เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 31)
webmaster - 4/3/09 at 21:25
(Update 13 ต.ค. 51)
ตอนที่ 31
รายการ "สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต" ตอนที่ 19
สารคดีแม่น้ำโขง มหานทีแห่งชีวิต ตอนที่ 19 ย้อมสีดอกฝิ่น
ออกอากาศเมื่อ : 2008-09-08
ตำนานการเกิดบั้งไฟพญานาค
การแสดงแสงสีเสียงประวัติ "พญาคันคาก"
"........ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พญาคันคาก ได้จุติอยู่ในครรภ์ของ พระนางสีดา เมื่อเติบใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรภาวนา จนพระอินทร์ชุบร่างให้เป็นชายหนุ่มรูปงาม
พระอินทร์ได้ประธานนางอุดรกุรุตทวีปเป็นคู่ครอง พญาคันคากและนางอุดรกุรุตทวีป ได้ศึกษาธรรม และเทศนาสอนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
........มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายครั้นได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์คันคากก็เกิดความเลื่อมใสจนลืม ถวายเครื่องบัดพลี พญาแถน
ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์และบันดาลน้ำฝนแก่โลกมนุษย์
พญาแถนครั้นไม่ได้รับเครื่องบัดพลีจากมนุษย์และสรรพสัตว์ รวมทั้งเทวดาที่เคยเข้าเฝ้าเป็นประจำ ไปฟังธรรมกับพญาคันคากจนหมดสิ้น
จึงบังเกิดความโกรธแค้นยิ่งนัก
พญาแถนโกรธแค้นที่เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์หันไปบูชาพญาคันคาก จึงสาปแช่งเหล่ามวลมนุษย์ไม่ให้มีฝนตกเป็นเวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน
ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทุกหย่อมหญ้า เหล่ามวลมนุษย์จึงได้เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ทูลถามและขอความช่วยเหลือ
พญาคันคากรู้ด้วยญาณจึงบอกมนุษย์ว่า เพราะพวกเจ้าไม่บูชาพญาแถน ท่านจึงพิโรธ จึงบันดาลมิให้มีฝนตกลงมา ความแห้งแล้งมีมาเจ็ดปี
พญานาคีผู้เป็นใหญ่ในเมืองบาดาลที่เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์คันคากอยู่ขณะนั้นได้รับฟังจึงยกทัพบุกสวรรค์โดยไม่ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์คันคาก
แต่พญานาคีพ่ายแพ้กลับมาและบาดเจ็บสาหัสด้วยต้องอาวุธของพญาแถน
พระโพธิสัตว์คันคากเกิดความสงสารด้วยเห็นว่าพญานาคีทำไปด้วยต้องการขจัดความทุกข์ให้เหล่ามวลมนุษย์ จึงได้ให้พรแก่พญานาคีและเหล่าบริวาร
ขอให้บาดแผลเจ้าทั้งกายให้หายขาด กลายเป็นลวดลายงามดั่งเกล็ดมณีแก้ว หงอนจงใสเพริศแพร้วเป็นสีเงินยวง ความเจ็บปวดทั้งปวงจงเหือดหายไปจากเจ้า
อันว่าตัวเจ้านั้นต่อแต่นี้ให้ศรีชื่น เป็นตัวแทนความเย็นในเวินแก้ว
แท้นอ (คัดลอกจากบทการแสดง ปรับบางคำให้เป็นภาษากลาง)
นับจากนั้นเป็นต้นมาพระพญานาคีได้ปวารณาตนเป็นข้าช่วงใช้พระโพธิสัตว์ไปทุกๆ ชาติ แต่ความแห้งแล้งยังคงอยู่กับเหล่ามวลมนุษย์
พระโพธิสัตว์คันคากจึงได้วางแผนบุกสวรรค์ โดยให้พญาปลวกก่อจอมปลวกสู่เมืองสวรรค์ พญาแมงงอด แมงเงาเจ้าแห่งพิษ (แมงป่องช้าง) ให้จำแลงเกาะติดเสื้อผ้าพญาแถน
พญานาคีให้จำแลงเป็นตะขาบน้อยซ่อนอยู่ในเกือกพญาแถน เมื่อองค์พระโพธิสัตว์คันคากให้สัญญาณจึงได้กัดต่อยปล่อยพิษ
พญาแถนพ่าย
ร้องบอกให้พระโพธิสัตว์คันคากปล่อยตนเสีย แต่พระโพธิสัตว์คันคากกลับบอกว่าขอเพียงพญาแถนผู้เป็นใหญ่ให้พรสามประการ
ก็จะมิทำประการใด
หนึ่ง
ให้ฝนตกลงมาตามฤดูกาล เหล่ามวลมนุษย์จะจุดบั้งไฟบวงสรวงพญาแถน
สอง
แม้ว่าฝนตกลงมาดั่งใจมาดแล้ว ให้ในทุ่งนามีเสียงกบเขียดร้อง
สาม
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นเล้า (ยุ้งข้าว) ตัวข้าพญาคันคากจะส่งเสียงว่าวสนูให้พ่อฟังเป็นสัญญาณว่า ปีนั้นข้าวอุดมสมบูรณ์
พญาแถนได้ฟังคำขอพรสามประการ(ความจริงแล้วสำหรับความคิดผมเองเป็นการขอประการเดียว และมีการบวงสรวงบูชา พญาแถนคงเห็นว่าคุ้ม)
จึงได้ให้พรตามปรารถนา นับเนื่องจากนั้นมากลางเดือนหกของทุกๆ ปี ชาวอีสานจะร่วมกันทำบั้งไฟแห่ไปรอบๆ หมู่บ้านแล้วจุดบูชาพญาแถน
"........ครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
พระองค์ได้เสด็จเผยแพร่ศาสนาไปทั่วชมพูทวีป พญานาคีผู้เฝ้าติดตามเรื่องราวพระองค์ บังเกิดความเลื่อมใสและศรัทธายิ่งนัก
รู้ด้วยญาณว่าพระองค์คือพญาคันคากมาจุติ จึงจำแลงกายเป็นบุรุษขอบวชเป็นสาวก ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์
.........ค่ำคืนหนึ่งพญานาคีเผลอหลับไหลคืนร่างเดิม ทำให้เหล่าภิกษุที่ร่วมบำเพ็ญเพียรทั้งหลายตื่นตระหนก
ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องจึงขอให้พญานาคีลาสิกขา เนื่องจากนาคเป็นเดรัจฉานจะบวชเป็นภิกษุมิได้
พญานาคียอมตามคำขอพระพุทธองค์ แต่ขอว่ากุลบุตรทั้งหลายทั้งปวงที่จะบวชในพระพุทธศาสนาให้เรียกขานว่า นาคี
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของพญานาคก่อนแล้วค่อยเข้าโบสถ์ จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้เรียกขานกุลบุตรทั้งหลายที่จะบวชว่า พ่อนาค
ต่อมาเมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมและจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทวดา กระทั่งครบกำหนดวันออกพรรษา พญานาคี
นาคเทวี พร้อมทั้งเหล่าบริวารจัดทำเครื่องบูชาและพ่นบั้งไฟถวาย ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นับเนื่องจากนั้น ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 จึงได้มีปรากฏการณ์ประหลาดลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงสู่ท้องฟ้า ปรากฏมาให้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้
ทุกคนเรียกขานว่า บั้งไฟพญานาค
ที่มา - เขมชาติ แสง สี เสียง อลังการ
เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย
ตำนานบึงโขงหลง (มนุษย์ได้นาคเป็นเมีย)
บึงโขงหลง เป็นบึงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองหนองคาย มีพื้นที่ประมาณ 11 ตารางกิโลเมตร ชาวบึงโขงหลงใช้บึงนี้เพื่อประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ประมง
กสิกรรม บริเวณแห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งเมือง ๆ หนึ่ง เมืองชื่อ รัตพานคร มี พระอือลือราชา เป็นผู้ครองนคร มเหสีชื่อ
นางแก้วกัลยา มีพระธิดาชื่อ พระนางเขียวคำ ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับ พระเจ้าสามพันตา
มีพระโอรสชื่อ เจ้าชายฟ้ารุ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ และมีรูปงามด้วย
ขณะประสูตมีท้องฟ้าสว่างไสว ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับ นาครินทรานี ซึ่งเป็นพระธิดาของพญานาคราชแห่งเมืองบาดาล ที่แปลงกายเป็นมนุษย์
การอภิเษกสมรสจัดกันอย่างมโหฬาร ทั้งเมืองบาดาล และเมืองมนุษย์ (รัตพานคร) ทำอยู่ 7 วัน 7 คืน เพื่อเป็นการสัมพันธไมตรีระหว่างพญานาคราช กับ
พระเจ้าอือลือราชา ในโอกาสนี้ด้วย
ทั้งสองอยู่กินกันมาเป็นเวลา 3 ปี ก็ไม่สามารถจะมีผู้สืบสายสกุลได้ (เพราะธาตุมนุษย์กับนาค) จึงทำให้เกิดความเศร้าโศกใจกับคนทั้งสอง
ต่อมาทำให้เจ้าหญิงนาครินทรานี ล้มป่วยลง ทำให้ร่างกายของนางที่เป็นมนุษย์กลายเป็นนาคตามเดิม เมื่อข่าวนี้ได้แพร่สะบัดออกไปทั่วกรุงรัตพานคร
และถึงแม้นางจะร่ายมนต์กลับเป็นมนุษย์ประชาชน และพระเจ้าอือลือก็ไม่พอใจ จึงได้ขับไล่นางนาครินทรานีกลับสู่เมืองบาดาลดังเดิม
โดยได้แจ้งให้พญานาคราชมารับตัวกลับ
ก่อนกลับพญานาคราช ได้ขอเครื่องกฎภัณฑ์ของตระกูลคืน แต่พระเจ้าอือลือราชาไม่สามารถคืนให้ได้ เนื่องจากนำไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่น ทำให้พญานาคราชกริ้วมาก
และประกาศว่าจะทำลายเมืองรัตพานคร และจะเหลือเอาไว้เพียง 3 วัดเท่านั้น
หลังจากพญานาคกลับไป ในตอนกลางคืน พญานาคราชได้ยกพลไพร่มาถล่มเมืองรัตพานคร และประชาชนก็ไม่มีใครรอดพ้นจากฤทธิ์นาคได้ พอนางนาครินทรานีทราบข่าว
ก็ขึ้นมาตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง จนถึงแม่น้ำสงครามก็ไม่พบ จึงกลับเมืองบาดาล เมืองรัตพานครได้ถล่มเป็น "บึงหลงของ"
ต่อมานานเข้าคำพูดก็กลายเป็น "ของหลง" และวัดที่เหลือ 3 วัด ก็คือ วัดดอนแก้ว (วัดแก้วฟ้า) วันดอนโพธิ์ (วัดโพธิ์สัตว์)
และ วัดดอนสวรรค์ (วัดแดนสวรรค์) ทางที่นางนาครินทรานีตามหาเจ้าชายฟ้ารุ่ง คือ ห้วยน้ำเมา (เมารัก)
จุดเครื่องหมายสีแดง คือสถานที่เกิด "บั้งไฟพญานาค"
สถานที่ที่เหมาะสมหรืออีกนัยหนึ่งนั้นคือ สถานที่เกิดปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ก็ได้แก่ตลอดแนวลำน้ำโขง จากช่วง
"อำเภอสังคม" ยาวไปตลอดลำน้ำจนถึง "บ้านอาฮง" ในเขต อำเภอบึงกาฬ แต่ทว่าไม่ใช่ว่าจะไปนั่งดูนั่งชมตรงไหนก็ได้ครับ
จุดที่ขึ้นให้เห็นกันทุกๆ ปีมักจะอยู่ในทำเลที่มีลำห้วยสาขาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง สถานที่ที่มีการผุดขึ้นเป็นประจำก็ได้แก่สถานที่เหล่านี้
อำเภอสังคม ได้แก่ บริเวณตลาดในอำเภอ ปากห้วยโสม และเหนือขึ้นไปทาง อ.ปากชม จ.เลย
อำเภอศรีเชียงใหม่ หมู่บ้านท่ากฐิน หมู่บ้านผาตั้ง, น้ำตกธารทอง ,วัดหินหมากเป้ง ซึ่งค่อนข้างจะสะดวกเพราะมีที่จอดรถที่กว้างขวาง
และยังได้มานมัสการรูปเหมือนและอัฐิของท่านหลวงปู่เทศน์ด้วย, หมู่บ้านโคกซวก ซึ่งอยู่ติดกับวัดพอดี
อำเภอเมือง มีข่าวการขึ้นประปรายแถบตำบลหาดคำ บ้านหินโงม หาดบ้านพวก บ้านสีกายใต้ และบ้านเดื่อ ซึ่งมีชายแดนติดกับอำเภอโพนพิสัย
อำเภอโพนพิสัย นี่คือที่มาแห่งตำนานเล่าขานเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" เลยละครับ ที่อำเภอแห่งนี้จะมีวัดอยู่วัดหนึ่ง เรียงชื่อว่า
"วัดหลวง" ตั้งอยู่ริมปาก "ห้วยหลวง" ซึ่งเป็นลำห้วยขนาดใหญ่ ไหลมาจากเทือกเขาภูพานในเขตจังหวัดอุดรธานี
มีตำนานเล่าขานกันถึง "พญานาค" มานมนานเกี่ยวพันต่อเนื่องกันเป็นตำนาน ที่วัดแห่งนี้ทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมาเฝ้าชมปรากฏการณ์นี้
แต่โดยสภาพของบรรยากาศแวดล้อมไม่ค่อยเป็นใจนัก เพราะอยู่ติดกับตลาดในอำเภอ แสงไฟจากบ้านเรือนร้านค้าทำให้ความสุขสว่างของดวงไฟลดลงไปมาก
แต่ก็ยังมีให้เห็นได้แม้จะไม่ชัดเจนนัก
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539 มีการเล่าลือถึงเรื่องมีพญานาคมาประทับรอยไว้บนหลังรถของอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่สอนอยู่ที่โรงเรียนประจำอำเภอ
เป็นข่าวเกรียวกราวทางหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายวันเลยทีเดียว
อำเภอรัตนวาปี เมื่อก่อนเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอโพนพิสัย เพิ่งแยกตัวออกมาตั้งเป็นกิ่งอำเภอได้ไม่นานมานี้ และยกระดับเป็นอำเภอเมื่อปี
พ.ศ. 2542 จุดชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดของจังหวัดหนองคาย อยู่ที่อำเภอแห่งนี้ บริเวณปากห้วยน้ำเป ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 65 กิโลเมตร
สถานที่ที่สะดวกในการชมก็คือ " โรงเรียนบ้านน้ำเป " อยู่ในบริเวณเดียวกับปากลำห้วยนั่นเอง เคยมีการรายงานว่า มีลูกไฟขึ้นที่นี่เป็นจำนวนถึง
สองร้อยกว่าลูกในคืนนั้น
อำเภอปากคาด ถัดจากรัตนวาปี ต่อมาก็คืออำเภอปากคาดเป็นอีกอำเภอหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนสาย 212 ถนนเลียบแม่น้ำโขงที่ยาวขนานตลอดลำน้ำ
อำเภอปากคาดเป็นอำเภอเล็กๆที่มีเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับพืชผลทางการเกษตรสองสามชนิดคือ กล้วย สับปะรด และยางพารา เป็นพื้นที่ทดลองปลูกยางพาราในภาคอีสานยุคแรกๆ
เลยละครับ
การจะชมบั้งไฟพญานาคที่นี่ผมเองก็ไม่เคยมาด้วยตนเอง เพราะติดที่ค่อนข้างจะไกลแต่ก็รับทราบมาว่า มีบริเวณปาก "ห้วยคาด"
อีกแห่งหนึ่งที่มีการผุดขึ้นของลูกไฟหนาแน่นพอสมควร
อำเภอบึงกาฬ ระยะทางระหว่างจังหวัดและอำเภออยู่ที่ 130 กิโลเมตร แถมอำเภอบริวารแถวนั้นที่ห่างจังหวัดที่สุดก็อยู่ที่ 250 กิโลเมตรโน่น
จุดชมบั้งไฟพยานาคที่ดีที่สุดของอำเภอนี้อยู่ที่ "บ้านอาฮง" ซึ่งน้ำโขงแถบนี้จะอุดมไปด้วยแก่งหิน เริ่มมาจากแถวปลายอำเภอปากคาด
และจะมีหินก้อนใหญ่สุดในแก่งก็อยู่ประมาณที่บ้านอาฮงแห่งนี้ นอกจากนี้กลางแม่น้ำที่บ้านอาฮงนี้ยังได้ชื่อว่า "สะดือแม่น้ำโขง" อีกด้วย
เหตุก็เพราะบริเวณแก่งจะมีอยู่จุดหนึ่งค่อนข้างจะลึกมาก ชาวบ้านเคยใช้ไม้ไผ่บ้านต่อกันยาวกว่า 6 ลำหยั่งลงไปก็ยังไม่ถึงพื้น
ลูกไฟหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "บั้งไฟพญานาค" ที่ขึ้นที่นี่นั้น มีลักษณะแตกต่างจากที่ขึ้นตามจุดอื่นอยู่มาก
เพราะที่อื่นจะมีลักษณะสีแดงอมชมพู แต่ที่นี่จะมีสีเหลืองอมส้ม มีความสุกสว่างมากกว่าที่อื่น จากคำล่ำลือของชาวบ้านที่กล่าวถึงลูกไฟสีขาวแกมเขียว
ขนาดเท่าดวงพระจันทร์ในคืนนั้น มีความสว่างขนาดเกือบเท่ากลางวัน และเสียงไชโยโห่ร้องคล้ายกับงานรื่นเริงในยามดึกที่สงัดเงียบ รอท่านพิสูจน์อยู่ ณ
ที่แห่งนี้ " บ้านอาฮง "
ถัดเลยมาจาก "หมู่บ้านอาฮง" แล้วก็เข้าสู่ตัวอำเภอบึงกาฬ เมืองที่มาของคำว่า "กุหลาบปากซัน"
เพราะว่าตัวอำเภอนั้นตั้งอยู่ตรงข้ามกับ " แขวงเมืองปากซัน " แขวงบริคำไซ ประเทศลาว ที่ที่มีน้ำซันไหลผ่านสามารถพบพานแม่น้ำสองสีได้
เลยจากอำเภอบึงกาฬออกมา เส้นทางหมายเลข 212 เช่นเดิม ก่อนจะเข้าสู่ตัว อำเภอบุ่งคล้า อำเภอสุดท้ายของหนองคายบนทางหลวงหมายเลข 212 นี้
มีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า "ภูวัว" ที่ถนนสายนี้ตัดผ่าน เป็นทั้งวนอุทยานแห่งชาติและเขตสงวนพันธุ์สัตว์ด้วย ป่าทั้งผืนยังอุดมสมบูรณ์ครับ
ต้นกำเหนิดของแม่น้ำและลำห้วยหลายสาย มีบ้านพักของหน่วยพิทักษ์สัตว์ "ภูวัว" ไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วยครับติดต่อขอเข้าพักได้ที่ "กรมป่าไม้"
เลยครับท่าน
อำเภอบุ่งคล้า เป็นอำเภอที่ค่อนข้างไกลจากตัวจังหวัด ข้อมูลการชมบั้งไฟพญานาค ที่อำเภอนี้ต้อขอออกตัวจริงๆครับ
ว่าไม่ทราบข้อมูลอะไรเลยถ้าหากใครไปรับชมและมีข้อมูลเพิ่มเติม จะแจ้งผู้เขียนทราบบ้างก็จะขอขอบพระคุณล่วงหน้ากันมา ณ ที่นี้เลยครับ
"ลูกไฟสีแดงอมชมพู"
ลูกไฟปริศนาในแม่น้ำโขง
".......โลกกลมๆ ใบนี้ของเรา
ยังมีสิ่งลึกลับที่หาคำตอบไม่ได้อยู่อีกหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว เรื่องของผีวิญญาณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เหล่ามนุษย์ผู้มีความอยากรู้อยากเห็น ก็ยังคงพยายามค้นคว้าหาที่มากันต่อไป
.........ในแถบภาคอีสานของประเทศไทยเรา ก็มีปริศนาลึกลับอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือสิ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
"บั้งไฟผี" หรือ "บั้งไฟพญานาค" ลูกไฟสีแดงอมชมพู ที่จะผุดขึ้นกลางลำน้ำโขงในวันออกพรรษานั่นเอง
.........สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันก็คือเรื่องที่ว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากสิ่งใดกันแน่ ซึ่งในตอนนี้ความคิดหลักๆ ที่มีคนเชื่อถือก็มีอยู่สองอย่างด้วยกัน
นั่นก็คือ หนึ่ง...บั้งไฟเกิดจากฝีมือของพญานาค และสอง...บั้งไฟเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ ส่วนความเชื่อที่ว่าบั้งไฟเกิดจากฝีมือของมนุษย์นั้น มีเหตุผลต่างๆ
มาหักล้างจนความน่าเชื่อถือน้อยลง
.........ด้านหนึ่งของความคิดเห็นของ โกเมนทร์ โปตะวัฒน์ หรือ "พ่อโกเมนทร์" อดีตศึกษาธิการอำเภอโพนพิสัย
ที่กล่าวถึงความเป็นมาของบั้งไฟพญานาคให้ฟังว่า
".......เรื่องบั้งไฟพญานาคนี่มันมีมาตั้ง 2000 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์หลังจากไปโปรดพุทธมารดา และส่วนในอำเภอโพนพิสัย พอวันขึ้น 15
ค่ำเดือน 11 ออกพรรษา จะมีการไหลเรือไฟ คนจะมาชุมนุมกัน ทั้งพระทั้งเณร ทั้งคนหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่ ดูเรือไฟลอยขนานไปกับริมฝั่งโขง
เป็นงานสนุกสนานมีการร้องรำทำเพลง มีการจุดบั้งไฟของเราเอง แล้วก็จะมีบั้งไฟที่ไม่ได้รับเชิญจากแม่น้ำโขงพุ่งขึ้นมาเหมือนกัน คนหนุ่มคนสาวก็ถามกันว่า
"..คุณตา..บั้งไฟที่ขึ้นนี่มันเกิดจากอะไร..บั้งไฟอะไร คนแก่คนเฒ่าเขาก็บอกว่า ใต้ลำน้ำโขงของเราเป็นที่อยู่ของพญานาค
วันนี้พญานาคเขาคงมีความชื่นชมยินดีกับเรา.."
"คนโพนพิสัยเองเห็นบั้งไฟพญานาคเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนอื่นๆ อย่างพวกข้าราชการที่มาทำงานที่นี่ คนมาค้าขายที่นี่
พอมาเห็นแล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลก พอวันขึ้น15 ค่ำ ลูกไฟมันขึ้นมาได้ยังไง ทีนี้ก็เลยชักชวนพี่น้องเพื่อนฝูงมาดูกัน แล้วก็ค่อยๆ ขยายไป" พ่อโกเมนทร์
เล่า
เมื่อถามความคิดเห็นว่า ใครสร้างบั้งไฟพญานาค พ่อโกเมนทร์บอกว่ายังไม่ขอฟันธง แต่หากจะบอกว่าเกิดจากธรรมชาติหรือแก๊สมีเทนนั้น ไม่ใช่แน่ๆ
ถามว่าใครสร้าง มันก็ไม่มีใครสร้าง แต่ที่บอกว่าเป็นแก๊สมีเทนนี่ไม่ใช่แน่นอน เขาอธิบายว่าแก๊สมีเทนนั้นเกิดจากซากพืชซากสัตว์ แต่มี ดร.จาก
มหาวิทยาลัยขอนแก่นบอกว่า
ในแม่น้ำโขงนี้ไม่มีแก๊สมีเทน เพราะอัตราการไหลของแม่น้ำโขงนี้มันเชี่ยว ซากพืชซากสัตว์มันทับถมกันไม่ได้
แล้วอีกอย่างหนึ่งคือในแม่น้ำโขงมันเป็นดินทราย แก๊สมีเทนเกิดไม่ได้ อีกอย่างถ้าเป็นแก๊สแล้วทำไมต้องเกิดเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11
ถ้าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติทำไมถึงไม่เกิดตลอด" ทุกๆ ปีในวันออกพรรษาผู้คนจากทั่วสารทิศ ต่างเดินทางมารอชมบั้งไฟพญานาคกันอย่างเนืองแน่น
"ผมบอกไม่ได้ว่าบั้งไฟเกิดได้ยังไงเพราะยังไม่รู้จริง แต่ถ้าถามว่าพญานาคมีจริงไหม มีแน่นอน ลุ่มแม่น้ำโขงแถวนี้มีแต่เมืองนาคทั้งนั้น
การเกิดเวียงจันท์กับหนองคายนั้นก็มีแต่พญานาค พวกนาคทั้งหลายเมื่อสองพันกว่าปีโน้นยังมาช่วยเหลือคนได้ บันดาลอะไรต่ออะไรได้
แต่สองพันปีก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน คุณธรรมคนก็ไม่เหมือนกัน"
"พญานาคอาจจะไม่อยู่ในใจพวกเราคนรุ่นใหม่แล้ว แต่พวกคนรุ่นเก่าๆ นี่เขาเชื่อกันมาก และถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เคยอ่านพระไตรปิฎก
จะเห็นว่าพญานาคกับศาสนาพุทธมันโยงใยเกี่ยวข้องกันมาตลอด"
ส่วนความคิดเห็นอีกฝั่งหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์อย่าง หมอมนัส กนกศิลป์ นายแพทย์ของโรงพยาบาลหนองคาย ยืนยันชัดเจนว่า
บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแน่นอน
"ผมเคยเห็นบั้งไฟขึ้นใกล้ๆ ห่างสัก 5 วา เห็นว่าน้ำกระจาย ลูกไฟวาบขึ้นมาเลย สามัญสำนึกของเราบอกว่า อย่างนี้มนุษย์ทำไม่ได้
บางคนก็พูดกันไปว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ หากเราอธิบายไม่ได้คนอื่นก็คงไม่สามารถอธิบายได้
แต่ถ้าสมมติว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติจริง มันเกิดขึ้นได้ยังไง" หมอมนัสเริ่มเล่าถึงเริ่มแรกที่คิดศึกษาเรื่องบั้งไฟพญานาค
และเล่าต่อถึงสมมติฐานของการเกิดบั้งไฟพญานาค
พ่อโกเมนทร์ กับรอยที่เชื่อกันว่าเกิดจากพญานาค ณ ริมฝั่งโขง อำเภอโพนพิสัย
"........ในวันเพ็ญทำไมเราถึงรู้สึกสดชื่น
ถ้าพระจันทร์เต็มดวง ยิ่งดวงใหญ่ก็ยิ่งสดชื่น ในความคิดของเราก็คือ หรือว่าส่วนประกอบของอากาศมันจะเปลี่ยน
ทำให้ฟองแก๊สในธรรมชาติที่ขึ้นมาทำปฏิกิริยากับอากาศได้ แล้วถามว่าเกี่ยวอะไรกับพระจันทร์วันเพ็ญ มันก็เป็นเรื่องของแรงโน้มถ่วง"
..คำอธิบายสมมติฐานของหมอมนัสก็คือ ในช่วงที่เกิดบั้งไฟพญานาค บรรยากาศผิวโลกจะมีความหนาแน่นของโมเลกุลของออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น
จากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และเมื่อมีพลังงานรังสีจากดวงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านม่านโอโซนลงมา
จะทำให้โมเลกุลออกซิเจนแตกตัวเป็นอะตอมของออกซิเจน อะตอมที่มีพลังงานสูงจะมีความหนาแน่นสูงพอที่จะเกิดปฏิกิริยาสันดาปกับฟองก๊าซมีเทนที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขง
เกิดปฏิกิริยาที่ผิวสัมผัสกับฟองก๊าซลุกติดไฟ เป็นบั้งไฟพญานาค
การศึกษาของหมอมนัสได้ทดลองโดยนำเอาเครื่องวัดออกซิเจนมาใช้ "สิ่งที่พบก็คือว่า เวลาออกซิเจนขึ้นสูงบั้งไฟก็จะขึ้น พอมันไม่สูงบั้งไฟก็ไม่ขึ้น
ทดลองตั้ง 6 ปี ก็เป็นอย่างนี้ แล้วจะให้คิดยังไง ถ้าไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ" และไม่ใช่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะมีผู้เห็นบั้งไฟเหล่านี้ขึ้นในทะเลแดง
ประเทศซาอุอีกด้วย
นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลหนองคาย
เมื่อถามถึงความเชื่อในเรื่องพญานาค หมอมนัสบอกว่า "คิดว่าสิ่งที่ชาวบ้านเชื่อและศรัทธากันนั้นเป็นเรื่องที่มีมูลอยู่ เห็นว่ามีเหตุและผล
เราก็ต้องเคารพความเชื่อของเขา แต่เราไม่ได้ไปศึกษาตรงนั้น ก็คงจะบอกว่ามีหรือไม่มีไม่ได้"
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หมอมนัสเห็นว่าน่าเป็นห่วงก็คือ จำนวนของบั้งไฟลดลงเรื่อยๆ จากสาเหตุของม่านโอโซนที่บางลง การสร้างเขื่อนกั้นตลิ่ง
การดูดทรายจากแม่น้ำโขง รวมทั้งการสร้างเขื่อนในประเทศจีนมีผลกับบั้งไฟพญานาคแน่นอน "จำนวนลูกบั้งไฟลดลงเรื่อยๆ อีก 3-4 ปีอาจจะไม่มีบั้งไฟแล้ว
ปีนี้ถ้าเห็นเกินร้อยลูกถือว่าดวงดี" หมอมนัสกล่าว
ไม่ว่าบั้งไฟจะเกิดจากเหตุอันใดก็ตาม ทุกคนย่อมมีสิทธิคิดไปตามความเชื่อของแต่ละคนอย่างที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดตราบใดที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
แต่ประโยคที่ว่า "ความลับไม่มีในโลก" น่าจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์ รวมทั้งเรื่องบั้งไฟพญานาคนี้ด้วย เพียงแต่ว่า ความลับนั้นจะเปิดเผยขึ้นมาเมื่อไร
และอย่างไร...ก็ยังไม่มีใครรู้...!!!
ที่มา - www.bluegy.com
เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา ฮีตสิบสอง วัฒนธรรมอีสาน
- การ์ตูน : บั้งไฟพญานาค ตอนที่ 1
- การ์ตูน : บั้งไฟพญานาค ตอนที่ 2
- การ์ตูน : บั้งไฟพญานาค ตอนที่ 3
- การ์ตูน : บั้งไฟพญานาค ตอนที่ 4
- การ์ตูน : วันออกพรรษา พุทธเจ้าเปิดโลก
- การ์ตูน : Naga Fireball Story ตอนที่ 1-1 (ไทย-English)
- การ์ตูน : Naga Fireball Story ตอนที่ 1-2 (ไทย-English)
- การ์ตูน : Naga Fireball Story ตอนที่ 1-3 (ไทย-English)
- การ์ตูน : Naga Fireball Story ตอนที่ 1-4 (ไทย-English)
- Naga Fireball Music
- naga fireballs festival
- Naga Fireball Festival, NE
- เรื่องจริงผ่านจอ.."เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นนาคา"
- ภาษานาคา ตอน 1
- ภาษานาคา ตอน 2
"บั้งไฟพญานาค" ขึ้นที่หนองคาย เมื่อปี 2550
(คลิกขยายภาพ)
"........นักท่องเที่ยวเฮ "บั้งไฟพญานาค"โผล่แต่หัวค่ำ ลูกแรกผุดที่
"บ้านโพนแพง"ตั้งแต่ก่อน 5 โมงเย็น แล้วทยอยขึ้นต่อเนื่อง ส่วนที่โพนพิสัยเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บางรายกางเตนท์ริมโขงบังสายตาคนอื่น
ขณะเครือข่ายการสื่อสารขัดข้องทั้งมือถือ-อินเทอร์เน็ต เผยนักท่องเที่ยวเตรียมเดินทางต่อเข้าลาวอื้อ ตม.ตรวจเข้มด่านเข้าเมือง
.........เมื่อเวลา 16.43 น. วันที่ 26 ต.ค.50 ได้เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเป็นลูกแรกของปีนี้ ที่ แม่น้ำโขงบริเวณบ้านโพนแพง ตำบลโพนแพง
อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งนักท่องเที่ยวและประชาชนนั่งรอชมอยู่เป็นจำนวนหนึ่งต่างพากันแตกตื่นดีใจเมื่อมีบั้งไฟพญานาคลูกสีชมพูอมแดง
ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขงอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ทันพลบค่ำ
ผู้เฒ่าผู้แก่ในละแวกนั้นบอกว่าเมื่อหลายปีก่อนในช่วงออกพรรษาถึงแม้พระอาทิตย์จะยังไม่ตกดินแต่ก็มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้ หากมีอากาศเย็นปกคลุม
ซึ่งในบริเวณบ้านโพนแพงแห่งนี้ทุกปีที่ผ่านมาเป็นจุดที่เกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นประจำ โดยในปี 2549 เฉพาะในพื้นที่อำเภอรัตนวาปี มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น 100
ลูก และจำนวนบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของจังหวัดหนองคายรวม 273 ลูก
..........ส่วนบรรยากาศที่วัดไทย อ.โพนพิสัย จ.หนองคายนั้น ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนนักท่องเที่ยวจนเบียดเสียดยัดเยียดแน่นขนัดริมฝั่งแม่น้ำโขง
แต่ได้เกิดปัญหาเมื่อนักท่องเที่ยวได้กางเตนท์ริมฝั่งแม่น้ำโขงจนแน่นพื้นที่ทำให้บดบังการชมบั้งไฟพญานาคของนักท่องเที่ยวรายอื่นไปด้วย
นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือหลายเครือข่ายไม่สามารถใช้การได้
การสื่อสารเป็นอัมพาตรวมทั้งระบบอินเทอร์เน็ตก็เกิดการขัดข้องอยู่บ่อยครั้ง
(คลิกขยายภาพ)
"........นอกจากนี้บรรยากาศที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย ลาว อ.เมืองหนองคาย
มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวยังประเทศลาวจำนวนมาก
โดยเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายแจ้งว่ามีนักท่องเที่ยวยื่นเอกสารขอข้ามไปเที่ยวยังประเทศลาวประมาณ 3,000 คน
มีทั้งนำรถส่วนตัวไปเองและนั่งรถโดยสารประจำด่านสะพานไปเที่ยวก่อนจะเดินทางมาชมบั้งไฟพญานาค
ซึ่งคาดว่าในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะมีนักท่องเที่ยวที่ชมบั้งไฟพญานาคแล้วเดินทางไปเที่ยวต่อยังประเทศลาวอีกจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ด่านศุลกากรหนองคาย
และเจ้าหน้าที่ประจำด่านได้จัดเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันมิให้มีการฉวยโอกาสกระทำผิดกฎหมายทั้งยาเสพติดและอาชญากรรม
มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส.
พร้อมคณะได้เดินทางมาชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเขตอำเภอโพนพิสัยในครั้งนี้ด้วย.
(คลิกขยายภาพ)
"........หลังจากที่บั้งไฟพญานาคปรากฏให้เห็นที่บ้านโพนแพง ต.โพนแพง อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย
ในเวลา 16.43 น.จากนั้นพอพระอาทิตย์ตกดินเวลาประมาณ 18.15 น. ได้เกิดบั้งไฟพญานาคที่บ้านตาลชุม ต.รัตนวาปี อ.รัตนวาปี เป็นลูกที่สองแล้ว
.........จากนั้นเวลาถัดไปอีกประมาณ 5 นาที ลูกไฟพญานาคก็ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขงเป็นระยะ ๆ
ซึ่งจากการรายงานผลโดยเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลโพนแพงนับรวมได้ ณ เวลา 19.00 น. นับได้ 9 ลูก
นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดบั้งไฟพญานาคในพื้นที่อำเภอรัตนวาปี ดังนี้ บ้านหนองแก้ว 12 ลูก, บ้านน้ำเป 5 ลูก, บ้านท่าม่วง 4 ลูก ด้านอำเภอสังคม
มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น ที่บ้านผาตั้ง ต.ผาตั้ง จำนวน 3 ลูก เมื่อเวลา 19.05 น.
ซึ่งในพื้นที่บ้านผาตั้งนี้มีนักท่องเที่ยวไปชมบั้งไฟพญานาคกันนับหมื่นคนจนไม่มีที่นั่งชมริมฝั่งแม่น้ำโขง
ต่างจากเมื่อปีที่ผ่านมาที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก
ส่วนที่อำเภอโพนพิสัย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวนับแสนคน ยังไม่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นแต่อย่างใด
แต่นักท่องเที่ยวก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยด้วยใจจดจ่อ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นมีนักท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ
ริมฝั่งแม่น้ำโขงชมบั้งไฟพญานาคประมาณแสน
ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2550 21:34 น.
"บั้งไฟพญานาค" ขึ้นที่อุบลราชธานี เมื่อปี 2550
บั้งไฟพญานาค ซึ่งมีลักษณะ ลูกไฟสีแดง อมชมพู ผุดขึ้นกลางลำน้ำโขง พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างน่าประหลาดและอัศจรรย์ยิ่ง ( บั้งไฟพญานาค อุบลราชธานี
ตามสถิติในปี 2550 ขึ้นมากกว่าที่หนองคายกว่า 30 ดวง)
ที่มา - www.southlaostour.com .
((( โปรดติดตาม "ตอนจบ" ในวันพรุ่งนี้ "วันออกพรรษา" )))