทั่วไปในเขตวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง เช่น คติเรื่องนาคประจำอยู่ทิศต่างๆ
หากจะปลูกเรือนต้องบอกกล่าวบูชาให้ถูกต้อง ฯลฯ หรือเรื่อง "พระพุทธเจ้าปราบนาค" ดังที่มีเล่าในตำนานท้องถิ่นทั่วไป ย่อมแสดงให้เห็นเค้าความเชื่อเรื่องนาค
ในฐานะเจ้าที่หรือผู้เป็นใหญ่บนผืนดินได้เป็นอย่างดี
การเคารพนาคจึงหมายถึงการเคารพต่อแผ่นดินและผืนน้ำโดยมีนาคเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแห่งน้ำและเจ้าแห่งผืนดิน
อันจะนำไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขและความอุดมสมบูรณ์ในสังคมแบบเกษตรกรรม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(7)* โปรดดู พิเชษฐ สายพันธ์, นาคาคติ อีสานลุ่มน้ำโขง: ชีวิตทางวัฒนธรรมจากพิธีกรรมร่วมสมัย, วิทยานิพนธ์สาขามานุษยวิทยา
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นอกจากนี้นาคยังมีบทบาททั้งในฐานะผู้สร้างและผู้ทำลายเมืองของมนุษย์ด้วย
ดังปรากฏชัดเจนในนิทานหรือตำนานท้องถิ่นอีสานซึ่งมีอยู่มากมายหลายเรื่องหลายสำนวน และมักมีโครงเรื่องไปในทางเดียวกัน คือ
กล่าวถึงกำเนิดของเมืองที่เกิดจากการบันดาลของพญานาค และในตอนท้าย เมืองเหล่านั้นก็ถูกทำลายลงด้วยอิทธิฤทธิ์ของพญานาคเช่นเดียวกัน
ตำนานเหล่านี้ ได้แก่ ตำนานสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวติกุมาร อุรังคนิทาน หรือตำนานพระธาตุพนม (ดังที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น)
ตำนานเมืองหนองหานหลวง ในพงศาวดารเมืองสกลนคร และนิทานเรื่อง "ผาแดง-นางไอ่" เป็นต้น ในแง่นี้ "นาค" จึงเป็นสัญลักษณ์ที่มีพลังและมีความเป็นอันตราย
เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วของการสร้างสรรค์-ให้กำเนิดกับขั้วของการทำลายล้าง-ความตาย-หายนะ
ทั้งนี้เพราะนาคสามารถบันดาลให้เกิดสิ่งที่มีผลดีหรือผลร้ายต่อสังคมได้
ถึงแม้รูปพญานาคมากมายที่ถูกปั้นเขียนขึ้นจะไม่เคยระบุเพศให้เรารู้ว่าตัวนาคนั้นเป็นหญิงหรือชาย แต่ในกรณีของผ้าทอลายนาคนั้นอาจเกี่ยวข้องกับเพศหญิง
ทั้งในฐานะที่ผู้หญิงเป็นผู้ทอผ้าและโดยเฉพาะหลักฐานว่าเพศชายไม่นิยมหรือไม่มีผ้าทอลายนาคซึ่งตรงข้ามกับเพศหญิงที่นิยมหรือมีผ้าลายนาคเป็นของตน
นักวิชาการบางส่วนที่ศึกษาเรื่องผ้าและวัฒนธรรมการทอผ้าจึงเสนอว่า นาคและผ้าทอลายนาคเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับระบบการสืบสายตระกูลทางแม่ (มาตุพงศ์)
โดยอ้างหลักฐานสนับสนุนจากงานศึกษาชาติพันธุ์วิทยา นอกจากนี้ ในตำนานรุ่นเก่า (ก่อนได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา) จำนวนหนึ่ง
นาคในตำนานเหล่านี้มักเป็นหญิงและเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดมนุษย์ เช่นในนิทานเรื่อง ขุนทึง ที่มีแม่เป็นนาค
เมื่อสัญลักษณ์นาคผู้ทรงฤทธิ์โยงใยอยู่กับความเป็นแม่ ก็ย่อมสะท้อนถึงบทบาทและอำนาจของเพศแม่ที่มีอยู่ในสังคมนั้นด้วย
อย่างไรก็ดีในตำนานยุคหลังที่เริ่มมีเรื่องราวไปในทำนองพุทธประวัติ เช่น ในตำนานอุรังคธาตุ หรือในนิทานวัดศรีโคมคำ
กลายเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จปราบและเทศนาสั่งสอนพญานาค
กระทั่งนาคขอให้พระพุทธเจ้าประทับรอยพระพุทธบาทไว้เพื่อบูชา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากลายเป็นผู้พิชิตและปราบพญานาคให้สิ้นฤทธิ์
เกิดเป็นผู้เลื่อมใสและปวารณาตนเป็นผู้ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาสามารถเอาชนะความเชื่อดั้งเดิมของท้องถิ่น หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือ
"นาค" ในฐานะสัญลักษณ์แทนกลุ่มคนดั้งเดิมที่ดิบ ป่า เถื่อน ดอย ได้เจริญขึ้นก็เพราะพระพุทธศาสนา
การสะสมบารมีของพญานาคจึงเป็นภาวะหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่ชีวิตที่ดีขึ้นตามอุดมคติแบบพุทธ ดังเช่นที่พระสมณโคดม ก่อนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ก็เคยเสวยชาติเป็นพญานาคด้วย การเปลี่ยนโครงเรื่องให้นาคกลายเป็นผู้ถูกปราบและกลายเป็นผู้เลื่อมใสรับใช้พระศาสนา
จึงน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเสื่อมคลายของระบบการนับถือญาติฝ่ายแม่ และเริ่มให้ความสำคัญต่อบทบาทและอำนาจของฝ่ายชายมากขึ้น.
ที่มา - เอกสารประกอบการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ ๒๒ การแสดงลิเกเรื่อง "พระทอง - นางนาค ณ หอประชุมศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(องค์การมหาชน) วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๐๐ น. โดย กลุ่มละครมะขามป้อม
|
|
|
|
Posts: 2043 |
Registered: 8/1/08 |
Member Is Offline |
|
|
|
|
|
"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน
เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player
ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป
ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved
|
|
|
|