เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 14)
webmaster - 28/3/08 at 14:55
(Update 26 ก.ย. 51)
ตอนที่ 14
รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 2
สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต ตอนที่ 2 คนกับช้าง
ออกอากาศเมื่อ : 2008-05-12
ตอนหลวงปู่มั่นกับพญานาค
พบพญานาคที่ถ้ำเชียงดาว
".........ในตอนที่แล้ว หลวงปู่แหวน
ได้เล่าเรื่องพญานาคที่ ถ้ำเชียงดาว แล้วปรารถถึง หลวงปู่มั่น อาจารย์ของท่านด้วย
จากข้อความในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน เล่าตอนนี้ไว้ว่า
........พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระเล่าว่า สมัยเมื่อครั้งท่านไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ ถ้ำเชียงดาว
ถ้ำที่ว่านี้ไม่ใช่ถ้ำเชียงดาวซึ่งยาวเข้าไปในกลางเขาที่ประชาชนเข้าไปเที่ยวกัน หากเป็นอีกถ้ำหนึ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไป ประชาชนขึ้นไปไม่ถึง
เพราะทำเลซ่อนเร้นลับตา ถ้ำที่ท่านขึ้นไปบำเพ็ญเพียรนี้แหละ มี พญานาค ตนหนึ่งเฝ้ารักษาถ้ำอยู่มาเป็นเวลานาน
พญานาคตนนี้ไม่ได้ปรากฏร่างออกมาให้พระอาจารย์มั่นเห็นด้วยสายตาธรรมดา หากแต่พระอาจารย์มั่นสามารถมองเห็นได้ด้วยนัยน์ตาทิพย์ว่า
พญานาคตนนี้มีกายทิพย์หรือปรมาณู มีวังอันสวยงามอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำอันเร้นลับ ยากที่ปุถุชนธรรมดาจะล่วงรู้เห็นได้
พญานาคตนนี้คอยโผล่หัวจ้องมองจับผิดท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา คือจ้องมองอยู่ในถ้ำลึกเวียงวังของตน
ไม่ได้โผล่เข้ามาใกล้ที่พักของพระอาจารย์มั่นแต่อย่างใด แต่พญานาคมีสายตาเป็นทิพย์มองไกล ๆ แค่ไหนก็ย่อมเห็นได้
แต่พญานาคตนนี้ก็ยอมรับฟังเทศนาธรรมจากพระอาจารย์มั่นในที่สุดจนได้
พระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่น เช่น (แถวบน) หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว
หลวงปู่จูม หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
และหลวงตามหาบัว เป็นต้น
พญานาคฟังธรรม
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านมีความเกี่ยวข้องกับพวก พญานาค อยู่อย่างลึกลับ
ในสมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นออกเที่ยวแสวงวิเวกอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรในภาคเหนือและภาคอีสาน ตลอดจนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ขณะที่ท่านพักบำเพ็ญเป็นสุขวิหารธรรม
อยู่สบายในป่าในเขาที่สงัดปราศจากผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน
พระอาจารย์มั่นมีการติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม พญานาค ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ วิทยาธร และภูตผีปิศาจที่มาจากที่ต่าง ๆ
อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ท่านถือเป็นเรื่องธรรมดา เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับมนุษย์ชาติต่าง ๆ ในโลกนี้เพื่อผลประโยชน์ ซึ่งกันและกัน
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าว่า ขณะที่ท่านกำลังแสดงธรรมอบรมพระเณรตอนกลางคืน ที่ หมู่บ้านสามผง นครพนม
ได้มีพญานาคอยู่แถบลำแม่น้ำสงครามได้แอบมาฟังเทศน์ท่านแทบทุกคืน โดยเฉพาะวันพระ พญานาคมาทุกคืน ถ้าไม่มาตอนท่านอบรมพระเณร
พญานาคก็มาตอนดึกขณะที่ท่านเข้านั่งสมาธิภาวนา
ส่วนเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างมีมาห่าง ๆ ไม่เหมือนอยู่ที่อุดรฯ หนองคาย ยิ่งวันเข้าพรรษาและวันกลางพรรษา และวันปวารณาออกพรรษาด้วยแล้ว
ไม่ว่าท่านพระอาจารย์มั่นจะพักจำพรรษาอยู่ที่ไหน แม้แต่ในตัวเมือง ก็ยังมีพวกเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ชั้นใดชั้นหนึ่ง
และที่ใดที่หนึ่งมาฟังธรรมเทศนาท่านมิได้ขาด เช่นที่ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่นธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าเชิงเขาใหญ่ลูกหนึ่งฝั่งไทย ทางทิศตะวันตก นครหลวงพระบาง
ภูเขาลูกนี้อยู่ชายฝั่งแม่น้ำโขง พระอาจารย์มั่นเล่าว่า
ที่ใต้เชิงเขาลูกนั้น มีเมืองพญานาคตั้งอยู่ ใหญ่โตมาก หัวหน้าพญานาคพาบริวารมาฟังธรรมของท่านเสมอ และมักมากันมากมายในบางครั้ง
พวกพญานาคไม่ค่อยมีปัญหาซักถามมากเหมือนพวกเทวดา พวกเทวดาทั้งเบื้องต้นและเบื้องล่างมักมีปัญหามากพอ ๆ กัน หมายถึงปัญหาข้อสงสัยทางธรรมะ
ส่วนความเลื่อมใสในธรรมะนั้นพวกพญานาคและเทวดามีความเลื่อมใสพอ ๆ กัน พระอาจารย์มั่นพักบำเพ็ญเพียรอยู่เชิงเขาลูกนั้นนานพอสมควร
พวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่านแทบทุกคืน พวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะท่านไม่ดึกนัก ท่านว่าอาจเป็นเพราะที่พักของท่านสงัดเงียบ ห่างไกลจากหมู่บ้านก็ได้
พวกพญานาคจึงมาเยี่ยมในราว 4-5 ทุ่ม
ส่วนสถานที่อื่น ๆ พวกพญานาคมาดึกกว่านี้ก็มี เวลาขนาดนี้ก็มี พวกพญานาคตามสถานที่ต่าง ๆ มีความเคารพเลื่อมใสท่านมาก
พวกเขาจัดให้บริวารพญานาคมารักษาคุ้มครองป้องกันภัยให้ท่านทั้งกลางวันกลางคืน โดยผลัดเปลี่ยนวาระกันมิได้ขาด
ท่านไปอยู่สถานที่ใดพวกพญานาคในสถานที่นั้นมักอาราธนานิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ที่นั่นนาน ๆ เพื่อโปรดพวกเขา
เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักจำพรรษาอยู่ บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปั๋ง เชียงใหม่ พระอาจารย์มั่นเล่าว่า
ท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์มี ท้าวสักกเทวราช เป็นหัวหน้ามากเป็นพิเศษ
แม้หน้าแล้งท่านจะหลีกเลี่ยงออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียว อยู่ใน ถ้ำดอกคำ ท้าวสักกเทวราชก็พาพวกเทวดาติดตามไปเยี่ยมท่าน
ซึ่งพวกเทวดามาแต่ละครั้งนี้ มากันเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด (ถ้ำดอกคำ ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.พร้าว จ.เชียงใหม่)
ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้พวกเขาเข้าใจวิธีฟังธรรม ก่อนที่พระอาจารย์มั่นจะแสดงให้ฟัง โดยมากพระอาจารย์มั่นท่านแสดง
เมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหาร ให้พวกเทวดาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบฟังธรรมนี้มากเป็นพิเศษ
พวกเทวดาชอบสถานที่อยู่ลึก ๆ เงียบสงัดห่างไกลจากมนุษย์เพราะมนุษย์ มีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนซากศพ
เนื่องจากมนุษย์กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์หลายชนิดมาก ในท้องในกระเพาะมนุษย์จึงเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ส่งกลิ่นเหม็นกระจายออกมาตามรูขุมขน
แต่มนุษย์ด้วยกันเคยชินกลิ่นของกันและกัน เลยไม่รู้สึกว่าเหม็นเหมือนกลิ่นศพ
ซึ่งผิดกับพวกเทวดามีจมูกพิเศษสัมผัสได้ว่องไวเป็นสภาวะทิพย์ จึงสามารถได้กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ โชยออกมาจากร่างมนุษย์ได้เต็มที่
ทำให้สะอิดสะเอียนแทบอาเจียนรากทนไม่ไหว ไม่ต่างอะไรกับคนเราทนไม่ได้กับกลิ่นซากศพเน่า ๆ ในโลงศพฉะนั้นแหละ
พวกเทวดาทุกคนทุกภูมิเคารพท่านพระอาจารย์มั่น และเคารพสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่านมาก แม้แต่ทางเดินจงกรมที่ญาติโยมชาวบ้านเอาทรายมาเกลี่ยไว้
สำหรับให้พระอาจารย์มั่นเดินได้สะดวก พวกเทวดาก็ไม่กล้าผ่านทางจงกรม ต้องเดินอ้อมไปทางหัวจงกรมทุกครั้งที่มาและไป
พวก พญานาค ก็เช่นเดียวกัน เวลาเข้ามาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่าน พวกพญานาคไม่กล้าเดินเข้าทางจงกรมเลย ต้องเดินอ้อมไปทางอื่น
บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์พระอาจารย์มั่นในกิจบางอย่าง ให้ไปโปรดพวกพญานาค
คล้ายกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงานไม่มีผิดเลย.
ประวัติถ้ำเชียงดาว
"........ตามตำนานของดอยหลวงหรือ
"ดอยอ่างสลุง" (อ่านว่า "สรง") กล่าวไว้ว่าในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับที่ดอยหลวงและทรงสรงน้ำในอ่างเชิงเขานี้
จึงเป็นที่มาของชื่อ "ดอยอ่างสลุง" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ดอยหลวงเชียงดาว"
........."ถ้ำเชียงดาว" ยังมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้งอดีตสมัยเมืองพะเยารุ่งเรืองอำนาจ เจ้าผู้ครองนครพระนามว่า
"เจ้าหลวงคำแดง" พระองค์โปรดการเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ ครั้งหนึ่งได้เสด็จไล่ตามจับกวางงามตัวหนึ่ง
..........พระองค์พยายามควบม้าไล่ตามอย่างกระชั้นชิดแต่ก็หาทันไม่ กวางได้วิ่งหนีไปจนถึงเชิงดอยอ่างสะลุงและหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำเชิงเขา
เจ้าหลวงพยายามจะตามจับให้ได้ ลงจากหลังม้าแล้วทรงวิ่งตามกวางเข้าไปในถ้ำ ส่วนไพรพลสุดที่จะทัดทานได้และวิ่งตามไม่ทัน
..........เจ้าหลวงคำแดงเข้าไปเที่ยวหากวางในถ้ำแต่ไม่พบ พบแต่สาวงามผู้หนึ่งได้สนทนากันจนเป็นที่พอพระทัย ได้ทรงทราบความจากสาวงามชื่อ "อินทร์เหลา"
ว่านางถูกสาปให้มาอยู่ในถ้ำนี้ ถ้าออกนอกถ้ำจะกลายร่างเป็นกวางทันที เจ้าหลวงได้ทรงทราบมีความสงสารและเกิดความเสน่ห์าได้อยู่กินกับนางกวางในถ้ำนั้นตลอดมา
โดยไม่ยอมกลับไปบ้านเมือง แม้พวกข้าราชบริพารจะมาเชิญให้กลับก็ไม่ยอม พระองค์จะพานางไปอยู่ในเมืองก็ไม่ได้ เพราะนางจะกลายร่างเป็นกวาง
ฉะนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยอยู่กินกับนางจนตลอดชีวิต
(ภาพจาก google บนอ่างสลุง สมัย พระแม่เจ้าจามเทวี มีการนำน้ำจากที่นี้ไป
เพื่อกระทำ "มูรธาภิเษก"
ตามโบราณราชประเพณี ก่อนจะขึ้นครองเมืองหริภุญชัย)
ชาวบ้านยังคงมีเชื่อว่าวิญญาณของ "เจ้าหลวงคำแดง" กับ "นางอินทร์เหลา" ยังคงสิงสถิตอยู่ในถ้ำเชียงดาวมาจนทุกวันนี้
ส่วนภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปน้อยใหญ่รวมกันหลายสิบองค์ตั้งเรียงรายอยู่บนชะง่อนหินและโพรงหิน ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปศิลปะพม่าอยู่บนโขดหิน
มีพระพุทธรูปทรงเครื่องหลายองค์สวยงามเป็นของโบราณ พระพุทธรูปเหล่านี้พระภิกษุเงี้ยวหรือไทยใหญ่ชื่อ "กันตุ๊ระ" ได้อัญเชิญมาจากรัฐฉาน
ตอนเหนือของพม่าเมื่อปี พ.ศ.2456
ที่บริเวณห้องโถงขนาดใหญ่ในถ้ำจะมีเพดานเป็นรูปเรียวสูงขึ้นไปครอบคลุมอยู่เบื้องบน ริมผนังตอนบนบางตอนมีหินย้อยคล้ายเป็นผ้าม่านแพรระบายเรียงราย
ห้องนี้นับเป็นห้องสุดท้ายที่มีไฟฟ้ามาถึง บนแท่นหินมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางไสยาสน์องค์ใหญ่ประดิษฐาน ไม่ปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้าง
เป็นของที่มีมาแต่โบราณร่วม 100 ปีมาแล้ว
จักรพงษ์ คำบุญเรือง
ที่มา - www.chiangmainews.co.th
((( โปรดติดตามตอน หลวงปู่คำคะนิงบุกเมืองพญานาค )))