ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 24)
tanavisut - 10/5/08 at 09:42

(Update 6 ต.ค. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 24

รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 12




สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต

ตอนที่ 12 หัตถกรรมพื้นบ้าน

ออกอากาศเมื่อ : 2008-07-21



ภาพนี้คือ "สุวรรณมาลิกเจดีย์" ประเทศศรีลังกา พระเจ้าทุฎฐคามินีอภัยสร้าง
เพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่ได้มาจาก นาคพิภพ ซึ่งเดิมกษัตริย์โกลิยะบรรจุไว้ที่ รามคาม
ต่อมาน้ำเซาะพระเจดีย์พังลงไปพญานาคได้นำไปไว้ที่เมืองบาดาล

"........เป็นอันว่าเรื่อง “พญานาค” ชาวศรีลังกามีความเชื่อถืออย่างแน่นอน ดังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “พญานาค” ปรากฏอยู่ใน “พระไตรปิฎก” อีกว่า ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จไปที่เกาะลังกา ๓ ครั้งด้วยกัน พอที่จะนำมาสรุปโดยย่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้

.......สมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันได้เสด็จเป็นครั้งแรก ณ เกาะลังกา หลังจากตรัสรู้ในเดือนที่ ๙ ได้เสด็จประทับยืนบนอากาศตรงจุดที่สร้าง มหิยังคณเจดีย์ (เมืองมหิยังเกน่า) ทรงทรมานยักษ์ให้พ่ายแพ้หนีไปเสียแล้ว เหล่าเทพยดาได้มาชุมนุมฟังพระสัทธรรมเทศนา ครั้งนั้น สุมนเทพบุตร ผู้เป็นใหญ่ได้สำเร็จโสดาปัตติผล ต่อมาได้เสด็จเป็นครั้งที่ ๒ เพื่อทรงทรมาน หมู่พญานาคราชทั้งหลาย

การเสด็จครั้งที่ ๒ หลังจากตรัสรู้ได้ ๕ พรรษา เสด็จมาพระองค์เดียวเหมือนกัน เพื่อทรมานพญานาคผู้เป็นลุงกับหลานทะเลาะกัน หมู่นาคราชเหล่านั้นเลื่อมใสแล้ว จึงถวายบัลลังก์แก้วมณีของตน แต่พระองค์ทรงรับแล้วประทับนั่งหน่อยหนึ่ง แล้วจึงประทานคืนให้หมู่นาคเอาไว้บูชาแทนพระองค์ เหล่าพญานาคจึงเอาบัลลังก์แก้วมณีนั้นบรรจุไว้ภายในเจดีย์ที่นาคทวีป ซึ่งอยู่เหนือสุดลังกา (บริเวณแหลมจ๊าฟน่า)

ครั้นถึงปีที่ ๘ แห่งการตรัสรู้ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จมาพร้อมพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เป็นครั้งที่ ๓ ตามคำอาราธนาของ พญามณีอักขิกะนาคราช มายังที่ กัลยาณีเจดีย์ ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองและได้ทรงแสดงธรรมแล้ว จึงเสด็จไปจากที่นั้น นาคเหล่านั้นจึงสร้าง “กัลยาณีเจดีย์” ครอบบัลลังก์นั้นไว้ (ปัจจุบัน “วัดกัลยาณี” เมืองโคลัมโบ) เป็นที่กราบไหว้จนทุกวันนี้

เมื่อได้กล่าวถึงประเทศศรีลังกาแล้ว ปรากฏว่าไปพบเรื่อง “พญานาค” อีกแห่งหนึ่งที่ “ภูลังกา” อ.บ้านแพง จ.นครพนม มีความลี้ลับอาถรรพ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องพูดยากอธิบายยากเพราะเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่มีการศึกษาสูงๆ เป็นครู เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และระดับศาสตราจารย์ด็อกเตอร์จากต่างประเทศจำนวนไม่น้อยก็ยอมรับว่า เรื่องความลึกลับนามธรรมเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ต้องรับฟังไว้เพื่อศึกษาพิจารณาค้นคว้าต่อไป จะปฏิเสธเสียเลยทีเดียวไม่ได้



ภูลังกา

"........จากหนังสือ " พญานาค...เมืองลับแล " โดยคุณนรเศรษฐ์ (โพสในเว็บ topicstock.pantip
.com) เล่าว่า “ภูลังกา” เป็นตำนานเรื่อง “พระเจ้า ๕ พระองค์” (นโมพุทธายะ) และเป็นเมืองหลวงของ “ชาวบังบด – ลับแล” อันมีเมืองพญานาครวมอยู่ด้วย และยังเป็นสนามรบกับกองทัพกิเลส ที่กองทัพธรรมของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ส่งศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระธุดงค์กรรมฐานทุกรุ่นทุกสมัยมารบราฆ่าฟันกับกิเลสตัณหา ที่ภูลังกาไม่เคยเลิกราจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

พระกรรมฐานที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนที่เคยไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูลังกามาแล้วคือ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ครูบาวัง ฐิติสาโร พระอาจารย์สมชาย เขาสุกิม พระอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง พระอาจารย์โง่น โสรโย ฯลฯ

ตามตำนานพระเจ้า ๕ พระองค์นั้นกล่าวว่า กาเผือกได้ตกไข่ ๕ ฟองที่ภูลังกา วันหนึ่งเกิดลมพายุใหญ่หอบเอาไข่ปลิวไปตามลม ไข่นั้นได้ตกกระจัดกระจายไปในสถานที่หลายแห่ง ต่อมาไข่นั้นได้ฟักออกมาเป็น พระเจ้ากกุสันโธ พระเจ้าโกนาคโม พระเจ้ากัสสโป พระเจ้าโคตโม และองค์ต่อไปได้แก่ พระศรีอาริยเมตรัยโย ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตอีกประมาณ ๗๕๐ ล้านปี เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัทรกัปนี้ ( ตัวเลข ๗๕๐ ล้านปี เป็นเพียงสันนิษฐานของปราชญ์ผู้รู้ อย่าได้ยึดเอาเป็นหลักฐานทางประวัติพุทธศาสนา )

พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร กล่าวว่า “ภูลังกา” เป็นเมืองหลวงของชาวบังบดลับแล เพราะภูลังกาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์มาแต่ดึกดำบรรพ์เกี่ยวข้องกับตำนานของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ต่อไปนี้จะเป็นตอนที่หลวงปู่ตองเล่าถึงเรื่องพญานาคและชาวบังบดลับแล

เมื่อหลวงปู่ตองมาอยู่ที่ “ถ้ำชัยมงคล” ภูลังกา ในปี พศ. ๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำทางขึ้นไปตามมีตามเกิด พอให้ปีนป่ายโหนต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไปได้ช่วงไหนทีสูงชันอันตรายหวาดเสียวก็ทำบันไดไม้พาดไว้อย่างง่ายๆ พอให้ไต่ขึ้นไปได้ ใครที่ร่างกายอ่อนแอขึ้นไม่ได้เลย ขนาดคนหนุ่มๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้นไปก็หอบแอกๆ ไม่อยากขึ้นไปอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกว่าเข็ดเหมือนตอนแมว แต่หลวงปู่ตองสามารถขึ้นไปได้สบายมาก ทั้งๆ ที่มีอายุได้ ๖๐ ปีเศษแล้ว ร่างกายยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ท่านแบกถุงทรายถุงปูนครั้งละ ๒ - ๓ ถุง ขึ้นไปวันละหลายเที่ยว สร้างเจดีย์สูง ๑๓ เมตร สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์วังและรูปปั้นพระพุทธรูปหลายองค์

หลวงปู่ตองเปิดเผยวิธีการแบกถุงปูนถุงทรายขึ้นภูลังกาว่า ใช้วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบอานาปานัสสตินั่นเอง เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วร่างกายจะเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไว แบกถุงปูนซีเมนต์และถุงทรายขึ้นไปได้สบายๆ

วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้ฟังแล้วง่ายแต่ทำจริงๆ ยาก เพราะการทำจิตให้เป็นสมาธินั้นไม่ใช่ทำกันได้ทุกคน ต้องเป็นคนมีบุพวาสนาบารมีสนับสนุนถึงจะทำสำเร็จ วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้คล้ายกับวิชา " ลูกเบา " ของบรรดาพระกรรมฐานสมัยโบราณคือต้องบริกรรมภาวนาจนจิตนิ่งแน่วเป็นสมาธิ เกิดอาการตัวเบาลอยตัวได้สามารถที่จะลอยตัวขึ้นไปบนต้นกล้วย แล้วเดินเล่นนอนเล่นบนก้านใบตองกล้วยได้ โดยที่ก้านกล้วยไม่หักแต่อย่างใด

เมื่อขึ้นไปอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาแล้ว หลวงปู่ตองก็ลงมือบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ปั้นพระพุทธรูปและซ่อมแซมพระพุทธรูป ซ่อมแซมถ้ำและเพิงผาผุพัง สร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่บนยอดเขา เทปูนทำสะพานขนาดเล็กข้ามหุบร่องน้ำลึกแคบให้เชื่อมกับถ้ำ ทำความสะอาดบริเวณเขตสงฆ์

ความขยันขันแข็งเอาจริงเอาจังกับงานบูรณปฏิสังขรณ์นี้คงจะ " เข้าตา " สิ่งลึกลับหรือเทพพรหมหรือผีสางเทวดาทั้งหลายที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในวันหนึ่งต่อมาก็ส่ง " ทูต " มาหา เป็นทูตพิเศษที่ไม่ธรรมดา ทูตที่มาหานี้เป็น " งูจงอาง " ขนาดยักษ์สองผัวเมีย ลำตัวใหญ่ขนาดต้นเทียนพรรษาขนาดใหญ่ หรือขนาดโคนขาคนผู้ใหญ่ มีความยาวมากใครเห็นแล้วจะต้องขนหัวลุกตกใจกลัวเป็นลมหรือช็อกตาย

งูจงอางยักษ์ทั้งสองนี้มาหาหลวงปู่ตองในถ้ำชัยมงคล ขณะที่ท่านทำวัตรสวดมนต์ มันผงกหัวแสดงความเรพแล้วก็แผ่พังพานยืดลำตัวขึ้นสูงเป็นวาแล้วผงกหัวทำความเคารพอีก จากนั้นก็ขดตัวที่มุมถ้ำไม่ยอมไปไหนมองดูท่านเฉยๆ ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก ท่านรู้ด้วยจิตว่าไม่ใช่งูจงอางธรรมดาเพราะมันใหญ่โตผิดงูจงอางที่เคยเห็น

แต่เป็น " พญานาค " แปลงร่างมาเป็นงูจงอางยักษ์เพื่อทำหน้าที่อารักขาถ้ำชัยมงคลและเจดีย์ใหญ่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ! หลวงปู่ตองเล่าให้ท่านเจ้าคุณราชเมธากรฟังว่า...

" เขามาแปลก! มาอยู่กับผมในถ้ำ เมื่อถึงเวลาหากินก็พากันเลื้อยออกไปหากินข้างนอกแล้วกลับมานอนในถ้ำ บางวันก็เข้าไปนอนในรูโพรงถ้ำ วันหนึ่งมีญาติโยมขึ้นมาหาผมมีเด็กหนุ่มรุ่นคะนองมาด้วย ๒-๓ คน พวกเด็กวัยคะนองวิ่งเล่นที่พลาญหิน แล้วเอาก้อนหินขว้างเล่นลงไปทางหน้าผาบ้าง ขว้างลงไปในหุบเหวป่าไม้บ้างเป็นที่สุกสนาน ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ว่าภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ "

หลวงปู่ตองเว้นระยะแล้วเล่าต่อ
" พญางูจงอางยักษ์สองผัวเมีย ได้เลื่อยปราดออกไปจากถ้ำชัยมงคลส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว เลื้อยพล่านไปทั่วพลาญหินบนยอดภูลังกา แผ่พังพานคุกคาม ผมเห็นท่าไม่ดีกลัวมันจะไล่ฉกกัดพวกเด็กๆ จึงได้ร้องห้ามไว้ไม่ให้ทำอันตราย เพราะเด็กวัยคะนองไม่รู้ประสีประสาอะไร...

อัศจรรย์มาก! งูจงอางยักษ์ทั้งสองเชื่อฟังผม ยอมเลื้อยกลับเข้าถ้ำแสดงถึงมันฟังภาษารู้เรื่อง "

ผู้เขียนได้นมัสการถามบ้างว่า " พวกเด็กขว้างก้อนหินเล่นมีความผิดอย่างๆร? "

หลวงปู่ตองตอบว่า " ตามหน้าผาก็ดี ตามซอกเขาหรือโตรกผาก็ดี ตามหมู่ไม้ใหญ่น้อยในหุบเหวข้างล่างก็ดี เป็นบ้านเป็นเมืองของชาวบังบดลับแลหรือคนธรรพ์ เป็นบ้านเป็นเมืองของพวกยักษ์หรือรากาสหรืออสูร เป็นบ้านเป็นเมืองของภูติผีปีศาจเปรตอสุรกาย บ้านเมืองหรือภพภูมิของพวกนี้มันสลับซับซ้อน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันซ้อนกันอยู่

เหมือนเอากระดาษซับกระดาษซึมมาสักแผ่นหนาๆ แล้วเราเอาน้ำสีต่างๆ หยอดลงไปบนกระดาษซึม สีต่างๆ เหล่านั้นก็จะอยู่รวมกันได้ในกระดาษซึมนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ภูมิภพหรือแดนอยู่อาศัยของพวกวิญญาณก็อยู่กันได้อย่างสลับซับซ้อนเช่นนั้นแหละ เพีงแต่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าพวกเขาอยากให้เราเห็น เขาก็จะทำให้เราเห็นได้ เมื่อพวกเด็กขว้างก้อนหินลงไปก็ไปถูกบ้านเรือนของชาวบังบดลับแล เขาก็ไม่พอใจ "

" หลวงปู่เคยเข้าไปในเมืองลับแลมั้ย? " ถามอีก

หลวงปู่ตอบว่า " เคยเห็นแต่บ้านเมืองของชาวบังบดลับแลอยู่เสมอ เพราะชาวลับแลเขาเปิดให้เห็น แต่อาตมาไม่ได้เข้าไป "

" เหตุใดหลวงปู่ไม่เข้าไป "

" ถ้าเป็นบุคคลอื่นอาจจะอยากเข้าไปเมืองลับแล แต่สำหรับตัวอาตมาแล้วไม่อยากเข้าไปเลย ความรู้สึกลึกๆ ในใจได้เตือนว่า ถ้าตัวเรายังมีภูมิจิตภูมิธรรมน้อยอยู่ หากเข้าไปในเมืองลับแลแล้วอาจจะได้รับภัยอันตรายอย่างลึกลับ "

" ภัยอันตรายอย่างลึกลับหมายถึงอะไร "

" พวกลับแลหรือบังบดมาหาอาตมาอยู่บ่อยๆ มักจะมาตอนค่ำมืดแล้ว ถ้าลับแลนุ่งขาวห่มขาว เป็นพวกบวชแล้ว ถือศีล ๑๐ ข้อ เรียกตัวเองว่าดาบสหรือมุนี เป็นนักพรตคล้ายฤาษี..
ถ้าแต่งตัวธรรมดาเหมือนชาวไร่ชาวนา แสดงว่าเป็นพวกลับแลที่ยังทำมาหากินเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด...
ถ้ารูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำหรือผิวดำ เป็นพวกพญานาคแปลงตัวมาเป็นมนุษย์ ภพภูมิของพญานาคและภพภูมิของชาวลับแลเขาไปมาหาสู่กันได้...

ถ้าชาวลับแลผิวขาว เป็นอีกเผ่าหนึ่งที่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่มีผิวขาว เช่น ภูไท ลาวโซ่ง ชาติจีน ชาติญวน เป็นต้น โลกของชาวลับแลก็คือโลกของวิญญาณหรือโอปาติกะ เมื่อเราเป็นพระประพฤติพรหมจรรย์เข้าไปในโลกของชาวลับแล โอกาสที่จะถูกทดสอบหรือลองของเรื่องพรหมจรรย์มีมาก เป็นต้นว่า

เอาลาภสักการะเพชรนิลจินดา สร้อยแหวนเงินทองสมบัติโบราณมาถวาย เอาสาวงามมาคอยปรนนิบัติวัฏฐาก หรือให้แม่ชีสาวๆ สวยๆ มาอยู่ใกล้ชิด เอาสุรายาฝิ่นมาถวาย อะไรๆ เหล่านี้ ถ้าพระเผลอไผลขาดสติไปแตะต้องเข้าโดยไม่รู้ว่าเป็นเหยื่อล่อ ก็จะถูกชาวลับแลลงโทษหมดโอกาสได้กลับออกมา "

หลวงปู่ตองเล่าต่อไปอีกว่า " พวกบังบดลับแลเคารพนับถือพระภิกษุสงฆ์ ชอบฟังธรรมะ เชื่อในธรรมะ ชอบประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลกินในธรรมะ ไม่อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง อยากได้แต่ธรรมะ อยากสำเร็จธรรมะ อยากไปเกิดในภพภูมิสูงๆ ขึ้นไป...

ชาวลับแลพากันขบขันที่มนุษย์ทั้งหลาย อยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากรวย อยากสวย อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ อยากใหญ่ อยากดัง อยากมีอายุยืนยาวไม่อยากแก่เฒ่า ชาวลับแลบอกว่าชาวโลกมนุษย์มีกิเลสตัณหาความโลภมากยิ่งนัก หลงใหลยึดถือในสิ่งสมมติ เมื่อตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ "

ผู้เขียนได้เรียนถามอีกว่า... " กระผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากปากของปราชญ์ผู้รู้บางท่าน ได้ให้อรรถาธิบายเรื่องลับแลว่า ชาวลับแลหรือบังบดก็ดี พวกคนธรรพ์ในป่าในถ้ำก็ดี เป็นเทวดาชั้นต่ำสุดอาศัยอยู่บนพื้นดินปะปนกับมนุษย์เรา มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณหยาบเหมือนมนุษย์ ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนมนุษย์ แต่ถือศีลธรรมเคร่งครัดมาก มีหิริโอตัปปะละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป...

วิบากกรรมแต่หนหลังทำให้มาเกิดเป็นพวกลับแลหรือคนธรรพ์ชั้นต่ำ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าชั้นสูง คือ ท้าวธตรฐมหาราช จอมคนธรรพ์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์อยู่ที่ทิศตะวันออก ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ "

หลวงปู่ตองตอบว่า " บังบดลับแลเป็นเรื่องลึกลับ อาตมารู้น้อยตอบไม่ได้ "
" ขอถามเรื่องพญานาคอีก "
" พญานาคมีจริง เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิเศษ "
" หลวงปู่เคยเห็นหรือ? "
" อ้าว..งูจงอางยักษ์สองผัวเมียในถ้ำชัยมงคลนั่นแหละ คือพญานาค "
" พญางูจงอางยักษ์ทั้งสอง บอกอย่างนั้นหรือ? "
" เปล่า "
" แล้วหลวงปู่รู้ได้อย่างไร? "

" พวกบังบดลับแลเป็นคนบอกว่า งูจงอางยักษ์สองผัวเมียคู่นั้นเป็นพญานาคอยู่ภูลังกามานานหลายหมื่นปีแล้ว เป็นสหายของพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ผู้ล่วงลับมรณภาพไปแล้ว ดวงวิญาณของพระอาจารย์วังได้สั่งให้พญานาคทั้งสองมารักษาถ้ำชัยมงคลและรักษาอาตมา "

" นอกจากพญานาคทั้งสองที่แปลงร่างเป็นงูจงอางมา หลวงปู่เคยเห็นพญานาคตัวอื่นๆ มั้ย? "

" เห็นบ่อยไป เป็นงูสีแปลกๆ ตัวใหญ่ก็มีตัวเล้กก็มี มากันเป็นสิบเป็นร้อย เลื้อยเข้าออกถ้ำทุกวัน ที่เลื้อยเล่นเพ่นพ่านตามพลาญหินบนยอดภูลังกาก็มีเยอะ พอค่ำมืดลงพวกเขาก็แปลงเป็นมนุษย์มาสนทนาธรรมด้วย จึงได้รู้ว่าเป็นพญานาค "

" จะทำอย่างไรจึงจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแลคนธรรพ์ได้โดยไม่ได้รับอันตราย? " ถามอีก หลวงปู่ตองนิ่งอึ้งชั่วขณะ ก่อนตอบว่า

" เอ! เรื่องนี้มันไม่ง่ายนะ เป็นเรื่องยากมาก มันมีเหตุปัจจัยสนับสนุนหลายอย่างจึงจะได้ประสบพบเห็น เป็นต้นว่า เคยมีความเกี่ยวข้อง ผูกพันกันมาในชาติปางก่อน อาจจะเคยเป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน อาจจะเคยเป็นบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์กันมาในปางก่อน หรืออาจเคยเป็นคู่ครองกัน อาจจะเคยตักบาตรร่วมขันทำบุญร่วมกัน เคยสนับสนุนค้ำชูกันให้เจริญรุ่งเรือง หรืออาจจะมีภาระหน้าที่ผูกพันกันบางอย่าง หรือเป็นศัตรูคู่แค้นจึงจะได้พบกัน "

" อย่างพระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย? "

" ถูกแล้ว! พระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแต่ชาติปางก่อนมาสนับสนุน จึงจะสามารถพบเห็นพญานาคและชาวลับแลได้ ถึงแม้จะเป็นพระธุดงค์ผู้แก่กล้าในฌานสมาบัติ แต่ถ้าไม่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันมาก่อนก็ไม่มีทางจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแล สำหรับคนมีบุพกรรมเกี่ยวข้องผูกพันกันนั้น แม้จะเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ก็สามารถพบกับพญานาคและชาวลับแลได้ มีตัวอย่างหลายรายแต่ไม่อยากพูดถึง "

หลวงปู่ตองถ้ำชัยมงคลภูลังกา มีเรื่องผูกพันกับพญานาคและชาวลับแลอีกมากมายเป็นเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ ท่านบอกว่าเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะเป็นความลับของฟ้าดิน ขืนเปิดเผยไปจะเกิดอาถรรพ์ฟ้าดินลงโษเอาได้ง่ายๆ ชนิดคาดไม่ถึง

อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ฟ้าคะนองเกิดพายุถล่มภูลังกา ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่หม้อแปลงไฟฟ้าห่างจากหลวงปู่ตองประมาณสองวา ท่านสลบไปหลายชั่วโมงจีวรถูกไฟไหม้หมดแต่ไม่ตาย กลับฟื้นคืนชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ! เรื่องพญานาคที่ภูลังกาขอยุติลงเพียงเท่านี้..!

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »