ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 30)
webmaster - 4/3/09 at 21:23

(Update 12 ต.ค. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 30

รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 18




สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต

ตอนที่ 18 สายน้ำแห่งการเดินทาง

ออกอากาศเมื่อ : 2008-09-01



"รอยพญานาค" ที่เมืองคำชะโนด


".......รอยปรากฏบนพื้น "ศาลาการเปรียญ" เชื่อว่าเป็น รอยพญานาค ปรากฏเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2548 ที่เมืองคำชะโนด จ.อุดรธานี ที่เคยมีประวัติว่า ผีมาจ้างหนังไปฉาย และเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อ10 กว่าปีที่ผ่านมา
.........หากจะเอ่ยถึง “พญานาค” สัตว์ในเทพนิยาย ซึ่งทุกคนคงนึกถึงเมืองแห่งพญานาค คือ “จังหวัดหนองคาย” ที่มี “บั้งไฟพญานาค” เป็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในวันคืนออกพรรษาของทุก ๆ ปี จนเป็นที่โด่งดังขึ้นชื่อลือชาไปไกลยังต่างประเทศ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลเดินทางไปพิสูจน์ความลี้ลับเพื่อหาคำตอบกันเป็นจำนวนมาก
.........“ปริศนา” หรือ “ตำนาน” ความเชื่อเกี่ยวกับ “พญานาค” มิได้เกิดขึ้นเฉพาะที่จังหวัดหนองคายเท่านั้น แต่มีความเชื่อมโยงไปยังพื้นที่หรือแหล่งน้ำที่สำคัญหลายแห่ง ในจังหวัดตามลุ่มน้ำโขงในภาคอีสาน รวมไปถึงที่“เมืองคำชะโนด” ซึ่งอยู่ใน อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับ “พญานาค” นั่นคือ “วังนาคินทร์” นอกจากนี้ “คำชะโนด” ยังบ่งบอกถึง ความลี้ลับและเรื่องเล่าขานต่าง ๆ อีกมากมายที่หลายอย่างไม่สามารถพิสูจน์ได้

".......“เกาะคำชะโนด” ที่กล่าวถึงนี้มีลักษณะเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง มีลักษณะเป็นป่าดงดิบประมาณ 20 กว่าไร่ โดยมีต้นไม้หลักคือ ไม้ชะโนด ลักษณะเป็นต้นไม้ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างต้นตาล ต้นมะพร้าว และต้นหมาก ลำต้นสูงโดดเด่นเป็นสง่า “เมืองคำชะโนด” หรือ “วังนาคินทร์” เป็นที่ตั้งของ “วัดสิริสุทโธ” มีศาลาที่ประดิษฐานของ “เจ้าปู่ศรีสุทโธ” หรือ “สุทโธนาค” และ “เจ้าย่าปทุมมา” กลางป่าคำชะโนดมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในตำนานนั่นคือ ทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ของเหล่าพญานาคที่พระอินทร์ประทานให้
.........สำหรับเหตุที่เชื่อว่าบ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ไม่เคยแห้งลง โดยจะรักษาระดับอยู่เท่าเดิมตลอดทั้งปี และเคยมีคนเอาไม้ไผ่ 2 ลำมาต่อกันหยั่งลงไปดูความลึกของน้ำแต่หยั่งไม่ถึง จึงเชื่อกันว่า น้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่สะดือแม่น้ำโขง หรือบริเวณ วัดอาฮงศิลาวาส จ.หนองคาย
ซึ่งในปัจจุบัน “วังนาคินทร์” แห่งนี้ ยังมีความพิเศษอีกประการหนึ่งคือ มีลักษณะเป็นเกาะที่ลอยน้ำ แม้รอบ ๆ เกาะรวมถึงทางเดินพญานาคจะถูกน้ำท่วม แต่ “เมืองคำชะโนด” แห่งนี้ไม่เคยถูกน้ำท่วมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเมื่อน้ำขึ้นเกาะคำชะโนดแห่งนี้ก็จะลอยตามน้ำไปด้วย

".......นอกจากนี้ บริเวณวัดสิริสุทโธ ยังเคยมีรอยซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "รอยพญานาค" ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 มีรอยพญานาคขนาดกว้างประมาณ 60-70 ซม. คล้ายลักษณะงูเลื้อย เกิดขึ้นทั่วบริเวณวัด ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537
.........และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 11 ปี พ.ศ. 2549 โดยเกิดขึ้นรอบศาลาวัด ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งที่ชาวบ้านละแวกนี้เล่าให้ฟัง เมื่อปี 2532 “ป่าคำชะโนด” กลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน นั่นเพราะเรื่องเล่าที่ว่ามี “ผีจ้างหนัง” โดยเมื่อบริษัทหนังเร่ชื่อก้องแห่งภาคอีสาน ถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่ง ให้ไปฉายหนังกลางแปลงในหมู่บ้านวังทอง ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท
.........แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง พอหนังเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนั้นไม่มีผู้คนมาดูเลย พอ 3 ทุ่ม กลับมีคนมาดูจำนวนมาก และที่แปลกก็คือ ผู้หญิงจะนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกข้าง และทั้งหมดก็นั่งกันสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวตัวเลย ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนหนังกลางแปลงทั่วไป


".......รวมทั้งในงานไม่มีร้านขายของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายบุหรี่ก็ไม่มี พอถึงตี 4 ก็พบว่า ผู้คนที่นั่งดูหนังอยู่ทั้งหมดได้หายไปอย่างรวดเร็ว และพอฟ้าสางกลับพบว่า สถานที่ฉายหนัง เป็นพื้นที่ป่าโล่ง ไม่มีบ้านเรือนคนอยู่เลย” คำเล่าขานของเจ้าของบริษัทหนังแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี กล่าว

........นายพงษ์ธวัช ทองพูลสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านดุง จ.อุดรธานี กล่าวว่า จากตำนานความเชื่อที่ถูกเล่าขานต่อกันมาหลายชั่วอายุคนของชาวบ้านดุง กลายมาเป็นพิธีการของสังคมระดับอำเภอ เป็นประเพณีที่ต้องปฏิบัติและสืบทอดความคงอยู่ ของการเคารพนับถือ “เจ้าปู่พญาศรีสุทโธ” ที่เชื่อว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ จะช่วยดลบันดาลให้พ้นทุกข์ภัย เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านดุงให้ดำรงตน เป็นคนใจบุญสุนทาน ครองตนครองเรือนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม และก่อเกิดเป็นประเพณีการบวงสรวง “เจ้าปู่พญาศรีสุทโธ” ขึ้นเป็นประจำทุกปีเรื่อยมา


ที่มา - เดลินิวส์



Click..ชมบั้งไฟพญานาค ณ. วัดหลวง จ. หนองคาย วันที่ 7 ต.ค. 49 ที่มา - เว็บ oknation.net ]


เปิดใจจาก..ผู้เห็นเหตุการณ์

คุณณัฐนารถ ปิ่นเฟื่อง "เคยเห็นมาก่อนแล้วที่นครพนม"


".......ประสบการณ์ที่วัดอุทุมพร จริงๆ แล้วไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านั้น เมื่อ ปีพ.ศ.๒๕๐๕ ตอนนั้นดิฉันอายุ ๒๓ ปี ได้ตามสามีไปประจำการอยู่ที่ ฐาน ต.ช.ด. บ้านนาเข อ.บ้านแพง จ.นครพนม ที่นั่นก็มีตำนานเล่าลือเกี่ยวกับ "พญานาค" คือ "เจ้าแม่สองนาง" ว่าเป็นหญิงสาวสวยที่เป็นพี่น้องกัน ทำหน้าที่คอยรักษาแม่น้ำโขงตลอดแนวชายแดนไทย-ลาว ซึ่งริมฝั่งแม่นํ้าโขงแถบ หนองคายและนครพนม จะเห็นศาลเจ้าแม่สองนางขึ้นอยู่ตลอดแนว

มีอยู่วันหนึ่ง พวกภรรยาตำรวจชวนไปเล่นน้ำตรงแถวฝั่งลาว ขณะที่ ดิฉันกำลังลอยคอเล่นน้ำอยู่เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำแตกซ่าดังมาก ดังมาจาก ฝั่งไทยตรงหน้าศาลเจ้าแม่สองนาง พอหันไปตามเสียง ก็เห็นงูตัวใหญ่และยาวมาก สีดำทะมึน คะเนว่า ศูนย์กลางลำตัวไม่น่าจะต่ำกว่า ๑ เมตร และยาวกว่า ๓๐ เมตร กำลังว่ายน้ำข้ามมาทางฝั่งลาว ซึ่งห่างจากจุดที่ดิฉันกำลังเล่นน้ำประมาณแค่ ๒๐ เมตร มองเห็นถนัดชัดเจนมาก ตอนนั้นดิฉัน ตกใจจนตัวสั่น ทำอะไรก็ไม่ถูกเลย

แต่พวกภรรยาตำรวจที่ไปด้วยกัน เห็นดิฉันตกใจ ก็พากันหัวเราะแล้วบอกว่า "บ่ต้องกลัวหรอก เปิ้นบ่ได้ทำร้าย เปิ้นมีแต่คอยช่วยเหลือ" แล้วยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า พวกคนไทยที่มาทำไร่ยาสูบบนดอนกลางน้ำทาง ฝั่งลาว เวลามาเก็บยาสูบใส่เรือข้ามกลับไปฝั่งไทย จะต้องจุดธูปบอกเจ้าแม่ สองนางให้คุ้มครองรักษา
เนื่องจากแม่น้ำโขงในฤดูร้อนจะมีคลื่นลมแรง บางครั้งก็มีพายุ แต่ถ้าบอกกล่าวเจ้าแม่ก่อนก็จะปลอดภัย ทำให้ชาวบ้าน แถบริมฝั่งโขงนับถือเจ้าแม่สองนางมาก นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว

"ภายหลังดิฉันได้ชมรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทางช่อง DMC ทำให้ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพญานาคมากมายหลายๆ เรื่อง ซึ่งก็ทำให้ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก จึงตัดสินใจเขียนเรื่องราวที่ตัวเองได้เห็นมา กับตาส่งมาที่รายการนี้ เพื่อยืนยันว่า พญานาคมีตัวตนจริงแน่นอนค่ะ"



จ.ส.ต.ใจ ผดุงผล มัคทายก วัดอุทุมพร จ.หนองคาย

"คนเห็นกันเป็นร้อยๆ ยืนยันได้ว่าพญานาคมีจริง"


"........สมัยก่อนผมรับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน ตอนนี้เกษียณ มาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว ผมรู้จักกับคุณนายณัฐนารถมานาน ตั้งแต่สามีของท่าน มาเป็นผู้บังคับหมวดต.ช.ด.๔๐๖ อยู่ที่ อ.โพนพิสัย เมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๙

บั้งไฟพญานาคมีคนเห็นกันหลายคน ใช่ว่าผมเห็นอยู่แค่คนเดียว ดวงไฟส่วนใหญ่จะขึ้นวันออกพรรษา ชาวบ้านแถบนี้ก็เคารพเลื่อมใส มัน มีมานานแล้ว คนแถวนี้ก็ไม่ได้แตกตื่นอะไร เพราะเห็นจนชินแล้ว เห็น ดวงไฟลอยขึ้นมา แล้วน้ำก็ไหลวนกลางแม่น้ำโขง พอเอาไฟส่องดูในน้ำก็ จะเห็นพญานาคตัวใหญ่มาก เห็นลางๆ ชาวบ้านก็จะยกมือไหว้ แล้วตะโกน บอกว่า "พญานาคขึ้น โชคดี.. โชคดี.."

ผมเองก็เลื่อมใสว่า พญานาคมีจริงแน่ๆ เพราะผมเห็นจริง ตอนได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย ทีแรกนึกว่าวัว ควาย ลงไปเล่นน้ำ แต่ความจริง ไม่ใช่ เห็นเป็นเหมือนกับงูใหญ่โผล่ขึ้นมา น้ำตรงนั้นก็พุ่งขึ้นแตกกระจาย เป็นเหมือนน้ำพุอยู่กลางน้ำโขง น้ำจะวนเป็นรัศมีกว้างใหญ่ และไหลพุ่งขึ้นสูงมาก
คนเห็นกันเป็นร้อยๆ ยืนยันได้ว่ามีจริง เป็นเรื่องจริง ที่ผมเห็นเองกับตา ไม่ได้โกหก เพราะผมก็ถือศีลถือธรรมอยู่ตามหลักโบราณเป็นประจำ คนไม่เคยเห็นอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า เป็นเรื่องจริงแน่นอนครับ.."

ที่มา - จากเว็บ DMC



ทฤษฎีเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
เรียบเรียงโดย คุณสุพล อุตรา จากเว็บโพนพิสัย

๑.ทฤษฎีมนัส นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ เชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของก๊าซมีเทนระเบิด จากหลุมอินทรีย์วัตถุขนาดเล็ก ทับถมกันอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขง เสนอภาพการทดลอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นก๊าซมีเทนติดไฟได้

๒.ทฤษฎีมนตรี อาจารย์มนตรี บุญเสนอ นำเสนอข้อมูลทางธรณีวิทยา ศึกษาสภาพดินใต้แม่น้ำโขงสายหลักพบว่า เป็นหินดินดานหรือหินโคลน โอกาสที่จะเกิดก๊าซมีเทนจึงเป็นไปได้น้อยมาก

๓.ทฤษฎี ปืนส่องแสง ณ บ้านโดน สถานีโทรทัศน์ ไอทีวี นำเสนอภาพของทหารลาวบ้านโดนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งลาว ยิงปืนพลุส่องแสงขึ้นบนท้องฟ้า ในขณะที่มีเสียงโห่ร้องตอบรับขึ้นมาจากนักท่องเที่ยว ที่เฝ้าดูจากฝั่งไทย เมื่อทุกคนได้ดูการนำเสนอภาพจากสถานีในครั้งนั้น ๖๐ เปอร์เซ็นเชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากผีมือมนุษย์ทำขึ้น

๔.ทฤษฎีกระทรวงวิทย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่โดยมีทีมเก็บข้อมูลประมาณ ๒๐ คน ในจุดที่สำคัญ ๙ จุด
๑.บ้านน้ำเปกิ่งอำเภอรัตวาปี
๒.ปากห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย
๓.หนองสรวงอำเภอโพนพิสัย
๔.ปากห้วยงึมน้อย อำเภอโพนพิสัย
๕.ปากน้ำปากคาด อำเภอปากคาด
๖.ปากห้วยวัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ
๗.ปากห้วยวังฮู อำเภอเมืองหนองคาย
๘.ห้วยเปลวเงือก อำเภอโพนพิสัย
๙.จุดอ้างอิงเหนือบ้านท่าม่วงกิ่งอำเภอรัตนวาปี

สรุปว่า ได้พบก๊าซมีเทนที่มีน้ำหนักเบา ติดไฟได้ง่ายเมื่อทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แต่ไม่สามารถติดไฟได้เองต้องมีพลังอื่นมาช่วย และยังไม่สามารถ อธิบายของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นมากในวันออกพรรษา

ลักษณะการขึ้นของบั้งไฟพญานาค
๑.เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพูมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือเล็กกว่าพุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง แล้วหายเข้าไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโขง โดยไม่โค้งกลับลงมาเหมือนกับหายเข้าไปอีกโลกหนึ่ง

๒.ความเร็วต้นจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จะเห็นชัดเจนเมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นมาเหนือระดับน้ำโขงประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร

๓.ลูกไฟจะไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ลูกไฟขนาดเท่าเดิมในช่วงขณะที่อยู่ในอากาศแล้วหายวับไปเฉย ๆ

๔.การไต่ระดับความสูงจะใช้เวลาประมาณ ๕-๓๐ วินาทีต่อ ๕๐-๑๕๐ เมตร

ทำไมบั้งไฟพญานาคเกิดเฉพาะที่หนองคาย

"........ในแนววิทยาศสาตร์มีคำตอบว่า แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบสูงธิเบต ไหลผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม มีความยาวถึง ๔,๘๙๐ กิโลเมตร เป็นไปได้ที่จะพัดเอามวลสารต่างๆ ติดมาด้วย เช่น หิน ดิน แร่ธาตุ และในช่วงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านพรมแดนไทย-ลาว ในส่วนของจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่อำเภอสังคม ถึงอำเภอบึงกาฬ มีความยาวประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร น่าจะเกิดสิ่งเหล่านี้

.........๑. ด้วยแม่น้ำโขงไหลมาเป็นระยะยาวไกล พอมาถึงช่วงโค้งจังหวัดหนองคาย เกิดการทับถมตะกอนแร่ธาตุต่าง ๆ พอหมักได้ที่ก็เกิดเป็นก๊าซดันพุ่ง ออกไปติดไฟในอากาศเหนือผิวแม่น้ำโขง

๒. เกิดปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างดวงจันทร์กับโลก โดยอ้างความจริง จากการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก อิทธิพลของดวงจันทร์ ต่อปรากฎการณ์บนโลก อย่างบั้งไฟพญานาค ก็น่าจะมีส่วนเป็นไปได้ เพราะวันออกพรรษาเป็นวันเพ็ญดวงจันทร์เต็มดวง

ในแนว ไสยศาสตร์ มีคำตอบว่า ประเทศไทยและประเทศลาว ส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะประเทศลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็น ดังนั้นจึงมีพุทธโบราณสถานและพุทธโบราณวัตถุตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้งทางประเทศฝั่งไทยและฝั่งประเทศลาว เช่น พระพุทธรูป พระธาตุ รอยพระบาท ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยและชาวลาวได้กราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าพุทธโบราณเหล่านี้ มีพญานาคปกป้องคุ้มครองอยู่

โดยเฉพาะนครเวียงจันทน์ซึ่งมีตำนานเล่าสืบทอดกันมาว่า เป็นเมืองพญานาคเป็นผู้สร้างหรือเนรมิตขึ้นมา ให้เจ้านครเวียงจันทน์ขึ้นครองและไม่มีใครมารุรานได้ เพราะมีพญานาคช่วยปกป้อง คุ้มครองดังเช่นเหตุการณ์ที่ข้าศึกยกทัพมาล้อมนครเวียงจันทน์ด้วยกำลังทหารอย่างมากมาย เหลือที่ทหารเวียงจันทน์จะรบสู้ได้ พญานาคที่อาศัยอยู่ใต้ฐาน พระธาตุหลวง ก็จะแปลงกายเป็นชายชาติทหารกรูกันออกมาช่วยทหารเวียงจันทน์รบกับข้าศึกอย่างห้าวหาญ ทำให้ข้าศึกเสียกำลังพลไปอย่างมากมายจนแตกพ่ายไปในที่สุด

ต่อมาเจ้านครเวียงจันทน์ถูกล่อลวงจากศัตรู ให้ปิด "รูพญานาค" ที่อยู่ใต้องค์พระธาตุหลวงนั้นเสีย ส่งผลให้พญานาคขึ้นมาช่วยเหลือไม่ได้ เมื่อมีศัตรูมารุกราน จึงทำให้นครเวียงจันทร์ต้องผจญกับศึกสงครามและภัยพิบัติตลอดมา ดั่งเช่นสงครามไทยกับลาว ในการปราบกบฎ เจ้าอนุวงค์ แห่งเวียงจันทน์ ในรัชกาล ที่ ๓

การสงครามครั้งนั้น นอกจากปรากบฏเจ้าอนุวงค์แล้ว เหมือนกับสงครามแย่งพระพุทธรูปกันด้วย เมื่อไทยรบชนะลาวก็เที่ยวค้นหาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มารวมไว้ที่เจดีย์ปราบเวียงจันทน์ที่ค่ายพันพร้าว แต่พอทัพลาวบุกยึดคืนได้ก็รื้อเจดีย์เอารพระพุทธรูปเหล่านั้นคืนสู่นครเวียงจันทน์

พญานาคมีความจงรักภักดีและศรัทธาต่อพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้มารวมตัวกันที่แม่น้ำโขงเพราะแม่น้ำโขงและนครเวียงจันทน์ หรือเมืองศรีสัตตนาคนหุต ซึ่งเป็นสถานที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นมาและนอกจากนั้นแม่น้ำโขงยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งสองฝั่งไทย-ลาว ที่นับถือพุทธศาสนา โดยมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คือ พระสุก ได้ประดิษฐานอยู่ใต้แม่น้ำโขงบริเวณ เวินพระสุก (หนือบ้านน้ำเป)

ซึ่งเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่เหล่าพญานาค จะต้องมาปกปักรักษาและบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ โดยยึดเอาเป็นองค์ประธาน ในการบำเพ็ญตะบะในช่วงเข้าพรรษาตลอดเวลา ๓ เดือน โดยงดเว้นการเบียดเบียน ชีวิตสัตว์อื่นมุ่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา เมื่อเข้าถึงญาณก็ได้ตะบะอำนาจนำมาแสดงเป็นบั้งไฟพุ่งทะยานออกมาจากใต้แม่น้ำโขง เพื่อเป็นพุทธบูชา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลก

คำปรารภเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
เป็นข้อสงสัยที่เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคที่ตั้งคำถามอยู่ภายในใจของนักท่องเที่ยว อยากให้ผู้รู้มาตอบชี้แจงแถลงไขให้หายข้องใจ

๑.การเกิดบั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการที่เที่ยงตรงแน่นอนทุกปี ในวันออกพรรษาของประเทศไทยและประเทศลาว ดุจว่าธรรมชาตินั้น มีการนัดวันเอาไว้

๒.ทฤษฎีการเกิดก๊าซ ที่ว่าเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขงจนเกิดเป็นก๊าซจริง แต่คุณสมบัติทางกายภาพของก๊าซทั่วไปที่เราเห็น เช่นก๊าซหุงต้มมันจะกระจายไปทั่วไม่เกาะกันเป็นกลม แล้วลอยขึ้นบนอากาศ เหมือนบั้งไฟพญานาค

๓.แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากในเทศกาลออกพรรษากระแสน้ำจะเย็นและไหลแรงมาก ไม่ใช่น้ำอยู่นิ่ง ๆ ที่จะเกิดก๊าซขึ้นมาติดไฟได้ง่าย ๆ

๔.การจุดติดไฟจากใต้แม่น้ำโขง อาจมีผู้สามารถประดิษฐ์คิดค้นทำได้ แต่การทำเช่นนั้นทำเพื่ออะไร เมื่อกระบวนการจุดไฟให้ลุกขึ้นจากใต้น้ำ จนกระทั่งสามารถพุ่งออกมาเป็นรูปร่างกลมๆ แบบบั้งไฟพญานคต้องใช้ความร้อนอย่างมหาศาลถึงขนาด ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส จึงจะสามารถลุกเป็นลูกไฟ พุ่งขึ้นเหนือแม่น้ำโขงเฉกเช่นบั้งไฟพญานาคได้
๕.ถ้าหากมีมนุษย์ถือปืนอาก้า มุดน้ำลงไปถึงก้นพื้นดินใต้แม่น้ำโขงแล้วยิงขึ้นมายิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะก็ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและใช้ลูกปืนหลายร้อยลูก ปืนหลายร้อยกระบอก ต้องกระจัดกระจายกันมุดน้ำลงไปยิงในแม่น้ำโขง ตั้งแต่อำเภอสังคมถึงอำเภอบึงกาฬระยะความยาวถึง ๒๒๐ กิโลเมตร.

(คุณสุพล อุตรา เรียบเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค เมื่อ สิงหาคม ๒๕๔๘)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »