ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 5)
webmaster - 12/2/08 at 13:02

(Update 16 ก.ย. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 5


ข่าวสดรายงาน..ฮือฮา "รอยพญานาค"
กลางสระพระธาตุพนม

ชาวบ้านมุงดูรอยที่เกิดใน "สระพญานาค" ซึ่งเป็นสระน้ำใน วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม ชาวบ้านวิจารณ์กันว่าคล้าย "รอยพญานาค" เพราะมีร่องรอยเหมือนเกล็ดเต็มไปหมด

เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ผู้สื่อข่าวประจำ จ.นครพนม รับแจ้งว่า พบรอยเลื้อยคล้ายรอยพญานาคที่เคยพบที่ จ.หนองคาย อยู่บริเวณกลางสระน้ำ "วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร" อ.ธาตุพนม จ.นครพนม จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่ามีชาวบ้านกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูรอยดังกล่าว ที่ปรากฏอยู่บนพื้นโคลนตมที่ยังไม่แห้งสนิทในสระน้ำกลางวัดพระธาตุพนม

โดยวิพากษ์วิจารณ์ว่า น่าจะเป็นรอยเลื้อยของ "พญานาค" ที่มาอยู่ในสระปกปักรักษาองค์พระธาตุพนม หรือไม่ก็อาจเป็นรอยของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่า งู ตะพาบน้ำ ที่ญาติโยมและประชาชนนำไปปล่อย แต่เท่าที่สอบถามส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่ารอยเลื้อยที่ปรากฏให้เห็นน่าจะเป็นรอยพญานาคมากกว่าสัตว์อื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจุดพบรอยเลื้อยที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่พบเห็น เพราะเป็นสระน้ำของวัดชื่อว่า "สระพญานาค" อยู่ใกล้กับกุฏิเจ้าอาวาสองค์ล่าสุดที่มรณภาพไปแล้ว คือ พระธรรมปริยัติมุณี (นวน) เขมจารี สระน้ำแห่งนี้มีความกว้างประมาณ 15 เมตร ยาว 20 เมตร ผนังบ่อฉาบซีเมนต์ ด้านหน้าบ่อมีรูปปั้นพญานาค 7 เศียร ชูคอบนฐานศาลาคอนกรีตสูง 2 เมตร และมีสะพานคอนกรีตคั่นกลางไว้เดินข้ามสำหรับให้ผู้คนปล่อยปลา เต่า ปลาไหล และตะพาบน้ำ เพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์

บนพื้นโคลนใกล้สะพานข้ามสระน้ำดังกล่าว พบรอยเลื้อยยาวกว่า 10 รอยเลื้อยไขว้กันไปมา ทั้งรอยเล็กและรอยใหญ่ มีขนาดความกว้างของรอย 2-3 นิ้ว และใต้สะพานยังพบรอยเลื้อยอีก 5-6 รอย คงสภาพที่มองเห็นได้ชัดเจนกว่ารอยอื่น โดยตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนและนักท่องเที่ยวที่แวะมานมัสการพระธาตุพนมที่ทราบข่าว ต่างทยอยกันเดินทางมาดูไม่ขาดสาย

พระมหาสวรรค์ กิตตวัฒโน พระลูกวัดพระธาตุพนม กล่าวว่า หลังจากที่ตนเดินทางกลับจากไปดูบั้งไฟพญานาคที่ จ.หนองคาย ในคืนวันที่ 18 ต.ค. มาถึงวัดตอนตี 3 ขณะจะเตรียมตัวออกบิณฑบาต ลูกศิษย์วัดวิ่งหน้าตาตื่นมานำตนไปดูรอยเลื้อยคล้ายพญานาคที่ปรากฏกลางสระ เห็นครั้งแรกมีหลายสิบรอย แต่ละรอยยาวชัดเจนมาก ลักษณะเลื้อยไขว้กันไปมา

ทีแรกก็คิดว่าอาจเป็นรอยเต่า งู หรือตะพาบน้ำ แต่เมื่อมองดูนานๆ ชัดๆ ก็น่าจะไม่ใช่ เชื่อว่าน่าจะเป็นรอยคล้ายรอยพญานาคมากกว่า เพราะข้างรอยมีรอยจ้ำๆ ตลอดแนว และสระน้ำแห่งนี้เท่าที่ทราบเป็นสระน้ำโบราณที่ใครเกิดมาก็ต้องเห็นทุกคนในสมัยก่อน เชื่อว่าในสระอาจมีพญานาคมาอยู่ เพื่อคอยรักษาพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าที่บรรจุไว้ในองค์พระธาตุพนม

"ผู้คนที่มาดูต่างก็สันนิษฐานกันไปต่างๆ นานาแล้วแต่ความเชื่อ แต่อาตมาเชื่อว่ามีพญานาคจริง เพราะชื่อสระยังตั้งชื่อว่าสระพญานาค เป็นสระโบราณเก่าแก่ที่สมัย หลวงพ่อแก้ว (พระธรรมาราชานุวัตร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเมื่อ พ.ศ.2480-2532 มาบูรณะสระใหม่ ข้างสระยังสร้างหอพญานาคไว้ ส่วนหลังสระยังสร้างถ้ำไว้ทำวัตถุมงคลพญานาค นอกจากนี้หลวงพ่อแก้วยังตั้งเครื่องทรงพญานาคไว้ 7 องค์ ถึงแม้จะไม่เคยเห็นตัวพญานาคเห็นเพียงแต่รอยก็เชื่อ" พระมหาสวรรค์กล่าว

ด้านพระครูสังฆรักษ์ทีปธัมโม อดีตเลขาฯ เจ้าอาวาส ซึ่งจำพรรษาในกุฏิใกล้สระ กล่าวว่า สระแห่งนี้สร้างมานาน ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่มาก ญาติโยมที่มาทำบุญก็มักจะนำเอาปลาเต่ามาปล่อย กระทั่งทางวัดมีโครงการจะสร้างหออาศรมหมอชีวก ขึ้นที่บริเวณสระพญานาคซึ่งมีความลึก 2 เมตร ในวันที่ 16-18 ต.ค.ที่ผ่านมา

คนงานของวัดเริ่มลงมือน้ำเครื่องสูบน้ำมาสูบเอาน้ำออก กว่าน้ำจะหมดสระก็ล่วงเลยรุ่งเช้าของวันที่ 19 ต.ค. ก่อนน้ำจะแห้งขอดในวันที่ 17 พระเณรและญาติโยมกว่า 10 คน ต่างช่วยกันไปจับปลา เต่า ตะพาบ ออกไปปล่อยไว้ในสระอีกแห่งหน้าเมรุจนหมดก่อนหน้านี้แล้ว ไม่น่าที่จะมีสัตว์เลื้อยคลานหลงเหลืออยู่

พระครูสังฆรักษ์กล่าวต่อว่า รอยเลื้อยที่พบคาดว่าเกิดขึ้นในคืนวันที่ 18 ต.ค. เป็นวันเดียวกับเกิด "บั้งไฟพญานาค" ที่ จ.หนองคาย คือในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 แต่พระมหาสวรรค์ที่กลับจากดูบั้งไฟพญานาคพบเห็นในรุ่งเช้าของวันที่ 19 ต.ค. จากนั้นจึงบอกญาติโยมให้ไปดู ก่อนที่ข่าวจะแพร่สะพัด จนกระทั่งมีประชาชนแห่กันเดินทางมาดูวันแรก 2-3 พันคน จนแทบไม่มีที่จะจอดรถ อย่างไรก็ตามรอยที่เกิดขึ้นเชื่อว่าน่าจะเป็น รอยพญานาค ที่ใน "ตำนานพระธาตุพนม" ระบุว่ามีพญานาคถึง 7 ตัว คอยปกปักรักษาองค์พระธาตุตราบเท่าทุกวันนี้

ด้าน ดร.สมเกียรติ กสิกรานันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาพืชและสัตว์ มหาวิทยาลัยนครพนม เดินทางมาดูพร้อมกล่าวว่า คาดว่าน่าจะเป็นรอยของสัตว์ตระกูลงู มีเกล็ดใหญ่แน่นอน ลักษณะของเกล็ดเมื่อเวลาเคลื่อนที่เกล็ดจะถ่างออก และขยับเกล็ดเข้า พอกล้ามเนื้อยืดเกล็ดก็จะถ่างออก

จากรอยที่พบเห็นค่อนข้างชัดเจนมาก จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสัตว์ในตระกูลสัตว์เลื้อยคลาน น่าแปลกใจว่าทำไมตัวใหญ่ขนาดนี้ คาดประมาณลำตัวน่าจะใหญ่เท่าเสาเรือน เป็นลักษณะเดียวกันที่พบบนโคลนริมแม่น้ำโขง และพบบนกระโปรงรถยนต์ใน จ.หนองคาย

ดร.สมเกียรติกล่าวต่อว่า ประชาชนต่างเชื่อว่าเป็นรอยเคลื่อนย้ายของพญานาค ถ้าหากจะเป็นรอยงูเหลือมจะต้องเป็นงูขนาดใหญ่ และต้องกินอะไรเข้าไปสักอย่างจึงจะใหญ่ขนาดนี้ แต่เกล็ดก็คงไม่ใหญ่ เท่าที่เห็นมีรอยอยู่ 4 ลักษณะ มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน เล็กสุดก็ประมาณข้อแขนคน และมีรอยลักษณะข้ามสะพานไปก็มี ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของงูธรรมดา เพราะถ้าเป็นรอยงูขนาดใหญ่ จะไม่มีรอยจ้ำๆ คล้ายอุ้งเล็บอะไรบางอย่าง เชื่อว่าไม่ใช่รอยเท้าเต่า และตะพาบแน่นอน

ที่มา - ข่าวสด วันที่ 23 ต.ค. 2548

อีกข่าวจาก "ไทยรัฐ" วันนี้อีก ช่วง 4-5 ปีก่อนไม่เชื่อครับ
แต่ 2-3 ปีหลัง เริ่มคิดว่าไม่แน่ครับ


หลู่ 'พญานาค' ดับคาแม่น้ำโขง

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 12 ต.ค. ร.ต.ท.กมล ศิริพันธ์ ร้อยเวร สภ.ต.หอคำ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ได้รับแจ้งจากนายสมปอง ประวิเศษ ผญบ.หนองเข็ง หมู่ 3 ต.หอคำ ว่าพบศพชายไม่ทราบชื่อ ขึ้นลอยมาตามแม่น้ำโขง จึงช่วยกันผูกไว้ขอให้ไปตรวจสอบด้วย จึงเดินทางไปตรวจสอบพบศพ ชายไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงในสีขาวตัวเดียว รูปร่าง สันทัด ผมสั้น สูงประมาณ 170 ซม. สภาพศพขึ้นอืด ตามร่างกายไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย จึงประสานไปยังหน่วยข้างเคียงว่ามีการแจ้งเหตุคนหายหรือไม่

กระทั่งได้รับแจ้งจาก สภ.กิ่ง อ.รัตนวาปี จ.หนองคายว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ตรงกับคืน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค พ.ต.ท.ดำรงชัย ไล้ทองดี รอง สว.สส. สภ.กิ่ง.อ. รัตนวาปี ได้รับแจ้งจากนายเสกสรรค์ สุขสมพืช อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 808 ถนนโพธิ์กลาง ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา ว่า เพื่อนชื่อ นายสุทธินันท์ พวกพระลับ อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นชาว จ.นครราชสีมา ได้เดินลงไปในแม่น้ำโขงหายไป

ต่อมาได้มีญาติๆ มาติดต่อขอดูศพและยืนยันว่าผู้ตายคือ นายสุทธินันท์จริง โดยให้การว่า ในช่วงบ่ายวันเกิดเหตุ นายสุทธินันท์และเพื่อนๆ รวม 6 คน เดินทางจากบ้านเพื่อมาชมบั้งไฟพญานาคที่ บ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี โดยนายสุทธินันท์พูดว่า คืนนี้ไม่มี "บั้งไฟพญานาค" เนื่องจากพญานาคป่วย
พอตกเย็นขณะนั่งดื่มเหล้าริมน้ำโขงเฝ้ารอชมบั้งไฟ นายสุทธินันท์ยังพูดอีกว่า คืนนี้ไม่มีบั้งไฟพญานาคแน่นอน หากใครเห็นให้มารับเงินได้เลย และยังบอกอีกว่า พญานาคได้อีเมล์มาบอกว่า เวลาสองทุ่มครึ่งจึงจะมาจุดบั้งไฟ

จากนั้นเวลาสองทุ่มเศษ นายสุทธินันท์ซึ่งเริ่มมีอาการมึนเมาได้ตะโกนขึ้นมาดังๆว่า ทำไมพญานาคยังไม่มาจุดบั้งไฟเสียที และบอกให้เพื่อนนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวจะลงไปตามพญานาคมาจุดบั้งไฟ พอพูดเสร็จจึงลุกขึ้นแล้วเดินลงไปในน้ำ จากนั้นว่ายไปกลางแม่น้ำโขง ซึ่งระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ นปข.และตำรวจน้ำได้ฉายสปอตไลต์ตามไปติดๆ และประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้กลับเข้าฝั่งแต่ร่างนายสุทธินันท์ จมหายไปกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างรวดเร็ว

หลังวันเกิดเหตุ ญาติพี่น้องของนายสุทธินันท์ได้ ออกติดตามหา โดยแจ้งกับชาวบ้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทุกหมู่บ้านพร้อมแจ้งรูปพรรณสัณฐาน หากใครพบเห็นให้ช่วยเก็บศพไว้จะมีรางวัลให้ 2,000 บาท โดยก่อนหน้านั้นทางญาติได้ไปดูร่างทรงทราบว่า นายสุทธินันท์ เสียชีวิตแล้วเนื่องจากพูดจาลบหลู่พญานาค

และศพผู้ตายจะโผล่ที่บริเวณแก่งอาฮง "สะดือแม่น้ำโขง" หน้า วัดอาฮงศิลาวาส ต.หอคำ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย เวลาบ่ายโมง วันที่ 12 ต.ค. ห่างจุดเกิดเหตุ 20 กม. จึงได้มารอเก็บศพ จนกระทั่งได้รับแจ้งดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่านายสุทธินันท์เสียชีวิตเพราะพูดจาสามหาว ท้าทายและลบหลู่พญานาค จึงถูกพญานาคตามมาเอาชีวิตดังกล่าว หลังชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จึงมอบศพให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

โพสเมื่อ 23 ต.ค. 2548 เวลา 22:45 น.
โดย Darth Vader

ส่วนอันนี้ที่ออกรายการ "เจาะใจ" อาทิตย์ก่อนครับ ภาพวีดีโอพญานาคว่ายทวนน้ำกลางแม่น้ำโขง ผมดูเจาะใจแล้วขนลุกครับ เพราะตัวใหญ่และยาวมาก

"พญานาค"คึกคักอ้างเห็นตัวแล้ว

ฮือฮา..วีซีดีบันทึกภาพพญานาคขึ้นเล่นน้ำแม่น้ำโขงนานนับสิบนาที ผลิตขายเป็นล่ำเป็นสัน เผยให้เห็นภาพประหลาด ผิวแม่น้ำโขงแตกเป็นคลื่นด้วยฝีมือของตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่ผิวน้ำส่วนอื่นเรียบสนิท "ช่างอ๊อด"ผู้บันทึกภาพไว้ได้เปิดใจ มั่นใจเป็นพญานาคแม่น้ำโขงจริง มีอยู่ทั้งหมด 7-8 ตน ว่ายทวนแม่น้ำโขงขึ้นไป ต้องวิ่งตามถ่ายเป็นระยะทางร่วม 300 เมตร ขณะที่กระแสของชาวบ้านริมโขงปีนี้ โจษขานกันหลายคนว่าได้พบเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันกับตา เกิดเป็นกระแสความเชื่อที่ยิ่งกว่าบั้งไฟพญานาค

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใน จ.หนองคาย เพื่อพิสูจน์ความลึกลับมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 18 ต.ค. โดยเส้นทางถนนมิตรภาพ สายอุดรธานี-หนองคาย เนืองแน่นไปด้วยรถยนต์ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารปรับอากาศ มุ่งหน้าเข้าสู่หนองคาย อ.โพนพิสัย และกิ่งอ.รัตนวาปี

แต่สภาพการจราจรยังคงคล่องตัวไม่ติดขัด ขบวนรถยังเคลื่อนตัวได้ดี ซึ่งตามพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในหลายจุดที่เคยเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค มีพ่อค้าแม่ค้าตั้งโต๊ะขายของกินของใช้กันจำนวนมาก บางแห่งมีการจัดสวนสนุกให้เด็กๆ ได้เล่นกันด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างพากันจับจองสถานที่ชมบั้งไฟพญานาคกันก่อนล่วงหน้า

.......นอกจากนี้ ที่วัดหลวง ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีเสียงเล่าลือจากชาวบ้านที่มาทำบุญช่วงออกพรรษาว่าพบเห็น "พญานาค" เล่นน้ำกลางลำน้ำโขง โดย นางสมศรี วงศ์เลิศสุวรรณ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/3 หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เล่าว่า
........ขณะที่ตนกับเพื่อนที่มาทำบุญด้วยกันประมาณ 30 คน กำลังนั่งทำกระทงรูปทรงพญานาคไว้ให้ประชาชนที่มาทำบุญได้นำไปลอยในน้ำโขงอยู่นั้น ได้มองไปบริเวณกลางน้ำโขง ก็เกิดเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายพญานาค มีเกล็ดเป็นประกายสีทองสวยงาม ขนาดยาวกว่า 10 เมตร กำลังว่ายทวนน้ำโขง จากนั้นก็พบช่วงท้ายลำตัวพญานาคเล่นน้ำ นับรวมได้ 7 ตน เล่นน้ำนานอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็หายไป

นอกจากพวกตนที่นั่งอยู่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวบ้านที่มาทำบุญด้วยประมาณ 100 คน ก็พบเห็นด้วยเช่นเดียวกัน และพากันเชื่อว่าเป็นพญานาคมาปรากฏกายให้เห็นในช่วงวันออกพรรษา ต่างพากันยกมือกราบไหว้พญานาคในน้ำโขง

นางสมศรีเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ขณะที่ตนอายุ 27 ปี ตนเคยป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ ปวดขาเป็นประจำ ต้องให้หมอฉีดยาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนมาคืนหนึ่งฝันเห็นพญานาคตัวสีเขียว สวยงามมาก บอกให้ตนทำกรวย 5 หรือขันธ์ 5 ดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา แล้วจะหายป่วยและมีโชคลาภ พอตื่นเช้ามาก็ได้ทำตามความฝัน และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยปวดขาอีกเลย เชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาค ก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาตั้งแต่นั้นมา

ด้านนางหนูจีน รื่นจิต อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 819/2 หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ บอกว่า มาทำบุญที่ วัดหลวง อ.โพนพิสัย แห่งนี้เป็นประจำทุกปี เพราะศรัทธาและเชื่อว่าพญานาคมีอยู่จริงในแม่น้ำโขง โดยได้บูชา พระภุชงค์นาคา และ ท้าวปู่ศรีสุทโธไว้ประจำที่บ้าน และได้มาทำบุญวันออกพรรษาที่ อ.โพนพิสัย ตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.48 ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ และยังไม่พบปรากฏการณ์หรือปาฏิหาริย์

จนเมื่อวันที่ 16 และ 17 ต.ค.นี้ ตอนเช้าน้ำโขงยังนิ่งไม่มีคลื่นน้ำ จนกระทั่งเวลาประมาณ 09.00 น. ก็เห็นพญานาคเล่นน้ำอยู่กลางน้ำโขงค่อนไปทางฝั่งประเทศลาว และไม่คิดว่าเป็นปลา เพราะมีขนาดใหญ่มาก และมีประกายวาวแววสวยงาม ตนเคยเห็นบั้งไฟพญานาคแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เชื่อว่ามีบั้งไฟพญานาคเป็นสิ่งอัศจรรย์และเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อว่ามีพญานาคอยู่ใต้บาดาล หากใครจะมองว่างมงายก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นความเชื่อและศรัทธาส่วนตัว


ก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 19.00 น. คืนวันที่ 16 ต.ค. ที่บริเวณที่ราชพัสดุ ข้างวัดลำดวน ริมฝั่งแม่น้ำโขง เขตเทศบาลเมืองหนองคาย นายทรงพล โกวิทศิริกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย เป็นประธานเปิดการแสดงแสงสีเสียงเปิด ตำนานบั้งไฟพญานาค ของชมรมนาฏศิลป์หนองคาย เป็นปีที่ 8 หนึ่งในกิจกรรมงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค ประจำปี 2548

การแสดงแสงสีเสียงเปิด ตำนานบั้งไฟพญานาค หรือการแสดงชุด "มหาพุทธบูชานาคประทีปนาฏนันทการ" เนื้อเรื่องเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวตามจินตนาการ ผสานกับตำนานพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพญานาคี ที่เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ถึงขั้นแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อปวารณาตัวกับพระพุทธเจ้าขอบวชเป็นพระภิกษุ

แต่เมื่อพระพุทธเจ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วพญานาคีเป็นพญานาค ซึ่งเปรียบกับสัตว์เดรัจฉาน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระภิกษุ จึงขอให้พญานาคีลาสิกขาบท ซึ่งพญานาคียินยอม และพร้อมจะถวายความจงรักภักดีแด่พระพุทธเจ้า อีกทั้งพญานาคีได้ขอร้องให้กุลบุตรที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ก่อนทำพิธีให้เรียกว่า "นาค" หรือ "พ่อนาค" เพื่อเป็นเกียรติแก่พญานาคี และพญานาคีได้ถวายพุทธบูชาด้วย

การร่ายรำและพ่นลูกไฟถวายพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษาเป็นประจำทุกปี โดยนักแสดงเป็นนักเรียน นักศึกษา จากโรงเรียนในจ.หนองคาย และชมรมนาฏศิลป์จังหวัดหนองคาย หรือแม้แต่นักศึกษาที่เป็นชาวหนองคายแต่ไปศึกษาที่อื่นก็กลับมาร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย โดยมีนางรำ 36 คน รวมนักแสดงเปิดตำนานบั้งไฟพญานาครวม 180 คน สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่มารับชมเป็นอย่างยิ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีแผ่นวีซีดีวางจำหน่าย อ้างว่าเป็นภาพถ่ายพญานาคจากแม่น้ำโขง เป็นภาพผิวน้ำของแม่น้ำโขงที่แตกเป็นทางนานหลายนาที ขณะที่ผิวน้ำส่วนอื่นเรียบสนิท จากการสอบถามไปที่ นายวิสุทธิ์ สัตยเลขา หรือ "ช่างอ๊อด" ช่างภาพซึ่งอ้างตัวว่าเป็นช่างภาพที่สามารถถ่ายภาพพญานาคดังกล่าวได้ เปิดเผยว่า

ตนถ่ายภาพพญานาคได้ในวันที่ 30 ต.ค.47 หรือวันแรม 1 ค่ำ ของช่วงออกพรรษาปีที่แล้ว ระหว่างที่ไปทำธุระกับภรรยา โดยระหว่างรอภรรยาอยู่นั้น ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันว่ามีพญานาคออกมาเล่นน้ำที่แม่น้ำโขง ตนจึงรีบหยิบกล้องวิดีโอออกมาแล้ววิ่งไปถ่ายภาพดังกล่าว ตอนแรกไม่มั่นใจว่าเป็นอะไร เพราะมองเห็นน้ำเคลื่อนไหวในระยะไกล

แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ก็มั่นใจว่าใช่ คิดว่ามี 7-8 ตน ตัวยาวกว่า 30 เมตร ว่ายทวนน้ำขึ้นไป ตนก็วิ่งตามถ่ายไปเป็นระยะทาง 300 เมตร พญานาคกลุ่มนี้ปรากฏตัวให้คนได้เห็นนานประมาณ 12-13 นาที มีคนจำนวนมากออกมาดูปรากฏการณ์ครั้งนั้นด้วย โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นพญานาค และไม่น่าเป็นสัตว์น้ำอย่างอื่นในแม่น้ำโขง

นายวิสุทธิ์ เล่าในแผ่นวีซีดีดังกล่าวด้วยว่า ช่วงที่กำลังบันทึกภาพ มีความรู้สึกทั้งตกใจ ตื่นเต้น และดีใจ ที่สามารถบันทึกภาพพญานาคได้ เพราะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากถ่ายได้ ต่อมาหลานก็ฝันว่ามีงูใหญ่เข้าไปอยู่ในอ่างน้ำในบ้าน ทำให้ญาติถูกหวยในงวดต่อมาซึ่งออกตรงกับเลขที่บ้าน คือ 66 นอกจากนี้ หลังจากการถ่ายภาพพญานาคในครั้งนั้น ตนก็เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งภรรยากลับไปถามแม่ยาย และได้แนะนำให้ตนและภรรยาขอขมาและทำพิธีเชิญพญานาค ทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ด้านนายวิทยา กีฬา กรรมการผู้จัดบริษัทเกตุนุช ดิจิตอล ผู้ผลิตแผ่นวีซีดีภาพพญานาคที่ถ่ายได้โดยนายวิสุทธิ์ หรือช่างอ๊อด ออกเผยแพร่ กล่าวว่า ทราบเรื่องการถ่ายภาพดังกล่าวจากลูกค้าที่ได้ส่งภาพมาให้ดูเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ดูแล้วก็รู้สึกเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าน่าจะเป็นพญานาคจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วก่อนที่จะเห็นภาพนี้ตนก็รู้สึกเชื่อ แต่ยังไม่เต็มร้อยนัก

แต่เมื่อเห็นภาพแล้วค่อนข้างมั่นใจ จึงได้ติดต่อพูดคุยกับช่างอ๊อด ทราบว่าเป็นภาพจริงที่ถ่ายได้ ในที่สุดจึงพูดคุยกันว่าอยากจะทำออกมาเป็นแผ่นวีซีดีเผยแพร่ โดยทำแบบง่ายๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นและนำไปวิเคราะห์กับความเชื่อที่เคยได้ยินกัน และอยากให้คนเดินทางไปดูที่หนองคายด้วย

นายวิทยากล่าวว่า การถ่ายภาพพญานาคของ "ช่างอ๊อด" เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ปีที่แล้ว ตรงกับขึ้น 15 เดือน 11 ของลาว พญานาคเลยโผล่ขึ้นมาให้เห็น โดยจากภาพของพญานาคที่ตนเห็นคิดว่า ไม่เหมือนกับพญานาคในจินตนาการ เพราะขนาดใหญ่มาก และมีหลายตน ตนเองก็เคยไปดูที่จ.หนองคายเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาของตัวเอง พอได้เห็นภาพของช่างอ๊อดทำให้เชื่อว่าเป็น ตัวพญานาคจริง มีลักษณะการว่ายไม่เหมือนงู ถ้าจะเป็นปลาก็เป็นปลาที่ยาวมาก ภาพดังกล่าวก็เหมือนกับภาพที่ทหารอเมริกันเคยจับได้

"หลังจากที่ทำแผ่นซีดีออกเผยแพร่ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี การงานราบรื่น ผมคิดว่าการที่พญานาโผล่ขึ้นมาและช่างอ๊อดสามารถจับภาพได้ น่าจะเป็นการสำแดงของพญานาคเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง เพราะที่ผ่านมามีคนพูดถึง แต่ไม่เคยมีใครเคยเห็นหรือถ่ายภาพได้ รวมกับคำของพระและชาวบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำโขงที่บอกว่าพญานาคจะมาเล่นน้ำที่บริเวณนี้ทุกปี และเชื่อว่าพญานาคจะมาสักการะพระธาตุที่จมอยู่ใต้น้ำบริเวณนี้" นายวิทยากล่าว

เหตุประหลาด "ความร้อนพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน"

อีกเรื่องที่ออกแนวแปลกประหลาด วันเดียวกัน มีชาวบ้านร่ำลือกันว่าที่ร้านสมบูรณ์ไข่กระทะ ของนายสมบูรณ์ บุญวิริยะวงศ์ อายุ 46 ปี เลขที่ 58/19 ถ.วัฒนานุวงศ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เกิดมีปรากฏการณ์ประหลาด เป็นความร้อนสูงแผ่กระจายขึ้นมาจากใต้ดินอย่างประหลาด

ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่าที่หน้าร้านดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นกระเบื้อง มีความร้อนราวกับไฟถึงขนาดเอามือแตะนานได้ไม่เกิน 5 วินาที โดยบริเวณซ้ายมือของร้านจะร้อนมากที่สุด และร้อนในแนวยาวไปทั่วประตูทางเข้าที่ยาวประมาณ 4 เมตร เมื่อถอดรองเท้าออกเอาเท้าวางลงบนพื้น ก็ต้องสะดุ้งโหยง

เนื่องจากพื้นร้อนมากๆ เกือบ 100 องศาเลยทีเดียว โดยที่บริเวณดังกล่าวเป็นแผ่นกระเบื้องแผ่นสุดท้ายที่อยู่ตรงประตูทางเข้าร้านติดกับริมทางเดินที่มีท่อระบายน้ำอยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่เมตร โดยที่ไม่น่าจะมีอะไรทำให้เกิดความร้อนขึ้นได้ในบริเวณใกล้เคียง เป็นเรื่องแปลกประหลาดเอามากๆ ลูกค้าที่มาทานอาหารที่ร้านบางราย พูดออกมาว่า สงสัยพญานาคจะโผล่ขึ้นมา

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ที่บ้านเปิดเป็นร้านขายกาแฟ ไข่กระทะ และโจ๊กมานานหลายปีแล้ว โดยจะเปิดขายในช่วงเช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงวัน วันนี้หลังจากขายจนใกล้จะปิดร้านแล้วนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีความร้อนขึ้นมาจากพื้นหน้าร้านเมื่อเอาเท้าไปแตะดูก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะร้อนมาก จนหลายคนสงสัยเอามือมาแตะพิสูจน์ก็ต้องสะดุ้งไปตามๆ กัน โดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว

ทีแรกก็คิดว่าเกิดจากการตั้งหม้อต้มน้ำชงกาแฟ แต่ก็อยู่ไกลกัน หรือว่าเป็นไฟฟ้ารั่วจากปลั๊กอบขนมปัง เมื่อถอดออกแล้วก็ยังร้อนอีก และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย จึงตัดสินใจไปแจ้งที่สำนักงานเทศบาลนครอุดรธานี และเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดให้เจ้าหน้าที่ฟังโดยที่เจ้าหน้าที่เทศบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ 2 คนออกมาดู พร้อมกับสอบถามว่า แถวนี้มีสายไฟขนาดใหญ่ลอดผ่านใต้พื้นหรือไม่ และก็บอกว่าไม่ทราบว่าทำไมพื้นถึงร้อนขึ้นมาได้ประหลาดใจมาก ทั้งแนะนำให้ไปแจ้งกองช่างมาทำการตรวจสอบ หรือไม่ก็ไปแจ้งหน่วยงานธรณีวิทยา มาตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

นายสมบูรณ์กล่าวอีกว่า ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกไม่สบายใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ใต้พื้นดินของบ้าน อยากให้เจ้าหน้าที่ออกมาตรวจสอบโดยด่วน เนื่องจากกลัวอันตรายจะเกิดขึ้น ที่บ้านมีทั้งเด็กและคนชราอาศัยอยู่หลายคน หากเกิดระเบิดขึ้นมาไม่รู้ว่าอะไรจะเสียหายบ้าง ยิ่งมีชาวบ้านที่ทราบข่าวพูดออกมาว่า สงสัยแผ่นดินจะไหว พญานาคจะโผล่ อะไรต่างๆ นานาทำให้ไม่สบายใจ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ให้เร่งมาตรวจสอบด้วย

ที่มา - ข่าวสด วันที่ 18/10/2548



วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2548 เวลา 17:42 น.
แตกตื่นพบ "รอยพญานาค" ริมฝั่งโขง



หนองคาย - แตกตื่นพบ "รอยพญานาค" ริมฝั่งแม่น้ำโขงหนองคายอีก ชาวบ้านเชื่อเป็นพญานาคขึ้นมาชม ศาลเจ้าแม่สองนาง ที่กำลังก่อสร้างใหม่ ซึ่งมักพบเป็นประจำก่อนออกพรรษา

เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (6 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าได้เกิดรอยประหลาดคล้ายรอยพญานาคที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง วัดหายโศก อ.เมือง จ.หนองคาย จึงออกไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงสถานที่ตามที่ได้รับแจ้งก็พบชาวบ้านจำนวนหนึ่งมุงดูรอยประหลาดที่เกิดขึ้น ต่างเชื่อกันว่าเป็นรอยพญานาค

สามเณรชัยรัตน์ วงศ์โพธิ์สาร ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่ วัดหายโศก เล่าว่า เมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น.ของวันนี้ ขณะที่กลับจากบิณฑบาตได้มาเดินเล่นสูดอากาศที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้กับศาลเจ้าแม่สองนางหลังใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นรอยประหลาดเกิดขึ้นบนดินโคลนริมตลิ่ง ลักษณะคดเคี้ยวไปมาความยาวประมาณ 4 เมตรกว้างประมาณ 20 ซม.จึงไปบอกให้ชาวบ้านมาดู หลังจากที่พากันมาดูแล้ว ชาวบ้านบางส่วนได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาปักบนดินโคลนที่เกิดรอยประหลาดเพราะมีความเชื่อว่าเป็นรอยพญานาค

ด้านนายเฉลิมพันธ์ วิเศษรัตน์ อายุ 26 ปี ผู้ดูแลศาลเจ้าแม่สองนาง กล่าวว่า รอยที่เกิดขึ้นนี้ชาวหนองคายเชื่อว่าเป็นรอยพญานาคจากแม่น้ำโขง เพราะพบเห็นเป็นประจำแทบทุกปีในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปและมักจะเกิดรอยดังกล่าวให้เห็นในช่วงก่อนวันออกพรรษา

แต่ในครั้งนี้เชื่อว่าเป็นพญานาคขึ้นมาชมการก่อสร้างศาลเจ้าแม่สองนาง เนื่องจากก่อนหน้านี้ช่างผู้รับเหมายังไม่ได้ทำบันไดทางขึ้นศาล แต่เมื่อทำบันไดศาลเจ้าแม่สองนางเสร็จ วันต่อมาก็เกิดรอยประหลาดนี้ขึ้นและเป็นรอยที่อยู่ตรงกับศาลเจ้าแม่สองนางพอดี อีกทั้งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการก่อสร้างศาลเจ้าแม่สองนางหลังใหม่ก็เกิดรอยพญานาคนี้ขึ้นที่ดินโคลนริมตลิ่งทางขึ้นศาลเจ้าแม่ฯ เช่นกัน

ทั้งนี้ ศาลเจ้าแม่สองนางเป็นศาลที่อยู่ประจำเมืองที่ติดลำน้ำโขง เป็นคล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ชาวบ้านเคารพบูชา เป็นที่บูชาสักการะต่อแม่น้ำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ประจำถิ่นมักจะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบริเวณศาลเจ้าแม่สองนางอยู่เสมอ

ที่มา - เว็บ designparty.com



ฮือฮา..พบ "รอยพญานาค" โผล่ก่อนถึงวันออกพรรษา


ข่าวแปลกรายงานว่า พบเรื่องแปลกๆ พิสดาร เมื่อมี "รอยประหลาด" โดยมีการคาดกันว่าเป็น รอยพญานาค ที่มาปรากฏ และแสดงปาฏิหาริย์ให้ได้เห็นก่อนจะถึงช่วงออกพรรษา

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบรอยประหลาดคล้ายรอยพญานาคเกิดขึ้นที่ระเบียงร้านอาหาร ภายในโรงแรมไทยลาวริเวอร์ไซด์ เลขที่ 051 หมู่ 1 ถนนแก้ววรวุฒิ ต.มีชัย อ.เมืองหนองคาย จึงเดินทางไปพิสูจน์


พบว่ามีพนักงานโรงแรมและชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาชมรอยประหลาดนี้ และทางโรงแรมมีการนำธูปเทียนมากราบไหว้บูชารอยดังกล่าว ซึ่งเป็นรอยคดเคี้ยวไปมา 2 รอย รอยแรกพบบริเวณชานระเบียงด้านบน ความกว้างประมาณ 3 นิ้ว ยาวประมาณ 1 เมตร ส่วนรอยที่ 2 อยู่บริเวณพื้นไม้ด้านล่างใกล้กับระเบียงขนาดเท่ากัน


ซึ่งชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารอยดังกล่าวนี้เป็นรอยพญานาคมาปรากฏและแสดงปาฏิหาริย์ให้ชาวหนองคายได้เห็น ก่อนจะถึงช่วงออกพรรษาบั้งไฟพญานาค
ด้านนางกัลยา ภักดีสุจริต ประธานกรรมการโรงแรมไทยลาวริเวอร์ไซด์ กล่าวว่า ในวันนี้มีหมอดูรายหนึ่งมาดูดวงให้ลูกสาว พร้อมกับบอกว่าจะมีเรื่องดีเป็นสิริมงคลเกิดขึ้นที่โรงแรม พอพูดจบก็ออกมาเดินเล่นริมระเบียงร้านอาหาร ปรากฏว่ามีรอยดังกล่าวเกิดขึ้น เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคเช่นเดียวกัน

ที่มา - ข่าวสด และ ผู้จัดการออนไลน์



พบรอยประหลาดโผล่กลางสระว่ายน้ำในบ้าน เจ้าของบ้านเชื่อเป็นรอยพญานาคมาให้โชคลาภ ชาวบ้านทราบข่าวแห่ดูล้นหลาม


วันนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีรอยพญานาคเกิดขึ้นที่บ้านเลขที่ 106 หมู่ 7 บ้านคำโป้งเป้ง ต.ค่ายบกหวาน อ.เมือง จ.หนองคาย จึงไปพิสูจน์ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวมี นางสาวสมพร มูลนาค อายุ 32 ปี เป็นเจ้าของบ้าน

นางสาวสมพร ชี้ให้ดูรอยประหลาดที่เกิดขึ้นบริเวณก้นสระว่ายน้ำภายในบ้าน ซึ่งไม่ได้ปล่อยน้ำไว้ในสระ ปรากฏว่า เป็นรอยคดเคี้ยวไปมา กว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาวคดเคี้ยวไปมาจากซ้ายไปขวา ซึ่งนางสาวสมพร บอกว่า เมื่อวานที่ผ่านมาช่วงประมาณเที่ยงวันตนเดินมานั่งเล่นที่สระว่ายน้ำก็พบรอยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจึงถ่ายรูปไว้ดู

ตกกลางคืนเข้านอนฝันเห็นชาย 2 คน หอบเงินจำนวนมากมาให้ถึงที่บ้าน ตื่นนอนตอนเช้าวันนี้เดินมาที่สระว่ายน้ำก็พบรอยดังกล่าวนี้อีกครั้ง เล่าให้ชาวบ้านฟังก็เชื่อว่าเป็น รอยพญานาค มาให้โชคลาภ และได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชากราบไหว้รอยพญานาคนี้ ซึ่งพอข่าวแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ก็มีชาวบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านข้างเคียงมาดูรอยพญานาคกันจำนวนมากและพากันลงความเห็นว่าเป็นรอยพญานาค

ที่มา - ผู้จัดการ วันที่ 24 ก.พ. 2551



ข่าวจาก นสพ.ไทยรัฐ วันที่ 20 มิ.ย. 51

ตื่นพญานาค กลางลำโขง สิงพระนิสิต 'เลื้อย' เป็นงู



เมื่อตอนสายวันที่ 19 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ วัดพานพร้าว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หลังมีเสียงร่ำลือว่าพระในวัดดังกล่าวถูกพญานาคแสดงปาฏิหาริย์เข้าสิงร่าง แถมยังปรากฏร่องรอยของพญานาคทั่วกุฏิของพระที่ถูกพญานาคสิงร่าง

พบชาวบ้านแห่มาสอบถามเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้นจาก พระครูสิทธิมังคโรวาส เจ้าอาวาส กับ พระขวัญ ญาณวีโร พระลูกวัด โดยพระครูสิทธิมังคโรวาส เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่มวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะจะเข้าจำวัด พระขวัญวิ่งหน้าตาตื่นมาหาที่กุฏิพร้อมบอกว่าถูกพญานาคเลื้อยขึ้นมาพันขา โดยที่ผ้าสบงของพระขวัญเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ

พระครูสิทธิมังคโรวาสกล่าวอีกว่า ตอนแรกเข้าใจว่าพระขวัญ ซึ่งเป็นพระนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคายชั้นปีที่ 3 คณะ ครุศาสตร์ คงจะอ่านหนังสือมากจนเพลียทำให้สติคิดไปเอง เลยบอกให้ไปนอนพักผ่อน พระขวัญจึงเดินกลับไปกุฏิตามเดิม

จากนั้นราว 30 นาที มีพระลูกวัดรูปหนึ่งวิ่งมาบอกว่า พระขวัญมีอาการคล้ายผีสิง รีบวิ่งไปดูพร้อมให้ไป ตามชาวบ้านมาช่วยเหลือ พบพระขวัญนอนเลื้อยไปเลื้อยมาเหมือนพญานาคและกินดอกไม้ธูปเทียนที่ชาวบ้านนำมาถวายพระ ปากพร่ำว่าเป็นพระเจ้าศรีสุทธโธ เป็นพญานาคอยู่ในแม่น้ำโขง ไม่ได้มาทำร้ายใครเพียงแต่ต้องการแสดงบารมีให้เห็นเท่านั้น

เจ้าอาวาสวัดพานพร้าวกล่าวต่อว่า จากนั้นพระขวัญได้วิ่งลงไปลานวัดใช้มือขุดดินลึกเกือบ 30 ซม. จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชม.พระขวัญก็หมดสติไป ตนเลยตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าเป็นพญานาคจริง ขอให้แสดงปาฏิหาริย์ โดยทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูด้วย พอรุ่งเช้าทุกคนถึงกับตะลึง เมื่อพบว่ามีรอยคล้ายสัตว์เลื้อยคลานโผล่รอบกุฏิของพระขวัญ พอชาวบ้านทราบข่าวเลยแห่มากราบไหว้ไม่ขาดสาย

ด้านพระขวัญกล่าวว่า ปกติจำพรรษาที่วัดป่าแก้วเจริญธรรม อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เพิ่งมาจำพรรษาที่วัด พานพร้าวได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ตอนหัวค่ำวันที่ 18 มิ.ย. ขณะนั่งอธิษฐานขอพรพญานาคเรื่องการเรียน เพราะปกติ จะฝันเห็นพญานาคเป็นประจำ

ขณะอธิษฐานนั้นปรากฏว่ามีสัตว์ลักษณะคล้ายงูยักษ์เลื้อยขึ้นมาพันรอบขา พยายาม สลัดแต่ไม่หลุด จนต้องพยายามหลายครั้งจนหลุดและวิ่งไปบอกเจ้าอาวาสแต่ท่านกลับบอกให้ไปนอนพักผ่อน พอกลับมากุฏิตนก็หมดสติไปจนถึงเช้าของวันใหม่ถึงมารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมด

“อาตมาเชื่อว่าพญานาค ท่านคงมาแสดงบารมีให้ทุกคนได้เห็นเท่านั้น” พระขวัญกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับวัดพานพร้าวเป็นวัดเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหาดดอนจัน ของประเทศลาว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชาวบ้านหลายคนเชื่อว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ของพญานาคจริง แต่บางคนไม่เชื่อ เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นคล้ายกับโรคอุปาทานหรือการคิดไปเองของพระลูกวัด ส่วนรอยที่ปรากฏตามกุฏิของพระขวัญยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นรอยอะไรกันแน่

ที่มา เว็บ thairath.co.th

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »