ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 27)
webmaster - 25/5/08 at 15:24

(Update 9 ต.ค. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 27

รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 15




สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต

ตอนที่ 15 เติบโตไปด้วยกัน

ออกอากาศเมื่อ : 2008-08-11



ความเห็นของนักวิชาการ

ในตอนที่แล้ว ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องที่ “นักประวัติศาสตร์” วินิจฉัยกันไปแล้ว สรุปความหมายได้จากคำว่า “นาค” ก็หมายถึงคนเผ่าหนึ่งนั่นเอง แต่ก็ไม่กล่าวถึง “พญานาค” ตามที่ฝ่ายพุทธศาสนาเข้าใจ นักประวัติศาสตร์เหล่านี้ใช้คำว่า “จินตนาการ” ด้วยเพราะอาจจะไม่เชื่อถือนั่นเอง จึงปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์หลายแห่งที่เกี่ยวกับพญานาค จะอธิบายผสมกลมกลืนในลักษณะนี้เหมือนกันหมด

บางครั้งการทำ “วิทยานิพนธ์” ในสถาบันหลายแห่ง ที่นักศึกษาสมัยปัจจุบันนี้ได้เล่าเรียน ต่างมีความเห็นส่วนใหญ่ในท้ายสรุปว่า เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นนิยายปรัมปะราไป แต่ทว่าถ้าได้ศึกษาเรื่อง "พญานาค” อย่าง คุณอุดม เชยกีวงศ์ อดีตนักวิชาการท่านหนึ่งจากกระทรวงศึกษาธิการ ได้เขียนหนังสือ “ตามรอยพญานาค” จากการตั้งปัญหาข้อที่ว่า

พญานาคมีจริงหรือ?
หลาย ๆ คนอาจสงสัยและใคร่รู้ว่าพญานาคมีอยู่จริงหรือไม่ เราเองก็เคยสงสัยเช่นกัน จึงได้เริ่มศึกษาหาอ่านเรื่องราวของพญานาค จากที่ต่าง ๆ มากมาย เพราะโดยส่วนตัวชอบอ่านเรื่องราวลึกลับแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราก็ได้ข้อมูลที่เราอยากรู้มากพอสมควร ที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าพญานาคนั้นมีจริง แต่ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่การใช้วิจารณญาณของแต่ละคน ซึ่งคุณอุดมได้กล่าวไว้ในหนังสือนี้ว่า...

การกำเนิดของพญานาค

การเกิดของพญานาคมีหลายลักษณะ โดยเฉพาะการเกิดที่ปรากฏให้ศึกษาค้นคว้าตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีด้วยกัน 4 ประเภทคือ
1 ) เกิดในฟองไข่
2 ) เกิดในรก ในครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
3) เกิดในสิ่งที่หมักหมมในเปลือกในตม ในที่ชื้นแฉะหรือด้วยเหงื่อไคลโดยไม่อาศัยฟองไข่ และครรภ์ของมารดา คือเกิดนอกครรภ์ เช่น หนอนหรือเชื้อแบคทีเรีย
4 ) ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เช่น พรหม เทวดา เปรต หรือสัตว์นรกทั้งปวง

พญานาค มีทั้งที่เกิดเป็นโอปปาติกะ คือ เป็นกายทิพย์อยู่อีกมิติหนึ่งคล้ายเทวดาหรืออาจเกิดจากฟองไข่ มีวิถีชีวิตเช่นงู นาครักสงบ แม้เกิดในฟองไข่ก็เกิดในถ้ำลำคลองที่ลี้ลับไกลคน

ประเภทของพญานาค
นาคแบ่งลำดับชั้นตามหน้าที่ไว้เป็น 4 พวกคือ
1) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เผ้าวิมานเทพ และเทวดา
2) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
3) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง
4) นาครักษาขุมทรัพย์
เมื่อรวมนาคทั้ง 4 พวกแล้ว จะมีพญานาคทั้งสิ้นประมาณ 512 ชนิด และแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ
1) กามรูปีพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ
2) อพามรูปีพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ

พญานาคบางพวกมีอายุสั้น บางพวกก็มีอายุยืน อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ก้ได้ อย่างพญานาคตัวหนึ่งชื่อพญานาคกาละ มีอายุยืนยาวมาก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ากุสันธะจนถึงพระสมณโคตมะ และจะมีอายุไปจนถึงพระศรีอาริยะเมตไตรย์ ตามปกติพญานาคจะกลัวพญาครุฑ พญานาคที่พญาครุฑไม่สามรถกินเป็นอาหารได้ มีอยู่ 7 พวกด้วยกันคือ
1) พญานาคที่มีชาติกำเนิดที่ละเอียดกว่า และภพภูมิสูงส่งกว่าพญาครุฑ
2) กัมพลสัตรพญานาคราช
3) รตรัฐพญานาคราช
4) พญานาคราชที่อาศัยอยุ่ในมหาสมุทรสีทันดรทั้งเจ็ดสมุทร
5) พญานาคราชที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน
6) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในภูเขา
7) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในวิมาน

พญานาคที่กล่าวมานี้ เป็นพญานาคที่มีปรากฏอยู่ในชาดกทางพุทธศาสนา

พิษของพญานาค
พญานาคเป็นพญางู เมื่อนึกถึงงูก็ต้องนึกถึงพิษของงู ความน่าเกรงขามของพิษพญานาคใน "คัมภีร์ปรมัตถโชติกพมหาอภิธรรมมัตถสังหฏีกา" ปริเฉทที่ห้า จัดหมู่ของนาคไว้ตามชนิดของพิษแบ่งเป็น 4 จำพวกคือ

1) พญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่าง ๆ แม้จะยือหรืองอ หรือเหยียดออกไปไม่ได้จะปวดทรมานมาก

2) ปูติมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วแผลจะเน่าเปื่อยมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา

3) อัคคิมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั้งตัวและรอยแผลที่ถูกกัดเป็นริ้วรอยคล้ายถูกไปไหม้

4) สัตถมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ซึ้งผู้ใดโดนกัดแล้วก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า

พญานาคที้งสี่ประเภทนี้ มีวิธีที่จะทำอันตรายด้วยวิธีที่แตกต่างกันดังนี้
1) ใช้เขี้ยวพิษขบกัด แล้วพิษค่อยแผ่ซ่านไปทั้งตัว
2) ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกมาทางตา
3) มีพิษไปทั่วร่างกาย เพียงแต่ใช้ร่างกายกระทบเข้า ก็เป็นพิษแผ่ออกมาได้
4) ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษออกมาและพิษนั้นจะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย

ความสัมพันธ์ของพญานาคกับคนในเอเชีย
ชาวอินเดีย จีน ทิเบต พม่า ลาว เวียดนาม และคนไทย โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จัก "นาค" จากจินตนาการของคนโบราณ และจดจารึกไว้เป็นนิยายหรือนิทานที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นาคมีความสัมพันธ์กับคนในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษ คือ เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่กลุ่มคนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคารพยกย่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนฟากฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่ตอนใต้ของมลฑลยูนนานลงมาจนถึงปากแม่น้ำโขงในเขตเขมรกับญวณ มีลัทธิบูชานาค
เพราะเชื่อกันว่า นาคเป็นผู้บันดาลให้เกิดแม่น้ำลำคลอง เกิดความอุดมสมบูรณ์ และอาจบันดาลให้เกิดภัยภิบัติได้ เช่น ทำให้เกิดน้ำท่วม บ้านเมืองล่มจม

นิยายของอินเดียใต้และทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือยกย่องว่า นางนาคเป็นบรรพสตรีแห่งตน โดยเฉพาะตำนานของอาณาจักรจามปา และอาณาจักรฟูนันในเวียดนามเหนือ อาณาจักรกัมพูชาในเขมรระบุว่า นาคเป็นเจ้าแม่ครองแผ่นดินอยู่ก่อน ภายหลังจึงมีพราหมณ์จากเมืองไกลมาสมสู่เป็นผัวนางนาค มีลูกหลานเป็นมนุษย์ และได้สร้างบ้านสร้างเมืองขึ้น

ถิ่นฐานเดิมของนาค
ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ และ ตำนานอุรังคธาตุ ระบุว่าถิ่นฐานเดิมของนาคอยู่ที่หนองแส หนองแสอยู่ที่ไหนยังไม่มีข้อยุติ เพราะแบ่งความเชื่อออกเป็นสองฝ่าย คือ
ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า หนองแส คือทะเลสาป "เอ๋อไห่"(หรือตาลีฟู) ซึ่งเป็นศูนย์กลางจองอาณาจักรน่านเจ้า อยู่เหนือเมืองคุณหมิงขึ้นไป
อีกฝ่ายเชื่อว่า หนองแส คือ ทะเลสาป "เตียนฉือ" อยู่ที่เมืองคุณหมิง ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของมลฑลยูนนาน อยู่ใต้เมืองต้าหลี่ลงมา
เหตุผลของความเชื่อนี้เพราะมีวัฒนธรรม "เตียน" ที่ทำเครื่องมือโลหะ เช่น มโหระทึกสำริด ฯลฯ สัมพันธ์กับวัฒนธรรม "ตองซอน" ในเวียดนามเหนือมีเครื่องมือโลหะ เช่น มโหระทึกสำริด ฯลฯ คล้ายคลึงกัน
ไทยลือเรียกทะเลสาบคุณหมิงว่า "หนองแส" นาคละทิ้งถิ่นฐานที่อยู่เดิม คือหนองแส ลงมาทางใต้พร้อมกับก่อให้เกิดแม่น้ำสายใหม่หลายสายตามตำนานของเมืองสุวรรณโคมคำ ( อยู่ในพงศาวดารภาคที่ 72 )

นาคในพระอภิธรรม
ในพระอภิธรรมได้จัดพญานาคอยู่ในหมวดเดรัจฉาน ถือกำเนิดเหตุแห่งอกุศล แต่ดำรงตนด้วยอำนาจแห่งบุญกุศล ฉะนั้นการถือกำเนิดจึงเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่มีความเป็นอยู่ดั่งเทวดา แต่ว่าไม่สามารถดำรงกายเป็นทิพย์ได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องมีอาการ 5 ลักษณะในรูปของเดรัจฉานได้แก่

1) ปฏิสนธิอยู่
2) ลอกคราบ
3) เสพกามกับนาคด้วยกัน
4) หลับไหลไม่มีสติ
5) ถึงแก่ความตาย

อาการดังกล่าวย่อมอยู่ในรูปของเดรัจฉาน แต่นาคยังสามารถ เนรมิตตนให้งามเหมือนเทวดาได้ ซึ่งแยกเป็น 2 ประเภทคือ
1) พญานาคที่เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เพียงบนบก
2) พญานาคที่เกิดในน้ำ เนรมิตกายตนได้เฉพาะในน้ำ

ทำไมพญานาคถึงไม่สามารถบรรลุถึงธรรม

พญานาคเป็นสัตว์อยู่ในติรัจฉานภูมิ เป้นอยู่ด้วยสัญญา 3 อย่างคือ
1) กามสัญญา คือ การรู้จำในกามกิเลส
2) อาหารสัญญา คือ การรู้จำในการหากินอาหาร
3) มรณะสัญญา คือ เดรัจฉานทุกชนิดย่อมรู้จักตาย

สิ่งที่พญานาคไม่มีก็คือ "ธรรมสัญญา" จึงไม่สามารถบรรลุพระนิพพานได้ นาคบางหมู่บางพวกก็ถึงกับไม่รู้บาป ไม่รู้บุญ เป็นเดรัจฉานสัตว์แท้ ประหนึ่งงูมีเขาหรือมีฤทธิ์ หากเป็นนาคที่เป็นเทพติรัจฉานย่อมบังเกิดมีธรรมสัญญาอยู่บ้าง คือ รู้บุญ รู้บาป รู้จักบำเพ็ญตบะธรรม มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป แต่ย่อมไม่สามารถบรรลุเป็นอริยบุคคลได้ ตัวธรรมสัญญานี้มีมากน้อยต่างกันในหมู่นาค หรือสัตว์เดรัจฉานแต่ละตัวตน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบาปบุญที่เคยสะสมมา

ที่มา – จากหนังสือ “ตามรอยพญานาค” โดย คุณอุดม เชยกีวงศ์



หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

"....... ผู้เขียนได้ลำดับเรื่อง “พญานาค” ทั้งในประเทศลาว พม่า และเขมร ต่อไปจะขอเล่าเรื่องพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองทางภาคอีสานกันอีก คือ หลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุกมีพระรูปลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากองค์พระเบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ชาวเมืองหนองคายนับถือกันมาก ความในตอนนี้ คุณอภิรัตน์ชัย จอมศรี บรรยายต่อไปอีกว่า

มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทยหลายตอน เสด็จในกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือ "ประวัติพระพุทธรูปสำคัญ" ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาง พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในประเทศบ้านช้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาทั้งสามของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งเมืองล้านช้าง คือ เจ้าหญิงคำสุก เจ้าหญิงคำเสริม และ เจ้าหญิงคำใส ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้ขออนุญาตพระราชบิดาหล่อพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น โดยขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามของตนเอง คือ

1. พระสุก ปัจจุบันจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง ต.กุดบง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย (มีประวัติคล้ายกับ พระเจ้าล้านตื้อ ที่จมอยู่ในแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นแนวเขตแดนระหว่างไทย – ลาวเหมือนกัน คล้ายกับช่วยรักษาเขตแดนหรืออย่างไรกัน ขอท่านผู้รู้ลองไปศึกษาเรื่องนี้ด้วย)
2. พระเสริม ประดิษฐานอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม กรุเทพฯ
3. พระใส ประดิษฐานอยู่ที่ วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย

พ.ศ. 2321 พระเจ้าธรรมเทววงศ์ได้อัญเชิญไปไว้ ณ เวียงจันทน์ และในสมัยราชกาลที่ 3 ได้อัญเชิญมาฝั่งไทย แต่เกิดพายุ พระสุกจมน้ำอยู่ที่ปากงึม (เวินพระสุก) ส่วนพระเสริมและพระใส ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย และวัดหอก่อง ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้อัญเชิญพระเสริมลงมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ ส่วนพระใสประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ทุกปีในวันเพ็ญกลางเดือน 7 ชาวเมืองหนองคายจะมีงานประเพณีบุญบั้งไฟบูชา พระใส ที่วัดโพธิ์ชัยเป็นประจำปี

เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินพระสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย
มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาคนั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอา พระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล

ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาคจะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ "พญานาค" ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า "พญานาค" ในเมืองบาดาล "เวินสุก" อยู่ตรงข้ามกับ บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี

เมืองพญานาค หรือ เมืองบาดาล (“คลิก” ดูแผนที่ จ.หนองคาย)
ในเมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเป็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (แต่อย่าอุตริขุดไปหาพญานาคก็แล้วกัน)

ใต้เมืองโพนพิสัย
ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ “บ้านโดน” ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาล ที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัยว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน

วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภชกัน

จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า

"วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมี “หมู” เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่

แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศรีษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับ ปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนสีขุ่น ๆ ของน้ำ

ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า

หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อย ๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้" จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

สิ่งต้องห้ามของชาวอำเภอโพนพิสัย
สิ่งต้องห้ามสิ่งหนึ่งของชาวอำเภอโพนพิสัย ก็คือ ห้ามนำ "มุ้ง" ลงไปซักในแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เพราะจะทำให้บริเวณนั้นพังทลายเมื่อถึงหน้าฝน และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อถึงหน้าฝนทุกปี หากมีคนนำมุ้งลงไปซัก หลายคนไม่เชื่อได้นำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ก็มักพบกับสิ่งแปลก ๆ บางคนก็เห็นปลาว่ายวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้น

แต่หลายคนจะเห็นเป็นงูว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ที่ซักมุ้ง บางคนจะเห็นเป็นงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำเป็นสายตรง จากท่าวัดจุมพล แล้วมุ่งหน้าไปที่ปากห้วยกุง บ้านหนองกุงฝั่งลาว จะเป็นสายน้ำ ลักษณะเช่นนี้จะเห็นในตอนเที่ยงวัน ที่วันไหนแดดร้อน ชาวบ้านเรียกสิ่งนี้ว่างูใหญ่ ที่มีชื่อว่า "นาคตาเดียว"

เนื่องจากครั้งหนึ่งได้มีฝรั่งไปนอนอาบแดดอยู่หาดทรายบ้านโดน แล้วมีคนหนึ่งจมน้ำตายไป เมื่อฝรั่งขึ้นเครื่องบินดูกลับเห็นว่า มีงูใหญ่ตัวหนึ่งทับร่างอยู่ จึงได้โยนลูกระเบิดลงมาและถูกงูใหญ่ตัวนั้น ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด (เรื่องนี้สอบถามชาวบ้านได้) จนต่อมาชาวบ้านก็จะเรียกว่า "ไอ้เดี่ยว" หรือ "นาคตาเดียว" และมักจะปรากฏให้ชาวบ้านที่ออกไปหาปลาเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่ทำร้ายใคร ตั้งแต่ถูกลูกระเบิด บางครั้งที่บริเวณห้วยกุง (ฝั่งลาว)

บางวันแดดร้อน ๆ ชาวบ้านจะเห็นน้ำพุ่งขึ้นจากห้วยเป็นลักษณะเหมือนละอองน้ำเป็นลูกใหญ่ขนาดเท่าลำตาล และเห็นหัวงูขนาดใหญ่ในละอองน้ำ เหมือนกับว่ากำลังพ่นน้ำเล่นอยู่ในห้วย สายน้ำที่มีลักษณะเหมือนงูว่ายน้ำนั้น ผู้เขียนเองก็เห็นมากับตา เพราะผู้เขียนเองได้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำวัดจุมพล พร้อมกับพรรคพวก ขณะพักผ่อนที่ริมน้ำ

นอกจากการเห็นงูใหญ่ว่ายน้ำไปมาเป็นแนวตรง ดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวโพนพิสัยได้กระทำกันเป็นประเพณีติดต่อกันมา เพื่อเป็นการสักการะเจ้าแม่คงคา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลำแม่น้ำโขง โดยการไหลเรือไฟ ที่ทำจากกาบกล้วยใส่ขี้ใต้จุดให้ไหลไปตามน้ำ ซึ่งทำการไหลตั้งแต่ท่าน้ำบ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง แต่ไม่มีการแข่งขันประกวดกันเหมือนทุกปี ซึ่งจะทำกันในวันออกพรรษาของทุกปี ซึ่งจะมีการไหลเรือไฟก็ต่อเมื่อเสร็จจากการเวียนเทียน

ลูกไฟประหลาด
หลังจากการเวียนเทียนเสร็จในวันออกพรรษาที่วัดไทย (ทุกวัดจะมารวมกัน) อ.โพนพิสัย แล้ว พระเณรส่วนหนึ่ง พร้อมด้วยชาวบ้านก็จะนั่งเรือหางยาวนำเรือไฟที่ทำด้วยกาบกล้วย ต้นกล้วย ขึ้นไปปล่อยจากท่าน้ำวัดบ้านแดนเมือง ตงวัดหลวง (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) ได้ขึ้นไปในเรือและก็ปล่อยเรือไฟลงมา ตอนนี้ก็จะดับเครื่องเรือแล้วปล่อยให้ไหลลงมาเรื่อย ๆ

ในความเงียบนี้เมื่อมาถึงแถวท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นมีสิ่งเหมือนลูกไฟผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ เป็นลูกสีแดงอมชมพู ขึ้นสูงจากผิวน้ำประมาณ 2-3 วา แล้วก็ดับไปในอากาศ จะขึ้นจุดละ 1 ลูก นาน ๆ จะขึ้นลูกหนึ่งและก็เรื่อยมา ที่ปากห้วยหลวงท่าวัดจุมพล และจะมีมากที่ท่าน้ำวัดไทย ซึ่งเป็นที่รวมของพระเณร และชาวบ้านที่มาร่วมกันเวียนเทียน และอีกแห่งที่เห็นลูกไฟนี้คือ ท่าน้ำวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย

ลูกไฟที่ว่านี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อบนฝั่งเงียบสงัด เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงคืนก็คืน จะเกิดขึ้นลูกเดียวโดด ๆ จะเกิดห่างกันหลายนาที และจะเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น สมัยเมื่อปี 2516 ลงไป ลูกไฟนี้จะเกิดน้อยมาก แต่ชาวบ้านก็รอดูกันโดยการปูเสื่อนั่งรอดูอยู่ตามวัดไทย วัดจุมพล คนดูก็ไม่มาก บางคนก็หลับไปเพราะรอดูลูกไฟประหลาด

ลูกไฟประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว เพราะว่าคนแก่ที่มีอายุ 80 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2540) ได้บอกว่าเมื่อตนยังเป็นเด็กก็เคยเห็นลูกไฟนี้เหมือนกัน และพ่อแม่ก็ได้บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน

ต่อมาเมื่อชาวอำเภอโพนพิสัย ได้ไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และประกอบกับสื่อสารมวลชนได้ลงข่าวเมื่อปี พ.ศ.2519 ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ชาวอำเภอโพนพิสัย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเห็นมาทุกปี จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ซึ่งผิดกับชาวต่างจังหวัดที่พากันมาดูแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จึงมีคนมาในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดทำให้รถยนต์ติดกันเป็นแถวในวันออกพรรษาของทุกปี

ลักษณะของลูกไฟ...จะมีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ บริเวณขึ้นก็ไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง และบางครั้งจะขึ้นใกล้ฝั่ง การเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง

ในปัจจุบันนี้ ลูกไฟจะขึ้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ คือเวลาประมาณ 18.00 น. จะขึ้นจุดละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก และขึ้นสูงจากผิวน้ำตั้งแต่ 50-100 เมตร จะมีลูกใหญ่ เล็กไม่แน่นอน และจุดเกิดไม่แน่นอน จะเปลี่ยนจุดเกิดไปเรื่อย ๆ แต่จะเกิดในเขตบริเวณ อ.โพนพิสัย ตลอดแนวของแม่น้ำโขง นอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ในหนองน้ำขนาดใหญ่ก็มีลูกไฟขึ้นเช่นกัน เช่น หนองสรวง บ้านร่อนถ่อน ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ทุกวันนี้จะมีชาวต่างจังหวัด และต่างประเทศเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย เพื่อดูลูกไฟประหลาดนี้กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าจากทั่วสารทิศ

ที่เกิดของลูกไฟ...
ลูกไฟประหลาด นี้จะเกิดขึ้นตามบริเวณตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง ปากห้วยหลวง ท่าน้ำจุมพล ท่าน้ำวัดไทย ท่าน้ำวัดจอมนาง และบริเวณปากน้ำงึม บ้านหนองกุง ต.กุดบง ท่าน้ำบ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี ท่าน้ำบ้านท่าม่วง กิ่ง อ.รัตนวาปี และที่แก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ และที่บริเวณท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ ที่กล่าวมทั้งหมดอยู่ในจังหวัดหนองคาย

แต่ก่อนจะมีคนเห็นเฉพาะที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เป็นส่วนมาก ลูกไฟที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงนี้ ที่เกิดมาเป็นเวลานาน ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"

บั้งไฟพญานาค...จะแตกต่างจากลูกไฟทั่วๆ ไปที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะลูกไฟที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นสีแดง มีเปลวไฟขณะกำลังพุ่งขึ้น แล้วโค้งตกลงมา แต่ บั้งไฟพญานาค นี้ เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีเปลวไฟ ขึ้นตรง ดับกลางอากาศ ไม่มีตก ไม่มีควัน ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าลูกไฟทั่ว ๆ ไป

ที่มา - คุณอภิรัตน์ชัย จอมศรี www.kunkroo.com

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »